Photobucket Wellcome

นิยาย : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 1 - 24

นิยายเรื่อง : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 1 - 24
นิยายโดย  : An Qi (อันฉี)
นิยายแนว  : มโน, เพ้อเจ้อ, โรแมนติก, ตลก, สืบสวน, ย้อนยุค, ต่างโลก, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ  : ริสา เกิดความเครียดเพราะตกงาน จึงคิดจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อไปถึงริมแม่น้ำจะฆ่าตัวตายกลับเกิดความกลัวจึงคิดเปลี่ยนใจ แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำคิ้วกระแทกก้อนหินจนสลบแล้วไปฟื้นอีกโลกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ชื่อมี่จื่อ ถูกช่วยจากแม่น้ำหลอกพาไปขายในหอนางโลม และได้รับการช่วยเหลือออกมาจนได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิง เพื่อช่วยเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไป

คำเตือน นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดชวนวิจารณญาณมานั่งอ่านด้วยกัน
มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 1 - 24



มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 1
(ช่วยชีวิต)

....เดือน มกราคม 2020....
          ฉันชื่อ ริสา อายุ 45 ปี สถานะโสด (แต่เคยมีแฟนแล้วเลิกกันเพราะแฟนแอบไปมีกิ๊ก) ฉันชื่นชอบการใช้อินเตอร์เน็ต มีความรู้ด้านการใช้คอมพิวเตอร์ และภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาอื่นๆสามารถเข้าใจได้บ้างนิดหน่อยเป็นบางคำ แต่ฉันเป็นคนเรียนรู้เรื่องทฤษฎียากๆได้รวดเร็วกว่าคนอื่น แต่บางครั้งเรื่องง่ายๆบางเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทำได้ฉันกลับทำไม่ได้ซะงั้น เช่นจดจำเส้นทางฉันกลับจำเส้นทางไม่ได้ ถึงแม้จะเคยผ่านเส้นทางนั้นหลายครั้งแล้วก็ตาม รวมถึงการหลงทิศอยู่บ่อยๆ

          แม้ฉันจะมีความสามารถแต่การมีอายุมากก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ตกงานแล้วหางานใหม่ทำไม่ได้ เพราะถูกปฏิเสธงาน จนเกิดความเครียดมีความคิดชั่ววูบอยากตัดช่องน้อยแต่พอตัว จึงเดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดใกล้บ้านในช่วงเวลาบ่ายแดดร้อนไม่มีคน เพื่อทำในสิ่งที่คนคิดน้อยอย่างฉันคิดว่าไม่มีทางออกอื่นที่ดีกว่า ศาลากลางจังหวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฉันจึงไปนั่งที่ริมเขื่อนมองดูแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวเพราะน้ำกำลังขึ้น และมีความคิดว่าถ้ากระโดดลงไปในแม่น้ำอีกกี่วันจะมีคนมาพบศพ "ลาก่อนชีวิตบัดซบ!" ฉันสบถด่าขึ้นในใจแล้วถอนหายใจเสียงดัง เฮ่อ!... อยากฆ่าตัวตายแต่ใจไม่กล้า... จึงคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เวลาว่างกูมีเยอะ! เดี๋ยวกลับบ้านไปนอนเรียกความกล้าก่อนสักคืน งั้นวันนี้ถ่ายเซลฟี่คูลๆบอกชาวโซเชียลว่ากำลังนั่งโง่ๆอยู่ริมแม่น้ำ แชะ! แชะ! แชะ! ขณะกำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพหันซ้ายหันขวาหามุมสวยหลบเลี่ยงตีนกา โทรศัพท์มือถือเกิดหลุดมือ ฉันรีบคว้าโทรศัพท์พลาดไปพลาดมาจนฉันและโทรศัพท์ตกลงไปในแม่น้ำพร้อมกัน

          ฉันพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำแต่เพราะน้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวจึงพัดพาฉันออกไปไกลจากฝั่ง ฉันพยายามร้องเรียกให้คนช่วยแต่ไม่มีใครเห็นและไม่มีใครได้ยิน จนอ่อนแรงและสำลักน้ำ ร่างกายเริ่มจมดิ่งลงในแม่น้ำทุกอย่างดำมืดและหายใจไม่ออก ทรมานเหลือเกิน....จนสติฉันดับวูบไป

          เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกหนาว และเจ็บที่ใบหน้า เหมือนฉันกำลังถูกลากและถูกดึงขึ้นจากน้ำ ได้ยินเสียงผู้ชายกับผู้หญิงพูดคุยกันด้วยภาษาแปลกๆที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ฉันพยายามลืมตามองแต่ก็ลืมตาไม่ขึ้น แต่รู้สึกว่ามีคนอุ้มฉันขึ้นจากน้ำแล้วอุ้มไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นสติฉันก็ดับวูบไปอีกครั้ง

          ฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกเจ็บหลังและปวดตัวที่ต้องนอนบนเสื่อเป็นเวลานาน ฉันนอนมองไปรอบๆเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่งมีสภาพเก่าทรุดโทรม ผ้าห่มที่ห่มคลุมตัวก็มีสภาพเก่าใกล้ขาด "นี่ฉันยังไม่ตายหรือนี่ และที่นี่คือที่ไหนกัน"? ฉันคิดในใจ แล้วค่อยๆลุกขึ้นนั่งก้มมองตัวเอง เสื้อผ้าฉันถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสไตล์แปลกๆเป็นชุดกระโปรงสีเก่าๆมอๆ คงถูกเปลี่ยนเพราะเสื้อผ้าฉันเปียกน้ำ พลางเอามือลูบคลำบนใบหน้าเบาๆเพราะรู้สึกเจ็บที่หัวคิ้วจึงได้รู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บที่หัวคิ้ว คงกระแทกกับหินตอนจมน้ำ โชคดีที่ไม่โดนตาไม่งั้นคงตาบอดแน่ๆ

          ในขณะที่ฉันกำลังนั่งมึนงง รวบรวมสติและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีหญิงสูงวัยเดินเข้ามาในกระท่อมในมือถือถ้วยเล็กๆเดินตรงเข้ามาหาฉันแล้วพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ป้าคนนั้นส่งถ้วยในมือให้แล้วยื่นเข้ามาใกล้ๆปากฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนจะบอกว่าให้ฉันดื่มน้ำสีน้ำตาลในถ้วยกลิ่นมันคล้ายยาสมุนไพร ฉันจึงยกดื่มนิดหน่อยแต่ป้าช่วยจับถ้วยแล้วพูดคล้ายๆกับคะยั้นคะยอให้ฉันดื่มให้หมด ฉันจึงฝืนดื่มจนหมดถ้วย จากนั้นป้าเดินออกไปแล้วยกถ้วยข้าวต้มเปล่าๆมาวางไว้ให้แล้วพูดคำว่า "มี่จื่อ" และพูดประโยคอื่นๆกับฉันอยู่บ่อยครั้งด้วยท่าทางเหมือนบอกให้ฉันกิน ฉันจึงพยักหน้าแล้วป้าแกก็เดินออกไป แต่ฉันกินอะไรไม่ลงจึงกินข้าวต้มเปล่าๆที่มีรสเค็มนิดหน่อยคงใส่เกลือ กินไปได้แค่ 2-3 คำเท่านั้นจึงล้มตัวลงนอนต่อ สักพักใหญ่ๆป้าคนเดิมเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับลุงคนหนึ่ง ป้าเห็นข้าวต้มเปล่าในถ้วยยังคงเหลือเต็มชามจึงเดินเข้ามาบ่นคะยั้นคะยอให้ฉันกินอีก และตักข้าวต้มป้อนฉันไปบ่นไปตามประสาคนแก่ ส่วนลุงที่นั่งมองก็พยักหน้าแล้วพูดอะไรสักอย่างเหมือนเห็นด้วยกับที่ป้าบ่น

          จากนั้นลุงก็เดินเข้ามานั่งข้างๆป้าแล้วถามอะไรฉันสักอย่างที่ฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันจึงพูดว่า "ไม่เข้าใจ" ทั้งลุงและป้าต่างทำหน้างุนงง และไม่เข้าใจภาษาที่ฉันพูดเหมือนกัน ทั้งสองมองหน้ากันแล้วทำมือลักษณะบอกให้ฉันนอนต่อ จากนั้นลุงกับป้าพูดคุยกันแล้วส่ายหัวเดินออกจากบ้านไป ฉันจึงนอนหลับต่อ แต่หูฉันยังคงได้ยินลุงกับป้าพูดคุยกันอยู่หน้าบ้านจนฉันเริ่มจะเคลิ้มกึ่งหลับกึ่งตื่นและหูก็เริ่มเข้าใจอยู่บ้างที่ลุงกับป้าพูดคุยกันอยู่หน้าบ้าน ตกเย็นฉันรู้สึกตัวตื่นและเริ่มค่อยยังชั่วขึ้น ลุงกับป้ายกข้าวต้มเปล่ามาให้ฉันกินอีก ฉันไม่รู้ว่าพวกเขากินข้าวเปล่าๆกันแบบนี้เป็นปกติ หรือเพราะไม่มีหมู เห็ด เป็ด ไก่กินกับข้าวกันแน่ แต่จากที่มองดูสภาพกระท่อมเก่าซอมซ่อ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างเก่าแม้กระทั่งเสื่อกับผ้าห่มที่ฉันใช้ก็เก่ามากเกือบจะขาดอยู่แล้ว จึงตีความได้ว่าครอบครัวนี้ยากจนขนาดต้องกินข้าวต้มเปล่าๆโรยเกลือ

          แปลกมากที่พอฉันตื่นขึ้นมา ฉันเริ่มจะเข้าใจภาษาที่ลุงกับป้าพูดคุยกันมากขึ้น ฉันจึงถามป้าว่าที่นี่คือที่ไหน ลุงกับป้าหัวเราะแล้วตอบว่า

            ป้า  : ค่อยยังชั่วแล้วสิ พูดจาค่อยรู้เรื่องหน่อย นี่คือบ้านของข้าเอง เราเห็นเจ้านอนสลบอยู่ที่ริมแม่น้ำจึงช่วยเจ้าไว้
            ลุง  : บ้านเรายากจนจึงมีให้กินแค่นี้แหละ แต่พรุ่งนี้ข้าจะออกไปหาปลาให้กิน
            ป้า  : มี่จื่อ ทำไมเจ้าไปนอนสลบอยู่ที่ริมแม่น้ำล่ะ?
          มี่จื่อ  : มี่จื่อ?... (ฉันชี้นิ้วมาที่ตัวเอง)
            ป้า  : ใช่! ข้าไม่รู้จักชื่อของเจ้าข้าเลยเรียกเจ้าว่า มี่จื่อ บอกข้าซิทำไมเจ้าไปนอนสลบอยู่ที่ริมแม่น้ำ
          มี่จื่อ  : ตกน้ำ... ขอบคุณลุงกับป้ามากๆที่ช่วย
            ลุง  : ไม่เป็นไรหรอก ข้าเห็นคนกำลังจะตายจะไม่ช่วยก็จะใจดำเกินไป
            ป้า  : บ้านเจ้าอยู่ที่ไหนรึ?
          มี่จื่อ  : เอ่อ…สมุทร....
            ป้า  : สมุทรอะไร?! ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย เจ้าเป็นพวกชนเผ่ารึ?!
            ลุง  : นางน่าจะเป็นพวกชนเผ่านั่นแหละ เพราะหน้าตาดูแปลกๆไม่เหมือนคนเมืองนี้ พูดภาษาก็แปลกๆ
            ป้า  : นั่นสิ! เจ้ากินข้าวเถอะจะได้นอนพักผ่อน
          มี่จื่อ  : ขอบคุณ

          ฉันพูดคุยแบบถามคำตอบคำเพราะสมองยังมึนงง คิดช้า พอกินข้าวเสร็จจึงเข้านอน ส่วนลุงกับป้าก็นั่งคุยกันอยู่สักพักและเข้านอนกันแต่หัวค่ำ ฉันพักอาศัยอยู่กับลุงกับป้าได้ห้าวันแล้ว อาการฉันดีขึ้นมากจนเกือบเป็นปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจมากสุดขีด คือฉันเห็นตัวเองในกระจกเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี หน้าตาจิ้มลิ้ม ..."นี่ฉันตายแล้วเกิดใหม่รึนี่ เกิดใหม่ทั้งทีไหงได้มาเกิดในครอบครัวที่ยากจนหนักขนาดนี้กันล่ะเนี่ย ชีวิตลำบากหนักกว่าเดิมอีกกู! จริงอย่างที่เขาพูดกันว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก แต่เอ๊ะ!? กูไม่ได้ฆ่าตัวตาย มันเป็นอุบัติเหตุ!" กูยังไม่ตายสักหน่อยเพราะยังจำเรื่องของตัวเองได้อยู่เลย มันคงเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างแน่ๆ!! ฉันคิดสบถในใจอยากจะร้องไห้

           ฉันนั่งปลงกับชีวิตอยู่หลายวันพยายามทำใจให้รับกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ วันนี้ฉันจึงเดินตามลุงกับป้าไปที่แม่น้ำเพื่อช่วยพวกเขาจับปลาและอยากมาดูสถานที่ที่พวกเขาเจอฉัน แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสายยาวไหลเอื่อยๆบริเวณโดยรอบเป็นป่าเขา ทำให้ฉันยิ่ง งง หนักขึ้นไปอีกว่าฉันลอยน้ำมาไกลขนาดนี้เชียวหรือนี่ แล้วจะกลับบ้านของตัวเองยังไง? กลับด้วยวิธีไหนล่ะ? เฮ่อ! ทำใจแล้วไปช่วยลุงกับป้าจับปลาก่อนดีกว่าค่อยมองหาลู่ทางกลับบ้านทีหลัง ลุงกับป้าบอกให้ฉันนั่งเฝ้าปลาอยู่บนฝั่งเพราะหากฉันลงไปช่วยจับปลาจะทำให้ปลาหนีไปซะเปล่าๆ พอจับปลาเสร็จลุงก็แบ่งปลาไว้กินจำนวนหนึ่งและแบ่งปลาจำนวนหนึ่งไปขายในตลาด ตกเย็นลุงจึงกลับบ้านพร้อมด้วยข้าวสารกลับมาด้วยห่อหนึ่ง วันต่อมาลุงกับป้าออกไปจับปลาอีกแต่ครั้งนี้พวกเขาบอกให้ฉันอยู่เฝ้าบ้าน จนกระทั่งลุงกับป้ากลับบ้านมาตอนเย็นพร้อมด้วยข้าวสารห่อใหญ่และของกินอีกหลายอย่าง ลุงกับป้าบอกว่าวันนี้ขายปลาได้ราคาดี และบอกให้ฉันกินอาหารเยอะๆเพราะร่างกายผอมเกินไป ทำเอาฉันทราบซึ้งถึงน้ำใจของลุงกับป้าเหลือเกิน

Love Is You
爱的就是你
Liu Jia & XII Constellations
Youtube by : Linly S.

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 2
(ฝันร้ายในหอนางโลม)

          เช้าวันนี้ลุงจะออกไปจับปลาอีกแต่ป้าบอกว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ป้าจึงบอกให้ฉันไปช่วยลุงขายปลาในตลาด และให้ลุงซื้อยาจากตลาดกลับมาด้วย ฉันเดินตามลุงเข้าไปในตลาดเพื่อมาช่วยขายปลา ลุงพาฉันมาสถานที่แห่งหนึ่งสวยงามใหญ่โต ลุงพาฉันเดินเข้าทางประตูด้านหลังมีผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งเดินโอบกอดหยอกเย้าสวนทางออกไป ลุงบอกฉันว่าลุงเอาปลามาส่งที่นี่ หอกุ้ยฮวา และบอกให้ฉันไปนั่งรอที่ม้านั่งในสวน ลุงจะไปรับเงินค่าปลากับเถ้าแก่ จากนั้นค่อยไปซื้อยาลดไข้ให้ป้าจึงค่อยกลับบ้าน ฉันนั่งรอลุงอยู่สักพักหนึ่งก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินตรงมาหาจนฉันตกใจ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้ามาจับแขนฉันแล้วฉุดดึงให้เดินตามเขาไป ฉันตกใจขัดขืนไม่ให้เขาฉุดดึงแขนแต่ฉันสู้แรงไม่ไหวถูกกระชากแขนเข้าไปในหอ ชายฉกรรจ์พาฉันเข้าไปในห้องๆหนึ่งขนาดกว้างขวางตกแต่งห้องสวยงาม ในห้องมีผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวสวยแต่งหน้าจัดจ้านนั่งอยู่ ผู้หญิงคนนั้นนั่งสูบยาคล้ายสูบไปร์ก้านยาวๆสีเงินแกะสลักสวยงาม ข้างๆมีผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ชายฉกรรจ์แข็งแรงผลักฉันแล้วสั่งให้ฉันนั่งลงกับพื้นต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น

       เถ้าแก่  : เงยหน้าให้ข้าดูชัดๆซิ เจ้าชื่ออะไร
          มี่จื่อ  : มี่จื่อ ลุงที่มากับข้าอยู่ที่ไหน ข้ามากับลุง แล้วพาข้าเข้ามาในนี้ทำไม?!
       เถ้าแก่  : ลุงของเจ้ารับเงินและกลับไปแล้ว
          มี่จื่อ  : ข้าจะกลับบ้าน (ฉันรีบลุกขึ้นจะเดินออกไปจากห้อง แต่ชายฉกรรจ์ยืนขวางไว้จับไม่ให้ฉันดิ้น)
       เถ้าแก่  : เจ้าต้องอยู่ที่นี่ทำงานชดใช้หนี้ที่ลุงของเจ้าเอาเงินข้าไป หรือให้พูดง่ายๆก็คือลุงของเจ้าขายเจ้าให้กับข้าแล้ว และจำไว้อย่าดื้อด้านกับข้า ถ้าเจ้าขยันทำงานชดใช้หนี้จนหมดข้าก็จะปล่อยให้เจ้ากลับบ้าน แต่ช่วงที่ยังเป็นหนี้จงอย่าคิดหนีมิเช่นนั้นเจ้าจะเจ็บตัว หวังหย่ง พาตัวนางไปให้คนอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ คืนนี้ข้าจะให้นางรับแขก

          หวังหย่งเดินเข้ามาจับแขนฉัน แต่ฉันสะบัดมือไม่ให้เขาจับจึงเกิดการฉุดกระชากลากแขนกัน ฉันกัดมือหวังหย่งจนเขาร้องสะบัดมือออก และตบหน้าฉันเพราะโมโหที่ถูกกัดจนฉันล้มลงไปนั่งกับพื้น ชายหนุ่มที่ยืนข้างๆเถ้าแก่รีบวิ่งเข้ามาประคองฉันและเอามือขวางกันไม่ให้หวังหย่งเข้ามาตบฉันอีก

   หย่งหลุน  : หวังหย่ง พอแล้ว!
       เถ้าแก่  : หวังหย่ง! หยุดนะ ของเสียราคาหมด
    หวังหย่ง  :  แต่นางกัดข้า!
       เถ้าแก่  : ถูกกัดแค่นี้ก็ทนไม่ได้รึไง?! ข้าซื้อนางมาด้วยราคาแพงตั้งห้าร้อยเหรียญ เจ้าตบนางจนแก้มบวมช้ำแล้วคืนนี้นางจะรับแขกได้ยังไง แขกที่ไหนอยากจะหลับนอนกับเด็กสาวหน้าตาบวมช้ำห๊ะ! เจ้ามันมีแต่กำลังไม่มีสมอง ข้าจะหักเงินเจ้า! เจ้าทำให้คืนนี้ข้าขาดรายได้ รู้มั้ยพวกคุณชายลูกเศรษฐีชอบเด็กสาวหน้าตาแปลกๆแบบนี้ ยิ่งเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์แบบนี้ยิ่งได้ราคาสูง ไป ไป พานางไปอาบน้ำ

          หวังหย่งเดินหน้าบูดบึ้งเข้ามากระชากแขนฉันให้ฉันลุกขึ้น ฉันมองจ้องหน้าหวังหย่งด้วยความเคียดแค้นเพราะถูกตบ จึงคิดใช้ทักษะป้องกันตัวบางอย่างด้วยการเล็งจุดตาย เพราะตอนที่ฉันอยู่โลกเก่าฉันชอบออกกำลังกายสไตล์คอมแบตหรือออกกำลังกายตีเข่าชกลม อีกทั้งสมัยเรียนมัธยมปลายฉันเคยฝึกเรียนเทควันโดในโรงเรียนอยู่สองเดือน แม้จะเป็นแค่ท่าออกกำลังกายและเทควันโดเด็กกระป๋อง แต่ถ้านำมาประยุกต์ใช้ฉันก็มั่นใจว่าเล็งเป้าไม่พลาดแน่ ต้องเล็งจุดยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ่ ความตั้งใจเด็ดเดี่ยว!! วินาทีนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าขอยอมตายดีกว่าจะต้องถูกบังคับให้ขายตัว พอฉันลุกขึ้นยืนได้และเล็งจังหวะเหมาะจึงยกขาเตะสุดแรงเข้าเป้ากลางหว่างขาหวังหย่งเต็มแรง จนหวังหย่งร้องเสียงดังลั่นห้องลงไปนอนกุมเป้าตัวงอร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ฉันสบถด่าหวังหย่งว่า "แตกละเอียดไหมล่ะมึง!" เถ้าแก่ตกใจร้องโวยวายแตกตื่น จนหย่งหลุนเข้ามากอดรัดฉันไว้ทางด้านหลังไม่ให้ดิ้นแล้วกระซิบบอกฉันเบาๆว่า...

   หย่งหลุน  : น้องสาว! ใจเย็นๆ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ข้าจะช่วยขอร้องเถ้าแก่ไม่ให้เจ้ารับแขกคืนนี้ ใจเย็นๆนะ ชู่ววววว!!!
          มี่จื่อ  : ข้าไม่ขายตัว ปล่อย!
   หย่งหลุน  : ไว้ค่อยคุยกัน แต่คืนนี้ข้าจะช่วยถ่วงเวลาให้เจ้าก่อน ใจเย็นๆ
          มี่จือ  : ปล่อยข้า! (ฉันดิ้นเพราะหย่งหลุนยังคงกอดรัดฉันไว้)
   หย่งหลุน  : เถ้าแก่! ข้าว่าคืนนี้อย่าเพิ่งให้มี่จื่อรับแขกเลย ดูสิแก้มนางบวมมาก แล้วที่สำคัญตอนนี้นางกำลังโมโหดุจม้าพยศ หากให้นางรับแขกคืนนี้ข้าเกรงว่านางจะทำร้ายแขกจนบาดเจ็บเถ้าแก่จะยิ่งเดือดร้อน ดูสิ! ขนาดหวังหย่งยังถูกนางทำร้ายบาดเจ็บขนาดนี้ ข้าคิดว่า...ให้ซูเจินลองมาพูดเกลี้ยกล่อมนางให้เข้าใจก่อนจะดีกว่า
      เถ้าแก่  : ก็ได้ๆ!! นังเด็กคนนี้มันร้ายจริงๆ คนที่อยู่ข้างนอกใครก็ได้พาหวังหย่งไปหาหมอหน่อย เฮ่อ! แย่จริงๆวันนี้มีแต่เรื่องเสียเงิน! ไป ไป พานางออกไปข้าเห็นแล้วหงุดหงิด
  หย่งหลุน  : น้องสาว ไปกับข้า ไปให้ซูเจินทายาให้ก่อนเถอะ

          หย่งหลุนเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาดี อายุน่าจะประมาณยี่สิบปีกว่า ท่าทางมีนิสัยดีแต่ทำไมถึงมาทำงานในหอนางโลมแบบนี้มันไม่เข้ากับบุคลิกของเขาเลยสักนิดแต่ก็นับว่าโชคดีสำหรับฉันที่มาเจอกับเขาที่นี่ อย่างน้อยก็ยังมีสักคนหนึ่งที่เป็นคนดีอยู่บ้าง แต่อีกใจหนึ่งเขาอาจจะแกล้งทำเป็นคนดีเพื่อทำให้ฉันตายใจ เหมือนลุงกับป้าที่ฉันเคยคิดว่าเขาเป็นคนดีแต่ที่ไหนได้! กลับพาฉันมาขายแลกเงิน มันแค้นใจนัก หย่งหลุนบอกฉันว่าผู้หญิงดุๆคนนั้นคือแม่เล้าหอนางโลมที่นี่ แต่นางชอบให้คนเรียกว่าเถ้าแก่เพราะฟังดูมีอำนาจ ส่วนหวังหย่งจะคอยช่วยเถ้าแก่ควบคุมสาวๆที่ดื้อและคอยจัดการลูกค้าที่เมาเหล้าอาละวาด ฉันเป็นผู้หญิงคนแรกในหอที่ล้มหวังหย่งจนลงนอนร้องเจ็บปวดกับพื้นได้ หย่งหลุนจูงมือฉันไปที่ห้องพักห้องหนึ่งภายในตกแต่งสวยงาม พบกับหญิงสาวสวยดูอ่อนหวานแต่มีดวงตาเศร้า นางตกใจและสับสนที่เห็นฉันมากับหย่งหลุน และมองมาที่มือหย่งหลุนกำลังจูงมือฉันเข้ามาในห้อง

        ซูเจิน  : พี่หย่งหลุน...? นี่ใครกันรึ?
  หย่งหลุน  : นางชื่อมี่จือเด็กมาใหม่ มี่จื่อ...นี่ซูเจิน

          หย่งหลุนแนะนำฉันกับซูเจินและเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องเถ้าแก่ให้ซูเจินฟัง หย่งหลุนเล่าไปหัวเราะไปเรื่องที่ฉันเตะเป้าหวังหย่งจนบาดเจ็บหนัก เขาบอกว่าตั้งแต่เขามาทำงานที่นี่ ฉันเป็นคนแรกที่กล้าทำให้หวังหย่งเจ็บจนร้องโอดโอย ส่วนซูเจินก็ตั้งใจฟังหย่งหลุนและหัวเราะแบบเอียงอายสไตล์สาวหวานนัยตาโศก บางครั้งนางก็หันมามองสบตากับฉันด้วยแววตาแบบแปลกๆคล้ายๆสงสัย แต่นางก็ดูไม่มีพิษภัยอะไร หย่งหลุนจึงฝากฉันไว้กับซูเจิน จากนั้นหย่งหลุนจึงขอตัวไปทำงานต่อ

