Photobucket Wellcome

นิยาย : หมอหญิงปีศาจ Ep 1-5

นิยายเรื่อง : หมอหญิงปีศาจ EP 1 - 5
นิยายโดย  : An Qi (อันฉี)
นิยายแนว  : เพ้อเจ้อ, โรแมนติก, ตลก, แฟนตาซี, ต่อสู้, ย้อนยุค, ต่างโลก, ฮาเร็ม, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ      : อัญชลี พลัดหลงเข้าไปในอุโมงค์แล้วไปโผล่บนท้องฟ้าอีกโลกหนึ่งกลายเป็นสาวอายุ 17 ปี ชื่อ อันฉี ต้องผจญภัยและปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการแพทย์แผนพิศดาร โดยมี 4 สัตว์เทพคอยช่วยเหลือปกป้องและช่วยต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง

*** นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***


(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 6 - 15  ➡

หมอหญิงปีศาจ Ep 1 - 5 


หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 1
(รับการลงทัณฑ์)


         เมื่อ 1,000 ปีก่อน มีเรื่องราวกล่าวถึงแคว้นๆหนึ่ง ที่มีความเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ แคว้นนี้ปกครองโดยฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม ฮ่องเต้ เลี่ยงซือจง รวมทั้งเหล่าราชวงศ์และราษฎร ต่างมีความเชื่อว่า ที่บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ ปลอดโรคระบาด เพราะได้รับพรอันศักดิ์สิทธิ์จาก *นกอัคคีสวรรค์* ซึ่งเป็นนกเทพปกปักรักษาแคว้นแห่งนี้และประทานพรให้ดินแดนแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ปลอดโรคระบาด ราษฎรมีความสุขถ้วนหน้า

          ถึงกระนั้น แม้นกอัคคีสวรรค์จะเป็นนกเทพ ที่สามารถรักษาโรคได้ ชุบชีวิตคนตายแล้วฟื้นได้ แต่ตัวเองกลับมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ จึงมีนกอินทรีย์ทองที่เป็นสัตว์พาหนะคอยดูแลและอาศัยอยู่ด้วยกันในป่าอัคคีนอกเมือง

          เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรมได้ล้มป่วยและเสียชีวิตลงด้วยโรคชรา วัย 65 ปี เหล่าราษฎรต่างโศกเศร้าเสียใจ จึงพากันไปอ้อนวอนต่อนกอัคคีสวรรค์ให้ช่วยฟื้นคืนชีวิตฮ่องเต้อีกครั้ง ด้วยความใจอ่อน และความมีเมตตาที่นกอัคคีสวรรค์มีต่อฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม นกอัคคีสวรรค์จึงได้กระทำการฝืนโชคชะตาชุบชีวิตให้ฮ่องเต้ โดยการใช้เลือดพิษผสมกับน้ำลายในปากตัวเอง หยดใส่ปากให้ฮ่องเต้กิน จนฮ่องเต้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่ด้วยสวรรค์กำหนดชะตาไว้แล้วให้ฮ่องเต้หมดสิ้นอายุขัย ฮ่องเต้ เลี่ยงซือจง จึงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกแค่ 5 ปี เท่านั้น จึงสวรรคตอีกครั้ง รวมอายุได้ 70 ปี

          เมื่อสิ้นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม ฮ่องเต้องค์ใหม่จึงได้รับการสถาปนา ฮ่องเต้ เลี่ยงหมิงเจ๋อ ผู้มีความละโมภ และเห็นแก่ตัว ปกครองบ้านเมืองด้วยความอยุติธรรม ขูดรีดภาษีประชาชนเดือดร้อนไปทั่วแคว้น หลงเชื่อขุนนางกังฉินยุยงฮ่องเต้ให้จับนกอัคคีสวรรค์มารีดเอาเลือดปรุงยาอายุวัฒนะ ฮ่องเต้จึงออกอุบายว่าเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาด จึงเชิญนกอัคคีสวรรค์เข้าพระราชวังเพื่อทำการรักษา เมื่อนกอัคคีสวรรค์มาถึงจวนแพทย์หลวงในพระราชวัง จึงถูกล้อมจับด้วย *ตาข่ายพันธการฟ้า* สร้างความเจ็บปวดให้กับนกอัคคีสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง จนไม่สามารถบินหนีออกจากตาข่ายได้

          ด้วยความเจ็บปวดและคับแค้นใจ นกอัคคีสวรรค์จึงกล่าวสาปแช่ง ฮ่องเต้ เลี่ยงหมิงเจ๋อ ให้ได้รับความเจ็บป่วย ด้วยโรคประหลาด รักษาไม่หาย ต้องทนทุกข์ทรมานยาวนาน 1,000 ปี ขณะนั้น นกอินทรีย์ทองที่รออยู่ด้านนอก สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายของนกอัคคีสวรรค์ จึงรีบเข้ามาในจวน พบเหล่าขุนนาง และทหารจำนวนมากกำลังล้อมจับนกอัคคีสวรรค์ด้วยตาข่ายพันธการฟ้า เขาจึงพุ่งกระโจนเข้าทำร้ายเข่นฆ่าขุนนาง และทหารเหล่านั้น นกอินทรีย์ทองพยายามใช้ปากคาบตาข่ายเพื่อเปิดทางให้นกอัคคีสวรรค์หลุดรอดพ้นจากตาข่าย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อสัมผัสถูกตาข่ายก็ได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมละความพยายาม จนปากและสีขนสีทองที่สวยงามเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด

         นกอัคคีสวรรค์ได้เห็นดังนั้นก็ไม่สามารถทนดูต่อไปได้ จึงกล่าวขึ้นว่า  "หยุดเถอะ! อินทรีย์ทองเอ๋ย เจ้าช่างกล้าหาญ และมีความซื่อสัตย์นัก ตัวเจ้าเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดหมดแล้ว ข้าละอายใจยิ่งนัก ข้านกอัคคีสวรรค์ผู้อ่อนแอ ข้าขอปลดปล่อยเจ้าอินทรีย์ทอง ให้หมดภาระหน้าที่ดูแลข้า เจ้าจงบินกลับคืนสู่สวรรค์ และใช้ชีวิตให้มีความสุขเถิด"

         ทันใดนั้น บังเกิดมีฟ้าผ่าลงมาที่ร่างของนกอัคคีสวรรค์ทำให้เกิดเปลวเพลิงลุกโชนแผดเผาร่างนกอัคคีสวรรค์ เมื่ออินทรีย์ทองเห็นดังนั้น จึงกล่าวทั้งน้ำตาว่า "ข้าอินทรีย์ทองผู้ที่จงรักภักดีต่อท่าน เพื่อท่านแล้วถึงตายข้าก็ไม่เสียดายชีวิต ข้าขอติดตามท่านตลอดไป" แล้วเขาก็โผร่างเข้าหานกอัคคีสวรรค์ ให้เพลิงสวรรค์แผดเผาร่างของเขาไปพร้อมกัน

         ด้วยเพลิงสวรรค์ที่มีความร้อนแรงมากกว่าไฟธรรมดาของมนุษย์ ร่างของนกทั้งคู่จึงกลายเป็นเถ้าด้วยความรวดเร็ว และในทันใดนั้นที่กองเถ้าก็ปรากฏเถ้าละอองสีแดง และสีทอง ลอยขึ้นไปในอากาศ ละอองเถ้ารวมตัวเป็นร่างนกอัคคีสวรรค์ และนกอินทรีย์ทอง พร้อมกับเสียงของนกอัคคีสวรรค์ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า "เหล่ามนุษย์โลภมาก และเห็นแก่ตัวทั้งหลาย พวกเจ้าจงแบกรับเคราะห์กรรมต่อจากนี้ ด้วยตัวของพวกเจ้าเองเถิด" แล้วนกเทพทั้งสองก็โผบินลับหายไปในท้องฟ้า

          หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ดินแดนแห่งนี้ก็เกิดความโกลาหล มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ราษฎรประสบปัญหายากจน เกิดโรคระบาดสู่คน การเพาะปลูกไม่ได้ผลผลิตเท่าที่ควร แต่ขุนนางยังคงทุจริต ฮ่องเต้ยังคงมัวเมาในลาภยศ สรรเสริญ เห็นผิดเป็นชอบ

          ในที่สุด จึงเกิดการรวมตัวของเหล่าขุนนางบางกลุ่มที่ไม่เห็นชอบกับการกระทำของฮ่องเต้และเหล่าขุนนางกังฉิน จึงเกิดการกบฏขึ้น โดยมีแม่ทัพ เจิ้งไฉ เป็นผู้นำทัพก่อกบฏจนสำเร็จ และสถาปนาฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นปกครองบ้านเมือง ฮ่องเต้ หมิงเฟยเซิน ส่วนอดีตฮ่องเต้ผู้ชั่วช้า เลี่ยงหมิงเจ๋อ ถูกติดสินโทษเนรเทศ แต่ให้ละเว้นโทษประหาร เนื่องจากอดีตฮ่องเต้ เลี่ยงหมิงเจ๋อ สืบเชื้อสายมาจากฮ่องเต้องค์ก่อน เลี่ยงซือจง ผู้ทรงคุณธรรม เพื่อเป็นการให้เกียรติเขาจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ทางตอนเหนือสุดเส้นขอบฟ้าที่มีอากาศหนาวเหน็บ และเป็นดินแดนรกร้าง

          ภายหลังการขึ้นครองราชของฮ่องเต้ หมิงเฟยเซิน เหล่าราชวงศ์และประชาชน ตั้งเครื่องเซ่นไหว้ทำพิธีบูชาและขอขมาต่อนกเทพอัคคีสวรรค์ เพื่อขอให้นกอัคคีสวรรค์กลับมาปกปักรักษาแคว้นนี้อีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ พิธีขอขมานี้กระทำขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่นกอัคคีสวรรค์ก็ไม่เคยกลับมาที่ดินแดนแห่งนี้อีกเลย คงเหลือทิ้งไว้เพียงต้นไม้อัคคีสวรรค์ ที่อยู่ในป่าอัคคีนอกเมือง ที่เริ่มโรยรา เหี่ยวเฉา แต่มันก็ยังคงสามารถผลิดอก ออกผล แม้จะมีเพียงเล็กน้อยก็ตาม

        ถึงกระนั้น ฮ่องเต้ หมิงเฟยเซิน ก็ไม่ย่อท้อในความพยายามพลิกฟื้นบ้านเมือง ฮ่องเต้ปกครองแคว้นด้วยคุณธรรม และพยายามฟื้นฟูบ้านเมือง เยียวยาราษฎรให้รอดพ้นเคราะห์กรรม และโรคระบาด ความพยายามในการฟื้นฟูบ้านเมืองดำเนินการผ่านไปนานหลายสิบปี แคว้นจึงกลับมาสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง และความสงบสุขยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้อีกนานหลายร้อยปี หลายยุค หลายสมัย จนเป็นแคว้น *หลวนเซียน * ปกครองโดยฮ่องเต้ เมิ่งหลวนหลง ส่วน ตาข่ายพันธการฟ้า ที่เป็นสมบัติแห่งแคว้น หายสาปสูญไปตั้งแต่สมัยยุคฮ่องเต้ หมิงเฟยเซิน

          ย้อนกล่าวถึง นกอัคคีสวรรค์ จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เมื่อดวงจิตกลับคืนสู่สวรรค์ ได้ถูกสวรรค์ตัดสินโทษเนื่องจากฝ่าฝืนชะตาฟ้าลิขิตชุบชีวิตฮ่องเต้ เลี่ยงซือจง ที่หมดอายุขัยตามชะตา และสาปแช่งมนุษย์ให้ได้รับเคราะห์กรรมเผชิญโรคระบาด สวรรค์ตัดสินโทษจองจำคุกเมฆา ถูกจองจำบนก้อนเมฆ ปล่อยให้ลอยไปลอยมาบนท้องฟ้า ห้ามใครเข้าเยี่ยม จะสูญเสียพลังเวทย์ 2 ใน 3 ส่วน เป็นเวลา 1,500 ปี และต้องลงไปที่โลกมนุษย์บำเพ็ญคุณประโยชน์ช่วยเหลือมนุษย์โดยการรักษาโรคให้กับมนุษย์ และต้องทำการรักษามนุษย์เป็นจำนวนให้ได้มากกว่าที่เคยเข่นฆ่าไป แต่สวรรค์ยังมีความเห็นใจที่นกอัคคีสวรรค์มีร่างกายที่อ่อนแอ จึงส่งสัตว์เทพไปช่วยเหลือนกอัคคีสวรรค์ที่โลกมนุษย์

         ส่วนนกอินทรีย์ทอง ถูกสวรรค์ตัดสินโทษจองจำคุกราตรี ถูกจองจำในอุโมงค์ที่มืดมิด ภายในอุโมงค์มีต้นหลิวเรืองแสงขึ้นอยู่ หากถูกจองจำเป็นเวลานานร่างกายจะอ่อนแอและขาวซีด สูญเสียพลังเวทย์ 1 ใน 3 ส่วน เป็นเวลา 1,000 ปี และต้องลงไปบำเพ็ญคุณประโยชน์ที่โลกมนุษย์ เพื่อชดใช้ความผิดร่วมกันกับนกอัคคีสวรรค์

         จากนั้นนกเทพทั้งสองจึงถูกนำตัวไปจองจำ หลังจากที่พวกเขาถูกนำตัวออกไปแล้ว องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ ยังคงอยู่พิจารณาคดีต่อ

          เง็กเซียน  : เทพคุมกฏ เจ้าพอจะมีเทพตนใดว่าง ส่งไปช่วยเหลือนกอัคคีสวรรค์ที่โลกมนุษย์ได้บ้างหรือไม่
          เทพคุมกฎ  : เรียนท่านเง็กเซียน ช่วงนี้ใกล้ถึงวันเทศกาลปีใหม่ในโลกมนุษย์ เหล่าเทพตนอื่นๆต่างมีภารกิจบนสวรรค์และภารกิจที่โลกมนุษย์กันหมด อ้อ...แต่วันนี้ข้าได้รับรายงานมาว่ามีสัตว์เทพ 3 ตนกระทำผิดกฎสวรรค์ ที่รอการพิจารณา
          เง็กเซียน  : พวกเค้าทำผิดเรื่องอะไรรึ รายงานมาสิ?
          เทพคุมกฎ  : เรียนท่านเง็กเซียน เริ่มจาก
          -  งูหยกหิมะขาว ดื่มเหล้าเมามายในงานเลี้ยงสังสรรเทพ เกิดการทะเลาะวิวาทกับเทพตนอื่นๆ อีกทั้งยังได้รับการร้องเรียนจากเทพตนอื่นๆอีกว่า งูหยกหิมะขาว เป็นต้นเหตุทำให้เหล่านางฟ้า นางสวรรค์ ทะเลาะตบตีกันเพราะหลงเสน่ห์งูหยกหิมะขาว ทำให้สวรรค์เกิดความวุ่นวาย
          -  อสูรสายฟ้า ทะเลาะวิวาทกับแมงป่องโลหิต พวกเขาปล่อยอาวุธใส่กันและกัน อสูรสายฟ้าปล่อยฟ้าผ่า ส่วนแมงป่องโลหิตก็ยิงศรเพลิงพิรุณ ทำให้เทพตนอื่นๆและเทพที่เข้าไปห้ามปราม ได้รับลูกหลง และบาดเจ็บหลายตน อีกทั้งยังทำให้เกิดฟ้าผ่าและฝนเพลิง ตกใส่โลกมนุษย์ได้รับลูกหลงอีกด้วยพะยะค่ะ
          เง็กเซียน  : อสูรสายฟ้า นี่...ใช่เสือดำที่เคยทำผิดขโมยกินผล อสุนีบาต ผลไม้ทิพย์ของเทพ เหลยกงเจียงเทียนจิน ด้วยใช้มั้ย?
          เทพคุมกฎ  : พะย่ะค่ะ
          เง็กเซียน  : แล้วทั้งสองทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรรึ?
          เทพคุมกฎ  : คือ...ทั้งสองเคยแอบเข้าไปขโมยผล อสุนีบาต ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่เสือดำกลับเป็นฝ่ายได้กิน  จึงได้รับฉายาอสูรสายฟ้า พวกเขาจึงเป็นศัตรูกันตั้งแต่นั้นมา ส่วนแมงป่องแดงได้รับความเมตตาจากเทพ เอ้อหลางเสิน ประทานอาวุธเทพ ธนู-ศรเพลิงพิรุณ ได้รับฉายาแมงป่องโลหิต พอพวกเขามาเจอหน้ากันอีกครั้งจึงเปิดศึกทะเลาะกัน พะย่ะค่ะ
          เง็กเซียน  : อืม...ดี งั้นส่งพวกเขาทั้ง 3 ลงไปที่โลกมนุษย์ ชดใช้ความผิดที่กระทำ บำเพ็ญคุณประโยชน์ช่วยเหลือมนุษย์ พวกเขาน่าจะเหมาะกับภาระกิจนี้ อ้อ...อย่าลืมลบความทรงจำบางส่วนออกด้วยล่ะ เสือกับแมงป่อง จะได้ไม่ต้องเปิดศึกสู้รบกันอีกบนโลกมนุษย์
          เทพคุมกฎ  : รับทราบ พะย่ะค่ะ

....ปิดคดี....

