Photobucket Wellcome

นิยาย : หมอหญิงปีศาจ Ep 16-25

นิยาย : หมอหญิงปีศาจ EP 16 - 25
นิยายโดย : An Qi
แนว : เพ้อเจ้อ, โรแมนติก, ตลก, ต่างโลก, แฟนตาซี, ต่อสู้, เหนือธรรมชาติ, ฮาเร็ม, อิโรติก, 18+, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ    : อัญชลี พลัดหลงเข้าไปในอุโมงค์แล้วไปโผล่บนท้องฟ้าอีกโลกหนึ่งกลายเป็นสาวอายุ 17 ปี ชื่อ อันฉี ต้องผจญภัยและปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการแพทย์แผนพิศดาร โดยมี 4 สัตว์เทพคอยช่วยเหลือปกป้องและช่วยต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง

*** นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

⬅ (ย้อนหลัง)  หมอหญิงปีศาจ Ep 6 - 15

(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 26 - 42  ➡

หมอหญิงปีศาจ Ep 16 - 25



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 16
(บททดสอบเฟยเจิน)

          ฉันตื่นขึ้นมาในอัอมกอดของเสวี๋ยฉี เมื่อคืนเรามีเซ็กส์กันตลอดคืนในความฝัน แต่สัมผัสและความรู้สึกกลับเหมือนจริงจนเกือบแยกไม่ออก ฉันยังไม่ลุกขึ้นจากเตียง และจูบเขาที่หน้าผาก นอนกอดก่ายเขาเล่นสักพักแล้วค่อยลุกขึ้นออกจากเตียง มองไปที่มุมหนึ่งของห้อง เห็นหยงเป่ากำลังนอนหลับอยู่ คืนนี้เขานอนที่บ้าน แต่ไม่เห็นเฟยเจิน นกน้อยคงตื่นนอนแล้ว จึงเดินออกมาที่ชานบ้านก็เห็นซิ่นหลิงนอนอยู่ เมื่อคืนเขาคงเมาหลับแล้วนอนตรงนี้

          เช้านี้บ้านเราดูครึกครื้นเพราะพี่ชายทั้งสองนอนที่บ้าน และสมาชิกใหม่เฟยเจินที่ตื่นนอนแต่เช้า เขาออกมาเดินเล่นรอบๆบริเวณบ้าน เห็นสองลิงน้อยช่วยกันหอบหิ้วกล้วยน้ำว้าหนึ่งครือเดินออกมาจากป่าไผ่เขียว แล้วนำกล้วยน้ำว้ามาวางใกล้ๆ ฉันจึงเด็ดกล้วยให้สองลิงน้อยกินตัวละสองผล เฟยเจินเห็นฉันมานั่งอยู่ที่ชานบ้านจึงรีบวิ่งเข้ามาหาแล้วเตรียมน้ำชามาวางให้ฉันดื่ม ฉันมองหน้าเฟยเจินด้วยความเอ็นดู "เจ้านี่ช่างน่ารักจริงๆ" ฉันชื่นชมเขา เฟยเจินเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยพูดมากสักเท่าไหร่ ท่าทางขี้อาย ฉันถามถึงอาการบาดเจ็บ เขาตอบว่าเขาแข็งแรงดีแล้ว สามารถออกไปล่าสัตว์ และจะออกไปล่ากระต่ายเช้านี้ ฉันจึงเรียกหยางกวางให้ออกมาพบและบอกหยางกวางว่าให้เปิดทางเข้า-ออก ให้กับเฟยเจิน อย่าทำร้าย และแนะนำสถานที่ล่ากระต่ายที่ปลอดภัยให้เฟยเจินด้วย หยางกวางตอบว่า "รับทราบ" เฟยเจินที่หายดีแล้วกลายร่างเป็นนกอินทรีย์ทองที่สง่างาม ฉันสังเกตุเห็นสีขนที่เคยเป็นสีเหลืองซีดๆของเขาตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองทองอร่าม กางปีกกว้างสวยงามกำลังโผบินออกไปที่ป่าด้านนอกเพื่อล่ากระต่าย ฉันนึกถึงที่เสวี๋ยฉีบอกกับฉันเรื่องบททดสอบ ฉันหวังว่าเฟยเจินจะผ่านการทดสอบ แต่ตัวฉันเองก็เผื่อใจไว้แล้วว่าหากเฟยเจินไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด ฉันก็จะปล่อยเขาไป

          ซิ่นหลิงที่กำลังนอนหลับอยู่ตรงชานบ้านกำลังงัวเงียตื่นขึ้น ฉันจึงเอ่ยถามซิ่นหลิงว่าทำไมเมื่อคืนถึงนอนที่บ้านได้ ซิ่นหลิงตอบว่าเมื่อคืนดื่มหนักเลยตัดสินใจนอนที่บ้าน รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยกับการนอนในบ้านเพราะยังไม่คุ้นชิน จึงออกมานอนที่ชานบ้าน ฉันจึงรินน้ำชาให้เขาดื่มแก้สร่างเมา สักพักเสวี๋ยฉีที่ตื่นนอนแล้วก็เดินถือเข่งซาลาเปาเดินออกมาจากครัว เพื่อมากินกับน้ำชายามเช้า

        เสวี๋ยฉี  : เจ้าสาม เห็นเจ้าบอกว่าจะไปกักตนงั้นรึ? แล้วจะไปเมื่อไหร่?
       ซิ่นหลิง  : ใช่ แต่ยังไม่ใช่ช่วงเวลานี้หรอก ข้าจะรอดูใหัแน่ใจก่อนว่าที่นี่เงียบสงบดีแล้ว พวกสุนัขเยือกแข็งไม่มารบกวนที่นี่จึงค่อยไป อยากจะไปกักตนสักหนึ่งเดือน พลังปรานที่เคยติดขัดถูกทะลวงด้วยเลือดพิษทำให้ตอนนี้เลือดกำลังไหลเวียนดี เหมาะไปกักตนเพิ่มพลังเวทย์
        เสวี๋ยฉี  : อืม! เจ้าไปเถอะ ทางนี้ข้าดูแลเอง
       ซิ่นหลิง  : ไม่ล่ะ! ถ้าข้าไปตอนนี้ข้าก็ยังห่วงอยู่ดี รอเวลาไปอีกสักหน่อย จะได้กักตัวอย่างหมดกังวล
        เสวี๋ยฉี  : งั้นก็ตามใจเจ้าเถิด
           อันฉี  : ไปกักตนที่ไหนเหรอ แล้วต้องทำอะไรบ้าง
        เสวี๋ยฉี  : ต้องเป็นที่เงียบสงบ ห้ามถูกรบกวน เน้นการฝึกประสานความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของร่างกายและการหายใจ หรือเรียกว่าการประสานพลังภายนอกและภายใน
          อันฉี  : ข้าไปกักตนกับพวกท่านด้วยได้มั้ย?
       เสวี่ยฉี  : ไม่ได้!
      ซิ่นหลิง  : การกักตนเพื่อต้องการความสงบ และมีสมาธิ ถ้าเจ้าไปด้วยจะทำให้ข้าขาดสมาธิ (ซิ่นหลิงเข้ามาจักจี้เอวฉัน)
          อันฉี  : ข้าอยากมีพลังเวทย์บ้างอ่า~
     ซิ่นหลิง  : แค่เจ้ามีอาวุธที่พวกข้าให้เจ้าไว้ติดตัว แค่นี้เจ้าก็เป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดาแล้ว เจ้าฝึกการใช้อาวุธเหล่านั้นให้เก่งก่อนจะดีกว่า
         อันฉี  : ข้าแค่ใช้อาวุธให้เก่งก็ถือว่าข้าฝีมือระเทพแล้วใช่ป่ะ?
    ซิ่นหลิง  : ถูกต้อง! เจ้าเป็นมนุษย์คนเดียวที่อาศัยอยู่ในป่าปีศาจได้ เจ้ามีงูทหารจำนวนมากเป็นลูกสมุน อีกทั้งเจ้ายังสามารถเอาชนะงูเห่ายักษ์จนมันตัองร้องขอชีวิต แถมเจ้ายังสยบเสือดำอสูรสายฟ้าจอมโหดได้ด้วยปลายนิ้วเพียงแค่จักจี้เสือดำก็ยอมสยบราบคาบ แค่นั้นยังไม่พอเจ้ายังสามารถกำราบพญางูหยกหิมะขาวจอมมารใจร้ายได้เพียงแขนข้างเดียวเพียงแค่ล็อคคอไปสั่งสอนในห้องจอมมารงูขาวก็ไม่กล้ามีปากเสียง แล้วที่เจ๋งสุดๆคือเจ้ามีข้าพญาแมงป่องแดงรูปงามและแข็งแกร่งเป็นองครักษ์ประจำตัวเจ้าอีกด้วย นี่แหละคือความไม่ธรรมดาของเจ้าล่ะ เจ้าเก่งระดับเทพแล้ว (ซิ่นหลิงแกล้งชมฉัน)
        อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงจะชมข้าขนาดนั้น ข้าก็ไม่มีของอะไรให้ท่านหรอกนะ (ฉันเขินกับคำแกล้งชมของซิ่นหลิงแล้วป้อนซาลาเปาใส่ปากซิ่นหลิง) อ่านี่..กินซาลาเปา ข้าป้อน ฮะฮะฮ่า
     เสวี๋ยฉี  : เฮ่อ...ไม่คิดว่าเจ้าจะบ้ายอได้ขนาดนี้น๊า... อ่า! ท่านอันฉี กินซาลาเปา ข้าป้อนท่าน อ่าอ้าม...(เสวี๋ยฉีแกล้งรับมุกเยินยอด้วยท่าทางตุ้งติ้ง) ท่านอันฉี ท่านแสดงฝีมือการใช้อาวุธให้ข้าชมเป็นขวัญตาหน่อยจะได้หรือไม่ แต่ขอบอกไว้ก่อนหากท่านฝีมือไม่พัฒนาขึ้นท่านจะถูกทำโทษไม่ได้กินอาหารมื้อกลางวัน และข้าก็ไม่ได้ขู่!
        อันฉี  : หา! ท่านใจร้ายที่สุดเล้ย ไม่ได้กินข้าวแล้วจะมีแรงฝึกได้ไง?! หลิงหลิง! เจ้ามาฝึกให้ข้าเร็ว ถ้าข้าไม่ได้กินข้าวกลางวันเจ้าก็ต้องไม่ได้กินเหมือนกัน
   ซิ่นหลิง  : อ้าว! แล้วข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยเล่า
       อันฉี  : เจ้าจะทนเห็นข้าอดอาหารตายได้เชียวเหรอ
   ซิ่นหลิง  : ได้! ฮ่าฮ่าฮ่า
       อันฉี  : หลิงหลิง! เจ้าคนแล้งน้ำใจ (ฉันไล่ตีซิ่นหลิง และหยอกเล่นกันก่อนฝึกอาวุธ)
  หยงเป่า  : เสียงดังครึ้กครื้นกันแต่เช้าเชียว
    เสวี๋ยฉี  : ทำไมเมี่อคืนนอนที่นี่ได้ล่ะ
  หยงเป่า  : ลองสัมผัสชีวิตแบบครอบครัวดูก็ไม่เลว

          เฟยเจินบินกลับมาแล้ว เขากลายร่างมนุษย์แล้วเดินถือกระต่ายตรงมาที่ลานบ้าน ฉันและซิ่นหลิงจึงหยุดฝึกซ้อมและเดินเข้าไปดูกระต่ายพร้อมชื่นชมเฟยเจินที่ล่ากระต่ายได้หลายตัวในเวลาไม่นาน เฟยเจินเล่าว่าระหว่างทางที่บินไปล่ากระต่ายเขาพบหุบเขาที่มีน้ำตกสวยงาม เขาชักชวนฉันกับซิ่นหลิงไปดูน้ำตก ฉันตื่นเต้นและอยากไปดูน้ำตกจึงรีบไปชักชวนเสวี๋ยฉีและหยงเป่าให้ไปด้วยกัน แต่เสวี๋ยฉีบอกว่าเคยเห็นน้ำตกนั้นและเคยไปมาแล้ว อีกอย่างวันนี้เขามีธุระบางอย่างต้องไปทำจึงปฏิเสธไปน้ำตก ส่วนหยงเป่าบอกว่าวันนี้ขออยู่นอนเฝ้าบ้านพักผ่อนเพราะดื่มหนักมาหลายคืน และจะอยู่ดูแลแปลงสมุนไพรสักหน่อย ฉัน ซิ่นหลิง และเฟยเจินจึงตกลงจะไปด้วยกันสามคน

          เฟยเจินอาสาเป็นพาหนะให้ฉันขี่ ฉันจึงรีบตกลงเพราะการขี่นกแล้วโบยบินไปบนฟากฟ้าน่าจะสนุกกว่าขึ้นทวนโลหิตวารีของซิ่นหลิง เฟนเจินกลายร่างเป็นอินทรีย์ทองอีกครั้งเขาให้ฉันขึ้นขี่หลังและโบยบินออกจากป่าไผ่มุ่งหน้าไปหุบเขาน้ำตก ขนนกของเฟยเจินอ่อนนุ่ม ส่องประกายสวยงามยามต้องแสงแดด เขาโบยบินอย่างระมัดระวัง แต่ฉันเคยมีประสบการณ์จากการขึ้นขี่หลังเสือดำที่โลดโผนกว่า ฉันจึงสามารถทรงตัวได้ง่ายบนหลังนก เฟยเจินพาเราบินมาถึงหุบเขาที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้นานาชนิด น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดเล็กแต่มีความสวยงามมาก สายน้ำตกที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงชัน และแอ่งน้ำตกที่ใสสะอาดน่าเล่น ซิ่นหลิงชวนฉันไปเล่นตรงโขดหินใต้น้ำตกที่กำลังตกลงมา เราทั้งสามจึงจูงมือกันค่อยๆเดินบนโขดหินไปที่ใต้น้ำตก สร้างความสนุกสนานเป็นอย่างมาก ฉันอยากลงไปเล่นน้ำในแอ่งน้ำตกแต่กลัวจมน้ำเพราะฉันว่ายน้ำไม่แข็ง ซิ่นหลิงจึงพาฉันลงไปเล่น แต่เฟยเจินไม่ลงในแอ่งน้ำเพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็น อาจเป็นภาระให้ซิ่นหลิงหากเขาจมน้ำ เราจึงให้เฟยเจินนั่งเล่นน้ำตกอยู่บนโขดหิน

          เราใช้เวลาเล่นน้ำตกกันอยู่นาน ซิ่นหลิงขึ้นจากเล่นน้ำตกก่อน และบอกว่าจะขอแวะไปดูสมุนแมงมุมยักษ์ที่อยู่ในป่าใกล้ๆนี่สักหน่อย เขาบอกให้ฉันกับเฟยเจินรออยู่ที่นี่ เพราะเขายังไม่ค่อยสนิทกับพวกสมุนแมงมุมมากนักเกรงว่าฉันจะเกิดอันตราย แต่ซิ่นหลิงต้องไปที่นั่นเพื่อให้เหล่าแมงมุมยำเกรง และบอกจะรีบไปรีบกลับ ฉันและเฟยเจินจึงเล่นน้ำตกที่โขดหินกันต่อ เราเล่นน้ำตกกันจนเหนื่อย จึงเปลี่ยนมานั่งพักและชมธรรมชาติของน้ำตก ฉันจึงชวนเฟยเจินพูดคุย

          อันฉี  : เฟยเจิน เจ้าชอบที่นี่มั้ย
     เฟยเจิน  : ข้าชอบที่นี่มาก แม้อากาศจะเย็นแต่ก็มีความสวยงามไม่แพ้ป่าทางตะวันออก ทุกคนที่นี่ดีกับข้า และข้าก็มีความสุขมากที่ได้อยู่กับท่าน ข้าไม่เคยได้สัมผัสกับความอบอุ่นของครอบครัว ไม่เคยได้หัวเราะอย่างมีความสุขกับพี่น้อง ไม่เคยได้รับการยอมรับ แต่ข้าได้รับจากพวกท่าน ข้ามีความสุข
        อันฉี  : โธ่... เฟยเจินของข้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า อยู่กับข้าที่นี่ อยู่กับพวกพี่ชายของข้า พวกเราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก แม้บางครั้งพวกพี่ๆของข้าอาจจะดุ แต่เขาก็ไม่ใจร้าย (ฉันโอบไหล่และเอามือลูบศรีษะเฟยเจินที่ซบไหล่ฉันอย่างเอ็นดู)
    เฟนเจิน  : ท่านปัอนน้ำดื่มให้ข้าอีกครั้งได้หรือไม่
         อันฉี  : ได้สิ!

          ฉันจึงเอามือรองน้ำตกมาอมไว้ในปากแล้วป้อนน้ำตกให้เฟยเจินดื่ม ริมฝีปากที่บอบบางนุ่มนิ่มของเขากลับไม่ยอมถอนออกหลังจากดื่มน้ำแล้ว แต่กลับจูบฉันแทน ฉันจึงจูบเขากลับเพราะเขาช่างน่ารัก และถูกใจฉันจริงๆ ฉันโถมตัวจูบเฟยเจินอย่างลืมตัว สอดใส่แลกลิ้นอย่างพัลวันแล้วเอามือลูบไล้ลำตัวและหน้าอกของเขา หัวใจเขาเต้นแรง เขาถูกฉันจูบเหมือนเขาเป็นสาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของฉัน ท่าทางเขายังไม่รู้ประสีประสาอาจเพราะเพิ่งโตเป็นหนุ่มน้อยแรกรุ่น เพราะรูปร่างหน้าตาของเฟยเจินเมื่อเทียบกับมนุษย์ เขาน่าจะมีอายุ 18 ปีใกล้เคียงกับฉัน

         ฉันถามเฟยเจินเคยจูบกับผู้หญิงหรือไม่ เขาตอบว่าไม่เคย ฉันจึงถามต่ออีกว่า....

          อันฉี  : แล้วเคยมีคนรักมั้ย?
     เฟยเจิน  : ไม่เคย...เพราะครอบครัวที่ผาอินทรีย์ทองถ้าอายุยังไม่ถึง 1,000 ปี จะไม่ได้รับอนุญาตให้คบหากับหญิงสาว
          อันฉี  : ทำไมถึงห้ามล่ะ ทำไมตัองรอถึงอายุ 1,000 ปีด้วย?
     เฟยเจิน  : เพราะเราต้องฝึกพลังเวทย์และตัองถือครองพรหมจรรย์จนมีอายุครบ 1,000 ปี จึงจะมีสิทธิ์เลือกคู่ หากสูญเสียพรหมจรรน์ก่อนอายุครบ 1,000 ปีเลือดจะไม่บริสุทธิ์การฝึกพลังเวทย์จะไม่สมบูรณ์
          อันฉี  : แล้วเคยมีใครสูญเสียพรหมจรรย์ก่อนมีอายุครบ 1,000 ปีมั้ย?
     เฟยเจิน  : มี แต่ก็สามารถฝึกพลังเวทย์ต่อได้ เพียงแต่เลือดจะไม่บริสุทธิ์ พลังเวทย์ไม่ครบสมบูรณ์ และจะไม่ได้รับการยอมรับให้มีเกียรติเท่ากับเลือดบริสุทธิ์ ครอบครัวของข้าเคร่งครัดในเรื่องนี้มาก
         อันฉี  : แล้วเจ้าล่ะฝึกพลังเวทย์ด้วยหรือเปล่า?
    เฟยเจิน  : ข้าฝึกพลังเวทย์ด้วย แต่ข้ามีร่างกายที่อ่อนแอเกินไปจึงไม่เคยต่อสู้ชนะแม้ผู้ที่มีพลังเวทย์เท่ากันกับข้า ข้าจึงไม่ได้รับการยอมรับ แต่ข้าตอนนี้มีร่างกายแข็งแรงขึ้น เพราะท่านป้อนน้ำดื่มให้ข้า และข้าก็รู้สึกดี...(เฟยเจินก้มหน้าเขินอาย) ข้าจะหยุดฝึกพลังเวทย์ แล้วมารับใช้ดูแลท่าน ร่างกายและหัวใจของข้า ขอมอบให้ท่านรวมทั้งพรหมจรรย์ของข้าด้วย ท่านเป็นเจ้าของชีวิตข้า
        อันฉี  : อย่าหยุดฝึกพลังเวทย์ เจ้าต้องฝึกพลังเวทย์ต่อไป ฝึกให้สำเร็จตามที่เจ้าตั้งใจไว้ อย่ายอมแพ้ เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเจ้าก็สามารถทำได้ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนอ่อนแออีกแล้ว เมื่อไหร่ที่เจ้าได้พบครอบครัวเก่าของเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะได้ยืดอกเชิดหน้าใส่พวกเขาว่าเจ้าก็แข็งแกร่งเช่นกันและจะต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขาด้วย อีกอย่างนึงนะ ถ้าเจ้าอยากอยู่กับข้าไปนานๆเจ้าต้องเข้มแข็ง และกล้าหาญ อย่าแสดงความอ่อนแอให้พี่ใหญ่เห็น ไม่งั้นเขาจะกินเจ้าไม่ให้เหลือแม้กระทั่งกระดูก (ฉันแกล้งพูดหยอกเฟยเจิน) ส่วนพรหมจรรย์ของเจ้าก็เก็บรักษาไว้ให้ข้า ข้าจะรับไปเมื่อเจ้ามีอายุครบ 1,000 ปี
   เฟยเจิน  : อื้ม! ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้าจะตัองแข็งแกร่งขึ้นให้ได้

          เขาพูดแล้วสบตากับฉัน ฉันจึงจูบเฟยเจินแลกลิ้นดูดดื่มอีกครั้ง เฟยเจินยามเคอะเขินช่างดูน่ารัก เขางดงามเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ที่รอหมู่ภมรมาเชยชม จนฉันหลงไหลอยากเด็ดดมดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ซะเหลือเกิน แต่ก็ต้องห้ามใจเพราะเขายังเด็กเกินกว่าจะดอมดมไปมากกว่านี้ได้ ฉันจึงชวนเขาพูดคุยถึงเรื่องทั่วไปและนั่งชมธรรมชาติรอซิ่นหลิงกลับมา ไม่นานนักซิ่นหลิงก็กลับมา พวกเราจึงชวนกันกลับบ้าน

          ที่บ้าน เสวี๋ยฉียังไม่กลับมา ซิ่นหลิงและเฟยเจินนั่งคุยกันถึงเรื่องจะไปหาวัตถุดิบสำหรับหมักเหล้าวันพรุ่งนี้ ส่วนฉันเห็นหยงเป่าที่นอนเอกเขนกอยู่ที่ชานบ้าน ฉันจึงลงไปนอนหนุนท้องหยงเป่าเล่นและงีบหลับไปเพราะเหนื่อยจากการเล่นน้ำตก ขณะที่กำลังหลับฉันรู้สึกว่าเสวี๋ยฉีกลับถึงบ้านแล้ว เสวี๋ยฉีพลิกตัวฉันให้ไปหลับบนตักเขา ฉันจึงรู้สึกตื่นแต่ยังคงนอนเล่นต่ออีกสักพักที่ตักของเสวี๋ยฉี

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าเล่นน้ำตกจนหมดแรงเลยเหรอเนี่ย?
          อันฉี  : เล่นน้ำตกสนุกมากเลย ธรรมชาติสวยมาก คราวหน้าเราไปด้วยกันนะพี่ใหญ่
      เสวี๋ยฉี  : ได้ ถ้าเจ้าชอบข้าจะพาเจ้าไป
         อันฉี  : ชอบสิ ข้าอยากให้ท่านและพี่รองไปด้วย ที่นั่นมีปลาด้วยไปย่างปลากินที่นั่นด้วยนะ
      เสวี๋ยฉี  : ได้สิ พรุ่งนี้หลังจากเก็บสมุนไพรเราไปกันเลย
         อันฉี  : เย้! ไปกันทุกคนเลยนะสนุกดี
      เสวี๋ยฉี  : อื้ม

          ซิ่นหลิง เริ่มก่อกองไฟเพื่อย่างกระต่ายที่เฟยเจินล่าได้เมื่อเช้า ส่วนเฟยเจินกำลังเตรียมน้ำชาถาดใหม่มาวางที่ชานบ้าน ฉันจึงลุกไปช่วยซิ่นหลิงย่างกระต่าย ลิงน้อยสองตัวก็ออกมาเล่นซุกซนกันอยู่ที่ลานบ้าน ตอนนี้บ้านของเราเริ่มมีความครึกครื้นขึ้นกว่าเดิมทำให้รู้สึกดียิ่งนัก

          คืนนี้พี่ๆทั้งสามดื่มเหล้ากันเหมือนเดิม ฉันบอกว่าพรุ่งนี้จะไปเก็บสมุนไพรกับเฟยเจินที่ป่าทางตะวันออก เสวี๋ยฉีอนุญาตแล้วบอกใหัสองลิงน้อยไปด้วย เพราะสองลิงน้อยรู้เส้นทางหลบเลี่ยงสัตว์ร้ายและปีศาจ คืนนี้เสวี๋ยฉีเข้านอนพร้อมกันกับฉัน เราจึงนอนหลับไปพรัอมกัน และฝันถึงการบรรเลงบทรักด้วยกันตลอดคืน

          เช้านี้เราตื่นนอนพร้อมกันด้วยความกระปรี้กระเปร่า หยงเป่าและซิ่นหลิงยังไม่ตื่นเพราะเขาทั้งสองคนอยู่ดื่มกันจนดึกเหมือนเคย เสวี๋ยฉีช่วยเตรียมอาหารให้ฉันกินก่อนออกไปเก็บสมุนไพร และเตรียมน้ำกับขนมใส่กระเป๋าเวทย์ให้ฉัน เหมือนแม่กำลังเตรียมอาหารเช้าและกระเป๋าให้ลูกก่อนไปโรงเรียน ซิ่นหลิงที่เพิ่งตื่นนอนเดินมาทักทายฉัน

        ซิ่นหลิง  : โอ้! ...พวกเจ้าตื่นเช้ากันจังเลย ตื่นเต้นจะได้ไปเที่ยวน้ำตกล่ะสิ
            อันฉี  : ท่านก็อย่าไปเที่ยวเล่นไหนไกลล่ะ รอข้ากลับมา
       ซิ่นหลิง  : เอ้อ วันนี้ไม่ไปไหนหรอก พวกเจ้าก็รีบๆกลับกันล่ะ

          ฉันขึ้นขี่หลังเฟยเจินแล้วมุ่งหน้าไปป่าตะวันออกด้วยกัน เฟยเจินมองหาสถานที่ที่น่าจะพบ กบลูกศรพิษอสูรทองคำ เฟยเจินมีสายตาเฉียบคม สามารถมองเห็นเป้าหมายได้จากระยะไกล ไม่นานนักเขาก็พบกบลูกศรพิษอสูรทองคำ ฉันให้เฟยเจินเป็นคนจับกบ เพราะฉันไม่กล้าจับ เขาดูจะสนุกสนานเหมือนเด็กกำลังเล่นสนุกกับการจับกบ

     เฟยเจิน  : ท่านเคยกินกบมั้ย?
          อันฉี  : เคยกินตอนอายุประมาณ 7 ขวบ พ่อของข้าชื้อกบมาจากตลาดเอามาทอดกินแกล้มเหล้าที่บ้านกับเพื่อนที่ทำงานในที่เดียวกัน รสชาติเหมือนเนื้อไก่ ภายหลังแม่ของข้าสั่งห้ามไม่ให้ข้ากินกบอีก คงเพราะไม่อยากให้ข้าไปป้วนเปี้ยนใกล้วงเหล้าล่ะมั้ง เด็กๆมักจดจำพฤติกรรมของพ่อ-แม่ แล้วมาเลียนแบบตอนโต ข้าดื่มเหล้าครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ พ่อของข้าส่งแก้วเหล้าให้ข้าดื่ม ข้าจึงคุ้นเคยกับการนั่งข้างวงเหล้ากับพ่อเพื่อกินกับแกล้มอร่อยๆ
    เฟยเจิน  : ท่านถึงชอบไปนั่งข้างๆท่านไป๋เวลาดื่มเหล้าใช่มั้ย?
         อันฉี  : ใช่ แหะแหะ...แต่ข้าไม่ได้มองพี่ใหญ่เป็นเหมือนพ่อของข้าหรอกนะ พี่ใหญ่เหมือนแม่ของข้าต่างหาก เขาเข้มงวดเหมือนแม่ แต่คนที่ลักษณะคล้ายพ่อข้าคือพี่รอง พูดน้อย ไม่เข้มงวด และชอบดื่มเหล้า ส่วนพี่สามก็เหมือนเพื่อน ส่วนเจ้าเฟยเจินก็เป็นน้องชายของข้า
    เฟยเจิน  : ข้าอายุมากกว่าท่าน ข้าเป็นน้องชายท่านไม่ได้หรอก
         อันฉี  : อายุเป็นเพียงตัวเลข
    เฟยเจิน  : แต่ตัวเลขต่างกันมากเกินไปข้าอายุ 700 ปีแต่ท่านอายุแค่ 17 ปี....
         อันฉี  : เรียกข้าว่าท่านอีกแล้ว บอกให้เรียกพี่สาวไง
    เฟยเจิน  : เฮ่อ...ลำบากใจจัง
         อันฉี  : เรียกพี่สาวทุกวันๆเดี๋ยวก็ชินไปเอง เรารีบไปหาสมุนไพรเปลือกมะพลับหาวทองคำ กันเถอะจะได้รีบกลับ ข้าอยากไปเที่ยวน้ำตกเร็วๆ ตื่นเต้นจังเลย

         เราได้กบลูกศรพิษอสูรทองคำครบแล้ว จึงบินออกจากบริเวณนี้ จากนั้นเฟยเจินพาบินวนรอบๆป่าทึบอีกแห่ง ไม่นานนักเขาก็มองเห็นสมุนไพร เขาพาบินลงไปที่พื้นดินด้านล่าง บริเวณนั้นมีต้นมะพลับหาวทองคำขึ้นอยู่ ต้นมะพลับหาวทองคำมีลำต้นขนาดกลาง กำลังออกผลสีเหลืองทองน่ากิน ฉันเด็ดผลมากินมีรสฝาด อมหวาน เราจึงช่วยกันลอกเปลือกต้นมะพลับหาวทองคำแล้วเก็บใส่ลงในกระเป๋าเวทย์

          ในขณะที่กำลังลอกเปลือกต้นมะพลับหาวทองคำอยู่นั้น จู่ๆลิงน้อยไมเคิลและแอบเปิ้ลก็ร้องทักขึ้นเสียงดัง ทันไดนั้นงูยักษ์สีดำก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆกับที่เรากำลังยืนอยู่ มันแยกเขี้ยวขาวยาวโค้ง ขู่ฟ่อๆเหมือนกำลังโมโห ฉันมองที่งูสีดำยักษ์นั่นเห็นรอยไหม้ที่ลำตัวฉันจึงจำได้ว่านั่นคือรอยแผลที่ฉันเคยตีมันไว้แต่ยังไม่หายสนิทดี

          อันฉี  : เจ้างูเห่า!
   งูเห่าสีดำ  : ใช่! ข้าเอง ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาที่นี่ ข้ารอชำระบัญชีแค้นกับเจ้า วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปได้หรอก
         อัญฉี  : เฟยเจินมาหลบข้างหลังข้า! (ฉันดึงเฟยเจินให้มาหลบข้างหลัง) เจ้างูเห่า! ข้าเคยสั่งเจ้าห้ามมาแถวนี้อีกยังไงล่ะ คราวนี้อยากตายจริงๆหรือไง?!
   งูเห่าสีดำ  : เจ้าไม่ใช่เจ้าชีวิตข้า อย่ามาสั่ง วันนี้พวกเจ้าต้องเป็นอาหารของข้า และข้าจะตามไปฆ่าไป๋เสวี๋ยฉีที่เคยมาทำร้ายข้าด้วย

          งูเห่ายักษ์สีดำพุ่งเข้าฉกพวกเราที่ยืนอยู่ ฉันกับเฟยเจินรีบกระโดดหลบการพุ่งโจมตีของงูเห่า ฉันรีบมองหาท่อนไม้บริเวณใกล้ๆแล้วหยิบมาถือไว้ในมือ แล้วบอกเฟยเจินว่า

          อันฉี  : ข้าลืมหยิบอาวุธมา อาวุธของข้าอยู่ที่บ้าน ไม่คิดว่าเจ้างูเห่าจะกลับมาแก้แค้น น่าเจ็บใจนัก ข้าอุตส่าห์ไว้ชีวิตมัน ข้าจะล่อมันไว้ เจ้ารีบหนีไป รีบบินกลับไปหาพี่ใหญ่ บอกพี่ใหญ่ว่าเจ้างูเห่ายักษ์มันกลับมาแก้แค้นข้า
     เฟยเจิน  : ไม่ข้าจะล่อมันไว้เอง ท่านหนีไปเร็วๆ
   งูเห่าสีดำ  : ไม่มีใครได้หนีไปจากที่นี่ มาให้ข้ากินซะดีๆ

          งูเห่าสีดำพุ่งเข้าฉกอีก เราทั้งสองกระโดดหลบไปคนละทิศละทาง ฉันรีบตะโกนบอกลิงน้อยให้ไปตามเสวี๋ยฉีมาช่วย เจ้าลิงน้อยสองตัวที่ส่งเสียงโวยวายจึงรีบกลับไปตามเสวี๋ยฉีทันที เฟยเจินกลายร่างกลับเป็นนกอินทรีย์ทอง แล้วพุ่งเข้าจิกตีงูเห่าดำ แต่ก็ทำอะไรงูเห่าดำได้ไม่มากนัก เพราะเฟยเจินมีพลังเวทย์ต่ำกว่างูเห่ายักษ์จึงไม่สามารถเอาชนะงูเห่ายักษ์ได้ งูเห่ายักษ์ใช้หางฟาดไปที่เฟยเจินจนกระเด็นตกลงมาที่พื้น และฟาดหางลงบนตัวเขาซ้ำอีกครั้งด้วยความแรงจนเขาจุกจนกระอักเลือด ฉันวิ่งเข้าไปเอาไม้ฟาดเต็มแรงไปที่ลำตัวของงูเห่าแต่เหมือนงูเห่าจะไม่รู้สึกอะไร เพราะแรงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจทำให้งูเห่าเจ็บปวดได้

          งูเห่ายักษ์ใช้หางที่แข็งแรงมาตวัดรัดตัวฉัน มันจับฉันได้และกำลังแยกเขี้ยวอ้าปากจะกิน เฟยเจินที่จุกจนกระอักตะโกนขึ้นมาว่า

       เฟยเจิน  : หยุดนะเจ้างูเห่า ปล่อยนางไปเถอะ เจ้ามากินข้าแทน ข้ามีพลังเวทย์ 700 ปี เจ้ากินข้าเจ้าจะได้รับพลังเพิ่ม นางเป็นแค่มนุษย์ธรรมดานางไม่มีพลังเวทย์อะไรกินนางไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก มากินข้าแทนเถอะ ได้โปรดปล่อยนางไป
           อันฉี  : เฟยเจิน หนีไป ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ข้าสั่งให้เจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้
   งูเห่ายักษ์  : ฮึ! พวกเจ้าไม่ต้องห่วง พวกเจ้าได้ลงไปอยู่ในท้องของข้าทั้งคู่

          งูเห่ายักษ์แยกเขี้ยวอ้าปากกว้างกำลังเลื่อนหน้าเข้ามาจะกินฉัน ทันไดนั้นเฟยเจินก็รีบพุ่งตัวเข้ามาขวางอยู่ระหว่างปากงูที่อ้ากว้างเข้ามาเรื่อยๆ เฟยเจินกอดฉันแล้วพูดว่า "ข้าขอโทษที่ข้าปกป้องท่านไม่ได้ ให้งูมันกินข้าก่อนเพื่อถ่วงเวลาให้ท่านไป๋มาถึง" งูเห่ายักษ์ที่แยกเขี้ยวอ้าปากกว้าง คมเขี้ยวกำลังจ่อที่ใบหน้าเฟยเจิน แต่เฟยเจินก็ไม่ยอมขยับบินหนี เขาหันหน้าเข้าหางูเห่ารอให้งูเห่ากินเขาก่อนอย่างกล้าหาญ และขณะนั้นเองงูเห่ายักษ์ที่กำลังจะกินเฟยเจินก็หยุดชะงัก และค่อยๆหุบคมเขี้ยวถอยห่างออกมาเล็กน้อย และค่อยๆคลายรัดฉันออกจากตัว งูเห่ายักษ์ค่อยๆถอยหลังคล้ายนั่งอย่างสงบเสงี่ยมและกำลังทำความเคารพใครสักคน เฟยเจินรีบเข้ามาประคองฉันด้วยความห่วงใย ทันไดนั้นเสวี๋ยฉีก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ

  งูเห่ายักษ์  : นายท่าน
       เสวี๋ยฉี  : ทำได้ดีมาก เจ้าไปได้
  งูเห่ายักษ์  : ขอรับ (งูเห่ายักษ์ผงกหัวเคารพเสวี๋ยฉี และหันมาผงกหัวเคารพฉัน จากนั้นก็เลื้อยหายไปในพุ่มไม้)
          อันฉี  : เฟยเจินเจ้าเป็นอะไรรึเปล่า นอนลงก่อนเร็วข้าจะรักษาให้ 
    เฟยเจิน  : ท่านไป๋.... 
      เสวี๋ยฉี  : บาดเจ็บนิดหน่อยมันยังไม่ตายหรอกน่า
         อันฉี  : พี่ใหญ่ทำรุนแรงไปหรือเปล่า นี่ฟาดกันกระอักเลยนะ
      เสวี๋ยฉี  : ถ้าให้ฟาดเล่นๆมันก็ไม่สมจริงน่ะสิ! สำออยขนาดนี้น่าเชือดทิ้งซะก็ดี!
          อันฉี  : พี่ใหญ่อ่า~
     เฟยเจิน  : เกิดอะไรขึ้น...ทำไม? แล้วทำไมงูเห่านั่น?!
          อันฉี  : อยู่นิ่งๆก่อน รักษาอาการบาดเจ็บก่อนเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
      เสวี๋ยฉี  : อันฉี แล้วเจ้าล่ะได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?
         อันฉี  : ไม่ ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างข้ากำชับงูเห่ายักษ์ห้ามทำให้ข้ามีเลือดออกไม่งั้นเขาจะตาย เขาก็ระมัดระวังอย่างดีไม่มีผิดพลาด
     เสวี๋ยฉี  : ดี แล้วได้วัตถุดิบมาครบหรือยัง จะได้กลับบ้าน
        อันฉี  : ได้ครบแล้ว, เฟยเจินเป็นยังไงบ้างดีขึ้นรึยัง? บินกลับบ้านไหวมั้ย?
   เฟยเจิน  : อื้ม
        อันฉี  : กลับบ้านกันเถอะ ถึงบ้านแล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง

          ฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับบ้านกับเสวี๋ยฉี ส่วนเฟยเจินก็บินกลับบ้านไปพร้อมกัน เมื่อกลับถึงบ้านเสวี๋ยฉีก็เดินไปนั่งที่ชานบ้านนั่งจิบชากับหยงเป่าและซิ่นหลิงที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ฉันและเฟยเจินเดินตามไปนั่งที่ชานบ้านเช่นกัน เฟยเจินจึงรีบถามด้วยความสงสัย

      เฟยเจิน  : อันฉี ทำไมงูเห่ายักษ์นั่นถึงทำความเคารพท่าน และท่านไป๋ล่ะ ข้า งง ไปหมดแล้ว
          อันฉี  : งูเห่ายักษ์นั่นยอมรับใช้พี่ใหญ่ และทำตามคำสั่งของพี่ใหญ่ให้ทำการทดสอบเจ้า เราต้องทดสอบความจริงใจของเจ้า ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ามีความจริงใจ
    เฟยเจิน  : ข้ารู้ว่าพวกพี่ชายของท่านยังแคลงใจในตัวข้า ข้าเข้าใจ แต่ข้าขอสาบานข้าไม่เคยคิดร้ายกับพวกท่าน อีกอย่างอันฉีก็เป็นผู้มีพระคุณของข้า ชีวิตของข้ายอมสละได้เพื่อนาง (เฟยเจินลุกขึ้นเดินมาข้างหน้าและก้มคำนับพี่ชายทั้งสามกับพื้น)
          อันฉี  : เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าสามารถสละชีวิตเพื่อข้าได้จริงๆ เจ้าทดสอบผ่าน และพี่ชายทั้งสามของข้าก็อนุญาตให้ข้าแลกจอกเหล้ากับเจ้าเพื่อสาบานเป็นพี่น้อง เจ้าต้องการหรือไม่ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าเมื่อเราสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว พวกเราจะผูกพันธ์กันด้วยเลือดและชีวิต เจ้าไม่อาจทรยศจนกว่าเราจะตายจากกัน
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าต้องตัดสินใจให้ดี หากเจ้าเลือกที่จะอยู่กับพวกเราเมื่อเจ้าแลกจอกเหล้า เจ้าก็จะเป็นคนของเราเป็นพี่น้องกับเราโดยไม่อาจแยกจากกับพวกเราได้ แต่หากเจ้าหวาดกลัวข้าก็จะปล่อยเจ้าไปโดยไว้ชีวิต แต่เจ้าอย่าได้หวนกลับมาที่นี่อีกเพราะข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!
     เฟยเจิน  : ข้าขอแลกจอกเหล้าเป็นพี่น้องกับพวกท่าน ข้าจะซื่อสัตย์ไม่มีวันทรยศจนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่
     หยงเป่า  : ดี เจ้านกน้อยนี่มีจิตใจที่แน่วแน่ ปราศจากความลังเล แบบนี้ลักษณะดี ข้าชอบ
     ซิ่นหลิง  : นี่...อันฉี เจ้านกน้อยนี่มีลักษณะดีเหมือนกับข้า เขาปราศจากความลังแล เหมือนกับข้าที่ปราศจากความเลที่จะกัดเจ้าตอนนั้นเปี๊ยบ ฮ่าฮ่าฮ่า
         อันฉี  : ปราศจากความลังเลกันคนละอย่างเลย ท่านนี่! (ฉันตีซิ่นหลิงเบาๆ)
    ซิ่นหลิง  : เจ้ากำลังจะมีพี่ชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้วนะ
         อันฉี  : ไม่!... ข้าต้องการน้องชาย เฟยเจินจะเป็นน้องชายของข้า
    ซิ่นหลิง  : เจ้านี่ถ้าจะบกพร่องเรื่องการคำนวนตัวเลข เจ้าอายุแค่ 17 ปี จะเป็นพี่สาวคน อายุ 700 ปีได้ยังไงกัน บ้าแน่ๆ เฮ่อ!....
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 17
(เฟยเจินพี่ชายคนที่สี่)

          พี่ชายทั้งสามและเฟยเจินหยดเลือดคนละหนึ่งหยดในถ้วยเหล้าสี่ถ้วยแล้วยกดื่ม หลังจากนั้นเฟยเจินและฉันจึงหยดเลือดคนละหนึ่งหยดแล้วแลกกันยกดื่ม ทันทีที่เหล้าผสมเลือดของเฟยเจินไหลผ่านคอฉันลงไปที่แผ่นหลังของฉันก็ร้อนผ่าวไปทั้งหลัง รอยสัญลักษณ์ของเขาคงปรากฏบนแผ่นหลังของฉันแล้ว เมื่อฉันตั้งสติได้ฉันจึงรีบไปจูบเฟยเจินที่กำลังปวดแสบปวดร้อนจากการดื่มเลือดพิษของฉัน ในร่างกายของเขาปรากฏเพลิงลาวาคลั่งไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดเช่นเดียวกันกับพี่ชายทั้งสามก่อนหน้านี้ ฉันจูบเฟยเจินจนอาการพิษเพลิงลาวาคลั่งในตัวเขาสงบ เฟยเจินที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันกำลังอ่อนเพลียเพราะพิษเพลิงลาวาคลั่ง ซิ่นหลิงจึงช่วยพยุงเขาเข้าไปนอนพักในบ้าน ฉันเดินตามไปเพราะห่วงเฟยเจิน เสวี๋ยฉีจึงพูดขึ้นว่าเรื่องไปเที่ยวน้ำตกค่อยไปวันพรุ่งนี้ เพราะวันนี้รอให้เฟยเจินปรับสภาพร่างกายเสียก่อน เสวี๋ยฉีและหยงเป่าจึงนั่งพูดคุยและจิบน้ำชากันต่อ ส่วนซิ่นหลิงเมื่อพยุงเฟยเจินเข้ามานอนพัก ก็ขอตัวออกไปนั่งดื่มกับเสวี๋ยฉี และหยงเป่าที่ชานบ้าน

          ฉันนั่งลงข้างๆเฟยเจินและจับมือเขาที่มีอาการอ่อนเพลียจากพิษเพลิงลาวาคลั่ง เขาเอ่ยถามฉันด้วยอาการหมดแรงว่า....

     เฟยเจิน  : เกิดอะไรขึ้นกับข้า ทำไมข้าถึงรู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนเหมือนถูกไฟเผาไปหมดทั้งตัวหลังจากข้าแลกจอกกับเจ้า
          อันฉี  : เจ้าได้รับพิษเพลิงลาวาคลั่งจากเลือดของข้า เลือดของข้าเป็นพิษที่เกิดจากการที่ข้ากินผลอัคคีเข้าไป แต่ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว ข้าให้ยาสงบเพลิงคลั่งกับเจ้าแล้ว ในกายเจ้ามีเลือดของข้าไหลเวียนอยู่ เราผูกพันธ์กันด้วยเลือด เจ้าต้องนอนพักเพื่อปรับสภาพร่างกายใหม่ และตอนนี้มีรอยสัญลักษณ์ของเจ้าปรากฏบนหลังของข้าแล้ว

          ฉันดึงคอเสื้อเปิดกว้างออกให้เฟยเจินดูรอยสัญลักษณ์ของเขาที่ปรากฏบนหลังฉัน เขายื่นมือมาลูบที่รอยสัญลักษณ์แล้วพูดเบาๆว่า

     เฟยเจิน  : ปีกนกอินทรีย์ทอง
          อันฉี  : เป็นรอยสัญลักษณ์ปีกนกอินทรีย์ทองเหรอ คือตั้งแต่ปรากฏขึ้นข้ายังไม่ได้ใช้กระจกส่องดูเลย
     เฟยเจิน  : สวยมาก ปีกอินทรีย์ทองของข้าสวยงามขนาดนี้เชียวหรือ (เฟยเจินชื่นชมรอยสัญลักษณ์ของเขาที่ปรากฎบนหลังฉัน)
          อันฉี  : เท่ากับว่าตอนนี้เจ้าอยู่บนกายของข้า และข้าอยู่ในกายของเจ้า
     เฟยเจิน  : และนี่คือ...สัญลักษณ์แมงป่องแดง...
          อันฉี  : ใช่ นั่นรอยสัญลักษณ์ของพี่สาม และนี่เสือดำอสูรสายฟ้า รอยสัญลักษณ์ของพี่รองที่หน้าอกติดกับหัวไหล่ขวา และตรงนี้รอยสัญลักษณ์งูหยกหิมะขาวของพี่ใหญ่ที่ต้นแขนขวา)
     เฟยเจิน  : (เขาเอามือลูบที่รอยสัญลักษณ์เหล่านั้น)
          อันฉี  : รอยสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นตัวแทนและเป็นอาวุธของพวกท่านที่อยู่กับตัวข้าเสมอ และตอนที่อยู่ในป่าตะวันออกข้าไม่ได้ลืมอาวุธไว้ที่บ้าน....ข้าโกหกเจ้า อย่าโกรธข้าเลยนะ
    เฟยเจิน  : ข้าไม่โกรธหรอก ข้าเข้าใจ ข้าจะรีบหายป่วยโดยเร็วให้ทันเวลาไปเที่ยวน้ำตก
          อันฉี  : เที่ยวน้ำตกเปลี่ยนไปเป็นวันพรุ่งนี้ เจ้าหายทันอยู่แล้ว อย่ากังวลเลย นอนพักผ่อนเยอะๆ ....ข้าเรียกเจ้าว่า เจินเจิน ได้มั้ย?
    เฟยเจิน  : เจินเจิน เหรอ ได้สิ!  (เฟยเจินหัวเราะเบาๆ)
         อันฉี  : เจ้าน่ารักจริงๆ เจินเจิน ของข้า

          ฉันจูบเฟยเจินอย่างนุ่มนวลที่ริมฝีปาก เขาจูบตอบรับกลับมาอย่างอ่อนหวาน จากนั้นฉันจึงเดินออกไปหาพี่ชายทั้งสามที่นั่งดื่มกันอยู่ที่ชานบ้าน ไปนั่งข้างหลังเสวี๋ยฉีแล้วบีบนวดที่ไหล่เพื่อประจบประแจง

          อันฉี  : พี่ใหญ่ ให้เจินเจินเป็นน้องชายของข้าเถอะนะ ข้าอยากเป็นพี่สาวอ่า~
     ซิ่นหลิง  : ต้องเรียงลำดับอาวุโสถึงจะถูก
      เสวี๋ยฉี  : ข้าก็ว่ามันจะดูแปลกๆอยู่นา...เจ้าอายุแค่ 17 ปี แต่จะมีน้องชายอายุ 700 ปี แล้วทำไมเจ้าถึงอยากเป็นพี่สาวเขานัก?!
         อันฉี  : ก็...การเป็นน้องคนเล็กมักถูกพวกพี่ๆเอาเปรียบและถูกใช้ทำงานหนัก เจินเจินเคยสัมผัสชีวิตแบบนั้นมาแล้ว ถ้ามาเจอที่นี่อีกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างเจินเจิน ก็มาทีหลังข้า เจินเจินสมควรเป็นน้องชายของข้า
    หยงเป่า  : พวกข้าต่างหากที่ถูกเจ้าเอาเปรียบและทำงานหนัก
    ซิ่นหลิง  : พี่รองพูดถูกต้อง ฮ่าฮ่าฮ่า
     เสวี๋ยฉี  : หุหุ ถ้ามีตาแก่เข้ามาอยู่ใหม่ในบ้าน ตาแก่นั่นต้องเรียกเจ้าว่าพี่สาวด้วยหรือเปล่า?
        อันฉี  : พี่ใหญ่! ท่านต้องเข้าข้างข้าสิ ทำไมตอนนี้แปรพรรค
    ซิ่นหลิง  : เอางี้! รอให้เจินเจินของเจ้าตื่น เจ้าก็ขอท้าประลองชิงตำแหน่งสิ เขายังอ่อนแออยู่เจ้าอาจมีโอกาสชนะ หรือเจ้าจะข้ามรุ่นท้าชิงตำแหน่งกับข้าดีล่ะ แต่ข้าว่า...เจ้าท้าชิงตำแหน่งกับพี่ใหญ่ครั้งเดียวเลยดีกว่า
       อันฉี  : พี่ใหญ่...(ฉันลากเสียงออดอ้อนแล้วก้มหน้าไปกอดคอเขา)
    เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย แม้เจ้าจะเป็นคนโปรดของข้า แต่เรื่องนี้ข้าก็ไม่อ่อนข้อให้เจ้าหรอกนะ นัดวันประลองกับข้ามาได้เลย! (เสวี๋ยฉีเอาพัดเคาะหัวฉันหนึ่งครั้ง)
       อันฉี  : ก็ได้ ก็ได้! เรียงลำดับอาวุโสก็ได้

          ในขณะที่เรากำลังคุยเล่นหยอกล้อกัน หยางกวาง เดินเข้ามาหาเสวี๋ยฉีแล้วรายงานว่า มีงูเห่ายักษ์สีดำ ชื่อ หลี่เฉียง มาขอพบ เสวี๋ยฉีจึงอนุญาตให้เข้ามาพบที่นี่ หยางกวางจึงพาหลี่เฉียงเข้ามา หลี่เฉียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสิเข้ม ใบหน้าคม ตาคม บุคลิกแข็งแรง กำลังเดินตามหยางกวางเข้ามายืนต่อหน้าพี่ชายทั้งสามที่ชานบ้าน

   หลี่เฉียง  : ข้าคืองูเห่ายักษ์สีดำจากป่าทางตะวันออก ขอรับท่าน (เขาก้มคำนับ)
      เสวี๋ยฉี  : อืม ข้าจำได้ เจ้ามีอะไรรึ ถึงมาหาข้าที่นี่
    หลี่เฉียง  : ข้ามาขอทำงานรับใช้ท่านที่นี่
      เสวี๋ยฉี  : ทำไมล่ะ อยู่ที่ป่าทางตะวันออกก็ดีอยู่แล้ว ที่นี่ทหารงูของข้าก็มีอยู่จำนวนมาก ข้าไม่รับเพิ่มหรอก
   หลี่เฉียง  : นายท่าน ให้ข้าอยู่รับใช้ท่านที่นี่เถอะ ข้าอยู่ที่ป่าตะวันออกก็แค่ออกล่าสัตว์เป็นอาหารไปวันๆ ข้ามีร่างกายแข็งแรงขอให้ข้าได้เป็นประโยชน์อยู่ทำงานรับใช้ท่านด้วยเถอะ
     เสวี๋ยฉี  : คนรับใช้ข้ามีเยอะแล้ว เจ้าจงไปซะ
  หลี่เฉียง  : ท่านอันฉี ได้โปรดช่วยขอร้องท่านไป๋แทนข้าด้วย จะให้ข้าทำงานอะไรก็ได้ ท่านอันฉีให้ข้าคอยติดตามรับใช้ท่านเวลาท่านออกไปเก็บสมุนไพรก็ได้ (หลี่เฉียงหันมาก้มคำนับขอร้องฉัน)
    เสวี๋ยฉี  : เจ้าอย่าได้บังอาจติดตามนางถ้าข้าไม่ได้สั่ง!
       อันฉี  : ....ข้ามีคนติดตามแล้ว....(ฉันพึมพำ) แต่ก็น่าสงสารเขานะพี่ใหญ่ เขาอุตส่าห์มาขอทำงานถึงที่นี่ ก่อนหน้านี้เขาก็ทำตามคำสั่งท่านอย่างเคร่งครัด ให้เขาอยู่ที่ป่าไผ่เขียวคอยช่วยงานหยางกวางก็ดีเหมือนกันนะ
    เสวี๋ยฉี  : แต่ข้ารำคาญมัน!
   ซิ่นหลิง  : หลี่เฉียงเจ้าอยากมาทำงานที่นี่จริงๆ หรือมีอย่างอื่นแอบแฝงกันแน่? (พูดจบซิ่นหลิงก็หันไปมองที่เสวี๋ยฉี)
  หลี่เฉียง  : ข้า ข้า มาทำงานจริงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง (หลี่เฉียงรีบปฏิเสธแต่แอบก้มหน้าอาย)
   ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเจ้าก็อยู่ช่วยงานหยางกวางที่ป่าไผ่เขียวไปก่อนแล้วกัน รอพี่ใหญ่มอบหมายงานให้เจ้าภายหลัง
 หลี่เฉียง  : ขอบคุณนายท่านขอรับ (หลี่เฉียงรีบก้มคำนับขอบคุณแล้วเดินตามหยางกวางออกไป)
  ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่ของเราเนี่ยเสน่ห์แรงจริงๆ
       อันฉี  : ห๊า! พี่ใหญ่! ท่านชอบ...!!! OMG! (ฉันอุทานและชี้นิ้วไปที่หลี่เฉียง)
   เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่เคยพิศมัยในตัวชาย เลิกคิดแบบนั้นกับข้า (เสวี๋ยฉีเอาพัดเคาะหัวฉันอีกครั้ง)
      อันฉี  : แล้วทำไมหลี่เฉียงถึงทำท่ามุ้งมิ้งใส่ท่านล่ะ? ท่านทำอะไรกับเขา?
 หยงเป่า  : นั่นเกิดจากลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ในตัวงูหยกหิมะขาวตั้งแต่เกิด เขามีเสน่ห์ต่อชายและหญิง หากใครที่พบเจอเขาแล้วหักห้ามใจไม่ได้ก็จะตกหลุมรัก
      อันฉี  : พี่ใหญ่นี่ร้ายกาจจริงๆ
   เสวี๋ยฉี  : หากเจ้ายังขืนมองข้าแบบนั้นอีกล่ะก็...ข้าจะพาเจ้าไปปรับทัศนคติ!
     อันฉี  : อ๊ะ! ข้าเชื่อท่าน! ไม่ต้องปรับทัศนคติ

          พี่ชายทั้งสามจึงนั่งดื่มเหล้ากันต่อ ฉันเดินเข้าไปในตัวบ้านเพื่อไปดูเฟยเจิน ที่กำลังนอนหลับสีหน้าของเขาดูดีขึ้นมากมีเลือดฝาด ผิวใสน่าหยิก จึงแอบหอมแก้มเขาด้วยความเอ็นดู ฉันเดินไปนั่งคุยกับพี่ชายทั้งสามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ และแผนการเที่ยวน้ำตกในวันพรุ่งนี้ด้วย ฉันตื่นเต้นจนอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ และขอแยกตัวไปนอนก่อน เวลาผ่านไปไม่นานนักฉันได้เสียงเหมือนฝนกำลังตก ฟ้าแลบ และมีเสียงฟ้าผ่าตามมา ฉันรีบเอามือปิดหูเพราะกลัวเสียงฟ้าผ่า เสวี๋ยฉีที่กำลังเดินกลับเข้ามานอนเพราะฝนตก เห็นฉันนอนเอามือปิดหูจึงขยับเข้ามากอดแล้วช่วยเอามือเขามาปิดหูให้ฉันด้วย แล้วหัวเราะ "เจ้านี่เหมือนเด็กน้อยจริงๆ อย่ากลัวนะข้าอยู่นี่" ฉันซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเสวี๋ยฉี เขาทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น เขาทำให้ฉันกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ฉันคงขาดเขาไม่ได้เสียแล้ว เวลาผ่านไปสักพักฝนเริ่มตกเบาลง เสียงฟ้าผ่าเริ่มกลายเป็นเสียงฟ้าร้องครืนๆ ฉันจึงสามารถนอนหลับได้อีกครั้ง ฉันจูบเสวี๋ยฉีเบาๆก่อนนอนและหลับไปในคืนนั้น

          เช้านี้ฉันตื่นนอนเร็วกว่าทุกวันเพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวน้ำตกกับพี่ชายทั้งสี่ แต่เฟยเจินตื่นนอนก่อน และกำลังเดินหิ้วกระต่ายสี่ตัวมาจากเขตแนวป่าไผ่เขียว ฉันจึงกล่าวทักทาย

          อันฉี  : อรุณสวัสดิ์จ้า ตื่นแต่เช้าเชียว ไปล่ากระต่ายมาเหรอ หายดีแล้วใช่มั้ย
     เฟยเจิน  : ข้าหายดีแล้ว แต่กระต่ายเนี่ยข้าไม่ได้ออกไปล่ามาหรอก ข้าเห็นกระต่ายถูกนำมาวางที่แนวเขตตรงโน้นจึงไปนำกลับมา ดูจากสีเหลืองนวลของกระต่ายแล้วน่าจะเป็นกระต่ายจากป่าตะวันออก ใครกันนะที่เอามาวาง?
          อันฉี  : สงสัยหลี่เฉียงไปล่ากระต่ายมาให้พี่ใหญ่แน่ๆ เพราะที่นี่ไม่มีใครไปล่ากระต่ายที่ป่าตะวันออก นอกจากเราออกไปเก็บสมุนไพรจึงค่อยล่ากระต่ายกลับมา
     เฟยเจิน  : หลี่เฉียงนี่เป็นใคร?
         อันฉี  : หลี่เฉียง คืองูเห่ายักษ์ที่เคยโจมตีเราที่ป่าตะวันออกไง เมื่อวานเขามาที่นี่มาขอทำงานรับใช้พี่ใหญ่ แต่พี่ใหญ่ปฏิเสธ พี่สามรู้สึกเห็นใจเลยให้หลี่เฉียงไปช่วยงานหยางกวางในป่าไผ่เขียว เช้านี้เขาเลยออกไปล่ากระต่ายเพื่อเอาใจพี่ใหญ่แน่ๆ น่าอิจฉาจังน๊า....
    เฟยเจิน  : เจ้าอย่าอิจฉาเลยเดี๋ยวข้าไปชงชามาเอาใจเจ้าแล้วกัน
         อันฉี  : งั้นต่อไปให้หลี่เฉียงทำหน้าที่ล่ากระต่ายดีกว่า เจ้าจะได้มีเวลาฝึกพลังเวทย์และช่วยงานอื่นของพวกพี่ๆด้วย
    เฟยเจิน  : ข้ายังไงก็ได้ เจ้ารู้มั้ยข้ามีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นี่ ได้เป็นพี่น้องกับพวกเจ้า ชีวิตของข้ามีความหมายขึ้นมาอีกครั้ง อ่อ...ตั้งแต่ข้าแลกจอกเหล้าเมื่อคืน ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายเสียแล้ว พอตื่นเช้าขึ้นมาข้ารู้สึกแปลกๆในร่างกาย คือรู้สึกกระปลี้กระเปล่า เหมือนจุดปรานที่เคยติดขัดถูกทะลวง รู้สึกสดชื่นมีเรี่ยวแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
        อันฉี  : นั่นสิ เจ้าดูแข็งแรงขึ้นหน้าตาดูสดชื่นจริงๆอ่า~ แก้มมีเลือดฝาด น่าร้ากกกก (ฉันหยิกแก้มเฟยเจิน) ข้ายังไม่ได้ดูเลยว่าเจ้าให้อาวุธอะไรกับข้า
  เฟยเจิน  : ข้าให้ขนนกคู่กับเจ้า ขนนกช่วยในการพยุงตัว หากเจ้าตกจากที่สูงขนนกจะช่วยพยุงตัวเจ้าไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ และขนนกสามารถพัดเพื่อสร้างลมพายุขนาดเล็กได้ อีกทั้งยังสามารถเหวี่ยงร่อนออกไปคล้ายกงจักรสำหรับโจมตีศัตรูระยะไกล ที่ปลายพัดติดใบมีดอาบยาพิษฝุ่นสุริยะของข้าไว้ด้วย เจ้าลองเรียกออกมาดูสิ
       อันฉี  : งั้นเรียกออกมาดูเลยนะ

          ฉันเรียกรอยสัญลักษณ์ขนนกของเฟยเจินออกมา เป็นขนนกอินทรีย์ทองสวยงามสามารถแยกออกเป็นสองชิ้น ฉันลองใช้ขนนกโบกเบาๆไปที่ยอดไผ่เกิดลมพายุหมุนขนาดเล็กพัดมาจนยอดไผ่โอนเอน เฟยเจินบอกว่าขนนกสามารถเปลี่ยนเป็นกิ๊บประดับผมได้หากฉันชอบ เขาจึงหยิบขนนกมาประดับผมให้ฉัน ฉันจึงตั้งชื่อกิ๊บขนนกว่า กิ๊บคู่เจินเจิน

     เฟยเจิน  : เจ้าตั้งชื่อให้เรียกง่ายดี หุหุ
          อันฉี  : ถ้าตั้งชื่อให้อลังการข้าจะจำไม่ได้น่ะ เดี๋ยวข้าไปปลุกพี่ใหญ่ก่อนนะ จะได้ไปเที่ยวน้ำตกกัน อ้อ...เจ้าไปเตรียมเหล้าไว้ด้วยนะ พวกพี่ๆชอบดื่มเหล้ากินกับปลาย่าง
    เฟยเจิน  : ได้

          ฉันเดินไปปลุกซิ่นหลิงและหยงเป่าที่กำลังนอนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วเดินไปที่เตียงเพื่อปลุกเสวี๋ยฉี ฉันจูบเขาเบาๆที่แก้มให้เขารู้สึกตัวตื่น แล้วนำน้ำล้างหน้ามาวางไว้ให้ จากนั้นจึงเดินไปที่แปลงสมุนไพรเพื่อรดน้ำ เฟยเจินเดินมาช่วยฉันรดน้ำสมุนไพร ฉันบอกเฟยเจินว่ารดน้ำสมุนไพรเสร็จแล้วให้เขามาช่วยฉันฝึกซ้อมการใช้อาวุธขนนกระหว่างรอพี่ชายทั้งสามตื่น

          ฉันนำขนนกออกมาแยกออกเป็นสองชิ้น แล้วเหวี่ยงออกไป ตามคำแนะนำของเฟยเจิน ขนนกหมุนเป็นลักษณะวงกลมคล้ายจักร มันถูกเหวี่ยงออกไปแล้วหมุนวนกลับมาคล้ายบูมเมอร์แรง เฟยเจินสอนให้ฉันหัดหมุนตัวเพื่อลดทอนแรงปะทะเมื่อขนนกหมุนวนกลับมาด้วยความเร็ว และสามารถเหวี่ยงออกไปอีกรอบอย่างต่อเนื่องเมื่อขนนกหมุนวนกลับมาอยู่ในมือ

          อันฉี  : ว้าวๆ เยี่ยมไปเลย แล้วขนนกนี่สามารถทำให้ข้าบินได้มั้ย?
     เฟยเจิน  : บินไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยพยุงตัวเจ้าไม่ให้ได้รับบาดเจ็บขณะตกจากที่สูง คล้ายๆการร่อนลงพื้นของนก ถ้าเจ้าอยากบินก็ขึ้นขี่ข้าได้ ข้าจะเป็นพาหนะให้เจ้า
          อันฉี  : เจ้าน่ารักที่สุดเจินเจินน้อยของข้า
     เฟยเจิน  : เจ้าจะเรียกข้าว่าเจินเจินน้อยก็ได้ ข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่ข้าจะไม่เป็นน้องชายให้เจ้าหรอก เจ้าต่างหากที่ต้องเป็นน้องสาวของข้า ข้าควรเรียกเจ้าว่าอันฉีน้อย หรือเรียกเจ้าว่า น้องห้า ดีนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
         อันฉี  : ฮึ! วันนี้ข้าขอท้าชิงตำแหน่งกับเจ้า เจินเจิน! มาสู้กับข้า! (ฉันวิ่งไล่ตีเฟยเจินไปรอบบ้าน)
    ซิ่นหลิง  : เฮ้อ!... เจ้าสองคนเอะอะอะไรกันแต่เช้าเนี่ย?! (ซิ่นหลิงเดินมานั่งจิบน้ำชาที่เฟยเจินวางเตรียมไว้ที่ชานบ้าน) เอ๊ะ! นี่กระต่ายใครล่ากระต่ายมาแต่เช้า
        อันฉี  : (ฉันเลิกไล่ตีเฟยเจินแล้ววิ่งกลับมาหาซิ่นหลิงและพูดว่า...) หลี่เฉียง เป็นคนล่ากระต่ายแล้วนำมาวางตรงแนวเขตไผ่เขียวโน่น เพื่อเอาใจพี่ใหญ่แน่เลย! พี่สามมอบงานล่าสัตว์ให้หลี่เฉียงเลยดีมั้ย ท่านจะได้ไม่ตัองออกไปล่าสัตว์เองไง จะได้มีเวลาไปควบคุมสมุนแมงมุมของท่านด้วยดีมั้ย?
   ซิ่นหลิง  : อืม ดีเหมือนกัน... ฮึ่ย! แต่หลี่เฉียงไม่ใช่ลูกน้องของข้า ข้าจะออกคำสั่งมากไม่ได้หรอก
       อันฉี  : แต่ท่านออกคำสั่งไปแล้วเมื่อวาน ถ้าท่านไม่มอบหมายงานให้เขาทำ พี่ใหญ่ก็คงจะไม่มอบหมายงานอะไรให้เขาแน่ๆ พี่ใหญ่น่ะเย็นชากับหลี่เฉียงจะตายน่าสงสารเขาออก ท่านนั่นแหละต้องมอบหมายงานให้เขาทำ เขาจะได้มีกำลังใจ อีกอย่างเมื่อเขามีงานทำก็จะไม่มีเวลามาเกาะแกะพี่ใหญ่ให้พี่ใหญ่หงุดหงิด ท่านคิดว่าแบบนี้ดีมั้ย
   ซิ่นหลิง  : อืม ความคิดดี ข้าเบื่อมากเวลาพี่ใหญ่หงุดหงิด เหมือนหญิงแก่ขี้บ่น ฮ่าฮ่าฮ่า
       อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะฟัองพี่ใหญ่
  ซิ่นหลิง  : เฮ้ย! เจ้านี้! เจ้าน้องทรยศ (ซิ่นหลิงล็อคตัวฉันไว้แล้วจักจี้เอวไม่ให้วิ่งไปฟัองเสวี๋ยฉี)
       อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ยอมแล้วววว
  เฟยเจิน  : นัองห้า, พี่สาม มากินซาลาเปารองท้องก่อนเถอะ