        ซูเจิน  : ไหน ให้ข้าดูแก้มเจ้าหน่อย แก้มบวมจริงๆด้วยท่าทางหวังหย่งคงจะตบเจ้าแรงมากเลย พวกข้าที่มาที่นี่แรกๆใครขัดขืนก็จะถูกหวังหย่งตบตีเหมือนกัน จึงไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับหวังหย่ง แต่เจ้ากล้ามากที่เล่นงานเขาได้แบบนั้น แต่ข้าเกรงว่าถ้าหวังหย่งหายดีเขาจะต้องกลับมาแก้แค้นเจ้าแน่ๆ เจ้าต้องระวังตัวไว้ด้วย
          มี่จื่อ  : ข้าจะไม่อยู่ทำงานที่นี่ ข้าจะหนี แต่ถ้าข้าหนีไม่ได้ ข้าก็จะฆ่าตัวตาย
        ซูเจิน  : ถ้าเจ้าหนี หรือฆ่าตัวตาย พวกเขาก็จะตามไปเอาเรื่องเล่นงานพ่อ-แม่ หรือครอบครัวของเจ้าที่บ้าน พวกเราจึงอดทนทำงานที่นี่จนกว่าจะชดใช้หนี้หมด
          มี่จื่อ  : แต่คนที่เอาข้ามาขายไม่ใช่พ่อแม่หรือครอบครัวของข้า ถึงพวกเขาจะมีบุญคุณช่วยข้าที่กำลังจมน้ำช่วยข้าขึ้นมาจากแม่น้ำก็จริง แต่พอข้าหายดีกลับหลอกพาข้ามาขายที่นี่ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำกับข้าแบบนี้
        ซูเจิน  : ข้าไม่ได้เข้าข้างพวกเขาหรอกนะ แต่ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนช่วยชีวิตเจ้า เท่ากับเป็นผู้มีพระคุณ การนำเจ้ามาขายก็คือค่าตอบแทนจากการช่วยชีวิต
          มี่จือ  : แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับข้า!! ถ้านำข้ามาขายแบบนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นนั่นแหละ สู้ปล่อยให้ข้าจมน้ำตายไปเลยจริงๆจะดีซะกว่า!
        ซูเจิน  : นั่นสินะ! ชีวิตแบบนี้เหมือนตายทั้งเป็นจริงๆ แต่ข้าก็มีความหวังว่าจะได้ชดใช้หนี้จนหมดแล้วออกไปสร้างครอบครัวของข้าเองกับคนที่ข้ารัก
          มี่จื่อ  : ท่านรับแขกด้วยรึ?!
        ซูเจิน  : ใช่ มันคือความจำเป็น...เอ่อ เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวก็ได้ ข้าเคยมีน้องสาวนางเป็นเด็กอ่อนแอเจ็บป่วยง่ายเสียชีวิตไปตอนอายุสิบขวบ หากนางยังมีชีวิตอยู่อายุของนางคงเท่ากันกับเจ้า... เอ่อ แต่คืนนี้ข้าไม่ได้รับแขกเพราะข้าจ่ายเงินงดรับแขก เถ้าแก่ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรนัก นางบังคับให้เรารับแขกก็จริง แต่เถ้าแก่ก็ไม่ชอบทุบตีคนในหอนางโลมโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้รับแขกไม่ได้และขาดรายได้ ขอเพียงไม่หลบหนีและมีเงินใส่มือให้นางก็พอแล้ว เอาล่ะ! เจ้าไปอาบน้ำเถอะ ข้าจะเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้าใส่

          ฉันไปอาบน้ำวักน้ำล้างหน้า มือลูบเบาๆที่แก้มแล้วรู้สึกเจ็บเพราะบวม ฉันนึกถึงลุงกับป้าที่หลอกพาฉันมาขายยิ่งทำให้ฉันแค้นใจและน้อยใจในชะตาชีวิตตัวเอง จนฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวนั่งลงร้องไห้ ซูเจินเห็นว่าฉันอาบน้ำนานจึงเดินเข้ามาดูเห็นฉันนั่งร้องไห้ จึงเดินเข้ามาปลอบประโลมและช่วยอาบน้ำให้ จากนั้นพาฉันเดินไปที่หลังฉากกั้นเพื่อช่วยแต่งตัว ทำผมให้ใหม่และทายาให้ที่แก้มบวมช้ำ สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพัก ซูเจินจึงเอ่ยถามคนที่เคาะประตูว่าเป็นใคร มีเสียงตอบกลับมาห้วนๆว่า "หยู่เยียน" ซูเจินบอกให้ฉันดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้ากระจกไปพลางๆก่อน แล้วนางก็เดินไปเปิดประตูห้อง

   หยู่เยียน  : ข้ามาดูหน้าเด็กใหม่ที่เพิ่งมาวันนี้ ได้ยินคนในหอพูดกันไปทั่วว่าเด็กใหม่เล่นงานหวังหย่งจนต้องหอบหิ้วไปหาหมอ คงเป็นเด็กบ้านนอกถึกเถื่อนล่ะสิ! ถึงเล่นงานหวังหย่งได้ เด็กบ้านนอกเหมือนกันกับเจ้าคงคุยกันถูกคอ หึ! เจ้าช่วยนางอาบน้ำขัดผิวให้ล่ะสิ คิดจะปั้นนางมาแข่งกับข้ารึ อย่าหวังไปหน่อยเลย! ให้ข้าดูหน้าเถื่อนๆของนางหน่อย โผล่หน้าออกมาซิ!
        ซูเจิน  : นางชื่อ มี่จื่อ กำลังแต่งตัว รอสักครู่ .... มี่จื่อออกมานี่หน่อย

          ฉันแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินออกมาจากฉากกั้นเดินมาหาซูเจินที่หน้าประตู พบหยู่เยียน นางเป็นผู้หญิงสวย ตาคม เย้ายวน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด แต่งหน้าจัดจ้าน ยืนจ้องฉันตาเขม็ง นางมองหน้าฉันแล้วทำสีหน้าเหวี่ยงใส่ ฮึ่ม! แล้วเดินกระแทกเท้ากับพื้นฟึดฟัดเดินจากไปจนฉันงง

          มี่จื่อ  : นั่นใครน่ะ สวยจัง แต่ท่าทางเอาเรื่องน่าดู นางมาดูหน้าข้าทำไม?
        ซูเจิน  : นางชื่อ หยู่เยียน เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในหอนี้ นางมาดูหน้าเจ้าเพราะคนในหอพูดถึงเจ้ากันมาก หยู่เยียนจึงมาดูให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้งดงามไปกว่านาง
          มี่จื่อ  : แน่นอน ดูก็รู้แล้วว่านางสวยกว่าข้ามาก แล้วทำไมนางต้องทำท่าฟึดฟัดใส่ข้าด้วย นางโกรธที่ข้าทำร้ายหวังหย่งรึไง?
        ซูเจิน  : เปล่า! นางโกรธที่เจ้ามีหน้าตาน่ารัก กลัวว่าเจ้าจะได้รับความนิยมมากกว่าต่างหาก หุหุ

          ไม่นานนักหย่งหลุนก็เดินมาเคาะประตูแล้วเข้ามาในห้องพบฉันนั่งเอามือลูบแก้มที่บวมแดงอยู่ เขารีบเดินเข้ามานั่งมองฉันใกล้ๆด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า

  หย่งหลุน  : เอ๊ะ! นี่มี่จื่อเรอะ ตอนเจ้าเนื้อตัวมอมแมมข้าว่าเจ้าน่ารักแล้วนะ ตอนนี้อาบน้ำแต่งตัวทำผมใหม่น่ารักกว่าเดิมอีก อืม...ตาลุงที่พาเจ้ามาขายนั่นคงมองเห็นความน่ารักของเจ้ามาก่อนแล้ว มิน่าล่ะถึงเรียกราคากับเถ้าแก่ซะแพงตั้งห้าร้อยเหรียญ
        ซูเจิน  : เมื่อกี้หยู่เยียนเพิ่งมาที่นี่ หยู่เยียนมาดูหน้ามี่จือ แล้วฟึดฟัดกลับไป
  หย่งหลุน  : มี่จื่อ พยายามอยู่ห่างๆหยู่เยียน นางร้ายไม่เบาเหมือนกัน
          มี่จื่อ  : ข้าอยากหนีไปจากที่นี่ ทำไมเราไม่หาวิธีหนีไปด้วยกันล่ะ
  หย่งหลุน  : มันไม่ได้หนีกันง่ายๆหรอก เถ้าแก่มีคนหนุนหลังเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ในเมืองนี้ มีวิธีเดียวที่จะออกไปโดยที่พวกเขาไม่ตามจับตัวกลับมาก็คือต้องชดใช้หนี้คืนให้หมดในราคาที่แพงกว่าตอนที่ซื้อมา
          มี่จื่อ  : พี่ซูเจินต้องจ่ายเท่าไหร่
        ซูเจิน  : หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ
          มี่จื่อ  : หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญเนี่ยเยอะมากใช่มั้ย
         ซูเจิน  : ใช่!
   หย่งหลุน  : ที่นี่จะมีทั้งคนที่สมัครใจมาทำงานเพราะยากจนและคนที่ไม่สมัครใจแต่ถูกครอบครัวนำมาขาย ถ้าเจ้าหนี เจ้าจะถูกคิดหนี้เพิ่มเป็นสองเท่า อ้อ! ซูเจิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย หยู่เยียนมาหาเรื่องเจ้าหรือเปล่าวันนี้
         ซูเจิน  : ไม่ นางแค่มาดูหน้ามี่จื่อแล้วก็กลับไป
   หย่งหลุน  : งั้นก็ดีแล้ว ข้ากลับไปทำงานต่อ อ้อ! มี่จื่อ ห้องพักของเจ้าอยู่ชั้นล่างด้านหลังหอใกล้กับห้องพักของข้า ถ้ามีอะไรเจ้าก็บอกข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ
        ซูเจิน  : เอ่อ... มี่จื่อจะนอนพักที่ห้องข้าคืนนี้ก็ได้นะ คืนนี้ข้าไม่ได้รับแขก
   หย่งหลุน  : งั้นรึ?! ดีสิ ดี! (ท่าทางหย่งหลุนดีใจ)
          มี่จื่อ  : อื้ม... ข้าขอพักกับพี่ซูเจินคืนนี้ละกัน

          หย่งหลุนยิ้มแล้วเดินออกไปจากห้องพักของซูเจิน ฉันจึงถามซูเจินว่าทำไมนางถึงดูสนิทสนมกับหย่งหลุน แล้วทำไมหย่งหลุนจึงมาทำงานในสถานที่แบบนี้ ซูเจินเล่าว่าหย่งหลุนทำงานอยู่ที่นี่ก่อนนางเพราะครอบครัวทางบ้านยากจน ประกอบกับมีความรู้น้อยเขาจึงมาทำงานดูแลคอกม้า คอยดูแลม้าให้ลูกค้าที่มาเที่ยวหอนางโลม และเมื่อครั้งซูเจินถูกขายให้มาทำงานที่นี่ หย่งหลุนก็คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจนางมาตลอด หย่งหลุนเป็นคนดีมีน้ำใจเป็นมิตรกับทุกคน แขกที่มาเที่ยวชื่นชอบที่เขาดูแลม้าให้เป็นอย่างดี อีกทั้งสาวๆในหอนางโลมหลายคนชอบเขาแม้กระทั่งเถ้าแก่ก็ชอบหย่งหลุนจึงถูกเรียกให้ไปช่วยทำงานบนหอบ่อยๆ ซูเจินบอกให้ฉันนอนพักผ่อนคืนนี้ฉันจึงเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะรู้สึกเหนื่อยจากเรื่องทะเลาะกับหวังหย่งเมื่อตอนกลางวัน

任然 - 走不出的回憶明明是想忘記卻偏偏又想你動態歌詞
ความทรงจำที่อยากลืม
Youtube by : EHPMusicChannel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 3
(ผู้เสียสละ)

          เช้าวันนี้ทั้งวันฉันแอบอยู่ในห้องของซูเจินไม่ยอมโผล่หน้าออกไปด้านนอก แต่ก็พอจะได้ยินเสียงของหยู่เยียนทะเลาะโวยวายเถ้าแก่อยู่ด้านนอก ซูเจินบอกว่านี่คือเรื่องปกติที่จะได้ยินเสียงหยู่เยียนโวยวายเถ้าแก่เพราะหยู่เยียนเป็นคนเอาแต่ใจ แต่เถ้าแก่ก็ยอมให้เพราะหยู่เยียนเป็นตัวทำเงินให้หอนี้ พอตกเย็นฉันต้องออกจากห้องของซูเจินเพราะคืนนี้ซูเจินต้องรับแขก ส่วนฉันถูกพวกผู้หญิงรุมบังคับจับเปลี่ยนเสื้อผ้าเนื้อบางเบาให้ดูยั่วยวน และถูกแยกออกไปอยู่อีกห้องหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามห้องหัวมุม

          ช่วงเวลากลางคืนที่นี่คึกคักฉันแอบโผล่หน้าออกมาดูเห็นผู้ชายเดินเข้าเดินออกหอกันหลายคน ด้านล่างมีเสียงหัวเราะเฮฮาและเสียงคนเมาจากการดื่มเหล้า อีกทั้งยังมีการเต้นรำของหญิงงามเพื่อเพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับลูกค้าที่เข้ามาเที่ยว ไม่นานนักเถ้าแก่พาชายสูงวัยคนหนึ่งเข้ามาในห้องที่ฉันอยู่ ชายสูงวัยมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาหื่นกามเหมือนหมาป่าอยากกินลูกแกะน้อย ชายสูงวัยบอกเถ้าแก่ว่าเขาชอบฉัน และคืนนี้เขาเลือกฉันให้คอยปรนนิบัติ เถ้าแก่เรียกชายสูงวัยว่าท่าน กัง และบอกชายสูงวัยว่าฉันเป็นเด็กใหม่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อาจจะดื้อไปนิดขอให้ทำอะไรเบาๆมือหน่อย เถ้าแก่หันไปบอกให้สาวใช้ไปยกเหล้าราคาแพงที่ท่านกังชอบมาให้ จากนั้นเถ้าแก่ก็หันมามองสบตาฉันแล้วส่งสายตาดุคล้ายกำชับทางสายตาว่าห้ามฉันขัดขืนท่านกัง จากนั้นเถ้าแก่ก็เดินออกไปจากห้อง

          ท่านกังเริ่มออกอาการหื่นทันทีเดินเข้ามากอดหอมแล้วพยายามจะถอดเสื้อผ้าฉันออก ฉันพยายามดิ้นและผลักท่านกังจนเขาเซ ท่านกังยังคงเข้ามากอดรัดและพยายามจูบ ฉันผลักเขาออกเต็มแรงอีกครั้งจนเซล้ม ท่านกังโมโหลุกขึ้นมายืนได้เดินปรี่เข้ามาตบหน้าฉันหนึ่งครั้งทำให้ฉันเซล้มลงไปนั่งกับพื้นร้องไห้น้ำตาไหล ท่านกังชี้นิ้วด่าฉันว่า ทำเป็นเล่นตัว เขาจ่ายเงินไปแล้วยังไงคืนนี้ฉันต้องนอนกับเขา จากนั้นท่านกังก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นน้ำเสียงอ่อนหวาน แล้วพูดว่าเขาเห็นฉันร้องไห้ยิ่งทำให้เขามีอารมณ์จึงชวนฉันไปนั่งพูดคุยกันบนเตียง ท่านกังเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือมาพยุงให้ฉันลุกขึ้น ฉันเห็นช่องว่างและได้จังหวะเหมาะจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและออกแรงเด้งตัวให้หัวโหม่งกระแทกเข้าใต้คางท่านกังอย่างแรง จนเขาเซล้มลงไปนั่งกับพื้นเลือดกลบปากเพราะฟันตัวเองกัดถูกปากจนปากแตกเป็นแผลเลือดออก ท่านกังยังคงนั่งอยู่กับพื้นเพราะมึนจากการถูกโหม่ง ฉันจึงเดินปรี่เข้าไปใช้เท้ากระทืบเขาซ้ำลงไปที่เป้าหว่างขาหนึ่งครั้งจนเขานอนดิ้นร้องโอดโอยเจ็บปวดเอามือกุมเป้าหว่างขา ฉันยืนเอามือลูบแก้มตัวเองที่ถูกท่านกังตบแล้วยืนมองดูเขานอนร้องโอดโอยเจ็บปวด แล้วฉันก็พูดกับท่านกังว่า "ข้าเองก็มีอารมณ์เหมือนกัน เรามาต่อกันเลยดีกว่า" ฉันเดินไปหยิบแจกันที่ตั้งประดับอยู่บนโต๊ะเล็กๆตรงมุมห้องแล้วทุบแจกันให้แตกเป็นชิ้นๆ หยิบเศษแจกันที่แตกเดินไปยืนตรงหน้าท่านกังที่กำลังนอนกุมเป้าหว่างขาด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น ฉันคิดจะใช้เศษคมกระเบื้องจากแจกันไปปาดคอท่านกังให้ตายแล้วพูดขึ้นว่า "ไปลงนรกพร้อมกันกับข้าเถอะไอ้แก่ตัณหากลับ!!!"

          ทันไดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง เถ้าแก่ หย่งหลุน และสาวใช้คนอื่นๆในหอที่รีบกรูกันเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจกันสุดขีด ท่านกังเมื่อเห็นพวกเขาก็รีบร้องขอความช่วยเหลือทันที

     ท่านกัง  : ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! นางจะฆ่าข้า โอ๊ยยยย!
      เถ้าแก่  : ว้าย! ตายแล้วท่านกัง! เป็นยังไงบ้าง ช่วยกันพาท่านกังไปหาหมอเร็วๆเข้า
   หย่งหลุน  : มี่จื่ออย่า! ใจเย็นๆวางเศษกระเบื้องลงก่อน!
          มี่จื่อ  : ไม่! อย่าเข้ามาใกล้ข้า หึ! อยากให้ข้ารับแขกเรอะ เอาศพข้าไปเถอะ ข้าเป็นศพแล้วข้าก็จะนอนเฉยๆให้พวกเจ้าย่ำยีศพข้าแทนแล้วกัน!!!
   หย่งหลุน  : เถ้าแก่! ข้าบอกท่านแล้วไงว่าให้เวลานางหน่อย ท่านใจร้อนเกินไป ดูสิ! เห็นมั้ยท่านไม่ยอมเชื่อข้า
       เถ้าแก่  : หนอย! นังเด็กเปรต ร้ายกาจจริงเชียว มาได้แค่สองวันทำให้ข้าต้องสูญเงินไปแล้วเท่าไหร่ ไหนจะเงินค่าที่ต้องจ่ายให้ลุงของเจ้า ไหนจะค่ายาค่ารักษาให้หวังหย่ง นี่ก็มาทำร้ายท่านกังอีก คอยดูนะข้าจะให้เจ้าชดใช้เงินข้าทุกเหรียญแม้แต่เหรียญเดียวก็ห้ามขาด เอานางไปขังในห้องเล็กข้างล่างไม่ต้องให้กินข้าว ฮึ่ม! น่าโมโหนักเชียว
   หย่งหลุน  : มี่จื่อ วางเศษกระเบื้องลงเถอะนะ ใจเย็นๆข้าจะหาวิธีช่วยเจ้า เรามาคุยกันดีๆเถอะ
          มี่จือ  : ไม่ ข้าไม่คุย! ข้าไม่คุยกับใครทั้งนั้น ข้าไม่ใช่คนที่นี่ ถ้าข้ากลับบ้านไม่ได้ ข้าก็ไม่อยู่ที่นี่เหมือนกัน ปล่อยข้าออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!

          ฉันเริ่มคลุ้มคลั่งและตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย แต่หย่งหลุนพุ่งตัวเข้ามาแย่งเศษแจกันในมือฉันออกแล้วกอดรัดฉันไว้ไม่ให้ดิ้น เขากระซิบบอกฉันว่าเดี๋ยวเขาจะช่วยจ่ายเงินให้ฉันไม่ต้องรับแขก แต่ตอนนี้ให้ฉันใจเย็นๆแล้วลงไปที่ห้องเล็กข้างล่างกับเขาก่อน ฉันจึงยอมทำตามที่เขาบอกแล้วตามเขาลงไปที่ห้องเล็กด้านล่าง แต่หย่งหลุนกลับพาฉันเข้าใปในห้องนอนของเขาแทนแล้วบอกให้ฉันอยู่ในห้องนี้อย่าออกไปข้างนอก หย่งหลุนบอกฉันว่าอยู่ในห้องเขาอย่าห่วงเขาจะไม่ทำอะไร ฉันจึงปล่อยโฮร้องไห้ออกมา แล้วโวยวายทุบตีเขาด้วยความโมโห หย่งหลุนดึงฉันเข้าไปกอดแน่นแล้วพูดว่าเขาอยากช่วยทั้งฉันและซูเจินแต่ก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเราจึงจะสามารถออกไปมีชีวิตของเราเองได้อย่างปลอดภัย และหากตอนนี้เราจะหนีออกไปได้พวกเราก็จะถูกตามรังควาญจนไม่สามารถมีชีวิตสงบสุขอยู่ดี ขอให้ฉันอดทนและอย่าคิดฆ่าตัวตายอีก ฉันจึงพูดว่าแค่ฉันฆ่าตัวตายไปคนเดียวอย่าใส่ใจ หย่งหลุนกลับกอดฉันแน่นขึ้นและบอกว่า เขาถูกชะตากับฉันตั้งแต่เห็นฉันครั้งแรกที่เจอฉันในห้องเถ้าแก่ เขาเอ็นดูฉันเหมือนเป็นน้องสาว และทนดูไม่ได้ที่เห็นหวังหย่งทำร้ายฉันวันนั้น แต่พอเขาเห็นฉันทำให้หวังหย่งกับท่านกังบาดเจ็บได้เขายิ่งถูกชะตา และไม่อยากให้ฉันฆ่าตัวตายหนีปัญหา ฉันจึงบอกเขาว่า

          มี่จื่อ  : ข้ายอมทำงานเป็นสาวใช้แต่ข้าจะไม่ยอมทำงานรับแขก
   หย่งหลุน  : บอกตามตรงนะ เจ้ามีใบหน้าแปลกแตกต่างจากคนในเมืองนี้ อีกทั้งยังน่ารักเหลือเกิน มันยากมากที่เถ้าแก่จะไม่ให้เจ้ารับแขก แต่ข้าจะพยายามช่วยเจ้า เราจะต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสามคนข้างนอกให้ได้
          มี่จือ  : สามคนนี่คือใคร....?
   หย่งหลุน  : มีข้า กับเจ้า และซูเจิน
          มี่จื่อ  : ห๊า!? สามคนผัวเมียรึ?!
   หย่งหลุน  : ไม่ใช่! ข้าไม่ได้คิดกับเจ้าแบบนั้น ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาว ส่วนซูเจิน...ข้าชอบนางมาก แต่หากซูเจินจะยอมเป็นภรรยาให้ข้า ข้าก็ยินดีและข้าก็ไม่เคยคิดรังเกียจนางเลย แม้ข้าจะปวดใจทุกครั้งที่รู้ว่านางต้องรับแขก แต่ข้าก็เข้าใจว่ามันคือความจำเป็น เอาล่ะ! ข้าพอจะมีเงินอยู่บ้างนิดหน่อยช่วยถ่วงเวลาให้เจ้าไม่ต้องรับแขกได้สักสองวัน ข้าจะพยายามพูดกับเถ้าแก่ให้ใจอ่อน เจ้าอดทนรอหน่อยนะ
          มี่จื่อ  : อืม...ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า ส่วนพี่ซูเจินต้องยอมเป็นภรรยาให้ท่านอยู่แล้วล่ะ พี่ซูเจินเป็นคนรักของท่านหนิ
    หย่งหลุน : ซูเจินยังไม่ใช่คนรักของข้าหรอก ข้าไม่กล้าบอกนางว่าข้าชอบนางมาก ส่วนเจ้าน่ะเรียกข้าว่าพี่ชายเถอะ เอาล่ะ! คืนนี้เจ้านอนในห้องข้านี่แหละ ส่วนข้าจะไปนอนที่คอกม้า
          มี่จื่อ  : ให้ข้านอนที่นี่จะดีเหรอ
   หย่งหลุน  : ไม่เป็นไหรอก วันไหนที่ลูกค้ามาเที่ยวเยอะๆ ข้าต้องดูแลม้าและนอนที่คอกม้าบ่อยๆ ข้าไปล่ะ

          ฉันแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องหย่งหลุน เขาคอยเอาข้าวเอาน้ำมาให้ฉันกิน และช่วงกลางคืนเขาจ่ายเงินให้เถ้าแก่เป็นค่างดรับแขกให้ฉันเป็นเวลาสองคืน และพยายามขอร้องเถ้าแก่ให้เปลี่ยนงานให้ฉันเป็นสาวใช้ทั่วไปในหอ แต่เถ้าแก่ไม่ยินยอมเพราะเถ้าแก่เห็นว่าถ้าฉันรับแขกจะได้เงินมากกว่าเป็นสาวใช้ ฉันจึงใช้ช่วงเวลากลางวันไปหาซูเจินที่ห้องพักเพื่อปรับทุกข์และเล่าให้ซูเจินฟังว่าหย่งหลุนมักจะให้ฉันเข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องของเขาเวลากลางคืน เพราะเขาไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียวเขากลัวลูกค้าที่มาเที่ยวจะมึนเมาและเดินมาแถวห้องพักเล็กที่ประตูไม่ค่อยแข็งแรงฉันจะถูกลูกค้ารังแกเอาได้ ส่วนหย่งหลุนไปนอนที่คอกม้า ซูเจินจับมือฉันไว้แล้วบอกว่าช่วงกลางวันก็ให้ฉันมาหานางที่ห้องพักข้างบนได้ และหากคืนไหนที่นางไม่ได้รับแขกก็ให้ฉันมานอนพักกับนางได้ เพราะนางเองก็เอ็นดูฉันเหมือนฉันเป็นน้องสาว ซูเจินบอกว่าจะพยายามช่วยฉันหากนางสามารถช่วยได้ ฉันจึงกล่าวขอบคุณและช่วยนางเก็บกวาดห้องพักและใช้เวลาทั้งวันอยู่พูดคุยกับนางที่นั่น ตกเย็นฉันจึงกลับไปซ่อนตัวในห้องพักของหย่งหลุนตามเดิมเพราะเริ่มมีลูกค้าเข้ามาเที่ยวที่หอนางโลมตั้งแต่เย็น

          วันต่อมาเถ้าแก่ให้คนมาตามฉันไปแต่งตัวเพื่อรับแขกเพราะหมดวันหยุดรับแขกของฉันแล้ว ฉันร้องโวยวายดิ้นไม่ยอมไปจนหย่งหลุนเข้าไปขอร้องเถ้าแก่อีกครั้งแต่เถ้าแก่ไม่ยอมและบอกหย่งหลุนว่ากฏต้องเป็นกฏ เมื่อหย่งหลุนจ่ายเงินให้ฉันงดรับแขกเถ้าแก่ก็ยินยอมไม่บังคับ แต่เมื่อครบกำหนดหมดวันหยุดแล้ว ฉันก็ต้องทำงานชดใช้หนี้ ซูเจินจึงจ่ายเงินแทนให้ฉันไม่ต้องรับแขกอีกหนึ่งคืน เถ้าแก่จึงปล่อยฉันไป ฉันร้องห่มร้องไห้เพราะซาบซึ้งในน้ำใจของซูเจิน ฉันก้มหัวลงคำนับกล่าวขอบคุณซูเจินอยู่หลายครั้ง ซูเจินยิ้มและพูดว่าไม่เป็นไร นางบอกให้ฉันกลับไปที่ห้องแล้วอย่าออกมานอกห้อง หย่งหลุนกล่าวขอบคุณซูเจินด้วยสายตาห่วงใยปนเจ็บปวด แล้วพาฉันกลับไปที่ห้องของเขาเหมือนเดิม ฉันหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักของหย่งหลุนจนถึงเช้า ฉันจึงรีบวิ่งขึ้นไปหาซูเจินที่ห้องพัก ซูเจินเปิดประตูห้องพักออกมาสภาพดูไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ เห็นรอยเขียวฟกช้ำที่แขนของนาง จึงคาดเดาเอาว่าลูกค้าคงกระทำรุนแรงกับนางแน่ๆ ฉันจึงถามถึงรอยฟกช้ำนั้นเกิดจากอะไร และฉันก็คาดเดาถูกว่าเกิดจากลูกค้ามึนเมาและกระทำกับนางรุนแรง แต่ซูเจินก็ยังคงยิ้มแบบเศร้าๆว่านางเจอแบบนี้จนชิน แต่นางจะอดทนเพื่อเก็บเงินไถ่ตัวเองให้เป็นอิสระ ฉันจึงกล่าวขอโทษซูเจินที่เมื่อคืนนางต้องจ่ายเงินเพื่อช่วยฉัน ซูเจินบอกว่าไม่เป็นไรและบอกฉันว่าอย่าคิดมาก นางยังพอมีเงินเหลืออยู่อีกนิดหน่อยจะช่วยจ่ายเงินวันงดรับแขกให้ จากนั้นนางจึงชวนฉันไปนั่งดื่มชาและกินขนมที่ลูกค้าคนหนึ่งซื้อมาฝากนาง ช่วงบ่ายฉันจึงกลับไปที่ห้องของหย่งหลุนเพื่อให้ซู่เจินได้พักผ่อน พบหย่งหลุนกำลังจัดเก็บทำความสะอาดห้องและบอกเขาว่า...