หมายเหตุ

*นกอัคคีสวรรค์  คือ นกฟีนิกซ์ มีขนสีแดงกุหลาบ มีชีวิตเป็นอมตะ เมื่อตายสามารถฟื้นคืนชีพ แต่จะตายได้ก็ต่อเมื่อถูกฟ้าผ่าหรือร้องขอฟ้าผ่าจากสวรรค์ให้สายฟ้าผ่ามาที่ร่างจนเกิดเพลิงไหม้เผาผลาญร่างกาย เพื่อกำเนิดใหม่เป็นนกหนุ่มสาว นกอัคคีสวรรค์มีเลือดเป็นพิษ แต่มีน้ำลายเป็นยาสมานแผลและเป็นยาบำรุง เลือดพิษผสมรวมกับน้ำลายกลายเป็นยาชุบชีวิตผู้อื่นได้

*ตาข่ายพันธการฟ้า  เป็นตาข่ายเวทย์มนต์ ถักทอมาจากดิ้นไหมสาหร่ายประกายดำ พบที่ทะเล 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน เป็นสาหร่ายที่เจริญเติบโตเฉพาะตรงรอยบรรจบตรงกลางของ 3 ฤดู ถักทอผสมกับเกล็ดปลามังกร 6 ตา พบได้ที่แม่น้ำตันหลิว เป็นแม่น้ำที่มีกระน้ำราบเรียบสงบ แต่ภายใต้กระแสน้ำเชี่ยวกราก และมีกระแสน้ำวน อีกทั้งยังมีพรายน้ำและจระเข้ และปลากินเนื้อที่ดุร้าย

*หลวนเซียน (แคว้น หรือดินแดน)  แปลว่า ต้นไม้ชนิดหนึ่ง และเทพ

*เมิ่งหลวนหลง (ชื่อแซ่ของฮ่องเต้) แปลว่า ความฝันแห่งต้นไม้ชนิดหนึ่ง และมังกร

*สายฟ้านิลอสูร  เป็นสายฟ้าสีดำ อสูรสายฟ้าใช้ฟ้าผ่าในบางครั้ง แต่ภายหลังไม่ค่อยถูกเรียกใช้เป็นอาวุธเนื่องจาก อันฉี ผู้เป็นน้องสาว กลัวเสียงฟ้าผ่า จึงมักถูกเรียกใช้เป็นพาหนะ

*ธนู-ศรเพลิงพิรุณ  ธนู สามารถยิงได้โดยลูกดอกไม่มีวันหมด ศรธนู 1 ดอก เมื่อถูกยิงออกไปสามารถแตกออกเป็น 10 ดอก มีประกายไฟคล้ายฝนเพลิง


เพลงจีน Mang Zhong
YouTube by : b.themooncake


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 2
(การเดินทาง และอุโมงค์บนท้องฟ้า)

ยุคปัจจุบัน เดือนกรกฎาคม 2019

          ฉันชื่อ อัญชลี อายุ 44 อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆกับแม่ 2 คน ฉันเคยทำงานในตำแหน่งหน้าที่ดีเงินเดือนสูง ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีในระดับหนึ่ง และมีทักษะการเรียนรู้ที่รวดเร็ว แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนตกงาน จะว่าไปฉันตกงานมานานหลายเดือนแล้ว เพราะบริษัทปิดกิจการ เศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ ฉันสมัครงานกับหลายๆบริษัท แต่ทุกบริษัทก็ตอบปฏิเสธ เพราะฉันมีอายุมากเกินไป เข้าใกล้วัยเกษียร พวกเขาต้องการรับสาวๆ ไม่รับคนแก่...ช่างน่าเศร้าใจ

          โชคดีที่ฉันยังมีน้องสาวที่ทำงานอยู่ต่างอำเภอ และยังคงส่งเงินให้แม่ไว้ใช้จ่ายภายในบ้านจำนวนหนึ่งทุกๆเดือน และฉันยังคงโชคดีอีกอย่างหนึ่ง คือ ฉันมีแฟนที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน เขาทำงานอยู่ต่างจังหวัด คอยช่วยเหลือฉันด้านการเงิน ทำให้ฉันยังพอมีเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้มีชีวิตรอดตลอดเดือน อันที่จริงเราจะแต่งงานกันตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว แต่เพราะฉันกลัวการแต่งงาน ทุกอย่างจึงถูกพักลงไว้ก่อน แต่เขาก็ยังรอและดูแลฉันดีเสมอมา

          ฉันยังคงพยายามหางานทำต่อไป และพยายามให้กำลังใจตัวเองเสมอว่าสักวันหนึ่ง คงมีสักบริษัทที่ให้โอกาสฉันได้ทำงานอีกครั้ง ท่องเอาไว้จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมมม....และในที่สุด!

          อัญชลี  : ยอมแพ้แล้วโว้ยยย! อยู่ก็รกโลกกก
          แม่        : เป็นรัย?! สมัครงานไม่ได้ก็พอเหอะ แก่ขนาดนี้ใครเค้าจะรับเข้าทำงาน เปลืองเงินค่ารถ ค่าเอกสารไปเปล่าๆ ปีหน้าก็แต่งงานกับ สเตฟาน เถอะ แก่ตัวไปมากกว่านี้จะได้มีคนดูแล
          อัญชลี  : ไว้หางานทำใหม่ไม่ได้จริงๆค่อยคุยเรื่องนี้อีกทีละกัน

          แม่เห็นฉันสวมใส่เสื้อยืดเข้ารูปสีแดง คอปาด แขนสามส่วน และสวมกางเกงขายาวผ้าชีฟองสีขาว บางเบา สะพายกระเป๋าข้างสีน้ำตาลเข้ม กำลังเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ

          แม่         : กำลังจะออกไปข้างนอกเหรอ
          อัญชลี  : จ้ะ นู๋จะไปซื้อหูฟังเพลงอันใหม่ อันเก่ามันพัง จะซื้ออาหารแมวด้วย ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวจะซื้อขนม ไดฟุกุใส้เกาลัด มาฝากนะไปไม่นานหรอก รีบไปรีบกลับ
          แม่       : OK, เย็นนี้กินยำปลาทูมั้ยล่ะ? เดี๋ยวแม่ทำให้กิน
          อัญชลี  : จ้า ไปล่ะน๊า

          อากาศช่วงบ่ายในกรุงเทพฯ มันช่างร้อนอบอ้าวจริงๆ ถึงแม้จะเป็นช่วงบ่าย พนักงานต่างกลับเข้าออฟฟิศไปทำงานต่อช่วงบ่ายกันแล้ว แต่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ยังคงมีคนเดินกันพลุกพล่านอยู่ดี เพียงแต่วันทำงานแบบนี้มีผู้คนดูบางตาลงมากกว่าวันหยุด เสาร์-อาทิตย์

          ฉันเดินซื้อของที่ต้องการ และของจุกจิกน่ารักๆในร้านขายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่นอีกนิดหน่อย เดินผ่านร้านขายกระเป๋าแบรนด์ดังที่ฉันเคยซื้อไปใบหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน ฉันหยุดยืนดูกระเป๋าสวยๆพวกนั้น พลางคิดในใจว่า

          "อยากได้กระเป๋าเป้สะพายหลังใบเล็กๆ เก๋ๆ สักใบจังเลยน๊า แต่ตอนนี้ไม่มีตังส์ รอให้ได้งานทำก่อนเหอะ"

          พลันสายตาก็หันไปเห็นกระจกที่ติดไว้ในร้าน สำหรับให้ลูกค้าส่องเวลาลองสะพายกระเป๋า ฉันมองใบหน้าตัวเองในวัย 44 ปีในกระจก แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดกับตัวเองในใจว่า...

          "หน้าฉันยังดูไม่ค่อยแก่เท่าไหร่เลยน๊า มีคนเคยทักอยู่บ่อยๆว่าหน้าเหมือนคนอายุ 37-38 ปีเอง หรือว่าตอนนี้หน้าฉันจะก้าวข้าม 44 แล้วโดดไป 50 แล้ววะ? เฮ่อ...อัญชลี"

          ฉันถอนหายใจอีกครั้งอย่างท้อแท้ แล้วเดินออกจากร้านขายกระเป๋า มุ่งหน้าไปทางประตูทางออกหน้าห้างสรรพสินค้า เดินข้ามสะพานลอยหน้าห้างข้ามไปที่ถนนอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินตรงไปที่ป้ายรอรถโดยสารสาธารณะ ที่ป้ายรอรถโดยสารตอนนี้ไม่มีคนยืนรอรถโดยสารเลย คงเป็นเพราะช่วงเวลาบ่ายแบบนี้เป็นเวลาทำงานจึงมีฉันคนเดียวมายืนรอรถที่ป้ายนี้เพียงคนเดียว

            ที่ป้ายรอรถโดยสารมีถังขยะขนาดกลางชนิดฝาเปิด-ปิด วางอยู่ใกล้ๆตรงบริเวณเก้าอี้นั่งในศาลารอรถ ตรงข้างถังขยะฉันสังเกตเห็นกระเป๋าเป้สะพายหลังสีน้ำเงินแต่กระเป๋าดูค่อนข้างใหม่วางพิงอยู่ข้างๆถังขยะ และมีถุงขยะพลาสติกสีดำใบใหญ่อีกถุงหนึ่งวางซ้อนทับอยู่ ภายในมีสิ่งของบางอย่างที่คาดว่าน่าจะเป็นขยะอยู่ภายใน ปากถุงถูกปิดมัดมิดชิด ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก เพราะเป็นเรื่องปกติหากถังขยะเต็ม ถุงขยะใบอื่นก็จะถูกวางข้างๆถ้งเพื่อรอเจ้าหน้าที่มาเก็บไปทิ้ง

          เมื่อฉันเห็นว่ารถโดยสารสายที่ต้องการขึ้นยังไม่มา จึงเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ในศาลารอรถ แต่ไม่ห่างจากถังขยะมากนัก ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้าง หยิบกระดาษทิชชูสำหรับเช็ดหน้าที่ใช้แล้วออกมาทิ้งใส่ถังขยะ ด้วยความเห่อของที่เพิ่งซื้อมาใหม่อย่างแรง จึงอดใจรอไปแกะดูที่บ้านไม่ไหว ฉันเปิดถุงใบเล็กที่ใส่ของที่ซื้อมาจากร้านขายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น หยิบตลับสีดำเล็กๆออกมาจากถุง คือที่ทาคิ้วแบบเซ็ต 2 สี มีสีน้ำตาลเข้ม และสีน้ำตาลเข้มกว่าเกือบดำ แกะห่อพลาสติกที่ซีนตลับออก แล้วเปิดดูภายในด้วยความพึงพอใจ จึงปิดฝาแล้วนำมันใส่ลงกระเป๋ากางเกงด้านขวา กะว่าจะดูมันอีกครั้งหนึ่งบนรถโดยสารประจำทาง จากนั้นฉันจึงหยิบหูฟังที่เพิ่งซื้อมาใหม่ 2 อัน อันแรกเป็นหูฟังขนาดเล็กสีขาวแบบเสียบหู แต่ฉันเลือกหยิบหูฟังขนาดใหญ่แบบครอบหูสีดำ ตกแต่งแถบสีเขียวสไตล์หุ่นยนต์ตรงที่ครอบหู ชนิดมีไมโครโฟนติดที่ด้านข้างหูฟัง สำหรับไว้คุยกับเพื่อนในเกมส์ PubG ฉันแกะกล่องแล้วหยิบหูฟังออกจากกล่องมาดู ทดลองฟังเพลงในโทรศัพท์มือถือก่อน อยากทดลองฟังดูว่าคุณภาพเสียงดีสมราคามั้ย เพราะตอนที่เลือกซื้ออยู่ที่ร้าน ทางร้านไม่มีสินค้าตัวอย่างให้ทดลองฟัง

          ฉันหยิบหูฟังมาครอบที่หัว ขยับซ้าย-ขวานิดหน่อยเพื่อให้หูฟังครอบตรงหูพอดี แล้วหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายมาเสียบต่อสายกับหูฟัง กดเลือกฟังเพลงโปรดที่ฉันโหลดเก็บไว้ในโทรศัพท์ จากนั้นจึงเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าตามเดิม....ทันไดนั้น!

          บึ้มมม!!! เสียงระเบิดดังสนั่น ตัวฉันปลิวกระเด็นตามแรงระบิด แต่แปลกฉันกลับไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยจากแรงระเบิดนั่น ทุกอย่างมันมืดมิดไปหมดจนมองไม่เห็นอะไรทั้งๆที่ยังเป็นตอนกลางวันอยู่แท้ๆ หรือว่าฉันสูญเสียดวงตาสองข้างไปแล้ว? หรือว่าฉันตายแล้วกันแน่? คำถามเกิดขึ้นมากมาย ฉันเอามือจับหูฟังที่ยังครอบอยู่บนหัวแต่เสียงเพลงมันหยุดลงตอนที่โดนระเบิด แล้วเลื่อนหูฟังลงมาคล้องที่คอ เพื่อฟังเสียงให้ชัดเจนว่า มีผู้คนมาให้ความช่วยเหลือฉันหรือไม่ แต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิท ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรศัพท์หาแม่ แต่โทรศัพท์กดเท่าไหร่ก็ไม่ติด หน้าจอดับมืดสนิท ฉันพยายามกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องหลายครั้งแต่มันยังคงใช้งานไม่ได้เหมือนเดิม มันคงพังแล้วเพราะโดนระเบิด จึงเก็บโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม ฉันทั้งกลัว ทั้งสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ในใจคิดถึงแต่แม่ แม่คงยังไม่รู้ว่าฉันโดนระเบิดตายแล้ว ฉันพยายามตั้งสติว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป...แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน?!

          "นี่ฉันจะลอยกระเด็นไปถึงนครนายกเลยหรือไงเนี่ย?! ทำไมยังไม่รู้สึกตกถึงพื้นสักทีวะ? หรือว่ากำลังนอนหลับฝัน เพราะฉันมักจะฝันว่าบินได้อยู่บ่อยๆ เออ เออ รอสักพักเดี๋ยวก็คงตื่นเองแหละ" ฉันคิดด้วยความสับสนปนความหวาดกลัว

          ไม่กี่อึดใจในความมืด ฉันเห็นแสงสว่างสีขาวเล็กๆ ไกลๆอยู่ข้างหน้า

          "เฮ้ย! เห็นแสงได้แบบนี้แสดงว่าตายังไม่บอดนี่หว่า ฮ่าฮ่าฮ่า" ฉันโพล่งออกมาด้วยความดีใจ

          แสงสีขาวเล็กๆนั่น เริ่มขยายเป็นวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะคล้ายๆกับอยู่ในอุโมงค์ แล้วกำลังพุ่งออกจากอุโมงด้วยความเร็วสูงเพื่อไปโผล่ที่ปลายอุโมงค์นั่น ฉันเริ่มกลัวมากขึ้นเพราะไม่รู้ที่ปลายอุโมงค์นั่นมีอะไร และแล้วร่างของฉันก็พุ่งออกมาจากอุโมงค์ มันทำให้ฉันแทบช็อค เพราะโผล่ออกจากอุโมงค์มาเจอท้องฟ้า!!!

          "เฮ้ยยย! โผล่มานี่ได้ไง ท้องฟ้า ตายแน่ๆ บ้าแล้ววววว ว้ากกกก!!! #$%€&/£฿%!÷׿\>@◇●¡"  ฉันร้องลั่นไม่เป็นภาษา

          ร่างของฉันที่พุ่งออกมาจากอุโมงค์กำลังจะร่วงลงสู่พื้น ด้านล่างฉันมองเห็นป่าผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีใบสีส้ม สีเหลือง สีม่วง และสีเขียว ขึ้นแซมสลับกันไป มันช่างสวยงามและแปลกตาที่สุด ทางขวามือไกลๆมีต้นไม้สีแดง คล้ายไฟกำลังลุกไหม้ ฉันไม่เคยเห็นต้นไม้อะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน มันช่างแปลกและสวยเด่นสะดุดตา จนไม่อยากละสายตาจากมันเลย แต่ฉันก็ต้องเลิกมองมัน เพราะฉันกำลังร่วงใกล้ถึงพื้นเข้าไปทุกที ภาวนาให้ตกถึงพื้นปุ๊บ ตายปั๊บ อย่าได้ตายอย่างเจ็บปวดทรมานเลย ฉันร่วงลงมาจนมองเห็นด้านล่างชัดขึ้น

          "เอ๊ะ! นั่นมันหน้าผานี่หว่า ตกกระแทกหน้าผาแน่ แต่เอ๊ะ?! แล้วดำๆตรงหน้าผานั่นคืออะไร? แมว? เฮ้ย!เสือ ตายห่_  นั่นเสือนี่หว่า เสือดำตัวใหญ่มว้ากก เอ็งมายืนทำอะไรตรงนี้?! ชมวิวอยู่เร้อออ...อะไรจะซวยขนาดนั้นวะเนี่ย พุ่งชนกับเสือดำแน่ๆ กูตายแน่ๆ"

          ฉันคิด...แล้วร้องกรี๊ดหลับตาปี๋เตรียมตัวเตรียมใจตาย ชั่วอึดใจฉันสัมผัสได้กับร่างของฉันที่พุ่งชนเข้าอย่างจังกับของนิ่มบางอย่าง เสียงร้องโฮก! ซึ่งพอเดาได้ฉันพุ่งชนเสือดำตัวนั้นอย่างแรง ทั้งฉันและเสือดำกระเด็นตกหน้าผาไปด้วยกัน ทั้งคนและเสือร้องกันเสียงหลง ฉันลืมตามองเห็นด้านล่างไม่สูงชันมากนัก แต่ก็มีสิทธิ์ตายได้เหมือนกันโดยเฉพาะฉันที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับป่าไม้และสัตว์ป่าเลยสักนิด ฉันมองเห็นเสือดำอยู่ด้านล่างฉัน ตัวของมัน ครูด และปะทะกับกิ่งไม้ก่อนฉัน ทำให้ฉันได้รับแรงปะทะกับกิ่งไม้น้อยลง แต่แขน และขาของฉันก็ครูด และถูกกิ่งไม้บาดเป็นแผล ขากางเกงขาดวิ่นเช่นกัน เจ้าเสือหล่นถึงพื้นก่อน ส่วนฉันหล่นทับมันอีกที