          หยงเป่าและเสวี๋ยฉีที่ตื่นนอนได้สักพักกำลังเดินมาที่ชานบ้านแล้วนั่งลง เฟยเจินรินน้ำชาให้เสวี๋ยฉี และหยงเป่า

      หยงเป่า  : นั่น! ใครล่ากระต่ายมาแต่เช้า
      เฟยเจิน  : หลี่เฉียง นำมาวางไว้ที่แนวเขตป่าไผ่เขียว ข้าจึงนำมาวางไว้ตรงนี้ จะให้นำกระต่ายไปย่างที่น้ำตกด้วยมั้ย? เหล้าข้าเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
     หยงเป่า  : เอาไปด้วยสักสองตัว กระต่ายป่าทางตะวันออกรสชาติดี เอาไปย่างกินแกล้มเหล้าจะอร่อยมาก
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ดูนี่กิ๊บขนนกสวยป่าว เจินเจินมอบให้ข้า
      เสวี๋ยฉี  : สวย เหมาะกับเจ้ามาก
         อันฉี  : พี่รอง ขนนกของเล่นใหม่ท่านชอบมั้ย จี๋ จี๋ จี๋ จี๋
    หยงเป่า  : ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่แมว! แฮ่ แฮ่ แฮ่ (หยงเป่าแกล้งงับที่ขนนก)
         อันฉี  : พี่รอง หลังจากกลับจากเที่ยวน้ำตกเราไปหากระพรุนพิษดาวฟ้ากันมั้ย?
     เสวี๋ยฉี  : กระพรุนพิษดาวฟ้าเป็นกระพรุนน้ำจืดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำป่าทางใต้ใช่มั้ย?
   หยงเป่า  : ใช่ ข้าคิดจะไปหาอยู่เหมือนกัน
        อันฉี  : พี่รองให้ข้าไปด้วยนะ อยากไปเห็นป่าทางใต้สวยมั้ย?
   หยงเป่า  : สวย
        อันฉี  : พาเจินเจินไปด้วย เจินเจินสายตาดี จะได้ช่วยกันมองหา
   หยงเป่า  : ดี จะได้ไม่เสียเวลามองหาเนิ่นนาน
     เสวี่ยฉี  : เจ้าหาเรื่องออกเที่ยวอยู่เรื่อย
        อันฉี  : แหม ก็ข้ายังไม่เคยเห็นป่าทางใต้ ถ้าไปแล้ว เคยเห็นแล้วก็จะไม่ร้องตามอีกแล้วล่ะ

          เรากินอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย จึงเริ่มออกเดินทางไปหุบเขาน้ำตก ฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวไปกับเสวี๋ยฉี เฟยเจินบินอยู่ข้างๆ และตามด้วยซิ่นหลิง กับหยงเป่า ทิวทัศน์ด้านล่างมีความสวยงามและป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้หลากชนิด สักพักเราก็บินมาถึงน้ำตก ซิ่นหลิงไม่พูดพร่ำทำเพลงกระโดดลงแอ่งน้ำตกก่อนคนแรก และตามด้วยหยงเป่า ส่วนฉันไปยืนปรับสภาพบนโขดหินสูงใต้น้ำตกก่อน แล้วค่อยกระโดดลงในแอ่งน้ำตกที่มีซิ่นหลิงและหยงเป่ารอก่อนอยู่แล้ว เสวี๋ยฉียังไม่เล่นน้ำตกแต่นั่งดื่มเหล้าอยู่บนโขดหิน สักพักเขาก็เดินไปนั่งเล่นใต้น้ำตกตรงโขดหินสูง ส่วนเฟยเจินที่ว่ายน้ำไม่เป็นจึงอาสาไปเก็บฟืนเพื่อมารอก่อไฟย่างปลา และอาสาหาปลามาเตรียมรอย่างด้วย
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 18
(คนแปลกหน้าจากเมืองหลวง)

          เฟยเจินได้ปลาและฟืนมาวางกองไว้ แล้วเดินมาเล่นน้ำตกบนโขดหินสูงที่เสวี๋ยฉีนั่งเล่นอยู่ ซิ่นหลิงเรียกเสวี๋ยฉีให้กระโดดลงไปเล่นน้ำในแอ่งน้ำตกด้วยกันแต่เขาไม่ลงไป ฉันจึงอาสาจะขึ้นไปตามเสวี๋ยฉี ฉันปีนโขดหินขึ้นไปดึงมือเสวี๋ยฉีให้ลงไปเล่นน้ำในแอ่งแต่เสวี๋ยฉีไม่ยอมลง ฉันจึงไม่บังคับเขาอีก และจะกลับลงไปเล่นน้ำกับหยงเป่าและซิ่นหลิงด้านล่าง ก่อนลงฉันแกล้งเสวี๋ยฉีด้วยการพูดเล่นและทำมือคล้ายพระโพธิสัตว์ว่า "ในเมื่อเจ้าไม่ลงไปเล่นกับข้า ข้าก็จะไม่บังคับแต่จะประทานพรให้เจ้ามีความสุข จงรับน้ำศักดิ์สิทธิ์" จากนั้นฉันเอามือรองน้ำตกมาอมไว้ในปากแล้วพ่นน้ำใส่เสวี๋ยฉีและเฟยเจินเต็มหน้า จากนั้นฉันหันไปพ่นน้ำใส่หยงเป่าและซิ่นหลิงที่อยู่ด้านล่างต่างว่ายน้ำหลบหนีกันพัลวัน ฉันหัวเราะร่าชอบใจที่แกล้งพวกเขาได้ ทันไดนั้นเสียงเสวี๋ยฉีก็ดังขึ้น "งั้นเจ้าต้องเจอฝ่าเท้ายูไล!" เสวี๋ยฉีถีบฉันตกลงไปในแอ่งน้ำ "จ้ากกกกก" ฉันร้องเสียงหลงผสมเสียงหัวเราะกันลั่น แล้วเสวี๋ยฉีก็กระโดดตามลงไปในแอ่งน้ำตก เราเล่นสาดน้ำใส่กันสนุกสนานเหมือนเด็กๆ เล่นน้ำกันได้สักพักใหญ่ๆ เราจึงชักชวนกันมาย่างปลา ย่างกระต่ายกินกัน ฉันมองไปที่เฟยเจินเห็นเขาหัวเราะร่าเริงสนุกสนานฉันเองก็รู้สึกสบายใจและมีความสุขที่ได้เห็นเขามีความสุขกับครอบครัวใหม่ พี่ชายทั้งสามนั่งดื่มเหล้ากันเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้ดูเฮฮามากกว่าตอนนั่งดื่มอยู่ที่บ้าน คงเป็นเพราะได้เปลี่ยนสถานที่ดื่มเหล้า และเราอยู่กันพรัอมหน้าจึงทำให้รู้สึกสนุกมากขึ้น

          เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกกันเป็นเวลานาน จนเวลาตกบ่ายแก่ๆเราจึงเริ่มเดินทางกลับบ้าน เราทั้งสนุกและทั้งเหนื่อยพอกลับถึงบ้านฉันก็นอนหนุนตักเสวี๋ยฉีงีบหลับ มีซิ่นหลิงและเฟยเจินงีบหลับอยู่ใกล้ๆ ไม่นานนักฉันตื่นเพราะได้ยินเสียงเฟยเจินที่ตื่นแล้ว กำลังเตรียมตัวออกไปหากระพรุนพิษดาวฟ้า ฉันอยากนอนต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ต้องลุกขึ้นตื่นเพราะฉันบอกหยงเป่าไว้ว่าจะขอติดตามไปป่าทางใต้ด้วย

          ฉันขึ้นขี่หลังหยงเป่า เราทะยานออกจากป่าไผ่เขียวมุ่งหน้าสู่ป่าทางใต้ เราผ่านต้นอัคคีสวรรค์ฉันบอกหยงเป่าว่าขากลับให้แวะที่ต้นอัคคีสวรรค์ ฉันจะเก็บผลอัคคีกลับไปกินที่บ้าน เรามาถึงแม่น้ำที่มีกระพรุนพิษดาวฟ้าอาศัยอยู่ เวลานี้เป็นช่วงเวลาเย็นใกล้ค่ำจึงทำให้มองเห็นกระพรุนพิษดาวฟ้าที่เรืองแสงจากรอยวงฟ้าที่ตัวของมัน กระพรุนชนิดนี้มีพิษรุนแรงที่ปลายหนวด มันสร้างรอยวงฟ้าที่ตัวเพื่อหลอกล่อเหยื่อให้มาติดกับ

          เฟยเจินอาสาบินขึ้นไปมองหาจากด้านบนเพราะสามารถมองเห็นได้ดีกว่า และอาสาจับกระพรุนพิษดาวฟ้า ฉันและหยงเป่าจึงรออยู่บนฝั่งและหาสมุนไพรอื่นๆรอเฟยเจิน จนได้กระพรุนพิษดาวฟ้าหลายตัวเราจึงตกลงว่าจะกลับไปที่ต้นอัคคีสวรรค์เพื่อเก็บผลอัคคี เราออกห่างจากแม่น้ำมาได้ไกลสักระยะก็ได้ยินเสียงคนโหวกเหวกจากทางในป่าอีกด้านหนึ่ง เฟยเจินที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลจากบนฟ้า บอกว่าเห็นมนุษย์จำนวนสองคนกำลังป่ายปีนต้นไม้หนีเสือดาวแดง หยงเป่าแปลกใจว่าทำไมมีมนุษย์เข้ามาในป่าลึกได้ขนาดนี้ เพราะส่วนใหญ่มนุษย์ที่พยายามบุกรุกเข้ามาในป่าอัคคีจะตายอยู่บริเวณชายป่าเพราะถูกสัตว์ร้ายจับกิน เราจึงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น ฉันเห็นชายหนุ่มที่ดูท่าทางแข็งแรงคนหนึ่ง และชายสูงอายุอีกคนหนึ่งกำลังอยู่บนต้นไม้ ชายหนุ่มที่มีท่าทางแข็งแรงกำลังใช้ดาบกวัดแกว่งปัดป้องเสือดาวแดงที่ปีนต้นไม้โจมตีเพื่อจับพวกเขากิน

          ชายหนุ่มและชายสูงอายุหันมาเห็นฉันที่ยืนมองพวกเขาอยู่ห่างๆทางด้านล่างกับหยงเป่าในร่างเสือดำ และเฟยเจินในร่างนกอินทรีย์ทอง ชายแปลกหน้าทั้งสองแสดงอาการตกใจปนประหลาดใจ และตะโกนบอกให้ฉันรีบหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว ชายสูงอายุตะโกนบอกว่า "อันตราย เจ้าหนูหนีไปเร็วๆเข้า" แล้วชี้นิ้วไปที่เสือดาวแดงที่กำลังโจมตีพวกเขาอยู่เป็นการบอกว่าเสือดาวแดงคือตัวอันตราย ฉันจึงรู้สึกได้ว่าชายแปลกหน้าทั้งสองคนมิได้มีความเห็นแก่ตัว แต่กลับยังหลงเหลือความห่วงใยผู้อื่นให้วิ่งหนีเอาตัวรอดแม้ในขณะที่ตัวเองกำลังเผชิญอันตรายที่อยู่ตรงหน้า จึงคิดว่าถ้าหากไม่ช่วยและปล่อยชายแปลกหน้าทั้งสองไว้แบบนี้พวกเขาต้องเป็นอาหารของเสือดาวแดงแน่ๆ แม้ชายหนุ่มคนนั้นจะมีท่าทางแข็งแรงและสามารถต่อสู้ แต่คงไม่มีทางเอาชนะเสือดาวแดงได้ เพราะสัตว์ร้ายในป่าอัคคีมีพิษและแข็งแรงกว่ามนุษยหลายเท่า

          ฉันจึงขอร้องหยงเป่าให้ช่วยชายแปลกหน้าสองคนไม่ให้ถูกเสือดาวแดงจับกินเป็นอาหาร หยงเป่าไม่อยากช่วยแต่เพราะฉันขอร้องเขาจึงจำใจต้องช่วยเหลือ หยงเป่าจึงคำรามใส่เสือดาวแดงด้วยเสียงอันดังและน่าเกรงขาม ส่วนเสือดาวแดงที่กำลังโจมตีชายแปลกหน้าทั้งสอง ได้ยินเสียงเสือดำคำรามจึงหันมาแยกเขี้ยวคำรามใส่เสือดำอย่างไม่พอใจ เสือดำหยงเป่าแยกเขี้ยวแล้วคำรามใส่อีกครั้ง และเดินย่างเท้าเข้าหาเสือดาวแดงอย่างไม่หวาดหวั่นและน่าเกรงขาม เสือดาวแดงรู้ว่าตัวเองมิอาจสู้ชนะจึงถอยหลังออกห่างและกระโจนลงต้นไม้วิ่งหายไปอีกทางของป่า ชายแปลกหน้าทั้งสองที่กำลังมองดูหยงเป่าขับไล่เสือดาวแดง เขาทั้งสองแสดงอาการหวาดกลัวหยงเป่าออกมาอย่างเห็นได้ชัด หยงเป่าเงยหน้ามองพวกเขาทั้งสองสะดุ้งจนกอดต้นไม้แน่น คงเพราะกลัวเสือดำกระโดดขึ้นไปจับกินบนต้นไม้ ทำให้ฉันนึกถึงภาพตัวเองครั้งที่เคยถูกเสือดำหยงเป่าไล่ล่าเมื่อครั้งที่ฉันมาที่นี่วันแรก เสือดำหยงเป่าในวันนั้นโหดร้ายและน่ากลัวยิ่งนัก

          ฉันเดินเข้าไปยืนข้างๆเสือดำหยงเป่าแล้วตะโกนบอกชายแปลกหน้าทั้งสองคนนั้นว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว เสือดาวแดงหนีไปแล้ว ให้ลงจากต้นไม้แล้วรีบออกไปจากป่านี่ซะ แต่ชายแปลกหน้าทั้งสองคนยังมีท่าทีหวาดระแวงสงสัยและหวาดกลัวหยงเป่า พวกเขาจึงตะโกนถามขึ้นมาว่า

   ชายหนุ่ม  : เจ้าเป็นใครทำไมมาอยู่ในป่านี้ แล้วทำไมถึงอยู่กับเสือดำได้ล่ะ เจ้าเป็นปีศาจรึ?
          อันฉี  : ข้าต่างหากที่ต้องถามพวกท่านน่ะมาทำอะไรกันที่นี่
ชายสูงอายุ  : แม่หนู! พวกข้าเข้ามาหาสมุนไพรไปรักษาท่านอ๋อง เอ่อ!...แม่หนูเป็นใครรึ?
          อันฉี  : ข้าเป็นมนุษย์ไม่ใช่ปีศาจหรอก (ฉันเกาหัวแกรกๆไม่แน่ใจ แล้วหันไปกระซิบถามเฟยเจินนกอินทรีย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ) เจินเจิน ข้ายังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ป่ะ?
     เฟยเจิน  : เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ (เขาหัวเราะ)
          อันฉี  : เอ่อ...บ้านข้าอยู่แถวนี้แหละ พวกท่านรีบลงมาเถอะปลอดภัยแล้ว รีบๆออกไปจากป่าที่นี่อันตราย ข้าเองก็จะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ถ้าพวกท่านจะไม่ลงมาก็ตามใจ แต่ข้าจะกลับบ้านแล้ว
ชายสูงอายุ  : เดี๋ยวก่อนแม่หนู! ช่วยอยู่รอก่อน คือเสือดำตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าเรอะ
          อันฉี  : เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เสือดำนี่คือพี่รอง พี่ชายสุดที่รักของข้า และนี่นกอินทรีย์ทองน้องชายที่น่ารักของข้า (เฟยเจินเอาปีกตีหลังฉัน) เอ๊ย! ไม่ใช่ นี่คือพี่สี่ พี่ชายที่น่ารักของข้า พวกท่านรีบลงมาเถอะข้าเมื่อยคอพูดคุยกับพวกท่านนานแล้ว
   ชายหนุ่ม  : ช่วยบอกพี่รองเสือดำของเจ้าอย่าทำร้ายพวกข้า ช่วยจับเสือดำไว้ทีพวกข้ากลัว
     หยงเป่า  : ถ้าพวกเจ้าไม่ทำร้ายน้องสาวของข้า ข้าก็จะไม่ทำร้ายพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าคิดทำร้ายน้องสาวข้าแม้แต่ปลายเล็บข้าจะฉีกเนื้อพวกเจ้าไม่ให้มีชิ้นดี และจะตามไปฆ่าพวกที่เหลือที่มากับพวกเจ้าทิ้งให้หมด (หยงเป่ามองด้วยสายตาดุดันแล้วขู่คำรามเสียงดัง)
   ชายหนุ่ม  : ห๊ะ! เสือดำพูดได้!
ชายสูงอายุ  : โอ๊ะ! เสือดำพูดได้! มหัศจรรย์แท้!
   ชายหนุ่ม  : พวกข้ามาดี แค่เข้ามาหาสมุนไพร ไม่เคยคิดทำร้ายใครที่นี่หรอก (พวกเขาค่อยๆปีนลงจากต้นไม้อย่างทุลักทุเลเพราะได้รับบาดเจ็บ)
        อันฉี  : พวกท่านได้รับบาดเจ็บกันเหรอ?
ชายสูงอายุ  : ใช่ ข้าตกลงมาจากต้นไม้ตอนที่พยายามปืนหนีเสือดาว สงสัยข้อเท้าข้าจะแพลง โอ้ย...
 ชายหนุ่ม  : แขนข้าถูกเสือดาวตะปบน่ะ แต่ไม่เป็นไรแผลแค่นี้ข้าทนไหว (เขายกแขนให้ฉันดูแผลแหวอะหวะเลือดไหลไม่หยุด)
        อันฉี  : อื๋อ!... ขนลุก! แผลใหญ่ขนาดนี้เดี๋ยวก็ตายหรอก หน้าท่านซืดเพราะเลือดไหลใหญ่แล้ว กงเล็บเสือดาวแดงมีพิษท่านได้รับพิษ ท่านคงจะตายก่อนกลับถึงบ้านแน่ มานั่งลงตรงนี้ เดี๋ยวข้าทำแผลให้ รอข้าแป๊บนึง เดี๋ยวข้าหาสมุนไพรห้ามเลือดก่อนนะ

          ฉันเปิดดวงตาปีศาจมองหาสมุนไพรโซ่โลหิต ที่ขึ้นอยู่ไม่ไกล แล้วเดินไปเด็ดใบโซ่โลหิตมาจำนวนหนึ่ง เดินกลับมาหาชายหนุ่ม จากนั้นนำน้ำดื่มที่ติดตัวมา นำออกมาจากกระเป๋าเวทย์แล้วเทน้ำราดลงบนบาดแผลเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนปากแผล จากนั้นฉันนำใบโซ่โลหิตมาใส่ปากเคี้ยวใม่ละเอียดมากนัก แล้วคายออกมาโปะที่บาดแผลของชายหนุ่ม

          อันฉี  : ข้าเคี้ยวยาอาจจะทำให้ท่านรู้สึกหยะแหยงนิดหน่อย แต่แผลจะหายเร็วรับรองไม่ตายแน่นอน ท่านเอามือกดยาที่แผลนี่ไว้นะ กดไว้จนกว่าจะรู้สึกหายเจ็บค่อยเอามือออก เข้าใจนะ (ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วทำตามที่ฉันบอกด้วยสีหน้า งุนงง)
   ชายหนุ่ม  : ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเป็นหมอรึ?
          อันฉี  : เปล่า ข้าเป็นแค่คนเก็บสมุนไพร (ฉันหันไปหาชายสูงอายุ) มา! ท่านลุงข้าขอดูขาท่านหน่อย
ชายสูงอายุ  : โอ้ย! ขาข้าเจ็บจนเดินไม่ไหว ข้าตกต้นไม้ลงมาแรงไปหน่อย
          อันฉี  : ท่านลุง ขัอเท้าแพลงบวมเป่งเลยแต่กระดูกยังไม่หัก แบบนี้รักษาง่าย ท่านถลกปลายขากางเกงขึ้นหน่อย ข้าจะรักษาให้แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ข้าจะจับตรงบริเวณที่ท่านเจ็บอดทนหน่อยนะ

         ชายสูงอายุถลกปลายขากางเกงขึ้น ฉันเอามือข้างหนึ่งจับที่ข้อขาบริเวณที่ปวดบวม และส่งพลังรักษาไปที่ข้อเท้า สักครู่อาการปวดบวมและขาที่แพลงก็หายเป็นปกติ ชายสูงอายุแปลกประหลาดใจมากที่ฉันสามารถรักษาข้อเท้าของเขาให้หายได้โดยเร็วแบบผิดธรรมชาติ ชายสูงอายุตื่นเต้นดีใจและเอื้อมมือมาจับที่มือฉันแน่น

ชายสูงอายุ  : แม่หนู! อัศจรรย์จริงๆเจ้าเป็นหมอเทวดาแน่ๆ ในที่สุดข้าก็พบหมอเทวดา ข้าคิดถูกแล้วที่เข้ามาที่นี่
          อันฉี  : ข้าไม่ใช่หมอ ข้าแค่รักษาแผลได้แค่นั้นเอง
ชายสูงอายุ  : ข้า หวังจิวซื่อ ข้าเป็นหมอหลวงในวัง เรียกข้าหมอหวังก็ได้ แล้วเจ้าล่ะ?
          อันฉี  : ข้า ไป๋หู่เซียหยาง ชื่อ อันฉี คือ...ข้าใช้แซ่ของพี่ชายข้าทั้งสี่คนน่ะ มันฟังดูแปลกๆแต่ข้าก็ภูมิใจ ท่านลุงเข้ามาหาสมุนไพรชนิดใดเหรอ เผื่อข้ามีก็จะแบ่งปันให้ พวกท่านมาที่นี่กันสองคนเหรอ?
   หมอหวัง  : พวกข้ามากันหลายคน กลุ่มที่เข้ามาในป่ากับข้าพวกเขาตายกันหมด เพราะถูกสัตว์รัายจับกินที่ชายป่า และมีคนอีกจำนวนหนึ่งรออยู่ที่ชายป่าด้านนอก ส่วนกลุ่มที่เข้ามาในป่ามีเพียงข้ากับจิ้นฝานที่รอดมาไดั ข้าเข้ามาหาผลอัคคี จะนำไปรักษาอาการป่วยของท่านอ๋องในวัง
          อันฉี  : ผลอัคคี สามารถรักษาโรคได้ด้วยเหรอ ข้าไม่คิดว่าผลอัคคีจะสามารถรักษาโรคได้หรอกนะ ท่านไปได้ยินได้ฟังมาจากที่ไหนว่าผลอัคคีรักษาโรคได้น่ะ ท่านถูกหลอกแล้วล่ะ
   หมอหวัง  : เจ้ารู้จักผลอัคคีด้วยรึ เคยเห็นด้วยหรือเปล่า ช่วยบอกข้าทีว่าอยู่ที่ไหน?
          อันฉี  : เคยเห็น แต่ผลอัคคีไม่ใช่ยารักษาโรคหรอก ผลอัคคีมีพิษร้ายแรงที่สุดในป่านี้ ขนาดสัตว์ที่มีพลังเวทย์สูงกินยังตาย ถ้ามนุษย์กินผลอัคคีเข้าไปแค่สัมผัสถูกลิ้นก็ตายแล้ว ผลอัคคีไม่ใช่ผลไม้รักษาโรค แต่เป็นผลไม้พิษคร่าชีวิตต่างหาก เชื่อข้าเถอะอย่าเก็บไปกินเลย
  หมอหวัง  : แต่ว่า...ท่านอ๋องกำลังป่วยหนัก มีเพียงผลอัคคีเท่านั้นที่สามารถรักษาได้ ได้โปรดเถอะโปรดบอกทางพวกเราด้วย แม้ต้องเสี่ยงตายด้วยชีวิตข้าก็ต้องไปเก็บผลอัคคี
   ชายหนุ่ม  : แม่นางน้อย ได้โปรดบอกเราเถอะ
          อันฉี  : เอาล่ะๆ จะพาไปด้วยก็ได้ ข้ากำลังจะไปที่ต้นไม้นั่นพอดี พี่รอง, พี่สี่ พาเขาสองคนไปเก็บผลอัคคีด้วยเถอะนะ เจ้านายของเค้าป่วยหนัก ช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ ขอร้องล่ะ
     หยงเป่า  : เจ้านี่ทุกทีเลย เอ้า มามา จะได้รีบกลับบ้านข้าหิวข้าวแล้ว
          อันฉี  : ท่านลุงกับพี่ชายคนนั้น....
   ชายหนุ่ม  : ข้า จิ้นฝาน
         อันฉี  : ท่านทั้งสองขึ้นขี่หลังพี่สี่ นกอินทรีย์ทองแล้วกัน ถ้าขึ้นขี่หลังเสือมีหวังตกหลังเสือแน่ๆ เราไปกันเลย!

          หมอหวังและจิ้นฝานขึ้นขี่หลังนกอินทรีย์ทองด้วยความตื่นเต้น เรากำลังมุ่งหน้าไปที่ต้นไม้อัคคีสวรรค์ เรามาถึงต้นอัคคีสวรรค์ที่ส่องสว่างไปด้วยเปลวเพลิงจากผลอัคคี ฉันรู้สึกเปรี้ยวปากอยากกินขึ้นมาทันที ฉันพาหมอหวังและจิ้นฝานเดินเข้าไปใต้ต้นอัคคีสวรรค์ ส่วนพี่ชายทั้งสองเดินตามมายืนอยู่ข้างๆ หมอหวังและจิ้นฝานมองดูต้นไม้อัคคีสวรรค์ด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้นที่ได้เห็นมัน

          อันฉี  : พวกท่านรออยู่ที่ใต้ต้นไม้นี่แหละ อย่าปีนขึ้นไปเลย เพราะต้นอัคคีสวรรค์มีพิษตั้งแต่ใบจนไปถึงราก ข้าจะขึ้นไปเก็บผลอัคคีเอง
   หมอหวัง  : ขอบใจแม่นางน้อยมากๆ เราจะได้ผลอัคคีไปรักษาท่านอ๋องแล้ว ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา...

           ฉันปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่วเพื่อเก็บผลอัคคีด้วยกลิ่นหอมหวานของผลอัคคีฉันจึงเก็บไปด้วยกินผลอัคคีไปด้วยความเอร็ดอร่อย ฉันเก็บผลอัคคีมาได้หลายผลแล้วจึงปีนกลับลงมาหาหมอหวังและจิ้นฝานที่ยืนรออยู่ใต้ต้นอัคคีสวรรค์ แล้วยื่นผลอัคคี 5 ผลในมือให้หมอหวัง

          อันฉี  : อ่ะ! ท่านลุงหมอหวังนี่ผลอัคคี แค่นี้พอมั้ย? 
   หมอหวัง  : โอ้ย! ร้อนๆ! ผลอัคคีร้อนยังกับไฟ
         อันฉี  : ก็ร้อนน่ะสิท่านลุง...ท่านก็เห็นว่ามีไฟลูกไหม้อยู่รอบๆผล นี่ขนาดแตะท่านยังร้อนจนแตะต้องไม่ได้ แล้วจะกินเข้าไปได้ยังไง?!
   จิ้นฝาน  : ไหนข้าทดลองหยิบดู โอ๊ย!! ร้อนดั่งไฟเผาจริงๆด้วย! แตะต้องไม่ได้เลย แต่ทำไมแม่นางน้อยถึงจับต้องได้ล่ะ?! ตอนที่เจ้าอยู่บนต้นไม้ข้าเห็นเจ้าเด็ดผลอัคคีกินได้ด้วย
          อันฉี  : ข้าคงเป็นปีศาจล่ะมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าล้อเล่นน่ะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันต้นไม้อัคคีสวรรค์คงอนุญาตให้ข้ากินผลอัคคีได้คนเดียวล่ะมั้ง แต่เชื่อข้าเถอะนี่คือผลไม้พิษ ท่านอ๋องของพวกท่านกินเข้าไปได้ตายแหงมๆ งั้นข้าจะวางผลอัคคีไว้ที่พื้นนี่ให้พวกท่านพยายามเอาไปละกัน แต่ข้ากับพี่ชายจะกลับบ้านกันแล้ว พี่ชายข้าหิวข้าว! อ้อ...ขากลับออกจากป่าก็ระมัดระวังกันด้วย พวกท่านควรกลับออกไปทางป่าทึบ ผ่านลำธารไปน่าจะปลอดภัยกว่ากลับทางเดิม ข้าไปล่ะ

          ฉันวางผลอัคคีไว้ที่ใต้ต้นไม้ให้ชายทั้งสองพยายามหยิบ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยิบเอาไปได้เพราะความรัอนที่เกิดจากไฟรอบๆผล ชายทั้งสองจึงรีบวิ่งมาหาฉันที่กำลังจะขึ้นขี่หลังหยงเป่าเพื่อกลับบ้าน ชายทั้งสองก้มศรีษะคำนับฉันกับพื้นแล้วพูดขึ้นว่า

          หมอหวัง  : แม่นางน้อย ได้โปรดช่วยท่านอ๋องของเราด้วย ท่านอ๋องป่วยหนักต้องการผลอัคคีไปรักษาจริงๆ ได้โปรดเถิด.....
          อันฉี  : โธ่! ท่านลุงหมอหวัง ทำไมท่านไม่เชื่อ ข้าไม่โกหกท่านหรอกนะ ผลอัคคีรักษาโรคไม่ได้ กินเข้าไปก็มีแต่ตายสถานเดียว
    หมอหวัง  : งั้นแม่นางน้อยได้โปรดนำผลอัคคีไปรักษาท่านอ๋องจะได้หรือไม่ แม่นางน้อยเจ้าเป็นหมอเทวดา รักษาข้อเท้าแพลงของข้าหายได้ในชั่วพริบตา ได้โปรดไปรักษาท่านอ๋องในวังด้วยเถอะ
     จิ้นฝาน  : เจ้าเป็นหมอเทวดาจริงๆ ดูสิแผลที่แขนของข้าเลือดหยุดไหลแล้ว แผลก็หายเจ็บแล้วแขนของข้าขยับได้ตามปกติ แม่นางน้อยได้โปรดเมตตาเราด้วย กรุณาไปรักษาท่านอ๋องด้วยเถิด จะให้ข้าทำอะไรข้าก็ยอม
        อันฉี  : ท่านทั้งสองอย่าทำแบบนี้สิ ลุกขึ้นเถอะ ข้าไปไม่ได้หรอก คือ...ข้าก็อยากช่วยอยู่หรอกนะ แต่ข้าต้องไปขออนุญาตพี่ใหญ่ก่อน
 หมอหวัง  : เราไปกันเลยข้าจะไปพบกับพี่ใหญ่ของเจ้า ข้าจะขอร้องเขาให้อนุญาตเจ้าไปรักษาท่านอ๋อง (หมอหวังดีใจและรีบร้อนจะไปพบพี่ใหญ่)

          ฉันขอร้องหยงเป่า และเฟยเจินอีกครั้งให้พาชายทั้งสองไปพบเสวี๋ยฉี หยงเป่าใจอ่อนจึงยินยอมพาชายทั้งสองกลับบ้านไปด้วยกัน หมอหวังและจิ้นฝานจึงขึ้นขี่หลังเฟยเจินอีกครั้งและบินกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว

          เรากลับมาถึงบ้านที่ป่าไผ่เขียวเห็นเสวี๋ยฉีกับซิ่นหลิงนั่งรอกินข้าวอยู่ที่ชานบ้าน หยงเป่าเมื่อกลับถึงบ้านจึงกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเดินไปนั่งที่ชานบ้านพร้อมจิบชา และเตรียมตัวกินข้าวเพราะความหิว ส่วนเฟยเจินเมื่อส่งหมอหวังและจิ้นฝานลงพื้น เฟยเจินจึงกลายร่างมนุษย์แล้วเดินไปในครัวเพื่อจัดเตรียมอาหาร สร้างความประหลาดใจอย่างมากให้หมอหวังและจิ้นฝานอีกครั้ง

     จิ้นฝาน  : พวกเขากลายร่างมนุษย์ได้ด้วย! ไม่อยากจะเชื่อ
   หมอหวัง  : พวกเขางดงามดุจเซียนจริงๆ เรารีบไปพบพวกเขากันเถอะ

          หมอหวังและจิ้นฝานเดินตามฉันไปที่ชานบ้านตรงไปหาเสวี๋ยฉีที่นั่งอยู่ ฉันจึงรีบเดินไปกอดเสวี๋ยฉีออดอ้อนเขาก่อนที่เขาจะวีนแตก ส่วนหมอหวังและจิ้นฝานเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเสวี๋ยฉีและพี่คนอื่นๆ

          อันฉี  : พี่ใหญ่...อย่าเพิ่งรมณ์เสียนะ ฟังข้าอธิบายก่อน
       เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้าไปเก็บใครมาอีกล่ะ ข้าไม่แลกจอกเหล้ากับใครอีกแล้วนะ (เสวี๋ยฉีทำหน้าหงิก)
          อันฉี  : ไม่ไดัเก็บใครมาเลี้ยง ไม่ได้แลกจอกเหล้า นี่คือหมอหวังจิวซื่อ เป็นหมอหลวง และนั่น จิ้นฝาน (จากนั้นจึงหันมาแนะนำหมอหวังให้รู้จักพี่ชาย)....ท่านลุงหมอหวัง นี่พี่ใหญ่ ไป๋เสวี๋ยฉี, พี่รอง หู่หยงเป่า เสือดำที่ท่านพบแล้ว, พี่สาม เซียซิ่นหลิง, และพี่สี่ หยางเฟยเจิน อินทรีย์ทอง ที่ท่านทั้งสองขี่หลังเขามา ท่านลุงหมอหวังเขามาขอร้องให้ข้าไปรักษาเจ้านายของเขาที่ป่วยหนัก ข้าเลยมาขออนุญาตพี่ใหญ่ก่อน
      เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่อนุญาต กลับไปซะ!
   หมอหวัง  : ท่านไป๋ได้โปรดฟังข้าก่อน ท่านอ๋องกำลังป่วยหนักหมอทั่วทุกสารทิศเดินทางมารักษาก็ไม่มีใครรักษาได้ตอนนี้อาการกำลังแย่ มีเพียงแม่นางน้อยที่จะรักษาท่านอ๋องได้ ได้โปรดช่วยท่านอ๋องด้วยเถอะ โปรดอนุญาตให้แม่นางน้อยไปกับเราด้วยเถิด
    เสวี๋ยฉี  : อ้อ...มาจากในวังกันสินะ
   จิ้นฝาน  : ใช่ขอรับ ขอได้โปรดท่านอนุญาตให้แม่นางน้อยไปรักษาท่านอ๋องด้วย จะให้ข้าทำอะไรข้าก็ยอมขอเพียงท่านสั่งข้าจะปฏิบัติตาม
    เสวี๋ยฉี  : ถ้าไปรักษาหายแล้วจะได้อะไร แล้วถ้ารักษาไม่หายแล้วจะไดัอะไร?!
  หมอหวัง  : ฮ่องเต้จะประทานทองคำและสิ่งของมีค่าจำนวนมากมายให้หากรักษาท่านอ๋องหาย แต่หากรักษาอาการป่วยไม่หายข้าจะส่งแม่นางน้อยกลับมาหาพวกท่านอย่างปลอดภัยข้าขอเอาหัวของข้าเป็นประกัน
      เสวี๋ยฉี  : เชอะ! ไม่เห็นอยากจะได้ กลับไปซะ!
         อันฉี  : พี่ใหญ่...ช่วยพวกเขาเถอะนะ ทองคำกับของมีค่า ข้าอยากได้
      เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้าเห็นแก่สิ่งของมีค่าตั้งแต่เมื่อไหร่?
          อันฉี  : เมื่อกี้! ข้าล้อเล่นน่ะ ข้าไม่อยากได้ของพวกนั้นหรอก อยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว แต่ข้าอยากไปรักษาท่านอ๋องเพราะข้าอยากช่วยเขาเอง ความจริงข้าก็อยากได้รางวัลบ้างนิดหน่อย คือข้าอยากเข้าไปเที่ยวในเมืองกับพวกพี่ๆทั้งสี่ อยากไปซื้อของ อยากดื่มเหล้าเยอะๆ อยากเที่ยวหลายๆวันในเมือง ก็ต้องมีค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นๆจำนวนมากเหมือนกัน และการไปรักษาท่านอ๋องก็สามารถมีเงินเยอะๆไปเที่ยวในเมืองได้ ข้าอยากมีเงินไปซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วซื้อเหล้าเยอะๆกลับมาบ้านไว้ให้พวกพี่ๆสุดที่รักของข้าดื่มด้วย
     เสวี๋ยฉี  : โธ่! สาวน้อยสุดที่รักของข้า ถ้าเจ้าอยากไปเที่ยวในเมืองเราไปเที่ยวด้วยกันตอนนี้ก็ได้ ส่วนเรื่องเงินยิ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยสักนิด ใบไม้ในป่ามีเยอะแยะ ข้าจะเสกให้กลายเป็นเงินเท่าไหร่ก็ได้ ไม่เห็นต้องออกไปทำงานหรือต้องไปรักษาใครให้ยุ่งยาก!
          อันฉี  : เดี๋ยวก่อน! ท่านเสกใบไม้เป็นเงินได้งั้นเหรอ (เสวี๋ยฉีพยักหน้ายิ้มภูมิใจ) งั้นทุกครั้งที่ท่านเข้าไปซื้อของในเมืองก็ใช้ใบไม้ซื้อของเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : ใช่ ชุดสวยๆของเจ้าซื้อได้ด้วยใบไม้ของข้า
          อันฉี  : พี่ใหญ่! ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ใช้ใบไม้ซื้อของเท่ากับเป็นการหลอกลวง ถือเป็นการขโมยทรัพย์
       เสวี๋ยฉี  : ขโมยตรงไหนข้าก็ใช้ใบไม้แลกมาแถมให้พิเศษไม่ต้องทอนด้วย
          อันฉี  : ท่านคิดตามข้านะ! สมมติว่าข้าออกไปรักษาท่านอ๋องแล้วข้าเองก็เหนื่อยเพราะต้องการเงินและทองคำมาไว้ใช้จ่าย แต่ฮ่องเต้กลับปลอมใบไม้เป็นเงินและทองคำให้ข้า และใบไม้ก็เอาไปซื้อของไม่ได้ ซื้อชุดสวยๆไม่ได้ ท่านคิดว่าข้าต้องทำงานเหนื่อยเปล่าโดยไม่ได้อะไรตอบแทน จริงหรือไม่? ท่านจะโกรธแทนข้ามั้ย?
     เสวี๋ยฉี  : ถ้าเจ้าฮ่องเต้กล้าปลอมใบไม้ให้เจ้า ข้าจะฆ่ามัน!
        อันฉี  : ท่านเองยังโกรธเลย แล้วพวกชาวบ้านที่ขายของให้ท่านล่ะ พวกเค้าก็ต้องโกรธ พวกเค้าก็เหนื่อยเปล่าที่ต้องหาของมาขายให้ท่านแล้วไม่ได้เงิน
    เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่สน!
       อันฉี  : แต่ข้าสน! ท่านอนุญาตให้ข้าไปรักษาท่านอ๋องเถอะนะ ได้เงินมาข้าจะเอาเงินไปคืนชาวบ้านที่ท่านซื้อของแล้วไม่จ่ายเงิน ....ท่านพี่ข้าอยากไปเที่ยวในเมืองกับพวกท่าน เราเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวในเมืองหลายๆวันกันเถอะนะ พี่ใหญ่..นะ น๊า
    ซิ่นหลิง  : ข้าว่า...นัองห้ามีความคิดน่าสนใจดีนะ ออกไปเที่ยวในเมืองเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี อยู่แต่ในป่าน้องห้าก็ต้องเบื่อเป็นธรรมดา (หันมาขยิบตากับฉัน)
   หยงเป่า  : อื้ม...ข้าก็ว่าดีเหมือนกันข้าก็อยากขออะไรบางอย่างกับฮ่องเต้ อีกอย่างข้าก็อยากไปเที่ยวในเมืองกับน้องห้าด้วย เฟยเจินเจ้าล่ะว่างัย?
  เฟยเจิน  : ข้ายังไงก็ได้ น้องห้าอยู่ที่ไหนข้าก็จะอยู่กับนางที่นั่น
    เสวี๋ยฉี  : นี่พวกเจ้าชักจะตามใจนางมากเกินไปแล้ว! เห็นดีเห็นงามกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฮึ่ม! ก็ได้ๆ งั้นเจ้าหมอหลวง จงฟัง! ข้าจะอนุญาตให้นางไปรักษาเจ้านายของเจ้า แต่พวกข้าต้องไปด้วย และหากนางได้รับอันตรายหรือคนในวังทำร้ายนางละก็...ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนในวัง รวมไปถึงคนในตระกูลของเจ้าทุกคนข้าจะฆ่าให้หมด
   หมอหวัง  : ขอบพระคุณท่านไป๋ ขอบพระคุณทุกๆท่านที่เมตตา ข้าขอเอาเกียรติหมอหลวงแห่งเมือง หลวนเซียน และศรีษะของข้าเป็นประกัน หากแม่นางน้อยได้รับอันตรายท่านมาเอาชีวิตของข้า และคนในตระกูลข้าไปได้เลย
   จิ้นฝาน  : ด้วยเกียรติของข้า จิ้นฝาน องครักษ์ ส่วนพระองค์ท่านอ๋อง เมิ่งเหวินหลง ข้าองครักษ์จิ้นฝานขอสาบานจะปกป้องแม่นางน้อยด้วยชีวิตของข้า จะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายนางได้
   หมอหวัง  : แม่นางน้อย เราไปกันเลยเถอะ ท่านอ๋องอาการหนักมาก ข้ากลัวจะไม่ทันการ
         อันฉี  : ท่านลุงหมอหวัง ข้าขอให้พี่ๆของข้ากินข้าวก่อนได้มั้ย พวกเขารอกินข้าวกับข้าจนหิวข้าวจะแย่ ถ้าพวกเขาโมโหหิวขึ้นมา พี่ชายข้าอาจจะกินท่านทั้งสองคนเป็นอาหารแทนก็ได้ เชื่อข้าเถอะโดยเฉพาะพี่รองเวลาโมโหหิวนี่สุดยอดโหดเหี้ยม
  หมอหวัง  : พี่รองนี่ หมายถึงท่านเสือดำใช่หรือไม่
        อันฉี  : ใช่
  หมอหวัง  : งั้นให้พวกเขากินข้าวกันก่อนเถอะ ...ข้ารอได้...เอ่อ...แม่นางน้อยเจ้ามีนกพิราบสื่อสารหรือไม่ ข้าจะขอส่งข่าวไปที่พระราชวังหน่อย ข้าจะแจ้งข่าวให้องค์ฮ่องเต้ทราบว่าข้าจะพาหมอเทวดาไปรักษาท่านอ๋อง อีกอย่างจะแจ้งเรื่องพี่ชายของท่านที่ไปด้วยกัน พวกเขาจะได้ไม่แตกตื่น และจะได้เตรียมที่พักและอาหารให้กับพวกท่าน
       อันฉี  : ข้ามีลิงน้อยส่งข่าวได้หรือไม่ ท่านเขียนจดหมายแล้วฝากลิงน้อยไป
 หมอหวัง  : ลิงน้อยก็ได้ ฝากลิงน้อยไปส่งจดหมายให้ทหารกองหนึ่งที่รอข้าอยู่นอกชายป่า เอาจดหมายให้ทหารแล้วทหารจะส่งจดหมายต่อไปที่วังหลวง
          อันฉี  : งั้นท่านเขียนจดหมายได้เลย ข้าจะเอากระดาษกับภู่กันมาให้ เสร็จแล้วข้าจะขอสอบถามถึงอาการป่วยท่านอ๋อง ข้าจะได้เตรียมยาและการรักษาได้ถูก เดี๋ยวข้าจะเรียกลิงน้อยมารอ (ฉันตะโกนเรียกลิงน้อย)...ไมเคิล...แอบเปิ้ล...ออกมาหาข้าหน่อย ข้ามีงานให้ทำ

          หมอหวัง และจิ้นฝานทำหน้า งง กับชื่อแปลกๆที่ฉันเรียกลิงน้อย สักครู่สองลิงน้อยก็วิ่งออกมาจากป่าไผ่เขียว เราพูดคุยกันและชี้มือชี้ไม้

          อันฉี  : เจ้าทั้งสองไปส่งจดหมายให้ทหารที่รออยู่ชายป่าด้านนอกทางใต้ตอนนี้เลยนะ รีบไปรีบกลับล่ะ
สองลิงน้อย  : ฮุๆฮุๆ เจี๊ยกๆ
          อันฉี  : จะไปทำงาน ตามไปด้วยไม่ได้หรอก ไม่ได้ไปเที่ยว
สองลิงน้อย  : เจี๊ยกๆเจี๊ยกๆ โฮ๊ะๆ (ชี้มือชี้ไม้)
           อันฉี  : นี่แอบฟังอยู่เหรอ ร้ายจริงๆ
 สองลิงน้อย : ฮุๆฮุๆฮุๆ โฮะๆโฮะๆ เจี๊ยกๆ
           อันฉี  : ครั้งนี้ให้ตามไปด้วยไม่ได้จริงๆ ตอนกลับจะซื้อขนมอร่อยๆมาฝาก ตกลงป่าว?
สองลิงนัอย  : ฮุๆ โฮ๊ะๆ
          อันฉี  : ดีมาก มา ไฮไฟวท์ กัน (ฉันและสองลิงน้อยทำท่าแปะมือกัน)

          หมอหวังและจิ้นฝานมองฉันคุยกับสองลิงน้อยอย่าง งง งวย พวกเขาไม่เข้าใจว่าฉันกับสองลิงน้อยคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง ซิ่นหลิงเดินมาหาฉันแล้วหัวเราะและบอกหมอหวังว่า

       ซิ่นหลิง  : นั่นเป็นภาษาลับของนางกับลิงน่ะ ยากที่พวกเราจะเข้าใจ น้องห้ามากินข้าวก่อนเร็วเจ้ายังไม่ได้กินข้าว

          ซิ่นหลิงเดินเอาข้าวมาป้อนฉันที่กำลังยุ่งอยู่กับธุระของหมอหวัง หมอหวังเขียนจดหมายเสร็จจึงให้จดหมายกับสองลิงน้อยไป และหันมาคุยกับฉันเรื่องสาเหตุและอาการของท่านอ๋อง ฉันจึงกินข้าวที่ซิ่นหลิงกำลังป้อน และพูดคุยกับหมอหวังไปด้วยพร้อมกัน

          หมอหวังเล่าว่า เมื่อหลายวันก่อนท่านอ๋องและฮ่องเต้ออกไปสู้รบกับปีศาจเยือกแข็งที่มารุกราน ท่านอ๋องถูกพิษเกล็ดเยือกแข็งของปีศาจเพราะเอาตัวเข้าบังรับกระบี่พิษแทนฮ่องเต้ พวกเขาต้านทับของปีศาจจนพวกปีศาจล่าถอยไป แต่ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส มีอาการหนาวปากสั่นตัวซีดอาการเป็นตายเท่ากัน ทั้งหมอหวังและหมอเก่งๆต่างเดินทางมารักษาอาการก็ไม่ดีขึ้น จนปัญญาจนต้องเดินทางมาหาผลอัคคีไปรักษาพิษเกล็ดเยือกแข็ง ทั้งๆที่ไม่มีความหวังว่าจะเจอผลอัคคีหรือไม่ พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่านอ๋อง

          อันฉี  : อืม...เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเตรียมยา
    หมอหวัง  : เจ้ามีวิธีรักษาใช่หรือไม่
          อันฉี  : ก็พอจะมีอ่ะนะ
    หมอหวัง  : รักษาด้วยวิธีใด เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ คือข้าต้องรายงานต่อฮ่องเต้ถึงวิธีการรักษาถึงความเป็นไปได้ในการรักษาด้วย นี่แม่นางน้อยข้าเชื่อใจว่าเจ้าจะรักษาท่านอ๋องได้ เพราะข้าเห็นการรักษาที่ไม่ธรรมดาของเจ้าด้วยตาของข้าเอง แต่ฮ่องเต้อาจจะไม่เชื่อถือหากได้เห็นเจ้า เพราะเจ้ายังมีอายุน้อยเนี่ยสิ
          อันฉี  : ข้าบอกท่านได้แค่ การรักษาท่านอ๋องต้องใช้พิษฆ่าพิษ ส่วนขั้นตอนการรักษาข้าบอกท่านไม่ได้จริงๆ (ฉันกระซิบบอกหมอหวัง) ....ถ้าขั้นตอนรู้ถึงหูพี่ใหญ่ เขาจะไม่ยอมให้ข้าไปเด็ดขาด รับรองท่านอ๋องได้ตายแน่นอน
   หมอหวัง  : ก็ได้ ข้าจะไม่ถาม แต่ฮ่องเต้.....
         อันฉี  : ข้ามีวิธี....(กระซิบ กระซาบลับๆ)
   หมอหวัง  : ตกลง!
         อันฉี  : นี่ เนื้ออะไรเนี่ยอร่อยมากเลย
     ซิ่นหลิง  : เนื้อกระต่ายเค็มตากแห้งจากป่าตะวันออก
         อันฉี  : อือ..อร่อยมาก พี่สามอย่าลืมบอกหลี่เฉียงทำแบบนี้ไว้อีกนะ ข้าชอบ (ซิ่นหลิงยกชามข้าวไปเก็บเพราะป้อนข้าวฉันอิ่มแล้ว)
    จิ้นฝาน  : พี่ชายของเจ้าเป็นห่วงเจ้ากันทุกคนเลย ป้อนข้าวกันเป็นเด็กน่ารักเชียว นี่ถ้าข้าไม่เห็นกับตาไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเองล่ะก็ ข้าจะไม่เชื่อเลยว่าเจ้าเป็นหมอเทวดา
         อันฉี  : ท่านอย่าเรียกข้าแบบนั้นเลย ข้าเป็นแค่คนเก็บสมุนไพร

         จิ้นฝานเดินตามฉันไปหยิบยาทาแผลสด ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ปวดเมื่อย ชาร่ำสุราแก้สร่างเมาใส่กระเป๋าเวทย์ จิ้นฝานจึงถามเพราะความสงสัย

       จิ้นฝาน  : นั่นยารักษาท่านอ๋องเหรอ?
           อันฉี  : เปล่า ยาพวกนี้สำหรับข้า ยาทาแผลสด ข้าจำเป็นต้องใช้สำหรับทำแผลให้ตัวเอง ส่วนยาแก้ปวดท้อง สำหรับข้ากินอาหารผิดสำแดง ยาแก้ปวดเมื่อย สำหรับทาแก้เดินเที่ยวในเมืองแล้วปวดเมื่อยขา ฮี่ฮี่ (ฉันหัวเราะ) ส่วนนี่ชาร่ำสุราชงดื่มแก้สร่างเมาสำหรับพี่ชายข้า
        จิ้นฝาน  : แล้วยารักษาท่านอ๋องล่ะ ไม่มีรึ
            อันฉี  : มี แต่เป็นความลับ บอกไม่ได้

          จากนั้นฉันและจิ้นฝานจึงเดินมาหาพวกพี่ๆที่กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย และเตรียมตัวเดินทางไปที่พระราชวัง หยงเป่าพูดกับซิ่นหลิงว่า

        หยงเป่า  : เจ้าสาม เจ้าเรียกหลี่เฉียงมาเป็นพาหนะให้มนุษย์สองคนนี้ทีสิ เจ้าสี่เป็นพาหนะของน้องห้า ไม่ใช่พาหนะของมนุษย์
        ซิ่นหลิง  : ข้าเข้าใจแต่ทำไมต้องให้ข้าออกคำสั่งกับหลี่เฉียง ในเมื่อเขาเป็นสมุนรับใช้พี่ใหญ่ เขาไม่ใช่สมุนของข้า
         เสวี๋ยฉี  : เจ้าสาม บอกหลี่เฉียงด้วยว่าส่งมนุษย์สองคนนั่นเสร็จแล้วก็ให้กลับ แล้วให้ทำเนื้อกระต่ายเค็มตากแห้งไว้เยอะๆเพราะเจ้าห้าชอบ (เสวี๋ยฉีพูดจบแล้วเดินผละไป)
       ซิ่นหลิง  : เดี๋ยวสิ! ฟังกันบ้างเซ่!

          หลี่เฉียงออกมาจากป่าไผ่เขียวมารอตามคำสั่งซิ่นหลิง เพื่อรับมนุษย์ไปส่งที่วังในเมืองหลวง หมอหวัง และจิ้นฝานตกใจที่เห็นหลี่เฉียง งูเห่ายักษ์มารอรับพวกเขา จากนั้นเสวี๋ยฉีจึงกลายร่างงูหยกหิมะขาว หยงเป่ากลายร่างเสือดำอสูรสายฟ้า ซิ่นหลิงกลายร่างแมงป่องแดงโลหิต และเฟยเจินกลายร่างอินทรีย์ทอง ส่วนฉันขึ้นขี่หลังเสือดำอสูรสายฟ้า เพื่อความคล่องตัวและรวดเร็วในการเดินทาง หมอหวังและจิ้นฝานต่างตกตะลึงมากขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อเห็นพวกพี่ๆกลายร่าง เมื่อทุกคนพร้อมเราจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่พระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลวนเซียน

          สักพักใหญ่ๆพวกเราก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงในเวลามืดค่ำ เราลงพื้นตรงลานกว้างในพระราชวัง ทหารในวังพากันตกใจแตกตื่นที่เห็นงูยักษ์สีขาวและงูยักษ์สีดำ เสือดำ แมงป่อง และนกอินทรีย์ทองยืนอยู่ในลานกว้าง ไม่นานนักก็มีทหารถืออาวุธวิ่งกรูกันออกมา หมอหวัง และจิ้นฝาน จึงปีนลงจากหลังหลี่เฉียง แล้วบอกทหารให้ไปรายงานฮ่องเต้เกี่ยวกับการมาของพวกเรา ทหารคนนั้นหายไปสักพัก ก็มีทหารแต่งตัวเต็มยศท่าทางมียศตำแหน่งสูงเพราะสังเกตุจากความอลังการของเครื่องแต่งกายกำลังขี่ม้าวิ่งออกมา แล้วแนะนำตัวว่าเป็นทหารองครักษ์ของฮ่องเต้ ชื่อฟู่เซียง จึงออกมาต้อนรับ และบอกอีกว่าขณะนี้ฮ่องเต้กำลังรออยู่ ทหารยศสูงคนนี้จึงนำเราเข้าไปเขตพระราชวังด้านใน

          ที่มีความโอ่อ่ากว้างขวางและงดงามมาก เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในพวกพี่ชายทั้งสี่จึงกลายร่างมนุษย์ตามเดิม ด้านในพบชายวัยกลางคน แต่ยังดูหล่อเหลา สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราชุดลายมังกรสีทอง งามสง่า น่าเกรงขาม นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสีทอง มองดูก็รู้เขาคือฮ่องเต้ ใกล้ๆมีหญิงสาวสวยสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราลายนกหงษ์สีทอง สวยงามสง่านั่งอยู่ข้างๆ เดาได้ไม่ยากอีกเช่นกันหญิงสูงศักดิ์ผู้นั้นต้องเป็นฮองเฮา และถัดมาอีกก็เป็นหญิงสูงศักดิ์เช่นกันหมอหวังกับจิ้นฝานเรียกนางว่าพระชายา ฉันมองไปรอบๆที่ขุนนางและทหารน้อยใหญ่ยืนเรียงกันอยู่ ไม่แน่ใจว่ายืนรอรับพวกเราหรือยืนรอเฝ้าฮ่องเต้กันแน่ แต่ที่แน่ๆท่านอ๋องที่เราเดินทางมารักษาน่าจะเป็นบุคคลสำคัญมากถึงขนาดฮ่องเต้ออกมารอพบด้วยตัวเอง อลังการจริงหนอ ....ฉันคิดในใจ

          หมอหวังแนะนำพวกเราที่ยืนต่อหน้าฮ่องเต้ และฮองเฮา ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

ขุนนางระดับสูง  : อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เมิ่งหลวนหลง ทำไมจึงไม่คุกเข่า บังอาจนัก!

          เสวี๋ยฉีที่ยืนอยู่เริ่มมีอาการหงุดหงิด ฉันจึงจับแขนเขาเป็นการบอกให้เขาใจเย็นๆและอยู่เฉยๆ เสวี๋ยฉีจึงยืนนิ่งๆดูเหตุการณ์ต่อ

    หมอหวัง  : ทูลฝ่าบาท โปรดพระราชทานอภัยโทษให้พวกเขาด้วยพะยะค่ะ พวกเขามาจากป่าอัคคีจึงไม่ทราบกฏระเบียบในวังหลวง นี่คือหมอเทวดา แซ่ ไป๋หู่เซียหยาง ชื่อ อันฉี พะย่ะค่ะ (เหล่าขุนนางทำเสียงฮือฮาแล้วซุบซิบ)
          ฮ่องเต้  : หมอเทวดา ที่มาจากป่าอัคคี คือแม่สาวน้อยคนนั้นรึ?!
       หมอหวัง  : พะย่ะค่ะ
          ฮ่องเต้  : หมอหวัง!!! เจ้าช่างบังอาจนัก ข้าอุตส่าห์ไว้ใจเจ้าให้ไปหาหมอดีๆมารักษาน้องข้า เจ้าขันอาสาจะไปหาผลอัคคี แต่นี่อะไรเจ้าทำงานผิดพลาด เจ้ายังพาเด็กสาวไม่รู้ประสามาหลอกลวงข้าว่าเป็นหมอเทวดาอีกเรอะ?! เจ้าอีกคนจิ้นฝาน เจ้าเป็นองครักษ์ของน้องข้าแต่กลับร่วมมือกันมาหลอกลวงข้า! พวกเจ้าทำให้ข้าเสียเวลา และผิดหวังมาก!
       จิ้นฝาน  : ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิบังอาจหลอกลวงพระองค์ แต่แม่นางน้อยอันฉีเป็นหมอเทวดาจริงๆพ่ะย่ะค่ะ
     หมอหวัง  : ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสามารถพิสูจน์ได้พ่ะย่ะค่ะ
        ฮ่องเต้  : เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร?!
     หมอหวัง  : ฝ่าบาทยังทรงมีอาการปวดหลังที่ยังรักษาไม่หายใช่ไหมพะย่ะค่ะ
        ฮ่องเต้  : ถูกต้อง
     หมอหวัง  : จะให้แม่นางน้อยรักษาฝ่าบาทตอนนี้พะย่ะค่ะ
        ฮ่องเต้  : ได้! ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้าจะรักษาโรคปวดหลังที่หมอเก่งๆหลายคนก็ยังรักษาไม่หายได้ยังไง
          อันฉี  :  ต้องให้ฮ่องเต้เปิดเสื้อ
ขุนนางระดับสูง  : เจ้าบังอาจสั่งฮ่องเต้ถอดเสื้อเรอะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง?!
       ฮ่องเต้  : ไม่เป็นไร ข้าจะถอดเสื้อ
          อันฉี  : เปิดเสื้อเป็นช่องเล็กๆก็พอ

          เมื่อฮ่องเต้เปิดเสื้อแล้วแหวกเสื้อเป็นช่องเล็กๆ ฉันจึงสอดมือเบาๆเข้าไปในเสื้อแล้วสัมผัสผ่านหน้าท้องช่วงบน ค่อยๆเลื่อนมือผ่านไปทางสีข้างเลื่อนมือช้าๆจนไปถึงด้านหลัง ตัวฉันแนบชิดเข้ากับตัวของฮ่องเต้จนแทบจะกอด ฮ่องเต้ก้มหน้ามองฉัน ลมหายใจร้อนๆของฮ่องเต้ที่หายใจรดหน้าฉัน สร้างความรู้สึกตื่นเต้นให้ฉันนิดหน่อย ผิวฮ่องเต้ช่างเรียบเนียนแม้ฮ่องเต้อยู่ในวัยกลางคน ฉันเงยหน้าถามฮ่องเต้ว่าบริเวณไหนที่ฮ่องเต้ปวดที่สุด ฉันคลำหาจุดที่ปวดตามจุดที่ฮ่องเต้บอกคลำมาถึงจุดกลางหลัง ฮ่องเต้บอกบริเวณจุดนั้น ฉันจึงวางมือลงบนจุดที่ปวดแล้วส่งพลังไปรักษาอาการปวดหลังนั้น ฮ่องเต้ถามว่าปวดเพราะอะไร ฉันจึงบอกฮ่องเต้ว่าเป็นอาการปวดหลังธรรมดาของคนแก่ นั่งทำงานนานๆจึงปวดหลัง สักครู่จึงดึงมือออกมาจากเสื้อของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ

         ฮ่องเต้  : อาการปวดหลังข้าหายแล้ว หายทันทีเลย เจ้าเป็นหมอเทวดาจริงๆ นี่น้องหญิงมานี่ เจ้าบ่นว่าปวดขัอมือมานานไม่หายสักที มานี่สิให้หมอเทวดารักษาเจ้า
       ฮองเฮา  : จริงเหรอเพคะ หลังของฝ่าบาทที่ปวดมานาน นางรักษาหายปวดทันทีเลยเหรอเพคะ ดี ลองรักษาข้อมือข้าดูซิ
          อันฉี  : ข้อมือของฮองเฮาอักเสบจากการปักผ้าเป็นเวลานาน ต้องหยุดพักสักเจ็ดวันอาการจะดีขึ้น แต่หากหักโหมปักผ้าอีกอาการเจ็บข้อมือก็จะกลับมาอีก จึงควรแบ่งเวลาช่วงหนึ่งปักผ้า และเวลาช่วงหนึ่งพักผ่อน ข้าจะจับข้อมือฮองเฮาเบาๆ จะทำให้ฮองเฮาเจ็บนิดหน่อยแต่จะเจ็บแค่แป็บเดียว

          ฉันส่งพลังไปรักษาข้อมืออักเสบใหัฮองเฮา สักครู่เดียวก็เสร็จ ฮองเฮาตื่นเต้นที่อาการข้อมืออักเสบหายเจ็บในทันที อีกทั้งท่าทีของฮ่องเต้ที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟในตอนแรก ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นฮ่องเต้และหมอหวัง จึงพาฉันไปตำหนักท่านอ๋องที่กำลังป่วย ทั้งจิ้นฝาน ฮองเฮาและพระชายาก็ตามเสด็จด้วย

          ที่ตำหนักท่านอ๋องสวยงาม โอ่อ่า แต่เงียบคงเพราะท่านอ๋องป่วยจึงไม่มีการส่งเสียงดังมากนัก พวกเขาพาฉันเดินเข้าไปถึงด้านในเป็นห้องนอนท่านอ๋องอีกห้องหนึ่ง เนื่องจากท่านอ๋องป่วยจึงถูกแยกออกมานอนที่ห้องนี้เพื่อความเงียบสงบ หมอหวังพาฉันเข้าดูอาการท่านอ๋องที่กำลังนอนป่วยอยู่บนเตียง ท่านอ๋องผู้นี้ ชื่อ เมิ่งเหวินหลง เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ผิวขาว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากเรียวบาง อายุน่าจะประมาณ 25 ปี รูปร่างแข็งแรง แต่เพราะถูกพิษเกล็ดเยือกแข็งบริเวณหน้าอกข้างซ้ายจึงทำให้ร่างกายขาวซีดเซียวคล้ายถูกแช่แข็ง ฉันจึงบอกให้ทุกคนออกไปรอข้างนอกห้องรวมทั้งพี่ชายทั้งสี่ของฉันก็ต้องรออยู่นอกห้อง แต่อนุญาตแค่หมอหวัง และฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถอยู่ได้ พระชายาขออยู่ดูการรักษาในห้องด้วย แต่ฉันก็ไม่อนุญาต ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับทุกคนว่าให้ทำตามที่ฉันขอ พวกเขาจึงจำใจออกไปรอนอกห้อง

          จากนั้นฉันจึงขอร้องฮ่องเต้และหมอหวังให้ปิดเป็นความลับเรื่องขั้นตอนการรักษาเพราะอาจเกิดผลกระทบทางจิตใจกับใครหลายๆคน ฮ่องเต้และหมอหวังจึงรับปากจะเก็บเป็นความลับ ฉันจึงเริ่มการรักษาขั้นตอนแรกคือการดูดพิษเกล็ดเยือกแข็งที่หน้าอกข้างซ้ายของท่านอ๋องก่อน ฉันให้หมอหวังช่วยประคองท่านอ๋องลุกนั่ง เพราะท่านอ๋องป่วยหนักจนไม่มีแรงลุกขึ้นนั่งไดัเอง ฮ่องเต้ที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆรีบเข้ามาช่วยประคองเพราะเป็นห่วงน้องชายมาก ฉันมองดูที่บาดแผลถูกแทงด้วยกระบี่อาบยาพิษเกล็ดเยือกแข็ง พิษสีน้ำเงินแทรกซึมไปตามเส้นเลือดจนเกิดรอยเส้นสีน้ำเงิน ทำให้ท่านอ๋องหนาวสะท้านถึงกระดูกเหมือนถูกแช่แข็ง ฉันบอกท่านอ๋องว่า "เจ็บหน่อยนะ ท่านต้องอดทน" ท่านอ๋องพยักหน้าตอบรับ ฉันใช้มือแตะที่หน้าอกเนื้อแน่นของเขา แล้วจึงก้มหน้าลงไปตรงแผลที่หน้าอก ใช้ริมฝีปากดูดพิษที่หน้าอก ท่านอ๋องร้องและดิ้นด้วยความเจ็บปวด ฉันจึงจำเป็นต้องขึ้นนั่งคร่อมบนตักท่านอ๋อง แล้วดูดพิษออกมาบ้วนพิษลงในกระโถนที่เตรียมไว้ พิษเกล็ดเยือกแข็งมีสีน้ำเงินเข้ม พิษมีความเข้มข้นและรุนแรง ทำเอาลิ้นฉันชาเพราะความเย็นจัดของพิษ พิษเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายฉันทำให้ฉันมีอาการหนาวขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่โชคดีที่ฉันมีร่างกายที่แปลกประหลาดเพราะในร่างกายของฉันสามารถสร้างภูมิต้านทานพิษขึ้นได้เอง

          ฉันก้มหน้าลงดูดพิษอีกครั้งท่านอ๋องเจ็บปวดมากและเอื้อมแขนมากอดรัดฉันไว้จนตัวฉันแนบสนิทกับเขา แม้เขาจะเจ็บป่วยแต่ยังมีเรี่ยวแรงกอดรัดฉันได้นี่เขาก็แข็งแรงไม่เบา ฉันค่อยๆดูดพิษออกจากหน้าอก จนท่านอ๋องเริ่มมีสติมากขึ้น ฉันเงยหน้าเพื่อมองสีหน้าเขา ใบหน้าที่ซีดขาวเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย ท่านอ๋องมองสบตากับฉันจนฉันเริ่มเขินอาย ฉันจึงถามอาการเขาแก้เขิน เขาค่อยๆตอบว่า "ที่เจ็บปวดทรมานคลายลงแล้ว แต่ยังหนาวลึกๆอยู่ข้างในกายข้า" พูดจบท่านอ๋องก็ซบใบหน้าลงบนไหล่ของฉันแล้วกอดแน่น ฮ่องเต้และหมอหวังที่นั่งประคองเขาอยู่ข้างๆแสดงอาการดีใจเป็นอย่างมากที่ท่านอ๋องพ้นขีดอันตราย ฉันขณะที่ยังนั่งคร่อมบนตักท่านอ๋องจึงกอดเขากลับ แล้วพูดกับเขาเบาๆว่า

          อันฉี  : พิษเกล็ดเยือกแข็งซึมเข้าถึงกระดูก ข้าจะใช้พิษร้อนดับพิษเย็นให้ท่าน แต่ท่านจะรู้สึกเจ็บปวดมากเจียนตาย ขอท่านจงอดทน ท่านอ๋องปล่อยข้าก่อนเถอะ
       ฮ่องเต้  : แม่นางน้อยอันฉี น้องชายข้าจะหายป่วยหรือไม่?
          อันฉี  : ท่านอ๋องจะหายป่วย ตอนนี้พิษถูกดูดออกจากร่างกายแล้ว แต่พิษเกล็ดเยือกแข็งส่วนหนึ่งซึมเข้าถึงกระดูกไปแล้ว ข้าจะรักษาขั้นตอนสุดท้ายคือใช้พิษฆ่าพิษ ต้องใช้พิษร้อนดับพิษเย็น จะทำให้ท่านอ๋องเจ็บปวดมาก ขอฮ่องเต้อย่าได้ตกใจหากเห็นท่านอ๋องร้องเจ็บปวด
       ฮ่องเต้  : เอ่อ...ท่านหมอหวัง มีความคิดเห็นอย่างไร
    หมอหวัง  : กระหม่อมมั่นใจว่าแม่นางน้อยอันฉี ต้องรักษาท่านอ๋องได้แน่
       ฮ่องเต้  : ได้ งั้นรีบรักษาเขา
          อันฉี  : ท่านอ๋อง ข้าจะป้อนยาให้ท่าน เมื่อลิ้นของท่านสัมผัสถูกยาท่านจะรู้สึกร้อนดั่งถูกไฟเผา เพราะฉะนั้นท่านต้องรีบกลืนยาลงไปโดยเร็ว เข้าใจหรือไม่
    ท่านอ๋อง  : (เขาเงยหน้าขึ้นมาจากซบไหล่ของฉัน แล้วพยักหน้ารับทราบ)

          ฉันจึงหยิบเอาผลอัคคีที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเวทย์ออกมา ฮ่องเต้ถึงกับอุทานตกใจเพราะเห็นผลอัคคีที่ฉันถืออยู่ในมือ จากนั้นฉันนำผลอัคคีใส่ในปากกัดและเคี้ยวเพียงครึ่งผลให้ละเอียด แล้วใช้ปากป้อนผลอัคคีเข้าไปในปากท่านอ๋อง เมื่อลิ้นท่านอ๋องสัมผัสถูกผลอัคคี เขามีอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที ฉันรีบจับใบหน้าท่านอ๋องไว้ให้นิ่งๆแล้วประกบริมฝีปากจูบท่านอ๋องอย่างรวดเร็ว ฉันสอดใส่ลิ้นเข้าไปในปากท่านอ๋อง และจูบแลกลิ้น เรากอดรัดกันแน่นอย่างเร่ารัอน ฮ่องเต้และหมอหวังที่ช่วยประคองท่านอ๋องไว้ต้องรีบปล่อยมือออกจากการประคองเพราะผลอัคคีแผ่ขยายความร้อนออกมาจนตัวท่านอ๋องร้อนดั่งไฟ ฮ่องเต้และหมอหวังนั่งมองการรักษาด้วยความประหลาดใจ ฉันกับท่านอ๋องยังคงจูบแลกลิ้นกันอยู่อย่างนั้น ท่านอ๋องกอดรัดและลูบไล้ด้านหลังของฉันไปทั่ว ฉันที่กำลังนั่งคร่อมบนตักท่านอ๋องถูกกอดรัดจนลำตัวแนบชิดสัมผัสถึงแท่งเนื้อแข็งที่กำลังเสียดสีกับเนินส่วนล่างของฉันอย่างจงใจ ฉันเอามือลูบตามลำตัวของเขาร่างกายเขาเริ่มคลายร้อนลงแล้ว ฉันเริ่มอ่อนแรงลงเพราะร่างกายได้รับผลกระทบจากพิษเกล็ดเยือกแข็ง ฉันพยายามเอามือผลักตัวท่านอ๋องออก แต่ท่านอ๋องไม่ยอมปล่อย เขากลับกอดรัดฉันแน่นขึ้นและจูบแลกลิ้นกับฉันไม่หยุด เขาดูดลิ้นฉันแรงขึ้นเหมือนจะกินเข้าไป เขาเริ่มเลื่อนมาจูบและซุกไซร้ซอกคอจนฉันเสียวไปทั้งตัว ฉันพยายามผลักเขาออกอย่างอ่อนแรงและร้องขึ้นว่า...