          มี่จือ  : พี่ซูเจินถูกแขกทุบตีเมื่อคืน...
   หย่งหลุน  : ข้ารู้แล้วล่ะ เพราะจะมีแขกอยู่คนหนึ่งที่ชอบทุบตีผู้หญิงเวลาเมาและมักจะมาที่นี่วันพุธ ข้ากับซูเจินจะช่วยกันจ่ายเงินหยุดรับแขกทุกวันพุธ เพื่อให้ซูเจินหลีกเลี่ยงรับแขกคนนั้น เพราะแขกคนนั้นชื่นชอบซูเจินที่อ่อนหวานและไม่เคยขัดขืนเมื่อถูกเขาตี
          มี่จื่อ  : งั้นเมื่อคืนก็…เป็นเพราะข้า พี่ซูเจินถูกตีเพราะข้า (ฉันน้ำตาร่วงที่รู้ว่าซูเจินเสียสละตัวเองเพื่อให้ฉันไม่ต้องออกไปรับแขก)
   หย่งหลุน  : มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก อย่าร้องไห้ ซูเจินคงเข้าใจและเห็นใจ นางคงไม่อยากให้เจ้าต้องพบเจอเรื่องร้ายๆเหมือนนาง
          มี่จื่อ  : แต่ถึงยังไงข้าคงต้องเจอเรื่องแบบนั้นอยู่ดี ข้าจะหลบเลี่ยงได้อีกสักกี่วัน เป็นภาระให้คนอื่นเปล่าๆ คืนนี้ข้าจะรับแขก มันจะได้จบๆกันไปสักที!
   หย่งหลุน  : นี่เจ้าคิดจะทำแบบคืนนั้นที่ทำกับท่านกังอีกใช่มั้ย?! ห๊ะ?! อย่าเชียวนะ ข้าเพิ่งจะได้เงินพิเศษจากดูแลม้า ลูกค้าให้ข้ามาเมื่อคืน เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะจ่ายเงินให้เจ้าเอง
          มี่จื่อ  : เก็บเงินไว้จ่ายให้พี่ซูเจินเถอะ อย่าให้ข้าต้องทนอยู่ทรมานตัวเองและทรมานคนอื่นอีกเลย ความอดทนของข้าถึงขีดจำกัดแล้ว

          หย่งหลุนดึงฉันเข้าไปกอดลูบศรีษะลูบหลังและพยายามพูดให้ฉันใจเย็นลง เขายืนยันว่าคืนนี้เขาจะจ่ายเงินวันงดรับแขกให้ แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วลุกขึ้นไปช่วยเขาเก็บกวาดห้องพัก จนถึงเวลาค่ำ ฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ทนอยู่ที่โลกใบนี้อีกต่อไปและปฏิเสธไม่รับวันงดรับแขกแม้หย่งหลุนกับซูเจินจะพยายามพูดและพยายามจะช่วยจ่ายเงินให้ฉันก็ตาม ซึ่งตัวเถ้าแก่เองก็อยากให้ฉันรับแขกมากกว่าเพราะนางจะได้รับเงินเยอะจากลูกค้าด้วย ฉันเดินตามเถ้าแก่เข้าไปในห้องพักชั้นสองห้องหัวมุม เถ้าแก่ข่มขู่ฉันว่าห้ามฉันทำร้ายแขกอีกเพราะหนี้สินของฉันเพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วเพราะฉันทำร้ายคนไปสองคนอีกทั้งพวกเขายังคงอยู่ในช่วงรักษาตัวซึ่งฉันต้องหาเงินมาชดใช้ ฉันยืนนิ่งไม่สนใจที่เถ้าแก่พูดและไม่ตอบคำถามใดๆ แต่ฉันมองไปรอบๆห้องไม่มีแจกันวางตั้งไว้อีกแล้ว แม้แต่แจกันใส่ดอกไม้อันเล็กๆที่เคยมีวางอยู่บนโต๊ะพวกเขาก็เอาออกไป คงกลัวฉันเอาไปใช้เป็นอาวุธทำร้ายแขกอีกเป็นแน่ มีเพียงถ้วยสำหรับดื่มเหล้าสองใบที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะสำหรับดื่มเหล้ากับแขกและเชิงเทียนให้แสงสว่าง จากนั้นเถ้าแก่ก็เดินออกไปจากห้อง ฉันจึงนั่งทำใจที่เก้าอี้แล้วคิดว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หากรับสภาพแบบนี้ไม่ได้ก็ตายไปซะ! ฉันคิดประชดตัวเองในใจ

笑纳 | 笑納 - 花僮撑伞接落花 看那西风骑瘦马古风 中国风
Shine | Shine-flower girl ถือร่มและจับดอกไม้
Youtube by : Rockey Music

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 4
(หยางเค่อปราบพยศ)

          ไม่นานนักเถ้าแก่ก็พาชายหนุ่มผิวขาวท่าทางดูสำอางค์เข้ามาคนหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นมองดูฉันแล้วบอกเถ้าแก่ว่า เขาตกลงซื้อฉัน เถ้าแก่จึงเดินเข้ามากระซิบบอกฉันว่าให้ดูแลคุณชายชุนให้ดีๆเขาเป็นลูกชายเศรษฐี และฉันควรรีบปลดหนี้ที่ติดค้างนางอยู่จำนวนมากได้แล้ว! จากนั้นเถ้าแก่ก็ให้คนยกเหล้าและของแกล้มเข้ามาวางบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้อง ฉันขอร้องคุณชายชุนว่าให้เขาช่วยฉันด้วย ฉันถูกคนหลอกมาขายที่นี่ แต่คุณชายชุนตอบกลับฉันอย่างไม่ใยดีว่าเขามาเที่ยวผู้หญิง ไม่ได้มาช่วยฉันออกจากซ่อง นั่นไม่ใช่ธุระของเขา ฉันควรไปแจ้งทางการไม่ใช่มาแจ้งเขา จากนั้นเขาเดินเข้ามาหาฉัน และเริ่มกอดหอมแก้ม เขากระซิบที่หูฉันว่าอยากกินฉันก่อนที่จะเริ่มดื่มเหล้าแล้วบีบจับหน้าอกฉันเพื่อปลุกอารมณ์ เขาจับฉันหันหน้าไปจูบแล้วสอดใส่ลิ้นเข้าปาก ฉันจึงอ้าปากให้เขาสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปากได้ลึกๆ แล้วเอามือลูบไล้ที่หน้าอกคุณชายชุน ลูบไล้มือลงมาเรื่อยๆจนถึงแท่งเนื้อที่กำลังแข็งตัวจนเขามีอารมณ์ จากนั้นจึงออกแรงบีบแท่งเนื้อนั้นเต็มแรงเต็มมือและกัดลิ้นเขาจนเขารีบชักลิ้นออก ดิ้นบิดตัวผลักฉันออกเต็มแรงจนฉันกับเขาล้มลง เขาร้องโอดโอยเสียงดังรีบคลานถอยห่างร้องตะโกนให้คนช่วย ฉันรีบลุกขึ้นยืนและจะตามไปเตะเขาซ้ำด้วยความโมโห ทันใดนั้นสาวใช้สองคนก็รีบเปิดประตูเข้ามายืนขวางตวาดให้ฉันหยุดและยืนขวางกั้นฉันไว้ไม่ให้ฉันเข้าไปเตะคุณชายชุนซ้ำอีก เถ้าแก่ หย่งหลุน หยู่เยียนรีบวิ่งตามเข้ามาดูในห้อง และแขกคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นมายืนมองดูเหตุการณ์ที่หน้าห้องด้วยความสนใจอยากรู้อยากเห็น

คุณชายชุน  : ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! โอ๊ยยย! ข้าจะให้พ่อข้ามาเล่นงานพวกเจ้า นางทำร้ายข้า เถ้าแก่เจ้าหลอกลวงข้าว่านางเป็นสาวซื่อบริสุทธิ์
       เถ้าแก่  : นังตัวดี นังเด็กเปรต! กะไว้แล้วเชียว! ดีนะที่ข้าให้คนเฝ้าอยู่หน้าประตู เจ้าจะหาเรื่องให้ข้าเดือดร้อนไปถึงเมื่อไหร่กัน เจ้าจะผลาญเงินข้าไปถึงไหน! โถ โถคุณชายชุนข้าขออภัยนังเด็กคนนี้มันเป็นเด็กดื้อด้าน ข้าจะสั่งสอนนางให้หราบจำ เดี๋ยวข้าจะหาสาวสวยๆคนใหม่มาให้ท่านคืนนี้ข้าลดราคาให้ท่านเป็นพิเศษเลย
คุณชายชุน  : พานางไปห่างๆข้าเลยนังเด็กบ้าเอ๊ย! จำไว้นะเจ้าทำร้ายข้า ข้าจะมาเอาคืนแน่!
      เถ้าแก่  : เด็กๆพาคุณชายชุนไปห้องอื่นเร็ว หาคนไปปรนนิบัติคุณชายชุนด้วย
   หยู่เยียน  : เถ้าแก่ ข้าเคยบอกท่านแล้วว่านางเป็นเด็กบ้านนอกดิบเถื่อน! เสียเวลาขัดเกลา หุ หุ
   หย่งหลุน  : มี่จื่อ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?
          มี่จื่อ  : ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร
       เถ้าแก่  : เจ้าอยากให้ข้าใช้ไม้แข็งกับเจ้าใช่มั้ย ห๊า!
  หยางเค่อ  : เอ๊ะ!? เกิดอะไรขึ้นในนี้กันรึ? ทำไมคุณชายท่านนั้นจึงถูกประคองหิ้วปีกร้องโอดโอยออกจากห้องเหมือนเพิ่งถูกทำร้ายเลย
       เถ้าแก่  : อ้าว! คุณชายหาน เข้ามาตอนไหนเนี่ย?
   หยางเค่อ  : ข้าเดินกอดคอสาวๆผ่านมาพอดีทันเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ เลยเดินเข้ามาดูใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง
       เถ้าแก่  : ไม่มีอะไรหรอก แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย ข้ามาอบรมนังเด็กดื้อด้าน ขอเชิญคุณชายหานไปชมการเต้นรำข้างล่างดีกว่า คืนนี้หยู่เยียนมีการแสดงเต้นรำระบำหงส์เหินด้วยนะ
  หยางเค่อ  : นี่เด็กใหม่รึ? ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย น่ารักดี น่าสนใจ
      เถ้าแก่  : คุณชายหานอย่าเพิ่งยุ่งกับนางตอนนี้เลย คือนางไม่ค่อยสะดวกเกรงคุณชายจะไม่ปลอดภัย เลือกเด็กคนใหม่เถอะ คืนนี้หยู่เยียนก็ยังว่าง
   หยู่เยียน  : คุณชายหานไปกับข้าดีกว่า คืนนี้ข้าจะดูแลคุณชายเอง
  หยางเค่อ  : หยู่เยียนคนสวย ไว้เป็นคืนอื่นเถอะนะคืนนี้ข้าอยากอยู่เล่นกับเด็กใหม่สักหน่อย เถ้าแก่ ข้าจะเพิ่มเงินให้ ข้าจะซื้อเด็กใหม่คืนนี้ ถ้านางทำร้ายทุบตีข้า ข้าจะรับผิดชอบเอง แบบนี้เถ้าแก่ตกลงมั้ย
      เถ้าแก่  : แหมจะดีหรอ เอางั้นก็ได้ แต่ข้าจะให้คนรออยู่หน้าประตูห้อง หากคุณชายรับมือนางไม่ไหวให้ตะโกนเรียก คนของข้าจะรีบเข้ามาช่วย
  หยางเค่อ  : ดี! ข้าซื้อนางคืนนี้ (เขาขยิบตาข้างหนึ่งให้ฉันสไตล์คนเจ้าชู้)
   หย่งหลุน  : มี่จื่อ ข้าจะจ่ายเงินงดรับแขกให้เจ้า หยุดทำแบบนี้เถอะ
       เถ้าแก่  : หย่งหลุน! คุณชายหานตกลงราคากับข้าเรียบร้อยแล้ว เจ้ามีเงินมากพอมาจ่ายแทนคุณชายหานรึ?! จ่ายเป็นเงินงดรับแขกไม่ได้แล้วนะ ไปทำงานกันได้แล้ว!
  หย่งหลุน  : มี่จื่อระวังตัวด้วยนะ

          ทุกคนพากันเดินออกไปจากห้อง แต่หยู่เยียนมองเหยียดฉันตาขวางไม่พอใจอย่างแรงเป็นการทิ้งท้าย แล้วเดินออกจากห้องไป คุณชายหานหยางเค่อ นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรินเหล้าในกาดื่ม เขาเป็นชายผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีจัดว่าหล่อ แต่งกายดี ดูสะอาด เจ้าสำอางค์แต่ท่าทางเจ้าชู้ กะล่อน เขาเรียกฉันให้นั่งลงข้างๆแล้วรินเหล้าใส่ถ้วยให้ฉันดื่ม แต่ฉันส่ายหัวปฏิเสธ

  หยางเค่อ  : ข้าชื่อหยางเค่อ เจ้าชื่ออะไรรึ?
          มี่จื่อ  : มี่จื่อ (ฉันตอบเขาห้วนๆ)
  หยางเค่อ  : หน้าตาเจ้าน่ารักจิ้มลิ้ม ทำให้ข้าอยากอยู่เล่นกับเจ้าคืนนี้ แต่อย่าห่วงข้าไม่ชอบทำร้ายผู้หญิงและก็ไม่ชอบบังคับจิตใจผู้หญิงเหมือนกับผู้ชายพวกนั้นหรอก แต่ข้าชอบเอาอกเอาใจผู้หญิงมากกว่า เพราะผู้หญิงเปรียบดั่งดอกไม้ที่น่าทะนุถนอม เจ้าบอกข้าหน่อยสิเจ้าทำอะไรคุณชายคนนั้น แล้วคุณชายคนนั้นทำอะไรเจ้า?
          มี่จื่อ  : ข้าขอร้องให้คุณชายชุนช่วยข้าออกไปจากที่นี่ ข้าถูกหลอกมาขาย แต่เขากลับปฏิเสธคำขอร้องของข้า เขาไม่เมตตา ไม่ใยดีข้าเลยสักนิด
  หยางเค่อ  : เฮ่อ! ข้าจะบอกอะไรให้นะ หอนางโลมแห่งนี้มีคนหนุนหลังเป็นคนใหญ่คนโต มันไม่ง่ายนักหรอกที่จะช่วยเจ้าออกไปง่ายๆ ขนาดทางการยังเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เท่าที่ข้ารู้มาหอนางโลมที่นี่แม่เล้าใจดีที่สุดแล้ว ทำกิจการตรงไปตรงมาที่สุด อีกอย่างผู้หญิงในหอคนอื่นๆก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกันสักเท่าไหร่ ถ้าเจ้าปรับตัวได้และขยันรับแขกจะได้มีเงินไถ่ตัวเองออกไปเร็วๆ
          มี่จื่อ  : ท่านช่วยข้าได้มั้ยล่ะ แค่พาข้าออกไปจะเป็นพระคุณไม่มีวันลืมเลย
  หยางเค่อ  : ก็บอกไปแล้วไง ว่าช่วยยาก ข้าช่วยได้แค่เพิ่มเงินพิเศษให้ได้แค่นั้น เอางี้ถ้าคืนนี้เจ้าเล่นกับข้า ข้าจะให้เงินพิเศษกับเจ้า
          มี่จื่อ  : เล่นอะไร?
  หยางเค่อ  : เล่นตอบคำถาม หรือต่อกลอน หรือเล่นอะไรก็ได้ที่เจ้าถนัด หากเจ้าแพ้ต้องถูกข้าหอมแก้ม หากเจ้าชนะ ข้าจะดื่มเหล้าหนึ่งจอก และเจ้าจะทำโทษหรือทำอะไรกับข้าก็ได้
          มี่จื่อ  : งั้นเล่นเป่ายิงฉุบ ถ้าข้าชนะข้าจะตบหน้าท่าน จะเล่นมั้ย?
  หยางเค่อ  : เล่นสิ! เริ่มเลย

          ฉันไม่รู้ว่าเขามาไม้ไหนแต่ฉันยอมเล่นเกมส์กับหานหยางเค่อเพราะต้องการสร้างความปั่นป่วนกวนประสาทให้เถ้าแก่และจะพยายามดิ้นรนให้ถึงที่สุดก่อนที่ฉันจะตาย ฉันเริ่มเล่นเป่ายิงฉุบกับคุณชายหยางเค่อ เขาเป่ายิงฉุบชนะฉันก่อนแล้วหอมแก้มฉันหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็ชนะฉันอีกและหอมแก้มอีกครั้งฟอดใหญ่ เราเป่ายิงฉุบกันอีกเป็นครั้งที่สามเขาก็ชนะฉันอีก คราวนี้เขาขอหอมที่ซอกคอ ฉันก็ปล่อยให้เขาหอมที่ซอกคอจนฉันขนลุก เราเป่ายิงฉุบกันอีกเป็นครั้งที่สี่ ครั้งนี้ฉันเป็นฝ่ายชนะฉันง้างมือตบแก้มเขาเต็มแรงโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว จนเขาหน้าหันร้องโอ้ย แล้วหันมาบอกฉันว่า เยี่ยม! แรงตบดีเยี่ยม! ฉันเป่ายิงฉุบอีกเป็นครั้งที่ห้า ฉันชนะจึงตบเขาอีกเต็มแรงจนฉันรู้สึกเจ็บมือแต่เขากลับยิ้มหัวเราะชอบใจ จนฉันพึมพำด่าเขาว่า "ไอ้โรคจิต!" หยางเค่อบอกให้ฉันเล่นต่อแต่ครั้งนี้เขาชนะ เขาหอมแก้มฉันแล้วเริ่มจูบลงมาที่ซอกคอแล้วจะจูบริมฝีปาก

          ฉันจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนี แต่หยางเค่อเดินตามมากอดเอวฉันทางด้านหลัง แล้วบอกให้ฉันเล่นต่อ ฉันบอกเลิกเล่นแล้วและพยายามดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด จึงใช้เท้ากระทืบลงไปที่เท้าหยางเค่อจนเขาร้องโอ๊ยแล้วคลายกอดฉันออก ฉันหันกลับไปตีเข่าที่ท้องหยางเค่อแต่เหมือนเขาจะรู้ทันงอตัวผ่อนแรงรับเข่าแต่แกล้งทำเป็นเจ็บ ฉันจึงเตะเข้าไปที่เป้าหว่างขา หยางเค่อเหมือนจะรู้ทันอีกเหมือนเดิมเขาใช้มือรับเท้าฉันที่เตะเป้าเพื่อผ่อนกำลังให้เจ็บน้อยหน่อยแล้วงอตัวลงไปกุมเป้าหว่างขาแกล้งร้อง โอ๊ยเจ็บ! ฉันจึงรีบเข้าไปซ้ำด้วยการใช้สันมือฟันเข้าไปที่ต้นคอหยางเค่อกะเอาให้เขาหมอบราบคาบ แต่เขาหันมาใช้มือรับแล้วจับข้อมือฉันไว้ เขาแกล้งเซล้มหงายหลังแต่เอื้อมมือมาโอบกอดให้ฉันเซล้มลงไปนอนทับบนตัวเขาด้วย ฉันรีบลุกขึ้นนั่งในลักษณะนั่งคร่อมทับขณะที่เขานอนหงาย แล้วจับหัวหยางเค่อกระแทกกับพื้นแรงๆ จนเขาร้องโวยวายว่า "เจ้าจะฆ่าข้าเหรอ ไม่ปล่อยให้ข้าได้ทันตั้งตัวเลยรึไง!" จนสาวใช้ที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูรีบเปิดประตูเข้ามาทันที แล้วตวาดฉันให้หยุดจับหัวหยางเค่อโขกกับพื้น แต่หยางเค่อรีบตอบกลับว่า "ไม่มีอะไร เราเล่นสนุกกัน! ออกไปๆ" สาวใช้สองคนทำหน้า งง จึงถอยหลังออกไปแล้วปิดประตูตามเดิม หยางเค่อจับแขนฉันให้หยุดโขกหัวเขากับพื้น ฉันจึงสะบัดมือเขาออกแล้วเปลี่ยนมาบีบคอเขาแทน จนเขาร้องโวยวายอีกว่า "นี่! คุยกันก่อนเซ่ ข้าจะตายอยู่แล้ว แค่ก แค่ก แค่ก" สาวใช้รีบเปิดประตูวิ่งเข้ามาอีก หยางเค่อรีบจับมือฉันรวบไว้ให้หยุดบีบคอ แล้วยกมือโบกห้ามสาวใช้เข้ามาแล้วพูดอีกว่า "ข้าบอกว่าเราหยอกเล่นกัน พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา น่ารำคาญจริง ออกไปแล้วอย่าเข้ามาอีกนะ!" สาวใช้รีบรับคำ "เจ้าค่ะ!!!" แล้วรีบเดินออกไปปิดประตู หยางเค่อจึงออกแรงจับตัวฉันพลิกลงไปนอนหงายกับพื้นในลักษณะเขานอนคร่อมทับฉัน แล้วจับแขนฉันสองข้างชูขึ้นเหนือศรีษะกดไว้กับพื้น ตอนนี้ฉันพลาดถูกเขาจับได้จึงดิ้นแล้วร้องบอกให้เขาปล่อย

          มี่จื่อ  : ปล่อยนะ!
  หยางเค่อ  : เจ้าเนี่ยร้ายสมคำล่ำลือจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยทำร้ายเศรษฐีกัง มาวันนี้ก็ทำร้ายคุณชายชุน และพยายามทำร้ายข้า
          มี่จื่อ  : เพราะพวกเจ้าทำร้ายข้าก่อน ข้าจำเป็นต้องป้องกันตัว
  หยางเค่อ  : ขอข้าพักหน่อยได้มั้ย เจ้าตีข้าทำเอาข้าเจ็บตัวไปหมดแล้ว

          หยางเค่อยังคงนอนทับบนตัวฉันแล้วซุกหน้าลงที่ซอกคอ เขาหอมและจูบที่ซอกคอจนฉันจักจี้ ฉันปล่อยให้เขาจูบซุกไซ้ซอกคอไปเรื่อยๆ แล้วรอจังหวะให้เขาจูบ ฉันจะกัดลิ้นเขาให้ดิ้นเลย...ฉันคิดในใจ แต่หยางเค่อกลับนอนมองหน้าฉันแล้วยิ้มแกมหัวเราะนิดหนึ่งแล้วพูดว่า

  หยางเค่อ  : เจ้าจะกัดข้า ข้ารู้
          มี่จื่อ  : แหม...ท่านก็มองข้าในแง่ร้าย ข้าไม่กัดหรอก อีกอย่างข้าเริ่มเมื่อยแล้ว นอนกับพื้นแบบนี้มันเจ็บหลัง
 หยางเค่อ  : ไหนๆข้าก็จ่ายเงินไปแล้ว ขอให้ข้าจูบเจ้าหน่อยได้มั้ย รับรองข้าไม่ใช้กำลังบังคับเจ้าหรอก ข้าจะทำก็ต่อเมื่อเจ้ายินยอม ข้าสัญญา

          หยางเค่อจูบริมฝีปากฉันเบาๆเพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะไม่กัด จากนั้นเขาเริ่มประกบริมฝีปากแน่นขึ้น แล้วสอดใส่ลิ้นเข้าในปาก ฉันจูบรับและดูดลิ้นเขาในปากจนฉันเริ่มเคลิ้ม เขาจูบแล้วอุ้มฉันขึ้นจากพื้น พาไปนอนบนเตียง แล้วแทรกตัวลงนอนทับตรงหว่างขาจนสัมผัสถึงแท่งเนื้อที่กำลังแข็งตัว ฉันจูบและพลิกตัวขึ้นนอนคร่อมทับหยางเค่อแล้วถามเขาว่า "อยากเล่นอีกมั้ย?" เขาพยักหน้าแล้วยิ้ม ฉันยิ้มตอบแล้วจูบเขาที่ริมฝีปากอีกครั้งหนึ่ง มือลูบแก้มเขาเบาๆ ฉันขยับตัวนั่งคร่อมดึงผ้าคาดเอวของเขาออกมาผูกที่ข้อมือเขาแล้วนำปลายผ้าอีกข้างหนึ่งผูกโยงไปที่เสาหัวเตียง แล้วดึงผ้าคาดเอวฉันออกมาผูกมัดข้อมือเขาอีกข้างผูกโยงไปที่เสาหัวเตียง เขามองดูฉันด้วยความตื่นเต้นว่าฉันจะทำอะไรต่อไป ฉันมองหยางเค่อแล้วยักคิ้วให้ข้างหนึ่งพร้อมส่งยิ้มกวนๆ เอื้อมมือบีบแก้มเขาแล้วยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ

          มี่จื่อ  : มองข้าแบบนี้กำลังคาดหวังอะไร?
  หยางเค่อ  : ก็คาดหวังว่าเจ้าจะทำอะไรสนุกๆให้ข้า
          มี่จื่อ  : อืม! ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรกับท่านดี (ฉันตบหน้าเขาเบาๆ แปะแปะ) ข้านึกออกแล้ว เงินพิเศษของข้าท่านบอกจะให้ข้าอยู่ไหนเอามา!