          "แอ็ก!!! โฮก!!!" เสือร้อง
          "โอ้ยยยยยย!!!" ฉันร้อง

          แม้ฉันจะหล่นทับบนตัวเสือ แต่นั่นก็เล่นเอาจุกได้เหมือนกัน ฉันรีบลุกขึ้นจากตัวเสือแล้วหันกลับไปมองว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมตั้งท่าวิ่งหนีทันที ฉันเห็นมันนอนนิ่งแต่ท้องของมันยังขยับขึ้น-ลง มันยังหายใจแสดงว่ามันยังไม่ตาย มันคงจะจุกจนลุกไม่ขึ้นหรือไม่มันก็คงจะได้รับบาดเจ็บตอนที่ตกลงมา นี่มันช่างเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย โชคดีที่ได้เสือมาเป็นเบาะรองกระแทกไม่งั้นฉันคงตายไปแล้ว แต่โชคร้ายที่เบาะรองกระแทกดันเป็นเสือดำตัวใหญ่มากเท่ากับคน และพร้อมที่จะลุกขึ้นมากินฉันได้ทุกเมื่อ

          "ขอโทษนะที่ฉันหล่นมาทับแก" พูดจบฉันรีบวิ่งออกให้ห่างจากเสือดำเพื่อความปลอดภัย ฉันเหลียวกลับไปมองมันอีกครั้ง ด้วยความหวาดระแวง ฉันเห็นมันเริ่มขยับตัว พร้อมกับเสียงคำรามในลำคอ มันพยายามลุกขึ้นแต่ดูเหมือนขาหลังข้างหนึ่งของมันได้รับบาดเจ็บ มันร้องคำรามเสียงดังน่ากลัว เหล่านกที่หลบซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ และพุ่มไม้ต่างตกใจและบินแตกฮือกันไปตัวละทิศละทาง ฉันไม่แน่ใจว่ามันร้องคำรามเพราะเจ็บปวดจากการได้รับบาดเจ็บ หรือร้องคำรามเพราะความโมโหอยากกินฉันกันแน่

         ฉันรีบมองหาต้นไม้สูงที่มีกิ่งก้านแข็งแรงสามารถปีนขึ้นไปยืนหรือนั่งได้เพื่อหนีเสือดำ ดีนะที่ฉันเคยอ่านข่าวในอินเตอร์เน็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเสือ บอกว่าถ้าเจอเสืออย่าวิ่งหนี แต่ให้ปีนขึ้นต้นไม้สูงหนีมัน แล้วรอให้มันถอยห่างออกไปเอง จึงจะปลอดภัยมากกว่าการวิ่งหนี เพราะเสือวิ่งเร็วจึงมีโอกาสสูงที่จะถูกเสือโจมตีได้ ....ฉันหวังว่าวิธีนี้มันจะได้ผล กลัวอยู่อย่างเดียวคือกลัวเสือมันอยู่เฝ้าทั้งวันทั้งคืน ติดอยู่บนต้นไม้ตายกันพอดี

          ห่างออกไปไม่มากนักจากจุดที่เสือดำอยู่ประมาณ 20 ก้าว ฉันเห็นต้นไม้สูงมีกิ่งก้านท่าทางแข็งแรงพอให้ฉันขึ้นไปยืนหลบซ่อนเสือดำได้ ลำต้นของมันใหญ่พอที่ฉันจะสามารถปีนขึ้นไปได้ มันมีใบสีเขียวอ่อนเกือบเหลืองทั้งต้น คล้ายเพิ่งแตกใบอ่อน ดูสวยงาม น่ากิน การปีนต้นไม้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉันมากนัก เพราะสมัยที่ยังเป็นเด็ก ฉันกับน้องสาวมักจะแอบแม่ไปเที่ยวเล่นปีนต้นไม้กับเพื่อนเด็กๆด้วยกันในหมู่บ้าน จึงทำให้พอจะมีประสบการณ์ด้านการปีนต้นไม้อยู่บ้าง

          "โธ่เว้ย! ตอนนี้กูแก่แล้วจะปีนขึ้นต้นไม้ไหวมั้ยเนี่ย?! ปีนขึ้นไปเร็วๆสิว๊า อัญชลี! เสือมันจะมาแล้ว"

          ฉันพูดกับตัวเองแล้วถอดรองเท้าส้นสูง 1 นิ้วยัดไว้ใต้เสื้อแล้วเอาชายเสื้อใส่ไว้ในกางเกง เพื่อความสะดวกในการปีน จากนั้นก็รีบปีนต้นไม้ขึ้นไปทันที เป็นไปตามที่คาดฉันสามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว จนฉันเองยังรู้สึกแปลกใจ เมื่อปีนขึ้นต้นไม้ได้สูงในระดับหนึ่ง ก็มองหากิ่งไม้ที่แข็งแรงพอเหยียบได้ เลือกกิ่งที่สามารถมองเห็นเสือดำได้ถนัดๆ ขณะที่อยู่บนต้นไม้ ฉันรู้สึกแสบมือ แสบเท้า และแสบผิวเล็กน้อยคล้ายถูกพริก คงเป็นเพราะผิวคงจะครูดกับต้นไม้ขณะปีน และรอยแผลถูกกิ่งไม้บาดตอนตกจากฟ้าจึงมีอาการแสบ ซึ่งแผลก็ไม่ได้ใหญ่ฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักตอนนี้ ฉันมองไปที่เจ้าเสือดำที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลกสามขามาที่ต้นไม้ที่ฉันแอบมันอยู่ มันเดินมาใกล้ถึงต้นไม้แล้วก็คำรามใส่ฉันด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันก็ล้มลงนอนที่พื้นห่างจากต้นไม้ประมาณ 5-6 ก้าว เหมือนมันฝืนเดินต่อไปอีกไม่ไหว

          ฉันเห็นเสือดำนอนนิ่ง แต่มันก็ยังหายใจ ตัวของมันมีขนาดใหญ่มากเท่าคน มือและเท้าก็มีขนาดใหญ่ สีขนเป็นมันเงา สีดำขลับ น่าเกรงขาม มันมีหัวขนาดใหญ่และลำตัวดูแข็งแรง ฉันเห็นเขี้ยวของมันตอนที่มันคำรามใส่ฉัน เขี้ยวที่แหลมยาวของมันเป็นสีขาวเงิน สวยงามมากๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ากลัว มันทำให้ฉันกลัวจนตัวสั่นไปหมด มันคงคิดจะนอนรอให้ฉันลงต้นไม้ไปให้มันกินแน่ๆ ฉันต้องคิดหาวิธีหนีมันให้พ้นก่อนที่จะถูกมันจับกิน

           ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกง โชคดีที่มันยังไม่ร่วงหล่นหายไป บางทีมันอาจจะใช้งานได้

          "ไหว้ล่ะโทรศัพท์จ๋า ขอให้ใช้งานได้ทีเถอะนะ ถ้ารอดชีวิตกลับบ้านไปได้ พี่จะเปลี่ยนเคสให้ใหม่ เอาสีให้แจ่มไปเลย สาธุ"

          ฉันยกมือไหว้โทรศัพท์ 1 ครั้ง แล้วกดปุ่มเปิดเครื่อง ในใจลุ้นสุดๆให้มันใช้งานได้ จะได้โทรหาตำรวจขอความช่วยเหลือ และจะโทรหาแม่เพื่อบอกว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ รอชั่วอึดใจโทรศัพท์ก็สามารถเปิดเครื่องได้ ฉันดีใจจนแทบตกต้นไม้ เริ่มมีความหวังว่าจะได้กลับบ้านแล้ว รอแป๊บนึงโทรศัพท์ก็โชว์หน้าจอปกติ แต่เอ๊ะ....เกิดอะไรขึ้นอี๊กกกกก!

           เมนูที่หน้าจอโทรศัพท์หายไปไหนหมดฟะ?! มีแค่เพลย์ลิสเพลงโปรด 2 เพลง ที่ฉันเปิดค้างไว้ก่อนโดนระเบิด โชว์อยู่ที่หน้าจอ สามารถเปิดฟังได้เพียง 2 เพลงเท่านั้น ฉันพยายามกดปุ่มอื่นๆที่สามารถกดได้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่หน้าเมนูไม่มีรายการอื่นเลย ไม่มีแอพที่โหลดไว้ ไม่มีนาฬิกา วันที่ หน่วยบอกแบตเตอร์รี่ ไม่มีสัญญาณอะไรทั้งสิ้น โทรออกไม่ได้ ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟหน้าจอโทรศัพท์ ฉันกดปุ่มรีสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม มีแค่ 2 เพลงนั้น ที่สามารถเปิดฟังได้ คราวนี้ฉันปิดเครื่องถอดแบตเตอร์รี่ออกเผื่อมัน Error ถอดทิ้งไว้ 30 วินาที แล้วกดปุ่มเปิดเครื่องอีกครั้ง ก็ยังไม่สามารถใช้งานและโทรออกได้

          "อะไรกันวะเนี่ย!!! โทรศัพท์เสีย แล้วทำไมมีแต่เพลงที่ฟังได้ 2 เพลงวะ รายการอื่นบนหน้าจอมันหายไปไหนหมด โธ่ว้อยยยย!!!"

          ความหวังที่มีอยู่ดับวูบไปอีกครั้ง ฉันจึงเก็บโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ปิดเครื่องเพราะยังมีความหวังว่าจะมีใครโทรเข้ามาหาฉัน ที่แน่ๆแม่ต้องโทรมาถ้าเห็นว่าฉันยังกลับไม่ถึงบ้าน หรือบางทีโทรศัพท์อาจจะใช้งานได้เหมือนเดิม ฉันตัดสินใจปีนต้นไม้ให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อมองหาอุโมงค์ที่ฉันตกลงมาจากฟ้า ต้องหาหนทางหนีไปจากตรงนี้ให้ได้ ฉันปีนขึ้นไปสูงได้ในระดับหนึ่ง เงยหน้ามองหาอุโมงค์บนฟ้า แต่อุโมงค์มันหายไปแล้ว มีเพียงท้องฟ้าปกติทั่วไปที่มองเห็น ฉันมองไปรอบๆบริเวณนี้ ฉันคิดถูกแล้วที่ปีนขึ้นมาดู เพราะฉันมองเห็นต้นไม้สีแดงคล้ายไฟกำลังลุกไหม้อยู่ทางขวามือ แต่อยู่ห่างออกไปไกลจากตรงนี้พอสมควร ต้นไม้สีแดงเพลิงนั่นมันแปลกประหลาด สวยเด่นสะดุดตามาก จากที่ฉันมองเห็นตอนตกจากท้องฟ้า มีเพียงบริเวณนั้นเพียงจุดเดียวเล็กๆที่มีต้นไม้เป็นสีแดง นอกนั้นบริเวณโดยรอบจะเป็นต้นไม้สีม่วง ส้ม เหลือง เขียว บางทีตรงต้นไม้สีแดงอาจจะเป็นจุดชมวิวก็ได้ อาจจะมีนักท่องเที่ยว หรือชาวบ้านอยู่ที่นั่นบ้าง ฉันควรจะวิ่งหนีไปที่นั่น ฉันตัดสินใจแล้ว

          ฉันค่อยๆปีนต้นไม้ลงมายืนตรงจุดเดิมที่สามารถมองเห็นเสือดำ มันยังคงนอนหายใจนิ่งๆอยู่ตรงนั้น จึงทดสอบมันด้วยการส่งเสียงเรียกเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของมัน

         "เฮ้ย! ไอ้เหมียว เอ็งตายหรือยัง? ได้ยินแล้วตอบด้วย! ฉันขอโทษที่ตกลงมาทับแก ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มันเป็นอุบัติเหตุ เรามาเป็นเพื่อนกันดีกว่านะ อย่ากินฉันเลย ฉันแก่แล้ว ไม่อร่อย"

          แต่เสือดำตัวใหญ่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ มันยังคงนอนหลับตานิ่งๆอยู่แบบนั้น ฉันจึงโยนกิ่งไม้ใส่มัน 1 กิ่ง มันก็เฉย และโยนกิ่งไม้ใส่มันอีกหลายกิ่งเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ลุกขึ้นมาตอนนี้ เสือดำยังคงนอนนิ่งเฉย หรืออาจจะสลบไปแล้ว ต้องใช้โอกาสตอนนี้แหละหลบหนี

          "นี่...เจ้าเหมียว อโหสิกรรมให้กันเถอะนะ ถ้าฉันมีชีวิตรอดไปขอความช่วยเหลือได้ ฉันจะบอกให้พวกเจ้าหน้าที่มาช่วยพาแกไปรักษานะ อย่าตายก่อนล่ะ และอย่าตามมานะ"

          ฉันหยิบรองเท้าที่เก็บไว้ใต้เสื้อออกมาสวมใส่ที่เท้า เพื่อความรวดเร็วเมื่อปีนลงถึงพื้นจะได้วิ่งหนีไปได้เลย ไม่ต้องมาเสียเวลาหยุดใส่รองเท้าใต้ต้นไม้ จากนั้นจึงรีบปีนต้นไม้ลงมาด้วยความรวดเร็ว เมื่อเท้าสัมผัสถึงพื้นได้ ฉันรีบใส่เกียร์หมาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รีบวิ่งไปตามทิศทางที่มองเอาไว้ คือวิ่งไปที่ต้นไม้สีแดง


เพลง JULY : Kris Wu
YouTube by : Kris Wu



■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■





หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 3
(เชอร์รี่ไฟ และการพบกันครั้งแรก)


          ฉันวิ่งไปด้วยความทุลักทุเลบนรองเท้าส้นสูง 1 นิ้ว อยากจะถอดทิ้งแล้ววิ่งเท้าเปล่าก็ทำไม่ได้ ทั้งหนามและหินคงทิ่มและบาดเท้าแน่ๆ จึงต้องพยายามวิ่งต่อไปให้ถึงต้นไม้สีแดงให้ได้ ระหว่างที่วิ่งก็จะคอยมองกลับหลังไปด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าเสือดำตัวนั้นจะตามมา หรืออาจจะมีสัตว์ร้ายชนิดอื่นตามมาข้างหลัง ฉันวิ่งเลาะไปตามพุ่มไม้เตี้ยๆใบของมันมีสีเขียวแซมเหลืองสวยงาม ตลอดทางที่วิ่งผ่านมาเจอต้นไม้ ดอกไม้หลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่นี่เป็นป่าแบบไหนกันแน่นะ ฉันวิ่งไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงลิงร้องมาจากบนต้นไม้ แต่มองไม่เห็นตัว ในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่า อย่าให้เป็นลิงดุ เพราะฉันกลัวลิงกัด

         วิ่งจากป่าโปร่งมาได้สักพัก เห็นลำธารไหลผ่านอยู่ข้างหน้า และต้องวิ่งผ่านลำธารนั่นไป ต้องปีนขึ้นทางชันข้างลำธาร จากนั้นวิ่งตรงไปอีกไกลพอสมควรกว่าจะถึงต้นไม้สีแดง ฉันรีบวิ่งลงไปที่ลำธารนั่น ทั้งเหนื่อยและหิวน้ำมาก ต้องดื่มน้ำจากลำธารแก้หิว เมื่อถึงลำธารฉันเห็นแสงอะไรบางอย่างเปล่งประกายระยิบระยับในน้ำ ฉันพยามเพ่งมองก็เห็นเป็นสัตว์ตัวเล็กๆคล้ายแมลงว่ายอยู่ในน้ำ ซึ่งอาจเป็นสัตว์จำพวกแมลงน้ำ มองเลยออกไปกลางลำธารมีปลาขนาดเล็กสีฟ้าไม่เกินฝ่ามือ 3 ตัว ว่ายน้ำไปมา และปลาที่มีครีบหลังเป็นสีส้มโดดเด่น ปลาทั้ง 2 ชนิดมีสีเรืองแสง ฉันจึงเปลี่ยนใจไม่กล้าดื่มน้ำในลำธาร เพราะกลัวมีสารเคมีในน้ำ จึงทำแค่วักน้ำล้างแขน แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะรู้สึกว่าแขนของฉันมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนไม่ทันสังเกตตัวเอง คือมีแขนที่เรียวเล็ก ขาว นวลเนียน คล้ายแขนเด็กสาว จากเดิมที่เคยมีแขนคล้ำเพราะถูกแดดเผา ผิวพรรณไม่สดใส แห้งกร้าน เพราะอายุที่มากขึ้น หรือฉันคิดไปเองว่าผิวพรรณดีขึ้นเพราะได้วิ่งออกกำลังอย่างหนักตับแทบแลบเมื่อกี้ จึงก้มหน้าไปที่ผิวน้ำเพื่อจะดูสภาพหน้าตัวเองตอนนี้จากเงาสะท้อนในน้ำ

          และต้องตกใจจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว เมื่อฉันเห็นหน้าตัวเองในน้ำที่มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ฉันเห็นหน้าของเด็กสาววัยรุ่นน่ารัก ตากลมโต ปรากฏอยู่ในน้ำ ฉันถูกผีหลอก! ตกใจจนหงายหลังแต่ก็ไม่กล้าดูหน้าตัวเองอีกครั้งในน้ำ เพราะกลัวจะเห็นผีอีก แค่เมื่อกี้ก็ใจร่วงไปที่ตาตุ่มแล้ว แต่ฉันมั่นใจเมื่อกี้ตาไม่ได้ฝาดแน่นอน ใบหน้าที่เห็นในน้ำนั้นไม่ใช่หน้าของฉัน อย่างนี้ก็ไม่ต้องคิดไรมากแล้ว วิ่งสิวะรออะไร?! ฉันวิ่งตะลุยลำธารจนน้ำแตกกระจาย ฝูงปลาที่ว่ายน้ำอยู่บริเวณใกล้เคียงต่างพากันตกใจ ว่ายน้ำหนีแตกกระเจิงเหมือนกัน ฉันรีบปีนขึ้นทางชันข้างลำธารที่คิดว่าปีนยากในตอนแรก ตอนนี้มันกลับปีนขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย ขาจากที่เมื่อยล้ากลับมามีแรงวิ่งอีกครั้ง ฉันวิ่งโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองอีก ในใจพยายามนึกถึงบทสวดแผ่เมตตา แต่ด้วยความกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ฉันนึกบทแผ่เมตตาคำเริ่มต้นไม่ออก จึงใช้เป็นคำพูดแทน