          อันฉี  : ท่านอ๋อง...ปล่อยข้าได้แล้ว....

          หมอหวังรีบขยับเข้ามาจับตัวท่านอ๋องไว้ไม่ให้กอดรัดฉันอีก และประคองจับท่านอ๋องไว้ให้สงบ ส่วนฮ่องเต้รีบเข้ามาประคองฉัน แยกฉันออกมาจากการกอดรัดของท่านอ๋อง ฮ่องเต้นั่งประคองกอดฉันไว้ในอ้อมแขน เอามือลูบไล้ที่แก้มด้วยความห่วงใย แล้วรีบถามฉันว่า

       ฮ่องเต้  : แม่นางน้อย เป็นอะไรรึเปล่า
          อันฉี  : ข้าไม่เป็นไร รีบให้คนหาผ้าชุบน้ำเย็นธรรมดามาเช็ดตัวท่านอ๋องให้คลายร้อน แล้วต้มยาบำรุงให้กิน ให้เขาพักผ่อนก็หายแล้ว
       ฮ่องเต้  : เขาหายแล้วจริงหรือ?!
          อันฉี  : อื้ม (ฉันพยักหน้าอย่างอ่อนแรง)
       ฮ่องเต้  : ขอบใจเจ้ามาก! ขอบใจ!

          ฮ่องเต้ดีใจจนลืมตัวกอดฉันแน่น แล้วตะโกนเรียกคนที่รออยู่ข้างนอกให้เข้ามา หมอหวังรีบสั่งคนให้หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวท่านอ๋อง และต้มยาบำรุงตามที่ฉันบอก เขารีบประคองท่านอ๋องให้นอนพัก ฮองเฮาและพระชายารีบวิ่งเข้าไปดูอาการท่านอ๋องที่รักษาหายแล้วด้วยความดีใจ ส่วนพวกพี่ชายทั้งสี่รีบกรูเข้ามาหาฉันด้วยความเป็นห่วง เสวี๋ยฉีรีบเข้ามาประคองกอดฉันแทนฮ่องเต้ แล้วรีบถามฉันว่า...

       เสวี๋ยฉี  : เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าดูหมดเรี่ยวแรงเช่นนี้ พวกมันทำร้ายเจ้ารึ?
          อันฉี  : เปล่า ไม่มีใครทำร้าย ข้าแค่ได้รับผลกระทบจากพิษเกล็ดเยือกแข็ง นอนพักคืนนี้ก็หายแล้ว
    หมอหวัง  : แม่นางนัอยข้าจะรีบไปต้มยาใหัเจ้าดื่ม บอกข้ามาต้องใช้ตัวยาอะไรบ้าง?
          อันฉี  : ไม่ต้องต้มยาให้ข้าหรอก แต่ข้าอยากกินเสี่ยวหลงเปา และขอเหล้าให้พี่ชายข้าดื่ม
       ฮ่องเต้  : ได้! นั่นคือสิ่งที่ข้าเตรียมให้พวกเจ้าไว้แล้ว ข้าเตรียมห้องพักไว้ให้พวกเจ้าทุกคน
    หยงเป่า  : พวกข้าจะพักอยู่ห้องเดียวกับอันฉี!
      ฮ่องเต้  : งั้น...ข้าจะยกตำหนัก เหลียนฮวา ให้พวกเจ้าพักอยู่ด้วยกัน จะพักอยู่นานเท่าใดก็ได้จนกว่าพวกเจ้าจะพอใจ องครักษ์ฟู่เซียง! สั่งคนจัดเตรียมอาหาร สุรา และนางรำ อ้อ...ส่งหญิงงามไปปรนนิบัติพวกเขาด้วย
       ฟู่เซียง  : พะย่ะค่ะ
       เสวี๋ยฉี  : เดี๋ยว! แค่อาหาร และสุราก็พอ
        ฮ่องเต้  : ตามใจพวกเจ้า

          เฟยเจิน เข้ามาอุ้มฉันเดินตามทหารนำไปตำหนักเหลียนฮวา พร้อมด้วยพี่ชายทั้งสามที่เดินตามไปด้วยกัน เฟยเจินอุ้มฉันอย่างระมัดระวังฉันกอดเขา ซบหน้าลงตรงหน้าอก ดมกลิ่นกายหอมอ่อนๆจากตัวเขา ฉันเงยหน้ามองเขาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า "ข้าง่วงนอน" เฟยเจินมองกลับลงมาที่ฉันแล้วจูบลงบนหน้าผากทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นที่สุด เสวี๋ยฉีที่เดินอยู่ข้างๆบ่นงึมงำที่ฉันไม่ยอมให้เขาอยู่ด้วยตอนรักษาท่านอ๋อง ฉันจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า ขณะทำการรักษาฉันต้องการอากาศถ่ายเท การมีคนอยู่ในห้องจำนวนมากทำให้อากาศถ่ายเทน้อยจนอึดอัด และที่อนุญาตให้หมอหวังอยู่ตอนรักษาเพราะต้องการสร้างความมั่นใจให้ฮ่องเต้ว่าท่านอ๋องจะปลอดภัย ส่วนฮ่องเต้เป็นพี่ชายของท่านอ๋องและเป็นห่วงท่านอ๋องมากจึงจำเป็นต้องให้อยู่ด้วยเช่นกัน ฉันจึงพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เขาเลิกบ่น โดยขอร้องให้เสวี๋ยฉีเช็ดตัวให้เมื่อถึงตำหนัก เสวี๋ยฉีจึงหยุดบ่น

          พระราชวังนี้กว้างใหญ่เราเดินตามทหารมาได้สักพักก็ถึงตำหนัก เหลียนฮวา ตำหนักนี้งดงามสมชื่อ ตัวตำหนักตั้งอยู่กลางสระบัวสีชมพู มีสะพานทอดยาวข้ามสระบัวไปที่ตัวตำหนัก และบริเวณโดยรอบเป็นสวนที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ดอกไม้และอ่างบัวชนิดต่างๆอย่างสวยงาม ภายในตัวตำหนักกว้างขวางตกแต่งด้วยข้าวของราคาแพงงดงามหรูหรา นางกำนัลเริ่มทยอยยกข้าวของเครื่องใช้จำเป็นเข้ามาในตำหนัก รวมทั้งเหล้า และอาหารจำนวนมากถูกนำเข้ามาวางบนโต๊ะอาหารที่ตั้งไว้ตรงชานชมดอกบัว รวมทั้งเสี่ยวหลงเปาที่ฉันอยากกิน หยงเป่าและซิ่นหลิงจึงเริ่มดื่มเหล้ารอให้ฉันเช็ดตัว ส่วนเฟยเจินเดินไปจัดเตียงเตรียมไว้ให้ฉันนอน

          เสวี๋ยฉีพาฉันไปที่ห้องอาบน้ำ เขาช่วยถอดเสื้อออกให้ฉันจนเห็นหน้าอก เขามองที่หน้าอกของฉัน แม้ฉันอยู่กับเขามานาน และนอนเตียงเดียวกับเขาจนชิน ฉันก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ดี เสวี๋ยฉีก้มหน้าลงมาจูบที่เนินอก แล้วจูบขึ้นมาที่คอ จูบที่ริมฝีปากฉันเบาๆ จากนั้นเขาเอาหน้าผากมาจรดที่หน้าผากกับฉันแล้วพูดว่า

        เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย เจ้าไม่เห็นต้องมาลำบากขนาดนี้ อยู่ที่บ้านข้าก็ดูแลเจ้าได้
          อันฉี  : การช่วยชีวิตมนุษย์นั่นคือสิ่งที่ควรกระทำ พี่ใหญ่...ข้ารู้แล้วว่าข้าจะทำอะไร ข้าอยากเป็นหมอ ข้าอยากให้ท่านสนับสนุนข้า
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าอย่าเป็นหมอเลยนะ อยู่บ้านเฉยๆ ถ้าเหงาก็ออกไปเที่ยวเล่นดีกว่าเป็นหมอเป็นไหนๆ ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวทุกวัน
          อันฉี  : พี่ใหญ่...ข้าอยากเป็นหมอ
       เสวี๋ยฉี  : เอาล่ะๆ เรื่องนี้ค่อยคุยกันภายหลัง ตอนนี้เช็ดตัวเจ้าก่อน แล้วไปกินเสี่ยวหลงเปาและรีบเข้านอน

          เสวี๋ยฉีค่อยๆเช็ดตัวให้ฉันอย่างเบามือ มือนิ่มๆของเขาที่ค่อยๆลูบไล้สัมผัสฉันกำลังกระตุ้นความรู้สึกวาบหวิว ฉันอยากเข้าไปจูบและลูบคลำเขาแต่ฉันไม่มีแรง ฉันจึงมองหน้าเขาแล้วแอบยิ้ม เสวี๋ยฉีเช็ดตัวให้ฉันเสร็จและใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เราเดินออกมาเห็นหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจินนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารตรงชานชมดอกบัว เสวี๋ยฉีประคองฉันให้เดินไปหาพวกพี่ทั้งสาม ฉันมองไปรอบๆตำหนักนี้ช่างสวยงามและบรรยากาศดี เรานั่งกินอาหาร ดื่มเหล้าและชมความงามของดอกบัว เฟยเจินจึงเสนอความคิดขึ้นว่า เราน่าจะขุดสระแล้วปลูกบัวสวยๆแบบนี้ที่บ้านในป่าไผ่เขียว จะได้ช่วยเพิ่มสีสันให้กับบ้าน ฉันและซิ่นหลิงก็เห็นด้วยกับเฟยเจิน เราจึงตกลงกันจะขุดสระบัวที่บ้านในป่าไผ่เขียว ฉันกินอาหารอิ่มและขอแยกตัวไปนอน หยงเป่าอาสาพาฉันเข้านอน

          ระหว่างเดินไปที่เตียงหยงเป่าพูดว่าจะขอฮ่องเต้ให้พระราชทานเขตคุ้มครองที่ป่าอัคคี ห้ามมนุษย์ลักลอบเข้าไปป่าอัคคีเพราะมีมนุษย์จำนวนมากถูกสัตว์ร้ายกินเนื่องจากมนุษย์โลภมากเข้าไปขโมยเก็บสมุนไพร ฉันจึงตอบตกลงจะขอกับฮ่องเต้ หยงเป่าพาฉันเข้านอนเขาลูบหัวแล้วพูดว่าให้ฉันหายไวๆจะได้ไปเที่ยวที่ตลาดด้วยกัน จากนั้นหยงเป่าก็จูบที่หน้าผากของฉัน และจูบที่ริมฝีปากฉันหนึ่งครั้ง ฉันเอื้อมมาจับที่แก้มหยงเป่าและบอกกับเขาว่า "นานแล้วที่ท่านไม่ได้จูบข้า ข้ายังคงคิดถึงความอ่อนโยนของท่าน" หยงเป่ายิ้ม แล้วก้มมาจูบแลกลิ้นกับฉันอีกครั้ง เขาจูบฉันอย่างดูดดื่มแต่อ่อนโยน จากนั้นเขาก็ห่มผ้าให้ฉันแล้วเดินกลับไปดื่มเหล้าต่อกับพวกพี่ๆ

          คืนนี้ฉันนอนแม้จะห่มผ้าแต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่คงเพราะอาการข้างเคียงจากพิษเกล็ดเยือกแข็ง ฉันลุกขึ้นมากินผลอัคคีแก้หนาว แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่เล็กน้อย ฉันจึงร้องเรียกเสวี๋ยฉีที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ชานชมดอกบัว

          อันฉี  : พี่ใหญ่... 
       เสวี๋ยฉี  : ข้ามาแล้ว ข้าอยู่นี่แล้ว สาวน้อยเจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?
         อันฉี  : ข้าหนาว...ท่านจะนอนหรือยัง จะให้กอดข้าหน่อย
      เสวี๋ยฉี  : โธ่! เจ้าหนาวหรอกรึ มา ข้าจะกอดเจ้านอน
         อันฉี  : ท่านยังดื่มอยู่หรือเปล่า?
      เสวี๋ยฉี  : ไม่แล้ว ข้ากำลังจะเข้านอนอยู่พอดี มาเถอะคนดีของข้า

          เสวี๋ยฉีขยับตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วสอดแขนให้ฉันหนุนนอน ฉันพลิกตัวหันหน้าเข้าหาเขา ขาข้างหนึ่งของฉันสอดเข้าหว่างขาเสวี๋ยฉีเพื่อกอดก่ายขาข้างหนึ่งเขาไว้ โอบกอดเขาแน่น เสวี๋ยฉีจูบลงบนศรีษะของฉัน ฉันเงยหน้าจูบตอบกลับที่คาง ฉันค่อยๆล้วงเข้าไปในเสื้อเสวี๋ยฉีที่เปิดกว้างออกบีบเคล้าคลึงหน้าอกเขาเล่น เสวี๋ยฉีกระซิบบอกว่า "เราถอดเสื้อผ้านอนกันจะได้อบอุ่นกว่านี้" ฉันจึงพยักหน้าตอบรับ เสวี๋ยฉีจึงถอดเสื้อผ้าของฉันและของเขาออกจนร่างกายเราทั้งสองเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่ม เสวี๋ยฉีเอามือจับที่ตัวฉันให้เบียดแนบชิดกับเขา แล้วลูบไล้ตัวฉันไปทั่ว บีบคลึงหน้าอกแล้วก้มลงไปดูด จนฉันเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเอื้อมมือลงไปลูบคลำแท่งเนื้อแข็งของเขาแล้วจับมาสัมผัสกับเนินส่วนล่างถูไถไปมาจนเขาร้องครางเบาๆ ฉันรีบจูบปากเขาเพื่อไม่ให้ส่งเสียงครางออกมา แล้วกระซิบบอกเสวี๋ยฉีว่า

          อันฉี  : ข้าต้องการท่าน....
       เสวี่ยฉี  : ข้าก็ต้องการเจ้า แต่คืนนี้เจ้าป่วย ข้าจะไม่ให้เจ้าหักโหม

          .......คืนนี้ฉันฝันถึงเสวี๋ยฉี เราบรรเลงบทรักกันร้อนแรงอีกครั้ง เขาก้มหน้าอยู่ที่หว่างขาของฉันกำลังสอดใส่ลิ้นเข้าลึกๆในเนินสวรรค์ แล้วดูดสลับเลียจนฉันแอ่นตัวด้วยความเสียว เขาพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำหน้า ยกสะโพกขึ้น สอดลิ้นเลียเนินหว่างขาจากทางด้านหลังจากนั้นแหย่นิ้วแล้วขยับเข้าออกเป็นจังหวะเร็วๆจนเปียกแฉะ เขาเลียอีกครั้ง แล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินทางด้านหลัง โน้มตัวลงมาแนบชิดด้านหลัง มือข้างหนึ่งเขาเอื้อมมาบีบขยำหน้าอก มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมมาจับที่เนินหว่างขาของฉันแล้วใช้นิ้วเขี่ยจุดเสียว โยกสะโพกเป็นจังหวะสลับเสียดสีและดันจนสุด กระแทกกระทั้นเบาๆแต่เน้นดันจนมิด สักพักเสวี๋ยฉีพลิกตัวฉันให้กลับมานอนตะแคงแล้วจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งพาดไว้ที่บ่า เขานั่งคร่อมขาฉันข้างหนึ่งแล้วหันหน้ากอดขาฉันที่พาดบ่าแล้วขยับจนช่วงล่างประสานกันสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้ามาอีกครั้งและดันจนสุดให้เนื้อแบบชิดสนิทกัน จากนั้นโยกสะโพกกระแทกอย่างหนักหน่วงจนเนินนั้นเปียกแฉะไปหมด ฉันร้องครางออกมาเสียงดัง เขาจับขาที่พาดบ่าลง ให้ฉันนอนหงายแล้วสอดแขนสองข้างเข้าใต้ขาจับขาฉันแยกออกกว้างแล้วกระแทกอย่างแรงอีกหลายครั้งจนฉันทนไม่ไหว เสียววูบวาบเกร็งไปทั้งตัว เขาเองยังกระแทกไม่หยุดและเร็วถี่ขึ้นดันจนสุด เสวี๋ยฉีมีอาการเกร็งตัวส่งเสียงครางแท่งเนื้อแข็งของเขากระตุกเล็กน้อย แล้วโถมตัวทับหมดเรี่ยวแรงกอดจูบฉันอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เขาทำใหัฉันมีความสุขและอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน ความฝันในคืนนี้ไม่ได้ยาวนานมาราธอนเหมือนคืนก่อนๆแต่ก็ทำฉันอิ่มเอมหลับสนิทในอ้อมกอดเสวี๋ยฉีตลอดคืน


หมายเหตุ

*พิษฝุ่นสุริยะ พิษทำลายระบบประสาท ทำให้ร่างกายอ่อนแรง เป็นอัมพาตเฉียบพลัน

*เมิ่งหลวนหลง (ชื่อแซ่ของฮ่องเต้)  แปลว่า ความฝันแห่งต้นไม้ชนิดหนึ่ง และมังกร

*เมิ่งเหวินหลง (ชื่อแซ่ของท่านอ๋อง)  แปลว่า ความฝันแห่งความดีงามอันสูงส่ง และมังกร

*เฉินชิงจู (ชื่อแซ่ของฮองเฮา)  แปลว่า ไข่มุกสีฟ้าดุจอรุณรุ่ง

*ฟู่เหม่ยหลัน (ชื่อแซ่ของพระชายาท่านอ๋อง)  แปลว่า ความมั่งคั่งแห่งกล้วยไม้ที่แสนงดงาม

*หวังจิวซื่อ (ชื่อของหมอหลวงหวัง)  แปลว่า โชคชะตาและนักปราชญ์

*ฟู่เซียง (ชื่อขององครักษ์ฮ่องเต้)  แปลว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยที่หอมหวาน

*จิ้นฝาน (ชื่อขององครักษ์ท่านอ๋อง)  แปลว่า ความซื่อสัตย์นานัปการ

*หลี่เฉียง (ชื่อของงูเห่าดำยักษ์)  แปลว่า ความแข็งแรง แข็งแกร่ง

*เสี่ยวหลงเปา  คือ ติ่มซำชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนซาลาเปาขนาดเล็ก ใส้เป็นหมูสับมีน้ำซุปอยู่ข้างใน

*เหลียน ฮวา  หมายถึง ดอกบัว ตำหนักเหลียนฮวาเป็นตำหนักที่ประดับตกแต่งด้วยสระบัวเป็นหลัก เป็นตำหนักโปรดหนึ่งในหลายตำหนักที่ประทับสำหรับพักผ่อนของฮ่องเต้ (ฮ่องเต้โปรดปรานดอกบัว)


เพลงจีน 9420
YouTube by : Mai Xiao Dou



■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 19
(หลบหนีออกจากงานเลี้ยง)

          เช้าวันนึ้ฉันตื่นนอนแต่เช้าเพราะเมื่อคืนหลับสนิททั้งคืน เสวี๋ยฉียังคงนอนหลับไหลฉันหันไปกอดเขาเล่นและหอมแก้มบอกอรุณสวัสดิ์ เขางัวเงียตอบรับแล้วนอนต่อ ฉันลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าขยับตัวลงจากเตียงเห็นเฟยเจินนอนหลับอยู่ข้างๆเตียง ถัดไปก็เป็นซิ่นหลิง เฟยเจินเห็นฉัน เขาจึงลุกขึ้นนั่งงัวเงียถามถึงอาการป่วยของฉัน ฉันตอบสบายดี แล้วลงไปนั่งข้างๆเฟยเจิน ฉันหอมแก้มเขาและกล่าวอรุณสวัสดิ์ เฟยเจินดึงฉันขึ้นนั่งตักจูบแลกลิ้นแล้วจับตัวฉันให้นอนลงกอดเอาขาก่ายแล้วชวนฉันให้นอนต่อ

     เฟยเจิน  : จะรีบตื่นไปไหน ยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกหน่อยเถอะ
          อันฉี  : นอนไปคนเดียวสิ ข้าตื่นแล้ว ตอนเช้าๆอากาศดี สวยด้วย ข้าจะไปชมดอกบัว เราไปชมดอกบัวด้วยกันเถอะ
    เฟยเจิน  : ข้าตื่นก็ได้
     ซิ่นหลิง  : อะไรกันพวกเจ้าตื่นกันแต่เช้าเลย เงียบๆกันหน่อยสิ
          อันฉี  : หลิงหลิง อรุณสวัสดิ์ ลุกขึ้นไปชมดอกบัวกัน ดอกบัวสวยมากเลย
     ซิ่นหลิง  : เง้ออ..ไม่ล่ะ ข้านั่งชมดอกบัวมาทั้งคืนแล้ว เจ้าไปเถอะ

          ซิ่นหลิงคงดื่มหนักและเข้านอนดึกเมื่อคืน ฉันเดินไปล้างหน้าเห็นเฟยเจินกำลังยืนล้างหน้าอยู่ ฉันจึงเดินไปกอดเฟยเจินทางด้านหลัง เขาคงรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆฉันกอดเขา เฟยเจินจึงถามว่า "มีอะไรหรือเปล่า" ฉันตอบว่า "ไม่มี แค่อยากกอด กอดไม่ได้เหรอ" เฟยเจินหันหน้ากลับมากอดฉันตอบแล้วพูดว่า "เจ้ากอดข้าได้เสมอทุกเวลา" เขากอดฉันแล้วจูบแลกลิ้นทำให้ฉันรู้สึกมีอารมณ์กับเขาขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจูบและดันเฟยเจินจนหลังเขาชิดติดผนัง ฉันเบียดตัวเข้าแนบชิดจนสัมผัสถึงแท่งเนื้อที่กำลังชูชัน ฉันยิ่งเบียดและเสียดสีเนินช่วงล่างเข้ากับแท่งเนื้อแข็งของเขา เฟยเจินจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งแล้วขยับสะโพกให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีกับเนินส่วนล่างของฉัน เขาเอามือดันก้นฉันให้กระแทกกับแท่งเนื้อ ฉันขยับสะโพกเด้งตามแรงดันมือของเขา อาาา.... เฟยเจินกำลังจะทำให้ฉันทนไม่ไหว เขาต้องมีอายุถึง 1,000 ปี เขาถึงจะมีเซ็กส์ได้ ฉันพยายามควบคุมจิตใจตัวเองไม่ให้ล่วงละเมิดเขา ฉันรีบกระซิบบอกเขาที่หูเบาๆว่า "เราไปชมดอกบัวกันเถอะ" เขาจึงหยุดแล้วพูดเบาๆขึ้นว่า "ข้าจะทนไม่ไหวเพราะเจ้า" ฉันหัวเราะเบาๆ จากนั้นเฟยเจินจึงตักน้ำแล้วช่วยล้างหน้าให้ฉัน ฉันมองดูเฟยเจินอย่างเสียดาย แล้วคิดในใจว่า...ฉันเป็นมนุษย์คงมีชีวิตอยู่รอเขาไม่ถึง 1,000 ปีหรอก

          เราเดินออกมาที่ชานชมดอกบัวพบหยงเป่าที่กำลังนอนหลับอยู่ตรงนั้น ฉันเดินไปนั่งลงข้างๆหยงเป่าแล้วยกศรีษะเขามานอนหนุนตัก ฉันเอามือลูบผมเขาเบาๆแล้วถามขณะที่เขากำลังงัวเงียตื่นนอน

          อันฉี  : เมื่อคืนเมามากจนลุกไปนอนข้างในไม่ไหวเลยรึ?
     หยงเป่า  : เปล่าหรอก ข้านอนตรงนี้เอง ตรงนี้อากาศเย็นสบาย เจ้าเป็นอย่างไรบ้างดีขึ้นแล้วเหรอ
          อันฉี  : ดีขึ้นแล้ว ข้าสบายดี
     หยงเป่า  : ข้าเห็นเจ้าได้รับพิษเกล็ดเยือกแข็งข้ารู้สึกเป็นห่วง (หยงเป่าที่นอนหนุนตักจับมือฉันไปหอม)
          อันฉี  : โชคดีที่ร่างกายข้าสามารถสร้างภูมิต้านทานพิษขึ้นมาได้เองเมื่อได้รับพิษชนิดแรงเข้มข้นก็จะป่วย พักฟื้นให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองไม่กี่วันก็หาย
    หยงเป่า  : แบบนี้ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย

          เฟยเจินชี้ชวนให้ฉันดูผีเสื้อที่กำลังบินอยู่เหนือดอกบัว ส่วนหยงเป่ายังคงนอนหนุนตักฉันชื่นชมดอกบัวไปด้วยกัน จากนั้นนางกำนัลคนหนึ่งค่อยๆเดินก้มหน้าสงบเสงี่ยมเข้ามาถามฉันว่า

  นางกำนัล  : ท่านหมอหญิง จะให้พวกเรายกอาหารเช้าเข้ามาเลยหรือไม่?
          อันฉี  : ยกเข้ามาเลยก็ได้ อ้อ...ฝากชงชานี้มาให้ด้วย

          ฉันล้วงหยิบชาร่ำสุรา แก้สร่างเมาที่พกเก็บไว้ในกระเป๋าเวทย์ให้นางกำนัล นางกำนัลรับชาแล้วเดินหายไปได้สักพัก นางเดินกลับมาพร้อมด้วยนางกำนัลคนอื่นๆอีกสี่คนทยอยเดินยกอาหารหลายอย่างและชาเข้ามาวางที่โต๊ะ มีอาหารหลายอย่างที่ฉันไม่รู้จักแต่ทุกอย่างล้วนน่ากิน มีอาหารบางอย่างหน้าตาคล้ายโจ๊ก ปาท่องโก๋ หมั่นโถว กระดูกหมูน้ำแดง และอื่นๆ ฉันจึงลุกเดินไปปลุกเสวี๋ยฉี และซิ่นหลิงมากินอาหารเช้าพร้อมๆกันในขณะที่ยังร้อนๆอยู่

          หลังจากที่เรากินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ฉันกำลังเตรียมตัวจะไปดูอาการของท่านอ๋องอีกครั้ง หากท่านอ๋องหายดีแล้วฉันและพี่ชายทั้งสี่จะเข้าไปเที่ยวในเมืองก่อนเดินทางกลับป่าไผ่เขียว ไม่นานนักหมอหวังก็เดินเข้ามาในตำหนักมาเยี่ยมเยียนฉันถามถึงอาการป่วย...

    หมอหวัง  : เป็นอย่างไรบ้างแม่นางน้อย
          อันฉี  : หายดีแล้ว ข้ากำลังจะไปดูอาการท่านอ๋อง หากท่านอ๋องไม่เป็นอะไรแล้วข้าจะขอลาไปเที่ยวในตลาดและกลับบ้าน
    หมอหวัง  : ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้ารักษาให้เมื่อคืนตอนนี้ท่านอ๋องแข็งแรงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ นี่พอดีเลยท่านอ๋องให้ข้ามาพาเจ้าไปพบอยู่พอดี ส่วนเรื่องกลับบ้านเนี่ยอย่าเพิ่งกลับจะได้หรือไม่ เจ้าอยู่ที่นี่ต่ออีกสักวันเถอะ คือ ฮ่องเต้พระราชทานงานเลี้ยงให้พวกเจ้าคืนนี้เป็นการตอบแทน และเลี้ยงฉลองที่ท่านอ๋องหายป่วย
          อันฉี  : พระราชทานงานเลี้ยงเหรอ...แหมข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องงานเลี้ยงซะด้วยสิ! ข้าไม่สามาถปฏิเสธใช่มั้ย?
   หมอหวัง  : ใช่
         อันฉี  : แล้วเงินรางวัลข้ายังได้รับอยู่ใช่มั้ย?
   หมอหวัง  : ได้รับ ช่วงสายๆจะมีขันทีนำของรางวัลมาให้
         อันฉี  : งั้นก็ได้ พรุ่งนี้ข้าค่อยกลับ เราไปเยี่ยมดูอาการท่านอ๋องเลยดีกว่า (ฉันหันไปเรียกเฟยเจิน) ...เจินเจิน ไปกับข้า
   หมอหวัง  : ข้าจะนำทางเจ้าไป เพราะท่านอ๋องเพิ่งย้ายกลับไปที่ตำหนัก หลันฮวา เมื่อรุ่งสาง

          ฉันและเฟยเจินเดินตามหมอหวังไปตำหนักหลันฮวา ของท่านอ๋อง เมิ่งเหวินหลง ตำหนักหลันฮวา มีขนาดใหญ่โตโอ่อ่า กว้างขวาง เดินผ่านประตูทางเข้าหน้าตำหนักจะเห็นสวนที่ตกแต่งด้วยกล้วยไม้หลากหลายสีหลายชนิดอย่างลงตัว เดินเข้าไปอีกหน่อยทางด้านซ้ายมีสระบัว และศาลากลางสระบัวมีสะพานทอดยาวไปถึงศาลา งดงามยิ่งนัก ต้นไม้ทุกต้นในตำหนักนี้จะมีกล้วยไม้ขึ้นแซมอยู่ทุกต้น ฉันถามหมอหวังว่า...

          อันฉี  : ท่านลุงหมอหวัง ตำหนักนี้มีกล้วยไม้สวยๆเต็มไปหมด ท่านอ๋องชอบกล้วยไม้เหรอ?
    หมอหวัง  : ไม่ใช่หรอก ท่านอ๋องชอบดอกมะลิ ส่วนดอกกล้วยไม้ เป็นดอกไม้โปรดของพระชายา
         อันฉี  : ท่านอ๋องคงรักพระชายามากเลยถึงปลูกกล้วยไม้ซะเต็มสวน สวยมากๆ ถ้างั้นตำหนักดอกบัวฮองเฮาก็โปรดดอกบัวน่ะสิ
   หมอหวัง  : ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานดอกบัว
    เฟยเจิน  : แล้วเจ้าชอบดอกไม้อะไร กลับบ้านแล้วข้าจะหามาปลูกให้เจ้า
        อันฉี  : ข้าชอบดอกไม้ทุกชนิด แต่ข้าชอบต้นหลิว ข้าเคยเห็นต้นหลิวครั้งหนึ่งในสถานที่แห่งหนึ่ง มันสวยงามติดตรึงอยู่ในใจข้ามาตลอด
   เฟยเจิน  : ต้นหลิวน่ะเหรอ บรื๋อ! ไม่เอาหรอก ต้นหลิวดูวังเวงยังไงไม่รู้ เวลาลมพัดเหมือนผีหญิงสาวผมยาวกำลังสยายผม
       อันฉี  : เจ้ากลัวผีด้วยเหรอ แบร่! ฮ่าฮ่าฮ่า ไปหามาปลูกให้ข้าด้วย
 หมอหวัง  : ท่านอ๋องอยู่ด้านใน
       อันฉี  : เจินเจินรอข้าอยู่นี่นะ ถ้ามีใครมาจีบ เจ้าต้องรีบปฏิเสธไปเลยนะ เข้าใจมั้ย ถ้าไม่เชื่อฟังข้าจะฟ้องพี่ใหญ่ให้ตีเจ้าให้ตาย
 หมอหวัง  : พวกเจ้าเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากจริงๆ

          เฟยเจินรอฉันที่ศาลาชมกล้วยไม้ใกล้ตำหนักท่านอ๋อง มองเลยออกไปมีศาลาขนาดเล็กประดับตกแต่งด้วยต้นมะลิออกดอกสีขาวหอมอบอวน หมอหวังพาฉันเดินเข้าไปด้านในตำหนักแล้วพาฉันเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกมะลิหอมกรุ่นอยู่ในห้อง คงเป็นเพราะห้องนี้อยู่ติดกับสวนมะลิ หรืออาจจะมีดอกมะลิประดับตกแต่งอยู่ในห้อง ท่านอ๋องนั่งเอนหลังอยู่บนเตียง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว แววตามุ่งมั่นแต่แฝงซุกซน รูปหล่อ ยิ้มมีเสน่ห์สุดๆนั่งรออยู่

    หมอหวัง  : ท่านอ๋อง แม่นางอันฉี มาตรวจอาการพะย่ะค่ะ
          อันฉี  :  ท่านอ๋อง ข้า เอ่อ....(ฉันยกมือประสานทำความเคารพ) 
    ท่านอ๋อง  : ไม่เป็นไร ไม่ต้องมากพิธี หมอหวังบอกเกี่ยวกับเจ้าให้ข้าฟังบ้างแล้ว เจ้าอยู่กับพี่ชายสี่คนที่ป่าอัคคีรึ?
          อันฉี  : ใช่เพคะ
    ท่านอ๋อง  : น่าอิจฉาพี่ชายทั้งสี่ของเจ้าที่มีน้องสาวเช่นเจ้า เอ่อ...ข้าขอบใจที่เจ้าช่วยชีวิตข้า การรักษาของเจ้าดูอันตรายและพิศดารนัก
         อันฉี  : จำเป็นต้องรักษาแบบนั้นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นเพคะ
   ท่านอ๋อง  : ขั้นตอนสุดท้ายที่เจ้ารักษาข้า หมอหวังบอกข้าว่าเจ้าให้ข้ากินผลอัคคีงั้นรึ?
         อันฉี  : เพคะ ใช้พิษร้อนฆ่าพิษเย็น
   ท่านอ๋อง  : เจ้ามาดูอาการข้าก็เข้ามาตรวจดูใกล้ๆสิ
         อันฉี  : ตรวจเสร็จแล้วเพคะ ท่านอ๋องหายดีแล้ว พิษสลายไปแล้ว ร่างกายไม่มีอาการบอบช้ำหรือกระดูกหัก ส่วนไอเย็นที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายท่านนิดหน่อยอาจทำให้รู้สึกหนาว ก็ให้คนต้มน้ำขิงร้อนๆให้ดื่มสัก 2-3 วันช่วยขับไอเย็นได้เพคะ
   ท่านอ๋อง  : นี่เจ้ายังไม่ได้มาดูข้าใกล้ๆแม้กระทั่งชีพจรก็ยังไม่ได้จับแล้วรู้ได้ยังไง? (ท่านอ๋องทำหน้าประหลาดใจ)
         อันฉี  : ใช้สายตาตรวจก็มองเห็นเพคะ ส่วนเรื่องจับชีพจรข้ารู้แค่ว่าถ้าชีพจรเต้น ก็คือยังมีชีวิต แต่ถ้าชีพจรหยุดเต้น ก็คือตาย ถ้าจะให้ตรวจโรคด้วยการจับชีพจร ข้าตรวจไม่เป็น...
   ท่านอ๋อง  : ดี งั้นเจ้ามาใกล้ๆข้า จะให้หมอหวังสอนเจ้าจับชีพจร มา มา ลองจับชีพจรของข้า
 หมอหวัง  : มาเถอะแม่นางน้อย ข้าจะสอนเจ้าจับชีพจร แค่เริ่มต้นว่าจุดชีพจรอยู่ตรงไหน แต่หากเจ้าอยากเรียนรู้มากกว่านี้ก็ไปเรียนกับข้าที่จวนหมอหลวง

          หมอหวังพาฉันไปนั่งบนเตียงข้างๆท่านอ๋อง แล้วให้ลองจับชีพจรที่ข้อมือท่านอ๋อง จากนั้นหมอหวังก็บอกว่าจะออกไปเอายาบำรุงมาให้ท่านอ๋องดื่มและจะไปสั่งให้นางกำนัลต้มน้ำขิง หมอหวังบอกให้ฉันอยู่ฝึกจับชีพจรไปก่อนและรอที่นี่สักครู่ ฉันลองจับชีพจรท่านอ๋องอีกครั้งแล้วตั้งสมาธิในการฟังฉันรู้ได้ว่าจุดปราณที่ติดขัดของท่านอ๋องถูกทะลวงแล้วจากการกินผลอัคคีที่ฉันป้อนให้เมื่อคืน ท่านอ๋องนั่งมองหน้าฉันจนฉันเขิน แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าฉันแล้วถามขึ้นว่า...

    ท่านอ๋อง  : ตรวจเจออะไรบ้าง?
          อันฉี  : เอ่อ... จุดปรานที่ท่านเคยติดขัดไหลเวียนไม่สะดวกถูกทะลวงทุกจุดแล้วเพราะการรักษาเมื่อคืน วิชาที่ท่านกำลังฝึกอยู่แต่ยังไม่สำเร็จเพราะจุดปรานติดขัด ตอนนี้ไม่ติดขัดอีกแล้ว หากกลับไปฝึกต่อก็จะสำเร็จโดยง่าย (ฉันก้มหน้าตอบ)
    ท่านอ๋อง  : มิน่าล่ะ ข้าถึงรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ข้าไม่อาจลืมรสสัมผัสเมื่อคืนได้เลย และอยากให้เจ้าสัมผัสแบบเมื่อคืนอีกครั้ง

          ท่านอ๋องจับข้อมือฉันไว้แน่นและขยับตัวเข้ามาใกล้ๆจะจูบ แต่ฉันก้มหน้าเบี่ยงไม่ให้จูบ เขาจับคางฉันให้เงยหน้าขึ้น แล้วค่อยๆประกบริมฝีปากกับฉันเบาๆ ฉันยกมือขึ้นดันหน้าอกเขาไว้ไม่ให้จูบต่อ เขาชะงักนิดหนึ่งแล้วจูบฉันเบาๆอีกครั้งอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นข้างนอกว่า "พระชายาเสด็จ" ฉันจึงผลักตัวท่านอ๋องออกแล้วรีบลุกยืนตรงข้างๆเตียง ก็เห็นพระชายาเดินเข้ามาในห้อง

          อันฉี  : พระชายา (ฉันย่อตัวทำความเคารพ)
  นางกำนัล  : พระชายาเสด็จทำไมไม่คุกเข่า
    ท่านอ๋อง  : ข้าอนุญาตนางเองไม่ต้องพิธีรีตรอง ข้าเรียกนางมาตรวจอาการข้า
  พระชายา  : ช่างเถอะ! นางอาศัยอยู่ในป่าย่อมไม่รู้กฏระเบียบในรั้วในวัง ท่านอ๋องเองยังไม่ถือสา งั้นข้าก็จะไม่เอาความหรอก...ท่านอ๋องข้าต้มน้ำแกงมาให้ท่านดื่มก่อนที่ข้าจะออกไปวัดไหว้พระกับฮ่องเต้และฮองเฮา
   ท่านอ๋อง  : อืม...วางไว้เถอะ ข้าจะดื่มภายหลัง
 พระชายา  : เจ้าคือหมอที่มารักษาท่านอ๋องเมื่อคืนใช่มั้ย?
         อันฉี  : เพคะ
 พระชายา  : ถ้าตรวจเสร็จแล้วก็ออกไป!
         อันฉี  : เพคะ
   ท่านอ๋อง  : เดี๋ยวสิ! แต่เจ้ายังตรวจข้าไม่เสร็จ
   หมอหวัง  : ถวายบังคมพระชายา (หมอหลวงถือถาดถ้วยยาเดินเข้ามา)
  พระชายา  : ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ?
  หมอหลวง  : พะย่ะค่ะ กระหม่อมพาหมอหญิงอันฉีมาตรวจท่านอ๋อง แล้วกระหม่อมก็ออกไปเอายาบำรุง มีอะไรเกิดขึ้นหรือพะย่ะค่ะ?
  พระชายา  : ช่างเถอะ! ฝากดูแลท่านอ๋องด้วย ข้ากำลังจะกลับพอดี

          พระชายาเสด็จออกไปแล้ว ฉันจึงเดินไปหาหมอหวัง บอกหมอหวังว่าฉันตรวจท่านอ๋องเสร็จแล้วขอตัวกลับตำหนักสระบัว ฉันจึงถือวิสาสะลาท่านอ๋องกลับ ฉันรีบเดินออกไปหาเฟยเจินที่นั่งรออยู่ศาลาชมกล้วยไม้ แล้วจูงมือเฟยเจินออกจากตำหนักท่านอ๋อง เราเดินจูงมือกันไปเรื่อยๆและชมสวนสวยในวังระหว่างทางเดินกลับตำหนักสระบัว ฉันถามเฟยเจินว่า...

          อันฉี  : ถ้าข้าหาวิธีรักษาพิษเพลิงลาวาคลั่งได้ เจ้าจะรักษามั้ย
     เฟยเจิน  : ไม่หรอก ข้าไม่รักษา ข้าอยากอยู่แบบนี้กับเจ้าตลอดไป
          อันฉี  : เจินเจินของข้า เจ้าช่างน่ารักที่สุดของที่สุด ได้ยินแล้วรู้สึกปลื้มปริ่มใจ

          เราเดินจูงมือกันไปหยอกล้อกันไปคล้ายคู่รักวัยใสเดินจีบกันในสวน เหล่านางกำนัลที่เดินผ่านเราต่างทำท่าทางเขินอายเมื่อเห็นเฟยเจิน เฟยเจินเป็นหนุ่มน้อยรูปหล่อหน้าใส จึงเป็นธรรมดาที่จะได้รับความสนใจในหมู่สาวๆ ฉันจึงดึงมือเฟยเจินให้รีบเดินเร็วๆ ที่หน้าประตูทางเข้าตำหนักสระบัวมีทหารเดินเข้าเดินออกขนของกันให้วุ่นไปหมด ฉันจึงรีบเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน เห็นซิ่นหลิงยืนฟังชายคนหนึ่งกำลังอ่านรายการของในกระดาษ ส่วนหยงเป่าก็นั่งฟังอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ และมีทหารกับนางกำนัลช่วยกันยกของสวยงามเข้ามา เช่นหีบผ้า หีบเครื่องประดับ หีบทองคำ และหีบเงิน แจกันขนาดใหญ่ตั้งพื้น และของอื่นๆอีกหลายอย่าง ฉันจึงเดินเข้าไปถามหยงเป่าว่า...

          อันฉี  : พี่รอง นี่รางวัลของเราเหรอ
     หยงเป่า  : ใช่! นั่งฟังอยู่นานแล้วยังอ่านรายการของไม่หมดสักที
     ซิ่นหลิง  : มากมายขนาดนี้จะขนกลับกันยังไง เราไม่ได้นั่งรถม้าเทียมเกวียนมานะ เราเอาไปแค่เงินกับทองสำหรับไปเที่ยวในตลาดก็พอ
          อันฉี  : ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
       เสวี๋ยฉี  : ถ้าขืนขนของพวกนี้ไปหมด บ้านข้าคงจะรกไม่มีที่ว่างให้พวกเจ้านอนแน่ๆ
          อันฉี  : เอ่อ...ท่าน... ข้าขอรับไปแค่เงินกับทองแค่นั้นพอ นอกนั้นขอคืน
ขันทีเลี่ยงหวง  : ข้าขันทีเลี่ยงหวง... นี่เป็นของพระราชทานฝ่าบาท เจ้าปฏิเสธไม่ได้
         อันฉี  : แต่บ้านข้าอยู่ในป่าจะให้ข้าใส่ของพวกนี้ไปอวดลิงหรือไง?! (ฉันหยิบกำไลหยกคู่ที่อยู่ในหีบเครื่องประดับขึ้นมาโชว์กับขันที) เอ๊ะ! กำไลหยกคู่นี้ ข้าเปลี่ยนใจเอาแล้วกัน จะเอาไปฝากน้องคู่แฝดที่บ้านข้า ส่วนที่เหลือข้าขอคืน
ขันทีเลี่ยงหวง  : เจ้ากำลังทำให้ข้าต้องลำบาก เอางี้...เจ้ารับของไว้ก่อน คืนนี้ในงานเลี้ยงเจ้าก็กราบทูลฝ่าบาทเองเถิด
          อันฉี  : ไปทูลฝ่าบาทตอนนี้ได้มั้ย ช่วยพาไปหน่อยสิ
ขันทีเลี่ยงหวง  : ฝ่าบาททรงเสด็จออกไปวัดไหว้พระกับฮองเฮาและพระชายาเหม่ยหลันแล้ว หมดธุระของข้าแล้ว ขอลา
     ซิ่นหลิง  : กำไลหยกคู่นี้ อย่าบอกนะว่าจะเอาไปฝากลิงจ๋อสองตัวนั่น ช่างเอาอกเอาใจกันจริงๆเล้ย
          อันฉี  : ท่านชอบอะไรก็ไปเลือกเอาสิ แต่กำไลหยกนี่ข้าจะเอาไปฝากไมเคิล กับแอบเปิ้ล (รีบเก็บกำไลหยกใส่กระเป๋าเวทย์)
     ซิ่นหลิง  : ฮื่อ! ไม่ล่ะ
      เสวี๋ยฉี  : ทำไมเจ้าไม่เลือกเครื่องประดับสักชิ้นให้ตัวเองล่ะ แหวนวงนี้ก็สวยนะ หรือจะเป็นหวีก็น่ารัก
         อันฉี  : ว้าวๆ พี่ใหญ่ดูปิ่นปักผมหยกขาวลายปีกแมงปอคู่นี้สิ สวยจังเลยเหมาะกับท่านมาก มา ข้าจะปักผมให้ท่าน
       เสวี๋ยฉี  : (เสวี๋ยฉีย่อตัวให้ฉันปักปิ่นที่ผม)
          อันฉี  : ท่านงดงามที่สุดในสามโลก
       เสวี๋ยฉี  : ปิ่นปักผมคู่นี้เจ้ากับข้าแบ่งปักกันคนละอันดีกว่า เท่านี้เจ้าก็งดงามที่สุดในสามโลกเหมือนข้าแล้ว
         อันฉี  : ขอบคุณพี่ใหญ่ อ้อ...พี่ๆทั้งสี่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา เมื่อคืนที่ข้าไปรักษาท่านอ๋อง ข้าตรวจดูแล้วท่านอ๋องได้รับพิษเกล็ดเยือกแข็ง เป็นพิษชนิดเดียวกันกับสุนัขเยือกแข็งที่เคยโจมตีเรา แต่พิษเกล็ดเยือกแข็งมีความรุนแรงและเข้มข้นกว่ามาก เทียบเท่ากับพิษของพี่ใหญ่เลย แต่พิษนี้รักษาได้ด้วยผลอัคคี ใช้ทฤษฎีพิษฆ่าพิษ
     เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้า! ป้อนผลอัคคีให้เจ้าอ๋องนั่นรึ?!
        อันฉี  : เปล๊า! (เสียงสูง) ข้าขยี้ผลอัคคีและผสมยาในมือ ป้อนยาจากมือ ข้าจำได้ที่พี่ใหญ่สั่งห้ามข้า...
     เสวี๋ยฉี  : ฮึ! แล้วไป....เอ้าพูดต่อสิ
        อันฉี  : คือถ้าคิดในทางกลับกันบางทีพิษเกล็ดเยือกแข็งอาจจะสามารถฆ่าพิษเพลิงลาวาคลั่งได้ เราต้องหากระบี่เกล็ดเยือกแข็งให้เจอก่อน แต่ข้ายังไม่มีโอกาสได้ถามรายละเอียดท่านอ๋องเกี่ยวกับปีศาจเยือกแข็ง ข้าคิดว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ๆ ข้าจะลองหาโอกาสถามท่านอ๋องดูอีกครั้ง
    ซิ่นหลิง  : ก็อาจเป็นไปได้ตามที่เจ้าสันนิษฐาน แต่หากมันเกี่ยวข้องกันจริงๆแล้วบุกไปโจมตีเราอีกครั้ง ข้าก็ไม่กลัว ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด ส่วนเรื่องรักษาพิษในกายข้าไม่อยากรักษาแล้วล่ะ ข้าชอบอยู่แบบนี้ อีกอย่างข้าเองก็ชอบใช้ชีวิตอยู่กับเจ้า ข้าไม่รักษาหรอก
   เฟยเจิน  : ข้าด้วย ข้าก็ไม่รักษา ข้าจะอยู่ดูแลน้องห้าตลอดไป (เฟยเจินเพิ่งยกถาดชามาวางและกำลังรินชาให้ทุกคน)
   หยงเป่า  : ข้าเองก็เริ่มชินกับการอยู่แบบนี้แล้วเหมือนกัน
     เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย เราไม่ต้องไปตามหากระบี่อะไรนั่นหรอก เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เลือดของเจ้าที่ไหลเวียนอยู่ใกายข้ามันคือสายใยระหว่างเรา ข้าไม่อยากตัดขาดจากกันหรอก อย่าห่วงรื่องรักษาพิษเพลิงลาวาคลั่งเลยข้าไม่รักษาหรอก ส่วนเรื่องกระบี่เกล็ดเยือกแข็งนั่นก็ช่างมันเถอะ แต่ถ้าเราเจอกระบี่นั่นก็แค่เก็บรักษาไว้ หรือไม่ก็ทำลายทิ้ง แต่ถ้าพวกปีศาจเยือกแข็งมันบุกมาโจมตีเราอีกเราก็ฆ่ามันทิ้งซะ
          อันฉี  : เอาตามที่พวกท่านเห็นชอบแล้วกัน ข้าเองก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ข้าก็ยังอยากรู้เรื่องปีศาจเยือกแข็งให้มากกว่านี้ คือเรื่องนี้มันคาใจ!
     เฟยเจิน  : ข้าเข้าใจ ถ้ามีโอกาสก็ถามท่านอ๋อง แต่ถ้าไม่มีโอกาสก็อย่าคิดมาก อ่ะ...เจ้ากินขนมนี่ก่อนเถอะอร่อยนะ อ้าปาก ข้าป้อนเจ้า
          อันฉี  : คืนนี้เราต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่ฮ่องเต้ประทานให้ อาจมีโอกาสถามก็ได้

          เราอยู่นั่งคุยและนั่งเล่นกันในตำหนักสระบัวเพื่อรอเวลาไปร่วมงานเลี้ยงในตอนกลางคืน พวกพี่ๆนั่งจิบชากันอยู่ที่ชานชมสระบัว ฉันเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ คงเป็นหนังสือของฮ่องเต้ที่ใช้อ่านตอนมาพักที่ตำหนักนึ้ หนังสือกล่าวถึงบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายคน ฉันหยิบหนังสือแล้วเดินมานอนหนุนตักหยงเป่าที่กำลังนั่งจิบชา เปิดอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่หน้าก็งีบหลับไป

       ......ฉันฝันเห็นนกสีแดงกุหลาบมีเปลวไฟอีกแล้ว นกตัวนั้นเดินมาพูดกับฉันด้วยประโยคซ้ำๆว่า "ช่วยเหลือมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์..." ฉันลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นเฟยเจินนอนงีบหลับอยู่ข้างๆ จึงเอื้อมมือไปจับมือเฟยเจินแล้วงีบหลับลงไปอีกครั้ง

          เวลาหัวค่ำมีขันทีมาเชิญเราไปร่วมงานเลี้ยง ฉันเดินจับมือกับเสวี๋ยฉีเดินนำหน้าพี่ๆทั้งสามเข้างานเลี้ยง มีขุนนางระดับสูงและแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย พวกเขามาร่วมแสดงความยินดีกับท่านอ๋องที่หายป่วย ระหว่างเดินเข้างานแขกเหรื่อและขุนนางต่างให้ความสนใจในตัวพี่ชายทั้งสี่ เพราะพวกเขาช่างงดงาม ยิ่งอยู่รวมกันแล้วยิ่งเปล่งประกายความงามอย่างล้นเหลือเป็นที่สนใจของทุกคนในงาน ฉันได้ยินแขกและขุนนางบางคนในงานถึงกับอุทานว่า "งดงามดุจเซียน" บ้างก็ว่า "งดงามดุจภาพวาด" ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แท้จริงสักเท่าไหร่ แต่เท่าที่มองเห็นพี่ชายทั้งสี่ดูโดดเด่นและหล่อเหลาเกินบรรยาย จนฉันดูหมองเหมือนเป็นสาวใช้ไปเลย

          ในงานมีขุนนางและแขกเหรื่อคนสำคัญมานั่งรออยู่ที่โต๊ะ โต๊ะรับรองเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กสำหรับนั่งหนึ่งคนคล้ายโต๊ะญี่ปุ่นแบบนั่งพื้น วางเรียงต่อๆกันไปเว้นระยะห่างกันเพียงเล็กน้อย ด้านในสุดเป็นพื้นยกสูงขึ้นไปเล็กนัอย ตรงกลางมีโต๊ะแบบเดียวกันแต่มีขนาดใหญ่กว่านิดหน่อย 2 ตัว เป็นสีทองลวดลายอลังการกว่าโต๊ะตัวอื่น ซึ่งคาดเดาได้ว่าเป็นโต๊ะสำหรับฮ่องเต้และฮองเฮา ขันทีนำฉันไปนั่งที่โต๊ะตัวแรกใกล้ๆโต๊ะของฮ่องเต้ ถัดมาเป็นโต๊ะของพี่ชายทั้งสี่เรียงตามลำดับ และโต๊ะขุนนางและแขกอื่นๆ ฝั่งตรงข้ามมีโต๊ะสีทองขนาดใหญ่เล็กน้อยวางอยู่สองตัวคงเป็นโต๊ะของท่านอ๋องและพระชายา เหล่านางกำนัลเดินเสริฟเหล้า และอาหารจานเล็กภายในจานมี ถั่วลิสง หอยจ๊อ ไข่เยี่ยวม้า และ ขิงดอง เป็นของแกล้มเหล้าให้ขุนนางและแขกคนสำคัญระหว่างที่รอฮ่องเต้เสด็จ สักพักท่านอ๋อง เมิ่งเหวินหลง เสด็จมานั่งที่โต๊ะพร้อมด้วยพระชายา และหมอหลวงหวังนั่งอยู่โต๊ะถัดไปด้านหลังท่านอ๋อง ฉันจึงค้อมตัวทำความเคารพทั้งสองคน ท่านอ๋องมองจ้องฉัน จนฉันรู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องจึงแกล้งขยับตัวไปคุยกับเสวี๋ยฉีด้วยท่าทางกระหนุงกระหนิง

          อันฉี  : พี่ใหญ่ นางกำนัลรินเหล้าให้ข้า ข้าไม่ดื่มจะน่าเกลียดมั้ย?
       เสวี๋ยฉี  : ไม่น่าเกลียดหรอก ข้าจะบอกพวกนางกำนัลเอง เหล้าจอกนั้นส่งมาให้ข้า ข้าจะดื่มแทนเจ้าเอง
          อันฉี  : ท่านอย่าดื่มเยอะนักนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเที่ยวตลาดไม่ไหว
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าอย่าห่วงเลย เหล้าของมนุษย์รสชาติอ่อนจะตาย ข้าดื่มทั้งคืนก็ไม่เมา ข้าเคยดื่มเหล้าที่อื่นรสชาติแรงกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะข้าเมาจึงได้มาเจอกับเจ้า ขอบคุณสวรรค์ ฮ่าฮ่าฮ่า
         อันฉี  : ท่านดื่มที่ไหนเหรอ?
      เสวี๋ยฉี  : ช่างเถอะ ส่งแก้วเหล้ามาข้าจะดื่มแทนเจ้า

          ฉันส่งจอกเหล้าให้เสวี๋ยฉีดื่ม แต่เพิ่งสังเกตุเห็นว่ามีนางกำนัลนั่งรุมล้อมซ้อนกันรอบเสวี๋ยฉีห้าคน โต๊ะของหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจิน นางกำนัลนั่งรุมล้อมกันสี่คน พวกนางจะแย่งสลับกันเข้ามารินเหล้า ฉันมองเลยไปตามโต๊ะขุนนางและแขกเหรื่ออื่นๆมีนางกำนัลประจำโต๊ะแค่ 1-2 คนเท่านั้น ส่วนโต๊ะของฉันมีนางกำนัลประจำโต๊ะเพียงคนเดียวแถมสายตายังมองไปที่เสวี๋ยฉีตลอดเวลา และนางกำนัลกำลังจะรินเหล้าให้ฉันอีกครั้ง เสวี๋ยฉีร้องทักว่า...

       เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้า! นางกำนัลคนนั้นน่ะ มานี่ซิ! เจ้าไปเอาน้ำชามารินให้นาง ไม่ต้องรินเหล้า
  นางกำนัล  : เจ้าค่ะ

          พอนางกำนัลลุกไปเอาน้ำชา พระชายาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เดินเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเสวี๋ยฉีในมือถือจอกเหล้า พระชายานั่งลงด้วยท่าทางเอียงอายเพียงเล็กน้อย สายตาผิดแผกแตกต่างจากที่มองฉันเมื่อตอนเช้า

          อันฉี  : พี่ใหญ่....นี่พระชายา
  พระชายา  : ท่านเป็นพี่ชายของหมอหญิงน้อยรึ?
       เสวี๋ยฉี  : ใช่ นอกจากเจ้าจะมีใบหน้าที่งดงามแล้ว เจ้ายังเป็นหญิงฉลาด (เสวี๋ยฉียิ้มแล้วส่งสายตาหยิ่งเชิญชวน) 
  พระชายา  : เมื่อคืนวานที่ท่านมาถึงต้องขออภัยที่ไม่ได้เข้ามาพูดคุย ตอนนี้มีโอกาสจึงขอดื่มให้ท่าน เชิญ
      เสวี๋ยฉี  : ข้าช่างโชคดีเสียจริงที่มีโอกาสได้ดื่มกับหญิงงามเช่นเจ้า ข้าหวังว่าจะมีโอกาสได้นั่งดื่มเหล้ากับเจ้าอีกสักครั้ง
 พระชายา  : งั้นข้าขอดื่มให้ท่านอีกหนึ่งจอก

          พระชายาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่นางส่งสายตาแปลกๆให้เสวี๋ยฉี ฉันแอบชำเลืองมองไปที่ท่านอ๋องจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ท่านอ๋องกลับทำท่าทางเฉยเมยเหมือนแสร้งปล่อยให้พระชายาคุยต้อนรับอาคันตุกะซะงั้น ฉันเองก็ไม่ได้ไปขัดคออะไรจึงปล่อยให้เสวี๋ยฉีหว่านเสน่ห์ใส่พระชายา เพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงเสวี๋ยฉีจะไม่หว่านเสน่ห์ใส่ ก็มีสาวๆมาหลงเสน่ห์เขาอยู่ดี ฉันจึงชำเลืองพี่ชายทั้งสามที่นั่งอยู่ถัดไป พวกเขากำลังถูกสาวๆรุมเช่นกัน

          ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงทหารร้องบอก "ฮ่องเต้เสด็จ" พระชายาจึงรีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง แต่ยังส่งสายตาให้เสวี๋ยฉี ฉันจึงส่งเสียงเตือนเขาเบาๆ

          อันฉี  : นั่นพระชายาน๊า!
       เสวี๋ยฉี  : ก็เจ้าอยากได้โอกาสไปคุยกับท่านอ๋องไม่ใช่เหรอ ข้าก็หาโอกาสให้เจ้าแล้วนี่ไง!
          อันฉี  : ขอบคุณ

          ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินไปนั่งที่โต๊ะ หมอหลวงหวังกล่าวรายการอาการป่วยของท่านอ๋องต่อหน้าพระพักตร์ จากนั้นเหล่าขุนนางและแขกต่างกล่าวอวยพรให้ท่านอ๋องมีสุขภาพแข็งแรง เหล่านางกำนัลเริ่มยกอาหารชุดใหญ่เข้ามา อาทิ ปลาหิมะราดซีอิ๊ว แพะตุ๋น ขาห่านอบหมัอดิน เป็ดย่าง ซี่โครงหมูน้ำแดง หมั่นโถว ไก่แช่เหล้า และอื่นๆ จากนั้นฮ่องเต้จึงกล่าวกับทุกคนในงานว่างานเลี้ยงวันนี้จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงฉลองที่ท่านอ๋องหายป่วย และแนะนำฉันกับทุกคนในงานว่าฉันเป็นคนถวายการรักษาท่านอ๋อง ทุกคนต่างทำเสียงฮือฮาด้วยความประหลาดใจ ฮ่องเต้จึงหันมาถามฉันว่าชอบของรางวัลที่ส่งมาให้หรือไม่ ฉันจึงตอบฮ่องเต้ว่าชอบ แต่ขอรับของรางวัลแค่เงินและทองคำอย่างละหีบ กำไลหยกเขียวหนึ่งคู่ และปิ่นปักผมหยกขาวลายปีกแมงปอหนึ่งคู่เท่านั้น ส่วนที่เหลือขอส่งคืน สร้างความประหลาดใจให้กับฮ่องเต้และทุกคนในงานเป็นอย่างมาก จนฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นทันที....

       ฮ่องเต้  : ทำไมถึงเอาของรางวัลไปแค่นั้นล่ะ เจ้าเอาไปน้อยเกินไป หรือจริงๆแล้วเจ้าต้องการอย่างอื่น
          อันฉี  : เพคะ หม่อมฉันตัองการอย่างอื่น
       ฮ่องเต้  : เจ้าต้องการสิ่งใดรึ จงบอกข้า
          อันฉี  : ต้องการอีกเพียงสองอย่าง...อย่างแรก ต้องการให้ฝ่าบาทออกกฏคุ้มครองป่าอัคคีเป็นป่าสงวน ห้ามมนุษย์บุกรุกป่าอัคคีเพราะมีมนุษย์โลภลักลอบเข้าไปหาสมุนไพรและต้องตายเพราะถูกสัตว์พิษทำร้ายในป่า คือ...หม่อมฉันจะบอกว่าสมุนไพรในป่าอัคคีล้วนมีพิษ หากมนุษย์นำออกมาใช้หรือกินก็จะได้รับพิษจนตาย คือ...หมายถึงผลไม้บางชนิดในป่าด้วยที่ผู้คนพยายามตามหากันน่ะ มนุษย์กินไม่ได้
      ฮ่องเต้  : ปกติแล้วป่าปีศาจนั่น ....เอ่อ...ป่าอัคคีก็เป็นป่าตัองห้ามอยู่แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครอยากเข้าไปเพราะรู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่อันตราย มีแต่คนโลภเท่านั้นที่ลักลอบเข้าไปหากพวกเขาถูกสัตว์พิษฆ่าตายก็ถือเป็นบทลงโทษที่สมควรแล้ว แต่เอาเถอะข้าจะออกกฏคุ้มครองให้เป็นเขตป่าสงวน จะส่งทหารยามไปเดินตรวจตราบริเวณชายป่าด้านนอกให้ แล้วข้อสองล่ะ?
          อันฉี  : ข้อสอง หม่อมฉันขออนุญาตเรียนรู้วิชาแพทย์เพิ่มเติมกับหมอหวังสักสามวันเพคะ
       ฮ่องเต้  : ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเป็นถึงหมอเทวดาสามารถรักษาอาการป่วยน้องชายของข้าได้ ในขณะที่หมอเก่งๆหลายคนยังจนปัญญา เจ้ายังต้องเรียนเพิ่มเติมอะไรอีกรึ? แต่เอาเถอะ! หากเป็นความต้องการของเจ้าข้าก็จะให้ ข้าขอแต่งตั้งแม่นางน้อย อันฉี เป็นหมอหลวง ประจำตำหนักข้าหลวงใหญ่
          อันฉี  : เดี๋ยวๆเพคะฮ่องเต้
       ฮ่องเต้  : เอ๊ะ! ทำไม?!
          อันฉี  : ขอแค่...เป็นหมอฝึกหัดก็พอเพคะ
       ฮ่องเต้  : เฮ่อ...เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าขนาดนั้นเชียวเรอะ เอาล่ะๆตามใจเจ้า อึ้ม! ข้าขอแต่งตั้งแม่นางน้อย อันฉี เป็นหมอฝึกหัด แต่ทุกคนต้องปฏิบัติต่อนางเทียบเท่าหมอหลวง ให้หมอฝึกหัดอันฉีและพี่ชายพักที่ตำหนัก เหลียนฮวา ของข้านานเท่าไหร่ก็ได้ ทุกคนรับราชโองการ!
     ขุนนาง  : น้อมรับราชโองการพะย่ะค่ะ
      ฮ่องเต้  : ฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้เป็นวันดีทุกคนดื่มๆ

          เฟยเจินถือจอกเหล้าขยับเข้ามานั่งแทรกข้างๆฉันแล้วพูดว่า....