          ฉันล้วงค้นเงินในตัวหยางเค่อ พบถุงเงินที่ห้อยไว้กับกางเกง จึงล้วงหยิบเงินในถุงออกมาจำนวนหนึ่ง

  หยางเค่อ  : นี่เจ้า! ทำแบบนี้เค้าเรียกว่าปล้น
          มี่จื่อ  : นี่เงินพิเศษของข้าที่ข้าเสียเวลาเล่นกับท่าน ส่วนนี่เป็นเงินค่าแบ่งเตียงนอนให้ท่านนอนคืนนี้ ส่วนที่เหลือข้าคืนให้ เพราะข้าเป็นโจรมีคุณธรรมปล้นเงินในส่วนที่ข้าควรจะได้รับเท่านั้น ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะตายพร้อมแขกสักคนคืนนี้ แต่คืนนี้ข้าเปลี่ยนใจละ เพราะท่านไม่ได้เลวร้ายเหมือนแขกคนอื่นๆ ไว้ค่อยตายพรุ่งนี้แล้วกัน เอาล่ะ! นี่ก็ดึกแล้วข้าง่วงนอน นอนเถอะ
  หยางเค่อ  : เดี๋ยวแล้วข้าล่ะ?! ไม่แก้มัดให้ข้าก่อนรึ แล้วข้าจะนอนยังไง เงินของข้าเจ้าก็เอาไปแล้ว ปรนนิบัติข้าดีๆบ้างสิ
          มี่จื่อ  : ท่านนี่น่ารำคาญจริง เอางี้ข้าจะเล่นคำถามเศรษฐีกับท่าน เป็นการเล่นของคนมีเงินและใจถึงเท่านั้นจึงจะเล่นแบบนี้ได้ ถ้าท่านตอบคำถามข้าได้ ข้าจะปรนนิบัติดีๆให้ท่าน แต่หากท่านยังตอบคำถามไม่ได้ นอกจากข้าจะไม่ปรนนิบัติท่านแล้ว ท่านจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าปรับที่ตอบคำถามไม่ได้ และหากท่านต้องการคำเฉลยท่านก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
  หยางเค่อ  : ฟังดูเจ้ามีแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียว?
          มี่จื่อ  : แล้วจะเล่นมั้ยล่ะ?
  หยางเค่อ  : ได้! คำถามคืออะไร?
          มี่จื่อ  : คำถามคือ กระบี่อะไรหายากที่สุดจนแทบพลิกแผ่นดิน
  หยางเค่อ  : กระบี่เหล็กไหล! กระบี่มังกรฟ้า! กระบี่สยบมาร!
          มี่จื่อ  : ผิด! ผิด! ผิด!

          ฉันปล่อยให้หยางเค่อคิดคำตอบไปเรื่อยๆจนหิวน้ำ จึงลุกขึ้นไปหาน้ำดื่มแต่บนโต๊ะมีแต่เหล้า ฉันเทเหล้าดื่มหนึ่งถ้วยแทนน้ำเพราะไม่ต้องการเดินออกไปนอกห้องที่มีแต่ลูกค้าหื่นและเมามาย หยางเค่อเรียกฉันให้ป้อนเหล้าให้เขาดื่มด้วยเพราะเขาเองก็อยากดื่มเหล้าเหมือนกัน ฉันจึงถือกาเหล้าและถ้วยรินเหล้าแล้วป้อนให้เขาดื่ม เขาพยายามคิดคำตอบแล้วเอ่ยชื่อกระบี่สารพัดชนิดแต่คำตอบที่ได้คือผิดทั้งหมด หยางเค่อยังไม่ยอมแพ้ฉันจึงแกล้งเขาด้วยการเปิดเสื้อเขาออกจนเห็นหน้าอกเนื้อแน่น และกล้ามท้องเป็นมัด ฉันแกล้งเล่นปูไต่บนตัวเขาเพื่อให้เขาจักจี้ จากนั้นใช้นิ้วชี้วนนิ้วเบาๆรอบๆหัวนมเขาจนเขาเกิดอาการเคลิ้ม แล้วก้มใช้ลิ้นเลียที่หัวนมเขาอีกข้างแล้วดูดจนเขาร้องคราง ฉันเงยหน้ามองเขาแล้วหยุดดูดนม จากนั้นจึงถามเขาว่าจะยอมแพ้หรือยังเพราะฉันเริ่มจะง่วงนอนแล้ว หยางเค่อตอบว่าเขายังไม่ยอมแพ้ จะให้เขายอมแพ้เด็กอายุสิบแปดปีง่ายๆได้ยังไง ฉันจึงเริ่มแกล้งเขาอีกเพื่อเร่งให้เขายอมแพ้  แล้วลุกเดินไปหยิบเทียนเล่มเล็กๆที่จุดวางอยู่บนเชิงเทียนบนโต๊ะ แล้วถือเดินมายืนอยู่ข้างเตียง จากนั้นฉันขึ้นนั่งคร่อมหยางเค่อให้เนินหว่างขาสัมผัสถูไถกับแท่งเนื้อแข็งจนเขาร้องครางขอร้องให้ฉันถอดกางเกงออกและทำรักให้เขา ฉันจึงสลัดน้ำเทียนไขเบาๆลงบนตัวหยางเค่อจนเขาร้องโอ๊ยย! แล้วเกร็งตัวเพราะร้อนแต่เขาก็ไม่ดิ้นหนี ฉันจึงเริ่มขยับตัวโยกให้เนินหว่างขาถูไถกับแท่งเนื้อจนเริ่มมีอารมณ์แล้วสลัดน้ำเทียนไขลงบนตัวเขาอีกครั้งจนร้องซี๊ดด! ฉันขยับโยกเนินหว่างขาไปเรื่อยๆ แล้วเร่งหยางเค่อให้ยอมแพ้ เขาเกร็งตัวร้องครวญคราง

  หยางเค่อ  : โอ๊ววววว! ข้าคิดคำตอบไม่ออก แต่ข้ายังไม่ยอม...แพ้ อาาา
          มี่จื่อ  : ข้าง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว ข้าไม่เล่นแล้ว

          ฉันสลัดน้ำเทียนไขใส่หน้าอกเขาอีกครั้งจนหน้าอกและหน้าท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อเกิดรอยสีแดงตามรอยเทียนที่ฉันหยด เขาร้องซี๊ด อ๊าาา! เหมือนจะชอบถูกทรมานมากกว่าจะโกรธ ฉันเป่าเทียนให้ดับแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆเขาแล้วนอนตะแคงมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆแกะน้ำเทียนหยดที่แห้งแล้วออกจากตัวหยางเค่อแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นฉันเทเหล้าดื่ม และป้อนเหล้าให้เขาดื่มอีกถ้วย

          มี่จื่อ  : ท่านนี่มันโรคจิตจริงๆ ดูท่า…จะชอบความเจ็บปวด
  หยางเค่อ  : ข้าไม่ใช่โรคจิต ข้าแค่อดทนกับสิ่งที่เจ้าทรมานข้าต่างหาก
          มี่จื่อ  : ข้าง่วงนอนแล้ววันนี้ข้าเหนื่อย ข้าให้เวลาท่านคิดคำตอบหนึ่งคืน ข้านอนล่ะ
  หยางเค่อ  : แก้มัดให้ข้าก่อนสิ
          มี่จื่อ  : ไม่ได้หรอก ข้าไม่ไว้ใจท่าน อดทนเอาหน่อยพรุ่งนี้เช้าจะแก้มัดให้ และจำเอาไว้ด้วยอย่ามาหาข้าอีกเพราะนอนกับข้ามันไม่สบายตัวเหมือนนอนอยู่ที่บ้านหรอก
  หยางเค่อ  : เจ้านี่ใจร้ายจริง

          ฉันหลับไปเพราะเหนื่อยและเมาเหล้า จนกระทั่งเช้าจึงรู้สึกตื่นเพราะหยางเค่อกระชับแขนกอดฉันแน่นขึ้นทางด้านหลังในลักษณะนอนตะแคง ฉันตกใจมากที่หยางเค่อมานอนกอดฉันได้ยังไง แล้วเขาแก้มัดเชือกออกมาได้ตอนไหน ปกติฉันเป็นคนนอนหลับไม่ลึกและรู้สึกตัวง่าย แค่เขาพลิกตัวบนเตียงปกติฉันก็ต้องรู้สึกแล้ว แต่นี่เขานอนกอดแนบสนิทขนาดนี้ฉันกลับเพิ่งมารู้สึกตัวตอนเช้า เป็นไปได้ยังไง ผู้ชายคนนี้ประมาทไม่ได้แล้ว ฉันลุกพรวดผลักหยางเค่อออกแล้วทุบตีจนเขาตกใจตื่น

  หยางเค่อ  : โอ๊ยๆ! เจ้าตีข้าทำไมเนี่ย กำลังหลับสบายเลย
          มี่จื่อ  : เจ้าแก้มัดเชือกได้ยังไง ตอนไหน?!
  หยางเค่อ  : แหม เชือกเส้นแค่นั้นมัดข้าไว้ไม่ได้หรอก เมื่อคืนพอเจ้าหลับไปได้สักพักข้าก็แก้มัดเชือก แล้วก็นอนกอดเจ้าหลับไปทั้งคืน ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าหรอกน่า แค่นอนกอดเจ้าเฉยๆเอง
          มี่จื่อ  : ฮึ่ม! เจ้ามันร้ายกาจนัก! กลับไปได้แล้ว! ข้าจะกลับห้องพักของข้าแล้ว

          หยางเค่อยิ้มกะล่อนแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อ ล้วงหยิบเงินจำนวนหนึ่งในถุงวางไว้ให้ฉันบนโต๊ะแล้วบอกว่าเป็นค่าปรับที่เขาตอบคำถามไม่ได้ แล้วเขาก็เดินออกไปจากห้อง ฉันจึงลุกขึ้นแต่งตัวหยิบเงินแล้วเดินออกจากห้องพบสาวรับใช้ที่น่าจะเรียกว่าหน่วยสอดแนมของเถ้าแก่มากกว่า กำลังยืนอยู่หน้าประตูมองตามหลังหยางเค่อแบบสอดรู้สอดเห็น และพอพวกนางเห็นฉันพวกนางก็บอกฉันว่ามารอทำความสะอาดห้อง และมองฉันแบบสอดรู้สอดเห็นเช่นกัน ฉันทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินออกจากห้องไป แต่ฉันเดินแวะไปที่ห้องพักของซูเจินก่อน พอซูเจินได้ยินเสียงฉันเรียกอยู่หน้าห้องจึงรีบมาเปิดประตูและสอบถามฉันยกใหญ่ว่าเป็นยังไงบ้างด้วยความเป็นห่วง ฉันจึงเล่าให้ซูเจินฟังและหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่งส่งให้ซูเจิน และบอกกับซูเจินว่าฉันคืนเงินให้ที่นางเคยช่วยจ่ายวันงดรับแขก แต่ซูเจินไม่ยอมรับเงินนั้นและบอกให้ฉันเก็บเงินไว้จ่ายวันหยุดให้กับตัวเอง ฉันจึงต้องเก็บเงินไว้เพราะซูเจินยืนยันไม่ยอมรับเงิน จึงเดินกลับไปที่ห้องพักของหย่งหลุนและยื่นเงินจำนวนนั้นคืนให้หย่งหลุนที่เคยจ่ายเงินค่างดรับแขกให้ แต่หย่งหลุนไม่ยอมรับเงินเช่นกันและพูดแบบเดียวกันกับซูเจินว่าให้ฉันเก็บเงินไว้เพื่อซื้อวันหยุดและเก็บสะสมไว้ไถ่ตัวเอง ฉันจึงทำตามที่หย่งหลุนบอก หย่งหลุนเดินเข้ามาลูบศรีษะพร้อมพูดว่าเขาเป็นห่วงฉันมาก เมื่อคืนเขารู้สึกเบาใจที่หยางเค่ออยู่กับฉัน เพราะเขารู้ว่าหยางเค่อไม่เคยทำร้ายผู้หญิง แต่กังวลกลัวว่าฉันจะคิดสั้นทำร้ายตัวเองมากกว่า

胡66 - 浪人琵琶我情不自禁會為你牽掛動態歌詞
Youtube by : EHP Music Channel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 5
(ชายชุดขาวผู้มิอาจละสายตา)

          ฉันจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้หย่งหลุนฟัง และถามเขาเกี่ยวกับหยางเค่อ ซึ่งฉันรู้สึกว่าหยางเค่อดูเป็นผู้ชายไม่ธรรมดา เขาดูฉลาด กะล่อน คล่องแคล่ว และแปลกคน หย่งหลุนเล่าว่าหยางเค่อมีฐานะทางบ้านร่ำรวยมีผู้คนนับหน้าถือตา เบื้องหน้าทำกิจการค้าขายอัญมณีเครื่องประดับ แต่มีข่าวลือกันว่าเบื้องหลังแอบทำการค้าขายของโบราณกับกลุ่มชนเผ่าและพวกเศรษฐีที่ต้องการของโบราณต้องห้ามแปลกๆอย่างผิดกฏหมาย แต่ทางการยังจับไม่ได้เพราะยังไม่มีหลักฐานเอาผิด หยางเค่อจะมาเที่ยวที่หอนี้เป็นบางครั้งบางคราวและส่วนใหญ่จะนอนค้างคืนในห้องของหยู่เยียน นอกจากหยู่เยียนไม่ว่างหรือตรงกับวันงดรับแขกหยางเค่อจึงจะนอนค้างคืนห้องสาวอื่นๆแทน สาวๆที่หอนี้ชอบหยางเค่อเพราะเขาเป็นลูกค้ากระเป๋าหนัก ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงในหอ เมาแล้วไม่อาละวาด ซูเจินเคยปรนนิบัติหยางเค่อครั้งหนึ่งแต่หยางเค่อแค่มานั่งดื่มเหล้าแล้วกลับออกไปกลางดึก แต่เมื่อคืนหยางเค่อปฏิเสธหยู่เยียนและเลือกค้างคืนที่ห้องของฉันทั้งคืน พวกคนในหอพูดถึงเรื่องนี้กันยกใหญ่ ทำให้หยู่เยียนโมโหใส่อารมณ์พาลคนในหอไปทั่ว หย่งหลุนจึงบอกให้ฉันอยู่แต่ในห้องเพื่อหลีกเลี่ยงหยู่เยียนอาละวาดหาเรื่องทะเลาะ

          ตกเย็นฉันไปพบเถ้าแก่เพื่อขอจ่ายเงินงดรับแขก แต่เถ้าแก่บอกว่าวันนี้ฉันงดรับแขกไม่ได้เพราะหานหยางเค่อจ่ายเงินล่วงหน้าจองฉันไว้คืนนี้แล้ว เถ้าแก่บอกว่าหยางเค่อสามารถอยู่กับฉันได้จนถึงตอนเช้าโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉันจึงควรอยู่กับหยางเค่อคืนนี้ ไม่เช่นนั้นเถ้าแก่จะส่งลูกค้าคนอื่นที่ให้ราคาสูงกว่ามาอยู่กับฉันแทน อีกทั้งยังข่มขู่ทวงหนี้ให้ฉันชดใช้คืนโดยเร็ว ฉันจึงตัดสินใจอยู่กับหยางเค่ออีกคืนหนึ่ง ซึ่งน่าจะหนักใจน้อยกว่าอยู่กับแขกคนอื่น ฉันจึงจ่ายเงินงดรับแขกให้ซูเจินแทน และอยู่แวะพูดคุยกับซูเจินที่ห้องพักของนางเพลินไปหน่อยจนมืดค่ำ จนมีสาวใช้เดินมาตามฉันและบอกว่าหานหยางเค่อมาแล้วให้ฉันออกไปต้อนรับ ช่วงหัวค่ำเริ่มมีลูกค้าเข้ามาเที่ยวในหอ วันนี้ผู้คนดูคึกคักคงเพราะคืนนี้มีการแสดงเต้นรำเทพธิดาดอกไม้ของหยู่เยียนจึงมีแขกมาที่นี่เยอะเพื่อมาดูหยู่เยียนเต้นรำ ฉันเดินก้มหน้าเดินตามสาวใช้เพื่อไปนั่งกับหยางเค่อที่กำลังนั่งดื่มเหล้าที่โถงรอชมการแสดงของหยู่เยียน ฉันเดินผ่านลูกค้าหลายคนจนเดินชนกับชายสูงวัยร่างท้วมเตี้ยคนหนึ่ง ที่ยืนขวางทางและโผเข้ามากอดรัดฉันไว้ไม่ให้เดินผ่านแล้วพูดว่า...

 ชายสูงวัย  : เจ้าคือเด็กที่อยู่ห้องหัวมุมสุดนั้นใช่มั้ย คืนนี้ข้าจะซื้อเจ้า เจ้าต้องทำให้ข้าร้องครวญครางเหมือนที่เจ้าทำกับเจ้าหนุ่มคนเมื่อคืน ข้าอยากได้แบบนั้น ข้าชอบเด็กดื้อ ฮ่าฮ่า
      สาวใช้  : เอ่อ…นายท่าน คืนนี้คุณชายหานซื้อตัวมี่จื่อแล้วเจ้าค่ะ
 ชายสูงวัย  : ซื้อได้ยังไง ก็ข้าเจอก่อน ข้าเห็นนางเพิ่งเดินเข้ามานี่เอง เถ้าแก่อยู่ไหนล่ะไปเรียกเถ้าแก่มา ข้าจะซื้อเด็กคนนี้
          มี่จื่อ  : ไอ้แก่! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!
 ชายสูงวัย  : เจ้าเรียกข้าว่าไอ้แก่รึ?!

          ฉันกัดฟันพูดเพราะเริ่มโมโหมองตาขวางที่เขามากอดฉันไว้ไม่ให้เดินผ่านไป ลูกค้าที่มาเที่ยวต่างหันมามองทางฉันว่าเกิดอะไรขึ้น และบางคนก็พูดนินทาว่า "สงสัยชายสูงวัยจะเมาลวนลามหญิงคณิกา" "เด็กคนนี้นี่เองที่ทำร้ายท่านกังกับคุณชายชุนจนเดินไม่ได้ไปหลายวัน" "คราวหน้าข้าจะลองซื้อนางดูบ้าง" "แต่ข้าได้ยินมาว่าต้องจ่ายเงินตอบคำถามให้ถูกต้องนางถึงจะยอมปรนนิบัติ ถ้าไม่ตอบคำถามนางจะทุบตีจนถึงกับเดินไม่ได้เชียวนา" ฉันได้ยินคำนินทาก็ยิ่งอารมณ์ขึ้นและทำท่าจะเอาหน้าผากโหม่งจมูกชายสูงวัยเพื่อให้เขาเจ็บและปล่อยฉัน ขณะที่ฉันกำลังสุดลมหายใจลึกๆเพื่อรวบรวมกำลังพร้อมจะโหม่ง ก็ได้ยินเสียงเถ้าแก่ร้องเรียกเสียงดังแว๊ด! มาแต่ไกลจนฉันตกใจหยุดชะงัก

      เถ้าแก่  : มี่จื่อ!!! หยุดนะ! ฮื่ม! ดีนะที่ข้ามาทันไม่งั้นข้าต้องเสียเงินเพราะเจ้าอีกแน่ๆ!
 ชายสูงวัย  : เถ้าแก่! ข้าจะซื้อนางคืนนี้
      เถ้าแก่  : ไม่ได้ค่ะนายท่าน คุณชายหานซื้อนางไปแล้ว ปล่อยนางเถอะ
 ชายสูงวัย  : ข้าจะเพิ่มเงินให้มากกว่าเขา
  หยางเค่อ  : ท่านฮวน! มาที่นี่วันนี้ฮูหยินฮวนนอนหลับไปแล้วรึ ได้ข่าวว่าฮูหยินฮวนไม่ชอบให้ท่านมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ ระวังฮูหยินฮวนตื่นมาตามอาละวาดท่านที่นี่ จะหาว่าข้าไม่เตือน
 ชายสูงวัย  : นี่เจ้า! (ชายสูงวัยจึงยอมปล่อยฉัน)
      เถ้าแก่  : เอาล่ะ! ทุกท่านไม่มีอะไรแล้วเชิญสนุกกันต่อ หยู่เยียนแต่งตัวใกล้เสร็จแล้ว อีกสักพักหยู่เยียนจะเต้นระบำเทพธิดาดอกไม้ ทุกท่านกรุณาอดใจรอ

          ชายสูงวัยปล่อยฉันด้วยความโมโหที่หยางเค่อข่มขู่ว่าจะไปฟ้องภรรยาเขาที่บ้าน หยางเค่อเดินหัวเราะกอดคอฉันพาไปนั่งที่โต๊ะตัวเล็กๆที่มีขวดเหล้าและถ้วยเหล้าวางอยู่ เป็นโต๊ะชนิดแบบนั่งพื้น และมีสาวอื่นคอยนั่งรินเหล้าหยอกเย้ากอดหอมแก้มเขาอยู่ข้างๆอีกสองคน ซึ่งฉันเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย ที่ต้องมานั่งมองดูพวกเขาลูบไล้กอดหอมแก้มกัน ฉันจึงหันหน้ามองไปทางอื่น ก็พบกับสายตาของลูกค้าบางคนมองมาแต่ฉันแกล้งทำเป็นไม่สนใจ และหันหน้าไปอีกทางหนึ่งก็หันไปสะดุดกับสายตาคู่หนึ่งที่มองมาจากโต๊ะที่นั่งอยู่ห่างออกไปทางด้านขวามือ เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลา ตาคม คิ้วเข้ม สวมใส่เสื้อผ้าสีขาว มีลวดลายเล็กๆบนเสื้อผ้าเป็นสีฟ้าอ่อนจางๆ มาดสุขุมกำลังนั่งดื่มเหล้า เขามากับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อน ใส่เสื้อผ้าสีเข้มบุคลิกท่าทางกะล่อน เจ้าชู้ นั่งดื่มเหล้าและคลอเคลียสาวอย่างเพลิดเพลิน ฉันมองสบตากับชายชุดขาวที่มองมาครู่หนึ่งแล้วหลบสายตาเขา หยางเค่อเอื้อมมือมาจับมือฉันแล้วทำเป็นกระแซะบอกให้ฉันรินเหล้าแล้วออดอ้อนป้อนเหล้าให้เขาดื่มหน่อย ฉันทำตามที่เขาขอจึงรินเหล้าใส่ถ้วยแล้วป้อนเหล้าให้เขาดื่ม หยางเค่อเบียดตัวกระแซะแล้วพูดใกล้ๆหูฉันว่า...