         "น้องผีน่ารักคะ อย่ามาหลอกพี่เลย พี่ไม่ได้มาร้าย แค่วิ่งผ่านมา แล้วก็กำลังวิ่งผ่านไป ถ้ามีอะไรอยากจะบอก ก็มาบอกในฝันแทนละกันนะ ถ้าพี่กลับบ้านได้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้นะ สาธุ"  ฉันยกมีขึ้นไหว้ท่วมหัว

          ฉันวิ่งห่างจากลำธารมาไกลแล้ว เพราะสังเกตจากอาการเหนื่อย หอบแ_กของตัวเอง จึงหยุดวิ่งแล้วนั่งลงกับพื้นเพื่อพักเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดมองหาหนทางเพื่อวิ่งไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว ฉันมองเห็นต้นไม้สีแดงอยู่ข้างหน้าไม่ไกลมากนัก แต่คิดว่าก็คงจะต้องวิ่งเหนื่อยเอาการอยู่ อีกด่านเดียวเท่านั้นที่ต้องวิ่งผ่านมันไปให้ได้ คือป่าทึบที่อยู่ข้างหน้านี้ เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ไปไหนไกลๆสักที่ด้วยตัวเองคนเดียวแล้วไม่หลงทาง

          นั่งพักยังไม่ทันหายเหนื่อยเท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงร้องของลิงดังขึ้นอีกครั้ง เสียงดังมาจากในป่าทึบข้างหน้า ฉันจึงคิดในแง่บวกว่าก็ดีเหมือนกันมีเสียงลิงร้องเป็นเพื่อน ดีกว่าวิ่งอยู่เงียบๆคนเดียวในป่าน่ากลัวจะตายชักที่นี่ พอจบความคิด เสียงลิงก็ร้องดังขึ้นอีก แต่เป็นเสียงร้องถี่ๆคล้ายมีอาการตื่นเต้น หรือส่งสัญญาณเตือนภัย

          และในขณะเดียวกันนั่นเอง เสียงร้องคำรามของเสือก็ดังก้องขึ้นจากทางด้านหลังของฉันไกลๆ คิดว่าน่าจะดังมาจากบริเวณแถวลำธารที่ฉันเพิ่งวิ่งผ่านมา ใจหายวาบขึ้นมาทันทีจนอุทานขึ้นมาว่า "อย่าบอกนะว่าไอ้เสือดำสามขานั่นตามมาน่ะ อยู่ไม่ได้แล้วเว้ยย!"

          ว่าแล้วก็ออกวิ่งอีกครั้ง รีบมุ่งหน้าเข้าป่าทึบแต่ต้องวิ่งสลับเดิน เพราะขาของฉันมันอ่อนล้าวิ่งแทบไม่ไหว เท้าก็เริ่มเจ็บมากขึ้น ฉันวิ่งเข้ามาในป่าทึบภายในป่ามีต้นไม้สูงใหญ่ใบไม้สีส้ม สีเหลือง สีม่วง ขึ้นแซมสลับกันทั้งป่ามีความรก ทึบ ชื้น เนื่องจากแสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงนัอย มีบางจุดที่แสงอาทิตย์สามารถลอดส่องลงมาถึงเป็นลำแสงสีขาวคล้ายม่านพริ้วบาง เมื่อรวมกับดอกไม้สีสันสดใสแปลกตา มันช่างสวยงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่ฉันไม่มีเวลามาชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติตอนนี้น่ะสิ ฉันต้องรีบไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว ก่อนที่เจ้าเสือดำสามขาจะตามมาทัน คิดจบยังไม่ทันไร เสียงคำรามก็ดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม เสียงนกกระพือปีกบินแตกฮือดังอยู่ไม่ไกล แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าเสือสามขาตามมาทันได้เร็วขนาดนี้ ฉันครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเสือตัวอื่นที่อาศัยอยู่แถวนี้มากกว่า รอช้าไม่ได้ ต้องวิ่งให้เต็มสปีดเร็วกว่านรกซะแล้ว

          เสียงลิงร้องดังถี่ๆอีกครั้งเหมือนเป็นการเตือนภัยให้ฉันรีบวิ่งให้เร็วห้ามหยุดพัก และเแล้วฉันก็เห็นต้นไม้สีแดงสดอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก ต้องเร่งฝีเท้าอีกนิดใกล้จะถึงแล้ว ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามในลำคอ เสียงอยู่ใกล้ๆทางด้านหลัง ฉันเหลียวกลับไปมองเห็นเสือดำสามขาตัวนั้นกำลังกระโจนข้ามขอนไม้ห่างออกไปพอสมควร เสือดำมองหน้าฉันแล้วแยกเขี้ยวแบบไม่เป็นมิตร ฉันตกใจสุดขีดมันตามมาทันจริงๆด้วย!

          ฉันตัดสินใจถอดรองเท้าถือไว้ในมือแล้ววิ่งเท้าเปล่าเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับตัวเอง แม้จะเจ็บเท้ามากที่ต้องวิ่งเท้าเปล่าแต่ก็ต้องอดทน อีกนิดเดียวเท่านั้นใกล้จะถึงแล้ว ในที่สุดฉันก็วิ่งมาถึงโคนต้นไม้สีแดงสูงใหญ่ ฉันสังเกตเห็นบริเวณนี้มีต้นไม้สีแดงเพียง 3 ต้น โดยรอบโคนต้นไม้ไม่มีพีชอื่นๆ หรือต้นหญ้าขึ้นอยู่เลย โดยไม่รอช้าฉันรีบเอารองเท้าวางใส่ในเสื้อด้านหน้า แล้วถลกชายเสื้อขึ้นมาคาบไว้ที่ปากเพื่อห่อรองเท้า หันไปมองเจ้าสามขาแวบหนึ่งมันเองก็วิ่งกะเผลกๆตามมาใกล้จะถึงแล้ว

          ฉันรีบปีนขึ้นต้นไม้ด้วยความรวดเร็ว รู้สึกแสบที่มือ เท้า และผิวหนังขณะที่สัมผัสถูกกับลำต้น แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาสนใจถึงความเจ็บแสบนั่นแล้ว คิดอยู่อย่างเดียวต้องรีบปีนให้เร็วที่สุด ฉันปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว สูงพอที่เจ้าสามขาจะกระโดดตะปบฉันไม่ถึง ส่วนเจ้าสามขาก็วิ่งมาถึงใต้โคนต้นไม้ มันกางกงเล็บสีดำขลับ เงางามเหมือนสีขนของมัน แต่แหลมคมน่ากลัว กระโดดตะปบตะกุยตะกายพยายามไขว่คว้าฉันที่อยู่บนต้นไม้ มันพยายามจะปีนขึ้นต้นไม้ แต่มันก็ปีนไม่ได้ มันพยายามทำแบบนั้นอีกหลายครั้ง พร้อมทั้งแยกเขี้ยวคำรามด้วยความโมโห ฉันเพิ่งเห็นเขี้ยวของมันชัดๆตอนนี้ เขี้ยวโค้งยาว เป็นประกายสีเงิน มันดูเท่ห์เอามากๆ แต่ก็เป็นตัวอันตรายสุดๆในตอนนี้ ฉันยืนกอดต้นไม้ไว้แน่นและหวาดกลัวกับท่าทางที่กำลังโมโหของเสือดำ มันหยุดกระโจนตะปบต้นไม้แล้วเดินวนไปวนมาใต้ต้นไม้ แต่สายตาของมันยังคงจ้องมองมาที่ฉันเหมือนจ้องมองอาหารอันโอชะ

          ฉันค่อยๆหยิบเอารองเท้าที่ห่อไว้ในเสื้อมาสวมใส่ที่เท้าเพราะรู้สึกเจ็บและแสบร้อนที่เท้า บางทีฉันอาจจะคิดไปเองว่ามีความร้อนอยู่ภายในลำต้นของต้นไม้ แต่ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะฉันวิ่งเท้าเปล่าเมื่อกี้จึงเจ็บแสบระบมมากกว่า ฉันมองไปรอบๆบริเวณนี้ไม่พบผู้คนเลยสักคน มีแต่ป่าทึบใบไม้สีม่วง ส้ม เหลือง ล้อมรอบ ฉันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาดูเพื่อหาสัญญาณโทรศัพท์ ลองกดๆปัดๆที่หน้าจอ ก็ยังคงไม่สามารถใช้งานเหมือนเดิม ตอนนี้ความหวังสุดท้ายดับลงหมดแล้ว คงต้องรอแต่โชคชะตาอย่างเดียวเท่านั้น หากฉันยังไม่ถึงคราวตายอาจจะมีคนมาช่วยฉันออกไปจากที่นี่ก็ได้

          ฉันยังคงยืนกอดต้นไม้แน่นแล้วมองดูเสือดำเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายอยู่ด้านล่าง มันทำให้ฉันกลัวจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ จนฉันต้องร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเสียงดังเหมือนเด็กๆ เมื่อเสือดำได้ยินเสียงของฉันร้องไห้โฮ มันก็ขู่แยกเขี้ยวแล้วตะกุยตะกายต้นไม้พยายามจะจับฉันให้ได้ เห็นดังนั้นฉันจึงค่อยๆเบาเสียงร้องไห้ลง เพราะดูอาการของเสือดำแล้วเหมือนเสียงร้องไห้เสียงดังของฉันจะไปกระตุ้นต่อมหิวของมัน ฉันเองทั้งเหนื่อย ทั้งหิว และโมโหที่เสือดำไล่ล่าฉันไม่ยอมลดละ

          "ไอ้เป๋! แกจะกินฉันให้ได้เลยใช่มั้ย?! เหลือแค่สามขายังกระเสือกกระสนตามมาจนได้นะ!"

          ฉันมองหากิ่งไม้ที่อยู่ใกล้มือ หักกิ่งไม้แล้วประเคนปาใส่เสือดำตัวนั้น พร้อมตะโกนด่าเสือดำด้วยความโมโห ส่วนเสือดำก็แค่ขยับโยกตัวหลบกิ่งไม้ไปมา หลบได้บ้าง หลบไม่ได้บ้าง เสือดำก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะเป็นกิ่งไม้ขนาดเล็กไม่ได้สร้างความเจ็บอะไรให้มัน เสือดำยังคงจ้องมองฉันอย่างไม่วางตา

          "แกจะจ้องให้ฉันตกลงไปเองเลยหรือไง?! อยากกินฉันนักใช่มั้ย รอได้รอไป ใครจะรอได้นานกว่ากัน จะอยู่บนนี้แหละ รอไปเหอะ! ไอ้เป๋! ไอ้ดำ! ไอ้ขี้เหล่!" ฉันด่าเสือดำด้วยความโมโห

          ผ่านไปได้สักพักฉันก็ขยับมานั่งลงบนกิ่งไม้แทนการยืนเพราะความเหนื่อยล้า และหิว ฉันมองลงไปด้านล่างที่พื้นดิน เจ้าเสือดำกำลังนอนลงแบบกึ่งนั่ง กึ่งนอน เหมือนกำลังรอเหยื่อแบบชิวๆ ฉันเองก็เริ่มเจ็บแสบที่แขนและมือ จึงหงายฝ่ามือดูพบว่าแขนและมือมีรอยสีแดง ฉันคิดว่าอาจจะครูดกับต้นไม้ตอนที่รีบปีนต้นไม้ก็ได้ แต่ที่รู้สึกเจ็บมากหน่อย คือรอยแผลที่ถูกกิ่งไม้ ใบไม้ ข่วน บาด ที่แขนและขา ตรงรอบๆปากแผลมีอาการแดงมาก และเจ็บแสบ แผลคงจะอักเสบ

        ฉันรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ฉันนั่งถามตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่? ใครเป็นคนส่งฉันมา? แล้วส่งฉันมาที่นี่ทำไม? เพื่อ.....?! คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว แต่ก็ไม่มีคำตอบ ท้องฟ้าเริ่มสลัวลงเรื่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาอะไร เพราะฉันลืมใส่นาฬิกามาด้วยตอนออกจากบ้าน คืนนี้คงต้องนอนบนต้นไม้ ท้องก็หิวมากขึ้นทุกที ฉันจึงเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนเพื่อมองหาผลไม้ ตั้งแต่ที่ฉันปีนขึ้นมา ฉันก็มัวแต่ทะเลาะอยู่กับเสือดำที่อยู่ด้านล่าง จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าต้นไม้มีใบไม้สีแดงสด และมีผลไม้ที่รอบๆผลเปล่งประกายสีแดงคล้ายๆไฟกำลังลุกไหม้ผลไม้อยู่ ช่างแปลกประหลาดนัก ฉันจึงค่อยๆลุกขึ้นเพื่อจะปีนขึ้นให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่อเก็บผลไม้ไฟนั่น

          ในขณะที่กำลังค่อยๆลุกยืน ฉันได้ยินเสียงร้องของลิงมันร้องเสียงดังถี่ๆแบบตื่นเต้นตกใจ คล้ายๆส่งสัญญาณมาจากอีกฟากหนึ่งของป่าไม่ไกลนัก มีเสียงสัตว์อื่นที่ไม่รู้จัก และเสียงนกกระพือปีกบินแตกรังไปทั่วป่า จนฉันเองก็ตกใจ ฉันก้มลงไปมองปฏิกิริยาของเสือดำด้านล่าง เสือดำก็คงได้ยินเหมือนกัน เพราะมันหันไปมองทางที่มาของเสียงลิง แล้วเสือดำก็เงยหน้ามาจ้องฉันอีกครั้งเหมือนจ้องเหยื่อชิ้นใหญ่ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ป่าฟากนั้น แต่ตอนนี้ท้องของฉันหิวมาก จึงหันมาสนใจผลไม้ไฟที่อยู่ด้านบนเหนือศรีษะ

          ฉันค่อยๆปีน และขยับตัวเข้าไปใกล้ผลไม้ไฟแล้วเพ่งพินิจมองใกล้ๆ ผลมีสีแดงสด ขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายผลเชอร์รี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศ รอบๆผลมีแสงเปล่งประกายออกมาล้อมรอบลักษณะคล้ายไฟกำลังลุกไหม้ที่ผลไม้ แปลกประหลาดนัก นี่ใช่โลกจริงๆที่ฉันเคยอยู่หรือเปล่า หรือฉันตายไปแล้วกันแน่ ฉันคิดพร้อมทั้งลองเอานิ้วไปแตะๆดูที่ผิวผลไม้รู้สึกร้อนในระดับหนึ่ง แต่ก็สามารถสัมผัสได้ จึงเด็ดมา 1 ลูก ในใจคิดว่าถ้าโทรศัพท์ไม่เสียคงได้ถ่ายภาพไปอวดโชว์บนโซเชี่ยลมีเดียแน่ๆ

          ฉันตัดสินใจที่จะลองชิมเชอร์รี่ไฟ จึงค่อยๆกัดลงบนผลเชอร์รี่ไฟครึ่งหนึ่งก่อน ยังไม่กล้ากินทั้งผล เผื่อว่ารสชาติยอดแย่จะได้คายทิ้งได้ทัน ในทันทีที่ฉันกัดลงไปที่ผลเชอร์รี่ไฟยังไม่ทันได้เคี้ยว น้ำของผลเชอร์รี่ที่ออกมาตอนกัด พอสัมผัสถูกลิ้นแค่นั้น ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเหมือนถูกไฟเผา แสบร้อนจนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ฉันเริ่มทรงตัวไม่อยู่ และร่วงจากต้นไม้ตกลงสู่พื้นดินด้านล่างที่มีเสือดำสามขารออยู่ ในใจฉันพูดว่า "ฉิบหา_! แล้ว มันมีพิษ!"