     เฟยเจิน  : ข้าขอนั่งด้วย ข้านั่งอยู่ตรงนั้นพวกนางกำนัลนั่งล้อมข้าเต็มไปหมด พวกนางคอยแตะเนื้อต้องตัวข้าอยู่เรื่อย อีกอย่างข้าอยากดื่มให้เจ้า ท่านหมอฝึกหัด ฮ่าฮ่าฮ่า
       เสวี๋ยฉี  : นั่นสินะดื่มสักจอกไม่เป็นไรหรอก มา ข้ารินเหล้าให้เจ้า
          อันฉี  : ก็ได้ ข้าดื่มให้พวกท่านด้วยพี่รอง พี่สาม

         หยงเป่า และซิ่นหลิงที่ถูกสาวๆห้อมล้อมหันมายกจอกดื่มเหล้ากับฉัน ดูเหมือนเขาสองคนจะรับมือได้ดีกับสาวๆพอๆกับเสวี๋ยฉีที่กำลังถูกสาวๆรุมล้อมอยู่เหมือนกัน พวกเขารู้จักทำตามมารยาทคือพยายามไม่สร้างปัญหา พวกเขาไม่ได้ทำลุ่มล่ามใส่สาวๆเหมือนขุนนางและแขกบางคน แต่ก็ไม่ได้ไล่ตะเพิดสาวๆออกไป ฉันเริ่มมึนนิดหน่อยแม้ดื่มเหล้าเข้าไปแค่จอกเล็กๆแต่กลับทำให้หน้าฉันร้อนวูบวาบ แต่ยังไม่ถึงกับเมามาย แต่ถ้าดื่มต่อจอกที่สองฉันต้องได้เมาแน่ จึงปฏิเสธดื่มจอกที่สองที่เสวี๋ยฉีรินเหล้าให้
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 20
(เปิดเผยตัวตน)

          งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพักใหญ่ๆท่านอ๋องกล่าวต่อฮ่องเต้ว่า ขอตัวไปพักผ่อนเพราะมีอาการหนาวคล้ายเป็นไข้ ท่านอ๋องสบตากับฉันแล้วลุกขึ้นยืน ขณะกำลังลุกขึ้นยืนท่านอ๋องเกิดมีอาการยืนเซเล็กน้อย หมอหวังที่นั่งรออยู่ด้านหลังรีบเข้ามาประคอง ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปดูอาการท่านอ๋อง เพราะแปลกใจว่าท่านอ๋องหายแล้วและแข็งแรงดี ทำไมกลับมีอาการคล้ายคนป่วยอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างตกใจ พระชายารีบเข้ามาประคองท่านอ๋องด้วยความกังวล ส่วนฉันรีบเข้าไปดูอาการและจับดูชีพจร .....ชีพจรก็ปกติดีนี่นา ฉันคิดในใจ พลันหมอหวังมองหน้าฉันแล้วบีบที่มือคล้ายส่งสัญญาณและบอกกับฉันว่า...

    หมอหวัง  : หมอหญิงอันฉี ท่านอ๋องเพิ่งฟื้นไข้แล้วออกมางานเลี้ยง ลุกขึ้นเร็วไปหน่อยจึงรู้สึกเวียนศรีษะ รบกวนช่วยพาไปพักที่ตำหนักด้วยนะ ข้าจะไปต้มยาให้ท่านอ๋อง...เอ่อ..พระชายา...ท่านอ๋องแค่เวียนศรีษะต้องพักผ่อนมากๆ หมอหญิงอันฉีจะดูแลอย่าทรงเป็นกังวลเลยพะย่ะค่ะ
        เสวี๋ยฉี  : ว้าาา...อันฉีเจ้าต้องทำงานอีกแล้วสิ ข้าเลยไม่มีเพื่อนดื่มเหล้า แหม...เหงาจังเลยน๊า
   พระชายา  : เอ่อ...น้องสาวของท่านเป็นหมอ จำเป็นต้องตรวจดูอาการท่านอ๋อง แต่ไม่เป็นไรข้าจะอยู่ดื่มเป็นเพื่อนท่านชดเชยกันได้หรือไม่
       เสวี๋ยฉี  : แหม! ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก เป็นการรบกวนพระชายา ข้าเกรงใจ
  พระชายา  : ไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็นแขกยังไงข้าก็ควรต้อนรับ (พระชายาส่งส่ายตายั่วยวนให้เสวี๋ยฉี) เชิญ...

          เสวี๋ยฉีแยกพระชายาออกไปแล้ว ฉันและหมอหวังจึงประคองท่านอ๋องเดินออกมาจากงานเลี้ยง หมอหวังขอแยกตัวไปต้มยาหอม แต่ฉันคิดในใจว่าหมอหวังไม่จำเป็นต้องเล่นเนียนขนาดนี้ก็ได้ แต่หมอหวังคงกลัวความแตกล่ะมั้งที่แอบพาท่านอ๋องหนีออกจากงานเลี้ยง จึงต้องไปต้มยาจริงๆ... ฉันคิดในใจ ฉันประคองท่านอ๋องเดินผ่านสวนแสงสลัวๆในวังเพื่อไปตำหนักหลันฮวา ฉันถามท่านอ๋องว่า

          อันฉี  : ทำไมต้องหนีออกจากงานเลี้ยงด้วยเพคะ ท่านไม่ชอบงานเลี้ยงเหรอ?
    ท่านอ๋อง  : ข้าชอบงานเลี้ยง แต่คืนนี้ข้าอยากคุยกับเจ้ามากกว่าเลยต้องใช้วิธีนี้ง่ายดี (เขากอดฉัน)
          อันฉี  : หม่อมฉันก็มีเรื่องอยากถามท่านอ๋องเหมือนกันเพคะ
    ท่านอ๋อง  : งั้นข้าถามเจ้าก่อน ข้าสงสัยเรื่องพี่ชายทั้งสี่คนของเจ้า ใช่พี่น้องกันจริงๆรึ ข้ามองดูแล้วพวกเจ้าไม่เหมือนพี่น้องกันเลยสักนิด โดยเฉพาะพี่ใหญ่ของเจ้าที่งดงามเกินมนุษย์ อ้อ...ไม่สิงดงามทั้งสี่คนเลยต่างหาก
          อันฉี  : เราเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เดิมทีหม่อมฉันหลงทางเข้าไปในป่าอัคคี พวกพี่ๆพบเจอหม่อมฉันในป่าจึงรับอุปการะเลี้ยงดู เพราะมีพวกเขาหม่อมฉันจึงสามารถมีชีวิตรอดได้ในป่า
    ท่านอ๋อง  : เจ้ามีคนรักหรือไม่?
          อันฉี  : มีแล้วเพคะ รักมากจนไม่สามาถแยกจากกันได้เพคะ
    ท่านอ๋อง  : แล้วทำไมเจ้าไม่พาคนรักของเจ้ามาด้วย
          อันฉี  : พวกเขากำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ในงานเลี้ยง
    ท่านอ๋อง  : แสดงว่าเจ้ากับพี่ของเจ้า.....
          อันฉี  : เรารักกันฉันท์พี่น้อง รักกันมากจนไม่มีใครคิดอยากแยกเรือน หม่อมฉันได้รับความรักความห่วงใยจากพี่ชายทั้งสี่ มากเพียงพอจนไม่จำเป็นต้องมองหาความรักจากชายอื่นเพิ่มเพคะ เรามาถึงตำหนักท่านอ๋องแล้ว หม่อมฉันจะขอถามคำถามท่านอ๋องตรงนี้เลย
   ท่านอ๋อง  : เข้าไปคุยข้างใน คุยกันตรงนี้ความแตกกันพอดี หมอหวังอุตส่าห์ช่วยพาข้าหนีออกมาจะพลอยซวยไปด้วย

          ฉันจึงแกล้งประคองท่านอ๋องเข้าตำหนักแล้วพาไปนั่งที่เตียง ท่านอ๋องจับตัวฉันนอนลงบนเตียงแล้วโถมตัวทับจูบสอดลิ้นเข้าในปาก ฉันไม่ทันตั้งตัวเลยถูกทับจนขยับหนีไม่ได้ ฉันจึงต้องใช้มารยาหญิง ด้วยการจูบกลับนิดหน่อยสอดลิ้นเข้าในปากท่านอ๋อง สองมือกอดลูบไล้ไปทั่วหลัง จูบที่ซอกคอ จากนั้นฉันจึงพูดขึ้นว่า

          อันฉี  : ท่านอ๋อง...อาาา หยุดก่อน คุยกันก่อนสิ คุยก่อนแล้วค่อยทำต่อ หม่อมฉันเองก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
    ท่านอ๋อง  : เจ้าจะหลอกคุยล่ะสิ
          อันฉี  : แหม! ท่านอ๋องรู้ทันหม่อมฉัน งั้นเราแลกเปลี่ยนกัน หม่อมฉันจูบท่านเพื่อแลกกับคำตอบดีมั้ย
    ท่านอ๋อง  : ได้! ถามคำถามของเจ้า
          อันฉี  : ปีศาจเยือกแข็งมาจากที่ไหน หน้าตามันเป็นยังไง แล้วมันต้องการอะไรที่นี่?

          ฉันเริ่มจูบท่านอ๋องแบบแลกลิ้น กอดรัดเขาจนแน่น เขาเอามือมาบีบคลึงหน้าอก และสอดขาข้างหนึ่งเข้ามาที่หว่างขาฉันจนขาแยกออกและตั้งขึ้น แท่งเนื้อแข็งของเขาชูชันกำลังเสียดสีกับเนินหว่างขา ฉันหยุดจูบเขาเพื่อให้เขาตอบคำถาม

   ท่านอ๋อง  :  ปีศาจเยือกแข็งมาจากดินแดนรกร้างที่เส้นสุดขอบฟ้า รูปร่างมันผอมแห้ง ผิวขาวซีด แต่มีพละกำลังมาก มันมาทำลายสุสานประจำราชวงศ์
          อันฉี  : ทำไมมันถึงต้องการทำลายสุสาน มีอะไรสำคัญที่นั่นนอกจากเถ้าบรรพชนรึ แล้วไดัอะไรไปมั้ย?
   ท่านอ๋อง  : ไม่มี ไม่ได้อะไรไป
         อันฉี  : แล้วพอจะรู้มั้ยเพคะว่ามันต้องการอะไร?

           เขาหยุดตอบคำถาม ฉันจึงจูบเขาให้หนักหน่วงขึ้น ขาสองข้างยกขึ้นกอดก่ายจนช่วงล่างสัมผัสถูกกันมากขึ้น ฉันจูบและดูดที่ซอกคอพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมบนตัวท่านอ๋อง จับมือสองข้างท่านอ๋องมาบีบขยำที่หน้าอกฉัน แต่ยังคงขยับเนินหว่างขาบดเบียดถูไถกับแท่งเนื้อแข็ง แล้วถามท่านอ๋องว่า...

         อันฉี  : ต้องการมากกว่านี้มั้ย?
   ท่านอ่อง  : (พยักหน้า)
         อันฉี  : เด็กดีต้องทำยังไง?
   ท่านอ๋อง  : มันถามหาสมบัติประจำแผ่นดิน อาาซ...อาาา....
         อันฉี  : สมบัติประจำแผ่นดินคืออะไร มันจะเอาไปทำอะไร?

          ฉันขยับสะโพกโยกเน้นเสียดสีหนักๆที่แท่งเนื้อแข็ง เขาเอามือสองข้างมาจับสะโพกฉันให้โยกแรงขึ้น เขาเด้งสะโพกรับฉันทุกครั้งที่กดน้ำหนักทับลงไป ฉันเอื้อมมือไปถอดเสื้อท่านอ๋องออก แล้วก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าอกค่อยๆเลียรอบๆหัวนมแล้วดูด จนท่านอ๋องร้องครางเบาๆ

          อันฉี  : ท่านอ๋อง.....
    ท่านอ๋อง  : โอ๊ววว อาา...มันต้องการ ตาข่ายพันธการฟ้า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันจะเอาไปทำอะไร
          อันฉี  : ตาข่ายพันธการฟ้า มีไว้ใช้ทำอะไร อยู่ที่ไหน ท่านทราบมั้ย?

          ฉันค่อยๆจูบและเลียท่านอ๋องเลื่อนลงมาถึงหน้าท้องน้อย ท่านอ๋องเกร็งตัวเพราะเกิดอาการเสียวมือข้างหนึ่งของฉันลูบคลำที่แท่งเนื้อแข็งนั้น แล้วค่อยๆจูบลงมาใกล้ๆแท่งเนื้อแข็ง แล้วหยุดริมฝีปากใกล้แท่งเนื้อแข็ง มืออีกข้างหนึ่งจับที่เชือกผูกกางเกงพร้อมดึงให้คลายออก แล้วเงยหน้าบอกท่านอ๋องว่า...

           อันฉี  : ตอบคำถามสิเพคะ...หม่อมฉันจะได้ถอดกางเกงท่านออก
     ท่านอ๋อง  : ตาข่ายพันธการฟ้า เป็นของวิเศษในยุคบรรพการ....อาาาซ....ใช้สำหรับจับนกเทพสวรรค์ แต่มันหายสาบสูญไปตั้งแต่ยุคบรรพกาล ไม่มีใครรู้ว่าตาข่ายพันธการฟ้าอยู่ที่ไหน บางทีอาจไม่มีอยู่จริง... อาาาา
         อันฉี  : หม่อมฉันหมดคำถามแล้วเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง

          ฉันปล่อยมือออกจากแท่งเนื้อแข็ง และเชือกผูกกางเกงของท่านอ๋อง กำลังขยับตัวลงจากการนั่งคร่อมเขา แต่เขาจับฉันไว้และพลิกตัวโถมขึ้นทับฉัน ทั้งจูบและไซร้ซอกคอ ฉันพยายามผลักเขาออกแต่เขาแข็งแรงมาก เขาแทรกขาเข้าในหว่างขาฉันแล้วงอเข่าเพื่อแยกขาฉันออกแล้วขยับแท่งเนื้อแข็งให้เสียดสีกับเนินหว่างขา ท่านอ๋องจูบฉันอีกครั้งอย่างเร่าร้อน มือข้างหนึ่งจับแขนฉันชูไว้เหนือศรีษะเพื่อไม่ให้ผลักเขาอีก ส่วนมืออีกข้างก็บีบขยำหน้าอกสนุกมือ ท่านอ๋องพยายามถอดเสื้อฉันออก ฉันจึงดึงเขามากอดแน่นๆเพื่อไม่ให้ถอดเสื้อแล้วจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม เขาขยับสะโพกกระแทกช่วงล่างเบาๆใส่ฉันไม่หยุด แล้วเลื่อนมือข้างที่จับแขนฉันไว้มาจับที่หน้าฉันให้จูบแลกลิ้นอีกครั้ง ส่วนมือที่บีบขยำหน้าอกก็เลื่อนลงมาลูบคลำที่เนินหว่างขาฉัน...

          อันฉี  : ท่านอ๋อง...อย่า...
    ท่านอ๋อง  : อยู่กับข้า ข้าจะให้เจ้าเป็นสนมเอกของข้า
          อันฉี  : ไม่ได้....

          ท่านอ๋องกอดจูบฉันไม่ยอมหยุด และไม่ฟังคำขอร้อง จนฉันเริ่มจะมีอารมณ์เคลิบเคลิ้มและหวั่นไหว แต่ฉันจะทำอะไรตามอารมณ์แบบนั้นไม่ได้ เสวี๋ยฉีอุตส่าห์ไว้ใจฉันให้มาที่นี่โดยลำพัง เพราะฉะนั้นฉันจะทำลายความไว้ใจของเขาไม่ได้ ฉันคิด.... และในขณะนั้นท่านอ๋องก็ถลกกระโปรงฉันขึ้น และกำลังจะถอดกางเกงของฉันออก ฉันสู้แรงเขาไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจต้องใช้ความรุนแรงเพื่อหยุดอารมณ์ชั่ววูบของท่านอ๋อง ฉันออกแรงพลิกตัวเขาให้นอนหงายแล้วขึ้นนั่งคร่อมบนตัวท่านอ๋องอีกครั้ง ใช้มือข้างหนึ่งกดเขาไว้ที่อกไม่ให้ขยับ แล้วกางกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาข่มขู่ ฉันยื่นกงเล็บไปจ่อที่ใบหน้าเขา จนเขามีอาการตกใจจึงหยุดแล้วมองจ้องหน้าฉัน

          อันฉี  : ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอร้องท่านแล้ว ทำไมท่านไม่ยอมฟัง
    ท่านอ๋อง  : เจ้าจะฆ่าข้าเหรอ เอาเลย ข้าจะได้หลุดพ้นจากคุกแห่งนี้สักที! (เขาเงยคอขึ้นให้ฉันฆ่า)

          ฉันเริ่มนึกสนุกจึงขยับสะโพกโยกให้ช่วงล่างเสียดสีกับแท่งเนื้อท่านอ๋องจนแข็งชูชันในขณะที่ฉันยังกางกงเล็บไว้ที่ใบหน้าท่านอ๋อง ฉันมองจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มเล็กน้อยอย่างผู้มีชัย ท่านอ๋องหันมามองฉันอย่างสับสน แล้วเอื้อมมือสองข้างมาจับที่สะโพกฉันที่กำลังโยกเคล้าคลึงแท่งเนื้อแข็ง มือข้างที่กดหน้าอกเขาไว้ค่อยๆเลื่อนมาบีบคลึงหน้าอกและเล่นหัวนมของเขา จนเขาร้องครางขึ้นอีกครั้ง อาาา......

    ท่านอ๋อง  : เจ้าลงมือฆ่าข้าเลยสิ...แต่อย่าทรมานข้าอย่างนี้ อื้มมม...อาาาซ
          อันฉี  : หม่อมฉันไม่ฆ่าท่านหรอก ท่านออกจะเป็นเด็กดี แต่บางทีก็ดื้อไปนิด หม่อมฉันแค่อยากจะกลับไปนอนแล้ว
   ท่านอ๋อง  : เจ้าเป็นใครกันแน่...โอ้วววว อาาา
         อันฉี  : หม่อมฉันเป็นเพียงคนเก็บสมุนไพรในป่า ที่ออกจากป่าเพื่อมารักษาท่านให้รอดตาย และจะกลับเข้าป่าภายหลังจากนี้อีก 3 วัน
   ท่านอ๋อง  : เจ้าไม่ใช่หมอเทวดาหรอกรึ?
         อันฉี  : แน่นอน หม่อมฉันไม่ใช่หมอเทวดา ไม่เคยใช่ และไม่เคยคิดว่าใช่ พวกท่านเรียกแบบนั้นกันไปเอง แต่อย่าห่วงเลยหม่อมฉันไม่เคยคิดทำร้ายใครที่นี่ เมื่อเรียนวิชาแพทย์เพิ่มเติมกับหมอหวังเสร็จก็จะไป ส่วนท่าน...หม่อมฉันจะไม่มาตอแยอีก
   ท่านอ๋อง  : เจ้าไม่ได้คิดจะฆ่าข้ารึ?
         อันฉี  : ไม่เพคะ ถ้าท่านอ๋องเป็นเด็กดี แต่ถ้าท่านอ๋องยังดื้ออยู่อีกล่ะก็...ไม่แน่...

          ฉันโน้มตัวพูดใกล้ๆหน้าเขา ใช้ปลายนิ้วชี้ที่มีกงเล็บแหลมคมดุจมีดสะกิดปลายกงเล็บลงที่ริมฝีปากล่างท่านอ๋องหนึ่งครั้งจนเกิดแผลเล็กๆมีเลือดไหลซึมเพื่อให้เขาเห็นว่ากงเล็บนี้มีความคมและไม่ใช่กงเล็บของเด็กเล่น จากนั้นจึงเก็บกงเล็บ เขามีอาการตกใจ ฉันก้มหน้าลงไปใช้ลิ้นเลียที่ริมฝีปากเขาตรงรอยเลือดไหลซึมหนึ่งครั้ง แล้วจูบสอดใส่ลิ้นเข้าในปาก ท่านอ๋องจูบตอบกลับแล้วกอดฉันแน่นเราแลกลิ้นกันอยู่ครู่หนึ่ง จนฉันที่คร่อมอยู่บนตัวเขากำลังจะหวั่นไหวและมีอารมณ์อีกครั้ง ฉันจึงหยุดจูบเขาแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ครั้งนี้เขายอมปล่อยฉัน แล้วรีบบอกลาท่านอ๋องเพื่อกลับตำหนักสระบัว ท่านอ๋องลุกขึ้นจากเตียงมองตามหลังฉันที่กำลังเดินออกไป เขาใช้มือแตะที่ริมฝีปากตรงรอยแผลที่ถูกปลายกงเล็บบา แต่เขากลับต้องประหลาดใจอีกครั้งที่รอยแผลนั้นหายไปจากริมฝีปากเขาแล้ว

          ฉันเดินออกมาจากตำหนักท่านอ๋อง เห็นซิ่นหลิงกำลังนั่งรอฉันที่ศาลาชมกล้วยไม้ที่เฟยเจินเคยนั่งรอ ฉันจึงรีบเดินเข้าไปกอดแขนซิ่นหลิง แล้วถามเขาว่า...

          อันฉี  : อ้าว! หลิงหลิง มาได้ไง แล้วเจินเจินไม่มาด้วยเหรอ
      ซิ่นหลิง  : เจินเจินน้อยของเจ้าคออ่อนถูกพวกสาวๆมอมเหล้าจนเมา พี่รองเลยพากลับไปนอนแล้ว ข้าเลยมารอรับเจ้าได้สักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ
          อันฉี  : แล้วพี่ใหญ่ล่ะยังดื่มอยู่มั้ย ถูกพระชายามอมเหล้าหรือเปล่า?
      ซิ่นหลิง  : ตอนที่ข้าออกมาเขายังดื่มกับพระชายาอยู่นะ แต่ระดับพญางูหยกหิมะขาวไม่ถูกมนุษย์มอมเหล้าได้ง่ายๆหรอก พี่ใหญ่ต่างหากที่มอมเหล้าพระชายา ป่านนี้เขากลับไปรอเจ้าที่ตำหนักสระบัวแล้วล่ะ ทำไมเจ้าออกมาช้าจังเลยท่านอ๋องนั่นป่วยหนักอีกรึ แต่เจ้ารักษาเขาหายแล้วนี่ไม่น่าจะป่วยหนักได้อีก ท่าทางออกจะแข็งแรง
          อันฉี  : ท่านอ๋องไม่ได้ป่วยอีกหรอก! แต่ข้ากับท่านอ๋องคุยกันนานไปหน่อยเรื่องปีศาจเยือกแข็งน่ะ พอจะได้ความอยู่บ้าง แต่พรุ่งนี้เราค่อยคุยพร้อมกันทีเดียวเลย
      ซิ่นหลิง  : งั้นเรากลับกันเถอะ (เขาจูงมือฉัน) เอ๊ะ! ทำไมมือเย็นจัง เจ้าหนาวหรือเปล่า ข้าจะเดินกอดเจ้าไปนะ

          ซิ่นหลิงกอดฉันแล้วพากันเดินออกจากตำหนักท่านอ๋อง อ้อมกอดเขาอบอุ่นเสมอเราเดินมาถึงสวนกล้วยไม้ที่มีแสงไฟส่องสลัวๆ ทหารยามส่วนใหญ่ไปร่วมในงานเลี้ยง นานๆจะมีทหารยามเดินมาตรวจรอบๆ ที่นี่จึงมีบรรยากาศเงียบสงบ ซิ่นหลิงชมว่าสวนนี้ตกแต่งสวยงามลงตัว ฉันยังคงมีอารมณ์วูบวาบจากตำหนักท่านอ๋อง จึงดึงแขนซิ่นหลิงเข้าไปที่หลังพุ่มไม้สูงแต่ประดับตกแต่งด้วยกล้วยไม้ทึบจนกลายเป็นมุมอับลับสายตาคน ฉันจับซิ่นหลิงให้นั่งลงแล้วขึ้นนั่งคร่อมบนตักเขา จากนั้นก็จูบแลกลิ้นกับเขาอย่างหิวกระหาย ซิ่นหลิงแปลกใจที่อยู่ๆฉันดึงเขาเข้ามาจูบที่หลังพุ่มไม้

        ซิ่นหลิง  : เดี๋ยวก่อน เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เจ้าอ๋องนั่นทำอะไรกับเจ้ารึเปล่า
            อันฉี  : เปล่า...คือข้าดื่มเหล้าที่งานเลี้ยงแล้วรู้สึกวูบวาบ....ท่านจูบข้าหน่อยได้มั้ย
       ซิ่นหลิง  : ถ้าเจ้าอ๋องนั่นรังแกเจ้าให้รีบบอกข้า ข้าจะไปฆ่ามัน
            อันฉี  : ไม่มีใครรังแกหรอก...

          ฉันรีบจูบที่ริมฝีปากซิ่นหลิง เพื่อไม่ให้เขาพูดต่อ ฉันดันเนินสวรรค์ให้สัมผัสกับแท่งเนื้อแข็งของซิ่นหลิง เขาเอื้อมมือดันก้นฉันให้เนินหว่างขากระแทกเบาๆเข้ากับแท่งเนื้อแข็งฉันเด้งก้นรับตามแรงกระแทกจูบและซุกไซร้ซอกคอ ซิ่นหลิงเริ่มปลดเชือกที่เสื้อด้านหน้าให้เปิดกว้างออกจนเผยให้เห็นหน้าอก เขาใช้สองมืออุ่นๆบีบเค้นคลึงที่หน้าอก และก้มลงดูดที่เนินอกและหัวนมทั้งสองข้าง ฉันแอ่นอกให้เขาดูดด้วยความเต็มใจ ซิ่นหลิงกำลังจะถอดกางเกงของฉัน แต่ฉันห้าม และบอกเขาว่าเลือดฉันเป็นพิษถ้าเขาล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายฉันจนมีเลือดออกเขาจะตาย ซิ่นหลิงพยักหน้าเข้าใจและจับฉันนอนลงกับพื้น เขาโถมตัวทับ เรากอดจูบแลกลิ้นกันพัลวัน เขาจับขาฉันแยกออกแล้วกระแทกเสียดสีแท่งแข็งเข้ากับเนินหว่างขาฉัน ขยับโยกสะโพกเป็นจังหวะ ฉันยกขาสองข้างขึ้นกอดก่ายที่สะโพกเขาเพื่อให้หว่างขาเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อรับการสัมผัสที่แนบสนิทขึ้นและเด้งก้นรับเมื่อเขากระแทกลงมา เขาจับฉันพลิกตัวนอนตะแคงให้หันหน้าเข้าหาเขา แล้วจับมือฉันให้ล้วงเข้าไปกางเกงเขาให้สัมผัสกับแท่งเนื้อแข็งใหญ่ชูชันเต็มที่ของเขา ฉันจับแท่งเนื้อแข็งนั้นแล้วขยับมือลูบคลำกำขึ้นลงตั้งแต่โคนจรดปลายเป็นจังหวะ ซิ่นหลิงจับขาฉันยกตั้งขึ้นเพื่อแยกขาออก แล้วก็ล้วงมือเข้าในกางเกงฉัน เขาใช้นิ้วสัมผัสและถูไถจนเนินนั้นเปียกแฉะแต่ไม่ได้สอดใส่นิ้วเข้าข้างใน เราทำให้กันและกันจนเขาส่งเสียงครางออกมา ฉันรีบเอามือปิดปากเขาไว้ไม่ให้เสียงดัง ฉันรู้สึกเสียวจนมือที่ปิดปากซิ่นหลิงต้องย้ายมาจับเสื้อเขาแน่น ซิ่นหลิงจูบแลกลิ้นกับฉันอีกครั้ง เราเร่งจังหวะทำให้กันเร็วมากขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้นอีก..อ๊ากกกกก อาาาา....น้ำสีขาวอุ่นๆของเขาไหลออกมาเลอะมือฉัน ซิ่นหลิงช่วยเช็ดทำความสะอาดและช่วยใส่เสื้อให้ฉัน เรายังคงนั่งจูบแลกลิ้นดื่มด่ำและกอดกันอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง จากนั้นเราจึงลุกขึ้นและเดินออกจากพุ่มไม้นั้น เราเดินโอบกอดและหยอกล้อกันเหมือนคู่รักที่กำลังเดินเล่นชมสวนสวยๆในวังยามค่ำคืน ซิ่นหลิงทำใหัฉันลืมความรู้สึกหวั่นไหวที่มีต่อท่านอ๋องลงได้

          ฉันเดินกอดซบอกซิ่นหลิงมาตลอดทางจนถึงตำหนักสระบัว หอมแก้มเขาอีกครั้งและกล่าวขอบคุณที่เขาไปรอรับฉัน เราเดินเข้าตำหนักพบเสวี๋ยฉีและหยงเป่ากำลังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ที่ชานชมดอกบัว ซิ่นหลิงเดินเข้าไปนั่งดื่มเหล้าต่อกับเสวี๋ยฉีและหยงเป่า ฉันจึงเดินเข้าไปหอมแก้มเสวี๋ยฉีและหยงเป่ากล่าวขอบคุณที่ช่วยเหลือฉันที่งานเลี้ยง

          เสวี๋ยฉีบอกว่าจะไปอาบน้ำและกำลังรอให้ฉันขัดหลังให้ ฉันจึงรีบไปเตรียมน้ำอาบและรอเขาที่ห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำที่นี่มีขนาดกว้างพอประมาณมีสระขนาดเล็กสำหรับลงแช่ได้ 3-4 คน ตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้หรูหราอลังการ บวกกับแสงเทียนที่ส่องสว่างบรรยากาศเป็นใจเหลือเกิน การเป็นฮ่องเต้นี่ดีจริงๆแม้กระทั่งอาบน้ำก็ต้องมีบรรยากาศโรแมนติก...ฉันคิดในใจ สักพักเสวี๋ยฉีก็เดินเข้ามาในห้องอาบน้ำ ฉันที่รออยู่แล้วจึงแกล้งโค้งคำนับแล้วพูดว่า "เชิญนายท่าน" เสวี๋ยฉีหัวเราะเบาๆ ฉันจึงเข้าไปช่วยเขาถอดเสื้อผ้า แล้วพูดขี้นอีกว่า "ให้นวดด้วยมั้ยเจ้าคะนายท่าน?" เขาหัวเราะแล้วตอบ "อื้ม" ฉันมองเสวี๋ยฉีในร่างเปลือยเปล่าที่กำลังก้าวลงสระช้าๆ ผิวขาวเนียน ผุดผ่องไปทั้งตัว รูปร่างโปร่งบางแต่มีกล้ามเนื้อ น่าสัมผัสไปทุกส่วน

          เสวี๋ยฉีลงนั่งแช่ในน้ำแล้วขยับมาพิงขอบสระตรงที่ฉันนั่งอยู่ ฉันเอื้อมมือไปนวดที่บ่า เขาจับมือฉันแล้วบอกให้ลงไปแช่น้ำในสระด้วยกัน เขาลุกขึ้นยืนหันมาช่วยฉันถอดเสื้อผ้า จากนั้นเราจึงลงไปแช่น้ำในสระด้วยกัน เขาหันหลังให้ฉันขัด ผิวขาวนวลเนียนจนน่าอิจฉา เนื้อแน่น ฉันจึงจูบที่ไหล่เขาหนึ่งครั้ง เขาหันหน้ากลับมาจับฉันให้นั่งคร่อมบนตักแล้วให้ขัดด้านหน้าลำตัว มือเขาลูบไล้ที่หลังฉันจนไปถึงก้น ลมหายใจอุ่นๆของเขาที่หายใจรดหน้าฉัน กำลังกระตุ้นให้ฉันมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ริมฝีปากบางได้รูปกำลังเชิญชวนให้ฉันเข้าไปดูดกิน ฉันจูบลงบนริมฝีปากเขาอย่างดูดดื่ม เขากอดรัดฉันจนช่วงล่างเราสัมผัสกันแท่งเนื้อแข็งที่กำลังชูชันถูกเนินหว่างขาฉันถูไถจนรุ่มร้อน เขาเลื่อนริมฝีปากมาดูดเบาๆที่ใบหูและดูดซุกไซร้ซอกคอ ฉันเสียวสั่นสะท้าน แล้วเลียสลับดูดไล่ลงมาที่เนินอกแล้วดูดหัวนมทั้งสองข้าง ฉันยังคงขยับสะโพกโยกถูไถกับแท่งเนื้อนั้นอย่างเร่าร้อน อยากจับสอดใส่เข้าข้างในเหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้ ฉันจึงกลับตัวนั่งหันหลังบนตักเขาแล้วให้แท่งเนื้อแข็งสอดผ่านเข้าทางหว่างขาที่หนีบไว้ให้ขยับถูไถกับเนิน เขาจับสะโพกฉันขยับขึ้นลงแล้วเด้งสะโพกรับขยับแท่งเนื้อเข้าออกหว่างขาที่หนีบไว้ ฉันเอี้ยวตัวหันไปจูบแลกลิ้น เขาจับฉันลุกขึ้นยืนให้ก้มตัวพาดกับขอบสระ แยกขาฉันออกแล้วใช้ลิ้นเลียที่เนินด้านหลังจนแฉะ ฉันร้องครางเบาๆเพราะเสียวจึงใช้มือปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ร้องเสียงดัง จากนั้นเขาสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในหว่างขาแล้วให้หนีบขาไว้ เขาขยับโยกแท่งเนื้อถูไถเข้าออกกับเนิน "โอ้วววว...." เขาร้องคราง ฉันจึงหันกลับไปเอามือไปปิดปากเขา จากนั้นจึงจูบแลกลิ้นกันอีกครั้ง มือฉันข้างหนึ่งค่อยๆเลื่อนลงไปจับที่แท่งเนื้อแข็งลูบคลำแล้วจับรูดขึ้นลงตั้งแต่ปลายจรดโคน ฉันถอนริมฝีปากออก แล้วจับมือเขาให้มาปิดปากตัวเองไว้อย่าส่งเสียงดัง มือข้างนั้นยังคงจับรูดแท่งเนื้อแข็งไม่หยุด จากนั้นก็ค่อยๆเลื่อนริมฝีปากจูบไล่ลงไปตั้งแต่ซอกคอ จูบและเลียมาที่หน้าอก ลงลิ้นเลียลงมาเรี่อยๆ กัดเบาๆที่กล้ามหน้าท้อง จูบและดูดเบาๆลงมาถึงสะดือลงลิ้นเลียรอบๆ เสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาจับที่ศรีษะฉันแล้วกดศรีษะฉันลงไปที่แท่งเนื้อแข็งนั้น "โอ๊วววว....." เขาร้องคราง จากนั้นฉันจับแท่งเนื้อมาเลียรอบๆปลายดูดแล้วเลียอีกครั้ง "อาาา...." ฉันดูดแล้วขยับลิ้นในปากเลียที่ปลายโดยรอบ จากนั้นค่อยๆเลื่อนแท่งเนื้อเข้าในปากจนลึกแล้วดูดเข้าดูดออก เสวี๋ยฉีจับศรีษะฉันแล้วดันแท่งเนื้อเข้าออกเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆจนฉันหายใจแทบไม่ทัน แท่งเนื้อที่ใหญ่ยาวเต็มปากถูกดันเข้าจนสุดคอแล้วมีน้ำทะลักพุ่งออกมาลงคอฉันจนสำลัก เสวี๋ยฉียังคงกดศรีษะฉันไว้แบบนั้นแท่งเนื้อยังคาปากฉันอยู่เหมือนจะบังคับให้ฉันกลืนน้ำนั้นลงไป สุดท้ายฉันต้องกลืนเขาจึงเอาแท่งเนื้อออกจากปาก จากนั้นเขานั่งลงในสระแล้วดึงฉันลงไปนั่งบนตักแล้วกอด หลังของฉันแนบชิดกับหน้าอกของเขา มือข้างหนึ่งเขาเอื้อมมาบีบคลึงหน้าอก มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมมาล้วงจับเนินหว่างขา เขาก้มจูบที่ซอกคอหลังแล้วกระซิบข้างหูว่า  "ข้ารักเจ้า" ฉันจึงเอี้ยวหน้าไปจูบเขาอย่างดูดดื่ม สักพักเราจึงชวนกันขึ้นจากสระ

          เสวี๋ยฉีช่วยฉันเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้า เราเดินโอบกอดกันออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วมานั่งอยู่ที่มุมแต่งตัวหน้ากระจก เขาหวีผมให้ฉันอย่างนุ่มนวลและเบามือ แล้วหยิบครีมทาผิวที่ฮ่องเต้ประทานมาให้มาทาบำรุงผิวให้ฉัน

      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย เจ้าทำงานมากไปแล้ว ดูสิ! ผิวเจ้าแห้งหมดแล้ว ส่งแขนมาข้าจะทาครีมบำรุงผิวให้
         อันฉี  : ทาที่ตัวให้ด้วยนะ ตรงนี้ ตรงนี้ (ฉันออดอ้อน)
     ซิ่นหลิง  : เฮ้อ...อิจฉาแม่-ลูก คู่นี้จัง กระหนุงกระหนิงกันตลอดเวลาเลย
          อันฉี  : ไม่ต้องอิจฉาหรอก มาสิข้าจะทาครีมบำรุงผิวให้
     ซิ่นหลิง  : ไม่อ่ะ ข้าไปนอนดีกว่า
          อันฉี  : หลิงหลิงฝันดีนะ, พี่ใหญ่เข้านอนพร้อมกันเถอะ
       เสวี๋ยฉี  : อื้มม!
          อันฉี  : ข้าขอไปดูพี่รองแป๊บนึง ท่านรอข้าที่เตียงนอนนะ

          ฉันเดินไปหาหยงเป่าที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ชานชมดอกบัว แล้วนั่งลงข้างๆจึงเอ่ยชวนให้เข้านอนพร้อมกัน หยงเป่าบอกขอดื่มต่ออีกนิดแล้วจะตามไปนอนภายหลัง ฉันจึงหอมแก้มหยงเป่ากล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วกำลังเดินไปที่เตียงนอน ก็เห็นเฟยเจินที่กำลังนอนหลับเพราะเมาเหล้า ฉันจึงลงไปนั่งข้างๆเห็นเขานอนยิ้ม อาจเป็นเพราะเมาหรือกำลังฝันดีกันแน่ จึงนั่งมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก้มลงไปจูบที่หน้าผากเฟยเจินด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงเดินไปที่เตียงที่เสวี๋ยฉีกำลังนั่งรออยู่ เขาให้ฉันนอนหนุนแขนเขาเหมือนเดิม ฉันนอนหันหน้าให้เขาแล้วแหวกคอเสื้อให้เปิดกว้างลูบไล้หน้าอกและเล่นหัวนม จากนั้นจูบลงบนหน้าอกเขาแล้วพูดว่า...

          อันฉี  : เราอยู่ที่นี่ต่ออีกสัก 3 วันนะ ขอให้ข้าได้เรียนวิชาแพทย์เพิ่มเติมกับหมอหวังก่อน
      เสวี๋ยฉี  : ข้าเบื่อที่นี่แล้วล่ะหันไปทางไหนก็เจอแต่กำแพง แต่เพื่อเจ้าแล้วข้าจะไม่บ่น อยู่ต่ออีกสามวันก็ได้
        อันฉี  : แล้วถ้าสักเจ็ดวันล่ะ?
     เสวี๋ยฉี  : ถ้าเจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าอาจจะต่อเวลาให้เจ้าได้อยู่ต่ออีกเจ็ดวัน
        อันฉี  : ตอนอาบน้ำข้าทำให้ท่านพอใจหรือเปล่า?
     เสวี๋ยฉี  : ข้าพอใจมาก และต้องการอีกครั้ง
        อันฉี  : ข้าก็ต้องการท่านมากเลยตอนนี้

          ฉันจับมือเสวี๋ยฉีให้ล้วงเข้ามาในกางเกงฉันแล้วจับมือเขาสัมผัสที่เนินหว่างขาที่กำลังเปียกแฉะ เพราะความพิศวาสในตัวเขากำลังปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจึงพูดกับเสวี๋ยฉีว่า "ทำให้ข้าหลับเร็วๆสิ" เสวี๋ยฉีจึงจูบแลกลิ้นกับฉันสักครู่แล้วฉันก็หลับไป.......ในความฝันเสวี๋ยฉีกำลังนอนหงายสองมือเขาจับศรีษะฉันที่กำลังเลียแท่งเนื้อแข็งตั้งแต่ปลายจรดโคนจูบและเลียลูกบอลทองใต้แท่งเนื้อแข็งเขาร้องครางเพราะความเสียว เลียย้อนกลับไปที่ปลายแล้วดันปลายใส่เข้าในปากพร้อมขยับลิ้นเลียและดูดแท่งเนื้อภายในปาก เขากดศรีษะฉันแล้วดันแท่งเนื้อเข้าปากจนลึกและเด้งสะโพกโยกแท่งเนื้อเข้าออกเร็วและแรงขึ้น เขาเกร็งจนมีน้ำอุ่นพุ่งทะลักออกมาเต็มปากฉันรีบกลืนน้ำนั้นลงคอ จากนั้นฉันลุกขึ้นนั่งคร่อมบนตัวเขาจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เนินใต้หว่างขาแล้วโยกสะโพกเขาเอื้อมมือมาจับที่สะโพกฉันช่วยพยุงให้โยกขึ้นลงให้เร็วและแรงขึ้น แท่งเนื้อสอดเสียดจนฉันเสียวสั่นสะท้าน ฉันก้มตัวลงไปกอดขณะที่กำลังคร่อมเขาอยู่ เสวี่ยฉีนอนกอดฉันแน่นแล้วเด้งก้นดันแท่งเนื้อให้เข้าออกเนินช้าๆแท่งเนื้อเสียดสีจนฉันร้องครางอยู่ข้างๆหูเขา เขาจูบและดูดที่คอฉันในขณะที่ช่วงล่างเรายังคงเด้งรับและรุกกันอย่างเร่าร้อนฉันเริ่มร้องเสียงดังเพราะทนความเสียวไม่ไหว เขาเริ่มเร่งจังหวะเด้งก้นดันแท่งเนื้อเข้าออกให้เร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาพลิกตัวขึ้นแล้วจับฉันนอนลงจับขาฉันทั้งสองข้างพาดไว้บนบ่าแล้วกระแทกแท่งเนื้อเร็วขึ้นและหนักหน่วง ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาขณะกำลังร่วมรักช่างเซ็กซี่เหลือเกิน เขากระแทกกระทั้นสักพักเริ่มมีอาการเกร็งฉันสัมผัสได้ถึงแท่งเนื้อกระตุกเล็กน้อยและมีน้ำไหลออกมาจากเนินหว่างขาเราทั้งสองเสร็จพร้อมกัน เขาโถมตัวมากอดและจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม แล้วเอื้อมมือใช้นิ้วสอดเข้าในเนินใต้หว่างขาฉัน แล้วขยับนิ้วเข้าออกจนมีน้ำไหลเยิ้มออกมา บทรักบทต่อไปกำลังจะเริ่มอีกครั้ง.........

          เช้านี้ฉันได้ยินเสียงมีคนตื่นนอนก่อนฉัน ฉันจึงลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะหอมแก้มเสวี๋ยฉีหลังตื่นนอน ฉันเห็นหยงเป่าตื่นนอนแล้ว และนั่งจิบชาร้อนๆอยู่ที่ชานชมดอกบัว ฉันไปล้างหน้าแล้วเดินมาหาหยงเป่าเพื่อชวนเขาไปเดินเล่นในสวนรอบๆตำหนัก เราจึงพากันไปเดินเล่นที่สวน ขณะที่กำลังยืนชมดอกไม้ในสวน มีนางกำนัลสองคนเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า...

  นางกำนัล  : เรียนหมอหญิง ฮ่องเต้เชิญที่ตำหนัก หมู่ตัน ภายหลังท่านทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเจ้าค่ะ
          อันฉี  : ตำหนัก หมู่ตัน?
  นางกำนัล  : เจ้าค่ะ เป็นตำหนักของฮ่องเต้ พวกเราจะอยู่รอท่านด้านนอกเพื่อนำทางไปตำหนัก หมู่ตัน เจ้าค่ะ
          อันฉี  : อืม...งั้นให้คนนำอาหารเช้าเข้ามาเลย
  นางกำนัล  : เจ้าค่ะ (นางกำนัลเดินเขินอายออกไปเพราะเห็นหยงเป่า)
     หยงเป่า  : ข้าจะไปตำหนัก หมู่ตัน กับเจ้าด้วย
          อันฉี  : ฮื่อ...แต่เอ...ฮ่องเต้ป่วยงั้นเหรอ แต่เมื่อคืนในงานเลี้ยงก็ดูปกติดีอยู่นี่นา พี่รองเราไปกินอาหารเช้ากันเถอะจะได้ไปตำหนักฮ่องเต้กัน
    
หมายเหตุ

*หลัน ฮวา  หมายถึง กล้วยไม้

*หมู่ตัน  หมายถึง ดอกโบตั๋น

*เลี่ยงหวง (ชื่อของขันที)  แปลว่า รัศมีที่ส่องสว่าง

เพลงจีน  123 我愛你 (123 ฉันรักเธอนะ)
YouTube by : Khunnang NT



■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 21
(ฮ่องเต้ต้องการมีโอรส)

          พี่ชายอีกสามคนทยอยกันตื่นนอนเพราะได้ยินเสียงเหล่านางกำนัลยกอาหารเช้าและชาเข้ามา ฉันและหยงเป่าจึงกินอาหารกันก่อนและบอกพี่ชายทั้งสามที่ยังคงงัวเงียเพราะต้องตื่นแต่เช้าว่าจะไปตำหนักฮ่องเต้กับหยงเป่า พอเรากินอาหารเช้าเสร็จจึงให้นางกำนัลสองคนที่มาเชิญนำทางไปตำหนักหมู่ตัน ที่ตำหนักนี้เต็มไปด้วยดอกโบตั๋น หลากชนิดหลากสี สีแดง สีขาว สีชมพู สีเหลือง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆไปทั่วบริเวณ นางกำนัลพาเรามาถึงตำหนักฮ่องเต้ ฉันให้หยงเป่านั่งรอที่หน้าตำหนัก แล้วเดินเข้าไปในตำหนักพบฮ่องเต้กำลังนั่งอ่านหนังสือรอฉันอยู่ ฮ่องเต้ขณะนั่งอ่านหนังสือดูดีชะมัด

          อันฉี  : ...เอ่อ... (ฉันเงอะๆเงิ่นๆเพราะไม่รู้พิธีรีตรองในวัง)
       ฮ่องเต้  : ข้ากำลังรอเจ้าอยู่พอดี ไม่ต้องมากพิธี ข้าอนุญาตให้เจ้าทำตัวตามสบาย มา มา นั่งใกล้ๆข้าตรงนี้
          อันฉี  : ท่าน...เอ่อ...ฝ่าบาทไม่สบายหรือเพคะ แต่ดูแล้วก็ไม่ได้เจ็บป่วย แค่พักผ่อนน้อยไปหน่อย แต่การพักผ่อนน้อยก็ทำให้ป่วยได้นะเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่ข้าป่วย แต่ข้ามีเรื่องจะปรึกษา คือว่า...ข้าต้องการมีโอรส เอ่อ...ลูกชายน่ะ ข้าต้องการมีลูกชายไว้สืบสกุล ตั้งแต่ข้าอภิเษกสมรสกับฮองเฮามาปีกว่าแล้วข้าก็ยังไม่มีลูกสักที เจ้าพอจะช่วยให้ข้ามีโอรสได้มั้ย?
          อันฉี  :  เห๊!!! (ฉันตกใจจนเอามือทาบอก)
       ฮ่องเต้  :  เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าหมายถึงเจ้าสามารถปรุงยาให้ฮองเฮาดื่มเพื่อมีโอรสได้มั้ย? แต่...ถ้าหากเจ้าจะยอมเป็นสนมให้ข้าเพื่อมีโอรสกับข้า ข้าก็จะยินดีมาก

          ฮ่องเต้จับมือฉันแววตาเป็นประกาย รอฟังคำตอบอย่างมีความหวัง แต่ฉันกำลังคิดในใจว่า...การเป็นหมอที่โลกนี้ต้องรักษาให้ได้ทุกโรคเลยหรือนี่!? ซวยแล้วอันฉีเอ๊ย! ดีนะตอนอยู่ที่โลกเก่าเคยช่วยเพื่อนที่ทำงานหาข้อมูลวิธีให้ได้ลูกชาย เค้าก็ได้ลูกชายจริง ไม่รู้ว่าวิธีทำได้ผลหรือทำเก่งเองก็ไม่รู้ งั้นเอาวิธีนั้นมาบอกฮ่องเต้เท่าที่พอจำได้ละกัน วิธีนั้นคือ "นานๆทีแต่ลึกๆ" ฉันจึงพูดกับฮ่องเต้ว่า...

          อันฉี  : หม่อมฉันเป็นสนมให้ฝ่าบาทไม่ได้เพคะ พี่ใหญ่ตีหม่อมฉันตายแน่ แต่วิธีทำลูกชายก็พอจะมี ไม่ต้องปรุงยา แค่ฝ่าบาทกับฮองเฮาอดทน ร่วมมือกันและตั้งใจทำก็พอ แต่ถ้าทำให้มีโอรสไม่สำเร็จฝ่าบาทจะสั่งประหารหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ไม่! ข้าไม่สั่งประหารใครโดยไร้เหตุผลเช่นนั้นหรอก อย่ากลัวไปเลย
          อันฉี  : ขอบพระทัยเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าจะให้คนไปเชิญฮองเฮามาฟังด้วยกัน ทหาร! ไปเชิญฮองเฮา
        ทหาร  : พะย่ะค่ะ
          อันฉี  : หม่อมฉันขออนุญาตถามคำถามเพคะ เอ่อ...บางคำถามอาจไม่บังควร....
       ฮ่องเต้  : ถามได้ ข้าอนุญาต
          อันฉี  : ฝ่าบาทได้ออกกำลังกายบ้างมั้ยเพคะ
       ฮ่องเต้  : ไม่เลย ข้าออกว่าราชกิจตลอดไม่มีเวลาว่าง
          อันฉี  : แล้วเรื่องนั้น...เอ่อ...เรื่องบนเตียงล่ะเพคะ ร่วมเตียงกับฮองเฮาบ่อยแค่ไหน?
       ฮ่องเต้  :  ข้าห่างเหินมานานพอสมควร เพราะยุ่งอยู่กับงานบ้านเมือง อีกอย่างข้าเองก็...ไม่ค่อยมีอารมณ์
         อันฉี  : เข้าใจแล้วเพคะ เรื่องนั้นหม่อมฉันพอมีวิธี รับรองอารมณ์ฝ่าบาทจะกลับมาบรรเจิดอีกครั้ง ฮ่าฮ่า
      ฮ่องเต้  : จริงเหรอ ทำได้ด้วยเหรอ?
         อันฉี  : เพคะ หม่อมฉันทดลองมาแล้ว ได้ผลเกินคาด แต่ช่วงนี้ฝ่าบาทต้องทำงานให้น้อยลง ออกกำลังกาย และพักผ่อนมากๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
      ทหาร  : ฮองเฮาเสด็จ!
        อันฉี  : ฮองเฮา (ฉันย่อตัวทำความเคารพ)
   ฮองเฮา  : ตามสบาย, หมอหญิงทราบเรื่องจากฝ่าบาทแล้วใช่หรือไม่?
        อันฉี  : ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันขอถามคำถามเพคะ อาจจะไม่บังควรแต่จำเป็นต้องถามเพคะ
   ฮองเฮา  : ถามมาเถอะ
        อันฉี  : ฮองเฮามีรอบเดือนอีกครั้งวันที่เท่าไหร่เพคะ
    ฮองเฮา  : จำไม่ได้ แต่รอบเดือนข้าเพิ่งหยุดไปได้ประมาณเจ็ดวันแล้ว
          อันฉี  : อืม...งั้นช่วงสี่วันนี้ฮองเฮาต้องเน้นกินอาหารประเภทถั่ว ปลา และเนื้อสัตว์ ให้กินอาหารรสเค็มพร้อมดื่มน้ำตามมากๆ ผลไม้ให้เน้นกินกล้วย แต่ให้ลดกินอาหารหวาน และอาหารที่ทำจากนมและไข่ รวมทั้งผักใบเขียวกินให้น้อยลง อย่าลืมออกกำลังกายด้วยเพคะ และหลังจากสี่วันไปแล้วอาหารที่ให้ลดต้องหยุดกินเป็นเวลาสามวันเพคะ แล้วก็....เอ่อ....
      ฮ่องเต้  : แล้วอะไร....พูดมาข้าอนุญาต
         อันฉี  : จะต้องทำอะไรบนเตียงแบบมีท่าทางเน้นๆนิดนึงเพคะ
      ฮ่องเต้  : บอกข้ากับฮองเฮาเลยต้องทำยังไงสอนข้าเลย
        อันฉี  : หม่อมฉันไม่กล้าทำกับฝ่าบาทหรอกเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันเรียกผู้ช่วยดีกว่า (ฉันตะโกนเรียกหยงเป่า) ....พี่รอง พี่รอง
   หยงเป่า  : เรียกข้ามีอะไรรึ?
        อันฉี  : ช่วยข้าทำตัวอย่างวิธีร่วมเตียงเพื่อให้ได้ลูกชาย
   หยงเป่า  : อื้ม!
        อันฉี  : ฝ่าบาทและฮองเฮาเพคะ ท่านทั้งสองเวลาอยู่บนเตียงท่านต้องเน้นทำหรือท่าจบท่าไหนก็ได้ด้วย 4 ท่านี้เพคะ เอ่อ...ท่าแรก คือ ท่ายืน ให้ฮองเฮายืนพิงกำแพง หรือจะอุ้มฮองเฮาไว้ก็ได้เพคะ ตัวอย่างทำแบบนี้ ....

        ....ฉันกอดคอหยงเป่าเรามองหน้ากัน หยงเป่ากอดเอวฉันแล้วดึงเข้ามาแนบชิดตัว เขาค่อยๆเดินหน้าพาฉันให้ยืนชิดกับผนังห้องแล้วก้มหน้าลงที่แก้มแล้วหอมไล่ลงไปที่ซอกคอ จากนั้นจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งแล้วเบียดแท่งเนื้อแข็งเข้าเสียดสีที่เนินหว่างขา จากนั้นเขาเอื้อมมือข้างหนึ่งมากอดที่เอวและมืออีกข้างหนึ่งมาโอบจับที่ก้นแล้วยกฉันอุ้ม สองขาฉันกอดเกี่ยวที่สะโพกเขาแล้วดันให้แท่งเนื้อแข็งมาสัมผัสที่เนินหว่างขาอีกครั้งจนฉันมีอารมณ์ ฉันก้มหน้าลงที่ซอกคอเขาแล้วแอบจูบ จากนั้นเขาก็อุ้มฉันกลับมายืนตรงหน้าฮ่องเต้ที่ตั้งใจดูตัวอย่าง ส่วนฮองเฮาก้มหน้าเขินอาย ฉันจึงรีบสอนต่อด้วยความรวดเร็ว

          อันฉี  : ท่าที่สอง คือ ท่านั่ง หรือจะนอนก็ได้เพคะ แต่ท่านี้ฮองเฮาต้องอยู่ด้านบน แต่ในกรณีนี้หม่อมฉันจะทำให้ดูเป็นท่านั่ง....

      .....หยงเป่านั่งลงให้ฉันขึ้นนั่งคร่อม เขาเอื้อมมือมากอดฉันแน่นๆแล้วซบหน้าลงหอมที่หน้าอก จากนั้นเขาเอนตัวไปทางด้านหลังเลื่อนมือข้างหนึ่งไปวางยันพื้นทางด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งอ้อมมาจับที่ก้นแล้วบีบ ฉันขยับเสียดสีเนินหว่างขากับแท่งเนื้อจนแนบสนิทแล้วโยกสะโพกขึ้นลงเล็กน้อย และหันไปบอกฮองเฮาว่าต้องโยกสะโพกขึ้นลงด้วย

          อันฉี  : ท่าที่สาม คือ...ด้านหลัง คุกเข่า หรือโก้งโค้งก็ได้ จะทำบนเตียงหรือที่อื่นก็ได้แล้วแต่จะถนัด

      .......ฉันคุกเข่าลงกับพื้นในท่า ด็อกกี้ สไตล์ หยงเป่าลงมานั่งคุกเข่าทางด้านหลังแล้วแทรกตัวเข้าหว่างขาฉัน เขาขยับให้แท่งเนื้อแข็งเข้าสัมผัสกับเนินหว่างขาทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาลูบไล้ที่หน้าท้องน้อยฉัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลูบไล้ที่ก้นและต้นขา เขาเด้งแท่งเนื้อแข็งกระแทกเล็กน้อย

          อันฉี  : ท่าที่สี่ คือท่าพื้นฐานธรรมดา แต่พิเศษหน่อยคือใช้เบาะหรือหมอนรองที่ก้นฮองเฮา จะจับขาฮองเฮาพาดที่บ่าฮ่องเต้หรือไม่ก็ได้ แต่ฮองเฮาต้องอ้าขาออกกว้างๆเพื่อการสอดใส่ลึกๆ

     ........ฉันหยิบเบาะรองนั่งมารองที่ก้นแล้วล้มตัวลงนอน หยงเป่าขยับตัวแทรกตรงหว่างขาแล้วจับขาฉันพาดที่บ่า เขาเด้งก้นให้แท่งแข็งกระแทกเบาๆที่เนินหว่างขาสองถึงสามครั้ง แล้วจับขาฉันลง หยงเป่าเอื้อมมือมาจับดันที่หัวเข่าฉันทั้งสองข้างให้อ้าออกกว้างขึ้น แล้วกระแทกแท่งเนื้อเบาๆอีกครั้ง เบียดถูไถแท่งแข็งเข้ากับเนินหว่างขาเพื่อแสดงให้เห็นถึงการสอดใส่ลึกๆ .....เป็นอันเสร็จสิ้นการแสดงตัวอย่าง

          อันฉี  : นี่คือสี่ท่าบนเตียงเพื่อให้ได้โอรสเพคะ โดยทั้งสี่ท่านี้ต้องดันให้ลึกๆ เสร็จสมพร้อมกันทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่าบาทต้องงดเรื่องบนเตียงตั้งแต่เจ็ดวันนี้ ออกกำลังกาย พักผ่อนมากๆ หลังจากนี้อีกเจ็ดวันจึงจะทำกิจกรรมร่วมเตียงกันเพคะ
       ฮ่องเต้  : ดี ทำตามวิธีของหมอหญิง เอ่อ.. น้องหญิงต้องทำตามที่หมอหญิงแนะนำอย่างเคร่งครัดนะเราจะได้มีโอรสสักที
     ฮองเฮา  : เพคะ หม่อมฉันทูลลา
       ฮ่องเต้  : ข้าขอคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวหน่อยได้มั้ย?
          อันฉี  : พี่รอง ข้าขอคุยกับฝ่าบาทสักครู่นะ

          ฉันเดินเข้าไปกระซิบที่หูหยงเป่าแล้วพูดว่า "เมื่อกี้ขอบคุณนะ" ฉันหอมแก้มหยงเป่าหนึ่งครั้ง เขายิ้มแล้วเดินออกไปรอที่หน้าตำหนัก ฉันเดินกลับมาหาฮ่องเต้ ฮ่องเต้ดึงแขนฉันเข้าไปคุยในห้องๆห้องบรรทม จนฉันตกใจ

       ฮ่องเต้  : คือ เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้คิดจะข่มเหงเจ้า แต่ข้าอยากจะลองฝึกซ้อมดูน่ะ ข้าเองห่างเหินเรื่องนี้มานาน สนใจแต่ภารกิจบ้านเมืองจนลืมไปว่าเรื่องนี้ก็สำคัญต่อการมีบุตร เมื่อถึงวันนั้นข้ากลัวว่าจะพลาดแล้วต้องรอไปอีกนาน ข้าบอกตามตรงข้าหมดอารมณ์กับเรื่องนี้มานานแล้ว ข้าอยากให้เจ้าสอนข้าอีกครั้ง สอนที่ตัวข้าเลยได้มั้ย
          อันฉี  : เอ่อ...ก็ได้เพคะ ฝ่าบาททำตามที่สอนตอนแรกนะเพคะ...เริ่มจากท่ายืนก่อน

          ฉันขยับเข้ากอดไหล่ฮ่องเต้ ส่วนฮ่องเต้ค่อยๆก้มลงกอดที่เอวฉัน เขาค่อยๆพาฉันเดินถอยหลังไปพิงที่เสาหัวเตียง ก้มหน้าลงมาหอมที่แก้มฉันหนึ่งครั้ง จนฉันตกใจขนลุก ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะหอมจริงๆ จากนั้นจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งแล้วขยับสะโพกให้แท่งเนื้อแข็งมาสัมผัสกับเนินหว่างขา เริ่มเบียดแนบชิดทั้งตัว แล้วจูบสอดใส่ลิ้นเข้าในปากฉันจนตั้งตัวไม่ทัน ฉันตื่นเต้นจนตัวชาวูบ ฮ่องเต้เบียดแท่งเนื้อแข็งกระแทกใส่ฉันแล้วอุ้มฉันเข้าเอวไปวางบนเตียง โถมตัวทับ แทรกขาเข้ากลางหว่างขาฉันจนขาแยกออก ฮ่องเต้กระแทกแท่งเนื้อใส่เนินหว่างขาอีกครั้ง กอดจูบฉันไม่หยุดจนฉันเอ่ยเรียก "ฮ่องเต้....." เขาหยุดชะงักเหมือนได้สติ เขาบอกไม่ได้รู้สึกวูบวาบแบบนี้มานานแล้ว จึงเอ่ยขอโทษฉันที่เขาลืมตัว ฉันบอกไม่เป็นไรแล้วรีบสอนต่อให้จบ เราจึงเริ่มต่อด้วยท่าที่สอง คือท่านั่งคร่อม ฉันพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมฮ่องเต้ที่นอนหงาย แล้วขยับเนินหว่างขาให้สัมผัสตรงกับแท่งเนื้อแข็งนั้น ฮ่องเต้ถามฉันว่า

       ฮ่องเต้  : หากฮองเฮาไม่กล้าทำท่านี้ล่ะ?
          อันฉี  : ฝ่าบาทก็ต้องทำ ด้วยการเด้งก้นช่วยเพคะ

          ฉันขยับมือมาแตะที่หน้าท้องฮ่องเต้ เพื่อช่วยในการทรงตัว ฮ่องเต้เอื้อมมือสองข้างมาจับที่สะโพกฉันแล้วเด้งก้นขึ้นมาให้แท่งเนื้อแข็งกระแทกและเสียดสีกับเนินหว่างขา เขาเลื่อนมือลงไปบีบขยำที่ก้นแล้วออกแรงกระแทกซ้ำอีกหลายครั้ง จนฉันรู้สึกวูบวาบเด้งก้นรับและโน้มตัวลงไปกอดเขาแน่น ฉันแอบจูบเขาที่ซอกคอ ฮ่องเต้เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมากอดฉันแน่นแล้วจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม ฉันถอนริมฝีปากออกแล้วมองสบตาเขา สายตาเขาเชิญชวนยิ่งนัก เขาเริ่มพลิกตัวขึ้นแล้วจับฉันนอนคว่ำเอามือจับสะโพกฉันยกขึ้นโก้งโค้ง แล้วแยกขาฉันออกกว้าง เขาแทรกตัวเข้ามาทางด้านหลังขยับแท่งเนื้อแข็งให้สัมผัสกับเนินทางด้านหลัง แล้วโน้มตัวมาจับบีบคลึงที่หน้าอก มืออีกข้างเอื้อมล้วงจับที่เนินหว่างขา ทั้งโยกและกระแทกกระทั้นอยู่หลายครั้ง จนฉันเสียวและเริ่มจะมีอารมณ์ร่วมไปด้วย จนฉันต้องร้องเรียก "ฝ่าบาทเพคะ...." ฮ่องเต้จึงหยุดชะงักแล้วจับตัวฉันพลิกกลับให้นอนหงาย เขาโถมตัวนอนทับฉันทั้งจูบและซุกไซร้ซอกคอจนฉันเคลิบเคลิ้มอีกครั้ง เราแลกลิ้นจูบกันดูดดื่ม สักพักเขาเงยหน้าสบตากับฉันแล้วกล่าวขอโทษอีกครั้ง แล้วพูดต่ออีกว่า...