  หยางเค่อ  : ข้ารู้ว่าเจ้าอึดอัดที่เห็นสาวอื่นกอดหอมข้า นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ยอมปรนนิบัติข้า ข้าเลยต้องเรียกสาวอื่นมาคอยรินเหล้าให้ เพราะเจ้าน่ะจ้องแต่จะปล้นเงินในถุงเงินของข้าอย่างเดียว
          มี่จื่อ  : ฮ่าฮ่า ก็เมื่อวานข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ให้กลับมาหาข้าอีกยังไงล่ะ
  หยางเค่อ  : ข้ากลับมาตอบคำถามของเจ้าน่ะสิ ข้ายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ คำถามเศรษฐีที่ทำให้เจ้ากลายเป็นเศรษฐี
          มี่จื่อ  : ข้าก็หวังว่าข้าจะได้เป็นเศรษฐีในเร็ววัน

          เรานั่งดื่มเหล้ารอเวลาหยู่เยียนขึ้นเวทีแสดงระบำเทพธิดาดอกไม้ ฉันแอบเหลือบมองไปที่โต๊ะชายชุดขาว ก็เห็นเขายังมองมาที่ฉันอยู่บ่อยครั้ง ฉันคิดในใจว่าเขาจะมองทำไมนักนะ บางทีอาจจะมองฉันเพราะเหตุการณ์ทะเลาะกับท่านฮวนก่อนหน้านี้ หรือไม่ก็มองเพราะสนใจอยากเข้าห้องกับฉันแน่ๆ ชิ! ผู้ชายที่เข้ามาเที่ยวหอนางโลมก็ต้องคิดแบบนี้กันทั้งนั้น คงไม่มีใครเข้าหอนางโลมเพราะอยากมาสวดมนต์หรอก คอยดูนะถ้าเขามาเข้าห้องฉันเมื่อไหร่ล่ะก็ แม่!จะจัดลูกเตะผ่าปฐพีและตามซ้ำด้วยหมัดมังกรผงกเศียรเอาให้เดี้ยงไปเลย! ฉันคิดในใจ... สักพักเพื่อนของชายชุดขาวก็ชวนเขาพูดคุย

        หลี่จวิน  : เจ้ามองจ้องขนาดนั้นเขาก็รู้ตัวกันพอดี
เหยียนเหล่ย  : หญิงคณิกาคนนั้นยังเด็กเกินไปหรือเปล่าที่มาทำงานแบบนี้?
        หลี่จวิน  : พวกผู้ชายที่มาสถานที่แบบนี้เพราะมาหาเด็กๆนี่แหละ ถ้ามีแต่ผู้หญิงแก่ๆใครเค้าจะยอมเสียเงินมาเที่ยวกันเล่า
เหยียนเหล่ย  : แล้วทำไมท่านต้องลากข้ามาที่นี่ด้วย ท่านมาคนเดียวก็ได้นี่นา (เหยียนเหล่ยยกเหล้าขึ้นดื่มด้วยใบหน้าเรียบเฉย)
        หลี่จวิน  : ก็ลี่ถังน่ะซี่คอยจ้องจับผิดข้าตลอดเวลา ถ้าไม่บอกว่าข้ามาที่นี่กับเจ้า นางก็ไม่เชื่อว่าข้ามาทำงาน
เหยียนเหล่ย  : อย่าว่าแต่ลี่ถังไม่เชื่อ ข้าเองยังคิดว่าท่านมาเที่ยวเลย (เหยียนเหล่ยยิ้มเล็กน้อยเพราะรู้ทันหลี่จวิน)
        หลี่จวิน  : เจ้าอย่าพูดแบบนี้สิ! ข้ามาทำงานจริงๆ
เหยียนเหล่ย  : ว่าแต่...หยางเค่อเขาแค่มาเที่ยวหรือนัดพบกับใครไว้ที่นี่กันแน่ มาที่นี่สองคืนติดกันแล้ว
        หลี่จวิน  : จับตาดูต่อไปเถอะน่า
เหยียนเหล่ย  : ข้าคอยจับตาดูเขาอยู่แล้ว ว่าแต่ท่านเถอะคอยจับอะไรอยู่....
        หวี่จวิน  : แหมๆ เรามาหอนางโลมถ้าไม่คลอเคลียสาวๆเลยมันจะไม่แนบเนียน ให้ข้าเรียกสาวๆมาเพิ่มให้เจ้าดีกว่า
เหยียนเหล่ย  : พอแล้ว สำหรับข้าแค่รินเหล้าให้ข้าก็พอ
        หลี่จวิน  : หรือเจ้าอยากให้สาวน้อยหน้าแปลกๆนั่นมาคอยรินเหล้าให้เจ้าล่ะ คราวหน้าข้าจะซื้อนางให้เจ้า เจ้าต้องหาเวลาปลดปล่อยความเครียดซะบ้าง หาความรื่นรมย์กับสาวๆบ้าง เก็บกดไว้มันจะไม่ดี ดูอย่างข้าสิอารมณ์ดีไม่เครียดเลย
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่ได้เก็บกด แต่ข้าไม่กินอะไรไปทั่วเหมือนท่าน (เหยียนเหล่ยส่ายศรีษะแล้วยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม)
        หลี่จวิน  : ข้าไม่ได้กินอะไรไปทั่ว แต่ข้าเป็นคนขี้เกรงใจถ้าข้าไม่กินพวกสาวๆจะเสียใจ (หลี่จวินหันไปถามหญิงคณิกาคนหนึ่งที่กำลังรินเหล้าเติมใส่ถ้วยให้เหยียนเหล่ยว่า...) เด็กคนนั้นชื่ออะไรรึ หน้าตาแปลกจัง?
หญิงคณิกา1  : อ๋อ! นางชื่อ มี่จื่อ เป็นเด็กใหม่เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน มีนิสัยป่าเถื่อน มาวันแรกก็ทำร้ายหวังหย่งคนดูแลความปลอดภัยของหอจนบาดเจ็บยังพักรักษาตัวที่บ้านอยู่เลย นี่ก็เพิ่งทำร้ายแขกบาดเจ็บไปอีกสองคน จนเถ้าแก่เอือมระอาหมดเงินค่ายารักษาแขกไปตั้งเยอะ ถ้าเมื่อกี้เถ้าแก่มาไม่ทันนางคงจะทำร้ายท่านฮวนอีกคนแน่
หญิงคณิกา2  : ใช่ๆ ข้าเห็นนางตั้งท่าจะเอาหัวโขกท่านฮวนด้วย เป็นเด็กที่ร้ายกาจมาก แต่เมื่อวานคุณชายหานเพิ่งมาปราบพยศ ไม่ถูกนางทำร้ายให้บาดเจ็บแถมยังเดินออกมาจากห้องนางได้อย่างปลอดภัยในตอนเช้าอีกด้วย วันนี้คุณชายหานก็ยังมาหานางอีก ไม่รู้ติดใจอะไรนางเด็กบ้านนอกนั่นนักหนา
        หลี่จวิน  : คงเพราะนางเป็นสาวแรกรุ่นเลยยังติดใจอยู่น่ะสิ
หญิงคณิกา1  : สาวใช้หน้าห้องที่เข้าไปทำความสะอาดบอกว่าไม่เห็นรอยเลือดบนเตียง คุณชายหานอาจจะยังไม่ได้มีอะไรกับนาง สาวใช้แอบได้ยินมาว่าถ้าคุณชายหาญตอบคำถามเศรษฐีของนางได้นางจะยินยอมให้ร่วมหลับนอน คุณชายหานจึงเล่นด้วย นางจึงไม่ลงมือทำร้าย
        หลี่จวิน  : แล้วคำถามคืออะไรรึ
หญิงคณิกา1  : เอ... คำถามคืออะไรน๊า... อ๋อนึกออกแล้วคำถามคือ กระบี่อะไรหายากที่สุดจนแทบพลิกแผ่นดิน
        หลี่จวิน  : แล้วคุณชายหานตอบคำถามได้มั้ย?
หญิงคณิกา1  : น่าจะยังตอบไม่ได้
        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ยเจ้ารู้คำตอบหรือไม่?
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่รู้?
        หลี่จวิน  : อืม มีเงินอย่างเดียวไม่ได้สินะ เป็นเด็กที่ร้ายไม่เบา ส่วนคุณชายหานก็ดูจะชอบเรื่องท้าทาย เหมาะกันดี โอ๊ะ! หยู่เยียนมาแล้วงดงามสมกับเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหอจริงๆ

          หยู่เยียนอยู่ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเผยให้เห็นทรวดทรงกลมกลึงเดินขึ้นเวทีแสดงโยกย้ายส่ายสะโพกเย้ายวนชวนมอง มือแขนโอนอ่อน และสายตายั่วยวนเวลามองดูเชิญชวนนัก ด้วยความที่ฉันก็ไม่ค่อยชอบหยู่เยียนสักเท่าไหร่ ฉันจึงกระซิบบอกหยางเค่อว่าฉันนั่งนานๆแล้วรู้สึกเมื่อยขอตัวขึ้นไปรอเขาบนห้อง หยางเค่อบอกว่าให้ฉันขึ้นห้องไปก่อนสักครู่เขาจะตามไป ฉันจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปขึ้นบันไดไปชั้นสอง ขณะกำลังเดินจะไปที่บันไดทางขึ้น ก็มีชายรูปร่างล่ำสันแข็งแรงคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาหาจนฉันตกใจ เขาถามอะไรตอนแรกฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันจึงทำนิ้วชี้ชูขึ้นเป็นภาษามือว่าให้เขาพูดอีกครั้งหนึ่ง เขาก็พูดอีกครั้งฉันก็ยังฟังไม่เข้าใจ ฉันจึงตั้งใจฟังเขาพูดอีกครั้งจนจับใจความได้ว่า "ห้องน้ำไปทางไหน?" ฉันจึงชี้นิ้วบอกว่าให้เขาเดินไปทางนั้นเลี้ยวซ้ายตรงประตูออกไปจะเจอห้องน้ำ ชายคนนั้นออกอาการประหลาดใจและดีใจที่ฉันเข้าใจที่เขาพูด และยังถามฉันอีกว่า "ร้านตีเหล็กไปทางไหนจะรีบไปร้านตีเหล็ก" ชายหนุ่มล่ำสันล้วงมือเข้าไปในเสื้อหยิบแผ่นหนังคล้ายแผนที่ออกมากางให้ฉันดูว่าเขาจะไปร้านตีเหล็กสกุลจาง ฉันจึงถามสาวใช้ที่เดินถือกาเหล้าผ่านมาพอดี ให้บอกทางหนุ่มล่ำสันแต่สาวใช้ไม่เข้าใจภาษาที่เขาพูดฉันจึงต้องช่วยแปลให้ สาวใช้บอกทางไปร้านตีเหล็กจากนั้นจึงเดินจากไป หนุ่มล่ำสันที่คอห้อยสร้อยคอคล้ายเครื่องรางทำจากไม้สีดำสนิทกล่าวขอบใจฉัน แล้วบอกต่ออีกว่าเขาชื่อซิ่นปิง จะไปร้านตีเหล็ก พอดีเขาเห็นที่นี่มีคนคึกคักจึงเดินเข้ามาดู จึงรู้ว่าที่นี่เป็นหอนางโลม เขาเดินหาห้องน้ำเข้าก่อนและจะไปทำธุระต่อที่ร้านตีเหล็ก จากนั้นจึงกล่าวขอบใจฉันอีกครั้งและเดินออกจากหอไป ฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังถูกจ้องมองอยู่ และกำลังจะเดินก้าวขึ้นบันได หยางเค่อจู่ๆก็ลุกขึ้นเดินมาหาฉันแล้วถามว่าฉันพูดคุยอะไรกับชายหนุ่มนั่น ฉันจึงเล่าให้หยางเค่อฟังว่าชายหนุ่มแค่มาถามทางไปร้านตีเหล็กสกุลจาง หยางเค่อจึงหยุดดูระบำแล้วเดินกอดคอพาฉันเข้าไปในห้องและปิดประตู

หมายเหตุ

*มี่จื่อ แปลว่า เด็กปริศนา

*หวังหย่ง (นักเลงคุมหอนางโลม) แปลว่า กล้าหาญ

*หย่งหลุน (คนดูแลคอกม้าหอนางโลม) แปลว่า กล้าหาญ มีคุณธรรม

*ซูเจิน (หญิงคณิกา) แปลว่า ความแท้จริงที่สวยงาม

*หยู่เยียน (หญิงคณิกา) แปลว่า หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มทรงเสน่ห์

*หยางเค่อ แปลว่า ชายผู้มีความสามารถ

*หลี่จวิน แปลว่า แข็งแรง เข้มแข็ง กองทหาร

* เหยียนเหล่ย แปลว่า ภาษา/วาจา ใหญ่โต

*ลี่ถัง แปลว่า น้ำตาลหรือขนมหวานที่น่ารัก

*ซิ่นปิง แปลว่า ความศรัทธาและน้ำแข็ง

*กุ้ยฮวา แปลว่า ดอกไม้ที่ล้ำค่า

太陽系デスコ うたった島爺
Solar System Disco
Youtube by : SymaG Official

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 6
(ชายหนุ่มข้างกำแพง)

          หยางเค่อพาฉันมานั่งที่โต๊ะภายในห้องแล้วรินเหล้าให้ฉันดื่ม เขาดูจะสนอกสนใจเรื่องที่ฉันพูดคุยกับซิ่นปิงชายหุ่นล่ำเนื้อแน่น เขาถามฉันว่าทำไมถึงเข้าใจภาษาของชนเผ่าไม้ดำ ฉันตอบว่าไม่รู้อยู่ๆก็ฟังเข้าใจได้เองและอาศัยสังเกตุอาการและท่าทางที่ซิ่นปิงพยายามสื่อสารออกมา จากนั้นก็คาดเดาเอาว่าเขาหมายถึงอะไรแต่บังเอิญคาดเดาถูก ฉันให้เหตุผลกับหยางเค่อว่าเกิดจากการคาดเดาที่มีหลักการณ์ เขาถามฉันต่ออีกว่าฉันเป็นคนชนเผ่าหรือเปล่า เป็นคนชนเผ่าอะไร

          มี่จื่อ  : ชนเผ่าสมุทร…
  หยางเค่อ  : ชนเผ่าสมุทร มีด้วยรึ? มาจากทะเลรึ? ในดินแดนนี้มีหลายชนเผ่าก็จริง แต่ชนเผ่าสมุทรไม่มีหรอก
          มี่จื่อ  : มีสิ! ข้านี่ไงเป็นผู้ก่อตั้งคนแรก คนเดียว ข้าเป็นหัวหน้าเผ่า
  หยางเค่อ  : ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ากวนประสาทจริงๆ เออนี่! แล้วซิ่นปิงหยิบอะไรให้เจ้าดู เป็นแผนที่งั้นรึ เจ้าอ่านแผนที่ออกด้วยรึ
         มี่จื่อ  : อื้ม! ก็พอจะอ่านออกนิดหน่อย เป็นแผนที่เขียนบนแผ่นหนัง แผนที่ไปร้านตีเหล็ก
 หยางเค่อ  : อืม…เป็นแผนที่ไปร้านตีเหล็กหรอกรึ? งั้นเจ้ารู้มั้ยสัญลักษณ์นี่คืออะไร

           หยางเค่อเอานิ้วจุ่มในเหล้าแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะ เป็นรูปวงกลมและมีขีดสองขีดข้างล่าง ฉันมองดูแล้วเอียงหน้าเอียงคอมองซ้ายมองขวา แล้วแบมือยื่นไปตรงข้างหน้าหยางเค่อ

          มี่จื่อ  : กติกาเดิม จ่ายเงินค่าคำตอบ
  หยางเค่อ  : ถ้าคำตอบผิดข้าก็สูญเงินเปล่าน่ะสิ
          มี่จื่อ  : ท่านก็สูญเงินเปล่ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จะสูญเงินเปล่าวันนี้อีกสักวันจะเป็นไรไป มันไม่สะเทือนทำให้ถุงเงินท่านขาดหรอก แล้วแต่ท่านนะ...แต่ก็ดีเหมือนกันถ้าข้าดูผิดท่านจะได้ไม่ต้องตามมาด่าข้าภายหลัง
  หยางเค่อ  : ก็ได้ ลองดูก็ได้ (หยางเค่อล้วงหยิบเงินในถุงใส่มือฉันจำนวนหนึ่ง) อ่ะ! ตอบมาสัญลักษณ์อะไร
          มี่จื่อ  : มันคือ สอง
  หยางเค่อ  : ห๊า?! ทำไมเป็นสองล่ะ?
          มี่จื่อ  : ก็...วงกลม คือศูนย์ ศูนย์มันไม่มีค่านับไม่ได้ ส่วนขีดสองขีดข้างล่าง คือสอง นับได้สองขีด
  หยางเค่อ  : มันคิดง่ายเกินไปหรือเปล่า?! มันไม่ได้หมายถึงแท่นบูชาหรอกรึ? วงกลมคือพระอาทิตย์ ส่วนสองขีดข้างล่างคือแท่นบูชา
          มี่จื่อ  : ไม่รู้สิ! นั่นคือจินตนาการของท่าน ส่วนจินตนาการของข้ามันคือ สอง
   หยางเค่อ  : เจ้านี่มันพูดจามั่วซั่วทำหน้าตายจริงๆ กะไว้แล้วเชียวว่าข้าต้องสูญเงินเปล่า งั้นเฉลยคำตอบของเจ้ามา กระบี่ที่หายากที่สุดจนต้องพลิกแผ่นดินคือกระบี่อะไร อ่ะ! นี่เงินเอาไป!
          มี่จื่อ  : กระบี่ที่หายากที่สุดจนต้องพลิกแผ่นดิน คือ กระบี่หาย! เพราะกระบี่มันหายไปแทบจะพลิกแผ่นดินตามหากว่าจะหาเจอ โคตรเหนื่อยเลย! ฮ่าฮ่า
  หยางเค่อ  : นี่เจ้า!!! ข้าเสียรู้เจ้าจนได้ ฮ่าฮ่าฮ่า ขี้โกงกันชัดๆ เอาล่ะ! คืนนี้เจ้าก็นอนหลับให้สบายเถอะเพราะข้าซื้อเจ้าไว้แล้วทั้งคืน แต่พอดีคืนนี้ข้ามีธุระต้องไปทำ ข้าแค่แวะมาดื่มเหล้า มาเล่นกับเจ้าก่อนไปทำธุระ ข้าไปล่ะ

          หยางเค่อจูบที่ริมฝีปากฉันครู่หนึ่งแล้วยิ้มหวานให้ จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง ฉันจึงมีความคิดว่าจะกลับลงไปนอนที่ห้องพักของหย่งหลุนเพื่อที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องสาวใช้มารอทำความสะอาดห้องในตอนเช้า ฉันรอเวลาอยู่สักครู่หนึ่งจึงค่อยๆแง้มประตูดูผู้คนด้านนอกเห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับการแสดงเต้นรำชุดที่สองของหยู่เยียน ฉันแอบมองไปที่โต๊ะของชายชุดขาวคนนั้นเห็นเขานั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียว ส่วนเพื่อนของเขาอีกคนหนึ่งไม่ได้นั่งอยู่ด้วยแล้ว เชอะ! ฉันทำเสียงหมั่นใส้แล้วหันมองไปตามทางเดินโล่งปลอดลูกค้าขี้เมา จึงเปิดประตูออกมาแล้วรีบเดินก้มหน้าเอาปลายแขนเสื้อคอยบังหน้าเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุ รีบเดินลงบันไดเดินหลบไปตามมุมมืด พอมีลูกค้าเดินผ่านมาฉันก็แกล้งหันหลังบ้าง แกล้งก้มเก็บของบ้างแล้วรีบเดินออกประตูหอไปทางด้านข้างเพื่อจะกลับไปที่ห้องพักของหย่งหลุน ระหว่างทางก่อนถึงห้องพักของหย่งหลุน พบลูกค้าเมาเหล้ากำลังยืนอาเจียรอยู่ข้างพุ่มไม้แล้วพูดพร่ำบ่นอะไรสักอย่างคนเดียวตามประสาคนเมา พอเขาอาเจียรเสร็จก็ยกเหล้าดื่มอีกครั้งเพื่อล้างปาก ฉันจึงเดินหลบไปอีกข้างหนึ่งตรงทางเข้าข้างๆกำแพง สักพักลูกค้าคนเมาก็เดินมาใกล้ๆกำแพงตรงที่ฉันยืนแอบอยู่ ฉันค่อยๆขยับเท้าถอยหลังทีละนิดเพื่อหลบเข้ามุมมืดเพื่อไม่ให้คนเมาคนนั้นมองเห็น และแล้วฉันก็ตัองสะดุ้งตกใจเพราะถอยหลังชนกับใครสักคนหนึ่งที่ยืนอยู่ทางด้านหลังฉันตอนไหนก็ไม่รู้ เขารีบเอามือข้างหนึ่งเอื้อมมาปิดปากฉันไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งโอบกอดไม่ให้ดิ้น เขาทำเสียงข้างหูเบาๆว่า "ชู่ววว" แล้วชี้นิ้วไปที่คนเมาที่กำลังเดินมาใกล้ๆ เขาขยับพลิกตัวให้ฉันหันหน้าเข้าหากำแพงแต่ยังคงเอามือปิดปากฉันไว้อย่างนั้น แล้วก้มหน้าซุกไซ้ทำทีคล้ายจูบหอมซอกคอและกอดฉันไว้ทางด้านหลังส่วนมืออีกข้างหนึ่งกลับลูบไล้เหมือนค้นหาสิ่งของไปทั่วตัวฉันตั้งแต่หน้าอก หน้าท้อง ก้น จนถึงต้นขา ทำเอาฉันรู้สึกวูบวาบขนลุก พอคนเมาเดินมาเห็นเขายืนลูบไล้กอดหอมฉัน คนเมาคนนั้นจึงบ่นพึมพำว่า "เฮ่อ...หนุ่มสาวสมัยนี้ใจร้อนกันจริงๆ ไปกอดจูบกันในห้องเซ่ ไม่นึกอายคนอื่นกันบ้างเลย เฮ่อ! ข้ามาเที่ยวที่นี่ตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่เจอเด็กสาวๆแบบนี้บ้างนะ ข้าจะได้คึกคักมากกว่านี้!" แล้วคนเมาก็เดินบ่นพึมพำจากไป เขาจึงปล่อยมือออกจากตัวฉันแล้วถอยหลังแวบหายตัวไปในความมืด ทำให้ฉันไม่เห็นว่าเขาเป็นใครมีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆที่ฉันได้กลิ่นตอนถูกเขากอดซุกไซ้ พอตั้งสติได้ฉันก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องพักของหย่งหลุนลงกลอนสลักทันที

          รุ่งเช้าซูเจินเดินลงมาหาฉันที่ห้องเล็กด้านล่าง แต่ไม่พบฉันในห้องนั้น นางจึงรีบเดินมาหาหย่งหลุนที่ห้องพักและเห็นหย่งหลุนท่าทางงัวเงียเพิ่งตื่นนอนและเพิ่งเดินออกมาจากห้อง ซูเจินรีบเดินเข้ามาหาหย่งหลุนด้วยความร้อนใจแล้วถามหย่งหลุนว่า

        ซูเจิน  : พี่หย่งหลุน! มี่จื่อไม่ได้อยู่ที่ห้องเล็ก นางหายไปไหนไม่รู้ ข้าไปหานางที่ห้องรับแขกที่ชั้นสองนางก็ไม่อยู่
   หย่งหลุน  : ชู่ววว! มี่จื่อนอนหลับอยู่ในห้องข้า
        ซูเจิน  : มี่จื่อกำลังนอนหลับอยู่ในห้องพี่หย่งหลุน....?! (ซูเจินตกใจจนพูดไม่ออก แต่เริ่มมีน้ำตาคลอและพยายามเก็บอาการเอาไว้)
   หย่งหลุน  : ใช่ มี่จื่อแอบกลับมานอนเมื่อคืนเพราะคุณชายหานไม่ได้อยู่ค้างคืนกับนาง เดี๋ยวข้าไปปลุกมี่จื่อให้
        ซูเจิน  : เอ่อ ฝากบอกมี่จื่อด้วยว่า เถ้าแก่เรียกให้นางไปพบ ข้าไปล่ะ (ซูเจินรีบเดินกลับไปทั้งน้ำตาเพราะคิดว่าหยุงหลุนกับฉันมีอะไรกันในห้อง)
  หย่งหลุน  : ซูเจิน! เดี๋ยวก่อนสิ!... รอก่อน จะรีบไปไหน...เลยไม่รู้เลยเถ้าแก่เรียกมี่จื่อไปทำไมแต่เช้านะ

          หย่งหลุนเข้ามาปลุกฉันให้ฉันตื่นนอนแล้วให้รีบไปล้างหน้าเพื่อพบเถ้าแก่ที่ห้อง หย่งหลุนพาฉันไปพบเถ้าแก่เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเถ้าเรียกฉันไปพบทำไม ฉันเดินเข้าไปในห้องพบเถ้าแก่กำลังนั่งสูบยาหน้าตาเคร่งเครียด เถ้าแก่เห็นหย่งหลุนมากับฉันด้วย นางจึงเรียกให้หย่งหลุนเข้ามาในห้องด้วยกัน เถ้าแก่บอกว่าฉันไม่ต้องรับแขกแล้ว ให้ย้ายไปทำงานในโรงครัวตั้งแต่วันนี้เลย และอย่าโผล่หน้าเข้าในหอให้หยางเค่อเห็นเด็ดขาด เพราะหยู่เยียนไม่พอใจที่หยางเค่อหันมาให้ความสนใจฉัน ทำให้หยู่เยียนรู้สึกเสียหน้าและข่มขู่เถ้าแก่ว่าหากฉันยังทำงานรับแขกอยู่ล่ะก็ หยู่เยียนจะออกจากหอที่นี่แล้วย้ายไปอยู่หอนางโลมอื่น เถ้าแก่จึงต้องยอมเพราะลูกค้ากระเป๋าหนักส่วนใหญ่เป็นแขกประจำของหยู่เยียน หากหยู่เยียนย้ายไปอยู่ที่หออื่นเถ้าแก่จะขาดรายได้เป็นจำนวนมากไป พอฉันกับหย่งหลุนรู้ดังนั้นจึงพากันดีใจจนออกนอกหน้า เราจึงรีบกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ ฉันบอกหย่งหลุนว่าจะแวะไปหาซูเจินก่อนเพื่อบอกข่าวดีเกี่ยวกับฉันว่าไม่ต้องรับแขกอีกแล้ว หย่งหลุนจึงแยกตัวกลับไปที่ห้องพักเพื่อเตรียมอาหารเช้าและบอกฉันว่า บอกข่าวดีกับซูเจินเสร็จแล้วให้รีบกลับลงไปกินอาหารเช้าพร้อมกัน ฉันจึงบอกว่าหย่งหลุนว่างั้นจะชวนซูเจินมากินอาหารเช้าด้วยกันเลย ฉันจึงรีบวิ่งไปที่ห้องของซูเจินทันที