          ร่างของฉันร่วงจากต้นไม้ลงสู่พื้นดิน นอนดิ้นทุรนทุรายเพราะพิษของเชอร์รี่ไฟ แค่ชั่วอึดใจฉันก็หมดเรี่ยวแรง ความรู้สึกหวิวๆเหมือนกำลังจะตาย ฉันเห็นเสือดำตัวนั้นเดินกระเผลกๆเข้ามาใกล้ๆ มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าของฉันแล้วแยกเขี้ยวใส่เหมือนเยาะเย้ย ฉันพยายามยกแขนขึ้นมาปัดป้อง แล้วฟาดมือลงไปที่หน้าของเสือดำ แต่เสือดำไม่หลบมือที่ฟาดลงไปเพราะแรงฟาดมีไม่พอที่จะทำให้เสือดำเจ็บ เสือดำอ้าปากจนเห็นเขี้ยวสีเงินยาว แหลมคม มันกัดเข้าที่แขนข้างขวาของฉัน ฉันเจ็บมากๆรู้สึกได้ถึงรอยเขี้ยวที่กัดจมลงที่เนื้อแขน อยากจะร้องออกมาดังๆแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะร้อง

          ขณะนั้นฉันเห็นเสือดำที่กำลังกัดแขนของฉัน มันรีบปล่อยปากออกจากแขนที่กัด แล้วร้องคำรามเสียงดังลั่นเหมือนเจ็บปวด จากนั้นมันก็ล้มลงข้างๆตัวฉัน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน แต่เสือดำก็ไม่ได้ลุกขึ้นมากัดฉันอีก

          ชั่วอึดใจที่สติของฉันยังไม่ดับวูบไป แต่ก็เริ่มเลือนลางขึ้นทุกที มีงูสีขาวตัวใหญ่เลี้อยมาที่ข้างๆตัวฉัน งูขาวมองจ้องหน้า และกัดเข้าที่ต้นขาของฉัน ฉันแค่รู้สึกถึงเขี้ยวที่ฝังลงบนต้นขาเท่านั้น เพราะฉันไม่รู้สึกเจ็บอะไรอีกแล้ว ฉันกำลังจะตาย นั่นเป็นความรู้สึกสุดท้ายที่ฉันมี.....แล้วสติก็ดับวูบไป


เพลงจีน  Shuang xue qian nian
囧菌 + 双笙霜雪千年
TouTube by : Pomie Pomko

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■





หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 4
(ค้นพบวิธีรักษา)

         ฉันลืมตาขึ้นมาแบบมึนงงนิดหน่อย ฉันตายแล้วใช่ไหม นั่นคือคำถามแรกที่ถามตัวเอง สิ่งแรกที่สายตามองเห็นคือฉันนอนอยู่ใต้ต้นไม้สีแดง ฉันค่อยๆลุกขึ้นนั่ง แล้วก็ต้องตกใจทันทีกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือมีงูสีขาวตัวใหญ่มากเท่าคน เกล็ดเป็นสีเงิน เงาวิบวับสดใส นอนนิ่งอยู่ข้างๆต้นขาด้านซ้าย ถัดมาก็เป็นแมงป่องสีแดงคล้ายสีเลือดตัวใหญ่มากเท่าคนเหมือนกัน ก้ามและหางมีขนาดใหญ่น่าเกรงขาม ผิวดูหนาคล้ายเกราะแข็งแรง นอนนิ่งอยู่ข้างๆแขนซ้าย ส่วนทางขวามือก็เป็นเสือดำขาเป๋โจทย์เก่าตัวนั้น แต่สัตว์ขนาดยักษ์ทั้งสามยังคงหายใจอยู่ อีกทั้งยังพบสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆที่เห็นก็มี งู ตะขาบ แมวป่า หนูตัวใหญ่ ที่นอนหงายตายอยู่รอบๆอีกด้วย เห็นแล้วน่ากลัวสุดๆบวกแขยงจนขนลุก

          งั้นนี่ก็แสดงว่าเรื่องทั้งหมดที่ฉันเจอที่นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้ฝันไปแน่นอน เพราะฉันยังจำความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมานแสบร้อน ตอนที่กินผลเชอร์รี่ไฟ และตอนที่ถูกงูกับเสือกัดได้ ฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปดูบนต้นไม้นั่นยังเห็นมีลูกเชอร์รี่ไฟอยู่บนต้นไม้อยู่หลายลูกอยู่เลย ฉันคิดว่าถ้าฉันไม่ตายอยู่ในนรก ก็ต้องอยู่ที่โลกใบไหนสักใบแน่ๆที่ไม่ใช่โลกเก่าที่เคยอยู่ เพราะโลกที่ฉันเคยอยู่ไม่เคยมีเรื่องประหลาด และสัตว์ขนาดยักษ์แบบนี้แน่นอน ปัญหาของฉันตอนนี้ก็คือจะหาวิธีกลับไปยังไงเท่านั้น เพราะอุโมงค์ตอนที่มาที่นี่มันหายไปแล้ว

          ฉันพยายามตั้งสติแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ฉันจำได้ว่าเสือดำขาเป๋ไล่ล่าฉันมาถึงที่นี่ ฉันกินเชอร์รี่ไฟแล้วตกต้นไม้ลงมานอนตรงนี้ จากนั้นเสือดำมากัดที่แขน แล้วจู่ๆงูขาวก็โผล่มาจากไหนไม่รู้มากัดที่ต้นขา แล้วฉันก็สลบไป แล้วแมงป่องสีแดง กับสัตว์ตัวเล็กอื่นๆนี่ล่ะมายังไง? อืมม... คงมาตอนที่ฉันนอนสลบอยู่แน่ๆ แล้วไหงพวกสัตว์ตัวเล็กๆมันตายกันหมดล่ะ งง แฮะ

          ฉันรีบสำรวจแขนขาตัวเองเพื่อดูร่องรอยที่ถูกกัด เห็นมีแต่รอยเลือดแต่ไม่มีรอยกัดใดๆ แม้กระทั่งรอยข่วน รอยบาดจากกิ่งใม้ ใบไม้ รวมทั้งแผลอักเสบที่แขน อาการปวดระบมที่เท้าก็หายไปหมด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันคือความ งง ที่อยู่ในความ งง ซ้อนกัน แล้วทำไมสัตว์ขนาดยักษ์พวกนี้ถึงมานอนกองรวมกันตรงนี้ล่ะ ความงงยังไม่ทันหาย ฉันก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนคนใกล้ตายดังขึ้น

          "ช่วยด้วย..."

          เสียงนั้นดังมาจากทางซ้ายมือใกล้ๆนี่เอง ใกล้มาก แต่เป็นเสียงของใครล่ะ ฉันพยายามมองหาที่มาของเสียงนั่น ฉันเห็นเจ้าแมงป่องแดงยักษ์เริ่มขยับตัว ด้วยสัญชาตญาณฉันรีบขยับโดดหนีทันทีเพราะความกลัว

          "ช่วยข้าด้วย..."
          "ใครน่ะ อยู่ตรงไหน ออกมาสิ!" ฉันรีบถามเพราะกลัวว่าจะเป็นผี
          "...ทางนี้..."

          เสียงนั้นดังมาจากแมงป่องแดงยักษ์ ฉันจึงพยายามเงี่ยหูฟังอีกครั้งให้แน่ใจ ว่าได้ยินจริงๆ

          อัญชลี  : ใครน่ะ แมงป่องพูดเหรอ?
 แมงป่องแดง  : ใช่...ช่วยข้าด้วย....

          แทบไม่เชื่อหู ไม่เชื่อสายตาตัวเอง แมงป่องยักษ์พูดได้ ฉันทำอะไรไม่ถูก สองจิตสองใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะวิ่ง แต่เขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ ฉันจะทำยังไงดี จึงตัดสินใจถามกลับไปว่า....

          อัญชลี  : จะให้ช่วยยังไง ช่วยอะไรล่ะ?
 แมงป่องแดง  : รักษา....ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว
          อัญชลี  : จะให้ไปหาหมอที่ไหนได้ล่ะ บอกมาสิ จะไปตามมาให้! (ฉันเร่งเร้าถามอย่างลุกลี้ลุกลน) อ้าวนอนนิ่งเลย อย่าเพิ่งตาย บอกมาสิให้ไปตามหมอที่ไหน แถวนี้มีคนอยู่ซะที่ไหนล่ะ ไม่เห็นมีบ้านคนสักหลัง (ฉันบ่นพึมพำ พร้อมทั้งหันซ้ายหันขวามองหาบ้านคน)

          แมงป่องแดงยักษ์นอนนิ่งไม่ขยับ หายใจรวยริน นอนเหยียดยาวดูไร้เรี่ยวแรง จากที่กลัวแมงป่องในตอนแรกกลับกลายเป็นสงสารจับใจ ฉันได้แต่คิดว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ที่ตัวของเขาก็ไม่มีบาดแผล แต่ทำไมเขาเหมือนแมงป่องเจ็บใกล้ตายแบบนี้ ฉันกล้าๆกลัวแต่ค่อยๆขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆตัวแมงป่อง เขาเองก็ไม่มีทีท่าจะทำร้ายฉัน ฉันจึงพูดกับเขาว่า....

          อัญชลี  : คุณแมงป่อง อย่าทำร้ายฉันนะ ฉันขอดูหน่อยว่าเจ็บตรงไหน เผื่อฉันจะทำอะไรเพื่อช่วยคุณได้บ้าง

          ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าฉันช่วยอะไรแมงป่องตัวนี้ไม่ได้ ฉันไม่ใช่สัตวแพทย์ อีกทั้งยังไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์ ฉันรู้แค่การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบบ งูๆ ปลาๆ ที่เคยเรียนในโรงเรียนเท่านั้น อีกทั้งที่นี่ก็ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย แม้กระทั่งยาสักเม็ดก็ไม่มี ที่ตัวฉันมีเพียงแค่โทรศัพท์ที่ใช้งานไม่ได้ 1 เครื่อง หูครอบฟังเพลง 1 อันที่กำลังคล้องอยู่ที่คอ และตลับที่ทาคิ้ว 1 ตลับ เท่านั้นที่ติดตัวฉันมา

          ฉันค่อยๆวางมือบนตัวของแมงป่องเพื่อให้เขารู้ว่าฉันไม่ได้ต้องการทำร้ายเขา เพียงแค่ต้องการดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหน และทันทีที่มือของฉันสังผัสลงไปที่ผิวของแมงป่อง ดวงตาของฉันก็มีอาการผิดปกติ ดวงตาทั้งสองข้างของฉันมันเริ่มสั่นๆเหมือนกำลังปรับจูนการมองเห็น เพียงแค่ 5 วินาที ฉันก็มองเห็นแสงรอบๆตัวเป็นสีฟ้าอ่อน และมองเห็นแสงประกายสีแดงเพลิงที่กำลังลุกไหม้ไหลเวียนอยู่ภายในตัวของแมงป่องแดงคล้ายเส้นเลือด ไม่สิ! เหมือนลาวาจากภูเขาไฟที่มีเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ และกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขามากกว่า

          ฉันรู้ได้ทันทีว่านั่นคือพิษร้ายแรงมากที่กำลังเล่นงานเขาอยู่ตอนนี้ รวมทั้งฉันด้วยที่มีพิษนั้นอยู่ในตัวเหมือนกัน ฉันก้มมองดูที่แขนของตัวเองด้วยความประหลาดใจ แต่ต้องรีบรักษาเขาก่อน ถ้าช้าไปกว่านี้เขาจะตาย ฉันเริ่มคิดว่าจะรักษาเขายังไง ด้วยวิธีอะไรที่รวดเร็วที่สุด พอคิดแค่นั้น วิธีการรักษาก็ปรากฎขึ้นเองในหัวของฉัน ช่างน่าแปลกใจเสียจริง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามานั่งค้นหาคำตอบว่าฉันทำได้ยังไง ฉันจึงพักความสงสัยเอาไว้แค่นั้นก่อน เพราะต้องรีบรักษาพิษให้คุณแมงป่องแดงก่อน การรักษามีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น แต่วิธีการมันออกจะพิศดารไปหน่อยแต่ก็ต้องทำ ฉันจึงก้มหน้าไปใกล้แมงป่องแดงยักษ์ แล้วถามขึ้นว่า...

          อัญชลี  : คุณแมงป่อง ฉันจะพยายามช่วยคุณนะ ตอนนี้ในตัวคุณมีพิษเพลิงลาวาคลั่งร้ายแรง แต่คุณต้องสัญญากับฉันก่อนว่า คุณจะไม่ทำร้ายฉัน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป OK มั้ย?
 แมงป่องแดง  : ข้าสัญญา.....(เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา)
          อัญชลี  : OK เราสัญญากันแล้วนะ งั้นจับมือ! (ฉันเอื้อมมือไปจับที่ก้ามอันใหญ่โตของแมงป่องแดง แล้วเขย่าเบาๆเป็นพิธีแบบจับมือเชคแฮนด์)

          ฉันถอดหูฟังที่คล้องคอออกวางที่พื้น แล้วรีบขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆหน้าของแมงป่องให้มากขึ้น แล้วบอกให้เขาอ้าปาก เขาค่อยๆอ้าปากแบบคนไร้เรี่ยวแรง ฉันเอาปลายนิ้วชี้ของตัวเองมาอมไว้ในปากเพื่อให้ปลายนิ้วติดน้ำลาย จากนั้นก็เอาปลายนิ้วชี้ที่ติดน้ำลายออกมาแล้วเอาใส่ในปากของแมงป่องอีกที เพื่อให้เขาดูดกลืนน้ำลายที่ติดนิ้วของฉัน ฉันมองดูที่ตัวของแมงป่องอีกครั้ง พิษเพลิงลาวานั้นยังไม่ดับ เพลิงลาวายังคงโหมกระหน่ำอยู่ ฉันพึมพำขึ้นว่า....

          "อืมม! ไม่ได้ผลแฮะ มันน้อยเกินไป! คุณแมงป่องเงยหน้าขึ้นเร็ว!"

          แมงป่องแดงยักษ์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นตามที่ฉันบอกอย่างไม่ขัดขืน ฉันเอามือประคองหน้าแมงป่องแดงยักษ์เอาไว้ แล้วฉันก็ก้มหน้าลงประกบริมฝีปากกับแมงป่อง ฉันสอดลิ้นเข้าไปในปากของแมงป่องแดงยักษ์เพื่อช่วยให้เขาได้ดูดกลืนน้ำลายจากฉันให้มากที่สุด แมงป่องแดงยักษ์ค่อยๆดูดกลืนน้ำลายในปากของฉัน ก้ามขนาดใหญ่ของเขาเริ่มมาโอบรอบตัวฉัน จนตัวของฉันเบียดเข้ากับเขามากขึ้น  สักพักเขาก็เริ่มดูดกลืนน้ำลายแรงขึ้นเพราะลิ้นที่ฉันคอยสอดใส่ในปากของเขาถูกดูดแรงขึ้นกว่าเดิม ฉันจึงค่อยๆผลักเขาออก แล้วมองดูพิษที่ตัวของเขา เปลวเพลิงลาวาที่โหมกระหน่ำในตัวเขาดับลงแล้ว แต่พิษเพลิงลาวายังคงอยู่ และไหลเวียนเอื่อยๆอยู่ในตัวของเขา เขารอดตายแล้ว

          อัญชลี  : เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง?
 แมงป่องแดง  : อื้มม...ขอบใจนะ

          แมงป่องแดงยักษ์มองหน้าฉันแล้วพยักหน้า น้ำเสียงของเขาดูมีเรี่ยวแรงขึ้น ฉันจึงบอกให้เขานอนอยู่นิ่งๆสักพัก เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุล หากเขารู้สึกดีขึ้น ฉันจะถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันอยากรู้ว่าเขาและสัตว์อื่นๆมานอนกองรวมกันที่นี่ได้ยังไง

          ทันไดนั้นฉันต้องสะดุ้งตกใจ เพราะมีอะไรบางอย่างมาพันเบาๆที่ข้อเท้าของฉัน จึงรีบก้มดูทันที เป็นหางของงูสีขาวตัวใหญ่ตัวนั้น ตอนแรกฉันคิดว่ามันคงจะขาดใจตายไปแล้วซะอีก มันเอาปลายหางมาพันหลวมๆที่ข้อเท้าของฉัน งูขาวยักษ์ไม่มีทีท่าจะฉกกัด ฉันจึงเอามือไปแตะที่ปลายหางของมันที่กำลังพันข้อเท้าฉันอยู่ แล้วเพ่งสายตาสีฟ้าเพื่อดูว่ามันได้รับพิษด้วยหรือไม่ เป็นไปตามที่คาดไว้ งูขาวได้รับพิษชนิดเดียวกันกับแมงป่อง คือ พิษเพลิงลาวา ฉันจึงขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆงูขาวยักษ์ตัวนั้น งูขาวยักษ์ เกล็ดสีเงิน ที่สวยงามจับตา กำลังหายใจรวยรินใกล้ตาย ถ้ามันไม่แข็งแรงจริงๆ มันควรจะตายไปนานแล้วพร้อมกับสัตว์ขนาดเล็กพวกนั้นที่นอนหงายท้องตายอยู่รอบๆ แม้ปกติแล้วฉันจะกลัวงู และไม่เคยสัมผัสงูมาก่อน แต่ครั้งนี้ฉันเอื้อมมือไปลูบหัวของงูขาวยักษ์เบาๆ เพื่อลดความหวาดกลัวระหว่างกัน

          อัญชลี  : พูดได้หรือเปล่า
          งูขาว    : (พยักหน้า)
          อัญชลี  : ฉันจะรักษาพิษให้คุณนะ แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำร้ายฉัน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป ตกลงมั้ย?
          งูขาว    : (พยักหน้า)
          อัญชลี  : พูดว่า สัญญาสิ! อย่าพยักหน้าอย่างเดียว! (ฉันทำเสียงดุ)
           งูขาว   : (งูขาวสะดุ้งแล้วพูดในใจว่า "ผู้ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์!") .....ข้าสัญญา....
          อัญชลี  : อืมม...งั้นจับมือกัน (ฉันเอื้อมมือไปจับที่ปลายหางของงูขาว เพื่อจับมือแล้วเขย่าเบาๆทำสัญญากัน)

          ฉันค่อยๆประคองหัวของงูขาวมาไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง งูขาวค่อยๆลืมตาขึ้นมอง และสบตากับฉัน ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที เหมือนฉันกำลังประคองกอดชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน ฉันคิดในใจว่าคงคิดมากไปเอง ฉันใช้มืออีกข้างหนึ่งประคองหน้าของงูขาวให้เชิดหน้าขึ้น แล้วบอกงูขาวให้อ้าปากนิดนึงเพื่อสะดวกในการป้อนยา จากนั้นฉันก็ทำการรักษาแบบเดียวกันกับที่รักษาให้แมงป่องแดง

          ฉันก้มหน้าลงไปใกล้หน้างูขาว แล้วประกบริมฝีปากกับเขา สอดลิ้นเข้าไปในปากงูขาวเริ่มดูดกลืนน้ำลายจากปากฉัน แล้วสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปากฉัน จนฉันตกใจ แต่ฉันก็ไม่ได้ถอนริมฝีปากออกมา ลิ้นของเขาที่ขยับไปมาอยู่ในปากฉัน ช่างคล้ายกับการจูบของผู้ชายที่สอดลิ้นเข้ามาในปากยังไงยังงั้น เราแลกลิ้นกันไปมา จากที่ฉันประคองเขาไว้ในอ้อมแขน ฉันเปลี่ยนมากอดเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว เริ่มรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนถูกมนต์สะกด เหมือนฉันกำลังกอดจูบกับชายหนุ่มผิวขาวคนนั้นอย่างเร่าร้อนและดูดดื่ม จนไม่อาจถอนริมฝีปากออกจากปากเขาได้ ปลายหางของงูขาวที่เคยพันอยู่ที่ข้อเท้าเริ่มเปลี่ยนมาพันหลวมๆรอบตัวฉัน แล้วก็เริ่มพันรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนถูกกอดรัดด้วยแขนที่แข็งแรง ความรู้สึกวาบหวิวซาบซ่านเริ่มปะทุ ฉันเริ่มควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ความต้องการรสสวาทมีมากขึ้น ฉันเห็นงูขาวกลายเป็นผู้ชายผิวขาวคนนั้น ริมฝีปากบาง ผมสีดำยาว หน้าตาหล่อเหลา สวยงาม เขาสบตากับฉัน แล้วประคองฉันนอนลงกับพื้น เขาขึ้นมานอนทับอยู่บนตัวฉัน มือข้างหนึ่งของเขาจับมือของฉันกดไว้กับพื้น เขาจูบฉันอีกครั้งเราสอดลิ้นกวัดแกว่งแลกกันไปมาในปากจนฉันอยากจะกินเขาเข้าไปทั้งตัวเสียเอง เขาเริ่มล้วงมืออีกข้างหนึ่งเข้ามาในเสื้อของฉันแล้วบีบ ขยำหน้าอกอย่างสนุกมือ เขาถอนริมฝีออก แล้วจูบไล่ลงมาที่ซอกคอ ฉันพยายามบอกตัวเองว่าให้หยุด ฉันต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ สุดท้ายฉันต้องแข็งใจใช้มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถูกเขาจับล็อค แล้วเอื้อมมือมาแตะที่หน้าของเขาที่กำลังจูบซุกไซ้ซอกคอฉันอยู่ ฉันใช้มือแตะที่ใบหน้าของเขาแล้วบอกให้เขาหยุด

          อัญชลี  : อย่า.....