       ฮ่องเต้  : ข้ากลัวว่าหลังจากนี้อีกเจ็ดวันความรู้สึกแบบนี้ของข้าจะหมดไป
          อันฉี  : หม่อมฉันจะกลับไปที่ป่าอัคคีมีสมุนไพรชนิดหนึ่งสามารถกระตุ้นอารมณ์ให้ฝ่าบาทคึกคักได้เพคะ
       ฮ่องเต้  : แต่ข้าอยากให้เจ้าเป็นพระสนมเอกของข้ามากกว่า หากเจ้าตอบตกลงข้าจะแต่งตั้งเจ้าวันนี้เลย
          อันฉี  : ไม่ได้หรอกเพคะ หม่อมฉันมีคนรักแล้ว
       ฮ่องเต้  : เฮ้อ...แม้ข้าจะเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไม่ได้สมหวังทุกครั้งไป ข้าไม่บังคับฝืนใจเจ้า วันนี้เจ้าอยู่กับข้าทั้งวันจะได้หรือไม่?
          อันฉี  : คงจะไม่ได้ เพราะหม่อมฉันจะทูลลากลับไปที่ป่าอัคคีเพื่อไปเก็บสมุนไพรให้ฝ่าบาท หากไม่รีบกลับไปเกรงว่าสมุนไพรจะโรยราไปก่อน อีกสี่วันหม่อมฉันจะกลับมาเพคะ
       ฮ่องเต้  : ก็ได้ ข้าจะรอเจ้ากลับมา
          อันฉี  : ช่วงที่หม่อมฉันไม่อยู่ ฝ่าบาทต้องหมั่นออกกำลังกาย อย่าหักโหมทำงาน และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เชื้อลูกชายจะได้แข็งแรง
       ฮ่องเต้  : ได้ เมื่อเจ้ากลับมาต้องรีบมาหาข้าก่อนนะ เข้าใจมั้ย?
          อันฉี  : เพคะ

          ฮ่องเต้กล่าวรับปากและจูบฉันอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน เขาค่อยๆสอดลิ้นเข้าในปากฉันช้าๆค่อยๆจูบแผ่วเบาอ่อนหวาน สายตาลึกซึ้งที่มองสบตาฉันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน จากนั้นเขาจึงปล่อยให้ฉันเดินออกมาจากตำหนัก ฉันเดินออกมาแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข เห็นหยงเป่าที่นั่งรออยู่หน้าตำหนักจึงวิ่งเข้าไปกอดแขน

          อันฉี  : พี่รอง...ขอโทษที่ให้รอนาน
     หยงเป่า  : มีเรื่องยุ่งยากอะไรรึ?
          อันฉี  : ไม่มีอะไรหรอก ฮ่องเต้กังวลมากไปเรื่องการเตรียมตัวช่วงเจ็ดวันนี้ พี่รองพวกเราไปเที่ยวในตลาดกันเถอะแล้วกลับบ้านกัน ข้าทูลขอฝ่าบาทแล้ว
    หยงเป่า  : เจ้าไม่อยู่เรียนวิชาแพทย์แล้วรึ
         อันฉี  : เรียนสิ แต่เราจะกลับบ้านกันก่อนสี่วันเพื่อไปเก็บสมุนไพร แล้วจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เรารีบไปกันเถอะ ข้าอยากไปเที่ยวในตลาดจะแย่แล้ว

          ฉันเดินควงแขนหยงเป่ากลับตำหนักสระบัว แกล้งให้นางกำนัลอิจฉาเล่นๆที่ฉันมีพี่ชายหล่อ เราห้าคนพี่น้องตกลงกันว่าจะเดินเที่ยวในตลาดเพื่อซื้อของและพักค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืนจึงค่อยกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว

          ที่ตลาดมีผู้คนพลุกพล่านมีทั้งอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ขายเต็มไปหมด ฉันเจอขนมน้ำตาลที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆเสียบไม้ ฉันจำได้ตอนที่ยังเป็นเด็กเคยซื้อขนมน้ำตาลปั้นตอนไปเที่ยวงานฉลองศาลเจ้าแถวบ้านที่โลกเก่า ฉันบอกเสวี๋ยฉีให้พาไปซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าร้านที่เขาเคยซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าให้ฉันจ่ายเงินค่าของและบอกคนขายไม่ต้องทอนเพื่อจ่ายของเก่าด้วย เราเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้กันอย่างสนุกสนาน

          ซิ่นหลิง ชักชวนเราเข้าไปกินอาหารและพักที่โรงเตี๊ยมเทียนฮั่ว ขณะที่กำลังกินอาหารทางโรงเตี๊ยมได้จ้างนักเล่านิทานเข้ามาให้ความบันเทิงกับลูกค้า นักเล่านิทานเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานโบราณกาลของเมืองหลวนเซียน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนกอัคคีสวรรค์ ฉันหันไปถามเสวี๋ยฉีเกี่ยวกับนักเล่านิทาน

          อันฉี  : พี่ใหญ่ เรื่องนกอัคคีสวรรค์ที่นักเล่านิทานกำลังเล่าเนี่ยเรื่องจริงเหรอ
      เสวี๋ยฉี  : จริงเป็นบางส่วน และไม่จริงบางส่วน อย่างที่เล่าว่าเคยมีนกอัคคีสวรรค์เป็นเทพปกปักรักษาเมืองนี้ให้ปลอดโรคระบาด ทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและอุดมสมบูรณ์นั่นคือเรื่องจริง ส่วนเรื่องที่เล่าว่านกอัคคีสวรรค์และนกเทพอินทรีย์ไล่ฆ่ามนุษย์จนหมดพระราชวังเพราะความโกรธแค้นก่อนกลับคืนสู่วรรค์นั่นไม่ใช่เรื่องจริง เขาแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อความตื่นเต้นและสนุกสนาน เพราะเรื่องจริงนกเทพอินทรีย์ฆ่ามนุษย์ไปแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเพื่อช่วยนกอัคคีสวรรค์ให้หนีจากการถูกจับไปรีดเอาเลือดปรุงยาอายุวัฒนะ
          อันฉี  : น่าสงสารนกอัคคีสวรรค์จัง ต้องเจอกับมนุษย์โลภมากและใจร้าย
     เฟยเจิน  : เจ้าฟังเพื่อความสนุกสนานก็พอ อย่าเก็บเอาไปคิดมาก อาหารมาแล้วเจ้ากินเยอะๆ อ่ะนี่เป็ดย่างที่เจ้าชอบ
         อันฉี  : เจ้านั่นแหละกินเยอะๆเจ้าน่ะผอมกว่าข้าอีก เอ้านี่น่องไก่ต้ม
    เฟยเจิน  : ข้าไม่ได้ผอมนะ ข้าแค่สูง ถ้าข้าเตี้ยแบบเจ้า ข้าคงดูไม่ค่อยผอมล่ะมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า
         อันฉี  : ข้าไม่ได้เตี้ย ข้าแค่ตัวเล็ก เอาน่องไก่ต้มคืนมาเลย!
    เฟยเจิน  : เฮ่ย! นั่นน่องไก่ของข้า
    หยงเป่า  : ฮ่าฮ่าฮ่า
    ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          ตอนกลางคืนเราออกไปเดินดูแสงสีโคมไฟในตลาดในยามค่ำคืน ผู้คนเดินพลุกพล่านมากมายไม่แพ้ตอนกลางวัน เราเลือกไปนั่งดื่มเหล้าร้านที่เปิดอยู่ข้างๆริมแม่น้ำเพื่อชมความงดงามของแม่น้ำและเรือแจวที่แล่นผ่านไปมาในยามค่ำคืน

          อันฉี  : หลิงหลิง, เจินเจินเราไปนั่งเรือเล่นกันมั้ย?
     ซิ่นหลิง  : เจ้าไม่กลัวเมาเรือรึ
          อันฉี  : ข้าไม่เมาเรือหรอก ที่บ้านเก่าของข้าโดยสารเรือข้ามฟากเป็นประจำ
      ซิ่นหลิง  : ดี เราไปกันให้หมดนี่แหละ ซื้อเหล้าไปดื่มในเรือด้วย
     เฟยเจิน  : ตกลง
          อันฉี  : พี่ใหญ่, พี่รองไปนั่งเรือมั้ย?
       เสวี๋ยฉี  : ก็ดีนะ ไปก็ได้
     หยงเป่า  : ไปสิ
          อันฉี  : พี่รอง ไปซื้อปลาหมึกย่างกัน เอาไปกินในเรือ (ฉันเดินจูงมือหยงเป่าไปซื้อปลาหมึกย่าง)

          เราทั้งห้าคนจึงจ้างเรือแจวขนาดใหญ่แล้วซื้อเหล้าพร้อมกับแกล้ม 3 อย่างลงเรือ เราค่อยๆล่องเรือไปตามแม่น้ำเรื่อยๆ ดื่มเหล้าชมบ้านเรือนและอาคารร้านค้าบนสองฝั่ง พี่ชายทั้งสี่ก็ดูจะพึงพอใจไม่น้อยกับการท่องเที่ยวแบบนี้

          อันฉี  : เจินเจินดูนั่นสิ ทำไมแสงโคมไฟถึงส่องสว่างกว่าที่อื่น สวยจัง
     เฟยเจิน  : ข้าก็ไม่รู้ แต่เห็นมีหญิงและชายเดินกอดคอคลอเคล้าคลอเคลียเข้าออกกันหลายคน
      ซิ่นหลิง  : ที่นั่นน่ะคือ หอนางโลม เป็นสถานที่สำหรับผู้ชายไปหาความสำราญ
     เฟยเจิน  : แล้วผู้หญิงล่ะ ไปหาความสำราญที่นั่นได้มั้ย? เจ้าอยากไปหรือเปล่าน้องห้า ขึ้นฝั่งแล้วเราไปเที่ยวที่นั่นกันมั้ย
     ซิ่นหลิง  : ไม่ได้!
    หยงเป่า  : ไม่ได้!
         อันฉี  : ไม่ได้!
      เสวี๋ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
    เฟยเจิน  : มันเป็นสถานที่ยังไงกันแน่?
         อันฉี  : ก็เป็นสถานที่ที่เจ้าห้ามเข้าก่อนมีอายุถึง 1,000 ปีไงเล่า ข้างในมีสาวงามมากมายที่คอยจ้องพรากพรหมจรรย์ของเจ้า ห้ามเข้าเด็ดขาด!
    เฟยเจิน  : ทำไมเจ้าถึงรู้ล่ะ?!
         อันฉี  : ที่บ้านเก่าของข้ามีสถานที่แบบนี้เยอะ
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าสี่...ถ้าเจ้าอยากไปข้าพาเจ้าไปได้นะ สนใจหรือเปล่า หุหุ
          อันฉี  : พี่ใหญ่! เจินเจินยังเป็นเด็กอยู่นะ ห้ามพาไป!
       เสวี๋ยฉี  : ข้าไปเที่ยวที่นั่นได้มั้ย?
          อันฉี  : ไม่ได้! คืนนี้ห้ามทุกคนออกจากห้องเด็ดขาด!
     ซิ่นหลิง  : เดี๋ยว! แล้วข้าเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย?!
          อันฉี  : (ฉันขยับเข้าไปล็อคคอซิ่นหลิง) เอางี้...ท่านไป ข้าก็จะไปด้วย งั้นพวกเราไปด้วยกันหมดเนี่ยแหละ ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าข้างในหอนางโลมเป็นยังไง เนอะ!
      ซิ่นหลิง  : ไม่ได้!
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ได้
     หยงเป่า  : ไม่ได้!
     เฟยเจิน  : ไม่ได้!
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ตามนั้นนะ เป็นเสียงเดียวกันแล้ว ไม่ไป! ทุกคนห้ามไป เอ้า! ดื่ม...นี่เจินเจินเจ้าดื่มไม่แข็งระวังเมา ข้าไม่อยากแบกเจ้ากลับไปนอนหรอกนะ
     เฟยเจิน  : ดื่มแค่นี้เองข้าไม่เมาหรอก
     หยงเป่า  : เหรอ....
      ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          คืนนี้เป็นคืนที่สนุกสนานและมีความสุขมากกับการชมเมืองทางน้ำ ฉันเองก็ร่วมดื่มกับพี่ชายทั้งสี่คนด้วยเล็กน้อย เราอยู่ดื่มกันจนดึกถึงเวลาต้องกลับไปพักผ่อนในที่พักโดยมีหยงเป่าที่กำลังแบกฉันขึ้นหลัง และซิ่นหลิงที่ประคองเฟยเจินเดินกลับที่พักเพราะฉันและเฟยเจินเมาทั้งคู่ คืนนี้เราเข้านอนพร้อมกันเพราะเหนื่อยจากการเที่ยว กิน และดื่มทั้งวัน ฉันนอนกอดเสวี๋ยฉี เขาจูบฉันก่อนนอนเหมือนเดิม แล้วเราก็นอนหลับไปทั้งคืน
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 22
(ผู้ต้องหาคดีลักพาตัว)

          เช้านี้เราตื่นนอนกันสาย เสวี๋ยฉีตื่นนอนก่อน ฉันรู้สึกตื่นเพราะเขาขยับตัว เราจึงปลุกคนอื่นๆเพื่อลงไปกินอาหารเช้า และเดินทางกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว สักพักเราเดินทางมาถึงที่บ้าน ฉันวางสิ่งของเครื่องใช้ที่นำกลับมาจากในวังและของที่ซื้อมาจากตลาด แล้วเดินไปดูที่แปลงปลูกสมุนไพร มีร่องรอยการรดน้ำและถอนหญ้าวัชพืช แสดงว่าช่วงเวลาที่เราไม่อยู่บ้านมีบางคนมาช่วยดูแลแปลงปลูกสมุนไพร ฉันจึงเดินไปคุยกับหยงเป่า

          อันฉี  : พี่รอง มีบางคนมาช่วยเราดูแลแปลงปลูกสมุนไพรตอนที่เราไม่อยู่ด้วยล่ะ น่ารักจริงๆเลย ใครกันน๊า...หลี่เฉียงแน่เลย!
     หยงเป่า  : จริงด้วย รดน้ำและถอนวัชพีชให้ด้วย อาจเป็นหลี่เฉียงเพราะเห็นมีเนื้อกระต่าแขวนตากอยู่
          อันฉี  : ให้เหล้าไปดื่มเป็นรางวัลดีมั้ย?
     หยงเป่า  : ดีเหมือนกัน ให้ซิ่นหลิงจัดการแล้วกัน ข้าจะไปงีบต่ออีกสักหน่อย
     ซิ่นหลิง  : เดี๋ยว! ทำไมต้องเป็นข้าอีกแล้วล่ะ หลี่เฉียงไม่ใช่ลูกน้องของข้านะ!
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าสาม ฝากเอาเหล้าให้หยางกวาง และสมุนงูด้านนอกด้วย ข้าจะไปดูของที่ซื้อมากับอันฉี
       อันฉี  : พี่ใหญ่ไปเร็ว ไปลองชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมากัน เดี๋ยวตอนบ่ายข้าจะออกไปเก็บสมุนไพรกับพี่รอง (ฉันดึงมือเสวี๋ยฉีให้เข้าไปดูของที่เพิ่งซื้อในบ้าน)
  ซิ่นหลิง  : เฮ่ย! เดี๋ยวสิ! ฟังกันบ้างเซ่! เหล่าทหารงูก็ไม่ใช่ลูกน้องของข้านะ!
  เฟยเจิน  : พี่สาม ไปกันเถอะข้าจะไปช่วยท่านเอง วันนี้ท้องฟ้าดูไม่ค่อยสว่างคล้ายฝนจะตกเลย

         ฉันอวดชุดสวยให้เสวี๋ยดูและช่วยกันจัดเก็บของที่เพิ่งซื้อมา ฉันขยับเข้าไปกอดเสวี๋ยฉีและกล่าวขอบคุณที่เขาใจดีและยอมทำตามที่ฉันขอร้องเรื่องที่ออกไปรักษาท่านอ๋องและที่ไปเดินเที่ยวกันในตลาดเพื่อฉัน เสวี๋ยฉีกอดและหอมที่ผม แล้วบอกว่าไม่ต้องขอบใจ เพราะเขาเองก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันและเขาก็สนุกมาก ฉันจึงจูบเขาเป็นการขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง

          จากนั้นเราจึงเดินออกมานั่งเล่นที่ชานบ้าน ฉันไปชงชาร่ำสุราเพื่อให้รู้สึกสดชื่นจากการดื่มเหล้าเมื่อคืนพร้อมนำขนมมาวางใกล้ๆถาดชาเพื่อกินเป็นของว่าง ซิ่นหลิงและเฟยเจินกำลังเดินออกมาจากป่าไผ่เขียว มีนกตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่แขนเฟยเจิน ทั้งสองเดินมานั่งที่โต๊ะลานบ้านพร้อมนกตัวนั้น

          อันฉี  : นกอะไรเนี่ยเท่ห์จัง เอามาจากไหน แล้วจะเอาไปทำอะไรต่อ
     เฟยเจิน  : นกเหยี่ยว หยางกวางจับได้ที่ด้านนอกป่าไผ่ ข้าออกไปเห็นพอดีเลยขอหยางกวางมาเลี้ยง ว่าจะเลี้ยงไว้เป็นนกสื่อสาร
     ซิ่นหลิง  : ดี เจ้ามีความคิดดี อันฉีมีลิง เจินเจินมีนก เห็นทีข้าต้องหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาไว้ใช้งานบ้างแล้ว
         อันฉี  : หามาไว้ใช้ทำอะไรล่ะ ท่านมีหลี่เฉียงคอยช่วยงาน ไหนจะเหล่าทหารงูข้างนอกอีกล่ะ ยังไม่พออีกเรอะ?!
    ซิ่นหลิง  : พวกนั้นไม่ใช่ลูกสมุนของข้า!
        อันฉี  : ข้าก็เห็นพวกเขาเชื่อฟังท่านดีนี่นา อีกอย่างนึงพี่ใหญ่ก็ไม่ค่อยว่างเพราะต้องคอยดูแลข้าตั้งแต่ตื่นลืมตาจนกระทั่งเข้านอนดุจลูกรัก ส่วนพี่รองกับเจินเจินก็ต้องออกไปเก็บสมุนไพรกับข้า เหลือแต่ท่านที่ว่างก็ช่วยดูแลเหล่าทหารข้างนอกแทนพี่ใหญ่หน่อยสิ ท่านน่ะเหมาะที่สุดแล้ว เนอะ!
   ซิ่นหลิง  : ก็ได้ ข้าแค่ช่วยดูแลเท่านั้นนะ
       อันฉี  : อื้ม, นี่เจินเจิน ถ้าปล่อยให้นกเหยี่ยวบินแล้วนกเหยี่ยวไม่บินกลับมาล่ะ
  เฟยเจิน  : ก็คงต้องปล่อยให้บินจากไป แล้วหานกตัวใหม่มาฝึกแทน แต่นี่ข้าก็ไม่ได้ผูกล่ามอะไรนกตัวนี้ก็ยังไม่บินหนี ข้าจะลองปล่อยให้มันบินออกไปหากิน ถ้าบินกลับมาก็ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน...เอ้าบินไป!
      อันฉี  : ไมเคิล! แอปเปิ้ล! อยู่ที่ไหนกันเนี่ย?

           ฉันตะโกนเรียกสองลิงน้อยสักพักสองลิงน้อยก็วิ่งเข้ามาหาฉันที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ตรงลานบ้าน ฉันนำกำไลหยกเขียวคู่ใส่ที่ข้อมือของลิงน้อยตัวละหนึ่งอัน และแบ่งขนมให้ สองลิงน้อยยกมือขึ้นแตะที่ศรีษะเป็นการบอกว่าชอบ จากนั้นฉันจึงปล่อยให้สองลิงน้อยวิ่งเล่นกันอยู่ที่ลานบ้าน ส่วนเจินเจินยังคงเฝ้ามองบนท้องฟ้ามองหานกเหยี่ยวอย่างมีความหวังว่ามันจะกลับมา ฉันเดินไปหาเขาแล้วบอกว่าตอนบ่ายไม่ต้องออกไปเก็บสมุนไพรให้รอดูนกเหยี่ยวกลับมา ฉันจะไปกับหยงเป่าแค่สองคนก็พอ ซิ่นหลิงอาสาจะออกไปแทนเฟยเจิน แต่ฉันบอกไม่เป็นไรแค่ออกไปเก็บดอกไม้หญิงสาวเริงระบำเท่านั้น ฉันจึงชวนซิ่นหลิงย่างเนื้อกระต่ายตากแห้งกินระหว่างรอหยงเป่างีบหลับ ฉันยกจานเล็กๆที่ใส่เนื้อกระต่ายตากแห้งย่างมาวางให้เสวี๋ยฉีกิน แล้วชวนกันคุยเรื่องหาวัตถุดิบหมักเหล้า ซิ่นหลิงจึงอาสาจะออกไปหาแมงมุมพิษม่ายดำรำพัน 1,000 ปี และตะขาบพิษไฟทะเลทราย 1,000 ปี เขาจะให้เหล่าสมุนแมงมุมที่อยู่ป่าทางตะวันตกช่วยค้นหาแล้วเขาก็ออกไป

          เสวี๋ยฉีจึงลุกไปในครัวเพื่ออุ่นซาลาเปาให้ฉันกินเป็นมื้อกลางวัน ฉันเดินตามไปช่วยเสวี๋ยฉีในครัว เขาหยิบซาลาเปาวางอุ่นในหม้อนึ่งแล้วเดินมายืนรอเวลาให้ซาลาเปาร้อนข้างๆฉันที่นั่งดูเขาอยู่บนโต๊ะสูง ฉันจึงดึงแขนเขาให้ขยับตัวมายืนอยู่ระหว่างขาฉันที่กำลังนั่งอยู่แล้วกอดพร้อมพูดหยอกเล่นว่า..."หิวแล้ว ให้ข้ากินท่านก่อนได้มั้ย".... เขายิ้มแล้วก้มลงมาจูบดูดดื่ม ฉันเอาขาสองข้างกอดเกี่ยวที่สะโพกเขาแล้วเหนี่ยวสะโพกเข้ามาให้แท่งเนื้อสัมผัสกับเนินหว่างขา แล้วถามเขาว่า... "คืนนี้ให้ข้าขัดหลังตอนอาบน้ำมั้ย?" เขาพยักหน้าแล้วดันแท่งเนื้อแข็งเสียดสีเนินจนฉันแทบจะรอให้ถึงตอนค่ำไม่ไหว สักพักเราถูกขัดจังหวะด้วยซาลาเปาที่กำลังร้อนได้ที่ เสวี๋ยฉีจึงหันไปหยิบซาลาเปาออกมาวางใส่จานแล้วให้ฉันยกออกไปวางที่ชานบ้าน แล้วเดินตามออกมา
 
          ฉันหยิบซาลาเปาให้เฟยเจินหนึ่งลูกเขารับไปกิน สักพักสีหน้าที่ดูหดหู่ของเฟยเจินก็กลับมาสดชื่นอีกครั้ง เพราะนกเหยี่ยวตัวนั้นบินกลับมาหาเขา ฉันจึงบอกให้เฟยเจินอยู่บ้านทำความคุ้นเคยกับนกและฝึกมัน หยงเป่าเพิ่งตื่นจากงีบหลับกำลังเดินมานั่งที่ชานบ้าน

     หยงเป่า  : เอ๊ะ! สมาชิกใหม่เรอะ?!
          อันฉี  : นกเหยี่ยวของเจินเจิน ฝึกให้เป็นนกส่งสารน่ะ
     หยงเป่า  : อื้ม ดี นกเหยี่ยวลักษณะดี บินเร็วกว่าลิงน้อย
          อันฉี  : พี่รอง! (ฉันทุบหยงเป่าเบาๆ)
     หยงเป่า  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          เรากินซาลาเปาเสร็จก็เตรียมตัวออกไปเก็บสมุนไพร ฉันขึ้นขี่หลังหยงเป่าเสือดำแล้วพาโดดกระโจนออกไปนอกป่าไผ่เขียว เราออกจากป่าไผ่มาได้สักพักฟ้าที่ขมุกขมัวมาตั้งแต่บ่ายก็เริ่มมืดครึ้มและเริ่มมีฝนตกลงมา เรามาถึงบริเวณลำธารจึงหาที่หลบตรงบริเวณชะง่อนหินที่ยื่นออกมาแล้วเข้าไปหลบใต้หินนั้น หยงเป่านั่งกอดฉันเพื่อให้ฉันอบอุ่น ช่วงระหว่างรอฝนหยุดตกฉันจึงโทรศัพท์ออกมาเปิดเพลงฟังผ่านลำโพงเบาๆให้หยงเป่าฟังด้วย เขาถามขึ้นว่า....

       หยงเป่า  : นี่คือบทกลอนอะไรรึ ข้าฟังแล้วไม่เข้าใจภาษาเลยสักนิด แต่พอฟังไปเรื่อยๆก็ไพเราะแปลกหูดี
            อันฉี  : ชื่อเพลง ดวงดาว เป็นเพลงโปรดของข้า ข้าชอบเปิดฟังเวลานอนตอนกลางคืน

          ".....♪♫♪ คืนที่ดาวอยู่เต็มฟ้า
          โปรดเถอะจันทรา
          อย่าเพิ่งส่องมาได้ไหม
          เพราะในตอนนี้ยังมีคน
          ที่เขาทนทรมานคือฉันเอง
          คิดถึงเเธอ ♪♫♪....."

      หยงเป่า  : ดวงดาว ก็เหมาะสมแล้วที่จะฟังเวลากลางคืน แต่ฟังเวลานี้ก็ยังไพเราะหากร่วมฟังด้วยกันกับเจ้า

          หยงเป่ากอดฉันแน่นขึ้น หันมาสบตาแล้วค่อยๆจูบที่ริมฝีปากฉันอย่างนุ่มนวล เราจูบกันท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกอยู่เบื้องหน้าช่างโรแมนติกนัก ฉันขยับตัวขึ้นนั่งตักเขาแล้วขยับเนินกระแทกเบาๆกับแท่งเนื้อแข็ง สองมือเขาเอื้อมมาบีบขยำก้นฉันแล้วดันก้นให้กระแทกเสียดสีแท่งแข็งให้แรงขึ้น สอดลิ้นเข้าในปากกวัดแกว่งแลกลิ้นกันหวานฉ่ำ หยงเป่าเลื่อนมือมาแหวกคอเสื้อให้กว้างขึ้นแล้วจูบที่ซอกคอไล่ลงมาที่เนินอก ฉันเสียวและแอ่นอกให้เขาบีบขยำ แล้วก้มหน้าลงจูบที่ใบหูเขาค่อยๆเลื่อนลงมาที่ซอกคอ ในขณะที่ก้นฉันเด้งเนินกระแทกแท่งเนื้อ ฉันแหวกคอเสื้อเขาออกกว้างแล้วก้มดูดเลียรอบๆหัวนมแล้วดูด จากนั้นฉันลงจากตักเขาแล้วเอามือลูบคลำแท่งเนื้อแข็งใหญ่ยาวที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ จูบหยงเป่าอีกครั้งแล้วล้วงมือลงไปในกางเกงลูบไล้จับแท่งเนื้อแข็งรูดขึ้นลงตั้งแต่ปลายจรดโคนแล้วเลื่อนมือลงไปลูบไล้บอลทองคำ เขาร้องครางเพราะความเสียวเอามือมาลูบคลำที่เนินหว่างขา ฉันลูบไล้มือขึ้นมาที่แท่งเนื้อและรูดขึ้นลงไปเรื่อยๆ หยงเป่าเอื้อมมือมาจับที่มือฉันให้กำแท่งเนื้อแข็งให้แน่นขึ้นและจับมือฉันให้รูดแท่งเนื้อเร็วขึ้น สีหน้าและสายตาหยงเป่าที่มองฉันขณะรูดแท่งเนื้อนั้นช่างเซ็กซี่เหลือเกิน เขาเริ่มกุมมือฉันแน่นขึ้นรูดแท่งเนื้อเร็วและแรงขึ้นอีกจนเขามีอาการเกร็งและมีน้ำสีขาวข้นๆทะลักออกมาจากแท่งเนื้อเลอะเต็มมือ หยงเป่ารีบเช็ดมือให้แล้วจูบกล่าวขอบคุณ เขาขยับแต่งตัวให้เรียบร้อยตามเดิม แต่เรายังคงนั่งกอดจูบและลูบไล้กันเพื่อรอให้ฝนหยุดตก ช่างรู้สึกอบอุ่นเหลือเกินอ้อมกอดของหยงเป่าเวลานี้

          สักพักฝนเริ่มหยุดตกน้ำในลำธารไหลเต็มทำให้มีปลาออกมาว่ายน้ำเล่นจำนวนมาก หยงเป่าบอกจะจับปลากลับไปกินที่บ้านด้วย ทันไดนั้นมีนกเหยี่ยวบินมาลงตรงหน้าที่ขามีกระดาษใบเล็กๆหนึ่งใบผูกติดอยู่ ในกระดาษเขียนข้อความสั้นๆว่า "ปลอดภัยหรือไม่ จาก เฟยเจิน" ฉันไม่ได้พกกระดาษและพู่กันติดมาด้วย แต่นึกขึ้นได้ว่ามีตลับทาคิ้วอยู่ในกระเป๋าเวทย์อสรพิษคาดเอว จึงใช้แท่งภู่กันด้านปลายฟองน้ำแตะที่ครีมแล้วเขียนคำว่า ปลอดภัย พร้อมวาดรูปใส่กระดาษทางด้านหลังเป็นรูปหน้ายิ้ม (^_^) ผูกกระดาษเข้ากับขานกเหยี่ยวตามเดิม จากนั้นก็ขอปลาหนึ่งตัวที่หยงเป่าจับได้ให้นกเหยี่ยวเอากลับไปด้วยเป็นการบอกว่ากำลังจับปลากันอยู่ แล้วปล่อยนกเหยี่ยวให้บินกลับไปหาเฟยเจิน

          ไม่นานนักฉันก็ได้ยินเสียงลิงดังอยู่ไม่ไกล สักครู่ลิงน้อยไมเคิล และแอบเปิ้ลก็กระโจนลงมาจากต้นไม้ สองลิงน้อยตามรอยนกเหยี่ยวมาหาฉันที่นี่ เพื่อมาเที่ยวเล่น หยงเป่าจับปลาได้หลายตัวจึงแบ่งปลาให้ลิงน้อยกินคนละตัว จากนั้นฉันจึงเก็บปลาใส่ลงในกระเป๋าเวทย์อสรพิษคาดเอว และเดินทางออกจากลำธารเข้าไปในป่าทึบเพื่อไปเก็บดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ เราเข้าไปในป่าทึบได้ไม่ไกลนักก็เจอกอดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ หยงเป่าจะเดินเข้าไปเก็บให้ฉัน แต่ฉันห้ามไว้เพราะกลัวหยงเป่าจะเผลอไปสูดดมมัน ฉันเดินเข้าไปเก็บดอกไม้นั่นหลายดอกเพื่อนำไปทำเป็นเครื่องหอมใส่ในถุงหอมส่วนหนึ่ง และดอกไม้สดส่วนหนึ่งเพื่อนำไปประดับในแจกัน และยังเก็บสมุนไพรมีประโยชน์ชนิดอื่นๆไปอีกด้วยหลายชนิด หยงเป่าบอกเรายังมีเวลาเหลือพอที่จะไปที่ป่าทางใต้เพื่อไปหาวัตถุดิบสำหรับหมักเหล้า เราจึงเดินทางกันไปป่าทางใต้เกือบถึงชายป่าที่ติดกับเขตเมืองหลวง

          ในขณะที่เรากำลังมองหาว่านกำแพงโลหิตเจ็ดชั้น 1,000 ปี ก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือเราจึงรีบวิ่งไปดู เห็นตะขาบยักษ์กำลังโจมตีชายคนหนึ่ง หยงเป่าจึงกระโดดเข้าไปช่วย และต่อสู้กับตะขาบยักษ์ เขาใช้กงเล็บนิลอสูรที่คมกริบตะปบเข้าที่ตัวตะขาบจนเกิดแผลใหญ่เหวอะหวะ ฉันและสองลิงน้อยที่ยืนอยู่รีบเข้าช่วยดึงชายคนนั้นให้ถอยออกห่างจากการต่อสู้ของหยงเป่าและตะขาบ ฉันกลัวและเกลียดตะขาบจนขนลุกไปทั้งตัว เพราะตอนฉันเป็นเด็กเคยถูกตะขาบตัวใหญ่กัดที่มือจนมือบวมเป่ง ฉันจึงเกลียดกลัวตะขาบตั้งแต่นั้นมา ตะขาบยักษ์พยายามจะกัดหยงเป่าแต่หยงเป่ามีความไวรวดเร็วและฝีเท้าเบาดั่งลมสามารถกระโดดหลบการโจมตีของตะขาบได้ทุกครั้ง หยงเป่ากระโดดตะปบเข้าที่ลำตัวตะขาบยักษ์อีกครั้งจนเป็นแผลเหวอะลึกมากกว่าเดิม และกัดซ้ำด้วยเขี้ยวคมยาวเข้าที่หัวตะขาบยักษ์อีกครั้งจนตะขาบยักษ์ตายคาที่ จากนั้นหยงเป่าจึงเดินกลับมาหาฉัน

          อันฉี  : พี่รอง ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?
     หยงเป่า  : ไม่
          อันฉี  : ถูกตะขาบยักษ์กัดเหรอ? (ฉันหันไปมองแขนที่บวมเป่งของชายแปลกหน้า) 
ชายแปลกหน้า  : ใช่! เจ็บปวดมาก

          ชายแปลกหน้าคนนี้ อายุประมาณ 25 ปี แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ที่ตัวไม่มีอาวุธอื่นนอกจากมีดพกเล่มเล็กๆคล้ายมีดสำหรับใช้ในครัว และตะกร้าหนึ่งใบ เขาร้องเจ็บปวดเพราะถูกตะขาบยักษ์กัดและถูกพิษจนแขนบวมและดำช้ำเพราะมีเลือดครั่งอยู่ภายในฉันจึงเริ่มทำแผลให้เขา

ชายแปลกหน้า  : ขอบคุณแม่นางน้อยที่ช่วยเหลือข้า
          อันฉี  : เอาแขนมาดูซิ แขนบวมมากมีเลือดครั่งภายใน ขอยืมมีดพกของท่านหน่อย ข้าจะเอาพิษกับเลือดเสียออกให้

           ชายแปลกหน้าหยิบมีดพกที่เหน็บเอวไว้ส่งให้ ฉันล้วงเอารากไม้ชนิดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเวทย์อสรพิษคาดเอว แล้วใช้ด้ามมีดพกทุบที่ปลายรากไม้ข้างหนึ่งจนมีน้ำซึมออกมาจากปลายรากไม้ด้านที่ทุบ

          อันฉี  : นี่คือว่านไร้รู้สึก ข้าจะทาน้ำว่านลงที่แขนตรงบริเวณบาดแผลจะทำให้เกิดอาการชาหรือไม่รู้สึก

          ฉันทาน้ำว่านไร้รู้สึกลงบนแขนเขาและรอสักครู่จนเกิดอาการชา จากนั้นจึงใช้ปลายมีดลองจิ้มที่แขนบริเวณที่ทาน้ำว่านไร้รู้สึกแล้วถามเขาว่า...

          อันฉี  : ตรงปลายมีดที่ข้าจิ้มเนี่ยท่านรู้สึกเจ็บหรือเปล่า?
ชายแปลกหน้า  : ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไร
          อันฉี  : เอาล่ะ! ข้าจะกรีดเอาเลือดเสียที่ครั่งอยู่ออก ถ้าเจ็บให้ร้องบอกนะ
ชายแปลกหน้า  : อื้ม!

          ฉันเริ่มกดปลายมีดลงบนเนื้อสีดำช้ำเพื่อเปิดปากแผลยาวประมาณสามเซ็นติเมตร แล้วรีดเลือดเสียทิ้งออกจากแขน จนรอยเลือดคล้ำดำเริ่มมีสีจางลงเป็นสีแดง จากนั้นฉันหยิบว่านโซ่โลหิตออกมาใช้ด้ามมีดพกตำใบว่านและโปะลงปากแผลที่ถูกมีดกรีด

          อันฉี  : ยานี่จะช่วยห้ามเลือดและสมานแผล ตอนนี้พี่ชายปลอดภัยแล้ว อ่ะนี่ใบว่านโซ่โลหิตยาสมานแผลเอากลับไปตำแล้วโปะใส่แผลไม่กี่วันก็หายแล้วล่ะ
ชายแปลกหน้า  : ขอบคุณท่านมาก ท่านหมอ
          อันฉี  : ข้าไม่ใช่หมอ แล้วพี่ชายเข้ามาทำอะไรที่นี่มันอันตรายมาก หรือเจ้าเป็นพวกลักลอบขโมยของป่า?
ชายแปลกหน้า  : ข้าไม่ใช่พวกลักลอบขโมยของป่า ข้า ซือเหวินอี้ ข้าอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆตรงชายป่าด้านนอก ตอนนี้ภรรยาของข้าป่วยเป็นไข้มาหลายวัน ข้ายากจนไม่มีเงินพานางไปรักษา ข้าจึงต้องเข้ามาที่นี่เพื่อหาสมุนไพรไปรักษาภรรยาของข้า
          อันฉี  : อ่ะ! นี่ยาลดไข้ ต้มให้ภรรยาพี่ชายกิน (ฉันล้วงมือหยิบยาในกระเป๋า แล้วหาใบไม้มาห่อยาให้เขา) 
  ซือเหวินอี้  : ขอบคุณท่านหมอ

          ซือเหวินอี้ รับยาไปหนึ่งห่อแล้วรีบวิ่งออกไป ฉันจึงชวนหยงเป่าตามซือเหวินอี้ไป เพื่อไปดูว่าเขาพูดจริงหรือไม่

          อันฉี  : พี่รอง ท่านช่วยพาข้าแอบตามเขาไปได้มั้ย ข้าอยากรู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก หากเขาพูดจริงก็น่าสงสารมากยาห่อเล็กๆห่อเดียวไม่เพียงพอหรอก แต่หากเขาโกหก ข้าจะแจ้งทางการให้มาจับเขาไปลงโทษ
     หยงเป่า  : หากเขาโกหกก็ไม่ต้องแจ้งทางการหรอก ปล่อยให้มันกลับเข้ามาให้เป็นอาหารสัตว์ร้ายที่นี่ พวกสัตว์ร้ายจะได้มีอาหารกิน
          อันฉี  : เป็นความคิดที่โหดร้าย แต่ก็เข้าท่าดี

          หยงเป่าพาฉันตามซือเหวินอี้ไปถึงชายป่าด้านนอก เห็นเขาเดินเข้าไปในกระท่อมเล็กๆเก่าๆหลังหนึ่ง เดินหายเข้าไปด้านในกระท่อมสักครู่ แล้วเดินออกมาก่อเตาไฟตั้งน้ำเพื่อต้มยาที่ฉันเพิ่งให้เขาไป จากนั่นเขาก็เดินอ้อมไปทางหลังกระท่อมและนั่งขุดดินหาอะไรสักอย่างในดิน ฉันและหยงเป่าจึงรีบย่องเข้าไปใกล้ๆกระท่อมและแอบมองดูทางหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ ภายในกระท่อมเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนห่มผ้าอยู่บนเตียงลักษณะเหมือนกำลังไม่สบาย ฉันจึงหยิบยาห่อใหญ่หนึ่งห่อที่เตรียมไว้และปลาตัวใหญ่อีกสามตัวไปวางไว้ที่หน้าประตูกระท่อม แล้ววิ่งกลับไปซ่อนตัวเพื่อรอดูเขากลับมา สักพักซือเหวินอี้กลับมาที่กระท่อมในมือถือหัวมันสีม่วงหัวเล็กๆกลับมา 2 หัว เมื่อเดินมาถึงที่หน้าประตูกระท่อมเห็นห่อยาและปลาที่วางอยู่หน้าประตูเขาหยิบขึ้นมาดูด้วยความดีใจ และรีบมองหาคนที่นำไปวางแต่ก็ไม่พบใคร เขาจึงรีบนั่งลงคุกเข่าก้มหัวคำนับกล่าวคำขอบคุณอยู่หลายครั้ง จากนั้นเขาจึงรีบนำยาห่อใหญ่หนึ่งห่อไปต้มผสมรวมกับยาห่อเล็ก และนำปลาที่ได้ไปปรุงอาหาร

          ฉันที่กำลังดูแอบอยู่เริ่มมีน้ำตาซึม จมูกแดงๆอยากจะร้องไห้เพราะรู้สึกสงสารพวกเขาจับใจ หยงเป่ากอดฉันแล้วหอมที่ผมเพื่อปลอบประโลม จากนั้นเราทั้งสี่จึงเดินทางกลับบ้าน กลับถึงบ้านฉันส่งปลาให้เฟยเจินและเล่าเรื่องตะขาบยักษ์กับเรื่องที่เจอ ซือเหวินอี้ ให้พี่ชายทั้งสามฟัง ซิ่นหลิงพอได้ยินว่าฉันกลัวตะขาบเขาก็หยิบเอาตะขาบพิษไฟทะเลทรายที่จับได้มาแกล้งหลอกฉัน ทำเอาฉันร้องกรี๊ดลั่นบ้านแล้วรีบวิ่งไปหลบมุดใต้เสื้อคลุมของเสวี๋ยฉีให้เขาช่วยฉันกลัวตะขาบจนน้ำตาไหล ซิ่นหลิงจึงหยุดแกล้งแล้วกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ แต่ฉันยังโกรธและยังไม่ยอมยกโทษให้

          เสวี๋ยฉีเช็ดน้ำตาให้ฉันแล้วพาฉันเดินเข้าไปปลอบขวัญในบ้าน เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วจับตัวฉันให้นั่งลงบนตักเขาทั้งกอดทั้งโอ๋เหมือนฉันเป็นเด็ก ฉันจึงหยุดร้องไห้แล้วกอดซบอกออดอ้อนให้เสวี๋ยฉีทำโทษซิ่นหลิงที่แกล้งฉัน โดยให้ซิ่นหลิงรับหน้าที่ออกไปหาสมุนไพรที่เหลืออีกสองชนิดเพื่อนำมาหมักเหล้าคือ รากสาวสะดุ้งหิมะพันปี และว่านกำแพงโลหิตเจ็ดชั้นพันปี เสวี๋ยฉีจึงออกไปต่อว่าซิ่นหลิงแล้วสั่งให้ซิ่นหลิงออกไปหาสมุนไพรอีกสองชนิดกลับมาเป็นการไถ่โทษ เฟยเจินจึงอาสาออกไปช่วยซิ่นหลิงค้นหาด้วยกัน

          เสวี๋ยฉีเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วกอดให้ฉันหายกลัวตะขาบ เขาลูบไล้ทั่วตัวฉันแล้วจูบที่หน้าผาก ฉันจึงเงยหน้าและจูบเขาที่คาง เราแลกลิ้นจูบกันดูดดื่ม เสวี๋ยฉีชวนฉันไปอาบน้ำเพราะเนื้อตัวฉันมอมแมมเขาบอกจะอาบน้ำให้ฉัน เราจึงเดินเข้าห้องอาบน้ำไปด้วยกัน เราที่อยู่ในร่างเปลือยเปล่ากำลังลงแช่น้ำในถังไม้ด้วยกัน เขาเอาน้ำลูบหน้าล้างคราบน้ำตาและเศษขี้โคลนที่กระเด็นติดหน้าให้ แล้วลูบน้ำตามลำตัว ดึงตัวฉันให้นั่งหันหลังบนตักเขาแล้วกอดแน่น เขาจูบลงที่ต้นคอและไหล่จนฉันขนลุก สองมือกำลังบีบคลึงที่หน้าอก ฉันกุมมือเขาที่กำลังเคล้าคลึงเล่นหน้าอกแล้วเอ่ยขอกระต่ายสองตัวเพื่อแบ่งปันให้ ซือเหวินอี้และภรรยาเขาที่กำลังป่วย เสวี๋ยฉีตอบ "อืม" ฉันจึงเอี้ยวหน้าไปจูบริมฝีปากบางๆนั้นเป็นการขอบคุณ แล้วจับมือเขาข้างหนึ่งที่กำลังบีบคลึงหน้าอกให้ค่อยๆเลื่อนลงมาบีบคลึงที่เนินสวาทหว่างขา เขาจึงสอดใส่แท่งเนื้อแข็งผ่านทางหว่างขาแล้วจับสะโพกฉันยกขึ้นลงเพื่อให้หว่างขาถูไถกับแท่งเนื้อแข็ง สักพักเขาจับฉันลุกขึ้นยืนหันหลังให้ก้มตัวพาดกับขอบถังไม้ แล้วสอดใส่แท่งแข็งผ่านหว่างขาโยกก้นถูไถเสียดสี ฉันจึงหันหน้ากลับมาจูบที่ริมฝีปาก มือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปจับแท่งเนื้อแข็งลูบไล้ตั้งแต่ปลายแท่งจรดลูกบอลทอง ฉันค่อยๆจูบลงมาที่หน้าอกเลียรอบหัวนมและดูด จากนั้นค่อยๆจูบลงมาที่หน้าท้องจนถึงปลายแท่งเนื้อแข็งที่กำลังชูชัน ฉันลงลิ้นเลียที่ปลายและรอบๆรอยหยักทั้งดูดและเลียจนเสวี๋ยฉีร้องครางด้วยความเสียว จากนั้นฉันดันแท่งเนื้อแข็งใส่ปากจนลึก เขาเด้งก้นโยกให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกและเร่งจังหวะกระแทกให้แรงและเร็วขึ้นจนน้ำสีขาวข้นทะลักออกมา เขาจูบฉันดูดดื่มอีกครั้งแล้วอาบน้ำให้ฉันจนเสร็จ

          คืนนี้ซิ่นหลิงและเฟยเจินหาสมุนไพรมาได้ครบ ซิ่นหลิงเดินเข้ามาง้อและขอโทษฉันอีกครั้ง และสัญญาว่าจะไม่แกล้งเอาตะขาบมาหลอกฉันอีก เขาจับมือฉันเอาไปแตะที่แก้มเขาแล้วบอกให้ฉันตีและลงโทษ ฉันจึงเอ่ยให้อภัย ซิ่นหลิงดีใจโผเข้ากอดและหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ เฟยเจินจึงเข้ามากอดฉันด้วยอีกคน เฟยเจินบอกดีใจที่เห็นฉันหายโกรธซิ่นหลิง เขาไม่อยากให้เราทะเลาะกัน ฉันจึงชวนเขาทั้งสองคนไปช่วยกันหมักเหล้า เฟยเจินเทเหล้าทั้งสี่ชนิดคือเหล้าสีขาว สีดำ สีแดง สีเหลือง เทใส่ผสมกัน และนำสมุนไพรสำคัญสี่ชนิด คือรากสาวสะดุ้งหิมะพันปี ว่านกำแพงโลหิตเจ็ดชั้นพันปี เถาวัลย์เหล็กดำพันปี และเปลือกมะพลับหาวทองคำพันปีใส่ลงไป จากนั้นซิ่นหลิงนำสัตว์พิษสี่ชนิด คือกบลูกศรพิษอสูรทองคำพันปี กระพรุนพิษดาวฟ้าพันปี ตะขาษพิษไฟทะเลทรายพันปี และแมงมุมพิษหม้ายดำรำพันหนึ่งพันปี ใส่ลงไปในไหเหล้าแล้วมัดปิดฝาสนิทมิดชิด ซิ่นหลิงอาสาจะนำไหเหล้าไปหมักแช่ใต้ธารน้ำแข็งไม่หวนกลับในวันพรุ่งนี้

          คืนนี้ฉันเข้านอนดึกพร้อมเสวี๋ยฉี เขากอดและจูบฉันก่อนนอนเหมือนเดิม เราหลับไปพร้อมกัน......และฉันฝันว่า ฉันร่างกายเปลือยเปล่ากำลังนั่งคร่อมอยู่บนหน้าเสวี๋ยฉี เขานอนหงายกำลังดูดเลียเนินหว่างขาให้ฉัน ลิ้นนุ่มนิ่มที่กำลังสอดใส่ชอนไชซุกซนทำให้ฉันเสียวสะท้านไปทั้งตัวจนร้องครางออกมาเสียงดัง สักพักฉันหันหลังกลับแล้วก้มลงไปดูดเลียแท่งเนื้อแข็งใหญ่ยาวของเขา ในขณะที่ฉันเด้งก้นเพราะความเสียวที่เขากำลังดูดเลียเนินสวาทให้ฉันเช่นกัน ฉันขยับเลื่อนตัวโดยหันหลังให้เขาแล้วถูไถเนินสวาทกับแท่งเนื้อแข็งและจับสอดใส่เข้าข้างใน เด้งก้นโยกจนเขาเอามือสองข้างมาจับที่สะโพกฉันแล้วเด้งรับกระแทกแรงขึ้นจนเราส่งเสียงร้องคราง "อืออ...อาาา" เขาจับตัวฉันล้มนอนหงายบนตัวเขา แล้วยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นอ้ากว้างออกทำให้ขาฉันที่วางพาดบนขาเขาแยกอ้าออกกว้าง เขาเด้งก้นโยกให้แท่งเนื้อเข้าออกเนินสวาทช้าๆ มือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปจับที่เนินสวาทแล้วใช้นิ้วกลางแหวกเนินลูบไล้เล่นจุดกระสันเสียว มือเขาอีกข้างหนึ่งบีบขยำหน้าอกสนุกมือ ฉันเสียวสะท้านไปทั้งตัวและเอี้ยวหน้าไปจูบแลกลิ้นเร่าร้อน เขาเร่งจังหวะเด้งก้นโยกแท่งเนื้อแข็งแรงและเร็ว นั่นทำให้ฉันรู้สึกเสียวมากจนเกร็งและถึงจุดสุดยอดก่อนเขา เสวี๋ยฉีกอดฉันแน่นมากขึ้นและเด้งแท่งเนื้อเข้าออกเนินสวาทเร็วขึ้นจนเขาเกร็งและกระตุกเล็กน้อยฉันรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลค่อยๆไหลออกมาจากเนินสวาท และแน่นอน เสวี๋ยฉี จะไม่ปล่อยให้ฉันหยุดพัก เขาจับฉันนอนตะแคงข้างแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินสวาททางด้านหลังแล้วเด้งก้นให้แท่งเนื้อขยับเข้าออกเนินสวรรค์ช้าๆอีกครั้ง.....

          เช้านี้เสวี๋ยฉีตื่นนอนก่อน เขาค่อยๆบรรจงจูบลงบนหน้าผากและริมฝีปากฉันเบาๆเพื่อไม่ให้ฉันตื่น แต่ฉันเป็นคนตื่นง่าย จึงงัวเงียดึงแขนเสื้อเขาไว้

       เสวี๋ยฉี  : ข้าทำเจ้าตื่นรึ? ข้าขอโทษนะ....
          อันฉี  : เปล่า...ข้าตื่นเอง ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง
       เสวี๋ยฉี  : ไม่รู้สิ สงสัยเพราะเมื่อคืนนอนหลับฝันดี เจ้านอนต่อเถอะ
          อันฉี  : ไม่ล่ะ ข้าตื่นแล้ว อุ้มข้าไปล้างหน้าด้วยสิ อุ้ม อุ้ม (ฉันออดอ้อน)
      เสวี๋ยฉี  : ได้สิ! เจ้าหญิง

          เสวี๋ยฉี อุ้มฉันแล้วจูบที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง และอุ้มไปล้างหน้าด้วยกัน หลังจากล้างหน้าเสร็จฉันก็ขึ้นขี่หลังเสวี๋ยฉี เขาพาฉันขึ้นขี่หลังพาเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงชาและส่งขนมให้ฉันถือ เขาถือถาดน้ำชาเดินออกมาจากครัวกำลังจะเดินไปที่ชานบ้านพร้อมกับมีฉันขึ้นขี่หลังเขาอยู่ หยงเป่าตื่นนอนแล้วเดินเข้ามาช่วยเสวี๋ยฉีถือถาดน้ำชา แล้วพูดว่า...

     หยงเป่า  : ท่านเนี่ยเหมือนแม่ลูกอ่อนเข้าไปทุกทีแล้วนะ หุหุ
       เสวี๋ยฉี  : ข้าเป็นให้นางได้หมดทุกอย่างนั่นแหละ
          อันฉี  : หากท่านกลายเป็นแม่จริงๆล่ะก็ ท่านจะเป็นแม่ที่สาวและสวยที่สุดในโลก
       เสวี๋ยฉี  : หากเจ้ากลายเป็นลูกสาวข้าจริงๆล่ะก็ เจ้าจะเป็นลูกสาวที่สวยและน่ารักที่สุดในโลกของข้า (ฉันกอดเสวี๋ยฉีแน่นขึ้นและหอมที่แก้มฟอดใหญ่)
     หยงเป่า  : เฮ่อ...บ้ายอเหมาะสมกันจริงๆ

          เราสามคนนั่งลงดื่มน้ำชาที่ชานบ้าน ไม่นานนักซิ่นหลิงก็ตื่นและเดินออกมานั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน ซิ่นหลิง บอกจะออกเดินทางแต่เช้าไปที่ธารน้ำแข็งไม่หวนกลับเพื่อนำไหเหล้าไปแช่ใต้ธารน้ำแข็ง คงจะกลับถึงบ้านเวลาเย็น ซิ่นหลิงดื่มชาและกินขนมเสร็จ จากนั้นขยับมาหอมแก้มฉันหนึ่งฟอดแล้วแบกไหเหล้าออกไป สักพักก็ได้ยินเสียงสองลิงน้อยวิ่งเข้ามาหาในมือถือหัวมันสีม่วงมาด้วยหนึ่งมัดเล็กๆ พร้อมด้วยจดหมายอีกหนึ่งฉบับแล้วนำมาส่งให้ฉัน

          อันฉี  : เอ๊ะ! ไปเอาหัวมันมาจากไหนเนี่ย มีจดหมายฝากมาด้วยเหรอ ไหนมาดูซิจดหมายเขียนว่างัย?....."ข้าซือเหวินอี้และภรรยาขอขอบพระคุณท่านหมอที่ให้ความเมตตาช่วยเหลือ ขณะนี้ภรรยาของข้าไข้ลดลงแล้ว แต่ข้าไม่มีเงินจ่ายค่ายาและปลาที่ท่านวางไว้ให้ที่หน้าประตูบ้าน ข้ามีเพียงหัวมันสีม่วงที่สามารถตอบแทนพระคุณท่านได้เพียงเล็กน้อย หากท่านมีสิ่งใดหรือต้องการเรียกใช้ข้า ได้โปรดเรียกใช้ข้าเถิด...จาก ซือเหวินอี้"
     เฟยเจิน  : มีเรื่องอะไรกันรึ? (เฟยเจินเพิ่งตื่นนอน)
          อันฉี  : ซือเหวินอี้ คนที่ข้ากับพี่รองพบเมื่อวานเค้าฝากลิงน้อยให้นำหัวมันม่วงมาให้ นี่ไง ทำไมสองลิงน้อยไปเล่นไกลถึงที่นั่นได้นะ?!
     หยงเป่า  : อืม...นอกจากจะไม่ได้โกหกแล้ว นับว่าเป็นคนที่รู้จักบุญคุณคนด้วย นับว่าดีทีเดียว
     เฟยเจิน  : เดี๋ยวข้าเผาหัวมันให้
       เสวี๋ยฉี  : ดี ข้ากำลังนึกอยากกินอยู่พอดี
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ข้าจะตอบจดหมายแต่ข้าเขียนภู่กันไม่เป็นอ่า~
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะเขียนให้ ไปสิ
          อันฉี  : ตอบกลับไปว่า...."ยาห่อนี้คือยาบำรุงต้มดื่มก่อนกินอาหาร และขอบคุณสำหรับหัวมันม่วงที่แบ่งปันมาให้ คราวหน้าอย่าได้ลำบากนำสิ่งของมาให้ข้าเลย กระต่ายสองตัวนี้พี่ใหญ่ของข้าแบ่งปันให้ท่านและภรรยาไว้ปรุงอาหาร...จาก อันฉี"

          จากนั้นฉันจัดยาบำรุงสองห่อแนบจดหมายและกระต่ายสองตัวฝากสองลิงน้อยไปให้ ซือเหวินอี้ ที่ชายป่าทางใต้ สองลิงน้อยวิ่งออกไปพร้อมของฝาก และมันเผาตัวละหนึ่งหัวไว้กินระหว่างทาง เฟยเจินเผาหัวมันจนสุกวางใส่จานแล้วนำมาวางข้างๆถาดน้ำชา เสวี๋ยฉีและหยงเป่าหยิบหัวมันเผาไปกินคนละหนึ่งหัว ฉันหยิบหัวมันเผามาลอกเปลือกออกแล้วเอาไปนั่งกินข้างๆเฟยเจินที่กำลังนั่งเผาหัวมันที่เหลือ ฉันกินหนึ่งคำป้อนให้เฟยเจินกินหนึ่งคำ ฉันเห็นเฟยเจินกำลังตั้งใจเผาหัวมัน จึงนึกสนุกอยากแกล้งเขาด้วยการลอกเปลือกมันแล้วป้อนใส่ปากเฟยเจิน เขาเคี้ยวเปลือกมันแล้วรู้สึกแปลกๆจึงหยิบออกจากปากมาดูแล้วโยนทิ้ง เขาหัวเราะแล้วหันมาโวยวายบีบคอฉันที่ถูกฉันแกล้ง หยงเป่าและเสวี๋ยฉีที่นั่งมองอยู่ก็พลอยขำไปด้วย

     เฟยเจิน  : เจ้าแกล้งข้า!
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
     เฟยเจิน  : เอาหัวมันเผามานี่เลย เดี๋ยวข้ากินเอง (เขาหยิบมันเผาไปจากมือฉันแล้วกินทีเดียวหมด)
          อันฉี  : อะไรอ่า~ กินคำเดียวหมดเลยอ่า!
     เฟยเจิน  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

          ตกบ่ายหยงเป่างีบหลับกลางวัน ส่วนเสวี๋ยฉีนอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆฉันที่กำลังหัดเรียนเขียนภู่กันกับเฟยเจิน การเขียนภู่กันเป็นสิ่งที่ยากจนฉันเริ่มเมื่อยมือ เลยชวนเฟยเจินเล่นเกมส์ทายใบหน้า หากใครทายผิดต้องโดนเขียนหน้าด้วยภู่กัน ฉันล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อของเสวี๋ยฉีแล้วหยิบเอาพัดของเขาออกมาเล่นโดยการบังใบหน้าเอาไว้ให้เฟยเจินทาย

          อันฉี  : เจินเจิน ทายซิข้ากำลังมองไปทางซ้ายหรือทางขวา
     เฟยเจิน  : เจ้ามองไปทางซ้าย
          อันฉี  : ผิด ข้ามองทั้งสองทาง (ฉันเปิดพัดที่บังหน้าออกแล้วทำตาเหล่ใส่เฟยเจิน)
    เฟยเจิน  : ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าโกงข้า
         อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า มาให้ข้าเขียนหน้าซะดีๆ

          ฉันวาดรูปหนวดแมวลงบนหน้าของเฟยเจิน เราเล่นกันอยู่สักพัก ฉันจึงขออนุญาตเสวี๋ยฉีไปเยี่ยมดูอาการภรรยาของซือเหวินอี้ เสวี๋ยฉีอนุญาตแต่ต้องกลับให้ทันเวลาอาหารมื้อเย็นเหมือนเดิม ฉันจึงชวนเฟยเจินไปด้วยกันเพราะหยงเป่างีบหลับจึงไม่อยากปลุก ฉันขึ้นหลังเฟยเจินแล้วบินมุ่งหน้าออกไปชายป่าทางใต้ เฟยเจินพาฉันบินผ่านต้นอัคคีสวรรค์เขาพาฉันแวะลงไปเก็บผลอัคคี เราอยู่นั่งเล่นใต้ต้นอัคคีสวรรค์ได้สักพัก ฉันถามเฟยเจินว่า....

          อันฉี  : เจ้าจะไปที่พระราชวังกับข้ามั้ย
     เฟยเจิน  : แน่นอน ข้าไปกับเจ้าทุกที่นั่นแหละ
          อันฉี  : เราไปกันสองคนก็พอ ไปแค่สามวันก็กลับ เนอะ
     เฟยเจิน  : พวกพี่ๆเขาจะยอมเหรอ พวกเขาห่วงเจ้าจะตาย
          อันฉี  : ข้ารู้ แต่ถ้าพวกเขาไม่ยอมก็คงต้องยอมให้ตามไปด้วย ข้าแค่กังวลว่าพวกเขาจะเบื่อ
    เฟยเจิน  : อืมใช่ อยู่ในวังน่าเบื่อ แต่ข้าอดทนได้เพื่อเจ้า
         อันฉี  : ขอบคุณนะ

         ฉันจูบเฟยเจินที่ริมฝีปากแลกลิ้นดูดดื่ม แล้วโถมตัวนอนทับบนตัวเขาและจูบเขาจนฉันพอใจ จากนั้นจึงชวนเฟยเจินบินต่อไปที่บ้านซือเหวินอี้ ระหว่างที่กำลังบินเกือบถึงชายป่านั้น เฟยเจินมองเห็นสองลิงน้อยไมเคิลและแอบเปิ้ลกำลังนำทางหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังวิ่งหนีคนกลุ่มหนึ่งที่ในมือถืออาวุธวิ่งมาทางนี้ ฉันจึงให้เฟยเจินพาลงไปดูใกล้ๆจึงรู้ว่าคนที่กำลังวิ่งหนีคือซือเหวินอี้กับภรรยาของเขา แต่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังวิ่งหนีใคร เฟยเจินพาฉันบินลงไปดักหน้าคนกลุ่มนั้นที่ถืออาวุธแล้วใช้ปีกพัดโบกใส่ให้เกิดลมพายุจนคนกลุ่มนั้นถูกลมพัดเซถลาไปคนละทิศละทาง ฉันเรียกแซ่อสรพิษออกมาแล้วสะบัดแซ่ให้เกิดเสียงดังเพื่อข่มขู่ให้พวกเขาตกใจ จากนั้นเฟยเจินจึงใช้ปีกโบกอีกครั้งเรียกลมพายุพัดให้ต้นไม้ล้มขวางทาง ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นมากันห้าคนต่างพากันตกใจกลัวร้องว่า "หนีเร็ว! ปีศาจ! ปีศาจ!" แล้ววิ่งหนีตะเลิดออกจากป่า ฉันหันกลับไปมอง ซือเหวินอี้และภรรยาของเขาที่กำลังนั่งคุกเข่าก้มหัวขอบคุณ

   ซือเหวินอี้  : ขอบพระคุณท่านหมอ ขอบคุณๆ ขอบคุณที่ช่วยเหลือเราสองคนอีกครั้ง นี่ภรรยาของข้า ฟางหรู
       ฟางหรู  : ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยชีวิต ข้าชื่อ ฟางหรู
          อันฉี  : พวกท่านกลัวข้าหรือเปล่า คนพวกนั้นเรียกข้า ปีศาจ
  ซือเหวินอี้  : ไม่ ข้าไม่กลัว ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า แต่หากท่านเป็นปีศาจจริงๆข้าก็ไม่กลัวเพราะท่านดีกับข้าและภรรยาข้ามากกว่าคนพวกนั้นเสียอีก
      ฟางหรู  : ใช่ๆ
          อันฉี  : ทำไมคนพวกนั้นถึงวิ่งไล่ตามพวกท่านเหมือนหมายจะเอาชีวิตแบบนั้นล่ะ?
  ซือเหวินอี้  : พวกเขามาตามภรรยาข้ากลับไป และจะจับตัวข้าส่งทางการ คือ...ข้าสองคนหนีตามกันมา
          อันฉี  : เรื่องมันเป็นยังไง พอจะเล่าได้มั้ย?
      ฟางหรู  : คือ...ท่านพ่อของข้าเป็นพ่อค้ามีหน้ามีตาอยู่ในเมือง แต่ข้าเป็นแค่ลูกสาวที่เกิดกับสาวใช้ในบ้านไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกสาว ข้ากับแม่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านไม่ต่างกับสาวใช้ แม่ข้าตายตอนข้ามีอายุสิบสองปี ทั้งแม่เลี้ยง พี่สาวและพี่ชายต่างมารดาก็พยายามขับไล่ข้าออกจากบ้าน ท่านพ่อไม่เคยสงสารใยดีต่อข้า หลายครั้งที่ข้าคิดอยากฆ่าตัวตาย จนข้าได้พบกับพี่เหวินอี้ ทำให้ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกครั้ง เมื่อพ่อข้าทราบเรื่องที่ข้ารักกับพี่เหวินอี้ เขาก็ยกข้าให้แต่งงานกับพ่อค้าต่างเมืองที่เคยทำการค้าด้วยกัน ข้าจึงตัดสินใจหนีตามพี่เหวินอี้มาอยู่ด้วยกันที่ชายป่า
  ซือเหวินอี้  : ข้าเป็นคนยากจนแต่ฟางหรูก็ไม่เคยรังเกียจ ข้าพานางหนีมาอยู่ที่กระท่อมชานเมือง ข้าถูกทางการประกาศจับ จึงพากันย้ายมาอยู่ที่ชายป่าด้านนอก พ่อของนางจ้างคนมาเพื่อจับนางกลับไป และจะจับข้าส่งตัวให้ทางการดำเนินคดี คนพวกนั้นพังกระท่อมข้าที่ชายป่า เราไม่มีที่ไปจึงตัดสินใจวิ่งหนีเข้ามาที่นี่เผื่อว่าสวรรค์จะเมตตาให้ข้าได้พบเจอกับท่านหมอ แต่ข้าได้เจอกับสองลิงน้อยเสียก่อน ข้าจึงวิ่งตามสองลิงน้อยมาทางนี้จนกระทั่งได้พบเจอท่านหมออีกครั้ง...เพราะสวรรค์เมตตาแท้ๆ
          อันฉี  : ขอข้าปรึกษากับพี่ชายของข้าก่อนนะ ...อ้อ! นี่เฟยเจิน พี่สี่ของข้า ส่วนเสือดำที่ท่านเจอเมื่อวานนั่นคือพี่รอง
ซือเหวินอี้, ฟางหรู  : (ทำหน้า งง งง ที่ฉันเรียกนกอินทรีย์ทองว่าพี่สี่ แต่ทั้งสองก็ก้มหัวคำนับทำความเคารพ)
          อันฉี  : เอาไงดีล่ะพี่สี่ จะปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ก็ไม่ได้เสียด้วยมันอันตราย
     เฟยเจิน  : เราจะพาพวกเขากลับไปพักที่บ้านรึ? พี่ใหญ่ไม่อนุญาตแน่ๆ
ซือเหวินอี้, ฟางหรู  : (ตกใจที่เห็นอินทรีย์ทองพูดได้)
          อันฉี  : แต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว ได้เวลาเราต้องกลับบ้านแล้วด้วย พากลับไปด้วยกันก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที เนอะ ข้าจะขอร้องพี่ใหญ่เอง ท่านเรียกนกเหยี่ยวให้ไปบอกหลี่เเฉียงมารับพวกเขาหน่อย จะได้กลับถึงบ้านเร็วๆ
     เฟยเจิน  : เฮ้อ .... 