          ฉันเคาะประตูเรียกซูเจิน นางเดินมาเปิดประตูด้วยดวงตาแดงๆจมูกแดงๆเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้ ฉันจึงซักถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจึงร้องไห้ ซูเจินบอกว่าไม่มีอะไรแค่คิดถึงครอบครัวทางบ้าน ซูเจินจึงถามฉันว่าเถ้าแก่เรียกฉันไปพบเรื่องอะไร ฉันจึงเล่าให้ซูเจินฟังว่าฉันถูกย้ายให้ไปทำงานในโรงครัว ซูเจินกล่าวแสดงความยินดีกับฉันด้วย ฉันจึงชวนซูเจินไปกินอาหารเช้าด้วยกัน แต่นางปฏิเสธและบอกว่าเช้านี้กินอะไรไม่ค่อยลง

          มี่จื่อ  : ว๊า! เสียดายจังเลย พี่หย่งหลุนเตรียมอาหารเช้าเผื่อพี่ซูเจินไว้ด้วย
        ซูเจิน  : เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวพี่หย่งหลุนจะรอ
          มี่จือ  : กลับไปพี่หย่งหลุนคงทำหน้าเหี่ยวใส่ข้าแน่ถ้าพี่ซูเจินไม่ได้ไปด้วย
        ซูเจิน  : ข้าไม่ได้มีความสำคัญอะไร เขาไม่ทำหน้าเหี่ยวใส่เจ้าหรอก
          มี่จื่อ  : สำคัญสิ พี่ซูเจินสำคัญสำหรับพี่หย่งหลุนจะตายไป
        ซูเจิน  : แต่เจ้ากับพี่หย่งหลุน... เมื่อคืนเจ้านอนค้างคืนในห้องพี่หย่งหลุน
          มี่จือ  : ชู่ววว! ข้านอนอยู่ในห้องพี่หย่งหลุนมาหลายคืนแล้ว
        ซูเจิน  : เจ้ากับพี่หย่งหลุนมีอะไรกันจริงๆงั้นรึ....?!
          มี่จื่อ  : ไม่มี! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พี่หย่งหลุนเห็นข้าเป็นเพียงน้องสาว เขาสงสารข้าและกลัวลูกค้าเมาเหล้าจะไปรังแกข้าในห้องเล็กเพราะกลอนประตูห้องของข้ามันไม่แข็งแรง พี่หย่งหลุนจึงให้ข้าไปนอนในห้องพักของเขา เพราะส่วนใหญ่เขานอนที่คอกม้า แต่เมื่อคืนลูกค้ากลับเร็วพี่หย่งหลุนจึงเพิ่งกลับมานอนในห้องตอนใกล้เช้า แต่ตอนนี้ข้ามีเงินแล้ว ข้าจะไปซื้อวัสดุมาซ่อมประตู อีกอย่างพี่หย่งหลุนมีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่เขาไม่กล้าสารภาพรัก เพราะกลัวถูกปฏิเสธ พี่หย่งหลุนบอกข้าว่าหากผู้หญิงคนนั้นไม่ปฏิเสธความรักของเขา เขาจะพยายามเก็บเงินให้เยอะๆแล้วออกไปสร้างครอบครัวด้วยกัน อยู่กันสามคนคือพี่หย่งหลุนกับภรรยา และข้าที่เป็นน้องสาว แต่แค่ก้าวแรกชวนไปกินข้าวเช้าด้วยกันก็ถูกปฏิสธซะแล้ว อย่างนี้ก้าวที่สองจะเดินต่อไปได้ยังไง เฮ่อ! น่าเศร้าใจแทนพี่หย่งหลุนเหลือเกิน…
        ซูเจิน  : จริงรึ?! พี่หย่งหลุนพูดแบบนั้นจริงๆรึ?!
          มี่จื่อ  : อื้ม! ยังจะไปกินข้าวด้วยกันอยู่ป่ะล่ะ?
        ซูเจิน  : อื้ม! (ซูเจินยิ้มเขินอาย)
          มี่จื่อ  : ก้าวแรกไปกินข้าว ก้าวที่สองแต่งงานกันเลยเนอะ (ฉันแกล้งหยอกเย้าซูเจินจนนางเขินอาย)

          หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จและปรับความเข้าใจกันเรื่องที่ฉันพักอยู่ในห้องของหย่งหลุนจนเป็นที่เข้าใจกันแล้ว ช่วงสายๆหย่งหลุนบอกจะพาฉันออกไปหาซื้อวัสดุซ่อมแซมประตู และจะพาไปดูร้านค้าต่างๆเพราะบางครั้งฉันอาจต้องออกมาซื้อของที่ตลาดให้สาวๆในหอด้วยหากพวกนางไม่ต้องการออกมาเอง หย่งหลุนบอกว่าเวลาที่ฉันเดินออกไปข้างนอกให้เอาผ้าเช็ดหน้ามาคอยบังหน้าตาไว้ด้วยเพราะใบหน้าฉันแตกต่างจากคนในเมืองพอสมควร อีกทั้งยังเกรงว่าลูกค้าที่เคยถูกฉันทำร้ายหากมาเจอในตลาดอาจจะถูกแก้แค้นคืนเอาได้ ฉันจึงพูดหยอกเล่นกับหย่งหลุนว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสาวใช้แล้วจะเอาเขม่าที่ติดก้นหม้อสีดำมาทาหน้าเป็นปานเป็นไฝ แค่นี้ก็ไม่มีใครจำได้ แต่หย่งหลุนกลับเห็นด้วยว่าเป็นความคิดที่ดี ซูเจินจึงไปหาเสื้อผ้าเก่าๆของนางมาให้ฉันสวมใส่ จากนั้นฉันนำเขม่าดำก้นหม้อมาทาที่คิ้วให้หนาเป็นแท่งแบบการ์ตูนชินจังที่ฉันเคยดูในทีวีที่โลกเก่า และทาแก้มดำข้างหนึ่งทำเป็นปานดำ แต้มจุดกลมสีดำเป็นไฝเม็ดใหญ่เหนือริมฝีปาก หย่งหลุนกับซูเจินเห็นหน้าฉันแล้วพากันหัวเราะ ซูเจินบอกว่ามันดูตลกมากกว่าน่าเกลียด และดูเป็นจุดสนใจให้คนหันมามองมากกว่าตอนแรกเสียอีก ฉันจึงแกล้งซูเจินกับหย่งหลุนเอาเขม่าดำวิ่งไล่ป้ายหน้าตาให้ทั้งสองคนเป็นที่สนุกสนาน

白露音阙诗听录音棚版二十四节气系列歌曲
กวีของ Bai Lu Yinque
Youtube by : Youtube User

Youtube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 7
(นักมายากลที่ตลาด)

          เราเล่นกันอยู่สักพักหย่งหลุนจึงพาฉันออกไปที่ตลาดซื้อวัสดุซ่อมแซมประตู หย่งหลุนชี้ชวนดูร้านค้าต่างๆที่หญิงคณิกาชอบให้สาวใช้มาซื้อ ฉันหันไปเห็นร้านขายดอกไม้จึงชวนหย่งหลุนไปซื้อดอกไม้ไปฝากซู่เจิน เราเดินกันไปเรื่อยๆพบมีผู้คนกลุ่มหนึ่งประมาณ 5-6 คนกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง หย่งหลุนบอกว่าเป็นการแสดงกลเหรียญล่องหน เพื่อขายเหรียญกล เราจึงชวนกันไปดูใกล้ๆนักแสดงกลกำลังแสดงหยิบเหรียญไว้ในมือ แล้วอาศัยการสลับมือที่รวดเร็วให้เหรียญไปอยู่อีกมือหนึ่ง ขณะกำลังยืนดูอยู่นั้นฉันรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งขยับเข้ามายืนชิดติดด้านหลังฉันแต่ชิดมากจนหน้าอกเขาแนบชิดติดหลังฉัน แต่ฉันไม่ได้หันกลับไปมองเพราะคิดว่าผู้คนคงเริ่มเข้ามามุงดูกันมากขึ้นจึงมีการเบียดดันกันตามปกติ การแสดงกลเหรียญล่องหนสนุกและแนบเนียนมาก เพราะคนแสดงกลมือไวและชำนาญ แต่ฉันรู้จักกลนี้มาก่อนเพราะฉันเคยลองฝึกเล่นที่โลกเก่าตามวิดีโอบนยูทูป แต่ฝึกเล่นไม่สำเร็จจึงเลิกล้มไปเสียก่อน พอการแสดงกลจบนักแสดงก็พูดว่าหากใครสามารถจับผิดกลของเขาได้ เขาจะให้เหรียญสำหรับการแสดงหนึ่งเหรียญโดยไม่คิดเงิน ฉันยกมือขึ้นแล้วบอกว่าเหรียญถูกซ่อนอยู่ระหว่างโคนนิ้วกับข้อนิ้วมือด้านใน และอีกจุดคือวางซ่อนอยู่ระหว่างหลังมือกับข้อมือ มีชาวบ้านคนหนึ่งถามว่าแล้วเหรียญล่องหนสลับไปอยู่อีกมือได้ยังไง? ฉันตอบว่า เพราะนักแสดงกลอาศัยความเร็วและใช้มุมมองให้มือและนิ้วมือบังพรางเหรียญที่ซ่อนอยู่ จากนั้นแกล้งยกมือสองข้างให้ดูว่าในมือไม่มีอะไรแต่ความจริงเหรียญถูกซ่อนอยู่ระหว่างหลังมือกับข้อมือ และอาศัยความเร็วช่วงสลับมือแล้วแอบปล่อยเหรียญใส่มืออีกข้างหนึ่ง นักแสดงเริ่มหน้าเสียแล้วบอกว่าฉันตอบผิด

นักแสดงกล  : เจ้าตอบผิดเพราะข้าซ่อนเหรียญในแขนเสื้อ
            มี่จื่อ  : เจ้าโกหก! เพราะการซ่อนเหรียญในแขนเสื้อมันทำได้ไม่สะดวก จะทำให้นักแสดงกลมีโอกาสผิดพลาดสูงในการซ่อน และการนำเหรียญออกมาใช้จากแขนเสื้อมีโอกาสสูงที่เหรียญจะตกลงพื้น ดังนั้นการซ่อนเหรียญในแขนเสื้อนั้นนักแสดงกลจะไม่นิยมทำ หรือไม่ทำเลย
นักแสดงกล  : ข้าเป็นคนแสดงกล ข้าบอกอยู่นี่ไงว่าซ่อนเหรียญในแขนเสื้อ!
            มี่จื่อ  : งั้นดูนี่ข้าจะทำให้ดู ว่าเหรียญไม่ได้ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ!

          ฉันหยิบเหรียญในมือนักแสดงกลมาวางที่โคนนิ้วให้เหรียญขัดไว้กับข้อนิ้วในมือ แล้วแสดงกลตามขั้นตอนที่ฉันอธิบายไปก่อนหน้านี้ แล้วแถมแสดงด้วยการเอามือไปแตะใกล้ๆหูหญิงสาวชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆและทำเป็นหยิบเหรียญออกมาจากหูหญิงสาว เรียกเสียงตบมือและเสียงฮือฮาจากชาวบ้านที่มุงดูอยู่ จนนักแสดงกลโมโห

นักแสดงกล  : พวกเจ้าออกไป! ออกไปจากร้านข้า
   ชาวบ้าน1  : เจ้าโกหกนี่นา นางเฉลยกลของเจ้าได้ ให้เหรียญนางไปสิ
   ชาวบ้าน2  : ใช่ๆ นางแสดงกลสนุกกว่าเจ้าเสียอีก
นักแสดงกล  : ไปให้หมด ข้าปิดร้านแล้ว!

          นักแสดงกลโมโห จัดแจงเก็บของเตรียมตัวปิดร้าน ชาวบ้านเริ่มพูดพึมพำนินทานักแสดงว่าขี้โกหก ขี้โกงเด็ก แล้วแยกย้ายกันเดินออกไปจากร้าน หย่งหลุนสะกิดและชวนฉันให้ออกจากร้านเพื่อกลับหอ ฉันสะบัดหน้าเชอะ!ใส่นักแสดงที่โกหกไม่ยอมให้เหรียญ และหันกลับจะเดินตามหย่งหลุนกลับหอ แต่ติดคนที่ยืนอยู่ข้างหลังยืนขวางนิ่งไม่ยอมหลบทาง จนหน้าฉันชนเข้ากับหน้าอกของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเขาคล้ายกับคนเมื่อคืนที่ช่วยฉันหลบคนเมาข้างกำแพง ฉันเงยหน้ามองและจำได้เขาคือชายชุดขาวคนนั้นที่มาเที่ยวหอนางโลมเมื่อคืนนี่นา แต่วันนี้เขาใส่ชุดสีขาวเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เขามองหน้าฉันด้วยสายตาแปลกๆแล้วก้มมองที่เสื้อตัวเองใช้มือแตะดูรอยเขม่าดำก้นหม้อเลอะติดที่เสื้อเขาปื้นใหญ่ หย่งหลุนรีบเข้ามาขอโทษขอโพยที่ฉันเดินชนจนเสื้อชายชุดขาวเลอะเขม่าดำและรีบจูงมือฉันให้เดินหนี แต่นักแสดงกลที่กำลังเก็บของจะปิดร้านกลับร้องเรียกฉันว่ามีอะไรจะคุยด้วย ชายชุดขาวคนนั้นมองฉันด้วยสายตาเย็นชาแล้วหันหลังเดินหายไปในกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่อยู่ในตลาด

นักแสดงกล  : นี่เจ้าน่ะ มาทำงานเป็นนักแสดงกลกับข้ามั้ย? เอ๊ะหน้าของเจ้า?! แล้วไฝหายไปไหนแล้วล่ะ?!
            มี่จื่อ  : ช่างไฝข้าเถอะน่า! (ฉันรีบเอามือปิดไฝที่หายไป) เจ้าขี้โกงเหรียญข้า ยังมีหน้ามาชวนข้าไปทำงานด้วยอีกรึ เชอะ!
    หย่งหลุน  : นางไม่ไปทำงานกับคนขี้โกงอย่างเจ้าหรอก
นักแสดงกล  : ก็นางเล่นเฉลยกลของข้าถูกต้องทั้งหมด แบบนี้ข้าก็ทำมาหากินลำบากน่ะสิ
    หย่งหลุน  : ก็เจ้าถามหาคนเฉลยกลของเจ้าเองนี่นา เป็นความผิดของนางซะที่ไหน
นักแสดงกล  : ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าจะมีคนรู้กลเหรียญล่องหนของข้าละเอียดขนาดนี้ แถมยังเล่นกลของข้าได้อีก เจ้ามาทำงานแสดงกลกับข้ามั้ยล่ะ?
            มี่จื่อ  : ไม่!
นักแสดงกล  : งั้นเจ้าเล่นกลอื่นเป็นอีกมั้ย เจ้าช่วยสอนข้าได้มั้ย กลที่เจ้าเล่นหยิบเหรียญออกจากหูมันแปลกใหม่ข้าเองยังชอบเลย
          มี่จื่อ  : ข้าเล่นกลอื่นไม่เป็น แต่ข้าสามารถดัดแปลงกลเหรียญล่องหนที่เจ้าถนัดให้น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมได้ ถ้าเจ้าอยากรู้ต้องจ่ายเงินให้ข้า เป็นค่าบอกวิชา
นักแสดงกล  : ตกลงข้าจะจ่ายเงินให้เจ้า เอาเงินไป!
            มี่จื่อ  : เจ้าควรเพิ่มลูกเล่นในกลเหรียญอย่างเช่นหยิบเหรียญออกจากหู หรือจากตามร่างกายผู้มายืนชมการแสดงเป็นการเชิญชวนให้คนที่มาดูได้ร่วมสนุกไปด้วย หากมีหญิงสาวมายืนดู เจ้าสามารถเปลี่ยนเหรียญให้เป็นหยิบดอกไม้ออกมาจากผมแบบนี้ (ฉันแอบเด็ดดอกไม้ซ่อนไว้ในมือแล้วทำเป็นหยิบดอกกล้วยไม้ออกมาจากผมของหย่งหลุน) แล้วก็มอบดอกไม้นี้ให้หญิงสาวไป ถ้ามีเด็กน้อยมายืนดูก็ทำเป็นหยิบขนมออกมาจากหูแล้วมอบขนมให้เด็กน้อยไป ทำแบบนี้กลของเจ้าจะยิ่งเพิ่มความสนุกสนานให้กับคนที่มาดู แล้วก็มีกลแปดเซียนข้ามสมุทร โดยใช้เหรียญแปดเหรียญ เล่นกลสลับเหรียญหรือเพิ่มเหรียญไปมาควบคู่กับการเล่าเรื่องแปดเซียนข้ามสมุทร ที่เจ้าต้องแต่งเนื้อเรื่องขึ้นมาเองให้สอดคล้องกันกับการเล่นกล ทั้งได้ฟังนิทานทั้งได้ดูกล เจ้าคิดว่ามันจะสนุกมากขึ้นมั้ยล่ะ
นักแสดงกล  : เยี่ยม! แค่ฟังที่เจ้าพูดข้าก็เริ่มจะสนุกแล้ว แต่เจ้าอย่ามาเฉลยกลของข้าอีกนะ
            มี่จื่อ  : ตกลง! การค้านี้มีผลทันที

          หย่งหลุนถามฉันยกใหญ่ว่าฉันเล่นกลแบบนั้นได้ยังไง ฉันบอกเขาว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเล่นกลนี้เป็นได้ยังไง เพราะตอนที่ฉันอยู่ที่บ้านเก่าลองหัดเล่นกลนี้ดูเล่นๆ แต่เหรียญหลุดมือตกพื้นตลอดจึงเลิกเล่นไป แต่พอมาอยู่ที่นี่กลับเล่นกลนี้ได้เฉยเลย หย่งหลุนบอกว่าให้สอนเขาบ้างเขาอยากฝึกไปเล่นให้ซูเจินดูเขาชอบกลหยิบดอกไม้ออกจากหู ฉันพยักหน้ารับปากว่าจะสอนให้ แล้วชวนหย่งหลุนเข้าร้านขนมเพื่อซื้อขนมไปฝากซูเจิน หย่งหลุนจึงพาฉันไปซื้อขนมและถามฉันเกี่ยวกับไฝที่หลุดหายไป ฉันบอกว่าไฝคงหลุดติดไปกับเสื้อผู้ชายชุดขาวคนนั้นที่เพิ่งเดินชน แต่ไม่เป็นไรฉันยังมีไฝอีกเยอะกลับไปจะทำไฝให้เม็ดใหญ่กว่าเดิมด้วย หย่งหลุนหัวเราะ
....ที่ จวนฮุ่ยเฉิง....
          เหยียนเหล่ย ที่เพิ่งกลับจากตลาด กำลังเดินตรงมาที่จวน พบหลี่จวินกับลี่ถังนั่งดื่มน้ำชารออยู่ในจวนของเขาอยู่ก่อนแล้ว เหยียนเหล่ยจึงนั่งลงดื่มน้ำชาที่ลี่ถังรินใส่ถ้วยให้แล้วถามหลี่จวินว่า

เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนติดตามหยางเค่อไปได้ความว่ายังไงบ้าง?
        หลี่จวิน  : หลังจากหยางเค่อออกจากหอกุ้ยฮวา ข้าตามเขาไปถึงบ้านสกุลเฉา เขาอยู่กับเฉาจินผิงสักพักใหญ่ๆจึงเดินออกมาแล้วตรงกลับบ้านไม่ได้ออกไปที่ไหนต่อ
        หลี่จวิน  : แล้วเจ้าออกไปไหนมา เมื่อคืนมีอะไรผิดปกติมั้ย?
เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนข้าค้นตัวเด็กคนนั้นแล้วไม่พบกุญแจ หรืออะไรที่หยางเค่อจะส่งต่อให้นางเลย พบแค่เงินจำนวนหนึ่งที่หยางเค่อน่าจะเป็นคนให้นาง
        หลี่จวิน  : เดี๋ยวๆ!!! ข้าบอกให้เจ้าจับตาดูนาง ไม่ได้ให้ไปค้นตัวนางสักหน่อย เจ้านี่! ต่อหน้าทำเป็นไม่สนใจ แต่พอลับหลังข้าเจ้าก็เข้าถึงเนื้อถึงตัวนางทันทีเลยนะ
             ลี่ถัง  : คุณชายต่งเหยียนเหล่ยแล้วนั่นเสื้อไปเลอะอะไรมาล่ะ
เหยียนเหล่ย  : คงเป็นเขม่าดำอะไรสักอย่าง พอดีข้าเพิ่งกลับมาจากตลาด
        หลี่จวิน  : ทำไม?! ได้ลูบไล้หญิงคณิกาเมื่อคืน ทำเอาเจ้าอารมณ์ดีจนออกไปเดินเล่นในตลาดได้เชียวรึ?
เหยียนเหล่ย  : นางไม่ได้ทำให้ข้ามีอารมณ์ได้ขนาดนั้นหรอกน่า ข้าออกไปตลาดสืบข่าวเพิ่มเติม ข้าพบเด็กคนนั้นที่ตลาด นางสามารถเฉลยกลเหรียญล่องหนของนักแสดงกลที่ตลาดได้อย่างละเอียด นางไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะ! หยางเค่อถึงได้ให้ความสนใจ เพราะนางฉลาดเกินกว่าจะเป็นหญิงคณิกา
     หลี่จวิน  : จริงรึ?! ข้าเคยดูกลนี้ ดูกี่ครั้งก็หาข้อจับผิดไม่เจอสักที บอกซิเหรียญซ่อนไว้ที่ไหน
เหยียนเหล่ย  : ซ่อนไว้ที่ข้อนิ้ว และหลังมือ
        หลี่จวิน  : หืม...ข้าเคยคิดมาตลอดว่าซ่อนเหรียญในแขนเสี้อซะอีก
             ลี่ถัง  : เป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กสาวคณิกาคนนั้นจะทำงานให้หยางเค่อ
เหยียนเหล่ย  : นางไม่น่าจะทำงานให้หยางเค่อ แต่ที่หยางเค่อให้ความสนใจเพราะนางเป็นเด็กฉลาด และคงคิดจะใช้ประโยชน์จากนางมากกว่า
        หลี่จวิน  : เป็นไปได้ เพราะเมื่อคืนข้าเห็นนางพูดภาษาชนเผ่าไม้ดำได้
             ลี่ถัง  : จริงรึ?! ภาษาชนเผ่าไม้ดำเป็นภาษาที่น้อยคนจะเข้าใจ อีกทั้งชนเผ่าไม้ดำยังใช้ชีวิตลึกลับ หรือนางจะเป็นคนเผ่าไม้ดำ?
เหยียนเหล่ย  : ไม่น่าจะใช่ เพราะชนเผ่าไม้ดำเป็นชนเผ่าโบราณจะไม่ส่งลูกหลานออกมาใช้ชีวิตนอกเผ่านอกเสียจากจะออกมาติดต่อธุระ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของนางและความคิดดูแปลกประหลาดเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นคนชนเผ่าไม้ดำ
     หลี่จวิน  : อืม! หยางเค่อดุจได้เจอไข่มุกเม็ดงามที่ริมหนองน้ำแท้ๆเลย น่าเสียดายๆ
          ลี่ถัง  : เสียดายอะไร?
     หลี่จวิน  : ข้าบอกเสียดาย หมายถึง น่าเสียดายที่หยางเค่อเจอนางก่อนเรา ถ้าเราได้นางมาช่วยเหยียนเหล่ยอ่านภาษาโบราณคงทำให้เราทำงานกันง่ายขึ้นไปอีก
          ลี่ถัง  : ข้าอยากพบกับนางสักครั้งจัง อยากรู้ว่านางจะเก่งสมกับที่เจ้าสองคนชื่นชมกันจริงมั้ย คืนนี้พาข้าไปที่หอกุ้ยฮวาด้วยนะ ข้าจะชักชวนนางมาทำงานให้เราเอง
     หลี่จวิน  : มันไม่ได้เจอนางได้ง่ายๆน่ะสิ ข้าเคยไปพบเถ้าแก่ที่หอกุ้ยฮวาเพื่อขอจองตัวนางมาสอบถามเรื่องหยางเค่อ แต่เถ้าแก่บอกปฏิเสธข้า อ้างว่าหยางเค่อจ่ายเงินจองตัวเด็กมี่จื่อไว้ก่อนแล้ว หรือไม่…ก็อ้างว่าเป็นวันหยุดรับแขกไม่สามารถบังคับให้นางออกมารับแขกได้ แต่ปัญหาไม่ได้มีแค่นั้น ถ้าเจ้าสามารถจองตัวนางได้และอยากให้นางพูดคุยดีๆด้วยต้องตอบคำถามนางให้ได้ก่อน คำถามคือ กระบี่อะไรหายากที่สุดแทบพลิกแผ่นดิน
             ลี่ถัง  : คุณชายต่งเหยียนเหล่ย มันคือกระบี่อะไรรึ พอจะทราบหรือไม่
เหยียนเหล่ย  : นั่นแหละที่เราต้องช่วยกันหาคำตอบ อืม...เด็กนั่นเป็นไข่มุกเม็ดงามริมหนองน้ำจริงๆ
        หลี่จวิน  : เป็นแค่หญิงคณิกามาใหม่แท้ๆ แต่กลับเจอตัวยากยิ่งกว่าหยู่เยียนหญิงงามอันดับหนึ่งเสียอีก เออนี่! เหยียนเหล่ย อีกสี่วันจะถึงงานฉลองวันเกิดท่านเสนาบดีขั้นสอง คนตระกูลหานจะมาร่วมอวยพรด้วยหรือไม่
เหยียนเหล่ย  : มาสิ! พี่ชายข้าส่งเทียบเชิญให้พวกเขาด้วย
        หลี่จวิน  : เจ้าคิดว่าคุณชายหายหยางเค่อจะมาด้วยมั้ย?
เหยียนเหล่ย  : เขาต้องมาแน่ เพราะมีของที่เขาอยากได้อยู่ที่นี่