          เขาหยุดแล้วเงยหน้ามาสบตากับฉันแบบใกล้ๆ ชายหนุ่มหล่อผิวขาวที่เห็นกลายเป็นงูขาวอีกครั้ง ฉันเห็นตัวเองนอนอยู่ที่พื้นโดยมีงูขาวพ้นรอบตัวของฉันอยู่ ฉันมองจ้องหน้างูขาวแล้วพยายามตั้งสติ งูขาวจะจูบอีกครั้ง ฉันจึงใช้มือทั้งสองข้างจับใบหน้าของเขาไว้ไม่ให้จูบ แล้วพูดว่า

          อัญชลี  : ร้ายนักนะ สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำร้าย แล้วนี่คิดจะกินกันงั้นเหรอ?
            งูขาว  : ไม่ได้คิดจะกิน แต่ข้าชอบวิธีการรักษาของเจ้า

          ฉันจึงพูดตัดบทแก้เขินที่เผลอทำเรื่องเร่าร้อนกับงูขาวยักษ์นั่น แต่ภายในใจยังคิดอยู่ว่านี่ฉันเมาพิษ หรือเรื่องจริงกันแน่ เกือบถูกงูกินแล้วไหมล่ะ ถ้าฉันไม่แข็งใจหยุด เขาคงจะรัดฉันให้ตายก่อน แล้วค่อยกินแน่ๆ งูขาวตัวนี้ร้ายกาจนัก

          อัญชลี  : ตอนนี้พิษเพลิงลาวาดับลงแล้ว แต่พิษยังอยู่ในตัวคุณ ต้องนอนพักนิ่งๆสักครู่นะ ให้ร่างกายปรับสมดุล แต่อย่าห่วง คุณไม่ตายแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเสือดำตรงนั้นก่อน ไม่รู้ตายหรือยัง (พร้อมชี้มือไปที่เสือดำที่ยังคงนอนนิ่งอยู่)

          งูขาวยักษ์ที่ยังคงรัดรอบตัวฉันเริ่มคลายรัดออก แล้วปล่อยให้ฉันลุกขึ้นไปดูเสือดำโจทย์เก่า ฉันรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆเสือดำที่ยังนอนนิ่ง เขายังไม่ตาย แต่อาการเริ่มร่อแร่ เสือดำพยายามลืมตาขึ้นมามองฉัน ฉันไม่แน่ใจว่าจะช่วยเขาดีมั้ย ฉันเพ่งมองเสือดำด้วยดวงตาสีฟ้าคล้ายการเอกซ์เรย์เพื่อดูว่าเขาเป็นอะไร ฉันพบพิษเพลิงลาวาคลั่งที่ไฟกำลังลุกโหมกระหน่ำไหลเวียนในร่างกายเขา กระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ และกระดูกขาหลังหัก ที่เขาซี่โครงและขาหลังหัก บางทีสาเหตุอาจมาจากฉัน ที่พุ่งชนเขาอย่างแรงจนตกเหว มิน่าล่ะเขาถึงไล่ล่าฉันแบบเอาเป็นเอาตาย นี่เขาบาดเจ็บขนาดนี้แต่ยังไม่ตาย แสดงว่าเขาต้องแข็งแรงสุดยอด ฉันจึงตัดสินใจถามเขาเหมือนที่เคยถามงูขาว และแมงป่องแดง

          อัญชลี  : เป๋ เอ๊ย! คุณเสือดำได้ยินที่ฉันพูดมั้ย? คุณพอจะพูดได้มั้ย?
          เสือดำ  : ...อืมม...
          อัญชลี  : คุณได้รับพิษร้ายแรง ถ้าไม่รีบรักษาคุณจะตาย ฉันจะรักษาให้ แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าคุณจะไม่ทำร้ายฉันอีก เรื่องทะเลาะกันระหว่างเราขอให้แล้วกันไป เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป คุณสัญญามั้ย?
          เสือดำ  : ...สัญญา... (เขาตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง)

          ฉันเอามือสองข้างแตะไปที่ใบหน้าของเสือดำ เพื่อให้อยู่ในลักษณะเงยหน้า แล้วบอกเสือดำให้อ้าปากนิดนึง แล้วบอกเขาอีกว่าให้เขาพยายามดูดกลืนยาเข้าไปมากๆจะได้หายเร็วๆ จากนั้นฉันก็ก้มหน้าลงไปหาเสือดำแล้วประกบริมฝีปากกับเขา ฉันสอดลิ้นเข้าไปในปากเสือดำ กวัดแกว่งลิ้นไปมาในปากของเขา เพื่อให้น้ำลายออกมามากๆ เสือดำทั้งเลียริมฝีปากและดูดลิ้นของฉันไม่หยุด มือสองข้างที่เคยกางกงเล็บเพื่อตะปบฉัน ตอนนี้กลายเป็นมือนิ่มๆที่ซ่อนกงเล็บไว้ แล้วอ้อมมาล็อคคอฉัน ดึงฉันเข้าหาเพื่อให้สามารถเลียริมฝีปากและดูดลิ้นกับฉันได้ถนัดๆ ทำให้ฉันเสียหลักล้มลงไปนอนทับบนตัวเสือดำ ซึ่งฉันเองก็เต็มใจ โอกาสดีๆที่จะได้กอดรัด ฟัดเหวี่ยงกับเสือดำแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ สำหรับฉันแล้วเขาเหมือนแมวดำตัวใหญ่ ทำให้ทาสแมวอย่างฉันอดใจไม่ได้ที่จะต้องกอด และเล่นเขา ฉันทั้งกอด ลูบ และขยำเขาอย่างหมั่นเขี้ยว เขาเลียริมฝีปากและดูดลิ้น ฉันก็เลียริมฝีปากและดูดลิ้นเขากลับ มือสองข้างของฉันลูบไล้ตามตัวเขาไปทั่ว ฉันซุกไซ้หน้าลงไปที่แก้ม หลังหู และซอกคอของเสือดำ ถูไถไปมาเพื่อให้เขาฝากกลิ่นไว้ที่ฉัน เผื่อเจอกันอีกคราวหน้าเขาอาจจะจำฉันได้ วิธีการแบบนี้ฉันรู้มาจากการเลี้ยงแมวที่บ้านมันจะมาถูไถเพื่อทำสัญลักษณ์ว่ามนุษย์คนนี้ฉันเป็นเจ้าของ

          แต่ความสนุกมักอยู่กับเราไม่นาน เขาเริ่มจะมีเรี่ยวแรงขึ้น จากที่ฉันนอนทับบนตัวของเขา เขากลับพลิกตัวขึ้นมาแล้วมาทับบนตัวของฉันแทน เสือดำตัวหนักมากแทบจะแบกรับเขาไม่ไหว เขาดูดลิ้นและริมฝีปากของฉันแรงขึ้น เร่งจังหวะการดูดเร็วขึ้น ฉันจึงพยายามถอนริมฝีปากออกจากเขา แล้วรีบบอกให้เขาพอ ฉันบอกเสือดำให้นอนลง เพราะฉันจะดูบริเวณกระดูกซี่โครงที่หัก กับกระดูกขาที่หักให้ว่าพอจะมีทางรักษาได้หรือไม่ จึงเพ่งสายตาเอ็กซ์เรย์ มองดูบริเวณซี่โครงที่หักอีกครั้งหนึ่ง แล้วฉันก็นึกถึงการรักษาที่เป็นไปได้ว่ามีอะไรบ้าง น่าแปลกประหลาดนัก ที่สามารถนึกการรักษาออก เหมือนได้เห็นภาพการรักษาอยู่ในหัว แถมยังเป็นวิธีที่ประหลาดอีกต่างหาก หรืออาจเป็นเพราะที่นี่คือสถานที่ประหลาด การรักษาจึงต้องแปลกประหลาดไปด้วย งั้นคำว่า ธรรมดาโลกไม่จำ จึงเป็นคำที่เหมาะสมกับที่นี่ที่สุดสินะ

          วิธีรักษาบอกไว้ว่า การรักษากระดูกที่หักให้หายโดยเร็วที่สุด โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดาม มันมีวิธี คือ การประสานกระดูก ต้องรวบรวมพลังแล้วส่งไปที่ฝ่ามือ แต่วิธีนี้จะส่งผลเสียต่อผู้ใช้พลังสูญเสียพลังงานส่วนหนึ่ง ภายหลังการรักษาผู้ใช้พลังต้องพักฟื้นเพื่อฟื้นฟูพลังตัวเอง การฟื้นฟูเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของผู้ใช้พลัง

          เห็นทีต้องลองทำดู แปลกกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ถ้าจะมีอะไรที่แปลกอีกก็ไม่เห็นจะเป็นไร ฉันจึงขยับตัวให้ถนัดๆ แล้ววางฝ่ามือประสานกันบนบริเวณที่ซี่โครงหัก จากนั้นก็รวบรวมความตั้งใจ แล้วคิดไว้ในหัวว่าจะประสานกระดูกที่หักต่อเข้าด้วยกันใหม่ จากนั้นก็พยายามส่งความคิดนี้ไปที่ฝ่ามือ

          "เพ่ง เพ่ง อื้ออออออ งื้อออออออ" (เสียงฉันที่พยายามเพ่งความคิด)

          ฝ่ามือเริ่มเกิดความร้อน จากนั้นกระดูกซี่โครงที่หักเริ่มประสานกันอย่างช้าๆ เมื่อกระดูกซี่โครงประสานกันเสร็จเรียบร้อย ฉันจึงขยับตัวหันไปทำการประสานกระดูกหักที่ขาหลังของเสือดำ จนกระทั่งกระดูกประสานกันจนเสร็จสมบูรณ์ ฉันรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียมากจากการประสานกระดูก ฉันสูญเสียพลังงานจริงๆ ฉันจึงบอกเสือดำให้พักนิ่งๆสักครู่เหมือนที่เคยบอกงูขาวและแมงป่องแดง ส่วนตัวฉันเองก็ต้องพักเช่นกัน ฉันจึงปล่อยให้เสือดำนอนพัก ส่วนฉันเองก็ขยับตัวไปนั่งพิงต้นไม้เพื่อพักฟื้น ขณะนั้นเองงูขาวก็ตื่นขึ้น เขาเลื้อยมาหาฉันข้างๆ แล้วบอกให้ฉันนอนพัก ตอนนี้ฟ้าใกล้มืด เขาจะอยู่ข้างๆฉัน จะรอจนกว่าฉันจะตื่น ฉันกล่าวขอบคุณงูขาวและนั่งหลับไปข้างๆเขา


หมายเหตุ

*ดวงตาปีศาจ เมื่อใช้ดวงตานี้จะมองเห็นบริเวณโดยรอบเป็นสีฟ้าอ่อน สามารถมองเห็นพิษ และอาการเจ็บป่วยในร่างกายของมนุษย์ สัตว์ และปีศาจได้

*ต้นอัคคีสวรรค์  เป็นต้นไม้พิษ มีพิษรุนแรงเหมือนถูกไฟเผา พิษแรงที่สุดอยู่ที่ผลไม้ มีเพียงนกอัคคีสวรรค์ที่กินผลไม้อัคคีนี้ มนุษย์ สัตว์ และปีศาจที่มีพลังเวทย์ต่ำ กินผลไม้นี้แล้วจะได้รับพิษจนตาย จึงไม่เป็นที่นิยมกินในหมู่สัตว์ และปีศาจในป่าอัคคี (ภายหลังเมื่อนกอัคคีสวรรค์ตาย ป่าอัคคีจึงถูกเรียกเป็นป่าปีศาจ เพราะทั้งป่ามีแต่พืช สัตว์ และปีศาจมีพิษ)

*พิษเพลิงลาวาคลั่ง  คือ พิษที่เกิดจากการกินผลอัคคี

*ผู้ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์  คือ ผู้ที่เป็นเจ้าของสัตว์เทพเท่านั้นสามารถออกคำสั่งกับสัตว์เทพได้ และสามารถใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์กับผู้อื่นได้ แต่แค่ทำให้ตกใจ หรือหยุดชะงักเพียงชั่วขณะเท่านั้น


เพลง Take me hand : Daishi Dance
 [ภาพยนต์] Memoirs of Geisha
YouTube by : user one


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 5
(เดินทางด้วยกัน)

          นกสีแดงกุหลาบยืนอยู่เบื้องหน้า กำลังกางปีกออกทั้งสองข้างมีไฟพวยพุ่งออกมาเจิดจ้า นกสีแดงกุหลาบหันมาแล้วพูดกับฉันว่า "ช่วยเหลือมนุษย์..." แล้วโผบินจากไป ฉันพยายามร้องเรียกสุดเสียง

          "เฮือก!" ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน แต่ยังคงงัวเงียอยู่นิดหน่อย ฉันพลิกตัวนอนตะแคงเพราะยังไม่อยากลุกขึ้น ใบหน้าของฉันสัมผัสเข้ากับหน้าท้องและแขนสัมผัสโดนสะโพกด้านข้างของใครสักคนหนึ่ง ฉันกำลังนอนหนุนตักใครสักคนอยู่

          "เอ๊ะ! ฉันนอนหนุนตักใครอยู่ล่ะนี่ มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยเรอะ?!" ฉันตกใจรีบลุกขึ้นเพื่อจะดูว่าเขาเป็นใคร

          "โอ๊ะ! นางฟ้า! เฮ้ยไม่ใช่! เขาคือผู้ชายผิวขาวคนนั้น ที่ฉันจูบกับเขาตอนเมาพิษ!" ฉันอึ้งจนอ้าปากค้าง เขาสวย เอ้ย!ไม่ใช่ เขาหล่อ เฮ้ย! สรุปว่าสวยหล่อผสมกัน จนไม่แน่ใจว่าเขาเป็นชาย หรือหญิง ผมสีดำยาวสลวยถูกมัดรวบไปด้านหลังเพียงครึ่งศรีษะ ดูแปลกตาแต่ก็ดูดีสุดๆผมสีดำช่วยขับให้ผิวขาวๆของเขาดูโดดเด่นมาก คิ้วเข้ม ตาคมยั่วยวน จมูกโด่งเล็ก ปากบาง สวยงามได้รูป เขาสวมใส่ชุดคอสเพลย์สไตล์โบราณสีขาว ถือพัดขนนกยูงสีเทาแซมฟ้า โอ้! นางฟ้าชัดๆ" ฉันคิด และมองเขาตาไม่กระพริบ

         "ตื่นแล้วเหรอสาวน้อย?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน แล้วเอามือข้างหนึ่งเอื้อมมาจัดระเบียบผมให้ฉันหลังจากตื่นนอน

          อัญชลี  : คุณคือ....? (ฉันถามเขาด้วยอาการ งง และตกใจ)
           เสวี๋ยฉี  : เจ้าจำข้าไม่ได้เหรอ จูบของข้าไม่ได้ทำให้เจ้าจดจำข้าได้เลยรึ?! งั้นข้าจะทบทวนความจำให้เจ้า (พูดจบเขาก็ยื่นหน้าเข้ามาเพื่อจูบฉัน)
          อัญชลี  : เดี๊ยววว คุยกันก่อนเซ่!

          ฉันใช้มือข้างหนึ่งจับตัวเขาไว้ มืออีกข้างหนึ่งปิดที่ปากของเขาเพื่อไม่ให้จูบ นี่เกิดอะไรขึ้นทำไมมีหนุ่มหล่อ มว้ากกก ใส่ชุดคอสเพลย์มานั่งอยู่ตรงนี้ ฉันเอามือที่กำลังปิดปากเขาออก แล้วถามเขาว่า...