          ไม่นานนักหลี่เฉียงงูเห่ายักษ์ก็มาถึง ทำให้ ซือเหวินอี้และฟางหรู ตกใจกันอย่างมาก ฉันบอกให้ทั้งสองขึ้นหลังหลี่เฉียงในร่างงูยักษ์ให้นั่งไปพร้อมกับลิงน้อยทั้งสองเพื่อลดความหวาดกลัว พวกเราทั้งหมดจึงเดินทางกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว

          ที่บ้าน...เสวี๋ยฉีกำลังยืนกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดที่ฉันและเฟยเจินกลับถึงบ้านช้า ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาเสวี๋ยฉีแล้วกอดเขาเพื่อไม่ให้เขาโกรธที่ฉันพามนุษย์กลับมาด้วยสองคน ส่วนเฟยเจินเมื่อถึงบ้านก็กลายร่างมนุษย์ ทำให้ ซือเหวินอี้และฟางหรู ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาเดินตามเฟยเจินเข้ามาที่ชานบ้านแล้วนั่งคุกเข่าตรงที่หยงเป่านั่งอยู่ เสวี๋ยฉีที่ยืนหน้าหงิกเอ่ยปากบ่นทันที

       เสวี๋ยฉี  : นี่พวกเจ้าไปเก็บใครมาอีกแล้วเนี่ย ห๊า?!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งโมโห! สองคนนี้คือซือเหวินอี้และฟางหรู ภรรยาของเขาที่กำลังป่วยคนที่ข้าเล่าให้ฟังไง
      เสวี๋ยฉี  : ข้าอนุญาตให้เจ้าไปเยี่ยมแต่ไม่ได้อนุญาตให้พามาที่บ้าน! (เสวี๋ยฉีบิดหูฉันจนเจ็บ)
          อันฉี  : โอ๊ยยยยยย!
     เฟยเจิน  : พี่ใหญ่! อย่าตีน้องห้า ท่านตีข้าแทนเถอะ!
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าด้วยอีกคน ข้าอุตส่าห์ไว้ใจเจ้าให้ดูแลนาง แต่เจ้ากลับตามใจนางจนเหลิง!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ฟังข้าก่อน!
       เสวี๋ยฉี  : พูดมา!
          อันฉี  : กระท่อมของเขาถูกคนใจร้ายทุบทำลายจนพัง ภรรยาเขาก็กำลังป่วยให้พวกเขาพักที่นี่สักคืนเถอะนะ อีกอย่างตอนนี้ฟ้าก็เริ่มจะมืดป่าด้านนอกมันอันตราย
      เสวี๋ยฉี  : แต่ข้าไม่ไว้ใจ สองคนนั่นอาจหลอกลวงเจ้าก็ได้
          อันฉี  : ถ้าพวกเขาเป็นคนไม่ดีค่อยฆ่าทิ้งภายหลังก็ได้ ยังไงพวกเขาก็ไม่รอดคมเขี้ยวท่านอยู่แล้ว
ซือเหวินอี้, ฟางหรู  : (สะดุ้งตกใจ)
  ซือเหวินอี้  : ข้าซือเหวินอี้ไม่กล้าโกหกพวกท่านหรอกขอรับ ข้าจะขอทำงานรับใช้พวกท่านเป็นการตอบแทนพระคุณ
     หยงเป่า  : เจ้าทำอะไรได้บ้างล่ะ?
  ซือเหวินอี้  : ข้าสามารถปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำงานตามที่ท่านสั่ง หัวมันสีม่วงนั่นข้าก็ปลูกเอง
      ฟางหรู  : ส่วนข้าสามารถทำงานบ้าน และทำอาหารได้เจ้าค่ะ
     หยงเป่า  : อันฉี...เจ้ามีคนมาคอยดูแลแปลงสมุนไพร และมีคนทำอาหารให้เจ้ากินแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : เดี๋ยว! ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้สองคนนั่นอยู่ที่นี่เลยนะ!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ให้พวกเขาปลูกกระท่อมเล็กๆอยู่ในป่าไผ่เขียวไปก่อนสักพักได้มั้ย? ให้พวกเขาดูแลแปลงสมุนไพรให้ตอนที่เราไม่อยู่บ้าน เพราะเราต้องไปที่วังหลวงมะรืนนี้แล้ว จะให้หลี่เฉียงมาคอยเฝ้าพวกเขาทำงานก็ได้ นะ พอเรากลับมาค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะจัดการกับพวกเขายังไงดี
       เสวี๋ยฉี  : ก็ได้ แต่คืนนี้พวกเขาต้องไปนอนที่ห้องเก็บของ
  ซือเหวินอี้  : ขอบพระคุณพวกท่านขอรับ
      ฟางหรู  : ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
          อันฉี  : อ่ะ! เอายาบำรุงนี่ไปต้มให้ภรรยาท่านกิน หากมีไข้ขึ้นก็ต้มยาลดไข้ห่อนี้ ส่วนอาหารก็ปรุงเองในครัวได้เลย ให้นางพักผ่อนเยอะๆ ยังไม่หายไข้ดีระวังไข้ตีกลับ
  ซือเหวินอี้  : ขอบคุณท่านหมอ เรียกข้าว่า เหวินอี้ ก็ได้

          เหวินอี้ รับยาไปและประคองภรรยาที่กำลังป่วยให้ไปพักที่ห้องเก็บของ จากนั้นเขาก็รีบไปที่ห้องครัวเพื่อต้มยาและปรุงอาหารให้ภรรยากิน ส่วนฉันและพี่ๆก็เริ่มลงมือกินข้าว และเล่าเรื่องของสามี-ภรรยาคู่นี้ให้พี่ชายฟัง หลังจากกินข้าวกันเสร็จเสวี๋ยฉี และหยงเป่านั่งดื่มเหล้ากันต่อ ฉันและเฟยเจินนั่งรอซิ่นหลิงกลับบ้าน เฟยเจินกระซิบถามฉันว่า

     เฟยเจิน  : เราไปพระราชวังกันหมดนี่รึ?
          อันฉี  : ใช่! ข้ากลัวพี่ใหญ่ไล่ซือเหวินอี้กับภรรยาไปตอนที่ข้าไม่อยู่ ชู่ววววว! พูดเบาๆ
     เฟยเจิน  : อื้ม! แต่ทำไมวันนี้พี่สาม กลับช้าจังเป็นอะไรรึเปล่า
     หยงเป่า  : คงจะแวะเที่ยวที่อื่นแน่ๆ
          อันฉี  : นั่นไงพี่สามกลับมาแล้ว
      ซิ่นหลิง  : ข้ากลับมาแล้ว กินข้าวกันแล้วเหรอ เสียดายจังข้ากลับมาไม่ทัน มีอะไรให้กินได้บ้าง?
     เฟยเจิน  : หัวมันเผา
     ซิ่นหลิง  : เห๊! มีมันเผาด้วยเเหรอเนี่ย มีของแปลกใหม่ มิน่าล่ะข้าได้กลิ่นมนุษย์แปลกหน้าในบ้าน
          อันฉี  : ซือเหวินอี้กับฟางหรู ภรรยาของเขาพักอยู่ในห้องเก็บของ คนที่ข้าเจอเมื่อวานไง
     ซิ่นหลิง  : จะให้พวกเขาอยู่ที่นี่เหรอ?
          อันฉี  : คงต้องให้อยู่แบบนี้ไปก่อน รอให้เรากลับจากพระราชวังค่อยคิดอีกทีจะเอาไง หรือพี่สามจะอยู่เฝ้าดูพวกเขาล่ะ
     ซิ่นหลิง  : ไม่ล่ะ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ให้ข้าไปนั่งๆนอนๆรอเจ้าอยู่ที่วังดีกว่าให้ข้ารอเจ้าอยู่ลำพังที่นี่ มาให้ข้ากอดเจ้าหน่อยไม่เห็นหน้าเจ้าทั้งวัน ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่ (ฉันขยับลุกขึ้นไปนั่งบนตักซิ่นหลิงแล้วกอดคอ เขากอดฉันแน่นแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่)
         อันฉี  : ปากบอกคิดถึง แต่ทำไมกลับถึงบ้านช้านักล่ะ?
     ซิ่นหลิง  : ข้าแวะไปที่ป่าแมงมุมได้แมงมุมมาตัวหนึ่ง มันขอตามข้ามาแต่ข้ายังไม่รู้จะเรียกใช้งานอะไร
          อันฉี  : ให้ช่วยงานหยางกวางกับหลี่เฉียงไปก่อนแล้วกัน อ้อ! พี่รองท่านควรหาสัตว์เลี้ยงมาไว้ใช้งานบ้างนะ ข้าแนะนำให้เลี้ยงแมวป่า เอาแบบน่ารักๆ ขี้อ้อน ขนนิ่มๆฟู นะ นะ
       หยงเป่า  : ที่เจ้าแนะนำมาเนี่ยไม่เห็นจะช่วยงานข้าได้ตรงไหน เหมือนเจ้าหาของเล่นให้ตัวเองมากกว่า
          อันฉี  : พี่ใหญ่...พี่รองต่อว่าข้า... พี่ใหญ่ข้าอยากเลี้ยวแมวอนุญาตให้ข้าเลี้ยงแมวนะ
       เสวี๋ยฉี  : ไม่อนุญาตเด็ดขาด คราวนี้ข้าจะไม่ตามใจเจ้าอีกแล้ว ถ้าเอาแมวมาเลี้ยงข้าจะจับกินให้หมดรวมทั้งเจ้าลิงน้อยทั้งสองตัวนั่นด้วย ถ้าเจ้าเหงาก็มาเล่นกับข้า
          อันฉี  : พี่ใหญ่ใจร้าย แมวเป็นสัตว์ที่น่ารักท่านกินลงได้ยังไง ข้าไม่เลี้ยงแมวแล้วก็ได้แต่อย่ากินสองลิงน้อย!
      เสวี๋ยฉี  : ข้าจะไม่กิน! แต่ตอนนี้เจ้าต้องไปอาบน้ำได้แล้ว (พูดจบเสวี๋ยฉีก็อุ้มฉันไปอาบน้ำด้วยกันเหมือนเดิม แล้วเข้านอนพร้อมกัน)

          เช้านี้เสวี๋ยฉีตื่นนอนก่อนฉัน เขาเตรียมอ่างน้ำล้างหน้าไว้ให้ เฟยเจินและหยงเป่าก็ตื่นแล้วเช่นกัน พี่ชายทั้งสามกำลังนั่งดื่มชาเงียบๆที่ชานบ้าน มองออกไปที่แปลงสมุนไพรเห็นเหวินอี้กำลังก้มๆเงยๆถอนหญ้าวัชพืชและรดน้ำสมุนไพร ส่วนในครัวเห็นมีควันฉุยออกมาเพราะฟางหรูกำลังเข้าครัวปรุงอาหาร ฉันเดินเข้าไปนั่งข้างเสวี๋ยฉี เขาหันมากอดและหอมฉันที่ขมับ

          อันฉี  : ...เช้านี้เป็นอะไรกันเนี่ยทำไมแต่ละคนดูอึนๆมึนๆ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า?
     หยงเป่า  : เจ้าดูสิ! มีคนดูแลแปลงสมุนไพรแทนข้าแล้ว แถมดูคล่องแคล่วกว่าข้าเสียอีก ตื่นเช้ามาข้าก็เลยไม่รู้จะทำอะไร เฮ่อ!
           อันฉี  : แต่ข้ามีงานให้ท่านทำ วันนี้พี่รองออกไปหาพืชผักสวนครัวสักสามหรือสี่ชนิด และต้นมัน นำมาให้เหวินอี้ปลูก ท่านจะได้ดูแลแปลงสมุนไพรอีกครั้ง เพราะเหวินอี้จะต้องไปดูแลแปลงผักแทน เราจะได้มีผักและหัวมันที่เหวินอี้ปลูกไว้กินด้วย แล้วเจ้าล่ะเฟยเจิน เจ้าเป็นอะไรทำไมดูเซื่องซึมจังเลย
     เฟยเจิน  : ซือเหวินอี้น่ะสิ! แย่งข้ากวาดลานบ้าน ส่วนแม่นางฟางหรูแย่งข้าชงชา ข้าก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน...(เฟยเจินจิบชาด้วยสายตาเลื่อนลอย)
          อันฉี  : พวกเขาไม่ได้แย่งงานเจ้าทำ พวกเขาแค่แบ่งเบางานให้เจ้า เจ้าจะได้มีเวลาฝึกพลังเวทย์ ฝึกนกเหยี่ยว ฝึกเขียนภู่กันและเล่นกับข้าไง แล้วนี่...พี่ใหญ่ก็เป็นไปกับเค้ารึ?
     เสวี๋ยฉี  : ฟางหรูนางแย่งครัวข้าไปอาหารที่นางปรุงก็มีกลิ่นหอมกว่าที่ข้าปรุง อันฉีอีกหน่อยเจ้าก็จะลืมรสชาติอาหารของข้า (เสวี๋ยฉีทำหน้าจิตตก)
        อันฉี  : ข้าไม่ลืมรสชาติอาหารที่ท่านปรุงหรอก ท่านปรุงเนื้อกระต่ายอร่อยที่สุดในโลก หากท่านอยากปรุงอาหารก็ปรุงได้ข้าจะกินอาหารที่ท่านปรุง แต่ที่ฟางหรูเข้าครัวปรุงอาหารเพราะนางเป็นหญิง ต้องทำหน้าที่ให้สมเป็นกุลสตรี หากนางปล่อยให้ท่านทำนางจะถูกชาวบ้านครหาเอาได้
    เสวี๋ยฉี  : แต่ถ้านางทำอาหารไม่อร่อย ข้าจะทวงครัวของข้าคืน!
   ซิ่นหลิง  : ไหงหน้าเป็นแบบนั้นกันล่ะ (ซิ่นหลิงเพิ่งตื่นนอน)
       อันฉี  : พวกพี่ๆถูกแย่งงาน ฮ่าฮ่าฮ่า
   ซิ่นหลิง  : แหม! ดีมีคนมาช่วยงานนี่ดีจริงๆ ข้าจะได้มีเวลาไปสะสมกองกำลังของข้า

          ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับซิ่นหลิง ไม่นานนักฟางหรูเดินออกมาจากครัวแล้วบอกว่าอาหารเช้าปรุงเสร็จแล้ว ฉัน เฟยเจินและซิ่นหลิงจะเข้าไปช่วยฟางหรูยกจานอาหารออกจากครัว แต่ถูกฟางหรูปฏิเสธไม่ให้ช่วย นางบอกเป็นหน้าที่ของนางและเหวินอี้จะมาช่วย พวกเราเลยมานั่งรอที่โต๊ะเอนกประสงค์ลานบ้าน อาหารถูกยกมาวางที่โต๊ะกลิ่นหอม และมีสีสันน่ากิน เนื้อกระต่ายผัดกับเต้าหู้ เนื้อกระต่ายเค็มตากแห้งทอด ปลาผัดผักขึ้นช่าย หมั่นโถว และข้าวต้ม หยงเป่าเรียกเหวินอี้และฟางหรูให้มานั่งกินอาหารเช้าด้วยกันแต่ทั้งคู่ตอบปฏิเสธและบอกว่าจะกินในครัวภายหลัง ฉันจึงบอกให้ทั้งสองมานั่งกินอาหารเช้าพร้อมๆกัน เพราะจะได้คุยธุระกับเขาทั้งสองไปด้วย ทั้งสองจึงยอมมานั่งร่วมวงกินอาหาร

      ซิ่นหลิง  : อืม...อาหารรสชาติดี
     หยงเป่า  : อืม...อร่อย
     เฟยเจิน  : อร่อย
      ฟางหรู  : ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ
          อันฉี  : ให้รับหน้าที่แม่ครัวเลยดีมั้ย
       เสวี๋ยฉี  : เชอะ!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ให้นางทำหน้าที่เป็นแม่ครัวเถอะ ชาวบ้านจะได้ไม่นินทาว่านางบกพร่องต่อหน้าที่ กุลสตรีที่ดีต้องดูแลบ้านและทำอาหารให้คนบ้านกินอิ่มท้อง
       เสวี๋ยฉี  : ก็ได้!
          อันฉี  : มา ข้าป้อนเนื้อกระต่ายผัดใส่เต้าหู้ ของโปรดท่าน เอาล่ะ! เหวินอี้ ฟางหรู พรุ่งนี้เช้าข้ากับพี่ชายทั้งสี่จะเข้าไปในเมืองสักห้าวัน พวกท่านสร้างกระท่อมกันวันนี้เลยข้าจะช่วย สร้างกระท่อมใกล้ๆกันนี่แหละออกไปอยู่ข้างนอกมันอันตราย
      เหวินอี้  : ขอบพระคุณท่านหมอ
         อันฉี  : เรียกข้าอันฉีเถอะ ข้าไม่ใช่หมอ ฟางหรูข้าเรียกท่านพี่สาวแล้วกันเพราะท่านน่าจะมีอายุมากกว่าข้า
     ฟางหรู  : เจ้าค่ะ
         อันฉี  : พูดคุยกับข้าธรรมดาเถอะนะ ข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกท่าน มีแต่พี่ชายทั้งสี่ของข้าเท่านั้นที่ไม่ธรรมดา ช่วงที่ข้ากับพี่ชายไม่อยู่บ้านหากมีอะไรก็บอกหลี่เฉียง หรือหยางกวาง หากต้องการออกไปหาพืชผักหรือล่าสัตว์นอกเขตป่าไผ่เขียวก็ชวนสองลิงน้อยออกไปด้วย สองลิงน้อยจะช่วยบอกเส้นทางหลบเลี่ยงสัตว์ร้าย

          เสร็จจากกินอาหารเช้า เราช่วยกันสร้างกระท่อมหลังเล็กๆให้เหวินอี้และภรรยาได้พักอาศัย เขาทั้งสองก้มหัวคำนับขอบคุณเราหลายครั้งที่ช่วยเหลือ เราจึงฝากงานดูแลแปลงสมุนไพรและปลูกพืชผักสวนครัวไว้กับทั้งสองคน จากนั้นฉันจึงเอ่ยปากถามซิ่นหลิงว่า

          อันฉี  : พี่สาม แมงมุมน้อยของพี่สามน่ะเอามาฝึกเป็นพาหนะก่อนดีมั้ย แมงมุมน้อยจะได้มีงานทำ ช่วงห้าวันที่เราไม่อยู่ให้เหวินอี้กับฟางหรู ยืมแมงมุมน้อยออกไปหาปลาที่ลำธารหรือเก็บพืชผักได้มั้ย
      ซิ่นหลิง  : ได้สิ ข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะฝึกอะไรให้ดีตอนที่ข้าไม่อยู่
          อันฉี  : งั้นเริ่มฝึกกันเลยดีมั้ย ฝึกให้ออกไปหาพืชผักด้วยกันกับพี่รองเลย แมงมุมสามารถรับน้ำหนักได้กี่คน?
     ซิ่นหลิง  : น่าจะรับน้ำหนักได้สามคน มา เดี๋ยวข้าฝึกให้เอง แมงมุม ออกมาหาข้า!

           ครู่เดียวแมงมุมยักษ์ตัวใหญ่กระโดดออกมาจากป่าไผ่เขียว ซิ่นหลิงปีนขึ้นไปนั่งบนหลังแมงมุมยักษ์ และเรียกให้เหวินอี้ที่กำลังยืนตกตะลึงมองแมงมุมยักษ์ให้ปีนตามขึ้นไป เหวินอี้ยังเก้ๆกังๆแต่ก็สามารถปีนตามขึ้นหลังแมงมุมยักษ์ได้ ซิ่นหลิงพาแมงมุมยักษ์และเหวินอี้โดดตามหยงเป่าออกนอกป่าไผ่เขียวไปหาพืชผักและหัวมันกลับมาปลูก ส่วนฟางหรูที่กำลังยืนตกตะลึงเห็นสามีโดดขึ้นหลังแมงมุมยักษ์และกระโจนออกไปเกิดอาการกังวลใจเป็นห่วงสามี ฉันจึงเดินเข้าไปบอกฟางหรูว่าในป่าอัคคีล้วนมีแต่อันตรายเหวินอี้จำเป็นต้องฝึกการใช้ชีวิตให้รอดที่นี่ด้วยตัวเองเช่นกัน แต่หากพวกเขาต้องการเปลี่ยนใจออกจากป่าอัคคีก่อนที่เราจะกลับจากในเมือง พวกเขาสามารถบอกหลี่เฉียงได้ทันทีจะให้พาไปส่งที่ชายป่า ฟางหรูพยักหน้าเข้าใจ

          อันฉี  : พี่สาวตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นหรือไม่?
      ฟางหรู  : ข้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็น
          อันฉี  : ดี ข้ามีผ้าพับหนึ่งเพิ่งได้มา ข้าให้พี่สาวเอาไปตัดเสื้อผ้าใส่ เมื่อวานพวกท่านคงเก็บข้าวของไม่ทันตอนที่วิ่งหนีคนใจร้ายพวกนั้น อ้อ...รูปร่างพี่สาวใกล้เคียงกับข้าน่าจะใส่เสื้อผ้าของข้าได้ ข้าจะแบ่งให้ท่านสักสามชุดเป็นเสื้อผ้าใหม่ ข้าเพิ่งซื้อมาจากในเมือง รอข้าสักครู่ข้าจะไปหยิบมาให้

          ฉันเดินเข้าไปในบ้านหยิบเสื้อผ้าใหม่ที่ซื้อเก็บไว้ในตู้และผ้าพับหนึ่งที่ได้รับจากฮ่องเต้พระราชทานให้ตอนไปรักษาท่านอ๋อง เห็นว่าผ้ามีสีสวยดีจึงหยิบติดมือมาพับหนึ่ง และส่งให้ฟางหรู

      ฟางหรู  : ผ้าพับนี้ข้ารับไว้ไม่ได้
          อันฉี  : ทำไมล่ะ ผ้าสีไม่สวยเหรอ
      ฟางหรู  : ผ้าสีสวยมาก เนื้อผ้าดี ราคาแพง ผู้มีฐานะดีเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อได้
          อันฉี  : นั่นสิ! ผ้าสีสวยเนื้อผ้าดีขนาดนี้ยิ่งสมควรรับไว้
      ฟางหรู  : เจ้าเป็นคนในวังหลวงรึ?
          อันฉี  : ไม่ใช่ ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?!
      ฟางหรู  : ผ้าแบบนี้เป็นผ้าที่ถูกทอขึ้นจากเมืองอื่น พวกพ่อค้าจะคัดเลือกผ้าเนื้อดีแบบนี้ส่งเข้าไปขายในวังเพราะจะขายได้ราคาดี จึงมีแต่เหล่าขุนนางและหญิงชาววังที่นิยมสวมใส่ผ้าแบบนี้ อีกอย่างข้าเห็นที่ข้อมือสองลิงน้อยสวมใส่กำไลหยกราคาแพง ข้าจึงรู้ว่าเจ้าไม่ใช่หญิงสาวชาวป่าธรรมดา
          อันฉี  : พี่สาวนี่ฉลาดสมกับเป็นลูกสาวของพ่อค้าจริงๆ งั้นข้าจะบอกความจริงแล้วกัน คือข้าไปทำงานในวัง เอ่อ...ข้าไปรักษาท่านอ๋องที่ป่วยจนหายดี ฮ่องเต้จึงมอบของรางวัลพวกนี้ให้ข้า พรุ่งนี้ข้ากับพี่ชายทั้งสี่ก็จะเข้าวังไปถวายการรักษาเล็กๆน้อยๆให้กับฮ่องเต้และฮองเฮาอีกครั้ง แต่พี่สาวอย่าห่วงเลยข้าไม่แจ้งทางการให้มาจับตัวท่านสองคนไปหรอก ข้าไม่ใช่คนเห็นแก่รางวัลนำจับคนหนีการบังคับแต่งงาน
      ฟางหรู  : ไม่ใช่ ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้น ข้ารู้ท่านไม่เห็นแก่ของรางวัลเล็กน้อยเหล่านั้น แต่ข้ากำลังจะพูดถึง...ท่านคือหมอเทวดาที่เขาล่ำลือกันในเมืองหลวงแน่ๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยหมอเทวดาตัวจริงยังเป็นเด็กสาวอายุน้อยอยู่เลย ข้าช่างโชคดีจริงๆที่ได้มาทำงานรับใช้เจ้า
         อันฉี  :  พี่สาวยกย่องข้าเกินไป แล้วคนในเมืองลือเกี่ยวกับตัวข้าว่ายังไงเหรอ?
     ฟางหรู  : ชาวบ้านลือกันว่าหมอเทวดาที่ไปรักษาท่านอ๋องเป็นชายชราบ้างก็ว่าเป็นหญิงชรามีเทพบุตรงดงามสี่คนเป็นองครักษ์ พวกเขามาจากป่าอัคคี แต่ทหารในวังบอกว่าหมอเทวดาเป็นเด็กสาวแรกรุ่น มากับเทพบุตรรูปงามสี่คน
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ปล่อยให้พวกเขาลือกันไป พี่สาวอย่าบอกใครเรื่องหมอเทวดา อีกอย่างข้าไม่ใช่หมอเทวดา และข้าก็ไม่ชอบความวุ่นวายข้าต้องการใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบกับพี่ชายทั้งสี่ของข้าที่นี่
     ฟางหรู  : ข้าเองก็ชอบที่นี่ ขอแค่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ข้ารัก ข้าก็พอใจแล้ว
         อันฉี  : ข้าเข้าใจความรู้สึกของพี่สาว ข้าเองก็คิดแบบเดียวกันกับพี่สาวเลย เอาล่ะ! พี่สาวรับผ้าไปเถอะ
     ฟางหรู  : เอ่อ...ผ้าพับนี้ข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ หากข้าสวมใส่ผ้าพับนี้จะสะดุดตาผู้คนและอาจถูกทางบ้านข้าพบเจอเอาได้ แต่ข้าจะนำผ้านี้ตัดชุดให้ท่านสวมใส่
        อันฉี  : งั้นข้าจะซื้อผ้าพับใหม่ในตลาดมาให้แล้วกัน
    ฟางหรู  : อื้ม!
   เฟยเจิน  : น้องห้า ทำอะไรอยู่ พี่ใหญ่รอเจ้าไปเรียนเขียนภู่กัน (เฟยเจินเดินมาตามฉัน)
        อันฉี  : อืม...คุยธุระเสร็จพอดี
    ฟางหรู  : ข้าจะยกชาและขนมไปให้ ท่านจะกินขนมอะไร มีเซาปิ่ง กับหมาฮัว
        อันฉี  : ข้าชอบเซาปิ่ง เจินเจินก็ชอบเซาปิ่ง ส่วนน้ำชาขอเป็นชากลิ่นดอกมะลิ หรือชาหอมหมื่นลี้ที่พี่ใหญ่เพิ่งซื้อมาจากในเมืองชนิดไหนก็ได้
    เฟยเจิน  : ข้าเคยบอกเจ้าตอนไหนว่าข้าชอบเซาปิ่ง
         อันฉี  : ข้าคิดว่าท่านชอบกินบะหมี่เหมือนกันกับข้าด้วยนะ
    เฟยเจิน  : งั้นเหรอ งั้นข้าต้องชอบกินตามที่เจ้าคิดด้วยใช่มั้ย ได้! ข้าชอบกินบะหมี่กับเซาปิ่งเหมือนเจ้าก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า

     ฟางหรูหัวเราะเบาๆที่เห็นฉันกับเฟยเจินหยอกล้อเล่นกัน เฟยเจินเดินกอดคอฉันเข้ามาในบ้าน เห็นเสวี๋ยฉีกำลังนั่งฝนหมึกรออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ฉันและเฟยเจินจึงนั่งลงแล้วเริ่มฝึกเขียนภู่กัน สักครู่ฟางหรูค่อยๆเดินยกถาดน้ำชาและขนมเข้ามา นางรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เสวี๋ยฉี เฟยเจิน และฉัน เสวี๋ยฉีเงยหน้ามองฟางหรูที่กำลังเขินอายรินน้ำชา เสวี๋ยฉีจึงพูดขึ้นว่า

      เสวี๋ยฉี  : ฟางหรู เจ้ารออยู่ก่อน (เสวี๋ยฉีลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า)
      ฟางหรู  : เจ้าค่ะ
      เสวี๋ยฉี  : เสื้อผ้าพวกนี้ข้ายังไม่ได้ใส่ นำไปให้สามีเจ้าใส่เถอะ
      ฟางหรู  : ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
          อันฉี  : พี่ใหญ่ พี่สาวฟางหรูตัดเย็บเสื้อผ้าได้ด้วยนะ ไว้เราไปซื้อผ้าสีสวยๆมาตัดชุดใส่คู่กันดีมั้ย
       เสวี๋ยฉี  : ดีสิ! เจ้ากับข้าใส่ชุดเป็นคู่กัน เราตัดให้เหมือนกันหลายๆชุดเลย
     เฟยเจิน  : อ้าว...แล้วข้าล่ะไม่มีชุดคู่ด้วยเหรอ ตัดชุดคู่ให้ข้าด้วยสิ
      เสวี๋ยฉี  : ตัดให้เจ้าด้วยมันก็ไม่ใช่ชุดคู่แล้วสิ!
         อันฉี  : เราตัดเป็นชุดครอบครัวเลยดีกว่า ตัดให้พี่รองกับพี่สามด้วย
    เฟยเจิน  : อื้ม ดี ดี

          เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆก็เห็นหยงเป่า ซิ่นหลิง และเหวินอี้ที่นั่งอยู่บนหลังแมงมุมยักษ์กลับมาพร้อมด้วยกวางตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว เฟยเจินที่กำลังฝึกเขียนภู่กันรีบวางมือและเดินไปดูพวกเขา ฉันจะตามไปดูด้วยแต่เสวี๋ยฉีดึงไว้แล้วบอกให้ฉันเขียนให้เสร็จก่อนค่อยไปดู ฉันจึงรีบเขียนให้เสร็จโดยเร็วแล้วรีบวิ่งไปดูพวกเขา เสวี๋ยฉีเดินตามมาดูด้วย ทั้งสามได้พืชผักสวนครัวมาหลายชนิดรวมทั้งต้นมัน หยงเป่าเล่าว่าพวกเขาไปขุดต้นมันมาจากบริเวณใกล้ๆกระท่อมหลังเก่าของเหวินอี้ กระท่อมถูกพังทำลายเสียหาย ระหว่างทางที่กลับพบเจอกวางหนึ่งตัวจึงล่ากวางกลับมาด้วย ซิ่นหลิงที่เพิ่งช่วยเหวินอี้แบกกวางมาวางที่ลานบ้านเดินมานั่งที่ชานบ้านแล้วดื่มชาที่ฟางหรูกำลังรินให้ ฉันนั่งลงข้างๆซิ่นหลิง แล้วถามเขาเกี่ยวกับการฝึกของเหวินอี้

      ซิ่นหลิง  : เหวินอี้เรียนรู้ได้ไว สามารถอยู่รอดได้ในช่วงที่เราไม่อยู่ห้าวัน แต่หากโชคร้ายพวกเขาอยู่ไม่รอด เรากลับมาก็จะช่วยฝังศพให้
          อันฉี  : หลิงหลิง! ทำไมพูดแบบนี้นะ พี่สาวฟางหรูหวาดกลัวกันพอดี (ฉันตีซิ่นหลิงไปหลายที แต่ซิ่นหลิงจับแขนและกอดฉันไว้ไม่ให้ตีเขา)
       เหวินอี้  : นายท่านซิ่นหลิงพูดถูก ท่านหมออย่าตีนายท่านซิ่นหลิงอีกเลย เราสองสามีภรรยาอยู่ที่นี่ได้ ท่านอย่ากังวล ที่นี่ดีกว่าที่กระท่อมชายป่าเสียอีก ที่กระท่อมชายป่าข้ากับฟางหรูต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ แต่อยู่ที่นี่ข้าสามารถตื่นนอนตอนเช้าแล้วเดินออกมารดน้ำพรวนดินแปลงพืชผักได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนว่าใครจะมาจับตัวข้าส่งทางการหรือใครจะมาจับตัวฟางหรูกลับไป ข้าขอบพระคุณพวกท่านเหลือเกิน
      ฟางหรู  : ขอบพระคุณนายท่าน
      ซิ่นหลิง  : เจ้าเห็นมั้ยพวกเขาไม่กลัวอันตรายหรอกน่า ข้ามาเหนื่อยๆเจ้ายังจะมาทุบตีข้าอีก
     หยงเป่า  : คืนนี้ดื่มกันหน่อยดีมั้ยเป็นการต้อนรับเหวินอี้กับฟางหรู
     ซิ่นหลิง  : เห็นด้วย!
       เหวินอี้  : ข้าขอไปจัดการกวางตัวนั้นก่อน
     หยงเป่า  : ข้าเอาพืชผักไปปลูกก่อน
     เฟยเจิน  : ข้าจะไปช่วยพี่รองปลูกผัก
          อันฉี  : พี่ใหญ่ วันที่ไปเมืองหลวงท่านพาข้าไปกินบะหมี่หน่อยสิ ข้าอยากกินบะหมี่
      เสวี๋ยฉี  : ได้สิข้าจะพาเจ้าไป
     ซิ่นหลิง  : เราน่าจะเลี้ยงไก่ด้วยดีมั้ย จะได้มีไข่กินทุกวัน
      เสวี๋ยฉี  : อืม ดีเหมือนกัน ความคิดดี

          หลังอาหารมื้อเย็นพี่ชายทั้งสี่และเหวินอี้นั่งดื่มเหล้ากัน ฟางหรูและฉันช่วยกันย่างเนื้อกวางและร่วมดื่มกับพวกเขาเล็กน้อย ตอนนี้ครอบครัวเราเริ่มขยายใหญ่ขึ้น คึกครื้นกันมากขึ้น ฉันเริ่มง่วงจึงเข้านอนก่อน ยังไม่ทันนอนหลับเสวี๋ยฉีก็ตามเข้ามานอนด้วย

          อันฉี  : ทำไมเข้านอนเร็วจัง
       เสวี๋ยฉี  : พรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานกับเจ้า จะให้ข้านั่งดื่มทั้งคืนได้ยังไง (เขาสอดแขนเข้ามากอดแล้วจูบที่หน้าผาก)
          อันฉี  : ตอนนี้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว กลับจากในเมืองท่านก็ไปกักตัวเถอะ อย่าห่วงข้าเลย
      เสวี๋ยฉี  : ข้ายังเป็นห่วงเจ้าอยู่ดี เรื่องกักตัวคิดอีกทีภายหลัง เจ้านอนเถอะ
         อันฉี  : ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบาก
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าสมควรถูกลงโทษทั้งคืน

          ฉันสบตาเสวี๋ยฉีและพลิกตัวขึ้นนอนทับบนตัวเขาแล้วจูบ ซุกไซร้ซอกคอ เลียใบหู เขากอดและบีบขยำก้นฉันเล่น เราหยอกเล่นกันอยู่บนเตียงสักพัก แล้วฉันก็ผลอยหลับไป นอนหลับฝันว่า.....เสวี๋ยฉีกำลังนอนทับฉันทางด้านหลัง เขาสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินสวรรค์ทางด้านหลัง แล้วดันแท่งเนื้อเข้าจนสุดกระแทกกระทั้นจนเปียกแฉะ เขาจับสะโพกฉันยกขึ้นคุกเข่าและดูดเลียทางด้านหล้งจนฉันเสียวสั่นสะท้าน ฉันขยับลุกขึ้นนั่งหันหลังบนตักเขา จับแท่งเนื้อนั้นถูไถกับเนินสวรรค์แล้วดันแท่งเนื้อเข้าไปจนสุด แล้วเด้งสะโพกโยกช้าๆให้แท่งเนื้อแข็งดันเข้าลึกๆ เสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาบีบขยำหน้าอกและก้มจูบที่แผ่นหลังฉัน เขาเลื่อนมือมาจับที่สะโพกแล้วจับให้โยกเร็วและแรงขึ้นจนน้ำสีขาวข้นทะลักออกมา เขายังกระแทกกระทั้นไม่หยุด จับฉันนอนหงายจับขาฉันพาดที่บ่าเขาแล้วกระแทกแท่งเนื้อเข้าเนินไม่หยุด ฉันร้องลั่นด้วยความเสียวทั้งคืน.......

          ฉันตื่นนอน เห็นเสวี๋ยฉีตื่นแล้วเขานอนตะแคงเอามือเท้าหัวตัวเองมองฉันอยู่ มือข้างหนึ่งโอบกอดแล้วก้มจูบกล่าวอรุณสวัสดิ์ ฉันจึงพลิกตัวกอดเขาแล้วซุกหน้าซุกไซร้ที่หน้าอก

          อันฉี  : ท่านจ้องมองข้าทำไมอ่า~
       เสวี่ยฉี  : เจ้าตอนหลับน่ารักเหมือนเด็กน้อย
          อันฉี  : นอนต่ออีกหน่อยเถอะ ยังไม่อยากตื่นนอน
       เสวี๋ยฉี  : สายแล้วนะ คนอื่นตื่นนอนกันหมดแล้ว
          อันฉี  : งื้อ~ (ฉันขยับกอดเสวี๋ยฉีแน่นขึ้นซุกหน้านอนต่อ)
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะทำให้เจ้าตาสว่าง

          เขาจับฉันนอนหงายแล้วซุกไซร้ซอกคอ เอามือจักจี้เอวจนฉันหัวเราะและยอมลุกขึ้นไปล้างหน้า เขาอุ้มฉันขึ้นหลังแล้วพาไปล้างหน้าด้วยกัน เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แปรงผมและทำผมให้ จากนั้นจึงชวนกันไปเดินเล่นดูแปลงพืชผักที่เหวินอี้กำลังรดน้ำพรวนดิน และไปดูหยงเป่า เฟยเจินกับซิ่นหลิงที่กำลังฝึกวิชาเวทย์อยู่ที่ลานบ้าน สักพักฟางหรูก็ยกน้ำชาร่ำสุรามาวางและรินชาให้ฉันกับเสวี๋ยฉี

       ฟางหรู  : อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ
       เสวี๋ยฉี  : อืม...ยกมา
          อันฉี  : ข้าจะไปตามพี่ทั้งสามมากินข้าวเช้า

           เรากินอาหารเช้ากันเสร็จ จึงออกเดินทางไปเมืองหลวง 
หมายเหตุ

*หมาฮัว  คือ ขนมที่ทำจากแป้ง ทำเป็นเกลียวๆแล้วทอดมีหลายรสชาติ เช่นรสหวาน รสเค็ม รสเผ็ด

เพลงจีน หนานไห่
Nan Hai (That boy) : Liang Bo
YouTube by : so, me s.


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 23
(ความลับถูกเปิดเผย)

          ไม่นานนัก เราเดินทางมาถึงเมืองหลวง ทหารหน้าประตูวังยังไม่อนุญาตให้เราเข้าวัง พวกเขาบอกไม่รู้จักพวกเราเพราะทหารยามมีการผลัดเปลี่ยนกันเข้าเวร จึงไม่มีใครเคยเห็นเรามาก่อน ฉันจึงบอกทหารยามว่าฉันรู้จักหมอหลวงหวัง และจิ้นฝาน องครักษ์ของท่านอ๋อง พวกเขาสามารถยืนยันสถานะของเราได้ แต่พวกทหารยามไม่มีใครเชื่อ ฉันพยายามบอกทหารยามว่าฉันเป็นหมอหลวงฝึกหัดที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ พยายามบอกพวกเขาอยู่นาน จนพวกพี่ชายเริ่มหงุดหงิดจะเอาเรื่องที่ทหารยามเหล่านั้นไม่ให้เราผ่านประตู ฉันห้ามพวกพี่ๆให้ใจเย็น และกำลังจะเปลี่ยนแผนไปเที่ยวในตลาดให้เย็นใจก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน

          ในขณะที่เรากำลังหันหลังกลับ ทันใดนั้นก็มีทหารแต่งตัวเต็มยศอลังการขี่ม้าวิ่งมาที่หน้าประตูวังตรงที่เรายืนอยู่

      ฟู่เซียง  : โอ๊ะ! ท่านหมอหญิง ฮ่องเต้รอท่านอยู่นานแล้ว ฝ่าบาททรงกระวนกระวายพระทัยกลัวท่านจะไม่กลับมา สั่งให้ข้าออกมารอ แล้วนี่จะไปที่ไหนกันรึ?!
     เฟยเจิน  : ทหารพวกนี้น่ะสิ ยังไงก็ไม่ยอมให้เราผ่านเข้าไป พวกเราอยู่ตรงนี้นานแล้ว และกำลังจะกลับ
      ฟู่เซียง  : ข้าจะสั่งลงโทษพวกเขาเอง (ฟู่เซียงหันไปตวาดทหารยามหน้าประตูวัง) พวกเจ้า! บังอาจขัดขวางหมอหญิงเข้าวัง รู้หรือไม่ฮ่องเต้กำลังรอหมอหญิงท่านนี้อยู่ นางไปพบฝ่าบาทช้าเพราะพวกเจ้านี่เอง ทหาร! พาทหารยามพวกนี้ไปโบย 20 ไม้
          อันฉี  : ไม่เป็นไรหรอกพวกเขาคงไม่เคยเห็นข้าจริงๆ พวกเขาทำตามหน้าที่ อย่าทำโทษพวกเขาเลย ไหนๆท่านก็มาแล้วก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ
      ฟู่เซียง  : ท่านหมอหญิงขึ้นม้ามากับข้าเถอะ ข้าจะพาท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทหาร! พาพี่ชายของหมอหญิงไปพักที่ตำหนักเหลียนฮวา จัดอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเขาด้วย
       ทหาร  : รับทราบ

          ฉันขึ้นม้าไปกับฟู่เซียงมุ่งหน้าไปที่ตำหนักหมู่ตัน พบฮ่องเต้กำลังนั่งกระวนกระวายอยู่ในตำหนัก พอฮ่องเต้เห็นฉันก็รีบเดินมาจูงมือแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้แล้วจับมือไว้อย่างนั้น

       ฮ่องเต้  : ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาข้า ทำไมถึงมาช้านักล่ะ?!
          อันฉี  : เอ่อ.....
       ฟู่เซียง  : ทูลฝ่าบาท ที่หมอหญิงมาช้าเพราะทหารยามไม่รู้จักจึงไม่ยอมให้หมอหญิงเข้าวังพะย่ะค่ะ
      ฮ่องเต้  : อืม...ข้าคิดไว้แล้วเชียว ข้าจึงส่งฟู่เซียงไปรับเจ้าที่หน้าประตูวัง เอาล่ะ! ข้าไม่มีอะไรแล้ว ฟู่เซียงเจ้าไปได้
      ฟู่เซียง  : พะย่ะค่ะ
         อันฉี  : ฝ่าบาทมีอะไรหรือเปล่าเพคะ ก่อนหน้านี้ดูกระวนกระวาย
       ฮ่องเต้  : ก็ไม่มีอะไร ข้ากระวนกระวายเพราะกลัวเจ้าไม่กลับมาหาข้า แต่เจ้ามาก็ดีแล้ว เจ้ามาเหนื่อยๆนั่งพักอยู่ตำหนักข้านี่แหละ
          อันฉี  : ข้าไม่เหนื่อย แต่หิวน้ำ
       ฮ่องเต้  : อ่ะ! นี่ดื่มน้ำชาก่อน
          อันฉี  : ตอนที่หม่อมฉันไม่อยู่ ฝ่าบาทหักโหมทำงานหรือเปล่า และหมั่นออกกำลังกายด้วยหรือเปล่าเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ข้าปฏิบัติตามที่เจ้าบอกอย่างเคร่งครัด แม้จะน่าเบื่อที่ไม่ค่อยได้ทำงาน แต่ข้าก็พยายามไม่ฝืนคำสั่งหมอ ดูสิข้าออกกำลังกายจนกล้ามแขนข้าขึ้นมาแล้ว ดูสิ
         อันฉี  : ว้าว ว้าว! ต้องแบบนี้สิเพคะ เยี่ยมเลย! รูปหล่อ กล้ามใหญ่ ใช่เลย!
     ฮ่องเต้  : เจ้าได้สมุนไพรมามั้ย?
        อันฉี  : ได้มาเพคะ
     ฮ่องเต้  : ต้องต้มดื่มรึ?
        อันฉี  : ใช้ดม มันเป็นดอกไม้ จะหยิบให้ดู แต่ฝ่าบาทห้ามดมดอกไม้ตอนนี้เด็ดขาด
     ฮ่องเต้  : ทำไมล่ะ?
        อันฉี  : นี่คือดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ ฝ่าบาทจะได้ดมตอนปฏิบัติภารกิจ
    ฮ่องเต้  : แล้วดอกไม้ช่วยอะไรได้?
       อันฉี  : ช่วยให้ฝ่าบาทมีอารมณ์...แบบว่า...มีอารมณ์อยากทำลูกชายเพคะ แต่ฝ่าบาทต้องรออีกสามวัน หลังจากนี้สามวันเราจะทำภารกิจพิชิตลูกชาย (ฉันรีบเก็บดอกไม้ลงในกระเป๋าเวทย์)
    ฮ่องเต้  : วันนี้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าทั้งวันเลยจะได้หรือไม่ ข้าไม่ได้ออกว่าราชกิจ เลยเหงา
       อันฉี  : ได้เพคะ
    ฮ่องเต้  : เออ...ข้ามีอะไรจะให้เจ้า นี่คือป้ายหยก ข้าสั่งทำพิเศษให้เจ้าต่อไปเจ้าจะผ่านเข้าออกวังหลวงได้โดยไม่ถูกทหารยามขัดขวางอีก

          ฉันรับป้ายหยกมาดู ป้ายหยกมีสีเขียวสดแกะสลักเป็นรูปนกคล้ายหงส์เกาะอยู่บนกิ่งไม้กำลังสยายปีกสวยงาม ที่มุมล่างแกะสลักตราสัญลักษณ์เล็กๆของฮ่องเต้ไว้ด้วย ด้านหลังแกะสลักชื่อตัวเล็กๆของฉัน สายคล้องเรียงร้อยด้วยหยกสีเขียวสดขนาดเล็กกลมคล้ายลูกปัดตลอดเส้นสวยงามยิ่งนัก

          อันฉี  : นี่คือหยกจริงๆเหรอเพคะ
       ฮ่องเต้  : ใช่ ข้าสั่งทำพิเศษให้เจ้า หากข้าเจ็บป่วย เจ้าจะได้รีบมารักษาข้าได้โดยเร็ว
          อันฉี  : สำหรับหม่อมฉัน แค่ฝ่าบาทเขียนหนังสือใส่กระดาษว่าอนุญาตให้หม่อมฉันเข้าออกวังได้ และประทับตรากำกับไว้ก็พอเพคะ ป้ายหยกนี่ดีและราคาแพงเกินไปหม่อมฉันกลัวถูกคนมาขโมยเพคะ
      ฮ่องเต้  : เจ้าก็พูดง่ายเกินไป ในวังมีกฏระเบียบมีพิธีการมากมาย ทำง่ายๆอย่างที่เจ้าพูดไม่ได้หรอก ป้ายหยกนี้เจ้าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีอย่าทำหาย มา ข้าจะผูกป้ายหยกให้เจ้า

          ฮ่องเต้หยิบป้ายหยกมาคล้องผูกที่เข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงินให้ฉัน ฉันกล่าวขอบคุณและสบตา เขาค่อยๆเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แล้วจูบฉันอย่างนุ่มนวลทะนุถะนอม ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับฮ่องเต้ขึ้นมาอย่างประหลาด ฮ่องเต้จูบฉันเบาๆอีกครั้ง และถอนริมฝีปากออก แล้วพูดขึ้นว่า

       ฮ่องเต้  : ขอโทษ ข้าอยู่ใกล้เจ้าแล้วรู้สึกดีจึงเผลอตัวจูบเจ้า
          อันฉี  : แค่จูบไม่เป็นไรเพคะ...แต่มากกว่านี้ไม่ได้ (ก้มหน้าเขินอาย)
       ฮ่องเต้  : ข้าเข้าใจ ข้าจะไม่ล่วงเกินเจ้าไปมากกว่านี้ เราไปเดินเล่นในสวนกันมั้ย
          อันฉี  : เพคะ

          ฉันกับฮ่องเต้ไปเดินเล่นในสวนชมดอกโบตั๋น ฮ่องเต้เป็นชายวัยกลางคนแต่ยังคงหล่อเหลา แลดูยังหนุ่ม มาดสุขุม มีเสน่ห์ ในบางครั้งมีอารมณ์ขัน ฮ่องเต้ให้ความเมตตาและเอ็นดูฉัน สังเกตได้จากสายตาที่อ่อนโยนและการกระทำที่ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อฉัน จนฉันอยากยื่นใบสมัครขอเป็นลูกสาวของฮ่องเต้เสียเอง คงเท่ห์น่าดูที่มีพ่อหล่อ แถมเป็นฮ่องเต้อีกต่างหาก ฉันคิดแล้วแอบยิ้มคนเดียว

        ฮ่องเต้  : เจ้ามองหน้าข้าแล้วแอบยิ้ม เจ้ากำลังคิดอะไรเกี่ยวกับข้างั้นรึ
          ฉันฉี  : เปล่าเพคะ
       ฮ่องเต้  : โกหกฮ่องเต้มีความผิดได้รับโทษหนักนะ
          อันฉี  : อ๋อ...คือหม่อมฉันคิดว่าถ้าหม่อมฉันมีพ่อหล่อมากอย่างฮ่องเต้ก็คงจะดี
       ฮ่องเต้  : นี่เจ้ามองเห็นข้าเป็นพ่องั้นเหรอ...เฮ่อ! นี่ข้าแก่มากแล้วจริงๆล่ะสิ
          อันฉี  : ไม่เพคะ หม่อมฉันแค่คิดแทนเด็กที่จะมาเกิดเป็นลูกของฝ่าบาท เมื่อพวกเขาโตขึ้นต้องภูมิใจในตัวฝ่าบาทเหมือนหม่อมฉันที่รู้สึกภูมิใจในตัวฝ่าบาทเพคะ
      ฮ่องเต้  : เจ้าช่างฉอเลาะ ฮ่าฮ่าฮ่า มื้อกลางวันเจ้าอยากกินอะไรข้าจะสั่งคนครัวปรุงให้เจ้า
         อันฉี  : บะหมี่ เอ่อ...ฝ่าบาทเพคะ ช่วยให้คนไปบอกพี่ชายของหม่อมฉันได้ไหมว่าหม่อมฉันอยู่ที่นี่ไม่ตัองเป็นห่วง
      ฮ่องเต้  : ได้ เรากลับเข้าตำหนักกันเถอะ ข้ามีงานค้างต้องทำ แค่อ่านฎีกานิดหน่อย
        อันฉี  : เพคะ

          เราเดินกลับเข้าตำหนักไปที่ห้องหนังสือ ฮ่องเต้เดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือและเริ่มดูฎีกาที่วางอยู่บนโต๊ะหลายเล่มเปิดอ่านทีละเล่ม ฉันหยิบหนังสือจากชั้นมานั่งอ่านใกล้ๆโต๊ะเขียนหนังสือของฮ่องเต้ บางครั้งก็ช่วยฝนหมึกให้ฮ่องเต้เขียนภู่กัน

     ฮ่องเต้  : เอ๊ะ! ฎีกานี้เกี่ยวกับป่าอัคคี รายงานว่าพบปีศาจหญิงสาวกับปีศาจนกอินทรีย์ไล่จับมนุษย์กิน
        อันฉี  : ห๊า!!! (ฉันร้องตกใจรีบลุกขึ้นไปนั่งข้างๆฮ่องเต้แล้วเบียดตัวชะเง้ออ่านฎีกาในมือฮ่องเต้เพราะลืมตัว)
      ฮ่องเต้  : เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่? (ฮ่องเต้หันมามองหน้าฉันที่ชะเง้ออ่านฎีกาจนจมูกเกือบโดนแก้มฉัน)
         อันฉี  : เรื่องนี้อธิบายได้เพคะ
      ฮ่องเต้  : ปีศาจหญิงสาวที่ว่านี่คือเจ้ารึ?! เล่ามาสิข้ารอฟัง
         อันฉี  : (ฉันเล่าเรื่องราวของเหวินอี้และฟางหรูให้ฮ่องเต้ฟังทั้งหมด) ....เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละเพคะ แต่หม่อมฉันๆไม่ได้จับใครกิน ยังไม่ได้ทำร้ายใครด้วย หม่อมฉันสาบานเลย
      ฮ่องเต้  : แต่เจ้ากำลังให้ที่ซ่อนคนร้ายนั่นคือความผิด
         อันฉี  : ฝ่าบาท... เหวินอี้ไม่ใช่คนร้ายเขายังไม่ได้ฆ่าหรือทำร้ายใครเลย มีแต่คนใจร้ายพวกนั้นต่างหากที่คอยไล่ทำร้ายเขา
      ฮ่องเต้  : แต่เหวินอี้ถูกพ่อของฟางหรูแจ้งจับข้อหาลักพาตัวถือว่าเป็นคนร้าย
         อันฉี  : ฝ่าบาท... (ฉันเริ่มบีบนวดแขนฮ่องเต้เพื่อออดอ้อน) พวกเขารักกันเลยหนีตามกันไปไม่ได้ลักพาตัว อีกอย่างตอนนี้พวกเขากำลังทำงานอยู่ที่บ้านของหม่อมฉัน ถ้าฝ่าบาทให้เขาออกมามอบตัวแล้วใครจะทำงานให้หม่อมฉันล่ะเพคะ ไม่มีคนงานปลูกสมุนไพร สมุนไพรก็จะไม่เติบโต สมุนไพรไม่เติบโตก็ไม่มียาดีๆรักษาคนไข้
       ฮ่องเต้  : ถ้าเจ้าต้องการคนงาน ข้าจะส่งคนงานไปช่วย เจ้าอยากได้สักกี่คนข้าจะหาให้
          อันฉี  : ฝ่าบาท...ป่าอัคคีไม่ใช่ว่าใครจะเดินเข้า-ออกกันได้ง่ายๆ และคนที่จะอยู่ภายในเขตรั้วบ้านได้ก็ต้องเป็นคนที่พี่ชายของหม่อมฉันอนุญาตแล้วเท่านั้น หากใครไม่ได้รับอนุญาตแล้วแหยมหน้าเข้าไปได้ตายตั้งแต่แนวป่าไผ่รอบนอกแล้ว ฮ่องเต้! งั้นหม่อมฉันขอแจ้งความกลับคนใจร้ายพวกนั้นข้อหาพกพาอาวุธบุกรุกเข้าเขตป่าสงวนบ้านข้า, ข้อหาพยายามทำร้ายร่างกาย, ข้อหาพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ข้อหาทำลายทรัพย์สินทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ข้อหาบีบบังคับแต่งงานถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน, แล้วก็ข้อหา.......
       ฮ่องเต้  : เอาล่ะๆ! พอแล้ว! เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ หาข้อโต้แย้งได้ตลอด
          อันฉี  : รู้งี้น่าจะบอกว่าพวกเขาถูกปีศาจหญิงสาวจับกินไปแล้วซะก็ดี...
       ฮ่องเต้  : ข้าจะพักคดีนี้ไว้ก่อนแต่ช่วงสามวันนึ้เจ้าต้องมาอยู่เป็นเพื่อนข้า ตกลงมั้ย?
          อันฉี  : คดีนี้พอจะมีทางแก้ไขใช่ไหมเพคะ? (ฉันขยับตัวเบียดฮ่องเต้แล้วยื่นหน้ากระซิบถามเบาๆ)
      ฮ่องเต้  : ก็พอจะมี...

          พูดจบฮ่องเต้เอื้อมมือมาจับที่คางฉันให้เงยหน้าขึ้นแล้วจูบที่ริมฝีปากฉันเบาๆ ริมฝีปากบางนุ่มนิ่มของเขากับจูบที่นุ่มนวล รสจูบนี้หวานละมุนลิ้นยิ่งนัก ฉันจูบตอบรับอย่างเต็มใจ ฮ่องเต้ค่อยๆถอนริมฝีปากออกแล้วกอดฉันแน่นจูบที่ซอกคอและมองสบตาฉันครู่หนึ่ง จากนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดขึ้นว่า...

       ฮ่องเต้  : ข้าทำงานต่อดีกว่า เจ้าอ่านหนังสือต่อเถอะ
          อันฉี  : จูบเมื่อกี้ถือว่าฝ่าบาทรับปากว่าจะช่วย ขอบพระทัยฝ่าบาท
       ฮ่องเต้  : เจ้าเด็กคนนี้ร้ายจริงๆ หุหุ

          ฉันนั่งอ่านหนังสือเงียบๆเพื่อให้ฮ่องเต้มีสมาธิในการทำงาน หรือฉันมีสมาธิในการอ่านหนังสือมากเกินไปจนเผลอหลับอยู่ข้างๆฮ่องเต้ หลับได้สักพักรู้สึกได้ว่าฮ่องเต้นำเสื้อคลุมมาห่มคลุมให้ ฉันจึงไม่เกรงใจขอหลับต่อเพราะง่วงนอน ฉันหลับไปได้สักพักได้ยินเสียงทหารดังขึ้น ฉันจึงรีบตื่นงัวเงียลุกขึ้นเตรียมทำความเคารพฮองเฮา

         ทหาร : ฮองเฮาเสด็จ! พระชายาเสด็จ!
      ฮองเฮา  : ฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งได้รับลูกพลับผลสดน่ากิน จึงนำลูกพลับมาถวายเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าจะพาหมอหญิงไปเยี่ยมเจ้าพรุ่งนี้อยู่พอดี มา มา ให้หมอหญิงตรวจดูสักหน่อย
     ฮองเฮา  : ข้ากินอาหาร และงดอาหารตามที่หมอหญิงบอก ออกกำลังกายบ้างเล็กน้อย
         อันฉี  : ดีเพคะ อีกสองวันคงต้องใช้แรงกันมากหน่อย
     ฮองเฮา  : ให้หม่อมฉันปลอกลูกพลับถวายนะเพคะ
       ฮ่องเต้  : ไม่เป็นไร ข้าจะกินเองภายหลัง
     ฮองเฮา  : ฝ่าบาทกำลังทรงงานอยู่หรือเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ใช่ ข้าดูฎีกาที่ค้างอยู่นิดหน่อย อย่าห่วงช่วงสามวันนี้ข้าจะไม่หักโหมทำงาน อ้อ...กลางวันนี้ข้าจะกินอาหารที่นี่เจ้าไม่ต้องรอข้า
     ฮองเฮา  : เพคะ...เห็นหมอหญิงดูแลฝ่าบาทใกล้ชิดขนาดนี้ หม่อมฉันก็วางใจ หม่อมฉันไม่รบกวนแล้วเพคะ...ทูลลา

          ฮองเฮามองดูป้ายหยกที่ฉันห้อยแขวนอยู่ที่เข็มขัด แล้วหันมามองหน้าฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ส่วนพระชายามองหน้าฉันด้วยสีหน้าและแววตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับฉันเท่าไหร่นัก ฉันมองตามฮองเฮาและพระชายากำลังเดินออกจากตำหนักไป แล้วนั่งลงข้างๆฮ่องเต้ตามเดิม

          ○○○ที่ด้านนอกตำหนัก ฮองเฮากำลังสนทนากับพระชายา ○○○

   พระชายา  : ตั้งแต่หมอหญิงเข้าวังฮ่องเต้ดูเปลี่ยนไปนะเพคะ ดูสดชื่น กระชุ่มกระชวย ทรงโปรดปราณนางเป็นพิเศษขลุกตัวอยู่กับนางทั้งวัน สนมมีมากมายในวังหลวงฝ่าบาทก็ไม่เห็นโปรดใครเท่านาง เป็นแค่หมอฝึกหัดแต่กลับได้รับป้ายหยกจากฮ่องเต้ อีกหน่อยคงแต่งตั้งให้นางเป็นพระสนม
      ฮองเฮา  : พูดอะไรระวังปากระวังคำไว้หน่อย เพราะนางเป็นหมอถึงตำแหน่งจะเป็นแค่หมอฝึกหัด แต่ในทางปฏิบัตินางคือหมอส่วนพระองค์ อีกทั้งนางยังรักษาท่านอ๋องที่ป่วยหนักให้รอดชีวิต ถือว่านางสร้างคุณประโยชน์ให้ไม่น้อย แล้วนางก็กำลังจะช่วยให้ข้ามีโอรส หากนางสามารถทำให้ข้ามีโอรสได้จริง ฮ่องเต้จะแต่งตั้งนางเป็นพระสนมข้าเองก็ไม่ขัด ตอนนี้ฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้นเพราะนาง การจะแต่งตั้งนางเป็นพระสนมก็เห็นสมควร เจ้าเองก็ยังไม่มีลูกเจ้าควรจะเข้าไปพูดคุยหรือปรึกษานางดูบ้าง บางทีนางอาจจะช่วยให้สถาณการณ์ของเจ้ากับท่านอ๋องดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ อ้อ...ข้าจะกลับตำหนักไปงีบหลับสักหน่อยเจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ (ฮองเฮาทำสีหน้าไม่พอใจในคำพูดของพระชายา)
  พระชายา  : เพคะ! หม่อมฉันทูลลา!
      ฮองเฮา  : ทำไมพระชายาถึงไม่ปรับปรุงตัวเองเพื่อให้ท่านอ๋องหันมาสนใจนางบ้าง (ฮองเฮาบ่นพึนพำ
นางกำนัลคนสนิท  : ทูลฮองเฮา แต่ที่พระชายาพูดมาก็ถูกนะเพคะ ตั้งแต่หมอหญิงเข้าวังฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนไปจริงๆ เหล่าสนมลือกันว่านางเป็นหมอหญิงปีศาจจำแลงมาล่อลวงให้ฮ่องเต้หลงไหลเพคะ
      ฮองเฮา  : เจ้าพูดจาเหลวไหล นางกำลังจะช่วยให้ข้ามีโอรส งั้นโอรสที่นางจะมอบให้ข้าก็เป็นโอรสปีศาจด้วยหรือเปล่า?!
นางกำนัลคนสนิท  : ขอประทานอภัยเพคะฮองเฮา หม่อมฉันผิดไปแล้ว
      ฮองเฮา  : หากข้าไม่สามารถมีโอรสให้ฝ่าบาทได้ เจ้ารู้มั้ยชะตากรรมข้าจะเป็นเช่นไร ข้าคงไม่ต่างอะไรจากสนมไร้ประโยชน์พวกนั้น เพราะฉะนั้นหมอหญิงนั่นจึงเป็นความหวังเดียวของข้าในตอนนี้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้พูดอะไรเหลวไหลแบบนี้อีก หากเรื่องนี้รู้ถึงหูฝ่าบาท ข้าเองก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้
นางกำนัลคนสนิท  : หม่อมฉันจะไม่พูดจาเหลวไหลอีกแล้วเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะไม่ไปสุงสิงกับสนมพวกนั้นอีกแล้วเพคะ....

          ในตำหนักหมู่ตัน...ฉันถามฮ่องเต้ว่าต้องการกินผลลูกพลับหรือไม่ ฉันจะปลอกลูกพลับให้ ฮ่องเต้ตอบว่า "กิน" ฉันจึงลุกขึ้นไปที่โต๊ะอาหารที่มีถาดลูกพลับวางอยู่ และเริ่มปลอกลูกพลับ ฮ่องเต้ที่กำลังทำงานก็วางมือและลุกขึ้นเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารข้างๆฉันและรอกินลูกพลับที่ฉันกำลังปลอก ฉันถามฮ่องเต้ว่า

          อันฉี  : เมื่อกี้ฮองเฮาบอกว่าจะปลอกลูกพลับให้ทำไมปฏิเสธล่ะเพคะ
       ฮ่องเต้  : เมื้อกี้ข้ายังไม่อยากกิน ทำไมล่ะ เจ้าไม่อยากปลอกลูกพลับให้ข้ากินรึ
          อันฉี  : เปล่าเพคะ หม่อมฉันเต็มใจทำ แค่ถามดูเท่านั้นเอง
       ฮ่องเต้  : อืม...พักหน่อยก็ดีนะ นี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน
          อันฉี  : โอ๊ย!!! มีดบาด!
       ฮ่องเต้  : โอ๊ะ!!! ให้ข้าดูแผลหน่อย แผลลึกหรือเปล่า ข้าจะทำแผลให้!
          อันฉี  : อย่าแตะเพคะ อันตราย หม่อมฉันจะทำแผลเอง  (ฉันรีบดึงมือออกให้ห่างฮ่องเต้แล้วใช้มืออีกข้างกุมนิ้วไว้)
       ฮ่องเต้  : ทำไมล่ะ เจ้าถูกมีดบาดให้ข้าช่วยเจ้าทำแผลไม่ได้เชียวรึ ถึงข้าจะไม่ใช่หมอแต่ข้าก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ขนาดช่วยทำแผลให้เจ้าไม่ได้
          อันฉี  : ไม่ใช่แบบนั้น! คือ...เลือดของหม่อมฉันเป็นพิษ ห้ามใครสัมผัสเด็ดขาดมันอันตรายมากเพคะ
       ฮ่องเต้  : จริงรึ?! แต่เลือดของเจ้าออกมากรีบทำแผลก่อนเถอะ

          ฉันยื่นนิ้วที่ถูกมีดบาดให้ฮ่องเต้ดูเลือดที่หยุดไหล และรอยแผลที่กำลังสมานด้วยตัวเองจนปิดสนิท ฮ่องเต้มองดูด้วยความแปลกประหลาดใจ

          อันฉี  : ฝ่าบาทหวาดกลัวหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ? ถ้าหากหม่อมฉันเป็นปีศาจ
       ฮ่องเต้  : ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกข้าแค่ประหลาดใจ ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่อย่ากังวลข้าไม่ใช่คนจิตใจคับแคบหวาดกลัวอะไรโดยไร้เหตุผล หากข้าหวาดกลัวเจ้าข้าคงไม่ให้ป้ายหยกเจ้าเข้าออกวังของข้า ในสายตาของข้าเจ้าไม่ใช่ปีศาจ แต่เจ้าเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆของข้า เอ่อ...ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนมเอกของข้าเพื่อพิสูจน์ว่าข้าไม่เคยคิดรังเกียจเจ้า
          อันฉี  : ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท แต่ทำแบบนั้นไม่ได้ คือชายคนแรกที่ล่วงล้ำหม่อมฉันจะต้องตายด้วยเลือดพรหมจรรย์พิษ หม่อมฉันไม่สามารถมีความรัก หม่อมฉันไม่ต้องการให้คนที่หม่อมฉันรักต้องตายเพคะ
       ฮ่องเต้  : เจ้าไม่ได้รักข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่องโกหกข้าแบบนี้หรอก
          อันฉี  : หม่อมฉันไม่ได้โกหก จะทำให้ดูเพคะแต่ฝ่าบาทห้ามแตะต้องเลือดหม่อมฉันเด็ดขาด!
       ฮ่องเต้  : อื้ม!