....ที่หอกุ้ยฮวา....
          ฉันกับหย่งหลุนกลับมาถึงหอกุ้ยฮวา หย่งหลุนก็รีบซ่อมประตูห้องเล็กให้ฉัน เสร็จจากนั้นเขาก็พาฉันไปที่โรงครัวให้แม่ครัวสอนงานให้ จากนั้นหย่งหลุนจึงปล่อยฉันไว้ที่โรงครัว พวกคนในโรงครัวเห็นฉันเป็นเด็กใหม่จึงเรียกใช้ฉันทำงานไม่หยุด ล้างถ้วยชาม ล้างผัก ล้างเนื้อหมู นำอาหารปรุงสุกไปส่งให้สาวๆที่ห้องพักชั้นสอง บางคนก็หัวเราะเยาะเย้ยที่ฉันถูกปลดจากหญิงคณิกาไปเป็นสาวใช้ระดับล่างสกปรก บางคนก็พูดสมน้ำหน้าว่าฉันไม่เจียมตัวคิดเทียบรัศมีกับหยู่เยียนแต่ก็พ่ายแพ้จนรัศมีดับ บางคนก็เรียกฉันว่าเด็กเปรตตามเถ้าแก่ แต่ฉันไม่โกรธพวกเขาเลยที่คิดกับฉันแบบนั้น เพราะพวกเขาไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจจนแทบจะกระโดดตัวลอยที่ไม่ต้องรับแขก และอยากวิ่งเข้าไปกอดหยู่เยียนแน่นๆอยากกล่าวขอบคุณนางด้วยซ้ำที่นางริษยาฉันมากจนทำให้เถ้าแก่ต้องย้ายฉันไปทำงานในโรงครัว ฉันจะตั้งใจทำงานในโรงครัวให้ดีที่สุดฉันคิดแบบนั้น ตอนเย็นแม่ครัวบอกให้ฉันไปจุดไฟที่เตาเพื่อต้มน้ำสำหรับไว้ชงน้ำชาให้แขก ฉันบอกแม่ครัวว่าฉันจุดเตาไฟไม่เป็น แต่แม่ครัวกลับด่าทอว่าฉันคิดจะอู้งาน อย่าคิดว่าเคยทำงานในหอชั้นสองแล้วจะมาทำตัวสูงส่งที่นี่ได้ ตอนนี้ฉันเป็นสาวใช้ก็ต้องทำตามที่นางสั่ง จากนั้นแม่ครัวก็เร่งให้ฉันจุดเตาแล้วนางก็เดินไปทำงานอย่างอื่นต่อ

          ฉันรู้สึกโมโหมากที่ถูกแม่ครัวด่าทอฉันเสียยับโดยไม่ฟังเหตุผล แต่ฉันก็เข้าใจว่าต่อให้พยายามอธิบายไปนางคงไม่เชื่ออยู่ดีว่าฉันมาจากโลกอื่น ฉันโตมากับเตาแก๊ส เตาไฟฟ้า ตอนเด็กๆที่โรงเรียนเคยจัดไปเข้าค่ายต่างจังหวัดต้องก่อเตาไฟหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ เพื่อนในกลุ่มเป็นคนก่อเตาไฟแต่ก็ใช้น้ำมันเบนซินเป็นตัวช่วยในการจุดไฟอยู่ดีจึงไม่ยาก ส่วนการหุงข้าวเพื่อนก็เป็นคนหุง พูดง่ายๆฉันเกิดมาก็เจอหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแล้ว ฉันยืนถอนหายใจแล้วคิดด่าตัวเองในใจว่า "โธ่โว๊ย! กูจุดเตาฟืนเป็นซะที่ไหนวะ ถ้ารู้มาก่อนว่าวันนึงต้องมาอยู่ที่นี่ รู้งี้กูตั้งใจเรียนวิชาเนตรนารีหัดจุดเตาฟืนตอนไปเข้าค่ายแล้ว!"

          ฉันจึงมองดูรอบๆมีกองไม้วางอยู่ และคิดว่าต้องใช้ไม้กองนี้ก่อไฟแน่ๆขณะกำลังคิดอยู่นั้นก็มีสาวใช้คนหนึ่งเดินถือถ้วยชามตั้งหนึ่งเดินผ่านมาและคงเห็นใจที่ฉันถูกแม่ครัวด่า นางจึงบอกฉันว่าให้ใช้ฟืนนั่นก่อไฟแล้วใช้กระบอกไม้ไผ่เป่าให้ไฟแรง จากนั้นนางจึงรีบเดินจากไป ฉันจึงทำตามที่นางบอก หยิบฟืนโยนใส่ในเตาแล้วเดินไปดึงฟืนท่อนหนึ่งกำลังติดไฟจากเตาที่กำลังต้มเนื้อหมู มาวางบนกองฟืนเตานี้แต่ฟืนก็ยังไม่ติดไฟ ฉันหันไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเก่ามากเกือบขาดวางอยู่ที่พื้นจึงนำมาฉีกแล้วโยนใส่เตาเพื่อให้ฟืนติดไฟ หนังสือถูกเผามอดไปหมดแล้ว แต่ฟืนก็ยังไม่ติดไฟอีก จึงเดินไปหยิบฟืนติดไฟอีกท่อนจากเตาข้างๆมาใส่เตานี้อีก และหันไปหันมาก็เจอกับใยมะพร้าวแห้งวางกองอยู่ข้างเตาต้มเนื้อหมู ฉันจึงเดินไปหยิบมาโยนใส่เตานี้เกิดไฟลุกไหม้ดี ฉันดีใจมากจนรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมาทันทีที่สามารถจุดไฟเตาฟืนติดได้ จึงลุกไปหยิบใยมะพร้าวแห้งกองใหญ่มาโยนใส่เตาอีก แล้วโยนฟืนอีกหลายท่อนใส่เตา ใยมะพร้าวแห้งติดไฟทำให้ฟืนลุกใหม้ ฉันรีบหยิบกระบอกไม้ไผ่มาเป่าลมเพื่อให้ไฟแรง จากนั้นก็หยิบฟืนอีกหลายท่อนจนเกือบหมดกองใส่เตา จนตอนนี้ไฟติดแรงมากและไฟเริ่มโหมแดงแรงขึ้นฟืนจำนวนมากที่ติดไฟเริ่มปะทุแรงขึ้นเช่นกัน ฟืนปะทุปลิวลอยออกมาแดงเต็มไปหมด จนฉันร้องกระโดดถอยออกห่างออกจากเตาเพราะกลัว แม่ครัวและคนอื่นๆวิ่งร้องโวยวายมาดูและวิ่งหาขี้เถ้ามาเทใส่เตาดับไฟกันยกใหญ่ จากนั้นแม่ครัวก็ประเคนคำด่าใส่ฉันไม่หยุด ว่าฉันจะเผาครัว ผลาญฟืน ผลาญใยมะพร้าวจนเกือบหมด แล้วสิ่งที่ทำให้นางหัวเสียที่สุดคือฉันดันหยิบเอาตำราอาหารเล่มโปรดที่นางทำหล่นไว้ที่พื้นเอาไปเผาเป็นเชื้อไฟอีก

伊格賽聽葉里 - 謫仙稱謫仙瑤宮難留去凡間紅樓鬥酒動態歌
Xian Yao ถูกเนรเทศ
Youtube by : EHPMusicChannel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 8
(ไถ่ตัวออกจากหอกุ้ยฮวา)

          แม่ครัวลากฉันไปหาเถ้าแก่แล้วฟ้องเถ้าแก่เรื่องที่ฉันทำให้ครัวเกือบถูกไฟใหม้ แม่ครัวยังบอกอีกว่าฉันพยายามกลั่นแกล้งนางด้วยการเผาตำราอาหารของนางด้วย แม่ครัวจึงขอเถ้าแก่ให้ย้ายฉันออกจากโรงครัว ให้ไปทำงานอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเห็นหน้าฉันอีกเพราะนางเกลียดขี้หน้าฉันเหลือเกิน เถ้าแก่มองหน้าฉันอย่างเอือมระอา แล้วคิดว่าฉันแกล้งสร้างความปั่นป่วนจริงๆตามที่แม่ครัวมาฟ้อง ฉันรีบปฏิเสธว่าไม่ได้คิดกลั่นแกล้งแม่ครัวจริงๆ แต่เพราะฉันจุดเตาไฟไม่เป็นและไม่รู้ว่าตำราเล่มนั้นเป็นตำราอาหารของแม่ครัว ฉันรีบกล่าวขอโทษแม่ครัวและเถ้าแก่ที่ฉันทำงานผิดพลาด มันเป็นอุบัติเหตุฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่แม่ครัวยืนยันกับเถ้าแก่ว่าฉันพยายามกลั่นแกล้งนาง เถ้าแก่จึงบอกแม่ครัวให้กลับไปทำงานต่อ ส่วนฉันเถ้าแก่จะจัดการเอง

       เถ้าแก่  : ข้าควรจะทำยังไง เจ้าจึงจะหยุดสร้างความปั่นป่วนให้ข้าสักที ให้เจ้าอยู่รับแขกที่ชั้นสองได้แต่งตัวสวยงามเจ้าก็ไม่เอากลับทำร้ายแขกจนเลือดตกยางออก พอเจอคุณชายหานเจ้าก็ทำตัวดีขึ้น จนข้าเริ่มจะเบาใจ ก็ดันมาขัดหูขัดตาหยู่เยียนอีก ข้าย้ายเจ้าให้ไปทำงานครัวก็ไปสร้างความโกรธเคืองให้แม่ครัว เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดสร้างปัญหาให้ข้าแล้วตั้งใจหาเงินมาชดใช้หนี้ที่ติดข้าเสียที เฮ่อ! จะให้เจ้าทำงานยกเหล้ายกอาหารให้แขกก็กลัวเจ้าจะเจอกับคุณชายหาน หยู่เยียนก็จะอาละวาดขึ้นมาอีก งั้นเจ้าก็ไปช่วยหย่งหลุนที่คอกม้าก็แล้วกัน เจ้ากับหย่งหลุนสนิทสนมกันคงไม่ก่อปัญหาอีกนะ แล้วก็หาผ้าปิดบังใบหน้าเอาหน่อยแขกจะได้ไม่ลวนลามเจ้า หากเจ้ายังมีปัญหาอีกล่ะก็...ที่สุดท้ายที่เจ้าจะถูกย้ายไปคือทำความสะอาดห้องสุขา เอาล่ะ! ไปทำงานได้ ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วข้าเหนื่อย
          มี่จื่อ  : ขอบคุณเถ้าแก่

          ฉันเดินกลับมาที่ห้องพักของหย่งหลุนแล้วรื้อหยิบเอาเสื้อผ้าของหย่งหลุนมาใส่ แม้จะตัวใหญ่ไปหน่อยแต่เอาผ้ารัดไว้ดีๆก็พอแก้ขัดไปได้ มัดผมรวบทำจุกแบบผู้ชาย จากนั้นเอาเขม่าดำก้นหม้อมาทาคิ้วหนาแบบชินจัง ทำปาน ทำไฝ แล้วเดินไปหาหย่งหลุนที่คอกม้า หย่งหลุนเห็นฉันที่ใส่เสื้อผ้าของเขารวบผมมัดจุกแบบผู้ชายจึงรีบถามฉันเพราะความสงสัย ฉันจึงเล่าให้เขาฟังเรื่องที่มีปัญหากับแม่ครัวและบอกว่าเถ้าแก่ย้ายฉันให้มาเลี้ยงม้า แต่ฉันเลี้ยงม้าไม่เป็น แต่จะพยายามช่วยงานทุกอย่างที่สามารถช่วยได้

          มี่จื่อ  : พี่หย่งหลุน ถ้าข้าทำงานไม่ถูกใจ พี่อย่าโกรธข้านะ ไม่งั้นเถ้าแก่จะให้ข้าไปล้างส้วม
   หย่งหลุน  : ข้าจะไม่โกรธเจ้าหรอก ไม่มีวัน (หย่งหลุนยิ้มเอามือมาเขย่าหัวฉัน)
          มี่จื่อ  : ให้ข้าทำอะไรดี
   หย่งหลุน  : เจ้านั่งอยู่เฉยๆเถอะงานพวกนี้ข้าจะทำเอง
          มี่จื่อ  : ถ้าพี่ไม่ใช้งานข้าพวกเขาคงหาเรื่องย้ายข้าไปล้างห้องส้วมแน่ๆ
   หย่งหลุน  : งั้นเจ้าเอาถังนี่ไปตักน้ำมาใส่รางให้ม้าดื่ม คอยเติมเมื่อน้ำพร่องถ้าเจ้าเหนื่อยยกไม่ไหวให้บอกข้าจะทำเอง

          ฉันถือถังน้ำไปตักน้ำในบ่อมาใส่รางน้ำให้ม้ากินตามที่หย่งหลุนบอก จากนั้นก็นั่งดูหย่งหลุนทำงานและบางครั้งเดินเอาหญ้าไปให้ม้ากิน และคอยช่วยหย่งหลุนต้อนรับลูกค้าที่เอาม้ามาผูกในคอก พอมืดค่ำลูกค้าเริ่มมากันมากขึ้น หย่งหลุนก็เริ่มยุ่งรับม้าเข้าคอกหลายตัว สักพักสาวใช้ก็เดินมาหาฉันแล้วบอกว่าให้ฉันช่วยไปพูดคุยกับลูกค้าชนเผ่าให้หน่อยพวกนางฟังไม่เข้าใจ ฉันจึงเดินแอบๆเลี่ยงแสงไฟเดินตามสาวใช้ไปข้างในหอพบลูกค้าชนเผ่าที่พยายามพูดคุยกับเถ้าแก่แต่เถ้าแก่ก็ฟังไม่เข้าใจ พอฉันเดินเข้าไปใกล้ๆเถ้าแก่เห็นหน้าฉันถึงกับตกใจแล้วหลุดขำออกมา ฉันยิ้มให้เถ้าแก่เป็นการบอกว่าฉันกำลังพยายามไม่สร้างปัญหา แล้วหันไปสอบถามลูกค้าชาวชนเผ่าว่าต้องการอะไร จับใจความได้ว่า เขาต้องการค้างคืนกับหญิงสาวรูปร่างอวบ มีเนื้อหนัง เขาไม่ชอบผู้หญิงผอมแห้งเหมือนป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร และต้องการเหล้ากาใหญ่ๆ เนื้อตากแห้ง กับถั่วลิสงคั่ว เถ้าแก่จึงบอกให้สาวใช้พาเขาเข้าไปรอในห้อง จะจัดหญิงสาวและของที่ต้องการไปให้ที่ห้องพัก ฉันจึงรีบก้มหน้าเดินเลี่ยงไปทางมุมมืดแล้วเดินออกประตูไปทางด้านข้าง พอเดินกลับมาถึงคอกม้าก็หยิบถังเดินไปตักน้ำที่บ่อน้ำเพื่อไปเติมใส่รางให้ม้า แต่ต้องสะดุ้งตกใจเพราะจู่ๆหวังหย่งคู่ปรับเก่าก็โผล่ออกมาจากเงามืดหลังพุ่มไม้แล้วพุ่งเข้ามาจับตัวฉันกดให้นอนคว่ำหน้าลงกับขอบบ่อน้ำ ฉันถูกจับมือไพล่หลังคว่ำหน้ากับบ่อน้ำ ทำให้ฉันไม่สามารถเล่นงานเป้าหว่างขาเขาได้ หวังหย่งทำเสียงขู่ฉันอยู่ในลำคอ แล้วพูดว่าจะเอาคืนให้สาสมกับที่ฉันเคยทำเขาให้เดินไม่ได้ไปหลายวัน เขาจับฉันให้ยืนขึ้นแล้วทำท่าจะลากฉันเข้ามุมมืด แต่ทันไดนั้นหยางเค่อก็โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้แล้วบอกให้หวังหย่งปล่อยมือออกจากฉัน หยางเค่อจับข้อมือข้างหนึ่งของหวังหย่งหักลงจนหวังหย่งร้องเจ็บรีบปล่อยฉัน แล้วหวังหย่งก็วิ่งหนีหายออกไป ฉันทั้งตกใจและแปลกใจที่หยางเค่อหุ่นเพรียวบางแต่จับข้อมือหวังหย่งหักงอได้ง่ายดาย จนหวังหย่งวิ่งหนีหายไป หยางเค่อหันมามองฉันที่กำลังยืนตกใจแล้วพูดว่า "เจอตัวสักที!" ฉันทำท่าจะเดินหนีหยางเค่อ แต่หยางเค่อจับตัวฉันไว้ไม่ให้เดินหนีแล้วยื่นหน้ามองหน้าฉันใกล้ๆด้วยความสงสัย เอานิ้วแตะที่แก้มดูรอยเขม่าดำแล้วหัวเราะ

  หยางเค่อ  : ใครแต่งหน้าให้เจ้าเนี่ย แต่งให้เจ้าเป็นตัวอะไร?
          มี่จื่อ  : คุณชาย...ประตูหอเข้าไปทางนั้น (ฉันก้มหน้าแกล้งพูดทำเสียงผู้ชายแล้วจะวิ่งหนี)
  หยางเค่อ  :  ข้าไปถามหาเจ้ากับเถ้าแก่แต่นางบอกว่าวันนี้เจ้าไม่รับแขก แต่ข้าเพิ่งเห็นเจ้าพูดคุยกับชนเผ่าหมีใต้เมื่อกี้จึงตามมาดู แล้วทำไมเจ้าไปทำงานในคอกม้า?
          มี่จื่อ  : เพราะท่านนั่นแหละทำให้ข้าต้องมาทำงานในคอกม้า ห้ามบอกใครในหอเด็ดขาดว่าท่านเจอกับข้า ไม่งั้นเขาจะย้ายข้าให้ไปล้างส้วม! ข้าไปล่ะ ขอลา!
  หยางเค่อ  : แล้วทำไมข้าจะเจอกับเจ้าไม่ได้?!
          มี่จื่อ  : เพราะมีบางคนไม่ชอบ!
  หยางเค่อ  : อ๋อ! ข้าเข้าใจแล้ว มานี่กับข้า!

          หยางเค่อดึงแขนฉันให้เข้าไปข้างในหอ แต่ฉันยื้อไว้ไม่ยอมเข้า หยางเค่อจึงเปลี่ยนมาล็อคกอดคอฉันลากเข้าไปในหอ ลากฉันเดินตรงไปหาเถ้าแก่จนเถ้าแก่ตกใจ แล้วหยางเค่อก็ถามเถ้าแก่ว่า

  หยางเค่อ  : ค่าไถ่ตัวมี่จื่อเท่าไหร่?
       เถ้าแก่  : เอ่อ...เกิดอะไรขึ้น คุณชายหานลากมี่จื่อเข้ามาทำไม นางล่วงเกินอะไรคุณชายหรือเปล่า
  หยางเค่อ  : ข้าถามว่า ค่าไถ่ตัวมี่จื่อเท่าไหร่? ข้าจะไถ่ตัวนางเอง!
       เถ้าแก่  : เอ๊ะ! จริงรึ?
  หยางเค่อ  : ใช่! บอกราคามา
       เถ้าแก่  : สามพันเหรียญ
  หยางเค่อ  : ห๊า! ทำไมแพงนักล่ะ?!
       เถ้าแก่  : ที่แพงเพราะคิดรวมค่ายาค่ารักษาพยายาบาลที่นางทำร้ายผู้ชายไปสามคน และค่าเสียหายในโรงครัวที่นางจุดไฟเผาไปเมื่อตอนเย็นด้วย
  หยางเค่อ  : หืม! นี่เจ้าทำขนาดนี้เชียวรึนี่?! (หยางเค่อทำตาโตหันมามองหน้าฉัน)
          มี่จื่อ  : โธ่! ก็ข้าบอกเถ้าแก่แล้วไงว่าที่เผาโรงครัวข้าไม่ได้ตั้งใจมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ
  หยางเค่อ  : เถ้าแก่ ตกลง ข้าจะจ่ายสามพันไถ่ตัวนางไปคืนนี้เลย ขอหนังสือสัญญาของนางด้วย อ้อ! เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางใหม่ แล้วอย่าลืมล้างหน้าออกให้ด้วยล่ะ แต่งหน้าพิลึกอะไรก็ไม่รู้
          มี่จื่อ  : คุณชายหาน ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า ถ้าข้าหาวิธีกลับบ้านได้ข้าจะหาเงินมาคืนท่านแน่นอน
  หยางเค่อ  : เจ้ายังกลับบ้านไม่ได้ เพราะเจ้าต้องไปทำงานเป็นสาวใช้ที่บ้านข้า ข้าเป็นคนไถ่ตัวเจ้าเพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า ถ้าอยากเป็นอิสระก็หาเงินมาคืนข้าสี่พันเหรียญ
          มี่จื่อ  : ท่านพูดผิด ต้องจ่ายสามพัน ไม่ใช่สี่พัน
  หยางเค่อ  : ไม่ผิดหรอก ค่าไถ่ตัวเจ้าสามพัน ส่วนอีกหนึ่งพันเป็นค่าเสียหายล่วงหน้าหากเจ้าคิดจะเผาบ้านข้า และถ้าเจ้าลงมือเผาเมื่อไหร่ข้าก็จะคิดเงินเพิ่มขึ้นไปอีก เอาล่ะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าให้เรียบร้อย ข้าจะรออยู่ที่นี่ รีบไปรีบมาเพราะข้าต้องไปทำธุระที่อื่นอีก
          มี่จื่อ  : ....หยางเค่อเจ้ามันชั่วช้ากว่าที่คิดไว้เยอะจริงๆ! (ฉันด่าหยางเค่อในใจ)

          ฉันเดินไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบวิ่งไปหาหย่งหลุนเล่าเรื่องให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว หย่งหลุนโผกอดฉันแล้วบอกว่า เขาเองก็ดีใจมากที่คุณชายหานไถ่ตัวฉันไปเป็นสาวใช้ที่บ้าน ถึงเขาจะตั้งค่าไถ่ตัวฉันราคาแพงถึงสี่พันเหรียญ แต่ก็ยังดีกว่าถูกบังคับให้รับแขกที่นี่ แล้วรีบบอกให้ฉันรีบไปกับคุณชายหาน ส่วนซูเจินเขาจะบอกแทนให้เอง ฉันจึงรีบเดินกลับไปหาหยางเค่อที่กำลังดื่มเหล้ารออยู่ พบหยู่เยียนที่กำลังเดินเข้ามาหาหยางเค่อ

   หยู่เยียน  : คุณชายหาน! ทำไมท่านทำกับข้าแบบนี้ ท่านติดใจอะไรนังเด็กบ้านนอกนี่นักหนา จนถึงขั้นไถ่ตัวนางออกไป แล้วข้าล่ะ คุณชายเอาข้าไปไว้ที่ไหน
    หานเค่อ  : หยู่เยียนคนสวยถ้าเจ้าอยากจะออกจากหอกุ้ยฮวาเจ้าก็ทำได้ เจ้าเองก็ได้เงินจากข้าไปจำนวนไม่น้อยเจ้าไถ่ตัวเองออกจากหอได้สบาย แต่ตัวเจ้าเองต่างหากที่ชอบอยู่ที่นี่ ไว้ว่างๆข้าจะแวะมาหาเจ้าก็แล้วกัน ส่วนมี่จื่อนางสวยยั่วยวนสู้เจ้าไม่ได้เลยสักนิดเดียว แต่มี่จื่อมีบางอย่างที่ข้าต้องการซึ่งเจ้าไม่มี ข้าไปล่ะ
   หยู่เยียน  : คืออะไร? ที่นางมีแต่ข้าไม่มี!