          อัญชลี  : คุณคือ... คุณงูขาว???
          เสวี๋ยฉี  : ถูกต้อง มา ข้าจะให้รางวัลเจ้า (เขาจะจูบอีกครั้ง)
          อัญชลี  : อย่าเพิ่ง! รางวัลเอาเก็บไว้ก่อนนะ ไว้ค่อยให้ทีหลัง ตอนนี้คุยกันก่อนได้มั้ย?
         เสวี๋ยฉี   : ได้
          อัญชลี  : ทำไมตอนนี้คุณไม่ได้เป็นงู แล้วแมงป่องแดง กับเสือดำหายไปไหน?
         เสวี๋ยฉี   : นี่คือร่างมนุษย์ของข้า ส่วนเจ้าแมงป่องตื่นแล้วกำลังไปหาน้ำดื่มมาให้เจ้า เสือดำพอตื่นขึ้นก็จากไป และฝากให้ข้าบอกขอบใจเจ้าด้วย

          งูหยกหิมะขาวพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชายแต่อ่อนหวาน กิริยาดูตุ้งติ้งนิดหน่อยคล้ายหญิง ใบหน้าสวย น่าส่งไปประกวดนางงาม ดูแล้วแปลกๆตา แต่ยังคงความงดงามจับใจ ใบหน้าเขาช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหล จนไม่อาจละสายตาจากเขาได้ ฉันเผลอคิดถึงตอนที่จูบกับเขาอย่างเร่าร้อนทั้งรู้สึกเขินมาก ทั้งตะขิดตะขวงใจ จนทำตัวไม่ถูก แล้วฉันก็ถามเขาอีกว่า

          อัญชลี  : แล้วทำไมตอนนั้นเป็นงู ตอนนี้เป็นคน ทำไมไม่เป็นคนตั้งแต่ทีแรกล่ะ?
          เสวี๋ยฉี  : ร่างงูหยกหิมะขาวเป็นอีกร่างหนึ่งของข้า อยู่ในป่านี้ใช้ร่างงูจะเคลื่อนไหวสะดวกกว่า อีกอย่างในป่าแห่งนี้ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ข้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ร่างมนุษย์ แต่ตอนนี้ข้าพบเจ้าที่เป็นมนุษย์ข้าจึงใช้ร่างมนุษย์พูดคุยกับเจ้าเพื่อความสะดวก แต่ถ้าเจ้าชอบร่างงูของข้า ข้ากลับเป็นร่างงูให้ก็ได้นะ (เขายิ้มพร้อมขยับตัวจะเปลี่ยนเป็นงู)
          อัญชลี  : อ๊ะ! ไม่ ไม่ นี่แหละ แบบนี้แหละสะดวกดีแล้ว ดีต่อตา ดีต่อใจสุดๆไปเลย แล้วชุดนี่....? (ฉันมองที่ชุดคอสเพลย์ของเขา แล้วเอามือจับผ้าบริเวณปลายแขนเสื้อขึ้นดู)
         เสวี๋ยฉี   : เจ้าชอบเหรอ?
          อัญชลี  : อื้ม ชุดสวย คุณก็สวยมากๆ
         เสวี๋ยฉี   : เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าเป็นชาย เจ้าต้องพูดว่าข้าหล่อจึงจะถูก ถ้าเจ้าชอบชุดของข้า ที่บ้านข้ายังมีอีกเยอะ เจ้าไปพักที่บ้านข้าเถอะนะ ดูสิเนื้อตัวเจ้ามอมแมม ชุดก็ขาดแล้ว ไปพักที่บ้านของข้า เจ้าจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ดีมั้ย? ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวมันอันตรายมากนะ ไปกับข้าเถอะ
          อัญชลี  : ขอคิดแป๊บนึงได้มั้ย?
         เสวี๋ยฉี   : ข้าไม่หลอกเจ้าไปฆ่าหรอกน่า ถ้าข้าคิดจะฆ่าเจ้าล่ะก็ ข้าฆ่าเจ้าตอนที่นอนหลับก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้านอนหนุนตักแล้วรอเจ้าตื่นให้เสียเวลาหรอก!
          อัญชลี  : อืม...นั่นสินะ
          เสวี๋ยฉี   : ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก และข้าก็จะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าด้วย ข้าสัญญา (เขาคะยั้นคะยอ)
          อัญชลี  : งั้นก็ได้
         เสวี๋ยฉี   : ข้า....ไป๋เสวี๋ยฉี แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร?
          อัญชลี  : ฉันชื่อ อัญชลี
          เสวี๋ยฉี  : อัน-จี้-ลี่?
          อัญชลี  : ไม่ใช่ อันจี้ลี่ (ชี้นิ้วที่ตัวเอง) อัญ-ชะ-ลี
          เสวี๋ยฉี  : ช่างเถอะ! ชื่อเจ้าออกเสียงพิลึก งั้นข้าเรียกเจ้า อันฉี ก็แล้วกันชื่อนี้เหมาะกับเจ้า
          อัญชลี  : อันฉี หมายถึงอะไร?
          เสวี๋ยฉี  : อันฉี หมายถึง สงบ มีความสุข มีความปลอดภัย
          อัญชลี  : ว้าว!!! ดีจัง ฉันชอบชื่อนี้ ขอบคุณมากนะคะ ฉันชื่อ อันฉี ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

          ฉันหันไปแนะนำตัวกับเขาแกมหยอกล้อ ไม่นานนัก มีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใส่ชุดคอสเพลย์โบราณสีฟ้าคราม ถืออะไรสักอย่างในมือ กำลังเดินมาที่ใต้ต้นไม้ที่ฉันกับงูหยกหิมะขาว เสวี๋ยฉี นั่งอยู่ คงเพราะต้นไม้นี้มีผลที่เป็นลูกไฟจึงทำให้บริเวณนี้สว่างคล้ายจุดคบไฟ ทำให้มองเห็นใบหน้าชายหนุ่มคนนั้นชัดเจน เขาหล่อคมเข้ม คิ้วเข้ม ตาคม แววตาลึกซึ้ง มีเสน่ห์ หล่อไม่แพ้งูขาว เพียงแต่หล่อกันคนละสไตล์ หนุ่มหล่อคมเข้มคนนั้น รีบนั่งลงข้างๆฉัน แล้วยื่นน้ำที่ถูกรองด้วยใบไม้ให้ฉัน

     ซิ่นหลิง  : ดีจังที่เจ้าตื่นแล้ว ข้ายังห่วงอยู่เลยกลัวว่าเจ้าจะป่วย ดื่มน้ำสิ ข้าไปเอาน้ำมาให้เจ้า
          อันฉี  : เขาคือ....? (ฉันหันไปถามเสวี๋ยฉี งูหยกหิมะขาวที่นั่งอยู่ข้างๆ)
       เสวี๋ยฉี  : นี่คือ เจ้าแมงป่อง
      ซิ่นหลิง  : ใช่! ข้าเอง
          อันฉี  : ว้าว!!! ทำไมหล่อจังเลย ไม่อยากจะเชื่อ คุณแมงป่องมีร่างมนุษย์ที่หล่อมาก เป็นดาราได้เลยนะเนี่ย
      ซิ่นหลิง  : อ่ะ นี่ของๆเจ้า ข้า เซียซิ่นหลิง เจ้าล่ะ? (เขายิ้มแล้วส่งหูฟังเพลงคืนให้)
          อันฉี  : ฉันชื่อ อันฉี
      ซิ่นหลิง  : เจ้าเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือยัง
          อันฉี  : ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ตอนนี้หิวข้าวมากเลย
       เสวี๋ยฉี  : เอาล่ะ เอาล่ะ งั้นเราไปกันเถอะ

          เสวี๋ยฉี งูหยกหิมะขาว จับแขนฉันแล้วพยุงให้ฉันลุกขึ้นเพื่อเดินทางไปพักที่บ้านของเขา แต่แมงป่องแดง ซิ่นหลิง ดึงแขนฉันไว้แล้วถามว่า....

      ซิ่นหลิง  : พวกเจ้าจะไปที่ไหนกัน?
       เสวี่ยฉี  : ไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า หลีกไป!
          อันฉี  : อ๋อ! คุณเสวี๋ยฉี ชวนฉันไปพักที่บ้านของเขาน่ะ
      ซิ่นหลิง  : งั้นข้าจะไปด้วย
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ได้ ข้าไม่ต้อนรับเจ้า
      ซิ่นหลิง  : อันฉี เจ้าอย่าไปเชื่อใจเจ้างูนี่นะ มันจะกินเจ้า เชื่อข้าเถอะ
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าต่างหาก! ที่ไม่น่าไว้ใจ
          อันฉี  : เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งทะลาะกัน ขอร้องล่ะ
      ซิ่นหลิง  : ถ้าเจ้าบริสุทธิ์ใจจริงๆก็ให้ข้าไปด้วยสิ หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะไปขัดขวางแผนการของเจ้า ห๊ะ (เขาหันไปพูดกับ เสวี๋ยฉี)
       เสวี๋ยฉี  : เจ้านี่คิดจะหาเรื่องข้าเรอะ ข้าจะฆ่าเจ้า
          อันฉี  : คุณ เสวี๋ยฉี ใจเย๊นนน

          ฉันรีบเข้าขวางแล้วกอด เสวี๋ยฉี งูหยกหิมะขาว ไว้แน่นไม่ให้เข้าทำร้าย ซิ่นหลิง แมงป่องแดง ที่ทำท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ แล้วฉันก็หันไปดุ ซิ่นหลิง ให้หยุดทะเลาะ ในที่สุดทั้งคู่จึงหยุด ส่วนฉันเองก็เริ่มไม่มั่นใจในเขาทั้งสองคน ฉันจึงพูดขึ้นว่า....

          อันฉี  : เอางี้แล้วกันเพื่อตัดปัญหา คุณทั้งสองคนแยกย้ายกันกลับบ้านไปเถอะ บ้านใครบ้านมัน เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ พรุ่งนี้เช้าฉันค่อยหาวิธีกลับบ้าน

          ฉันบอกพวกเขาไปแบบนั้นเพื่อตัดปัญหา แต่ความจริงก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อยหากต้องอยู่ที่นี่คนเดียวในสถานที่แปลกประหลาดและน่ากลัวแบบนี้

          เสวี๋ยฉี  : สาวนัอย เจ้าไปกับข้าเถอะนะ อยู่ที่นี่คนเดียวมันอันตรายจะตายไป เชื่อข้าเถอะ ข้าไม่ได้คิดทำร้ายเจ้าจริงๆ

         ซิ่นหลิง แมงป่องแดงเดินเข้ามาใกล้ๆฉันแล้วพูดว่า มีเรื่องจะคุยด้วย แล้วเขาก็ดึงแขนฉันให้แยกไปคุยเบาๆแต่ก็ไม่ห่างจากที่ เสวี๋ยฉี ยืนอยู่มากนัก

         ซิ่นหลิง  : ถ้าเจ้าจะอยู่ที่นี่คนเดียว งั้นเจ้าก็ไปกับเจ้างูนั่นดีกว่า เจ้างูนั่นไม่ทำร้ายเจ้าหรอก
         อันฉี  : อ้าว? ไหนเมื่อกี้บอกว่าอย่าไว้ใจเค้ายังไงล่ะ ทำไมตอนนี้ถึงบอกให้ไปด้วยได้
           ซิ่นหลิง  : ข้ายั่วโมโหเจ้างูนั่นเล่น ความจริงข้าก็อยากให้เจ้าไปพักกับข้า แต่ข้าเป็นนักพเนจร ท่องเที่ยวไปเรื่อยจึงไม่มีบ้าน ถ้าข้าหาที่พักเหมาะๆได้ ข้าจะไปรับเจ้ามาพักกับข้านะ แต่เดี๋ยวข้าจะเดินทางไปส่งเจ้าด้วย เผื่อว่าเจ้าไม่ชอบบ้านเจ้างู ข้าจะได้รับเจ้ากลับ ดีมั้ย?
          อันฉี  : เอางั้นก็ได้ คราวหน้าส่งซิกซ์ก่อนนะจะได้รู้
     ซิ่นหลิง  : ส่งซิกซ์คืออะไร???
          อันฉี  : อ๋อ เอ่อ...หมายถึง ส่งสัญญาณ หรือขยิบตาบอกก่อนน่ะ

          ฉันเดินกลับไปหา เสวี๋ยฉี แล้วบอกเขาว่าจะไปกับเขา แต่ขอให้ ซิ่นหลิง ตามไปส่งด้วย เสวี๋ยฉีจึงยอมตกลง เราสามคนจึงเริ่มเดินทางขึ้นไปทางเหนือของป่าด้วยกัน

          อันฉี  : คุณ เสวี๋ยฉี คะ เอ่อ...ที่บ้านมีข้าวให้กินมั้ย คือตอนนี้หิวมากเลย
       เสวี๋ยฉี  : ข้าลืมไปเลย ตอนนี้ที่บ้านข้าไม่มีอาหารสำหรับมนุษย์ เอางี้...ข้างหน้ามีลำธารอยู่ไม่ไกล เดินไปอีกหน่อยก็ถึงลำธารแล้ว เราไปจับปลาที่ลำธารย่างกินกันก่อน แล้วค่อยเดินทางไปบ้านข้า เจ้าว่าดีมั้ย? เจ้าชอบกินปลาหรือเปล่าสาวน้อย? (เขาเอานิ้วมาจิ้มที่ปลายจมูกของฉันอย่างเอ็นดู)
          อันฉี  : ชอบสิ เรารีบไปกันเหอะ หิวจะตายอยู่แล้ว

          ฉันแอบยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจว่า ถูกต้องแล้วที่ฉันถูกส่งมาที่นี่ ตอนนี้ฉันมีสองหนุ่มหล่อ เดินอยู่เคียงข้าง แถม เสวี๋ยฉี ยังเป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติเรียกคนแก่อย่างฉันว่าสาวน้อย เขาช่างปากหวานจริงๆ ฉันคงต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตใหม่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะหาวิธีกลับบ้านได้ เราเดินห่างจากต้นไม้สีแดงเพลิงที่มีแสงส่องสว่าง เข้าสู่ป่าที่มืดไร้แสงสว่างจากต้นไม้สีแดงเพลิง เสวี๋ยฉี บอกว่าในป่าทึบจะมืดมากมีเพียงแสงสลัวๆจากต้นไม้พิษที่เรืองแสงออกมา ทำให้เดินลำบากสักหน่อย แค่เดินผ่านป่าทึบนี้ออกไปก็เจอลำธารแล้ว มันเป็นลำธารสายเดียวกันกับลำธารที่ฉันวิ่งผ่านมาจากป่าอีกด้านหนึ่ง แต่นี่เป็นลำธารที่แยกสายออกมาอีกทางหนึ่ง ทำให้ฉันนึกถึงผีเด็กสาวน่ารักคนนั้น หวังว่าเธอจะไม่ตามมาหลอกฉันถึงลำธารนี้นะ

          ซิ่นหลิง เดินนำหน้าเพื่อคอยนำทาง และคอยหักกิ่งไม้เล็กๆที่ขวางทางเพื่อช่วยให้คนเดินตามหลังเดินสะดวกขึ้น ส่วน เสวี๋ยฉี เดินอยู่ข้างๆฉัน เขาขยับเข้ามาจับมือแล้วพูดว่า...

          เสวี๋ยฉี  : จับมือข้าไว้ดีกว่า จะได้ช่วยให้เจ้าเดินถนัดมากขึ้น ดูเหมือนรองเท้ารูปทรงประหลาดของเจ้าจะไม่เหมาะกับการเดินในป่า
          อันฉี  : ใช่ มันไม่เหมาะจริงๆนั่นแหละ ขอบคุณค่ะ ต้องรบกวนแล้ว

          มือของเขานุ่มนิ่มเกินกว่าจะเป็นมือผู้ชาย ฉันหันไปมองหน้าเขานิดหนึ่ง ใบหน้าเขาช่างสวยงามเกินกว่าจะเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ แถมกิริยาท่าทางก็ค่อนไปทางหญิงอีกตะหาก นี่ถ้าบอกว่าเป็นผู้หญิงเนี่ยเชื่อเลยจริงๆ แต่ว่า...ตอนจูบกับเขาตอนนั้น เขาก็ออกจะเร่าร้อนเหมือนผู้ชายน๊า จะลองจูบกับเขาอีกครั้งถ้ามีโอกาสจะดีมั้ยน๊า... ฮึ่ยย! ฮ่าฮ่าฮ่า คิดรัยวะเนี่ยเรา ฉันแอบหัวเราะในใจ แต่มาคิดอีกทีบุคลิกของเขาเป็นแบบก็ดีเหมือนกัน เหมือนได้เพื่อนสาว ทำให้รู้สึกสนิทใจขึ้นมานึดนึงเวลาพูดคุยกันหรืออยู่ด้วยกัน

          เสวี๋ยฉี  : แอบยิ้มอะไร? (เขามากระซิบเบาๆข้างหูจนริมฝีปากสัมผัสถูกใบหู)
             อันฉี  : อ๋อ! เอ่อ... ไม่มีรั๊ย... ป่านี้สวยดี กำลังชื่นชมต้นไม้ สวย (ฉันขนลุกขึ้นมาทันทีเพราะริมฝีปากของเขา)
          ซิ่นหลิง  : อันฉี เจ้ามาทำอะไรที่ป่านี้? ข้าเห็นเจ้าตกลงมาจากท้องฟ้า เจ้ามาจากสวรรค์งั้นเหรอ? (เขาถามพร้อมคอยจับกิ่งไม้ตามข้างไม่ให้ยื่นออกมาขวาง)
          อันฉี  : เปล่า ไม่ได้มาจากสวรรค์หรอก ฉันมาจากบ้าน เอ่อ...พูดงัยดีง่ะ เป็นบ้านที่อยู่ไกล ไม่เหมือนกับที่นี่หรอก บ้านเมืองและป่าแตกต่างจากที่นี่มาก ฉันตกลงมาทับคุณเสือดำ จนเขาขาหัก และซี่โครงหักเขาไล่ล่าฉันไปจนถึงต้นไม้สีแดง จากนั้นฉันก็กินผลไม้ไฟสีแดงนั่นเพราะหิว แล้วก็...ได้รับพิษจนตกต้นไม้ลงมา ส่วนเรื่องมาทำอะไรที่นี่ อืมม...ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะมาผจญภัย หรือพเนจร ท่องเที่ยวแบบคุณ ซิ่นหลิง ก็ได้ ยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรดี ตอนนี้ยังนึกอะไรไม่ออก แหะ แหะ