          ฉันใช้ปลายมีดกดลงที่ปลายนิ้วจนมีเลือดออกแล้วร้อง "โอ๊ยเจ็บ" ฮ่องเต้มองดูด้วยความตกใจที่ฉันใช้ปลายมีดบาดนิ้วตัวเอง จากนั้นฉันจึงหยดเลือดหนึ่งหยดจากปลายนิ้วใส่ดอกโบตั๋นหนึ่งดอกที่แช่อยู่ในแจกันที่วางอยู่ตรงหน้า ทันทีที่หยดเลือดสัมผัสถูกดอกโบตั๋นก็แห้งเหี่ยวไหม้ตาย จากนั้นฉันหยดเลือดใส่ลูกพลับหนึ่งลูกก็แห้งเหี่ยวในทันทีเหมือนกัน สร้างความตกใจให้กับฮ่องเต้เป็นอย่างมาก

          อันฉี  : เชื่อหรือยังเพคะ เลือดของหม่อมฉันมีพิษจริงๆ
       ฮ่องเต้  : ข้าขอโทษที่ไม่เชื่อเจ้าในตอนแรกอีกทั้งยังกล่าวหาว่าเจ้าโกหก ข้าขอโทษ....ไหนขอดูนิ้วหน่อยสิแผลสมานหรือยัง?
          อันฉี  : แผลสมานแล้วเพคะ หากหม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ ฝ่าบาทห้ามเข้ามาแตะต้องหรือถูกเลือดหม่อมฉันโดยเด็ดขาด
       ฮ่องเต้  : ข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่เจ้ายังเป็นหญิงพรหมจรรย์จริงๆรึ ทำไมเจ้าถึงรู้ท่วงท่าวิธีทำลูกลึกซึ้งนักล่ะ ขนาดฮองเฮาแต่งงานกับข้ามานานเป็นปีนางยังไม่เคยทำท่วงท่าอย่างที่เจ้าสอนเลย
          อันฉี  : แหม...ก็หม่อมฉันเป็นหมอเพคะต้องรู้ศาสตร์การรักษาหลายแขนงหากรู้การรักษาไม่ลึกซึ้งจะรักษาคนไข้หายได้อย่างไร การรู้ถึงท่วงท่าแบบนั้นจัดเป็นการแพทย์ด้วยเพคะ ฝ่าบาทกินลูกพลับเถอะเพคะหม่อมฉันป้อน
     
          ฮ่องเต้กินลูกพลับที่ฉันป้อน สักพักนางกำนัลก็ยกอาหารกลางวันเข้ามาวางบนโต๊ะอาหารมีบะหมี่ที่ฉันอยากกิน และอาหารที่เน้นทำจากปลา หลังอาหารกลางวันฮ่องเต้กลับไปนั่งทำงานต่ออีกสักพัก จากนั้นฮ่องเต้ก็มานั่งอ่านหนังสือกับฉัน ทำให้ฉันเริ่มง่วงอีกครั้ง ฮ่องเต้อนุญาตให้ฉันไปนอนงีบกลางวันบนเตียง เพราะฮ่องเต้เองก็ง่วงเหมือนกัน แต่ฉันตอบปฏิเสธ เพราะเกรงจะไม่เหมาะ

       ฮ่องเต้  : ไม่เป็นไรหรอกน่า นี่เป็นตำหนักของข้าใครกล้ามาว่าเจ้าข้าจะสั่งทำโทษ ไปนอนเถอะข้าเองก็อยากงีบกลางวันเหมือนกัน (ฮ่องเต้จูงมือฉันไปนอนบนเตียง)
          อันฉี  : เดี๋ยว หม่อมฉันขอเอาหนังสือไปนอนอ่านบนเตียง
       ฮ่องเต้  : ได้

          ฉันหยิบหนังสือหนึ่งเล่มไปนอนอ่านบนเตียง เพราะการนอนอยู่ข้างๆฮ่องเต้ทำให้ฉันใจเต้นตึกตักและนอนไม่หลับ ฮ่องเต้ให้ฉันนอนด้านในส่วนเขานอนด้านนอก เขาพลิกตัวนอนตะแคงเอื้อมมือข้างหนึ่งมากอดแล้วเบียดตัวเอาหน้ามาซบไหล่ฉัน แล้วเขาก็หลับไปเขาคงจะง่วงนอนจริงๆถึงหลับได้เร็วขนาดนี้ ฉันนึกถึงฮองเฮาที่นอนเคียงข้างฮ่องเต้นางคงมีความสุขไม่น้อยที่ได้นอนเคียงข้างเขา "น่าอิจฉาจังเลยน๊า (ฉันคิดในใจ)" ฉันนอนอ่านหนังสือได้สักพักเริ่มรู้สึกง่วง ฉันจึงหันหน้าไปแอบจูบที่หน้าผากฮ่องเต้แล้วงีบหลับไป

          ฉันนอนหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูจากแสงแดดยามบ่ายที่อ่อนลงน่าจะใกล้เวลาเย็น ฉันตื่นจากงีบหลับก่อนฮ่องเต้ แล้วพลิกตัวนอนตะแคงมองดูใบหน้าเขาแม้ขณะนอนหลับเขายังคงดูดีและหล่อเหลา เขายังไม่ตื่นแต่ฉันไม่กล้าปลุกเขาจึงค่อยๆลุกขึ้นแล้วพยายามจะก้าวข้ามลงจากเตียง แต่ถูกเขาเอื้อมมือคว้ากอดตัวฉันไว้จนล้มลงไปนอนทับบนตัวเขา

       ฮ่องเต้  : จะไปไหน ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกข้า
          อันฉี  : เห็นฝ่าบาทกำลังหลับจึงไม่กล้าปลุก นี่ก็เย็นแล้วหม่อมฉันต้องกลับเดี๋ยวพี่ชายเป็นห่วงเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าจะไปส่งเจ้าที่ตำหนักเหลียนฮวา
          อันฉี  : ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันกลับเองได้
       ฮ่องเต้  : ถ้าไม่ให้ข้าไปส่ง งั้นข้าก็ไม่ให้เจ้ากลับเจ้านอนกับข้าที่นี่แหละ
          อันฉี  : ฝ่าบาทไปส่งหม่อมฉันก็ได้เพคะ
       ฮ่องเต้  : เจ้ารู้มั้ยทุกครั้งที่ข้าอยู่ใกล้ๆเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกลับมาเป็นหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า เจ้ารักษาอาการปวดหลังให้ข้า กลิ่นกายของเจ้ากระตุ้นความรู้สึกวัยหนุ่มข้ายิ่งนัก ข้าเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ตายแล้วแต่ถูกเจ้าใส่ปุ๋ยจนมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้ ให้ข้าจูบเจ้าหน่อยเถอะนะ

          ฮ่องเต้จูบฉันในขณะที่ฉันนอนทับอยู่บนตัวเขา เขาจับตัวฉันพลิกให้นอนหงายแล้วเขาพลิกตัวขึ้นมานอนทับ จูบที่นุ่มนวลอ่อนโยนเริ่มเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ เขาจูบที่ซอกคอและสอดขาเข้าใต้ขาฉันแล้วแยกขาฉันออกจากนั้นเบียดแท่งเนื้อแข็งเข้าที่เนินสวรรค์หลายครั้งจนฉันมีอารมณ์เผลอเด้งก้นรับแรงเบียดตามไปด้วยหลายครั้ง

          อันฉี  : ฝ่าบาทเพคะ ใจเย็นๆก่อน เก็บอารมณ์แบบนี้ไว้ก่อนเพคะ อดทนไว้อีกแค่สองวันเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าขอโทษ....ข้าจะไปส่งเจ้ากลับตำหนักเหลียนฮวา

          ฮ่องเต้เดินไปส่งฉันกลับตำหนักเหลียนฮวา โดยมี ฟู่เซียง ราชองครักษ์เดินติดตามมาด้วยทางด้านหลัง ฮ่องเต้บอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะส่งฟู่เซียงมารับไปขี่ม้าชมพระราชวังยามเช้า

          ฉันเดินกลับเข้าตำหนักเจอ เสวี๋ยฉี กำลังยืนหน้าหงิกเท้าเอวรอฉันอยู่ ฉันรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดเขาโดยล็อคแขนทั้งสองข้างของเขาไว้ไม่ให้บิดหูฉัน

          อันฉี  : พี่ใหญ่ แหม...ไม่เจอทั้งวันคิดถึงจังเลย
     เฟยเจิน  : ถ้าเจ้ามาช้ากว่านี้อีกนิด ตำหนักฮ่องเต้โดนถล่มยับแน่
       เสวี๋ยฉี  : ปล่อยข้า จะมากอดข้าทำไม?!
          อันฉี  : สัญญาก่อนสิว่าจะไม่บิดหู ไม่ตีข้า
       เสวี๋ยฉี  : นี่มันเวลาอะไรแล้วทำไมเพิ่งกลับ ห๊า?!
          อันฉี  : ข้าไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นซักหน่อย
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าฮ่องเต้นั่นใช้งานเจ้าหนักไปแล้วนะ ตั้งแต่เช้าจนเย็น
          อันฉี  : ข้าทำงานเสร็จตั้งแต่บ่ายแล้ว พอดีที่นั่นมีของกินอร่อยข้ากินจนอิ่มแล้วก็งีบหลับไปเพิ่งตื่น
      เสวี๋ยฉี  : นี่แน่ะ! งีบหลับเพิ่งตื่น หายไปทั้งวันไม่คิดว่าข้าจะเป็นห่วงเจ้าบ้างหรือไง (เสวี๋ยฉีบิดแขนฉัน) 
          อันฉี  : โอ๊ยเจ็บ! ข้าขอโทษอย่าโมโหข้าเลยนะ ข้าอยู่ที่ตำหนักฮ่องเต้ไม่ได้ไปเล่นซนที่ไหน ดูนี่สิ! ฮ่องเต้ให้ป้ายหยกข้ามาด้วย คราวหน้าเข้าวังอีกก็ผ่านประตูวังฉลุย ไม่ตัองโดนกักตัวรอตรวจสอบอะไรให้เสียเวลาอีก
      เสวี๋ยฉี  : ไม่มีคราวหน้าอีกแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามารักษาใครอีก หมอในวังมีกันตั้งหลายคน ทำไมต้องให้เจ้ามารักษาด้วยก็ไม่รู้ กะอีแค่ทำลูกไม่เห็นจะยากอะไรตรงไหน เรื่องง่ายๆทำให้เป็นเรื่องยากไปได้ มนุษย์เนี่ยเรื่องมากชะมัด
          อันฉี  : มนุษย์บางคนก็ไม่ได้เป็นผู้ชายร้อนแรงเหมือนท่าน เอ่อ! ยังมีอีกเรื่องนึง วันนี้ข้าได้อ่านฎีกามีคนเขียนเรื่องร้องเรียนถึงฮ่องเต้ว่าข้ากับเจินเจินเป็นปีศาจไล่จับมนุษย์กิน ให้ตายสิโรบิน! ข้ายังไม่เคยจับมนุษย์กินเลยสักครั้ง ใส่ความกันชัดๆ โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่เชื่อคนพวกนั้น
     ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เจ้าถูกมองเป็นปีศาจไปแล้วหรือนี่ ไหนมาให้ข้าดมดูซิ! จริงด้วยกลิ่นมนุษย์ในตัวเจ้าจางลงไป (ซิ่นหลิงหอมที่แก้มฉัน) 
          อันฉี  : ห๊า?! จริงดิ๊! เจินเจิน มาดมดูดิ๊?! (ฉันยื่นมือให้เฟยเจินดมกลิ่น)
     เฟยเจิน  : ใช่! กลิ่นมนุษย์จางลงมากแทบจะไม่ได้กลิ่นแล้ว (เฟยเจินดมที่มือไล่มาที่แขน)
          อันฉี  : ฉันไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกแล้วหรือนี่?!
     หยงเป่า  : ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็เชื่อคนง่ายเสียจริง สองคนนั่นแกล้งเจ้าเล่นน่ะ เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่
          อันฉี  : ฮึ่ม! เจ้าสองคนแกล้งข้า! (ฉันวิ่งไล่ตีซิ่นหลิงและเฟยเจินเหมือนเด็กเล่นไล่จับกัน)
       เสวี๋ยฉี  : พอแล้ว เลิกวิ่งไล่กันได้แล้วเตรียมตัวกินอาหารเย็น
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ข้ามีคำถามสงสัยมานานแล้ว ข้าอยู่ใกล้ชิดท่าน กลิ่นเสน่ห์ของท่านสามารถติดตัวข้าได้มั้ย?
      เสวี๋ยฉี  : แน่นอนที่ตัวเจ้ามีกลิ่นของข้าติดอยู่
         อันฉี  : สมมุติว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาชอบข้ามากๆ
      เสวี๋ยฉี  : มันเป็นใคร บอกข้า ข้าจะไปฆ่ามัน!
          อันฉี  : ไม่มี! ข้าบอกว่าสมมุติไง คือข้าอยากรู้ว่าถ้ามีผู้ชายมาบอกว่าชอบข้ามากๆ เขาชอบข้าที่เป็นตัวข้า หรือว่าชอบข้าเพราะกลิ่นเสน่ห์ท่านที่ติดอยู่บนตัวข้า
      เสวี๋ยฉี  : เพราะเสน่ห์ของข้าที่ติดอยู่บนตัวเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ชายที่ไหนจะมาชอบเจ้า ตัวก็เตี้ย หน้าอกก็เล็ก
    เฟยเจิน  : ข้า! ข้าไง! ข้ารักน้องห้า รักมากด้วยนะ เสน่ห์ของพี่ใหญ่ไม่มีผลต่อข้า (เฟยเจินแทรกเข้ามาแล้วยกมือชี้ที่ตัวเอง)
      เสวี๋ยฉี  : ใครใช้ให้เจ้าแทรกเข้ามาห๊า! เจ้า บ้า! (เสวี๋ยฉีเขกหัวเฟยเจิน) 
     ซิ่นหลิง  :เจ้านี่มันซื่อบื้อจริงๆเลย ไปยืนอยู่เฉยๆตรงโน้นเลยไป!
          อันฉี  : ข้าไม่มีเสน่ห์ในตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ?
      เสวี๋ยฉี  : อื้ม!
     ซิ่นหลิง  : อื้ม!
          อันฉี  : กะไว้แล้วเชียวว่าเป็นเพราะฟีโรโมนของพญางูที่ติดตัวข้านี่เองพวกเขาถึงมีอาการแปลกๆกับข้า ไอ้เราก็หลงดีใจ ....เซ็ง! ไปกินข้าวดีฝ่า
     หยงเป่า  : หุหุ

          ขณะที่ฉันกำลังนั่งรอนางกำนัลยกอาหารมาวางที่โต๊ะ ก็มีนางกำนัลอีกคนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้ามาหาฉันแล้วพูดว่า

  นางกำนัล  : ท่านหมอหญิง....ท่านหมอหวังมาขอพบเจ้าค่ะ
          อันฉี  : เชิญเข้ามาเลย
  นางกำนัล  : เจ้าค่ะ

          ฉันรีบลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับหมอหวัง และเชิญหมอหวังร่วมวงกินข้าวด้วยกัน

    หมอหวัง  : แม่นางน้อย อ่ะ! ไม่สิข้าต้องเรียกเจ้าว่าหมอหญิง
          อันฉี  : ท่านลุงหมอหวังเรียกข้าตามสะดวกท่านเถอะ ท่านมาพอดีข้ากับพี่ชายกำลังจะกินข้าว เชิญท่านลุงร่วมกินข้าวด้วยกัน
   หมอหวัง  : ต้องรบกวนเจ้าแล้ว ข้าเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมสหายเก่าที่อยู่ต่างเมือง เห็นว่าเจ้าเพิ่งกลับเข้าวังมาวันนี้พอดี ข้าเลยตั้งใจมาคุยด้วยงั้นเรากินข้าวไปคุยกันไปจะได้ไม่เสียเวลา
          อันฉี  : ท่านมีเรื่องอะไรเหรอ?
    หมอหวัง  : ก่อนที่ข้าจะออกไปต่างเมือง ฮ่องเต้มาพูดคุยกับข้าเรื่องอยากมีพระโอรส เจ้าตอบตกลงเป็นสะ....
          อันฉี  : เอ้อ!!! ข้ามีวิธีช่วยฝ่าบาทให้มีพระโอรสกับฮองเฮาได้ แต่ข้าก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ต้องรอเวลาอีกสองวันจึงจะทำภารกิจ  (ฉันรีบพูดแทรกขึ้นก่อนที่หมอหวังจะพูดจบคำ)
    หมอหวัง  : ทำแบบนั้นได้ด้วยเรอะ ดี ดี เจ้าช่วยท่านอ๋องด้วยได้มั้ย?
          อันฉี  : ท่านลุงหมอหวัง ข้าถามได้มั้ย ทำไมดูเหมือนพวกเขาจะมีปัญหาเรื่องการมีบุตรทั้งๆที่ฮ่องเต้และท่านอ๋องก็ยังหนุ่มยังแน่น
    หมอหวัง  : เฮ่อ...ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ ฮ่องเต้อาจจะทำงานหนักจนละเลยเรื่องการมีบุตร ส่วนท่านอ๋องนั้นน่าสงสารยิ่งนัก หลังวันแต่งงานเพียงเดือนเดียวก็ไม่เคยเสด็จไปตำหนักพระชายาอีกเลย สนมที่ส่งไปปรนนิบัติก็ไม่เคยมีใครตั้งครรภ์ ข้าสอบถามเหล่าสนมที่เคยไปปรนนิบัติท่านอ๋อง พวกนางล้วนบอกท่านอ๋องแข็งแรงปกติดี เฮ่อ...เวรกรรมอะไรกันพวกเขาจึงไร้ทายาท
          อันฉี  : เพราะอะไรท่านอ๋องจึงไม่เสด็จตำหนักพระชายาอีกเลยล่ะ ทำไม?
   หมอหวัง  : นี่เป็นความลับ ข้าบอกเจ้าเพราะมีแต่เจ้าที่จะช่วยท่านอ๋องได้
          อันฉี  : ฮื่อออออ! งั้นอย่าบอกเลย ข้าไม่อยากเป็นภาระเก็บความลับให้ผู้อื่น ตกลงข้าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน
    หมอหวัง  : อ้าว?! เจ้าไม่อยากรู้เหรอ?
          อันฉี  : ฮื่อ! ไม่อ่ะ
      ซิ่นหลิง  : แต่ข้าอยากรู้เล่ามาเถอะ เพื่อเป็นประโยชน์ในการรักษา
    หมอหวัง  : เดิมทีท่านอ๋องรักหญิงต่างแคว้น แคว้นหนึ่ง นางเป็นผู้หญิงสวย เก่ง ฉลาด กล้าหาญ ท่านอ๋องต้องการแต่งงานกับหญิงผู้นั้น แต่หญิงผู้นั้นกลับมีคนรักอยู่แล้วจึงไม่สามารถแต่งงานกับท่านอ๋องได้ ท่านอ๋องเสียใจอย่างมาก สุดท้ายท่านอ๋องต้องแต่งงานกับพระชายาเพื่อผูกสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เพราะท่านอ๋องยังไม่สามารถลืมหญิงผู้นั้นได้จึงเป็นสาเหตุให้พำนักที่ตำหนักพระชายาเพียงเดือนเดียว
          อันฉี  : อืม...ท่านอ๋องป่วยใจ ต้องให้เจอคนใหม่ที่ถูกใจเดี๋ยวก็หาย
    หมอหวัง  : แต่นี่ผ่านมาเป็นเวลานานแล้วนะ
          อันฉี  : เวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจ เชื่อข้า เจ็บได้ ก็หายได้อาจจะช้าหน่อยแต่ก็หาย ท่านหมอหวัง เอาอย่างนี้ละกันข้าจะบอกวิธีทำลูกชายให้ท่าน แล้วท่านก็เอาไปบอกท่านอ๋องดีมั้ย จะได้ไม่ต้องรอข้า เพราะตอนนี้ข้าต้องดูแลฮ่องเต้ก่อน 3 วันถึงจะเสร็จเรียบร้อย
    หมอหวัง  : ดี ดี งั้นหลังกินข้าวเสร็จเจ้าบอกวิธีให้ข้า

          หลังกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยพี่ชายทั้งสี่นั่งดื่มเหล้ากันต่อที่ชานชมดอกบัว ฉันจึงชวนหมอหวังแยกออกมานั่งคุยกันต่างหากสองคน ฉันบอกช่วงเวลาการนับรอบเดือนและการเตรียมตัวก่อนการทำภารกิจ และกระซิบบอกท่วงท่าปฏิบัติภารกิจ หมอหวังตกใจอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน

    หมอหวัง  : ห๊า! สอนทำถึงท่วงท่าด้วยรึ? ไอ๊หยา! ข้าแก่แล้วจะให้ข้าไปทำท่าทางแบบนั้นต่อหน้าท่านอ๋อง ข้าทำไม่ได้หรอก
          อันฉี  : ท่านก็ให้ผู้ช่วยท่านเป็นคนทำท่าทาง ส่วนท่านก็อธิบายวิธีทำสิ
    หมอหวัง  : เอางี้ ข้าจะไปพูดคุยกับท่านอ๋องก่อน หากท่านอ๋องยอมตกลงข้าจะให้เจ้าไปดูแลท่านอ๋อง ส่วนข้าเองจะได้เรียนรู้จากเจ้าด้วย ข้าไปล่ะ ขอบคุณที่ให้ร่วมโต๊ะอาหาร
          อันฉี  : ยินดีค่ะท่านลุงหมอ

          หมอหวังกลับไปแล้ว ฉันจึงเดินกลับไปนั่งร่วมวงชมดอกบัวยามค่ำคืนกับพวกพี่ๆ เฟยเจินขยับมาใกล้ๆแล้วถามฉัน

     เฟยเจิน  : เจ้าบอกวิธีทำลูกชายให้ข้าบ้างสิ
     ซิ่นหลิง  : ใช่ เจ้าบอกคนอื่นแต่ไม่บอกข้า
          อันฉี  : ก็ท่านยังไม่มีภรรยา
     ซิ่นหลิง  : บอกมาเถอะน่า
          อันฉี  : ข้อแรก ท่านต้องรู้วันมีรอบเดือนของภรรยา เพื่อปฏิบัติรักบนเตียง ให้ทำช่วงราวๆ 2 สัปดาห์ก่อนมีรอบเดือน ข้อสอง เตรียมร่างกายให้แข็งแรงกินอาหารปรับสภาพภายใน ข้อสาม บรรเลงบทรักด้วยลีลาที่เผ็ดร้อน เร้าใจ นานๆทำทีแต่ใส่ลึกๆ แล้วโบยบินสู่สวรรค์ไปพร้อมๆกัน
    หยงเป่า  : (หยงเป่าฟังแล้วยิ้ม)
    เฟยเจิน  : เจ้ารอบเดือนมาเมื่อไหร่? (เฟยเจินจับมือฉันแววตาเปล่งประกาย)
         อันฉี  : นี่แน่ะ! เจ้าอยากตายรึไง! (ฉันเอานิ้วดีดหน้าผากเฟยเจิน)
     หยงเป่า  : ถ้าอยากได้ลูกสาวล่ะ?
          อันฉี  : ทำลูกสาวนี่ง่ายที่สุด ให้กินส้มเยอะๆ ทำรักบ่อยๆ ได้หมดทุกท่วงท่าที่เร่าร้อน ต้องถามภรรยาท่านว่าชอบท่วงท่าแบบไหนเป็นพิเศษ แต่ปล่อยเชื้อลูกสาวตื้นๆ ฝ่ายสามีต้องโบยบินให้ถึงสวรรค์ก่อนภรรยา
     หยงเป่า  : แล้วเจ้าชอบท่วงท่าแบบไหนเป็นพิเศษ บอกข้า
          อันฉี  : พี่รอง! (ฉันตีแขนหยงเป่าที่พูดแกล้งฉัน)
      ซิ่นหลิง  : คราวหน้าให้ข้าไปเป็นผู้ช่วยเจ้านะ
     หยงเป่า  : นั่นเป็นหน้าที่ของข้า ข้าเข้าใจขั้นตอนการรักษา
      ซิ่นหลิง  : อันฉี เจ้าสอนข้าสิ ข้าอยากไปช่วยเจ้า ข้าอยู่ในตำหนักทั้งวันน่าเบื่อจะตาย
       เสวี๋ยฉี  : ให้ข้าไปช่วยเจ้าดีกว่ารับรองว่าการแสดงของข้าจะออกมาเหมือนจริงที่สุด (ทำท่าเซ็กซี่)
          อันฉี  : พี่ใหญ่! โดยเฉพาะท่านห้ามไปช่วยรักษาเด็ดขาด ท่านยั่วยวนซะขนาดนี้คนไข้ของข้าคงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นแน่ แต่เอาเถอะ! ข้าจะสอนพวกท่านไว้ไปเป็นผู้ช่วยข้าเวลาจำเป็น

          คืนนี้ฉันสอนพี่ชายทั้งสี่ให้เรียนรู้การเป็นผู้ช่วย โดยเฉพาะเฟยเจิน ต้องเรียนรู้มากหน่อยเพราะเขาอาจต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันในวันที่พี่ชายทั้งสามไปกักตัว เราสอนกันไปเล่นกันไปจนดึกค่อยเข้านอน
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 24
(ต้านศึกกองทัพปีศาจเยือกแข็ง)

          ในเวลาเช้าของอีกวันหนึ่ง เสวี๋ยฉีปลุกฉันตื่นแต่เช้าแต่ฉันยังคงงัวเงียไม่อยากตื่นนอนเพราะเมื่อคืนเราอยู่เล่นกันดึกไปหน่อย เขาจึงอุ้มฉันเข้าเอวแล้วพาไปล้างหน้า เขาจูบและกัดที่คอฉันเบาๆจนรู้สึกจักจี้เพื่อให้ฉันหายงัวเงีย เสวี๋ยแต่งตัวและทำผมให้ฉันเหมือนเดิมทุกครั้ง ฉันหันไปกอดเขาและกระซิบบอกเขาเบาๆ

          อันฉี  : ข้ารักท่านที่สุดเลย
       เสวี๋ยฉี  : ข้าก็รักเจ้าที่สุด วันนี้อย่ากลับมืดล่ะ
          อันฉี  : ไม่กลับมืดหรอก ท่านไม่ต้องรอข้ากลับมากินอาหารกลางวันนะ
       เสวี๋ยฉี  : ไม่มีเจ้านั่งกินข้าวอยู่กับข้า อาหารมันไม่อร่อยเอาเสียเลย ดูสิข้าผอมลงไปตั้งเยอะ
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า เพิ่งเมื่อวานเองนะ ผอมลงปุบปับขนาดนั้นเชียว

          เสวี๋ยฉีเดินหยอกล้อกับฉันออกมาส่งที่หน้าตำหนัก พบราชองครักษ์ฟู่เซียงกำลังยืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก เขามีอาการเขินเล็กน้อยเมื่อเสวี๋ยฉีเดินเข้าไปใกล้

      ฟู่เซียง  : ท่านไป๋ ฝ่าบาทสั่งให้ข้ามารับหมอหญิง
       เสวี๋ยฉี  : ดูแลนางให้ดี หากนางได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะฆ่าเจ้า
      ฟู่เซียง  : ท่านไป๋ อย่าได้เป็นห่วงข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหมอหญิงได้
          อันฉี  : พี่ใหญ่อย่าห่วงเลย ข้าไปล่ะ

         เสวี๋ยฉีหอมแก้มฉันก่อนที่ฉันจะเดินไปกับฟู่เซียง เราเดินห่างตำหนักออกมาเล็กน้อย ฟู่เซียงจึงชวนฉันพูดคุยระหว่างทางเดินไปตำหนักฮ่องเต้

      ฟู่เซียง  : ท่านหมอหญิง ท่านกับพี่ชายดูสนิทสนมกันมาก หากไม่บอกว่าเป็นพี่น้องข้าคงคิดว่าเป็นคู่รักกัน โดยเฉพาะท่านไป๋ที่งดงามดุจสตรี แต่มีความน่าเกรงขามของบุรุษที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ทำให้ข้ารู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แปลกจริงๆ
          อันฉี  : ท่านว่าพี่ใหญ่ของข้างดงามมากมั้ย?
        ฟู่เซียง : งดงามมาก หากมองเป็นหญิงก็งดงามดุจนางสวรรค์ หากมองเป็นชายก็งดงามดุจเทพบุตร
          อันฉี  : แล้วข้างดงามเท่าพี่ใหญ่ได้มั้ย?
       ฟู่เซียง  : ท่านต้องการให้ข้าพูดจริงๆรึ?
          อันฉี  : อื้ม...พูดมาเถอะข้ารับได้
       ฟู่เซียง  : ท่านไป๋งดงามมาก แต่ท่านก็น่ารักเช่นกัน
          อันฉี  : ข้าไม่อยากรู้แล้ว! โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับข้าเอาซะเลย แม้กระทั่งชายยังงดงามกว่าข้า! (ฉันบ่นพึมพำแล้วรีบวิ่งไปตำหนักของฮ่องเต้)
      ฟู่เซียง  : อ้าว! แล้วจู่ๆท่านวิ่งทำไมกันล่ะเนี่ย?!

          ฉันวิ่งมาถึงตำหนักของฮ่องเต้ โดยมีฟู่เซียงวิ่งตามหลังมาติดๆ ฮ่องเต้กำลังเดินมาที่ประตูถูกฉันวิ่งชนจนเซ เขาจับและสวมกอดฉันไว้ แล้วถามว่า...

       ฮ่องเต้  : โอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นรึถึงได้วิ่งไล่ตามกันมาแบบนี้
          อันฉี  : ขออภัยเพคะ! ไม่มีอะไรแค่อยากวิ่งมาให้ถึงที่นี่เร็วๆ ฮ่าฮ่า (ฉันหันไปมองค้อนฟู่เซียงแวบหนึ่ง)
      ฟู่เซียง  : ฝ่าบาท!
       ฮ่องเต้  : วิ่งไล่กันเป็นเด็กๆ นานมากแล้วที่วังของข้าไม่มีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ฮ่าฮ่า ดี ดี เจ้าพร้อมจะไปขี่ม้ากับข้าหรือยัง เจ้าเคยขี้ม้ามั้ย?
          อันฉี  : ไม่เคยเพคะ
       ฮ่องเต้  : ฟู่เซียง เตรียมม้าให้ข้า!
       ฟู่เซียง  : พะย่ะค่ะ

          สักพักฟู่เซียงจูงม้ามาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นม้าสีน้ำตาลที่สายจูงและอานม้าได้รับการตกแต่งเครื่องประดับสวยงาม และอีกตัวหนึ่งเป็นม้าสีขาวรูปร่างสวยงามโดดเด่น สายจูงและอานม้าประดับพู่และตกแต่งเครื่องประดับสีทองวิจิตร ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นม้าทรงของฮ่องเต้

          ม้าสองตัวถูกจูงเข้ามาถึงจุดที่ฉันและฮ่องเต้ยืนอยู่ ฮ่องเต้อุ้มฉันขึ้นขี่ม้าสีขาวจากนั้นเขาก็โดดขึ้นม้าโดยนั่งทางข้างหลังฉันเรานั่งม้าตัวเดียวกัน ฮ่องเต้เบียดตัวแนบชิดด้านหลังของฉัน แล้วเอื้อมมือดึงสายบังคับให้ม้าออกเดิน โดยมีฟู่เซียงขึ้นขี่ม้าสีน้ำตาลเดินตามหลัง ฮ่องเต้พูดคุยกับฉันว่า...

       ฮ่องเต้  : การทรงตัวบนหลังม้าของเจ้าดีมาก ไม่มีอาการเกร็งตัว ไม่เหมือนคนไม่เคยขี่ม้าเลยสักนิด
          อันฉี  : หม่อมฉันเคยขี่เสือดำ เสือดำเคลื่อนไหวแคล่วคล่องว่องไว ฝีเท้าเบาดุจลม กระโดดโลดโผนกว่านี้เยอะ ทำให้การทรงตัวบนหลังม้าของหม่อมฉันจึงไม่ใช่เรื่องยากเพคะ
       ฮ่องเต้  : โอ๊ะ! เป็นเรื่องจริงรึนี่ หมอหลวงหวังกับจิ้นฝานเคยเล่าให้ข้าฟังตอนที่พวกเขาเจอเจ้าในป่าอัคคี บอกว่าเจ้าขี่เสือดำ และพวกเขาได้ขึ้นขี่หลังนกอินทรีย์กับงูเห่ายักษ์ ข้าคิดว่าพวกเขาโกหกเพื่อให้พ้นผิดในครั้งนั้นเสียอีก อืม...น่าสนใจๆ วันนี้เจ้าต้องนั่งม้ากับคนแก่อย่างข้าอาจทำให้เจ้าเบื่อ
          อันฉี  : ไม่น่าเบื่อหรอก ฝ่าบาทเป็นผู้ชายอบอุ่นและใจดีไม่น่าเบื่อเลยเพคะ
       ฮ่องเต้  : เจ้านี่ช่างฉอเลาะเกินเด็ก ข้าจะพาเจ้าไปดูลานฝึกทหาร

          ฮ่องเต้ควบม้าวิ่งเหยาะๆพามาถึงลานกว้างบริเวณภายในวัง ลานฝึกมีขนาดกว้างขวางมากขนาดเกือบเท่าสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม ลักษณะคล้ายฟิตเนสกลางแจ้ง แบ่งโซนการฝึกไปตามมุมต่างๆในสนาม เช่น โซนฝึกขี่ม้า โซนออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ มีทั้งฝึกโดยไม่ใช้อุปกรณ์และใช้อุปกรณ์ โดยอุปกรณ์ส่วนใหญ่ทำจากไม้และฟาง มีโซนฝึกอาวุธ เช่น ดาบ กระบี่ ทวน หอก ง้าว ฮ่องเต้พาฉันตรงไปด้านหนึ่งของลานเป็นที่ฝึกยิงธนู พบท่านอ๋องกำลังฝึกยิงธนูอยู่ที่นั่น โดยมีจิ้นฝานราชองครักษ์คอยอยู่ใกล้ๆ ท่านอ๋องมองเห็นฉันนั่งม้ามากับฮ่องเต้ เขามองหน้าฉันแวบหนึ่ง แล้วหันไปทำความเคารพฮ่องเต้

      ฮ่องเต้  : เหวินหลง ข้าจะออกไปขี่ม้าด้านนอกสักหน่อย เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ เราสองพี่น้องไม่ได้ออกไปขี่ม้าด้วยกันนานแล้ว วันนี้อากาศดีเราน่าจะออกไปขี่ม้าด้วยกัน
   ท่านอ๋อง  : อืม ดีเหมือนกัน จิ้นฝานนำม้ามาให้ข้า
     จิ้นฝาน  : พะย่ะค่ะ
      ฟู่เซียง  : ฝ่าบาทจะออกไปข้างนอก เดี๋ยวกระหม่อมจะเพิ่มทหารคุ้มกัน
       ฮ่องเต้  : เราจะออกไปแค่ตรงชายป่าข้างกำแพงไม่นานก็กลับ เพิ่มทหารติดตามห้าคนก็พอ
      ฟู่เซียง  : แต่ว่า...
       ฮ่องเต้  : เราออกกันไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับแล้ว ข้าอยากชมบรรยากาศยามเช้าที่สวยงามและเงียบ สงบ ถ้าพาทหารติดตามไปเป็นขบวนจะเรียกว่าเงียบสงบได้อย่างไร อีกอย่างอ๋องเหวินหลง ก็อยู่เขาไม่ปล่อยให้ข้าเป็นอันตรายหรอก

          เราควบม้าออกไปที่ชายป่าใกล้ๆกำแพงเมือง พร้อมด้วยทหารม้าองครักษ์อีกห้านายที่ตามเสด็จออกไปด้วย ฮ่องเต้ดูมีความสุขและสนุกสนานอาจเป็นเพราะมีท่านอ๋องออกมาขี่ม้าด้วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่ดูห่างเหินกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง ฮ่องเต้ชี้ชวนฉันดูต้นไม้ ดูนก และบรรยากาศสดชื่นยามเช้าในป่า หลายครั้งที่ท่านอ๋องหันมามองหน้าและสบตากับฉัน แต่ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เราขี่ม้าเดินกันไปเรื่อยๆจนเริ่มสายจึงชวนกันกลับวัง

           ทันไดนั้นม้าที่เราขี่อยู่ต่างมีอาการตื่นตกใจและเริ่มพยศจนเราต้องลงจากม้า เสียงจิ้นฝานดังขึ้นและชี้มือไปข้างหน้ามีสุนัขเยือกแข็งยืนขวางทางอยู่ข้างหน้า 3 ตัว และโผล่มาทางด้านหลังอีก 2 ตัว ฉันจึงอุทานขึ้นมาว่า

          อันฉี  : ตัวเดียวก็ยากแล้ว นี่ 5 ตัวเลยเรอะ!
       ฮ่องเต้  : เจ้าเคยเจอมันรึ! (ฮ่องเต้หยิบดาบออกมาเตรียมต่อสู้)
          อันฉี  : มันเคยไปบุกที่บ้านหม่อมฉัน 2 ครั้ง!
    ท่านอ๋อง  : ทหาร! คุ้มกันฝ่าบาท! (ท่านอ๋องถือดาบขยับมายืนอยู่ข้างหน้าฉันและฝ่าบาท) 
       ฮ่องเต้  : อันฉี มาหลบข้างหลังข้า
          อันฉี  : ฝ่าบาทนั่นแหละต้องมายืนข้างหลังหม่อมฉัน แสงโล่นี่แข็งแรงกันคมเขี้ยวได้แต่ต้านแรงกระแทกไม่ไหวฝ่าบาทต้องช่วยหม่อมฉันยันมันถ้ามันกระโจนเข้ามา (ฉันยกมือขึ้นเปิดแสงโล่ป้องกันแล้วขยับมายืนข้างหน้าฮ่องเต้)
       ฮ่องเต้  : เจ้าทำได้ยังไงเนี่ย?! เจ้าอยู่ตรงนี้นะข้าจะไปช่วยพวกเขา พวกเขาน่าจะรับมือไม่ไหว
          อันฉี  : หม่อมฉันไปด้วย กำลังอยากลองของอยู่พอดี น้ำแข็งกับไฟใครมันจะแน่กว่ากัน!!!
   
          ฉันเก็บแสงโล่แล้วเรียกดาบแซ่ซาบิมารุออกมาที่มือขวา เรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาที่มือซ้าย จากนั้นกำมือซ้ายกดปลายเล็บที่แหลมคมให้จมลงไปในเนื้อมีเลือดพิษลาวาคลั่งไหลออกมาเต็มมือ จนฉันร้องเสียงดังออกมา "โอ๊ย!!! เจ็บโคตร!!!" แล้วคลายมือออกเลือดพิษสีแดงสดติดอยู่ที่เล็บ ฮ่องเต้มองฉันด้วยความตกใจ แต่ฮ่องเต้ยังคงมีสติและจำที่สั่งไว้ได้ว่า ห้ามเข้าใกล้และสัมผัสเลือดพิษของฉัน ฮ่องเต้จึงวิ่งไปช่วยท่านอ๋องต่อสู้กับสุนัขเยือกแข็ง

          เบื้องหน้าฉันมีทหารม้า 5 นายกำลังต่อสู้กับสุนัขเยือกแข็ง 2 ตัว จิ้นฝาน ฟู่เซียง และท่านอ๋อง รับมือกับสุนัขเยือกแข็งคนละตัว ฉันวิ่งตามหลังฮ่องเต้ไปเพื่อเข้าช่วยท่านอ๋องก่อน สุนัขเยือกแข็งมีความแข็งแรง และว่องไว ฉันสะบัดแซ่ดาบซาบิมารุยืดออกไปฟาดฟันสุนัขเยือกแข็งแต่มันสามารถกระโดดหลบได้ทัน แล้วหันมาแยกเขี้ยวโค้งยาว มันไม่รอช้าพุ่งกระโจนเข้าโจมตีฉัน ซึ่งฉันเองก็รอจังหวะนี้อยู่แล้ว สุนัขเยือกแข็งพุ่งกระโจนเข้าใส่ ฉันสะบัดมือซ้ายปล่อยกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ที่มีเลือดพิษลาวาคลั่งติดอยู่ กงเล็บที่แหลมคมดุจมีดพุ่งเข้าปักร่างสุนัขเยือกแข็งทำให้มันตายทันทีร่างสลายหายไปในอากาศ ฉันดีใจที่สามารถฆ่ามันได้ ยกกำปั้นขึ้นมาชูเสมออกและอุทานว่า "Yeah!" ด้วยความลืมตัว ฮ่องเต้และท่านอ๋องมองดูฉันด้วยความตกใจและประหลาดใจที่ฉันสามารถฆ่าสุนัขเยือกแข็งได้ง่ายดาย แต่เราไม่มีเวลาที่จะพูดคุยกันตอนนี้ ฮ่องเต้และท่านอ๋องจึงรีบเข้าไปช่วยจิ้นฝานและฟู่เซียง ฉันกำลังจะหันไปช่วยทหารม้าห้านายที่เริ่มรับมือกับสุนัขเยือกแข็งไม่ไหว ทันไดนั้นก็หันไปเห็นสุนัขเยือกแข็งวิ่งกระโจนออกมาจากป่ายืนอยู่เบื้องหน้าเพิ่มขึ้นอีก 4 ตัว ฉันเห็นท่าไม่ดีเพราะสุนัขเยือกแข็งออกมาโจมตีหลายตัวเกินรับมือกันไหว จึงเอ่ยปากเรียก "พี่จ๋าช่วยด้วย!!!"

          สิ้นเสียงเรียก ทันไดนั้นก็ปรากฏร่าง งูหยกหิมะขาว อสูรสายฟ้าเสือดำ แมงป่องแดงโลหิต และอินทรีย์ทอง วิ่งกระโจนออกมาจากตัวฉันไปโจมตีสุนัขเยือกแข็งทันที จนพวกสุนัขตายจนหมด ฮ่องเต้และท่านอ๋องรวมทั้งทหารที่ติดตามมาด้วยต่างพากันตกตะลึงที่ได้เห็นพี่ชายทั้งสี่ในร่าง งูขาว เสือดำ แมงป่องแดง และอินทรีย์ทองมาช่วยเหลือได้ทันเวลา เมื่อสุนัขเยือกแข็งถูกฆ่าตายจนหมด พี่ชายทั้งสี่จึงคืนร่างมนุษย์และเดินกลับมาหาฉัน โดยเฉพาะเสวี๋ยฉีที่ทำหน้าหงิกเดินตรงมาจับแขนฉันแน่น

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าออกมาทำอะไรที่ตรงนี้! ได้รับบาดเจ็บรึ?! (เขาหันขวับจะเอาเรื่องที่ฟู่เซียง) เจ้าองครักษ์ เจ้ารับปากข้าว่าจะปกป้องนางแล้วใยนางได้รับบาดเจ็บเลือดเต็มมือเช่นนี้!!!
          อันฉี  : พี่ใหญ่! เลือดนี่ข้าทำตัวเอง ข้าทดสอบพิษ ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ นี่ไงเลือดหยุดไหลแล้วแผลกำลังสมาน
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าบอกข้าว่าจะไปที่ตำหนักของฮ่องเต้แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่ตรงนี้ ห๊า!
          อันฉี  : เราออกมาขี่ม้าเล่น เลยเจอกับสุนัขพวกนั้น
       ฮ่องเต้  : ข้าผิดเอง ข้าชวนอันฉีออกมาเอง
       เสวี๋ยฉี  : อ้อ! งั้นข้าควรเอาเรื่องที่เจ้าใช่มั้ย!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ใจเย็นก่อนสิ! ข้าไม่ได้เป็นอะไร
       เสวี๋ยฉี  : ถ้าเจ้าเป็นอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง
          อันฉี  : ท่านต้องปล่อยให้ข้าเผชิญอันตรายด้วยตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นข้าจะดูแลตัวเองไม่เป็น หากข้าไม่ลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง ข้าจะถูกสุนัขน่าเกลียดพวกนั้นรังแกอยู่เรื่อยไป ข้าไม่อยากถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว
     ซิ่นหลิง  : น้องห้าของข้าเจ้าโตขึ้นมากจริงๆ (ซิ่นหลิงลูบศรีษะฉัน)
     หยงเป่า  : น้องห้าพูดถูกเราจะเลี้ยงนางให้เป็นลูกแหง่ตลอดไปไม่ได้
       เสวี๋ยฉี  : อันฉีแม้เจ้าอยากจะสู้ด้วยตัวเอง แต่กับสุนัขพวกนี้มันอันตรายเกินไป
          อันฉี  : พี่ใหญ่อย่าโมโหเลยนะ ข้าขอโทษ
       เสวี๋ยฉี  : หึ! (เสวียฉีออกอาการงอน)
     เฟยเจิน  : น้องห้า มือเจ้าหายเจ็บหรือยัง?
          อันฉี  : อื้ม มือหายเจ็บแล้ว เจินเจินไปช่วยข้าทำแผลให้ทหารม้า 2 คนนั่น พวกเขาได้รับบาดเจ็บ
     เฟยเจิน  : อื้ม!
       ฮ่องเต้  : ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ชายทั้งสี่ของหมอหญิงอันฉีล้วนเป็นยอดฝีมือ น่าทึ่งจริงๆ
    ท่านอ๋อง  : ขอบคุณพวกท่านที่มาช่วยเหลือ หากไม่ได้พวกท่านช่วย พวกเราคงแย่ ไม่คิดว่าจะเจอพวกสุนัขเยือกแข็งอยู่แถวนี้
      เสวี๋ยฉี  : ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากกว่านี้ พวกสุนัขอยู่ใกล้เรามากเกินไป เจ้าสาม! ไปดูบริเวณรอบๆนี้ซิ ยังมีพวกมันอยู่อีกมั้ย?
     ซิ่นหลิง  : เดี๋ยวข้ากลับมา

          ขณะที่กำลังรอซิ่นหลิงกลับมา ฉันทำแผลและใส่ยาว่านแสงตะวันให้ทหารม้า 2 คนนั้นเสร็จ จึงเดินมาหาเสวี๋ยฉี

          อันฉี  : พี่ใหญ่เมื่อกี้ข้าฆ่าสุนัขเยือกแข็งตายหนึ่งตัว ใช้พิษร้อนฆ่าพิษเย็น มันได้ผลด้วยล่ะ  เอาเลือดข้าทาที่อาวุธสุนัขสัมผัสถูกเลือดพิษทีเดียวตาย
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าเก่งมาก แต่ต้องระมัดระวังอย่าดีใจจนประมาทจะพลาดพลั้งเอาได้
         อันฉี  : ข้าจะจดจำที่ท่านสอน
    ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่ บริเวณโดยรอบไม่มีสุนัขเยือกแข็งอยู่เลย พวกมันอาจมากันแค่นี้ (ซิ่นหลิงกลับจากดูบริเวณโดยรอบ)
      เสวี๋ยฉี  : ตราบใดที่เรายังไม่ได้กำจัดเจ้าของสุนัข พวกมันต้องกลับมาอีกแน่
       ฮ่องเต้  : เรากลับเข้าวังกันก่อนเถอะ ค่อยคิดอ่านกันอีกที
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ให้ฮ่องเต้ขึ้นกระบี่กลับวังกับท่านได้มั้ย พอดีม้าของฮ่องเต้หนีเตลิดไปไหนแล้วไม่รู้
      เสวี๋ยฉี  : ก็ได้

          ฮ่องเต้ขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับวังพร้อมกับเสวี๋ยฉี ฉันขึ้นขี่หลังเสือดำหยงเป่า จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับเข้าวัง เราห้าคนพี่น้องกลับตำหนักสระบัวเพื่อกินอาหารเช้า หลังกินอาหารเช้าเสร็จไม่นานนักในขณะที่ฉันกำลังเล่นอยู่กับพวกพี่ชายขณะนั้นฮ่องเต้ ท่านอ๋อง หมอหวัง และองครักษ์ฟู่เซียงกับจิ้นฝานที่กำลังเดินเข้ามาในตำหนักสระบัว ฉันรีบออกไปต้อนรับและทำความเคารพฮ่องเต้กับท่านอ๋อง แล้วเชิญพวกเขาเข้ามานั่งด้านใน

       ฮ่องเต้  : ข้ามาดูว่าพวกท่านพักอยู่ที่นี่ได้รับความสะดวกสบายดีหรือไม่
          อันฉี  : สะดวกสบายมาก ขอบพระทัยเพคะ
       เสวี๋ยฉี  : ข้ารู้เจ้าไม่ได้ต้องการแค่มาดู บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงมาเลยดีกว่า
       ฮ่องเต้  : งั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อม ข้าอยากเชิญพวกท่านเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพประจำที่วังหลวง ส่วนหมอหญิงอันฉีข้าจะแต่งตั้งให้เป็นหมอประจำตัวของข้า แต่หากท่านกลัวว่านางจะไม่สมเกียรติข้าก็จะแต่งตั้งนางเป็นพระสนมเอกของข้า
       เสวี๋ยฉี  : นางจะไม่มีวันเป็นสนมของเจ้า! และพวกข้าก็ไม่ใช่ทหารของเจ้า อันฉีเสร็จธุระกับเจ้าเมื่อไหร่ พวกเราก็จะกลับป่าอัคคีทันที
    หมอหวัง  : ท่านไป๋ ได้โปรดใจเย็นๆก่อน เอ่อ! แม่นางน้อยช่วยบอกพี่ชายเจ้าให้ใจเย็นฟังพวกเราก่อน
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นสนมหรอก ข้าอยากเป็นแค่หมอก็พอ ท่านฟังพวกเขาพูดก่อนเถอะ
     หยงเป่า  : แต่งตั้งน้องห้าเป็นหมอข้าพอจะยอมรับได้ แต่ให้เป็นสนมข้าไม่ยินยอมเด็ดขาด
       ฮ่องเต้  : ตกลงๆข้าจะแต่งตั้งนางเป็นหมอเท่านั้น
    ท่านอ๋อง  : หากพวกท่านไม่รับตำแหน่งแม่ทัพ ทางเราอยากขอร้องพวกท่านมาช่วยเป็นกำลังร่วมรบกับปีศาจเยือกแข็ง ลำพังกำลังข้ากับฟู่เซียงไม่อาจต้านทานไหว พวกท่านล้วนเป็นยอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับเหล่าปีศาจเยือกแข็งได้ หากพวกท่านไม่ช่วยเหลือ เห็นทีแคว้นหลวนเซียนอาจถูกปีศาจเยือกแข็งทำลายย่อยยับในไม่ช้าเป็นแน่
       เสวี๋ยฉี  : การปกป้องบ้านเมืองมันเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าสักนิด ใยข้าต้องยื่นมือเข้าช่วย
   ท่านอ๋อง  : นี่ท่าน! (ฮ่องเต้และหมอหวังเข้าห้ามท่านอ๋องไม่ให้โมโห)
   หมอหวัง  : นี่! ท่านไป๋ได้โปรดดูตำราเล่มนี้ก่อน นี่คือตำราที่บันทึกคำทำนายของโหรหลวงสมัยบรรพกาล คำทำนายเกี่ยวกับนกอัคคีสวรรค์และสี่สัตว์เทพ กล่าวไว้ว่า "คราใดที่ปีศาจร้ายตื่นกลืนกินบ้านเมือง ครานั้นสตรีขี่เสือดำปรากฏ เหล่าสี่สัตว์เทพและนกอัคคีสวรรค์คืนเมือง จักกอบกู้บ้านเมืองพ้นเภทภัย" พวกท่านคือเทพเซียน งูขาว เสือดำ แมงป่องแดง และอินทรีย์ทอง ตามคำทำนาย ส่วนแม่นางน้อยคือนกอัคคีสวรรค์ มีเพียงนกอัคคีสวรรค์เท่านั้นที่สามารถกินผลอัคคีได้ นั่นคือแม่นางน้อยอันฉี
     เสวี๋ยฉี  : ฮึ! พวกข้าเป็นเทพเซียนแล้วไง ถ้าไม่เป็นเทพเซียนแล้วไง ธุระของข้ามีเพียงสิ่งเดียวคืออันฉีเท่านั้น
        อันฉี  : ท่านลุงหมอข้าไม่ใช่นกอัคคีสวรรค์หรอกนะ ข้าไม่มีปีก อีกอย่างข้าไม่ชอบกินหนอนข้ากลัวหนอนด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องที่ข้ากินผลอัคคีได้มันเป็นเรื่องบังเอิญ และที่ข้าขี่เสือดำได้เพราะพี่รองอนุญาตให้ข้าขี่ แต่ถ้าพี่รองไม่อนุญาตข้าคงไปขี่นก แต่เอาเถอะแม้ข้าจะไม่ใช่นกอัคคีสวรรค์ หากมีอะไรให้ช่วยได้ข้าก็จะช่วย แต่จะว่าไปเราก็มีศัตรูคนเดียวกัน มันจ้องทำร้ายข้า
 หยงเป่า, เสวี๋ยฉี  : จิตสังหาร!!
เฟยเจิน, ซิ่นหลิง  : จิตสังหาร!!

          สิ้นเสียงอุทาน พี่ชายทั้งสามรีบวิ่งออกไปจากตำหนัก พร้อมกำชับให้เฟยเจินอยู่ปกป้องฉันที่นี่อย่าตามออกไป

          อันฉี  : สุนัขเยือกแข็งเหรอ?!
     เฟยเจิน  : ใช่! แต่มีอีกหนึ่งจิตสังหารที่รุนแรงกว่า!
          อันฉี  : หรือจะเป็นปีศาจเยือกแข็ง?!

          ทันไดนั้น ก็มีเสียงดังเอะอะด้านนอกมีทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานฮ่องเต้ว่ามีสุนัขเยือกแข็งเข้ามาโจมตี ท่านอ๋องและจิ้นฝานรีบวิ่งตามพี่ชายออกไป แล้วบอกฟู่เซียงอยู่คุ้มครองฮ่องเต้ที่นี่ เฟยเจินเรียกพัดมีดบินสุริยะออกมา ฉันจึงเรียกแซ่อสรพิษออกมาถือไว้ในมือขวาด้วย

    เฟยเจิน  : เจ้าจะทำอะไร พี่ใหญ่สั่งให้เจ้าอยู่ที่นี่
          อันฉี : ข้าแค่เตรียมพร้อม เผื่อพวกมันบุกเข้ามา แต่ข้าอยากออกไปช่วยพวกเขามากกว่า
      ฮ่องเต้  : นั่นสิ! ข้าเองก็ไม่อยากเอาแต่หลบอยู่ที่นี่ (ในมือฮ่องเต้กำลังถือกระบี่)
      ฟู่เซียง  : ฟังจากเสียงเอะอะข้างนอกแล้วพวกมันน่าจะมากันหลายตัว
          อันฉี  : ท่านลุงหมอหวังคอยหลบให้ดีๆนะ
    หมอหวัง  : อื้ม...อย่าห่วง

          ทันไดนั้นบนหลังคาตำหนักได้ยินเสียงตุ้บคล้ายบางสิ่งกระโดดลงบนหลังคาจนกระเบื้องบนหลังคาบางชิ้นหล่นลงมาที่พื้น ฉันเรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาที่เล็บมือซ้ายแล้วกำมือให้เล็บจิกบาดมือจนเลือดพิษไหลติดเล็บออกมา ใช้มือที่เปื้อนเลือดรูดกับแซ่อสรพิษให้ติดเลือดพิษ

     เฟยเจิน  : เจ้าใช้วิธีนี้ฆ่าสุนัขเยือกแข็งรึ?! งั้นข้าลองบ้างสิ ข้าจะลองใช้เลือดพิษของข้า
          อันฉี  : เอาเลือดข้ามั้ยล่ะ เลือดพิษข้าเข้มข้น
     เฟยเจิน  : ไม่ล่ะ (เฟยเจินวางมือบนมีดที่ติดอยู่ปลายพัดให้เลือดพิษไหลติดที่ปลายมีด)
          อันฉี  : ฝ่าบาทสนใจมั้ยเพคะ
       ฮ่องเต้  : จะดีเหรอ?!
          อันฉี  : ไม่มีเวลามานั่งเกรงใจ มันบุกเข้ามาแล้ว ยื่นกระบี่มาเร็ว!

          ฮ่องเต้และฟู่เซียงยื่นกระบี่ให้ฉันชโลมเลือดพิษลงบนกระบี่ เราทั้งห้าคนหันหลังชนกันเป็นวงกลมและช่วยกันมองดูว่าสุนัขเยือกแข็งจะบุกเข้ามาทางไหน เสียงบางอย่างกระโดดลงบนหลังคาอีกครั้งจากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง ไม่นานนักสุนัขเยือกแข็ง 2 ตัวก็กระโดดลงจากหลังคาลงมาที่พื้นแล้วพุ่งกระโจนเข้ามาทางประตูหน้า เฟยเจินใช้พัดโบกใส่จนเกิดลมพายุพัดสุนัข 2 ตัวกระเด็นไปกระแทกกับผนังด้านประตูหน้าจนพังทั้งแถบ ฉันรีบสะบัดกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ใส่สุนัข 1 ตัวทางซ้ายในขณะที่มันยังไม่ทันตั้งหลัก ส่วนเฟยเจินร่อนพัดมีดบินเข้าไปเชือดเฉือนสุนัขตัวที่กระเด็นไปทางขวามือสุนัขตายทันทีในการโจมตีครั้งเดียว

     เฟยเจิน  : ฮ่าฮ่าฮ่า วิธีของเจ้าได้ผลมันตายได้ในดาบเดียว
          อันฉี  : ทฤษฎีน้ำแข็งแพ้ไฟ
       ฮ่องเต้  : เจ้าเก่งกว่าที่ข้าคิด เหมือนเจ้าเคยผ่านการต่อสู้มาก่อน
          อันฉี  : หม่อมฉันเคยเล่นเกมส์ยิงปืนกับเพื่อนที่บ้านเก่า ในเกมส์เพื่อนเป็นตัวบุก หม่อมฉันเป็นตัวยิงระวังหลัง เพื่อนบ่นหม่อมฉันตลอดเวลาว่าหม่อมฉันเล่นห่วย แต่เราก็เล่นเกมส์ด้วยกันทุกครั้งจนกลายเป็นคู่หูเพคะ หม่อมฉันเลยเอาวิธีนั้นมาใช้ ให้เจินเจินเป็นตัวบุก หม่อมฉันเป็นตัวตามซ้ำ
       อ่องเต้  : น่าสนุกนะข้าก็อยากลองเล่นดูบ้างสักครั้ง
          อันฉี  : ได้เพคะ มีสี่คนครบทีมพอดี อ้อนับรวมหมอหวังด้วยก็ได้เป็นห้าคน หมอหวังไม่มีอาวุธงั้นคอยเป็นตาชี้พิกัดศัตรู หม่อมฉันจะโจมตีระยะไกล ส่วนฝ่าบาทโจมตีระยะประชิด
      ฮ่องเต้  : ตกลง

           พวกเขางุนงงกับคำศัพท์แปลกๆที่ฉันพูด แต่พวกเขาก็พยักหน้ารับทราบทำเหมือนว่าเข้าใจ สักพักสุนัขเยือกแข็งเริ่มบุกโจมตีเราหลายตัว ฉันใช้แซ่อสรพิษฟาดฟันใส่สุนัขในระยะไกล บางตัวที่ฉันและเฟยเจินโจมตีไม่ทัน ฮ่องเต้และฟู่เซียงจะใช้กระบี่ฟันมันตายในดาบเดียว ฮ่องเต้ชวนเราออกไปตั้งรับด้านนอกตำหนัก แต่ฉันเสนอฮ่องเต้ว่าเราน่าจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายบุกบ้างค่อยๆเดินบุกตีมันไปทีละก้าวทีละจุด

          อันฉี  : โชว์พลังทีมกันหน่อยดีมั้ยเพคะฝ่าบาท
       ฮ่องเต้  : ดี ข้าก็เริ่มสนุกกับเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว
     เฟยเจิน  : แต่พี่ใหญ่บอกให้รออยู่ที่นี่
          อันฉี  : พวกมันรู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่ จะอยู่เป็นเป้านิ่งให้พวกมันมาเล่นงานทำไม
       ฟู่เซียง  : ข้าเห็นด้วยเราไม่ควรอยู่เป็นเป้านิ่งให้มันมาโจมตีเราฝ่ายเดียว
           อันฉี  : พวกมันรังแกข้ามาหลายครั้งแล้ว วันนี้ข้าจะเอาคืน ข้าต้องการเป็นผู้ล่า และไม่ต้องการเป็นฝ่ายถูกล่าอีกแล้ว! ออกไปล่ามัน!!!
      เฟยเจิน  : ตกลงไปก็ไป!

          เราห้าคนจึงเดินออกจากตำหนัก และได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากลานกว้างหน้าพระราชวัง เราจึงค่อยๆเดินเพื่อไปสมทบกับพี่ชายทั้งสามและเข่นฆ่าสุนัขเยือกแข็งมาตลอดทาง ระหว่างทางได้พบกับซิ่นหลิงที่กำลังวิ่งมาทางที่เราอยู่พอดี ซิ่นหลิงบอกว่าเห็นพวกสุนัขวิ่งมาทางนี้หลายตัวเขาจึงวิ่งตามมาเพราะรู้ว่าพวกสุนัขต้องรู้ที่ซ่อนของฉันกับฮ่องเต้ ทันไดนั้นเบื้องหน้าบนอากาศความสูงระดับกำแพงก็ปรากฏชายรูปร่างผอมสูงร่างกายขาวซีดไร้สีเลือดฝาด กำลังยืนมองจ้องฉันด้วยสายตาโกรธแค้น จนฮ่องเต้อุทานขึ้นมา

       ฮ่องเต้  : ปีศาจเยือกแข็ง!!!
ปีศาจเยือกแข็ง  : เจอตัวจนได้เจ้านกชั่ว!
          อันฉี  : เจินเจิน ไอ้ปีศาจนั่นมันด่าเจ้า โจทย์เจ้าเยอะจัง!
     เฟยเจิน  : ข้าไม่เคยรู้จักกับมัน!
ปีศาจเยือกแข็ง  : เป็นเพราะเจ้าข้าจึงมีสภาพเช่นนี้ (ปีศาจเยือกแข็งชี้หน้าฉัน)
          อันฉี  : อ้าวเฮ่ย! เจ้าจำคนผิดแล้ว ข้าไม่เคยรู้จักกับเจ้า อย่ามาชี้หน้าด่ากันมั่วๆนะ!!
       ฮ่องเต้  : เจ้าเป็นใครกันแน่?!
ปีศาจเยือกแข็ง  : ข้า เลี่ยงหลี่ผิง เป็นบุตรชายของเลี่ยงหมิงเจ๋อ ฮ่องเต้ที่ถูกเจ้านกชั่วสาปให้เจ็บป่วยรักษาไม่หาย อยากตายก็ตายไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทรมานนานนับพันปี
      ฮ่องเต้  : เดี๋ยวก่อน! ตามบันทึกอดีตฮ่องเต้เลี่ยงหมิงเจ๋อเป็นผู้ถูกสาปมิใช่รึ แล้วใยเจ้าผู้เป็นบุตรชายถึงกลายเป็นปีศาจไปได้ล่ะ?

          ในขณะนั้นเสวี๋ยฉี หยงเป่า ท่านอ๋อง จิ้นฝานและทหารต่างวิ่งกลับมาสบทบ อีกทั้งเหล่าสุนัขเยือกแข็งต่างมารวมตัวกันทางฝั่งของปีศาจเยือกแข็งเช่นเดียวกัน

ปีศาจเยือกแข็ง  : ข้าก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไมเนรเทศข้าทั้งที่ข้ายังเป็นเด็กและคนในตระกูลเลี่ยงไปที่ดินแดนรกร้างที่เส้นขอบฟ้าด้วย พวกข้าไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับไม่ได้รับการละเว้น พ่อจอมชั่วช้าขายวิญญาณข้าให้กับปีศาจเพื่อแลกกับอิสระภาพเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน เขาตายจากไปแล้วทิ้งคำสาบและความทุกข์ทรมานไว้กับข้า จนข้าต้องกลายเป็น เช่นนี้! วันนี้ข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้าทุกคน
          อันฉี  : เจ้าต้องไปคิดบัญชีกับพ่อของเจ้าโน่น! ไม่ใช่ข้า และข้าก็ไม่ใช่นก
ปีศาจเยือกแข็ง  : พ่อข้าตายไปแล้ว เหลือแต่เจ้า และเจ้า ที่จะต้องตาย (ปีศาจชี้มือมาที่ฉันและฮ่องเต้)
       เสวี๋ยฉี  : อย่าหวังว่าจะทำสำเร็จ! เจ้าปีศาจอัปลักษณ์
ปีศาจเยือกแข็ง  : เจ้านกชั่วต่อให้เจ้ามีสัตว์เทพคอยปกป้องก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ ข้ารอเจ้ามานานนับพันปีแค้นนี้ต้องชำระ และเจ้าฮ่องเต้จงชดใช้หนี้แค้นแทนบรรพชนของเจ้าซะ สุนัขเยือกแข็งฆ่ามัน!

          เหล่าสุนัขเยือกแข็งกระโจนเข้าโจมตีพวกเรา การต่อสู้ระหว่างมนุษย์และปีศาจเริ่มขึ้นอีกครั้ง แม้เสวี๋ยฉีมีพลังเวทย์ต่ำกว่าปีศาจเยือกแข็งแต่เขาคือคู่ต่อสู้ที่มีพลังสูสีที่สุดในตอนนี้ เสวี๋ยฉีพุ่งเข้าโจมตีปีศาจเยือกแข็ง ใช้กระบี่บินหยกขาวเข้าฟาดฟันปีศาจอย่างไม่ลดละ ทั้งคู่ใช้กระบี่ฟาดฟันกันทั้งรุกและรับสลับกันไปไม่มีใครยอมใคร คนอื่นๆก็ร่วมต่อสู้กันอย่างกล้าหาญ ส่วนฉันก็งัดทุกกระบวนท่าที่พี่ชายเคยสอนมาต่อสู้กับสุนัขเยือกแข็งจำนวนมากเหมือนสงครามย่อมๆจนเหนื่อย จนฉันโพล่งออกมา "เยอะขนาดนี้ไม่ไหว อย่างนี้ต้องสังหารหมู่!!!" ฉันเรียกพัดคู่เจินเจินออกมาแล้วชโลมเลือดพิษที่มีดติดปลายพัด และเหวี่ยงมือสองข้างออกทางด้านข้างลำตัวออกแรงร่อนพัด 2 อันหมุนออกไปคล้ายจักรเชือดเฉือนสุนัขได้ประมาณ 10 ตัวต่อการร่อนหมุนออกไป 1 ครั้ง สลับกับสะบัดกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ใส่สุนัขตายจนหมด ฉันไม่เคยต่อสู้อะไรหนักแบบนี้มาก่อนทำให้แขนฉันล้าไปหมด

          ฉันมองขึ้นไปบนฟ้ายังคงเห็นเสวี๋ยฉีต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็งอย่างไม่ลดละ ด้วยพลังที่ต่ำกว่าเสวี๋ยฉีถูกฝ่ามือปีศาจซัดเข้าที่หน้าอกกำลังร่วงลงมา ปีศาจกำลังจะเข้าแทงซ้ำด้วยกระบี่เกล็ดเยือกแข็ง ฉันรีบเกาะหลังเฟยเจินให้พาบินเข้าไปรับร่างเสวี๋ยฉีที่กำลังร่วงลงมา เพียงพริบตาเฟยเจินสามารถรับร่างเสวี๋ยฉีได้ทัน ฉันรีบเปิดแสงโล่ป้องกันกระบี่เกล็ดเยือกแข็งที่พุ่งแทงเข้ามาได้ทันท่วงที แต่ด้วยความแข็งแกร่งของปีศาจ อีกทั้งฉันและเฟยเจินอ่อนล้าจากการต่อสู้กับสุนัขเยือกแข็งจำนวนมากก่อนหน้านี้ ทำให้เรามีแรงต้านพลังปีศาจไม่เพียงพอ เราทั้งสามกำลังถูกดันให้ร่วงลงสู่พื้นดิน

          ขณะนั้นหยงเป่าและซิ่นหลิงรีบพุ่งเข้ามาประคองฉันและช่วยกันดันแสงโล่ต้านพลังกระบี่ของปีศาจ ส่วนท่านอ๋องและองครักษ์ฟู่เซียงที่มีวิชาพลังเวทย์ในตัวต่างพุ่งเข้ามาโจมตีปีศาจเยือกแข็ง ต่างถูกฝ่ามือปีศาจซัดกันกระเด็นออกมา ไม่สามารถทำอะไรมันได้ ฉันบอกเสวี๋ยฉีให้ยื่นกระบี่ออกมา จากนั้นฉันเอามือข้างหนึ่งจับที่คมกระบี่ตั้งแต่โคนกระบี่จนเลือดพิษออกมือแล้วรูดไปจรดปลายกระบี่ ฉันมองสบตากับเสวี๋ยฉี เขาพยักหน้าเหมือนเข้าใจว่าฉันต้องการให้เขาทำอะไร แล้วบอกจะนับ 1-3 เราสี่คนจะแยกตัวออกไป จากนั้นฉันเริ่มนับ 1 2 3! สิ้นเสียงนับ ฉัน เฟยเจิน หยงเป่า และซิ่นหลิง รีบพุ่งกระโจนถอยออกจากการดันต้านพลังกับปีศาจเยือกแข็งด้วยความรวดเร็ว ทำให้ปีศาจเกิดการเสียหลัก เสวี๋ยฉีที่รอจังหวะนี้เบี่ยงตัวเล็กน้อยหลบกระบี่เกล็ดเยือกแข็งได้เฉียดฉิวแล้วพลิกตัวกลับแทงปีศาจด้วยกระบี่บินหยกขาวอาบเลือดพิษลาวาคลั่งของฉัน แทงเข้าที่ด้านหลังปีศาจ ส่วนฉันที่พุ่งกระโจนออกมาถูกท่านอ๋องกระโดดรับไว้จึงลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย

          ปีศาจเยือกแข็งถูกแทงและได้รับพิษลาวาคลั่งจนบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถต่อสู้ไหวได้อีก มันจึงรีบบินหนีหายไปในอากาศ เฟยเจินรีบบินไปประคองรับเสวี๋ยฉี ที่ได้รับบาดเจ็บจากถูกปีศาจซัดด้วยฝ่ามือ ฉันรีบวิ่งไปดูเขาที่บอบช้ำภายในเพราะถูกซัดอย่างแรง ฉันนั่งลงประสานฝ่ามือรักษาอาการบอบช้ำให้เขาทุเลาความเจ็บปวดลง แต่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงพอจะรักษาเขาให้หายได้ในทันที ฉันต้องพักผ่อนสักพักเพื่อเพิ่มพลังกายอีกครั้ง

          ฉันนั่งด้วยความอ่อนแรง ฮ่องเต้รีบเข้ามาประคอง และสั่งทหารให้พาพี่ชายทั้งสี่ไปพักที่ห้องว่างในตำหนักดอกโบตั๋นก่อน เพราะตำหนักดอกบัวถูกโจมตีจนประตูและผนังด้านหน้าพังเสียหาย หมอหวังรีบเข้ามาถามฉันเพื่อช่วยฉันปรุงยา ฉันบอกให้หมอหวังต้มยาบำรุงกำลัง และต้มน้ำขิงสำหรับดื่มเพื่อความอบอุ่นและลดพิษไอเย็น ฉันล้วงหยิบยาว่านแสงตะวันในกระเป๋าเวทย์ให้หมอหวังไปรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อใส่แผลถูกสุนัขเยือกแข็งกัด ฉันมองไปที่ท่านอ๋องและสบตา ฉันบอกท่านอ๋องว่าเมื่อฉันพักผ่อนค่อยยังชั่วแล้วจะไปรักษาอาการบอบช้ำให้ ท่านอ๋องพยักหน้าตอบรับ

          จากนั้นฮ่องเตัค่อยๆประคองฉันไปพักที่ตำหนักดอกโบตั๋นด้วยกันกับพี่ชาย ฮ่องเต้พูดว่า...

       ฮ่องเต้  : ดีแล้วที่เจ้ามาพักอยู่ตำหนักเดียวกันกับข้า ข้าจะได้ดูแลเจ้าใกล้ๆได้
          อันฉี  : ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?
       ฮ่องเต้  : ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่ปวดเมื่อยเนื้อตัว นานแล้วที่ไม่ได้ออกแรงมากขนาดนี้ เจ้าล่ะเป็นยังไงบ้าง แผลที่มือเจ้าสมานดีหรือยัง
          อันฉี  : แผลสมานดีแล้ว แต่ตอนนี้หิวข้าวมาก
       ฮ่องเต้  : เจ้าอยากกินอะไร
          อันฉี  : เหนื่อยจนไม่มีแรงจะเคี้ยวข้าว ขอเป็นข้าวต้มดีกว่าเพคะ
      ฮ่องเต้  : ข้าจะป้อนข้าวต้มให้เจ้าเอง

เพลงจีน 520 Baby Wo Ai Ni : Tianwu
520 ผมรักคุณ : เทียนอู่
YouTube by : 9420 Music Bar


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 25
(คืนภารกิจพิชิตลูกชาย)

          เราห้าคนพี่น้องเข้าพักในตำหนักดอกโบตั๋นที่เป็นตำหนักหลักของฮ่องเต้ เพราะตำหนักดอกบัวต้องปิดชั่วคราวเพื่อทำการซ่อมแซม วันนี้ในวังล้วนดูวุ่นวาย ทุกคนและเหล่าทหารที่ร่วมต่อสู้กับปีศาจต่างพากันเหนื่อยล้า ฮ่องเต้สั่งพระราชทานอาหารและเครื่องดื่มให้เหล่าทหารในวังเพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจในการร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้กับปีศาจ เหล่าทหารในวังทั้งหลายต่างพากันโห่ร้องไชโยสรรเสริญองค์ฮ่องเต้อย่างกึกก้อง

          หลังกินอาหารกลางวัน ซิ่นหลิงชวนเฟยเจินและหยงเป่าออกไปเดินเล่นสูดอากาศในสวนดอกโบตั๋น พวกเขาพูดคุยกันออกรสชาติเกี่ยวกับการต่อสู้กับปีศาจที่เพิ่งจบไป เฟยเจินจึงชักชวนซิ่นหลิงฝึกพลังเวทย์อีกครั้งเพราะยังสนุกมือกับการต่อสู้กับปีศาจก่อนหน้านี้ ส่วนหยงเป่ากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้กำลังดูทั้งสองฝึกวิชายุทธ์จนงีบหลับไปเพราะความสวยงามร่มรื่นของดอกไม้และต้นไม้ในสวน ส่วนเสวี๋ยฉีนั้นนอนพักอยู่ในห้องพักที่ฮ่องเต้จัดเตรียมไว้ให้มีฉันคอยดูแลอยู่ ฉันนำข้าวต้มไปป้อนเสวี๋ยฉีที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเตียง และถามเรื่องราวเกี่ยวกับเขาที่ไม่เคยเล่าให้ฉันฟัง

          อันฉี  : พี่ใหญ่ ฮ่องเต้บอกว่าท่านเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์นกอัคคีสวรรค์จริงๆเหรอ ทำไมท่านไม่เคยบอกข้าเลย?
      เสวี๋ยฉี  : ก็เจ้าไม่เคยถาม
         อันฉี  : ข้าไม่ได้ถาม แต่ท่านก็เล่าให้ข้าฟังเองก็ได้
      เสวี๋ยฉี  : ข้าจะเป็นสัตว์เทพหรือไม่ มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับข้า มีเพียงเจ้าที่สำคัญสำหรับข้า แค่ให้เราอยู่ด้วยกันนั่นก็เพียงพอแล้ว
         อันฉี  : ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจมาตลอด ครั้งแรกที่เราเจอกัน ท่านพยายามจะฆ่าข้าเพราะคิดว่าข้าเป็นนก พอข้าถามเหตุผลท่านกลับบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ หากข้าเป็นนกอัคคีสวรรค์ตามที่พวกเขาคิดกันจริงๆ ท่านต้องปกป้องข้าสิ แต่ทำไมตอนนั้นท่านจะฆ่าข้าล่ะ?
      เสวี๋ยฉี  : เอาล่ะ! ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังก็ได้ ตอนนั้นที่ข้าจะพยายามฆ่าเจ้าเพราะข้าไม่ต้องการเป็นผู้ติดตามเจ้า
         อันฉี  : ไม่เข้าใจ...
      เสวี๋ยฉี  : เดิมทีข้าอยู่บนสวรรค์ รู้สึกเบื่อหน่ายจึงดื่มเหล้าเมามายในงานเลี้ยง และถูกสวรรค์ลงโทษส่งข้ามาเป็นผู้พิทักษ์นกอัคคีสวรรค์หน้าที่ของข้าคือปกป้องเจ้า ข้าอาศัยอยู่ในป่าอัคคีกับเหล่าปีศาจเพื่อรอนกอัคคีสวรรค์กลับมา รอคอยอยู่นานนับพันปี จนข้าเริ่มลืมเลือนตัวตนของข้าที่เคยเป็นเทพ ความทรงจำบนสวรรค์ของข้าเริ่มลางเลือน บางครั้งข้าคิดว่าการเป็นปีศาจสนุกกว่าการเป็นเทพเป็นไหนๆ วันหนึ่งข้าสัมผัสได้ถึงการมาของนกอัคคีสวรรค์ ข้าจึงเดินทางไปที่ต้นไม้อัคคีเพื่อฆ่านกอัคคีสวรรค์ เพราะข้าไม่ต้องการมีเจ้านาย แต่ข้าก็ได้พบเจอกับเจ้าสาวน้อยที่น่ารักของข้า ข้ารักเจ้ามากและจะปกป้องเจ้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย
          อันฉี  : เห๊! นี่ท่านเป็นเทพจริงๆหรือนี่ ข้าคิดมาตลอดว่าท่านเป็นจอมปีศาจ แต่ตอนนี้...ถึงท่านจะเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์ แต่ข้าก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านาย และไม่เคยคิดว่าข้าเป็นนกอัคคีสวรรค์ ข้าไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนกเลยสักนิด มีแค่บางครั้งที่ฝันถึงนกอัคคีสวรรค์เอาแต่พูดว่า "ช่วยเหลือมนุษย์"
      เสวี๋ยฉี  : เพราะเจ้ามีดวงจิตนกอัคคีสวรรค์ส่วนหนึ่ง อีกสองส่วนคือดวงจิตมนุษย์ เจ้าจงใช้ชีวิตตามความรู้สึกของเจ้าเถิด หากเจ้ารู้สึกเป็นมนุษย์เจ้าก็คือมนุษย์
          อันฉี  : ข้ามีดวงจิตนกอัคคีสวรรค์ส่วนหนึ่งเหรอ...มิน่าล่ะ! เจ้าปีศาจนั่นถึงชี้หน้าด่าข้าว่านกชั่ว! แต่ข้าก็เข้าใจความรู้สึกของปีศาจนั่น ต้องรับความผิดแทนผู้อื่นทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ก่อ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง...นี่ท่านดมมือข้าหน่อย ตอนนี้ข้ามีกลิ่นมนุษย์หรือกลิ่นนก? (ฉันยื่นหลังมือให้เสวี๋ยฉีดม)
      เสวี๋ยฉี  : นี่คือกลิ่นมนุษย์ หอมน่ากิน ให้ข้ากินเจ้าซะดีๆ (เสวี๋ยฉีดมและจูบที่หลังมือ และถามฉันว่า...) เจ้าเสียใจหรือไม่ที่ข้าไม่ใช่จอมปีศาจ
          อันฉี  : ไม่เสียใจ ข้ายังคงรักท่านเหมือนเดิม...ที่เพิ่มเติมคือความห่วงใย
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าเริ่มจะพูดจาน้ำเน่า...
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          ฉันค่อยๆจูบลงบนริมฝีปากเสวี๋ยฉี เขายังคงบอบช้ำภายในจึงไม่อาจกอดจูบรุนแรงได้ ฉันประคองตัวเสวี๋ยฉีให้ค่อยๆนอนลง จากนั้นฉันจึงนอนลงข้างๆและโอบกอดเขาเบาๆ เรานอนหลับไปพร้อมกันด้วยความอ่อนเพลีย

          ฉันนอนหลับไปได้สักพักใหญ่ๆและตื่นขึ้นมาเวลาเย็น มองไปที่เสวี๋ยฉียังคงหลับอยู่เขาคงใช้พลังไปเยอะในการต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็งที่มีพลังสูงมากกว่า ฉันเอามือลูบไปที่ศรีษะเขาอย่างเอ็นดูและมองเขาด้วยความโล่งใจที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากนัก เพียงครู่เสวี๋ยฉีก็รู้สึกตัวตื่นนอน ฉันจึงถามว่าเขาว่าพร้อมรับการรักษาอาการบอบช้ำภายในหรือยัง เขาตอบ "พร้อม" ฉันจึงเริ่มปลดเชือกที่เสื้อเขาออกแล้ววางมือประสานที่ท้องส่งพลังไปรักษาอาการบอบช้ำ สักพักอาการบอบช้ำก็หายเป็นปกติ

          ฉันจึงก้มจูบเสวี๋ยฉีที่หน้าท้องแล้วค่อยๆจูบไล่ขึ้นมาที่หน้าอกเลียและดูดที่หัวนมของเขาจนหัวนมเขาแข็งชัน ฉันขึ้นนั่งคร่อมและโน้มตัวลงไปจูบที่ริมฝีปาก กอดเขาแน่นเพราะโล่งใจที่หายเป็นปกติ

          อันฉี  : ดีใจจังที่ท่านหายดีแล้ว ต่อไปท่านก็มีแรงบ่นข้าได้เหมือนเดิม
       เสวี๋ยฉี  : ข้าบ่นเจ้าเหนื่อยกว่าให้ข้าต่อสู้กับปีศาจเสียอีก
          อันฉี  : ข้าต้องไปรักษาอาการบอบช้ำท่านอ๋องที่ตำหนักของท่านอ๋อง ท่านต้องดื่มยาบำรุง และดื่มน้ำขิงเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ข้าจะบอกเจินเจินให้เตรียมไว้ให้
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าไม่พักต่ออีกหน่อยรึ?
          อันฉี  : ข้าหายแล้ว ร่างกายข้าฟื้นฟูรวดเร็ว

          ฉันจูบเสวี๋ยฉีอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดินออกมาจากห้อง เดินมาที่ห้องนั่งเล่นพบฮ่องเต้ และพี่ชายทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ พวกเขารีบกรูกันเข้ามาหาฉันและถามไถ่ถึงอาการฉันกับเสวี๋ยฉี ฉันตอบเราทั้งสองหายเป็นปกติและบอกเฟยเจินเตรียมยาบำรุงและน้ำขิง พี่ชายทั้งสามจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อดูเสวี๋ยฉี ฉันจึงหันไปบอกฮ่องเต้ว่าจะไปตำหนักท่านอ๋องเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ฮ่องเต้จึงพาฉันไปตำหนักท่านอ๋องด้วยตัวเองเพราะต้องการไปเยี่ยมดูอาการท่านอ๋องด้วยเช่นกัน

          ที่ตำหนักท่านอ๋องวันนี้มีผู้คนเดินกันขวักไขว่มากกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะท่านอ๋องล้มป่วยอีกครั้ง และพระชายาเสด็จมาดูแลท่านอ๋องที่ตำหนัก ฮ่องเต้พาฉันเข้าไปในห้องเห็นท่านอ๋องกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเตียง และพระชายานั่งอยุ่ข้างๆกำลังจะป้อนยา พระชายาพอเห็นฮ่องเต้จึงรีบลุกขึ้นและทำความเคารพ ฮ่องเต้จึงบอกให้ฉันเข้าไปทำการรักษาทันที ท่านอ๋องถูกปีศาจซัดด้วยฝ่ามือมีอาการบอบช้ำที่หน้าอก ฉันคลายเสื้อออกและวางมือที่หน้าอกเขา สักพักการรักษาจึงเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเราจึงออกจากตำหนักท่านอ๋องและไปรักษาองครักฟู่เซียงและคนอื่นๆ เสร็จแล้วฮ่องเต้พาฉันไปเยี่ยมเยียนทหารที่ได้รับบาดเจ็บโดยมีองครักษ์ฟู่เซียงที่อาการดีขึ้นแล้วติดตามมาด้วย ฮ่องเต้กล่าวต่อทหารว่าคืนพรุ่งนี้จะพระราชทานงานเลี้ยงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหารผู้กล้าทุกคน เหล่าทหารต่างโห่ร้องไชโยกึกก้องอีกครั้ง

          หลังจากเยี่ยมเยียนทหารบาดเจ็บเสร็จแล้ว เราจึงเดินกลับตำหนัก ระหว่างทางเดินกลับฮ่องเต้กล่าวขอบคุณฉันหลายครั้ง ที่ฉันและพี่ชายช่วยปราบเหล่าสุนัขและปีศาจเยือกแข็งแม้จะจับไม่ได้หรือยังฆ่าไม่ตายแต่ก็ทำให้ปีศาจได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ คงอีกนานกว่าปีศาจจะหวนกลับมาอีกครั้ง ฮ่องเต้กล่าวถามถึงของรางวัลที่ฉันต้องการ ฉันจึงบอกฮ่องเต้ว่าต้องการเรื่องคดีของเหวินอี้และฟางหรูเป็นของรางวัล ฮ่องเต้หันหน้ามาตอบว่า "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าจัดการให้แล้ว" ฉันบอกฮ่องเต้ว่าคืนพรุ่งนี้จะเริ่มปฏิบัติภารกิจ ไม่สามารถอยู่ร่วมงานเลี้ยงดึก ฮ่องเต้ตอบว่าเข้าใจและจะปฏิบัติตาม เรากลับมาถึงตำหนักดอกโบตั๋น ฉันแนะนำฮ่องเต้ให้เข้านอนแต่หัวค่ำ และขอแยกตัวไปหาพี่ชายที่กำลังนั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกันอยู่ในสวนแล้วแกล้งแทรกตัวนั่งลงระหว่างซิ่นหลิงและเฟยเจิน

     เฟยเจิน  : น้องห้า ฝีมือการต่อสู้ของเจ้าดีมาก เจ้าเหมือนเด็กไม่ได้ความแต่พอเอาเข้าจริงๆ เจ้าก็มีฝีมือเหมือนกัน
          อันฉี  : ถึงข้าจะดูก๋องแก๋ง แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอหรอกนะ สักวันข้าจะท้าชิงตำแหน่งพี่สี่กับเจ้า
     เฟยเจิน  : เลิกล้มความคิดนี้ซะเถอะเจ้าทำไม่สำเร็จหรอก
          อันฉี  : อ้อ...คืนพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงพวกท่านต้องไปร่วมงานเลี้ยงด้วยนะ
     เฟยเจิน  : ต้องไปด้วยเหรอ
          อันฉี  : ใช่ พวกท่านเป็นคนสำคัญ เสร็จจากงานนี้พวกท่านต้องไปกักตัวกันได้แล้ว
       เสวี๋ยฉี  : แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า
          อันฉี  : อย่าห่วงข้าเลย ช่วงที่ท่านกักตัวข้าจะไม่ไปเที่ยวเล่นที่อื่นข้าจะอยู่บ้าน หรือบางทีข้าอาจจะมาอยู่ที่วังนี่สักพักมาเรียนวิชาแพทย์เพิ่มเติม
     เฟยเจิน  : ข้าจะอยู่กับน้องห้าเอง
     หยงเป่า  : ดี ค่อยเบาใจขึ้นมาหน่อย
     ซิ่นหลิง  : อืมใช่! เราต้องรีบกักตัวก่อนที่ไอ้ปีศาจนั่นจะย้อนกลับมา พลังเวทย์พวกเราต่ำ กว่าจะชนะได้เล่นเอาหืดขึ้นคอเหมือนกัน
          อันฉี  : ตกลงตามนี้นะ

          เรานั่งคุยกันอยู่สักพัก เพราะยังคงรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย เสวี๋ยฉีจึงชวนฉันไปอาบน้ำและเราก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ไม่นานนักพี่ชายอีกสามคนก็ตามมาเข้านอนเช่นกัน

           วันนี้ฉันตื่นแต่เช้าพร้อมเสวี๋ยฉีและหยงเป่า จึงชวนพี่ชายทั้งสองไปเดินเล่นในสวนชมดอกโบตั๋น สักพักเราจึงกลับเข้าไปนั่งจิบชาในตำหนัก ส่วนฮ่องเต้เพิ่งตื่นนอนจึงออกกมานั่งจิบชาด้วยกัน

       ฮ่องเต้  : ข้าขอขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยปราบปีศาจเมื่อวานนี้ หากไม่ได้พวกท่านช่วยพวกเราและชาวเมืองหลวนเซียนคงจะแย่
       เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่ได้ช่วยท่าน ข้าช่วยน้องสาวของข้าต่างหาก
          อันฉี  : พี่ใหญ่...พูดกับฮ่องเต้ดีๆหน่อยสิ
       ฮ่องเต้  : ไม่เป็นไร ท่านเซียนช่วยเจ้าก็เท่ากับช่วยพวกเราเหมือนกัน คืนนี้มีงานเลี้ยงขอเชิญท่านเซียนทุกท่าน
     หยงเป่า  : อย่าเรียกเราท่านเซียนเลย ฟังดูพิลึก
       ฮ่องเต้  : ได้ ได้ ท่านหู่ ท่านไป๋
          อันฉี  : ข้าขอตัวไปปลุกพี่สามกับพี่สี่ก่อนนะ
       ฮ่องเต้  : หากพวกท่านเบื่ออยู่แต่ในตำหนัก ที่นี่มีลานฝึกให้พวกท่านได้ออกกำลังกาย
       เสวี๋ยฉี  : ดี ให้เจ้าสามกับเจ้าสี่ไปออกแรงแก้เบื่อที่นั่น

          หลังจากที่พวกเรากินอาหารเช้ากันเสร็จ เสวี๋ยฉี แยกตัวไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ หยงเป่ากำลังขัดเช็ดดาบเขี้ยวแก้วราตรี สักพักฮองเฮานำผลส้มมงคลมาถวายฮ่องเต้ที่ตำหนัก ฮ่องเต้จึงมอบผลส้มให้ฉันกินผลหนึ่ง แต่ผลส้มนั้นมีรสเปรี้ยว ฉันจึงแกล้งป้อนส้มหนึ่งกลีบให้เฟยเจินกิน จนเฟยเจินทำสีหน้าเปรี้ยวเหยเกและจะคายส้มออก ฉันจึงรีบเอามือปิดปากเฟยเจินไม่ให้คายส้ม ฮ่องเต้และซิ่นหลิงที่นั่งอยู่ข้างๆต่างพากันหัวเราะ จากนั้นฉันจึงเอ่ยถามฮ่องเต้เกี่ยวกับตำนานของนกอัคคีสวรรค์ ฮ่องเต้จึงเล่าให้ฟังโดยละเอียด เฟยเจินพูดขึ้นว่า

     เฟยเจิน  : ข้าเคยเกิดเป็นนกอินทรีย์ทองสัตว์เทพด้วยหรือนี่ ไม่อยากเชื่อเลย ตอนแรกข้าก็คิดเหมือนกันว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอได้ฟังแบบนี้แล้วก็เริ่มจะเชื่อซะแล้วสิ อันฉี เจ้ากับข้ามีชะตาร่วมกันดีใจจริงๆที่ได้มาเจอกันอีก เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ข้ารักเจ้า (เฟยเจินโผเข้ากอดฉัน)
          อันฉี  : จ้า จ้า ข้าก็รักเจ้า
     ซิ่นหลิง  : ข้าก็รักเจ้าเหมือนกัน (ซิ่นหลิงโผเข้ามากอดอีกคน)
          อันฉี  : ฝ่าบาท พอจะทราบมั้ยเพคะ ว่าตาข่ายพันธการฟ้า อยู่ที่ไหน
       ฮ่องเต้  : ข้ารู้ เพราะข้าสั่งให้คนนำไปเก็บซ่อนเอาไว้เอง ข้าบอกที่ซ่อนกับใครไม่ได้มันเป็นความลับสืบทอดกันมาเฉพาะผู้สืบทอดบัลลังก์เท่านั้น ในแผ่นดินนี้มีเพียงข้าและคนนำไปซ่อนเท่านั้นที่รู้ที่ซ่อน ตาข่ายพันธการฟ้าเป็นของอันตรายต่อนกอัคคีสวรรค์ ปีศาจเยือกแข็งถึงได้ต้องการตาข่ายนั่นนัก ข้าเคยคิดจะทำลายตาข่ายนั่นทิ้ง แต่เพราะเป็นสมบัติของแผ่นดินที่สืบทอดกันมาจึงมิอาจทำลายทิ้งได้
          อันฉี  : แล้วทำไมถึงมีของแบบนี้ขึ้นมาได้ล่ะ?
       ฮ่องเต้  : ในยุคบรรพกาลมนุษย์และนกอัคคีเคยอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่มีอดีตฮ่องเต้องค์หนึ่งสร้างตาข่ายพันธการฟ้าเพื่อจับสัตว์เวทย์ดุร้าย ต่อมาภายหลังฮ่องเต้นึกสนุกจนเกินขอบเขตใช้ตาข่ายพันธการฟ้าในทางที่ผิด ต้องการจับนกอัคคีมาเป็นสัตว์เลี้ยง จึงเกิดความขัดแย้งกันระหว่างนกอัคคีกับมนุษย์ต่างมุ่งหมายทำร้ายกัน เหล่านกอัคคีจึงอพยพจากเมืองไปอาศัยอยู่ในป่าอัคคี ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร นกอัคคีใช้เปลวเพลิงเผาทำลายพระราชวังมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จนกระทั่งฮ่องเต้จอมโฉดนั่นพลาดท่าถูกไฟครอกตายในตำหนัก ความบาดหมางนี้รู้ไปถึงสวรรค์ จึงส่งนกอัคคีสวรรค์มาเป็นตัวแทนของเหล่านก เพื่อเจรจาสงบศึกระหว่างนกอัคคีกับมนุษย์ การเจรจากันเพื่อยุติศึกเป็นผลสำเร็จและได้ข้อตกลงกันว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องเก็บซ่อนตาข่ายพันธการฟ้าห้ามนำมาใช้จับนกอัคคีอีก ส่วนนกอัคคีสวรรค์จะอยู่เป็นเทพปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้จึงได้มอบพรวิเศษให้ดินแดนนี้อุดมสมบูรณ์ และปราศจากโรคระบาด จนกระทั่งเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอีกครั้งในยุคอดีตฮ่องเต้ เลี่ยงหมิงเจ๋อ จนเกิดมีปีศาจเยือกแข็งขึ้นมานี่แหละ
          อันฉี  : อืม พอจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ฝ่าบาท...หม่อมฉันขออนุญาตไปอ่านตำราที่หอตำราหลวงได้ไหมเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ดีสิ ข้าเองก็ไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว ข้ากำลังอยากอ่านตำราอยู่พอดี
      หยงเป่า  : ซิ่นหลิง เฟยเจิน ไปที่สนามฝึกกับข้าไหมไปออกกำลังกายสักหน่อย
       ซิ่นหลิง  : ดี!
     เฟยเจิน  : ไปสิ!

          ฮ่องเต้ เสวี๋ยฉี และฉันจึงไปที่หอตำราหลวง ฉันหยิบตำราจำแนกชนิดสมุนไพรรักษาโรค ตำราปรุงโอสถหลวง ตำรารักษาพิษ และตำราสมุนไพรพิษ มานั่งอ่านที่โต๊ะอ่านจบหนึ่งเล่มเริ่มจะเมื่อย ฉันจึงหยิบตำราอีกสามเล่มมานอนหนุนตักเสวี๋ยฉีและอ่านจนจบ และงีบหลับไป ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งคือเสวี๋ยฉีกำลังอุ้มฉันเข้าเอวตัวแนบอกเหมือนอุ้มลูก กำลังอุ้มเดินผ่านในสวนเพื่อกลับตำหนักหมู่ตัน ฉันซบอกกอดเสวี๋ยฉีและจูบเบาๆที่ซอกคอ งัวเงียพูดคุยกับเขา

          อันฉี  : ข้าตื่นแล้ว...แต่ยังไม่อยากเข้าตำหนัก เราไปนั่งเล่นในสวนชมดอกโบตั๋นกันเถอะ
       เสวี๋ยฉี  : ได้สิ ข้าเองก็เบื่อนั่งอยู่แต่ในตำหนักเหมือนกัน

          เสวี๋ยฉีกับฉัน เรานั่งเล่นกันอยู่ในสวน ฉันนั่งแปรงผมให้เสวี๋ยฉี แล้วเด็ดดอกโบตั๋นมาแซมผมให้เขาดุจเจ้าหญิง ไม่นานนักฮ่องเต้ที่กำลังเดินกลับมาจากหอตำราหลวง เห็นเราสองคนกำลังนั่งเล่นอยู่ในสวนจึงเดินเข้ามาหา และพูดคุย

       ฮ่องเต้  : ดูเหมือนเจ้าจะชอบดอกโบตั๋น
          อันฉี  : ชอบเพคะ ดอกโบตั๋นสวยงามมาก
       ฮ่องเต้  : ดอกโบตั๋นสวยงามเช่นนี้ เราน่าจะนั่งจิบชาชมดอกไม้กันดีมั้ย
          อันฉี  : ดีเพคะ เปลี่ยนบรรยากาศ หม่อมฉันเรียกนางกำนัลยกน้ำชานะเพคะ
       ฮ่องเต้  : อืม กินอาหารกลางวันที่นี่เลยก็ดี

          ฉันจึงเรียกนางกำนัลให้ยกน้ำชาและของว่างมาให้ในสวน สักพักหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจิน เพิ่งกลับจากสนามฝึกและเดินมานั่งจิบน้ำชาและกินอาหารกลางวันด้วยกัน หลังอาหารกลางวันเรายังคงนั่งคุยและนั่งเล่นหยอกล้อกันในสวนเหมือนเดิม และฉันมีบางอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงขอไหว้วานเฟยเจิน

          อันฉี  : พี่สี่ ส่งข่าวถึงเหวินอี้ให้ข้าหน่อย บอกให้เขาไปขุดต้นว่านแสงตะวันมาปลูกด้วยหนึ่งแปลง
     เฟยเจิน  : อื้ม!

           เฟยเจินหันมาพยักหน้าแล้วผิวปากเรียกนกเหยี่ยวที่บินมาหาเขาด้วยความเร็วพริบตา เขาพานกเหยี่ยวเข้าไปในตำหนัก แล้วเขียนข้อความใส่กระดาษเล็กๆผูกติดขานกเหยี่ยวแล้วปล่อยให้บินออกไป จากนั้นจึงเดินกลับมาหาฉัน

     เฟยเจิน  : ข้าส่งสารเรียบร้อย นกเหยี่ยวบินเร็วไม่นานสารก็ถึงมือเหวินอี้
          อันฉี  : นกเหยี่ยวมีชื่อมั้ย?
     เฟยเจิน  : ไม่มี ข้ายังไม่ได้คิดชื่อ
          อันฉี  : ข้าผิวปากไม่เป็นแล้วจะเรียกใช้นกเหยี่ยวยังไง?
     เฟยเจิน  : เจ้าก็คิดชื่อให้นกเหยี่ยวแล้วกัน ส่วนข้าถนัดผิวปาก
          อันฉี  : งั้นข้าให้นกเหยี่ยวชื่อ นีโอ แล้วกัน อ้อ...เจินเจินเราไปที่โรงครัวด้วยกัน
     เฟยเจิน  : ไปทำอะไรที่โรงครัว?
          อันฉี  : ไปเอาถ่าน จะเอามาไว้เขียนแทนภู่กัน สามารถพกติดตัวได้
     เฟยเจิน  : เข้าใจแล้ว
          อันฉี  : เอ๊ะ หลิงหลิง ทำไรอ่ะ? (ฉันนั่งลงข้างๆมองดูซิ่นหลิงนั่งทำท่าคล้ายนั่งสมาธิ)
     เฟยเจิน  : พี่สาม กำลังนั่งทำสมาธิ (เฟยเจินนั่งลงข้างๆมองดูซิ่นหลิง)
         อันฉี  : เจินเจิน เราลองทดสอบดูซิ สมาธิหลิงหลิงนิ่งแค่ไหน

          ฉันเด็ดดอกโบตั๋นมาจ่อที่จมูกซิ่นหลิง แล้วใช้ดอกโบตั๋นลูบไล้ที่แก้มและลำคอเพื่อให้เขาจักจี้แต่เขากลับนิ่งเฉย เฟยเจินจึงเด็ดยอดหญ้ามาแหย่จมูกเขา แต่ซิ่นหลิงยังคงนิ่งเฉย ฉันจึงรินเหล้าใส่จอกแล้วส่งให้เฟยเจินดื่มโดยส่งผ่านใกล้ๆจมูกซิ่นหลิงให้เขาได้กลิ่น แต่ซิ่นหลิงยังคงนิ่งเฉย

          อันฉี  : หลิงหลิง มีสมาธิที่ยอดเยี่ยมมาก งั้นนี่ทดสอบครั้งสุดท้าย

         ฉันพยักหน้ากับเฟยเจินแบบรู้กัน แล้วเอามือลูบไล้หน้าอกซิ่นหลิง หอมแก้มเขาหนึ่งครั้ง เขายังคงนิ่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เฟยเจิน จึงเอามือลูบไล้หน้าอกซิ่นหลิงแล้วหอมแก้มเขาหนึ่งครั้ง ทันไดนั้นซิ่นหลิงก็ลืมตาหันไปมองเฟยเจินแล้วรีบเอามือปิดแก้มข้างที่เฟยเจินหอมแล้วโวยวายไล่ตีเฟยเจินที่กำลังหัวเราะชอบใจ

     ซิ่นหลิง  : เฮ้ย! เจ้าบ้านี่ ใครใช้ให้เจ้าหอมแก้มข้า ห๊า! เจ้าบ้า!
          อันฉี  : เจินเจิน หนีเร็ว ฮ่าฮ่าฮ่า!

          ทุกคนต่างพากันหัวเราะกับการหยอกเย้า เฟยเจินวิ่งมาจับมือฉันแล้วพาวิ่งหนีออกไปจากสวน จากนั้นเขาก็เปลี่ยนจากจับมือมาเดินกอดคอฉันคล้ายเดินกอดคอกับเพื่อนคู่หูแล้วพากันเดินไปที่โรงครัว ฉันเห็นเฟยเจินหัวเราะได้สนุกสนานแบบนี้ทำให้รู้สึกสบายใจและมีความสุข

          เราได้แท่งถ่านมาแท่งใหญ่เฟยเจินบอกว่าจะเหลาเป็นแท่งเล็กๆให้ฉันสามารถพกพาใส่ในกระเป๋าเวทย์อสรพิษเกล็ดเงินได้สะดวก เรากลับมาที่สวนดอกโบตั๋นยังเห็นฮ่องเต้และพี่ชายทั้งสามนั่งอยู่ในสวน ช่วงบ่ายแดดร้อนเราจึงชักชวนกันกลับเข้าตำหนัก ฮ่องเต้แยกตัวไปงีบหลับ เฟยเจิน และซิ่นหลิงช่วยกันเหลาถ่านเป็นแท่งเล็กๆให้ฉัน โดยมีฉันคอยป้อนน้ำและขนมอยู่ข้างๆ ถัดมาเป็นเสวี๋ยฉีนั่งเอนหลังอยู่ข้างๆใช้พัดขนนกยูงพัดวีเพื่อระบายอากาศร้อน และหยงเป่าที่กำลังงีบหลับอยู่ใกล้ๆ

          จนถึงเวลาเย็นหลังกินอาหารเย็นเสร็จ ฉันไปที่ตำหนักของฮองเฮาเพื่อไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับฮ่องเต้และฮองเอาปฏิบัติภารกิจคืนนี้ ฉันจัดเตรียมห้องกักตัวไว้สองห้องคือห้องหนึ่งสำหรับฮ่องเต้และอีกหัองหนึ่งสำหรับฮองเฮา โดยทั้งสองห้องฉันจะปักดอกไม้หญิงสาวเริงระบำไว้ในแจกัน และห้ามใครเข้าไปห้องกักตัวทั้งสองห้องเด็ดขาดนอกจากฮ่องเต้และฮองเฮา

          เมื่อถึงเวลานัด ฉันคาดผ้าปิดจมูกเพื่อไม่ให้ได้กลิ่นดอกไม้หญิงสาวเริงระบำที่อยู่ในห้อง และพาฮองเฮาเข้าไปนั่งดมดอกไม้หญิงสาวเริงระบำเพื่อกระตุ้นอารมณ์ใคร่และรอในห้องกักตัวห้องที่หนึ่ง สักพักฮ่องเต้ที่เพิ่งออกมาจากงานเลี้ยงและมาหาฉันที่ตำหนักของฮองเฮา ฉันจึงพาฮ่องเต้ไปนั่งที่โต๊ะในห้องกักตัวห้องที่สองและให้ดมดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ

          สักพักจึงทำการสอบถามถึงความรู้สึกของฮ่องเต้ว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้ตอบว่า "ยังไม่รู้สึกอะไร" ฉันจึงบอกฮ่องเต้ว่าจะออกไปสอบถามฮองเฮาที่นั่งรออยู่อีกห้องหนึ่ง หากฮองเฮาพร้อม อีกสักครู่ฉันจะพาฮ่องเต้ไปที่ห้องกักตัวของฮองเฮา ฉันขยับตัวลุกขึ้น แต่ฮ่องเต้จับตัวฉันไว้แล้วดึงให้นั่งลงบนตัก เขากอดฉันไว้แน่นไม่ให้ฉันออกไปจากห้อง แล้วพูดขึ้นว่า

       ฮ่องเต้  : เจ้าอยู่กับข้าที่นี่ก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่กับเจ้าที่นี่สักพัก ขอให้ข้าจูบเจ้าหน่อยได้มั้ยเปิดผ้าคลุมหน้าออกสิ?
          อันฉี  : ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันเปิดผ้าคลุมออกไม่ได้ เดี๋ยวจะได้กลิ่นของดอกไม้ หม่อมฉันจะได้รับผลกระทบไปด้วย

          พอฉันพูดจบ ฮ่องเต้ก็ดึงผ้าคลุมออกและจูบฉันที่ริมฝีปาก สอดไส่ลิ้นเข้ามาในปากอย่างนุ่มนวล ฉันกอดเขาและจูบตอบรับอย่างดูดดื่ม เขาถอนริมฝีปากออกสบสายตากับฉันแล้วพูดว่า...

       ฮ่องเต้  : เจ้าทบทวนท่วงท่าภารกิจกับข้าอีกครั้งเถอะนะ
          อันฉี  : เพคะ

         ฉันเปลี่ยนจากนั่งตักธรรมดา เปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งคร่อมตักฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ฉันขยับตัวให้แนบชิดจนเนินสวรรค์สัมผัสถึงแท่งเนื้อที่กำลังแข็งตัวของเขา แล้วโยกสะโพกให้เนินสวรรค์เสียดสีแท่งเนื้อไปมา เขาก้มหน้าลงซุกไซร้ที่หน้าอก มือข้างหนึ่งโอบฉันแน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งบีบขยำก้นแล้วอุ้มฉันเข้าเอวไปที่เตียงและโถมทับฉันทั้งตัว ฮ่องเต้เริ่มจูบฉันแรงขึ้นความนุ่มนวลอ่อนหวานกลายเป็นความร้อนแรงที่ฉันเกือบห้ามใจไว้ไม่อยู่ เขาสอดเข่าเข้าใต้ขาแล้วแยกขาฉันออกกว้าง แท่งเนื้อแข็งใหญ่กำลังเสียดสีถูไถกับเนินสวรรค์ เขาจับขาฉันสองข้างพาดบ่าแล้วกระแทกแท่งเนื้อสัมผัสที่เนินสวรรค์แรงขึ้น จากนั้นจับฉันพลิกตัวคว่ำหน้าแล้วยกสะโพกฉันขึ้น เขากระแทกแท่งเนื้อสัมผัสที่เนินทางด้านหลังและโน้มตัวลงมาจูบหลังฉัน มือเขาข้างหนึ่งเอื้อมลงไปจับเนินสวรรค์แล้วเค้นคลึงจนฉันเสียววูบวาบ ฉันรู้ดอกไม้หญิงสาวเริงระบำกำลังออกฤทธิ์ จึงร้องเตือนสติฮ่องเต้เบาๆ "ฝ่าบาทพอแล้ว...." แต่ฮ่องเต้ไม่ฟังเสียงฉันอีกแล้ว เขาจับฉันให้นอนหงายปลดเชือกผูกกางเกงฉันออกแล้วพยายามจะถอด ฉันจึงออกแรงพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมจับมือสองข้างของฮ่องเต้กดไว้กับเตียง ก้มจูบแลกลิ้นอย่างดูดดื่มและกัดที่ริมฝีปากเขาไม่แรงนัก ฮ่องเต้ส่งเสียงร้องเบาๆแล้วถอนริมฝีปากออกมาและสบตากับฉันที่กำลังนั่งคร่อมเขาอยู่

       ฮ่องเต้  : ....เจ้ากัดข้าทำไม
          อันฉี  : ฝ่าบาทไม่ได้ยินเสียงที่หม่อมฉันบอกให้หยุดนี่เพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าได้ยิน...แต่ข้าไม่อยากหยุด ข้าต้องการให้เจ้ามีโอรสกับข้า
          อันฉี  : ไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทเองก็รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้กลิ่นของดอกไม้หญิงสาวเริงระบำออกฤทธิ์แล้ว ฝ่าบาทต้องไปที่ห้องของฮองเฮาได้แล้วเพคะ
       ฮ่องเต้  : ก็ได้...มา! ข้าจะช่วยเจ้าผูกเชือกกางเกง

          ฉันที่กำลังนั่งคร่อมบนตัวฮ่องเต้ ค่อยๆขยับตัวเลื่อนขึ้นไปนั่งคร่อมเขาบนหน้าอก จนเนินสวรรค์จ่ออยู่ตรงหน้าใกล้ปากใกล้จมูกเขา ฮ่องเต้หัวเราะและพูดว่า

       ฮ่องเต้  : เจ้านี่มักทำอะไรให้ข้าประหลาดใจอยู่เสมอ ถูกใจข้ายิ่งนัก!
          อันฉี  : ฝ่าบาทผูกเชือกกางเกงให้หม่อมฉันสิเพคะ
       ฮ่องเต้  : เจ้ารู้มั้ย...เจ้าต่างหากคือดอกไม้หญิงสาวเริงระบำที่กำลังออกฤทธิ์กับข้าอย่างแท้จริง

          พูดจบฮ่องเต้ผงกศรีษะขึ้นหอมและจูบที่เนินสวรรค์ของฉันที่กำลังจ่ออยู่ตรงหน้า และเอื้อมมือมาผูกเชือกที่กางเกงให้ จากนั้นฉันจึงค่อยๆลงจากเตียงและรีบช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เขา และเดินไปเก็บดอกไม้หญิงสาวเริงระบำใส่ลงกระเป๋าเวทย์ตามเดิม ก่อนที่เราจะเดินออกจากห้องฉันกระซิบย้ำข้างหูฮ่องเต้ว่า "ไปให้ถึงสวรรค์พร้อมกัน แล้วปล่อยเชื้อโอรสลึกๆ" เขาหันมากอดและจูบฉันที่หน้าผากแล้วพูดว่า "อันฉี...ข้าจะคิดถึงเจ้า" จากนั้นฉันเดินเข้าไปในห้องของฮองเฮาพร้อมกับฮ่องเต้เพื่อไปเก็บดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ ฉันมองสบตากับฮ่องเต้แล้วยิ้มเล็กน้อย และขอทูลลาออกมาจากห้อง

          ฉันกำลังเดินออกจากตำหนักฮองเฮาเพราะหมดหน้าที่ของฉันที่นี่แล้ว กำลังจะเดินกลับไปที่ตำหนักดอกโบตั๋นเพื่อกลับไปอาบน้ำและพักผ่อน ระหว่างทางที่กำลังเดินกลับได้พบเจอกับท่านอ๋องและองครักษ์จิ้นฝานกำลังเดินออกมาจากงานเลี้ยง ท่านอ๋องจึงหยุดคุยกับฉัน

          อันฉี  : ท่านอ๋อง
    ท่านอ๋อง  : ไปเดินเล่นชมสวนยามค่ำคืนกับข้าได้หรือไม่?
          อันฉี  : ได้เพคะ (ฉันเดินตามท่านอ๋องเข้าไปในสวน)
    ท่านอ๋อง  : หมอหวังบอกข้าว่าเจ้าสามารถช่วยให้ข้ามีโอรสได้งั้นรึ?
          อันฉี  : ต้องบอกว่าพยายามช่วยดีกว่าเพคะ และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะได้โอรสตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ แต่ถ้าหากท่านอ๋องมีความประสงค์ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะไปตรวจสุขภาพท่านอ๋องและพระชายาให้ที่ตำหนักเพคะ
    ท่านอ๋อง  : ข้าอยากได้โอรสกับหญิงที่ข้ารัก ไม่ใช่กับพระชายา
          อันฉี  : ท่านอ๋องโปรดทำใจให้ลืมอดีต บางครั้งความรักกับหน้าที่ก็ไม่ใช่ของที่มาคู่กัน หากท่านอ๋องไม่สามารถรักพระชายา แต่ท่านสามารถมอบความรักให้พระโอรสได้เพคะ
    ท่านอ๋อง  : ข้าไม่ได้รักพระชายา ข้าจึงไม่มีอารมณ์อยากจะแตะต้องนาง
          อันฉี  : เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหม่อมฉันมียากระตุ้น ท่านอ๋องอย่าคิดมากเลย พระชายาคือผู้ที่เหมาะสมทั้งยศตำแหน่งและชาติตระกูลจึงเหมาะสมเป็นพระมารดาแล้ว พระโอรสที่เกิดกับพระชายาที่ไม่มีข้อบกพร่องก็จะไม่มีปมด้อยให้ใครมานินทา ท่านอ๋องขออย่าจมอยู่กับอดีต อดีตไม่สามารถหวนกลับ มีแต่อนาคตที่เราต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่เพคะ
    ท่านอ๋อง  : นั่นสินะ งั้นคงต้องให้เจ้าช่วยข้าสร้างอนาคตแล้วล่ะ
          อันฉี  : พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันจะไปตรวจสุขภาพท่านทั้งสองที่ตำหนักเพคะ
    ท่านอ๋อง  : ดี งั้นข้าฝากเจ้าไปบอกพระชายาเรื่องตรวจสุขภาพวันพรุ่งนี้ เจ้ารีบไปเถอะก่อนที่พระชายาจะอยากสร้างอนาคตกับพี่ชายของเจ้าแทนข้า
          อันฉี  : เพคะ...หม่อมฉันทูลลา

          ฉันพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้าว่าเริ่มร้อนใจ แล้วรีบเดินแยกออกมาจากสวน จากที่เดินเร็วๆก็กลายเป็นวิ่งเพื่อไปให้ถึงงานเลี้ยงเร็วๆ ฉันแอบเข้าไปดูในงานเลี้ยงเห็นพี่ชายทั้งสามยังนั่งดื่มกันอยู่ แต่ไม่เห็นเสวี๋ยฉีและพระชายา ฉันใจหายวาบเมื่อคิดว่าเขาทั้งสองหายไปด้วยกัน เขาหายไปไหน หายไปทำอะไร ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกร้อนใจ เขาอยู่ที่ไหนกันนะ...ฉันคิด

          และฉันก็นึกขึ้นได้ว่ารอยสัญลักษณ์บนตัวฉันสามารถสื่อถึงเสวี๋ยฉีได้ ฉันจึงพูดขึ้นเบาๆกับต้นแขนตรงที่รอยสัญลักษณ์งูหยกหิมะขาวพันรอบแขนอยู่ว่า "งูน้อยพี่ใหญ่อยู่ที่ไหน?" ทันใดนั้นความรู้สึกฉันบอกว่าให้ไปดูที่ศาลาบ่อปลาในสวน ฉันจึงรีบวิ่งไปที่นั่นและรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ที่รู้สึกถึงเขาอยู่ที่ศาลาบ่อปลาไม่ใช่อยู่ในห้องกับพระชายา ฉันวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงศาลาบ่อปลา เห็นเสวี๋ยฉีและพระชายากำลังนั่งดื่มเหล้าหัวร่อต่อกระซิกกัน ทำให้ฉันลืมนึกถึงมารยาทแล้ววิ่งพรวดพราดเข้าไปในศาลาจนพระชายาตกใจ เสวี๋ยฉีเห็นฉันเหนื่อยหอบเพราะวิ่งมาไกลจึงส่งจอกที่อยู่ในมือเขาให้ฉันแล้วพูดว่า "เอ้า! ดื่มน้ำก่อนวิ่งมาเหนื่อยหอบเชียว" ฉันรีบรับจอกน้ำมาดื่มรวดเดียวหมดแล้วร้องขึ้นว่า

          อันฉี  : อื๋ย! นี่มันเหล้านี่นาไม่ใช่น้ำ!
       เสวี๋ยฉี  : ใช่! นั่นคือเหล้า หุหุ
  พระชายา  : เจ้าวิ่งพรวดพราดเข้ามาจนข้าตกใจมีเหตุอันใดรึ?!
          อันฉี  : ท่านอ๋องให้มาทูลพระชายาว่าพรุ่งนี้เช้าจะให้หม่อมฉันไปตรวจสุขภาพพระชายาที่ตำหนักเพื่อเตรียมพร้อมเรื่องการมีบุตร พระชายาจึงมิควรดื่มมากจนเกินไปเพคะ
  พระชายา  : ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้าจะอยู่ดื่มต่ออีกสักหน่อย เจ้าออกไปได้แล้ว!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ข้าได้รับพิษดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ (ฉันจึงหันไปพูดกับเสวี๋ยฉีโดยไม่ได้สนใจคำพูดของพระชายา)
      เสวี๋ยฉี  : งั้นหรอกรึ?! ที่รีบวิ่งมาเพราะได้รับพิษนี่เอง....พระชายาข้าต้องไปถอนพิษให้น้องสาวข้าก่อน อ้อ! ข้าขอดื่มแสดงความยินดีล่วงหน้าเรื่องการมีบุตร  ....ข้าขอลา

          เสวี๋ยฉีส่งจอกเหล้าให้ฉันดื่มด้วยอีกหนึ่งจอก เพื่อแสดงความยินดีกับพระชายา จากนั้นเราจึงเดินออกมาจากศาลาบ่อปลา ปล่อยให้พระชายานั่งอารมณ์เสียอยู่ในศาลาโดยลำพัง ฉันที่เพิ่งดื่มเหล้าเข้าไปสองจอกเริ่มมีอาการมึนจนเดินเซ เสวี๋ยฉีจึงเดินประคองฉันกลับตำหนักดอกโบตั๋น เขาพูดขึ้นว่า

       เสวี๋ยฉี  : เจ้ารีบวิ่งมาหาข้าเพราะต้องการให้ข้าช่วยถอนพิษให้จริงๆหรือเป็นเพราะเจ้าหึงหวงข้ากันแน่?
          อันฉี  : ทำไมล่ะ?! อยากอยู่ดื่มกับพระชายาต่ออีกหรือไง? ถ้าข้ามาช้ากว่านี้ท่านคงจะไม่ใช่แค่ดื่มเหล้ากับพระชายาใช่มั้ย?!
      เสวี๋ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหึงหวงข้าจริงๆด้วย! ข้าแค่เล่นกับพระชายาแก้เบื่อเท่านั้น นางแค่เป็นตัวเร่งให้เจ้ารีบกลับมาหาข้าเร็วๆ
          อันฉี  : นี่ท่านแกล้งข้าเหรอ ท่านรู้มั้ยข้าวิ่งมาไกลเหนื่อยแค่ไหน ตอนนี้ไม่มีแรงจะเดินแล้ว!
      เสวี๋ยฉี  : โอ๊ว! พิษเจ้ากำเริบแล้ว เรารีบกลับไปถอนพิษกันเถอะ (เขาอุ้มฉันแล้วรีบเดินไปที่ตำหนักดอกโบตั๋น)
          อันฉี  : นี่! ให้ข้าอาบน้ำก่อน ข้าอยากอาบน้ำ

          ที่ตำหนักดอกโบตั๋น... เสวี๋ยฉีวางฉันลงแล้วพาฉันไปอาบน้ำด้วยกัน เขาจูบและลูบไล้ฉันทั่วทั้งตัวไม่มีส่วนไหนเลยที่เขายังไม่เคยสัมผัส เขาจับฉันหันหลังโก้งโค้งแล้วสอดใส่ลิ้นเลียที่เนินทางด้านหลังจนฉันร้องคราง สักพักฉันจึงหันกลับไปจับแท่งเนื้อแข็งลูบไล้และใช้ลิ้นเลียส่วนปลายจนทั่วแล้วดันแท่งเนื้อเข้าในปากดูดเข้าดูดออกจนเขาเร่งจังหวะกระแทกแท่งเนื้อเข้าปากจนมีน้ำสีขาวข้นทะลักออกมาเต็มปากฉันและกลืนมันลงไป จึงเสร็จสิ้นการอาบน้ำและทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นและสร่างเมา เขาแต่งตัวและแปรงผมให้ฉันเหมือนเคย

          จากนั้นเสวี๋ยฉีชวนฉันดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาในห้องสักครู่ ฉันดื่มได้สามจอกก็มีอาการเมาอีกครั้ง และดื่มเหล้าต่ออีกไม่ไหวแต่เสวี๋ยฉีคะยั้นคะยอให้ฉันดื่มอีกหนึ่งจอกและจะพาไปนอน ฉันจึงดื่มอีกหนึ่งจอกแต่ไม่สามารถกลืนเหล้าลงคอได้อีก จึงโผไปนั่งคร่อมตัก กอดและจูบเสวี๋ยฉีและถ่ายเหล้าจากปากฉันไส่ในปากเขาให้เขาดื่มแทน เขากลืนเหล้านั้นลงคอแล้วจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม ฉันได้รับพิษดอกไม้หญิงสาวเริงระบำและดื่มเหล้าเข้าไปอีกทำให้ฉันมีความต้องการในตัวเขามากขึ้นกว่าเดิม ฉันเริ่มถอดเสื้อเขาออกทั้งจูบและเลียที่ใบหู ดูดและกัดเบาๆที่ซอกคอ เสวี๋ยฉีจึงอุ้มฉันไปที่เตียงและถอดเสื้อผ้าออกจนสองเราเปลือยเปล่า เขาบีบขยำหน้าอกฉันแล้วก้มหน้าดูดและเลียที่หัวนม แล้วค่อยๆลงลิ้นเลียลงไปถึงหน้าท้องและเลียลงไปที่เนินสวรรค์ สอดใส่ลิ้นเข้าไป ฉันแยกขาออกกว้างและเด้งก้นรับเป็นจังหวะที่ลิ้นสอดเข้าออกจนเนินสวรรค์เปียกแฉะและเสียวซ่านเกร็งไปทั้งตัว

         .......คืนนี้ฉันฝันว่ากำลังคุกเข่าและมีเสวี๋ยฉีคุกเข่าอยู่ทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาขยำหน้าอก มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมมาจับล้วงเนินสวาท เขาก้มจูบที่ซอกคอและไหล่ทางด้านหลัง ในขณะที่แท่งเนื้อแข็งกำลังสอดใส่เนินสวาททางด้านหลัง ดันแท่งเนื้อเข้าจนสุดแล้วค่อยๆเด้งก้นกระแทกเบาๆ ฉันเอี้ยวหน้าไปจูบแลกลิ้น จากนั้นเสวี๋ยฉีเร่งจังหวะกระแทกให้แรงและเร็วขึ้น จนเราทั้งคู่เกร็งตัวเสร็จไปพร้อมกัน ฉันล้มตัวลงนอนคว่ำหน้าแต่เสวี๋ยฉียังคงอยู่ทางด้านหลังและโถมตัวนอนทับ จูบที่แผ่นหลังและสอดใส่แท่งเนื้อเข้าเนินทางด้านหลัง ดันแท่งเนื้อเข้าจนสุดอีกครั้งแล้วกระแทกกระทั้นดุดัน จนฉันร้องครางไม่หยุด เขาพลิกตัวลงนอนตะแคงและจับตัวฉันนอนตะแคงข้าง ตั้งเข่าขึ้นข้างหนึ่ง จับขาฉันข้างหนึ่งวางพาดที่เข่านั้นเพื่อให้ขาฉันเปิดอ้ากว้างขึ้น จากนั้นจึงสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาบีบหน้าอก เขาส่งเสียงครางเพราะความเสียว แล้วเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อเข้าออกช้าสลับเร็ว เขากระซิบถามว่า "ชอบหรือเปล่า?" ฉันตอบว่า "ชอบมาก" แล้วเอี้ยวหน้าไปจูบเขา เสวี๋ยฉีลุกขึ้นนั่งตรงหว่างขาฉัน และจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าในเนินสวาทที่เปียกแฉะอีกครั้ง เด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อเข้าออกแรงและเร็วจนเขาร้องครางเสียงดังและเกร็งตัวกระตุก รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลออกมาจากแท่งเนื้อนั้น จากนั้นฉันจึงลุกขึ้นนั่งคร่อมบนตักเขาแล้วจับแท่งเนื้อสอดใส่เนินสวาทจนสุดแท่ง เสวี๋ยฉี ก้มลงดูดที่หน้าอกและหัวนม ฉันกอดเขาแน่นแนบไว้กับอกแล้วโยกสะโพกขยับขึ้นลงให้แท่งเนื้อเสียดสีเข้าออกจนเสียวซ่านไปหมด เขาล้มตัวลงนอนหงายในขณะที่ฉันยังคงนั่งคร่อมบนแท่งเนื้อและขย่มให้แรงขึ้นเขาเด้งก้นรับแรงกระแทกจนเราเสร็จพร้อมกันอีกครั้ง ฉันจึงขยับตัวขึ้นนั่งบนหน้าอกและขยับให้เนินสวาทตรงกับปากเขา เสวี๋ยฉีเลียและดูดเนินสวรรค์ให้จนฉันเสียวซ่านไปทั้งตัว เขาให้ความสุขจนล้นกับฉันทั้งคืน.......

          เสวี๋ยฉีปลุกฉันตื่นนอนแต่เช้าเพราะเช้านี้ต้องไปตรวจสุขภาพท่านอ๋องและพระชายาที่ตำหนัก ฉันจึงปลุกหยงเป่าให้ไปกับฉันด้วยเพราะเขาเคยแสดงตัวอย่างท่วงท่าให้ได้ลูกชาย แต่เสวี๋ยฉีออดอ้อนจะไปแทน

       เสวี๋ยฉี  : ให้ข้าไปช่วยงานเจ้าบ้างสิ!
          อันฉี  : ไม่ได้!
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะไม่สร้างปัญหา ข้าสัญญา
     หยงเป่า  : ให้พี่ใหญ่ไปเถอะ อยู่แต่ในตำหนักจะเฉาไปซะก่อน
          อันฉี  : ก็ได้ ก็ได้ ให้แสดงตัวอย่างธรรมดาก็พอนะ ไม่ต้องเล่นเยอะ
       เสวี๋ยฉี  : อื้ม อย่าห่วง
          อันฉี  : ข้าห่วงที่สุดก็คือท่านนี่แหละ...

          หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฉันกับเสวี๋ยฉีจึงไปที่ตำหนักท่านอ๋อง ก็เห็นท่านอ๋องและพระชายานั่งรออยู่แล้ว ฉันจึงบอกท่านอ๋องและพระชายาให้ปฏิบัติตัวเรื่องอาหารการกินและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดอีก 3 วันข้างหน้าจะเริ่มปฏิบัติภารกิจ ฉันจึงอธิบายและแสดงตัวอย่างท่วงท่าให้ได้ลูกชาย มี 4 ท่วงท่าโดยให้เสวี๋ยฉีมาเป็นผู้ช่วย และฉันเริ่มอธิบาย ซึ่งฉันสังเกตุเห็นท่านอ๋องที่ตั้งใจฟัง และพระชายาที่คอยแอบส่งสายตาให้เสวี๋ยฉีตลอดเวลา....ฉันเริ่มอธิบาย

      .....ท่าแรก คือ ท่ายืน....เสวี๋ยฉีไม่รอช้าเหมือนเขารู้งานเป็นอย่างดี เข้ามาจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่ง มืออีกข้างเอื้อมมาบีบก้น แล้วเด้งก้นให้แท่งเนื้อมากระแทกที่เนินสวรรค์ แล้วเขาก็ก้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากจนฉันตกใจและตีเขาที่ไหล่ เพื่อให้เขาหยุดจูบ

          อันฉี  : พี่ใหญ่! บอกว่าอย่าเล่นเยอะยังไงเล่า นี่อยู่ต่อหน้าท่านอ๋องกับพระชายานะ
    ท่านอ๋อง  : ไม่เป็นไร! แบบนี้เห็นภาพชัดเจนดี ข้าจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
       เสวี๋ยฉี  : อธิบายต่อเลยสิจะได้ไม่เสียเวลา เสร็จแล้วเราออกไปกินบะหมี่ที่ตลาดกัน
          อันฉี  : อื้ม!

          ด้วยความที่ฉันอยากออกไปกินบะหมี่เร็วๆจึงทำตามที่เสวี๋ยฉีบอก และอธิบายท่วงท่าต่อไปทันที

      .....ท่าที่สอง คือ นั่งคร่อม.....เสวี๋ยฉีนั่งลงกับพื้นแล้วจับฉันนั่งคร่อมตัก เขาจับที่สะโพกฉันให้เนินสวาทกระแทกที่แท่งเนื้อแข็งแล้วจูบลูบไล้ที่ซอกคอและหน้าอก เมื่อฉันอธิบายท่านี้เสร็จเสวี๋ยฉีจับหน้าฉันให้ก้มลงไปจูบเขาอีกครั้ง จากนั้นเราก็เปลี่ยนท่าเป็นท่าที่สาม

     .....ท่าที่สาม คือ คุกเข่า.....เสวี๋ยฉีจับฉันหันหลังคุกเข่ามือข้างหนึ่งเอื้อมจับที่หน้าอกฉัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งโอบกอดฉันที่เอว ฉันจึงเอี้ยวหน้าหันไปจูบเขาครั้งหนึ่งแล้วก้มตัวลงใช้มือชันพื้นในท่าคุกเข่า จากนั้นเขาเริ่มกระแทกแท่งเนื้อให้สัมผัสกับเนินสวรรค์ทางด้านหลัง แล้วโน้มตัวเอื้อมมือมาลูบคลำเนินสวาทจนฉันเริ่มมีอาการวูบวาบ จากนั้นเสวี๋ยฉีใช้มือกดที่หลังให้ฉันนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น เขาโถมตัวลงมาทับฉันทางด้านหลังลูบไล้ตามลำตัวแล้วจูบที่แผ่นหลัง แล้วพลิกตัวฉันให้นอนหงาย.....

     .....ท่าที่สี่ คือ นอนหงายยกก้น.....เสวี๋ยฉีใช้มือทั้งสองข้างพยุงก้นฉันให้ยกขึ้นเล็กน้อย แล้วสอดเข่าทั้งสองข้างรองใต้ก้นจนก้นฉันอยู่บนหน้าขา เขาเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อสัมผัสกับเนินสวาทฉันยกก้นและเด้งก้นรับแรงกระแทกเพราะลืมตัว.....เป็นอันเสร็จสิ้นการแสดงตัวอย่าง

          เมื่อฉันอธิบายเสร็จ เสวี๋ยฉี จึงพยุงฉันให้ลุกขึ้นนั่งบนตักเขาก่อนแล้วจูบฉันอีกครั้งก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นยืน แล้วมองไปที่พระชายาที่จ้องมองเสวี๋ยฉีตลอดเวลา ฉันจึงหันไปพูดคุยท่านอ๋องว่า

          อันฉี  : สี่ท่วงท่านี้ ท่านทั้งสองควรเสร็จสมพร้อมกัน ท่านอ๋องต้องสอดใส่ลึกๆปล่อยเชื้อลูกชายลึกๆเพคะ
    ท่านอ๋อง  : เป็นการแสดงตัวอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ ความสัมพันธ์ของเจ้าคู่พี่น้องช่างน่าทึ่ง ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายข้าถึงได้เชื่อใจและโปรดปรานเจ้านัก เอาล่ะข้าจะปฏิบัติตามที่เจ้าบอก
          อันฉี  : หม่อมฉันและพี่ใหญ่ขอทูลลาเพคะ

          เสวี๋ยฉีและฉันเดินกลับตำหนักดอกโบตั๋นเพื่อไปชวนพี่ชายอีกสามคนออกไปกินบะหมี่ด้วยกัน เมื่อกลับมาถึงตำหนักก็พบฮ่องเต้กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ ฉันกับเสวี๋ยฉีจึงเดินเข้าไปพูดคุยกับฮ่องเต้

          อันฉี  : ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้ากำลังรอเจอเจ้าก่อน แล้วจะนอนพักสักหน่อย เมื่อคืนขอบใจเจ้ามาก
          อันฉี  : คืนนี้อีกคืนไหวมั้ยเพคะ
       ฮ่องเต้  : ไหว! แต่เจ้าต้องไปอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกนะ
          อันฉี  : เพคะ
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าสามคนนั้นหายไปที่ไหนกัน เงียบเชียว?
       ฮ่องเต้  : พวกเขาบอกว่าไปที่สนามฝึกเพื่อยืดเส้นยืดสายอีกสักพักจะกลับมา งั้นข้าไปนอนพักก่อน
          อันฉี  : พี่ใหญ่ เราไปหาพวกเขาที่สนามฝึกกันดีไหม?
       เสวี๋ยฉี  : ไปสิ

          ฉันกับเสวี๋ยฉีจึงตามไปที่สนามฝึกและได้ยินเสียงเฮดังครึกครื้นมาจากสนามฝึก เดินเข้าไปด้านในเห็นมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนยืนล้อมวงแล้วมีเสียงเชียร์อะไรกันสักอย่าง เสวี๋ยฉีจึงพาฉันแทรกตัวเข้าไปดู ก็เห็นซิ่นหลิงกำลังยืนยิงธนูและมีหยงเป่ากับเฟยเจินยืนดูอยู่ใกล้ๆ และที่ใกล้ๆกันนั้นก็มีชายฉกรรจ์อีกสองคนกำลังยืนดูอยู่ใกล้ๆ เสวี๋ยฉีบอกว่าซิ่นหลิงกำลังแข่งยิงธนูกับชายฉกรรจ์สองคนนั้น และดูเหมือนซิ่นหลิงจะเป็นฝ่ายชนะตามคาด การแข่งขันจึงยุติลงเหล่าชายฉกรรจ์ที่ยืนมุงดูจึงพากันแยกย้ายไปฝึกกันต่อตามความถนัด ฉันและเสวี๋ยฉีจึงเดินเข้าไปหาพวกเขา และพูดขึ้นว่า

          อันฉี  : พี่สามเก่งจังเลย ข้าอยากยิงธนูเป็นบ้างจัง
     ซิ่นหลิง  : มาสิ! ข้าจะสอนเจ้า

          ซิ่นหลิงขยับมายืนที่ด้านหลังฉัน จับมือฉันให้ขึ้นลูกศรแล้วง้างคันธนู จากนั้นเขาก้มหน้ามาใกล้ๆหน้าฉันแล้วเล็งที่เป้า ฉันจึงแกล้งหันไปหอมแก้มเขาขณะกำลังจะปล่อยลูกธนู ทำให้ยิงธนูพลาดไม่เข้าเป้าตรงกลางเป้า เขาหัวเราะเพราะถูกแกล้ง จากนั้นจึงขึ้นธนูยิงลูกที่สองก็ถูกฉันหอมแก้มทำให้ยิงพลาดอีกครั้ง คราวนี้ซิ่นหลิงหยุดสอนยิงธนูแล้วหันมาเล่นจักจี้เอวกับฉันแทน เราเล่นจี้เอวกันสักพักเสวี๋ยฉีจึงบอกให้เลิกเล่น เพราะพวกเราจะออกไปกินบะหมี่นอกวังด้วยกัน และที่หน้าประตูวังต้องผ่านการตรวจสอบเช่นเคย แต่ครั้งนี้ฉันมีป้ายหยกที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เราจึงสามารถผ่านประตูโดยง่ายไม่ต้องตรวจสอบ มิหนำซ้ำเหล่าทหารที่เห็นป้ายหยกต่างรีบทำความเคารพ ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมาทันทีที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ไว้วางใจจนอนุญาตให้ฉันสามารถเข้าออกวังได้สะดวก เราเดินเล่นซื้อของในตลาดกันอีกนิดหน่อย เมื่อถึงเวลาเย็นเราจึงกลับเข้าวัง

          ที่ตำหนักดอกโบตั๋น ฮ่องเต้กำลังรอกินอาหารเย็นพร้อมพวกเรา เสร็จจากนั้นจึงนั่งดื่มชาและพูดคุยกับฮ่องเต้เกี่ยวกับที่ฉันออกไปเที่ยวนอกวังเมื่อตอนกลางวัน จากนั้นฉันจึงไปที่ตำหนักของฮองเฮาเพื่อเตรียมสถานที่สำหรับฮ่องเต้และฮองเฮาปฏิบัติภารกิจอีกครั้งในคืนนี้

          ฮ่องเต้เสด็จมาถึงตำหนักของฮองเฮา ตามเวลาที่กำหนด ช่วงระหว่างรอเวลาที่พร้อมฮ่องเต้ชวนฉันดื่มสุราเป็นเพื่อน แต่ฉันดื่มสุราไม่เก่งจึงขอดื่มเพียงจอกเดียว ฮ่องเต้จึงดื่มเพียงสามจอกและขอบิวท์อารมณ์กับฉันเหมือนเมื่อคืนวานอีกครั้ง จากนั้นจึงพาฮ่องเต้ไปที่ห้องของฮองเฮาเพื่อปฏิบัติภารกิจ และฉันก็เดินกลับตำหนักดอกโบตั๋นโดยมีองครักษ์ฟู่เซียงเดินมาส่งฉันกลับตำหนัก

          รุ่งเช้าฮ่องเต้กลับมานอนพักที่ตำหนักดอกโบตั๋น ฉันจึงมีเวลาว่างสามวันก่อนถึงวันปฏิบัติภารกิจพิชิตลูกชายของท่านอ๋อง จึงใช้เวลาว่างไปเรียนวิชาปรุงยาสมุนไพร และวิชาฝังเข็มกับหมอหวังที่จวนหมอหลวง โดยมีพี่ชายทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าและเป็นหนูทดลองยาให้ฉันตลอดทั้งสามวัน

          เมื่อครบกำหนดสามวันปรับสภาพร่างกายให้ท่านอ๋องและพระชายา ฉันจึงเริ่มจัดเตรียมห้องพักแบบเดียวกับที่เคยจัดเตรียมให้ฮ่องเต้และฮองเฮา ฉันให้พระชายานั่งรอท่านอ๋องอยู่ในห้อง แม้พระชายาจะไม่ชอบขี้หน้าฉันเอามากๆ แต่พระชายาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในภารกิจนี้ จากนั้นฉันจึงไปดูความพร้อมของท่านอ๋องที่อยู่ในอีกห้องหนึ่ง เห็นท่านอ๋องนั่งดื่มสุราคล้ายคนไม่สบายใจ ฉันจึงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆท่านอ๋องแล้วถามขึ้นว่า...

          อันฉี : รู้สึกกังวลใจหรือเพคะ?
   ท่านอ๋อง  : อื้ม... ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าข้าทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่?
          อันฉี  : ท่านทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้จะไม่ถูกใจก็ตาม แต่ขอให้ท่านคิดว่าทำเพื่อราชวงศ์ ราชวงศ์ เมิ่ง ต้องมีผู้สืบสกุลจึงมิอาจปล่อยให้สูญสิ้นเพคะ
   ท่านอ๋อง  : ข้าขอบใจที่เจ้าเตือนสติ ชาติ บ้านเมือง คือหน้าที่สำคัญที่ข้าจักตัองรักษาไว้
          อันฉี  : พลังอันยิ่งใหญ่ มาพรัอมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งเพคะ (ฉันยืมคำคมมาจากหนังซุปเปอร์ฮีโร่มนุษย์แมงมุมที่เคยดูที่โลกเก่า)
   ท่านอ๋อง  : และบางครั้งความรักกับหน้าที่ก็ไม่ใช่ของที่มาคู่กัน ของบางอย่างที่วางอยู่ตรงหน้า ข้าก็ไม่อาจคว้ามาครอบครอง

          ท่านอ๋องมองสบตาฉันและยื่นหน้ามาจูบด้วยความนุ่มนวลไม่เร่าร้อนรุนแรงเหมือนแต่ก่อน บางทีเขาอาจจะปล่อยวางกับอดีต แล้วมีมุมมองใหม่กับชีวิตตัวเองแล้วก็ได้ ฉันคิดในใจ แล้วเอามือลูบไล้ที่หน้าอกเขาและสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น จึงถามเขาว่า "พร้อมหรือไม่?" เขาตอบว่า "พร้อม" ฉันจึงพาท่านอ๋องไปที่ห้องของพระชายา จากนั้นฉันจึงเดินออกมาจากตำหนักของพระชายา ก็เห็นซิ่นหลิงมารอรับที่หน้าตำหนัก

          เช้าวันนี้ฉันมาที่จวนหมอหลวงอีกเช่นเคย เพื่อให้หมอหวังสอนวิชาเกี่ยวกับพิษ แต่หมอหวังบอกว่าเขามีความรู้ด้านวิชาพิษไม่มากนัก จึงสามารถสอนได้เพียงพิษเบื้องต้น

    หมอหวัง  : แม่นางน้อย วิชาที่ข้าสอนเจ้าก็สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว ส่วนด้านวิชาการใช้พิษ ข้าสามารถสอนให้เจ้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าขอยอมรับตามตรงว่าข้าไม่มีความเชี่ยวชาญด้านพิษ แต่หากเจ้าอยากเรียนจริงๆ ข้ามีสหายผู้หนึ่งเป็นหมอและเชี่ยวชาญด้านพิษ ข้าสามารถแนะนำให้เจ้าไปเรียนกับเขาได้
          อันฉี  : ข้าอยากเรียน และขอบคุณท่านลุงหมอหวังที่จะช่วยแนะนำ ต้องรบกวนท่านแล้ว

          ฉันจึงอยู่ช่วยงานหมอหวังที่จวนหมอหลวงในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายก็ไปนั่งอ่านตำราที่หอตำราหลวงจนถึงเวลาใกล้เย็นจึงกลับตำหนักดอกโบตั๋น เพื่อเตรียมตัวเริ่มภารกิจวันที่สองของท่านอ๋องกับพระชายา

          คืนนี้ฉันไปเตรียมสถานที่ ที่ตำหนักพระชายาเหมือนเดิม แต่พระชายาดูจะหน้าบึ้งมองค้อนตาเขียวใส่ฉันมากกว่าเดิม ฉันจึงรีบถอยห่างออกมาและมาจัดเตรียมห้องกักตัวของท่านอ๋อง และนั่งรออยู่ในห้องนั้นจนกระทั่งท่านอ๋องเสด็จมา ท่านอ๋องบอกให้ฉันนั่งดื่มเป็นเพื่อนแต่ฉันสามารถดื่มได้จอกเดียว ท่านอ๋องหัวเราะแล้วตั้งฉายาให้ฉันว่า "สาวน้อยจอกเดียว" คืนนี้เราพูดคุยกันถูกคอ ท่านอ๋องดูผ่อนคลายกว่าแต่ก่อนมาก เรานั่งคุยกันจนถึงเวลาส่งตัวเขาไปห้องพระชายาดุจส่งตัวเจ้าสาว ท่านอ๋องกอดและจูบฉันนุ่มนวลพร้อมส่งสายตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนอีกครั้งก่อนเดินเข้าห้องของพระชายาไป

          ฉันจึงกลับตำหนักดอกโบตั๋นเพราะซิ่นหลิงมารับแล้ว เมื่อกลับถึงตำหนักเห็นพวกพี่ๆกำลังนั่งดื่มเหล้าและเสวี๋ยฉีกำลังเล่นหมากกระดานอยู่กับฮ่องเต้ ฉันเดินไปนั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉีแล้วทูลฮ่องเต้ว่าจะกลับบ้านที่ป่าอัคคีในวันพรุ่งนี้ แต่ฮ่องเต้พยายามรั้งไว้ให้เราอยู่ต่อ ซึ่งฉันให้เหตุผลว่าพี่ชายมีความจำเป็นต้องกลับไปเตรียมตัวกักตนเพื่อเพิ่มพลังเวทย์ ฮ่องเต้จึงยินยอม คืนนี้ฮ่องเต้จึงชวนเราดื่มสังสรรค์จนดึกดื่น ส่วนฉันนั้นเมาตั้งแต่ดื่มจอกที่สองจนนั่งดื่มต่อไม่ไหว หยงเป่าจึงอุ้มฉันเข้าไปนอนในห้อง จากนั้นเขาก็ออกมานั่งดื่มกับฮ่องเต้และพี่ๆต่อ

          เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราทูลลาฮ่องเต้กลับป่าอัคคี แต่ก่อนกลับเราแวะซื้อของที่ตลาดในเมืองกันก่อน ฉันแวะซื้อผ้าสีสวยๆไปให้ฟางหรูสำหรับตัดเสื้อผ้าใหม่ และต่างหูอีกหนึ่งคู่เป็นของฝากให้นาง เรายังซื้อของอีกหลายอย่างจากนั้นจึงเดินทางกลับบ้าน

Produce 101 show
(LUV Yipo Uniq) ❤ อี้ป๋อ
YouTube by : User


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 26 - 42  ➡

⬅ (ย้อนหลัง)  หมอหญิงปีศาจ Ep 6 - 15


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤


No comments:

Post a Comment