          ฉันไม่อยากเล่าอะไรมากเรื่องโลกที่ฉันจากมา เพราะบอกไปพวกเขาก็ไม่เข้าใจอาจต้องเสียเวลาอธิบายกันยืดยาวเข้าไปอีก ถ้าบอกไปแล้วพวกเขาไม่เชื่อก็จะกลายเป็นว่าฉันโกหกสร้างเรื่องมโนขึ้นมาเอง สู้ฉันพยายามเรียนรู้การใช้ชีวิตที่โลกนี้ โลกที่ตาฉันกำลังมองเห็น น่าจะดีกว่าพยายามไปอธิบายถึงโลกที่พวกเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก แบบนั้นน่าจะยากมากกว่า ฉันคิด ฉันจึงตัดบทถามเขาถึงเรื่องที่เขาไปทำอะไรที่ใต้ต้นไม้สีแดง

          อันฉี  : แล้วคุณ ซิ่นหลิง ไปทำอะไรที่ใต้ต้นไม้สีแดงคะ? แล้วได้รับพิษเพลิงลาวาคลั่งได้ยังไง อ้อ...คุณ เสวี๋ยฉี ด้วยอีกคน
         ซิ่นหลิง  : ข้ามาจากป่าทางตะวันตก มาเที่ยวเล่นที่ป่าแถวนี้ และได้ยินมาว่าเสือดำทางตอนใต้มาอาศัยอยู่แถวนี้ด้วย ข้าเลยมาตามหาเสือดำเพื่อประลองฝีมือ แล้วข้าก็ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกมาจากท้องฟ้า เห็นเจ้าตกลงมา ข้าตามรอยเจ้าไปถึงต้นอัคคีสวรรค์ เจอพวกเจ้านอนเจ็บกันอยู่ใต้ต้นไม้นั่น ข้าเห็นเจ้างู กับเจ้าเสือบาดเจ็บสาหัสเพราะกัดเจ้า ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรผู้มีพลังเวทย์สูงสองตน จึงบาดเจ็บสาหัสเพียงเพราะกัดมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ข้าจึงลองกัดเจ้าดู ข้าก็ได้รับพิษอย่างที่เห็น
          อันฉี  : แทนที่จะช่วย ทำไมกัดซ้ำล่ะคะ?
     ซิ่นหลิง  : ถ้าช่วยตอนนั้น ข้าก็จะพลาดอะไรดีๆไปน่ะสิ
          อันฉี  : แล้วจะพลาดเรื่องอะไรคะ?
       ซิ่นหลิง : จะพลาดได้ลิ้มรสพิษที่ร้ายแรงที่สุดที่ข้าเคยเจอมา และจะพลาดได้ลิ้มรสยาถอนพิษที่รสชาติดีที่สุดที่ข้าเคยกินมาน่ะสิ เพราะฉะนั้นข้ากัดเจ้าน่ะถูกต้องแล้ว
          อันฉี  : อ่อ..เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ต่อไปอย่ากัดฉันอีกนะคะ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย
         ซิ่นหลิง  : ข้าไม่กัดเจ้าอีกแล้วล่ะ วางใจได้

          ซิ่นหลิงพูดเหมือนความตายเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่ขอเอาความสะใจไว้ก่อน ฟังดูเขาช่างเหมือนเด็กอยากรู้ อยากทดลองจริงๆ น่ากลัวแท้

          อันฉี  : แล้วคุณ เสวี๋ยฉี ล่ะ บอกหน่อยสิคะ (ฉันบีบมือเขา)
       เสวี๋ยฉี  : ข้าไปที่นั่นเพื่อฆ่าเจ้า
          อันฉี  : อ้าว!!! ไหงงั้นล่ะคะ ตั้งใจไปฆ่าเลยเหรอ ทำไมล่ะ?!

          ฉันถาม เสวี๋ยฉี งูหยกหิมะขาว ด้วยความตกใจที่ได้ยินเขาบอกว่าตั้งใจไปฆ่าฉัน ฉันคลายมือที่จับมือกับเขาออก เพราะกลัวจนไม่กล้าอยู่ใกล้เขา แต่ เสวี๋ยฉี กลับจับมือฉันไม่ยอมปล่อย เขาเปลี่ยนจากที่จับมือแบบธรรมดามาเป็นจับแบบสอดประสานนิ้วเข้าด้วยกันให้แน่นขึ้น แล้วดึงฉันเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม แล้วพูดว่า...

       เสวี๋ยฉี  : ช่างเถอะ ช่างเถอะ ข้าจำคนผิดน่ะ ข้าขอโทษเจ้าก็แล้วกัน แต่อย่ากลัวไปเลย ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกแล้วนะ (เขาหันมายิ้ม เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น)
         อันฉี  : งั้นช่วยบอกหน่อยได้มั้ยคะ จะไปฆ่าใครที่นั่น?
      เสวี๋ยฉี  : ไปฆ่านก
         อันฉี  : ไปฆ่านก! แต่คุณกัดฉันเนี่ยนะ สายตาคุณมีปัญหาหรือไงห๊า?
      เสวี๋ยฉี  : เอาน่า เอาน่า งั้นคืนนี้ข้าให้เจ้ากัดข้าคืนก็แล้วกัน ใกล้ถึงลำธารแล้วเจ้ากินปลาให้เยอะๆจะได้มีแรงกัดข้า
          อันฉี  : ไม่ล่ะ แต่อย่าจำผิดอีกนะ ดูไว้ฉันไม่ใช่นก ฉันไม่มีปีก!
       เสวี่ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า อ๊ะ! นั้นไงลำธาร เรามาถึงแล้ว

          เสวี๋ยฉี ใช้พัดชี้ไปที่ลำธารที่อยู่ข้างหน้า เขาจูงมือฉันให้รีบเดิน เขาบอกว่าในลำธารมีทั้งปลามีพิษและไม่มีมีพิษ ปลาที่ไม่มีพิษคือปลาที่มีลำตัวสีขาว เขียว และสีฟ้า สามารถกินได้ ส่วนปลาที่มีลำตัวสีส้ม สีม่วง สีแดง เป็นปลามีพิษห้ามจับมากิน

          เราเดินมานั่งกันที่ใกล้ๆลำธาร ซิ่นหลิง อาสาไปจับปลา ส่วน เสวี๋ยฉี ไปหาฟืนมาก่อไฟย่างปลา ส่วนฉันให้นั่งรอเฉยๆรอกินปลาก็พอ ฉันเดินไปดู ซิ่นหลิง จับปลาแต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ลำธารมากนัก เพราะไม่กล้ามองเงาสะท้อนในน้ำ จึงยืนมอง ซิ่นหลิง อยู่ห่างๆ เขาจับปลาได้สองตัว จึงเอาปลามาฝากให้ฉันถือรอไว้บนฝั่ง แล้วเขาก็กลับไปที่ลำธารเพื่อจับปลาอีกครั้ง ฉันมองหา เสวี๋ยฉี เดินถือกิ่งไม้กลับมาแล้วเริ่มก่อฟืน ฉันจึงเดินถือปลาเอาไปวางไว้ข้างๆเสวี๋ยฉี ปล่อยให้เขาจัดการเพราะฉันไม่รู้วิธีการดำรงชีวิตในป่า และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาจับปลาย่างกินข้างๆลำธาร ฉันรู้สึกสนุก และตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ทำแบบนี้ ฉันเดินกลับมารับปลาที่ ซิ่นหลิง จับได้อีกสามตัว ซิ่นหลิง บอกให้ฉันนำปลากลับมาให้ เสวี๋ยฉี เดี๋ยวเขาจะขึ้นจากลำธารแล้วตามไป เสวี๋ยฉี กำลังย่างปลา กลิ่นปลาย่างหอมมาก จนฉันอดทนรอปลาสุกแทบไม่ไหว พอปลาสุกได้ที่ เสวี๋ยฉี ก็ส่งปลาให้ฉันก่อน ฉันจึงไม่เกรงใจรับปลามากินอย่างเอร็ดอร่อย

          เผอิญฉันนึกถึงเสือดำขึ้นมา จึงถาม ซิ่นหลิง ว่าเสือดำตัวนั้นมีร่างมนุษย์แบบเขาสองคนมั้ย ซิ่นหลิง ตอบว่ามีแน่นอน เสือดำมีพลังเวทย์สูงต้องมีร่างมนุษย์อยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเสือดำจะใช้ร่างมนุษย์นั่นหรือไม่ ฉันจึงพูดต่ออีกว่า น่าเสียดายที่เสือดำไม่ได้มากินปลาย่างด้วย เสือดำน่าจะชอบกินปลา เพราะเสือเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับแมว เสวี๋ยฉี จึงพูดแทรกขึ้นว่า "เดี๋ยวเจ้าแมวนั่นก็กลับมา"

          ฉันไม่ค่อยเข้าใจที่ เสวี๋ยฉี พูดสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ไปเซ้าซี้ซักถามเขาอีก เพราะตอนนี้ฉันกินปลาจนอิ่มแล้ว อากาศตอนกลางคืนเริ่มเย็น ฉันเองก็เริ่มง่วงเพราะวันนี้วิ่งป่าราบมาทั้งวัน ใช้พลังงานมากเกินไปจนเริ่มเพลีย อีกทั้งเริ่มดึกแล้วด้วย เราจึงตกลงจะรีบเดินทางกันต่อ แต่ เสวี๋ยฉี บอกว่าจากตรงนี้ไปถึงบ้านระยะทางอีกไกลพอสมควร หากเดินเท้าอีกนานกว่าจะถึง ควรเดินทางด้วยพาหนะจะดีกว่า ซิ่นหลิง เองก็เห็นด้วย ฉันมองหาม้า รถ หรือพาหนะอะไรที่สามารถใช้เดินทางได้ แต่ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง ในป่ามืดขนาดนี้จะไปหาพาหนะได้ที่ไหนกัน

          จากนั้น เสวี๋ยฉี จึงเรียกพาหนะออกมา เป็นกระบี่เล่มยาวบินมาจากฟ้า กระบี่บินหยกขาว ตัวกระบี่มีสีขาวนวลแต่เปล่งแสงประกาย ที่ด้ามจับมีงูสีขาวประกายเงินพันล้อมรอบด้ามจับ เขาบอกให้ฉันไปกับเขา ส่วน ซิ่นหลิง เอื้อมมือไปที่ด้านหลังของตัวเอง แล้วหยิบเอาทวนด้ามยาวออกมา ทวนโลหิตวารี ด้ามทวนเป็นสีดำ ปลายด้ามจับด้านหนึ่งเป็นเขี้ยวยื่นออกมาส่วนที่ปลายล่างสุดแหลมคมคล้ายปลายดาบ ส่วนปลายทวนอีกด้านหนึ่งที่ใช้สำหรับโจมตี ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง โอ๊ะ! มันคือจิตวิญญาณ มันคือมนุษยชาติระดับแรร์ไอเทมเลยทีเดียว ปลายทวนเป็นใบมีดยาวสีแดงแหลมคมสีแดงสดคล้ายเลือด เหมือนเพิ่งผ่านการใช้งานมาไม่นาน มีแมงป่องสีแดงตัวใหญ่ชูหางเป็นวงโค้ง เกาะติดอยู่ที่ปลายทวน บริเวณหางมีความคมที่สามารถฟัน และเชือดเฉือนได้ สร้างความตื่นตาตื่นใจสุดๆ ไม่คิดว่านี่คือพาหนะที่พวกเขาใช้ บอกเลย เท่ห์โคตร!

          พวกเขาขึ้นยืนเหยียบบนพาหนะของตัวเอง เสวี๋ยฉี ถอดเสื้อคลุมของเขาให้ฉันสวมใส่เพราะอากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น เสวี๋ยฉี บอกให้ฉันขึ้นยืนเหยียบกระบี่ทางด้านหน้าของเขา แล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งมาโอบกอดที่เอวฉันอย่างแนบชิด ด้านหลังของฉันแนบชิดกับหน้าอกของเขาช่างอบอุ่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง เขายื่นมาจับมือกับฉันเพื่อพยุงให้ฉันสามารถทรงตัวบนกระบี่ได้ จากนั้นเขาพาฉันบินข้ามลำธาร มองจากด้านบนลำธารมีขนาดยาวและแยกออกไปหลายสาย ตลอดสายมีประกายแสงแวววาว ที่เกิดจากแมลงน้ำ ปลา และพืชพันธุ์บางชนิดในน้ำ เราบินข้ามป่าที่เรืองแสงจากพิษในต้นไม้ แม้กระทั่งสัตว์บางชนิดเช่นนกกลางคืน หรือสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนก็เรืองแสงเช่นกัน เสวี๋ยฉี บอกว่าสัตว์และพืชมีพิษ มากหรือน้อยให้ดูที่สีสันของมัน สีขาว สีเขียว สีฟ้า เป็นสัตว์และพืชที่ไม่มีพิษหรือมีพิษอ่อนมากจนสามารถกินได้ ส่วนสีเหลือง สีส้ม สีม่วง สีแดง มีพิษไม่ควรสัมผัสมัน หรือพยายามเลี่ยงที่จะสัมผัสมันจะดีกว่า อย่างเช่นต้นอัคคีสวรรค์ ที่มีสีแดง เป็นพิษที่รุนแรงที่สุด

          เสวี๋ยฉี เอามือข้างที่จับมือกับฉันแต่ยังไม่ปล่อย เอื้อมมาโอบกอดเอวเหมือนกับโอบกอดฉันไว้ทั้งตัว แล้วเขาก็ก้มหน้าลงมากระซิบด้วยริมฝีปากที่แนบชิดที่หูจนฉันขนลุก ว่า....

          เสวี๋ยฉี : ข้าแปลกใจนักที่เจ้ากินผลอัคคีแล้วยังไม่ตาย น่าสนใจจริงๆ

          ฉันจึงถามเขาว่า พิษในตัวฉันจะต้องรักษายังไงเพราะพิษเพลิงลาวาคลั่งยังไม่ดับ ฉันรักษาคนอื่นได้ แต่รักษาตัวเองไม่ได้ ส่วนพิษเพลิงลาวาคลั่งก็ไม่ได้ทำให้ฉันเจ็บปวดอะไรเลยตอนนี้ เสวี๋ยฉี ตอบว่า...

          เสวี๋ยฉี  : ไม่ต้องทำอะไร พิษเพลิงลาวากลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวเจ้า คือกระแสเลือดที่ไหลเวืยนอยู่ในตัว คืออาวุธที่ปกป้องตัวเจ้า เจ้าควรเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากมัน

          พูดจบเขายังคงกอดฉันไว้แบบนั้น ใบหน้าของเขาที่แนบชิดกับแก้มของฉันทำให้รู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อย แต่ก็ทำให้รู้สึกดี แม้ฉันจะพยายามคิดว่าเขาคือเพื่อนสาว แต่เขาก็ทำให้หวั่นไหวทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ เราบินมาได้สักพัก เสวี๋ยฉี ชี้นิ้วไปที่ป่าไผ่ข้างหน้าแล้วบอกว่าบ้านของเขาอยู่ที่นั่น

หมายเหตุ

*ไป๋เสวี๋ยฉี (ชื่อแซ่ของงูขาว) แปลว่า หยกหิมะขาว

*กระบี่บินหยกขาว  เป็นอาวุธมีด้ามคมทั้งสองด้าน และเป็นพาหนะของ ไป๋เสวี๋ยฉี งูหยกหิมะขาว เป็นกระบี่อาบยาพิษน้ำค้างเกล็ดเงิน พิษกัดกินถึงกระดูก ผู้ถูกพิษน้ำค้างเกล็ดเงิน จะมีอาการแสบร้อนดั่งไฟสลับหนาวดุจน้ำแข็ง

*เซียซิ่นหลิง (ชื่อแซ่ของแมงป่องแดง) แปลว่าแมงป่องผู้มีจิตวิญญาณแห่งความศรัทธา

*ทวนโลหิตวารี  เป็นอาวุธ และพาหนะของ เซียซิ่นหลิง แมงป่องแดงโลหิต ด้ามทวนมีสีดำ ด้านคมที่ใช้โจมตีศัตรูมีสีแดงสดคล้ายเลือด มีแมงป่องแดงตัวใหญ่ชูหางเป็นวงโค้งเกาะอยู่ที่ปลายทวน มีความคมสามารถตัดหิน เหล็กโลหะทุกชนิด ทวนอาบยาพิษโลหิตวารี แผลที่ถูกทวนแทงหรือฟันจะไม่สมาน รักษาหายยากเลือดไหลออกจนตาย


(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 6 - 15  ➡

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

เพลงเวียดนาม ปีศาจจากสวรรค์ : G.E.M
[MAD] Ac ma den tu thien duong
(อนิเมะ) องเมียวจิ แฟนตาซีเกมส์
YouTube by : Tran Lan My

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡️ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

หมายเหตุผู้เขียน
          นิยายเรื่องแรกเขียนขึ้นโดยไม่ยึดติด และไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น ฉันไม่ใช่นักเขียนนิยายมืออาชีพ แต่นี่เป็นเพียงการนำสิ่งที่คิดวนเวียนอยู่ในหัว แล้วนำมาเขียนลงบล็อกเพื่อเก็บบันทึกไว้เป็นของสะสมว่าครั้งหนึ่งฉันเคยเขียนนิยาย

          ปล. แต่ละตอนมีความยาวมากเนื่องจากรูปแบบของบล็อกและพื้นที่การเขียนมีจำกัด จึงไม่สามารถแบ่งเป็นตอนสั้นๆได้....ขอบคุณผู้ที่้เดินผ่านเข้ามาแล้วแวะอ่าน...




No comments:

Post a Comment