          หยางเค่อไม่ตอบแต่พาฉันเดินออกไปจากหอ แล้วพาออกไปขึ้นรถม้าพานั่งรถม้าออกไป ฉันจึงถามเขาว่า

          มี่จื่อ  : ข้ามีอะไรที่หยู่เยียนไม่มีเหรอ
  หยางเค่อ  : (หยางเค่อชี้นิ้วไปที่ขมับแล้วพูดว่า...) เจ้ามีสมอง อันที่จริงข้าก็ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่หอนางโลม ข้าก็เหมือนผู้ชายทั่วไป ที่ไปเที่ยวหอนางโลมเพื่อหาความสำราญ คืนแรกที่ข้าเจอเจ้า เจ้าก็เหมือนเด็กสาวจอมพยศทั่วไปที่ข้าอยากเล่นด้วย พอยิ่งได้รู้จักข้าจึงรู้ว่าเจ้าไม่สมควรอยู่ในหอนางโลมอีกต่อไป แล้วสัญลักษณ์ที่ข้าเคยถามเจ้า มันคือสองจริงๆตามที่เจ้าบอกข้า
          มี่จื่อ  : แล้วสองนั่นเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด
  หยางเค่อ  : สัญลักษณ์นั่นมันอยู่บนกล่องเหล็กกล่องหนึ่งที่มีลูกกุญแจแต่ไม่สามารถเปิดออกได้ เจ้าบอกข้าว่าสัญลักษณ์นั่นคือสอง ข้าจึงกลับไปบอกเจ้าของกล่องเหล็กนั่นให้ลองหมุนลูกกุญแจสองครั้ง แล้วกล่องเหล็กก็ถูกเปิดออกจนได้
          มี่จื่อ  : ในกล่องเหล็กมีอะไร
  หยางเค่อ  : เครื่องประดับเก่าแก่มีค่ามาก
          มี่จื่อ  : ท่านจึงมาไถ่ตัวข้าไปเป็นสาวใช้ที่บ้าน... สาวใช้ที่บ้านของท่านจำเป็นต้องใช้สมองมากกว่าใช้แรงงานทำงานบ้านรึ?
  หยางเค่อ  : ฮ่าฮ่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ไว้ข้าจะบอกภายหลังว่าเจ้าต้องทำอะไรบ้าง เอาล่ะ! ถึงแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ

大雪音阙诗听 二十四节气系列歌曲
Great Snow
Youtube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 9
(งานชิ้นแรก)

          รถม้าจอดที่หน้าประตูทางเข้าบ้านตระกูลเฉา หยางเค่ออุ้มฉันลงจากรถม้าแล้วพาฉันเดินเข้าไปด้านใน ฉันถามหยางเค่อว่านี่คือบ้านของเขาหรือ หยางเค่อตอบว่าไม่ใช่ นี่เป็นบ้านของเศรษฐีเฉา เขาพาฉันมาทำธุระที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับบ้านของเขา ฉันใจหายวูบแล้วหยุดเดิน หันหลังจะวิ่งหนีออกไปทางประตูที่เดินเข้ามา หยางเค่อรีบจับแขนฉันแล้วกอดรัดเอวไว้รีบถามฉันที่จู่ๆกำลังจะวิ่งหนี ฉันโวยวายตีแขนหยางเค่อแล้วบอกว่า ฉันรู้ว่าเขาพาฉันมาขายให้กับเศรษฐี แต่หยางเค่อตอบว่าไม่ใช่ เขาไม่ได้ทำกิจการค้าผู้หญิง เขาพาฉันมาที่นี่เพื่อให้ฉันมาดูแผนที่ฉบับหนึ่งให้เศรษฐีเฉาเท่านั้น ฉันถึงกับโล่งใจหยุดโวยวายและหยุดตี หยางเค่อบอกว่าอย่ากลัวเขาไม่ได้ไถ่ตัวฉันมาเพื่อจะนำไปขายต่อเพราะฉันมีค่ามากกว่านั้น หยางเค่อพาฉันเดินเข้าไปในตัวบ้านพบสาวใช้ที่ยืนรออยู่และบอกว่าท่านเฉารออยู่ที่ห้องรับรองแขก สาวใช้เดินนำเราไปพบท่านเฉาที่กำลังนั่งจิบเหล้ารออยู่ ท่านเฉาเป็นชายสูงอายุดูอัธยาศัยดี แต่อัธยาศัยดีแบบพวกพ่อค้ามากกว่า ท่านเฉาเชิญเราให้นั่งพักเหนื่อยเสียก่อนแล้วท่านเฉาก็ถามหยางเค่อว่า...

    ท่านเฉา  : แม่หนูคนนี้รึที่จะมาช่วยดูแผนที่ให้น่ะ
  หยางเค่อ  : ใช่
    ท่านเฉา  : เป็นคนๆเดียวกันที่แก้รหัสกุญแจสองน่ะรึ?
  หยางเค่อ  : ใช่
    ท่านเฉา  : ไม่อยากจะเชื่อ อายุแค่นี้จะอ่านภาษาชนเผ่าโบราณได้
  หยางเค่อ  : ท่านเอาแผนที่ออกมาดูเลยเถอะ เสร็จแล้วข้าจะได้กลับ
    ท่านเฉา  : ได้ๆ

          ท่านเฉาหยิบแผนที่ออกมากางขนาดใหญ่พอประมาณ บนแผนที่มีแต่สีเขียวและเขียนสัญลักษณ์บางอย่างรูปร่างคล้ายต้นไม้เต็มแผนที่ ตรงกลางแผนที่เขียนข้อความสั้นๆเป็นตัวอักษรแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตัวอักษรถูกเขียนอยู่สี่จุดลักษณะแบบสี่เหลี่ยม หยางเค่อถามฉันว่า

  หยางเค่อ  : อักษรบนแผนที่เขียนว่าอะไร อ่านออกไหม?
          มี่จื่อ  : อืม...ขอเวลาสักครู่...เอ่อ! คำนี้อ่านว่า สายน้ำไหลมิอาจหวนคืน ส่วนคำนี้อ่านว่า ภูเขาตั้งตระหง่านสูงยืนหยัด ต้นน้ำสร้างทุกสรรพสิ่ง และคำสุดท้ายอ่านว่า สะพานสวรรค์ข้ามสายธารธารา
    ท่านเฉา  : มันหมายถึงอะไรรึ
          มี่จื่อ  : ท่านกลับแผนที่ให้ข้าหน่อยสิ ลองเอาคำนี้ขึ้นต้นคำแรก

                      "ภูเขาตั้งตระหง่านสูงยืนหยัด
                       ต้นน้ำสร้างทุกสรรพสิ่ง
                       สายน้ำไหลมิอาจหวนคืน
                       สะพานสวรรค์ข้ามสายธารธารา"

  หยางเค่อ  : บทกลอนชื่นชมธรรมชาติรึ?
          มี่จื่อ  : ใช่ กล่าวถึงธรรมชาติ (ฉันหันไปรินเหล้าใส่ถ้วยแล้วยกดื่ม)
    ท่านเฉา  : ในแผนที่บอกแค่นี้เองรึ?
          มี่จื่อ  : ใช่! แต่มันบอกว่าคือ น้ำตก!
  หยางเค่อ  : มี่จื่อ เจ้าดูตรงไหนจึงรู้ว่าในแผนที่มีน้ำตก
          มี่จื่อ  : ในบทกลอนบอกว่ามี ภูเขา ต้นน้ำ สายน้ำ ดังนั้น มีเพียงน้ำตกเท่านั้นที่เกิดขึ้นบนภูเขา น้ำไหลลงสู่เบื้องล่างไม่สามารถไหลย้อนขึ้นด้านบน เพราะงั้นยังคงหมายถึงน้ำตก ส่วนสะพานสวรรค์อาจหมายถึงละอองน้ำจากน้ำตกทำให้เกิดเป็นสายรุ้งโค้งสวยงามดุจสะพานสวรรค์
    ท่านเฉา  : โอ๊ะ! ใช่ บริเวณนี้มีน้ำตกขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ คือน้ำตกสี่สายรุ้ง แต่กลับไม่มีเขียนสัญลักษณ์น้ำตกไว้ในแผนที่ อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ความจริงแล้วบริเวณนี้ในแผนที่มีน้ำตกอยู่จริงๆ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปสำรวจที่น้ำตก
   หยางเค่อ  : มีจื่อ เจ้าออกไปรอข้าข้างนอกก่อน ข้าขอคุยกับท่านเฉาสักครู่
          มี่จื่อ  : อื้ม! (ฉันเดินออกไปรอหยางเค่อข้างนอกตามคำสั่ง)
    ท่านเฉา  : วันนี้ข้าจะจ่ายเงินให้คุณชายหานครึ่งหนึ่งก่อน หากข้าหาสมบัติพบตามจุดที่เด็กคนนั้นบอก ท่านค่อยมารับเงินอีกครึ่งหนึ่ง ตามที่ตกลงกันไว้ ฮ่าฮ่า ข้าพยายามหาคนมาอ่านแผนที่หลายคนแต่ก็ไม่มีใครอ่านได้ เด็กคนนั้นมาอ่านแผนที่ตีความแป๊บเดียวก็รู้ว่ามีน้ำตก เยี่ยมจริงๆเลย คุณชายหายขายเด็กคนนั้นให้ข้าได้มั้ย ตั้งราคาสูงข้าก็จะสู้ราคา
  หยางเค่อ  : ข้าไม่ขายหรอก ขอให้ท่านหาสมบัติพบโดยเร็ว ข้ากลับล่ะ!

          หยางเค่อเดินออกมาจากห้อง แล้วพาฉันนั่งรถม้าพากลับไปที่บ้านของเขา หยางเค่อนั่งมองหน้าฉันแล้วยิ้มเอื้อมมือมาหยิกแก้ม แล้วพูดว่า "ถูกต้องแล้วที่ข้าไถ่ตัวเจ้าออกมา" สักพักใหญ่รถม้าก็วิ่งมาหยุดที่หน้าบ้านตระกูลหาน ฉันเดินตามหยางเค่อเข้าไปบ้าน บริเวณบ้านกว้างขวางมาก ตัวบ้านมีขนาดใหญ่สมกับฐานะคนร่ำรวย หยางเค่อบอกสาวใช้ให้พาฉันเอาข้าวของไปเก็บที่ห้องพักรับรองแขก เมื่อนำของเข้าที่พักเสร็จแล้วให้ฉันมาที่เรือนพักของเขาเพื่อดื่มเหล้าและพูดคุยเกี่ยวกับงานที่หยางเค่อจะให้ฉันทำต่อไป

          หลังจากนำของเข้าเก็บในห้องพักรับรองแขก ฉันรู้สึกแปลกใจที่หยางเค่อให้ฉันมาพักในห้องดีขนาดนี้แทนที่จะเป็นเรือนสาวใช้ จากนั้นฉันจึงไปที่เรือนพักของหยางเค่อเห็นเขานั่งดื่มเหล้ารออยู่แล้ว หยางเค่อเรียกให้ฉันนั่งลงข้างๆเขาเพื่อกินอาหารที่เขาให้คนรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อฉันกินอาหารจนอิ่มเขารินเหล้าให้ฉันดื่มถ้วยหนึ่งแล้วหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ หยางเค่อบอกฉันว่านี่คือเงินรางวัลที่ฉันอ่านแผนที่วันนี้ ฉันรีบรับเงินนั้นไว้แล้วถามเขาว่า

          มี่จื่อ  : แค่อ่านแผนที่ก็ได้เงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
  หยางเค่อ  : ถ้าเศรษฐีเฉาหาของที่หายไปที่น้ำตกพบ เจ้าจะได้รับรางวัลแบบนี้อีก
          มี่จื่อ  : ขอให้เขาหาพบที่เถอะ
  หยางเค่อ  : ดวงตาเจ้ามันเปล่งประกายไปด้วยเงิน
          มี่จือ  : พรุ่งนี้ข้าขอกลับไปหาพี่ซูเจินที่หอกุ้ยฮวาสักครึ่งวันจะได้มั้ย?
  หยางเค่อ  : ซูเจิน? ใครคือซูเจิน?
          มี่จื่อ  : พี่ซูเจิน หญิงคณิกาที่เรียบร้อย ที่มีดวงตาเศร้าๆ ยิ้มเศร้าๆ
  หยางเค่อ  : อืม…คุ้นๆอยู่นะ เหมือนข้าเคยไปนั่งดื่มเหล้ากับนางครั้งหนึ่ง รู้สึกว่า...วันนั้นเป็นวันที่ข้าต้องการใช้ความคิดและต้องการความเงียบแต่ก็ไม่ต้องการอยู่คนเดียว ข้าจึงเลือกไปนั่งดื่มเหล้าในห้องของนาง แต่ข้าไม่ได้นอนกับนางแล้วข้าก็กลับออกมากลางดึกคืนนั้น
          มี่จื่อ  : ใช่ๆ นั่นแหละพี่ซูเจิน ข้าอยากออกไปพบพี่ซูเจินสักหน่อย ข้าไปได้หรือไม่
  หยางเค่อ  : ยังไปไม่ได้ รออีกสี่วันข้าจะพาไป เพราะพรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าดูตำราโบราณสองเล่ม และอีกสี่วันข้างหน้าจะมีงานฉลองวันเกิดที่จวนท่านเสนาบดีขั้นสอง ท่านเสนาบดีต่งเหยียนอี้ ข้าจะให้เจ้าติดตามข้าไปด้วย แต่คืนนี้เจ้าอยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าก่อน มา! เจ้าขยับมานั่งใกล้ๆข้าอีกหน่อยขอหอมแก้มสักฟอดคืนนี้เจ้าทำงานได้ดีจริงๆ ถ้าทำงานได้ดีแบบนี้บ่อยๆเจ้าก็จะมีเงินไว้ไถ่ตัวเอง แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าไปจากข้าหรอก ก็เจ้าออกจะน่ารักอีกทั้งยังทำงานถูกใจข้า
          มี่จื่อ  : เห็นม๊ะ ข้าออกจะดี๊ดีตั้งใจทำงานให้ท่าน ท่านควรลดราคาค่าไถ่ข้าลงมาเหลือสามพัน
  หยางเค่อ  : หึ! สี่พันเหมือนเดิม!

花粥马雨阳盗将行MV欣赏好听的旋律意犹未尽 |Ma Yuyang
[ภาพยนต์] Brotherhood of Blades II : The internal battlefield มังกรพยัคฆ์ ล่าสะท้านยุทธภพ
Youtube by : Tiktok

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 10
(มี่จื่อถูกจู่โจม)

          หยางเค่อกอดคอฉันดื่มเหล้าแล้วหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ แต่ฉันผลักเขาออกเบาๆเป็นการหยอกเย้า พอเริ่มดึกหยางเค่อเริ่มเมามากขึ้น ส่วนฉันก็เมาเช่นกันเพราะถูกหยางเค่อบังคับดื่มเหล้าไปหลายถ้วย หยางเค่อเริ่มกอดหอมและจูบฉันบ่อยขึ้นมือเขาเริ่มซุกซนจะถอดเสื้อฉันออก แล้วชวนฉันนอนค้างคืนกับเขาในห้องคืนนี้ ฉันคิดว่าหากฉันค้างคืนในห้องเขาคืนนี้ลูกแกะน้อยคงไม่รอดถูกหมาป่าจับกินแน่นอน ฉันจึงรีบผละหนีออกจากหยางเค่อแล้วบอกว่า ฉันจะไปนอนแล้ว จากนั้นฉันจึงรีบเดินโซเซกลับห้องพักแล้วทิ้งให้หยางเค่อนั่งดื่มเหล้าต่อไปคนเดียว ดึกแล้วคนในบ้านเข้านอนกันหมดรวมทั้งสาวใช้ที่เดินกันอยู่หลายคนเมื่อตอนหัวค่ำ ตอนนี้ต่างก็เข้านอนกันหมดจนบ้านเงียบ ฉันเดินมึนโซเซมาถึงประตูห้องพักตัวเองมันมืดเพราะยังไม่ได้จุดเทียนแสงสว่าง ขณะที่กำลังจะผลักประตูห้อง รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งโอบกอดฉันทางด้านหลังแล้วผลักดันเข้าไปในห้อง ฉันที่มีอาการมึนเมาจนไม่มีแรงขัดขืน เขาเอามือปิดปากฉันไว้ไม่ให้ส่งเสียงดัง จากนั้นจับฉันพลิกตัวกลับมาแล้วหยิบมีดพกขนาดเล็กออกมาจ่อที่คอ แล้วดันฉันไปยืนชิดกับผนังข้างฝา เบียดตัวเข้าแนบชิดแล้วใช้ขาข้างหนึ่งสอดแทรกเข้ามาตรงหว่างขาดันชิดติดเนินหว่างขาเพื่อไม่ให้ฉันขยับหนี ซึ่งฉันเองก็ไม่กล้าขยับไม่กล้าร้องเพราะถูกมีดจ่ออยู่ที่คออีกทั้งเมาจนไม่มีแรงจะขัดขืน ทั้งเมาทั้งตื่นเต้น ชายลึกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆแล้วถามฉันว่า

       ชายลึกลับ  : ไปทำอะไรที่บ้านสกุลเฉา?
                มี่จื่อ  : ปะ ไปดูแผนที่!
        ชายลึกลับ : แผนที่อะไร?
                มี่จื่อ  : แผนที่เที่ยวน้ำตก!
       ชายลึกลับ  : เมื่อกี้พูดคุยอะไรกับหานหยางเค่อ?
                มี่จื่อ  : อ่ะ! เอ่อ! พูดคุยกันเรื่องทั่วไป
       ชายลึกลับ  : พูดคุยกันเรื่องอะไร (เขาถามเน้นเสียง)
                มี่จื่อ  : ระ เรื่องจะไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดท่านเสนาบดีขั้นสอง

          ฉันพยายามมองหน้าชายลึกลับที่เข้าจู่โจมฉันแต่ก็มองเห็นไม่ชัดเพราะมืด แต่ฉันได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆจากตัวเขาเป็นกลิ่นหอมกลิ่นเดียวกันกับชายที่ลูบไล้ตัวฉันข้างกำแพงในหอนางโลมและเป็นกลิ่นกายเดียวกับชายชุดขาวที่ฉันเจอที่หอกุ้ยฮวาและที่ตลาด เขารู้ว่าฉันพยายามมองหน้า เขาจึงเก็บมีดพกแล้วประกบปากจูบสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปากฉันจนลึกทำให้ฉันเกิดอารมณ์วูบวาบ จึงปล่อยให้เขาจูบ ทำเพียงแค่พยายามใช้มือดันเขาออกเท่านั้น เขาเริ่มลูบไล้ฉันไปทั่วตัวตั้งแต่หน้าอก หลัง ก้น และลูบไล้มือไปที่เนินหว่างขา จนฉันเริ่มมีอารมณ์วูบวาบ แท่งเนื้อเขากำลังแข็งและเริ่มขยับมาสัมผัสที่เนินหว่างขา กระชับกอดรัดแน่นจูบดูดดื่มอีกครั้งแล้วจู่ๆชายลึกลับก็ปล่อยมือคลายกอดและผละเดินออกจากห้องไป ทำเอาฉันตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก ฉันรีบเดินไปปิดประตูห้องพัก พรางคิดว่าต้องเป็นคนๆเดียวกันแน่ๆที่ลูบไล้ฉันที่หอนางโลม เขาตามดูฉันมาจากหอนางโลมรึ เขาเป็นใครกัน หรือเขาเป็นคนๆเดียวกันกับผู้ชายชุดขาวที่เจอที่ตลาดเพราะเขามีกลิ่นหอมอ่อนๆแบบเดียวกัน มิน่าล่ะคืนนั้นที่หอนางโลมเขาถึงจ้องมองฉันไม่วางตา เขาคอยตามดูฉันทำไม ต้องเป็นพวกสตอล์เกอร์โรคจิตชอบสะกดรอยตามคนที่ตัวเองคลั่งไคล้เป็นแน่ เห็นทีต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมแล้ว

          มี่จื่อ  : ฮึ่ม! ไอ้สตอล์เกอร์โรคจิต ไอ้บ้าเอ๊ย! จูบลูบไล้ซะเคลิ้มเลย! คราวหน้ามาอีกเจอเข่าทลายขุนเขาแน่ จะเอาให้เดินไม่ได้ไปเจ็ดวันเลย

          ฉันเดินโซเซไปที่เตียง ตอนนี้ฉันต้องนอนก่อนเพราะเมามากเหลือเกิน พอรุ่งเช้าฉันไปหาหยางเค่อเขาบ่นฉันว่าเมื่อคืนเขาเมาทำไมฉันไม่อยู่ดูแล ฉันตอบไปว่าเมื่อคืนฉันเองก็เมามากจึงกลับไปนอน หยางเค่อจับแก้มฉันบีบแล้วข่มขู่ว่าถ้าฉันทิ้งเขาแบบเมื่อคืนอีก เขาจะทำโทษมากกว่าจูบ จากนั้นเขาเดินไปหยิบหนังสือในหีบแล้วส่งมาให้ฉันสองเล่มบอกว่าให้ฉันอ่านให้จบ ฉันมองดูหนังสือทั้งสองเล่มเป็นหนังสืออักษรแปลกประหลาดแตกต่างกันทั้งสองเล่มจึงเปิดดูภายใน

  หยางเค่อ  : อ่านให้จบก่อนถึงวันงานฉลองวันเกิดท่านเสนาบดีขั้นสองต่ง เจ้าอาจต้องใช้วิชาในตำราสองเล่มนั้น
          มี่จื่อ  : วิธีเลี้ยงแกะขนฟู กับวิธีปลูกมันให้หัวใหญ่เนื่ยนะ?
  หยางเค่อ  : ห๊า! เจ้าว่ายังไงนะ?
          มี่จื่อ  : นี่คือตำราวิธีเลี้ยงแกะ กับวิธีปลูกมัน...ข้าต้องไปเลี้ยงแกะกับปลูกมันที่บ้านท่านเสนาบดีขั้นสองด้วยรึ?! การเป็นสาวใช้บ้านท่านต้องทำให้ได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่ งานหนักเอาการแฮะ!
  หยางเค่อ  : ฮึ่ย! ไอ้ชนเผ่ากะล่อน บังอาจหลอกขายตำราข้า เจ้าคนขายมันบอกข้าว่าเป็นตำราปลดผนึก กับตำราเปิดดวงตาฟ้า น่าเจ็บใจนัก ถูกมันหลอกจนได้ เจอตัวเมื่อไหร่ได้เห็นดีแน่! ฮึ่ม!!
          มี่จื่อ  : ตกลงท่านจะให้ข้าติดตามท่านไปทำอะไรกันแน่?
  หยางเค่อ  : ข้าจะให้เจ้าไปเอาตำราเล่มหนึ่งให้ข้าที่จวนฮุ่ยเฉิง ในนั้นมีตำราหมื่นบุปผา แต่ห้องที่เก็บตำราประตูห้องถูกผนึกด้วยมนต์โบราณ เจ้าต้องเข้าไปเอาตำราเล่มนั้นมาให้ข้า
          มี่จื่อ  : ขโมยรึ?! ไม่เอาอ่ะ ถึงข้าจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ข้าก็ไม่เคยคิดขโมยของผู้อื่น
  หยางเค่อ  : ไม่ได้ขโมย แต่มีคนขโมยตำราของข้าไปต่างหากเล่า เจ้าต้องไปเอากลับคืนมาให้ข้า
          มี่จื่อ  : แล้วทำไมไม่แจ้งทางการว่าตำราของท่านถูกขโมยล่ะ?
  หยางเค่อ  : ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า ข้าสั่งให้เจ้าทำเจ้าก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นข้าจะปล้ำเจ้าแล้วส่งเจ้าคืนกลับไปที่หอนางโลม อย่าลืมนะว่ายังมีหวังหย่งคู่แค้นอีกคนของเจ้ารอแก้แค้นเจ้าอยู่ที่หอนางโลม
          มี่จื่อ  : เอ่อ…ถ้าให้ข้าไปขโมยตำรา แล้วถ้าข้าถูกจับได้ขึ้นมาล่ะ?
  หยางเค่อ  : อย่าห่วงข้าจะไปช่วยเจ้าเอง
          มี่จื่อ  : ทำไมไม่ให้ข้าทำงานเป็นสาวใช้ธรรมดาทำงานบ้านเหมือนที่คนอื่นทำ ทำไมต้องให้ข้าไปขโมยของด้วย?! ข้าไม่อยากทำเลย….
  หยางเค่อ  : ถ้าเจ้ายังมีปัญหามากอีกล่ะก็ข้าจะลากเจ้าขึ้นเตียงไปนอนกับข้าเดี๋ยวนี้เลย อารมณ์ข้ายังค้างจากเมื่อคืนอยู่นะ! และข้าจะไม่เล่นเหมือนวันก่อนๆที่เคยเล่นกับเจ้า!
          มี่จื่อ  : ก็ได้ๆ แต่ข้าทำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ข้าจะไม่ขโมยของอีกแล้ว
  หยางเค่อ  : ทำให้สำเร็จเสียก่อนแล้วค่อยมาต่อรองกับข้า

          สี่วันนี้หยางเค่อคอยเตี๊ยมแผนกับฉันและบอกแผนที่จวนเสนาบดีขั้นสองต่ง ว่าฉันต้องเดินไปทางไหนจึงจะเจอจวนฮุ่ยเฉิงที่เก็บตำราหมื่นบุปผาโดยไม่ให้ใครเห็น
หมายเหตุ

*ฮุ่ยเฉิง แปลว่า ปัญญา ความสำเร็จ

*ไข่มุกริมหนองน้ำ หมายถึง พบของมีค่าในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม หรือพบในสถานที่ไม่สมควรอยู่

世余威ノ宵 うたった島爺 ชิมะโทยะ
Youtube by : SymaG Official

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 11
(ชิงตำราหมื่นบุปผา)

....ที่จวนเสนาบดีขั้นสองต่งเหยียนอี้....
          หยางเค่อให้ฉันเป็นสาวใช้พร้อมกับสาวใช้อีกคนหนึ่งคอยเดินตามหลังเขากับพี่สาวที่ไปมอบของขวัญอวยพรให้เสนาบดีขั้นสองด้วยกัน พบท่านเสนาบดีกับภรรยาออกมาคอยต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมอวยพรวันเกิดกันหลายคน จนได้ยินท่านเสนาบดีขั้นสองบ่นกับภรรยาว่า เหยี่ยนเหล่ยน้องชายของเขาหายไปไหนไม่ออกมาช่วยต้อนรับแขกเลย เอาแต่หมกตัวทำงานอยู่แต่ในจวน ฮูหยินต่งผู้เป็นภรรยาจึงพูดแก้ตัวแทนให้น้องชายสามีว่าเหยียนเหล่ยคงยังไม่ว่างจริงๆอย่าหงุดหงิดไปเลย

          ตลอดเวลาที่ฉันอยู่ในบ้านเสนาบดีขั้นสอง ฉันมีความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด เมื่อถึงเวลาเลี้ยงน้ำชาฉันจึงเดินแยกตัวออกมาทางด้านข้างงานเลี้ยง เพราะฉันแต่งต้วเป็นสาวใช้จึงไม่มีใครสนใจ และแอบเดินหลบไปตามพุ่มไม้มองหาจวนฮุ่ยเฉิง เห็นมีซุ้มประตูทางเข้าจวนอีกหลังฉันจึงลองเดินไปเมียงมองก็พบจวนหลังหนึ่งสวยงดงามแต่เงียบสงบ มีป้ายติดหน้าจวนว่า จวนฮุ่ยเฉิง ฉันมองดูไปรอบๆบริเวณจวนร่มรื่นด้วยต้นไม้ และตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันสวยงาม มองดูไปรอบๆไม่มีใครอยู่เลย ฉันจึงค่อยๆเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้วยืนมองแสงแดดส่องลอดต้นไม้ลงมาสวยงามดุจแสงสวรรค์กำลังส่องทางสว่างสู่โลกมนุษย์ ฉันเผลอยืนชื่นชมความสวยงามของจวนฮุ่ยเฉิงอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องรีบเข้าไปหาตำราหมื่นบุปผา ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆมองเข้าไปในจวนห้องทางซ้ายประตูถูกเปิดค้างไว้จนมองเห็นภายในคาดว่าเป็นห้องรับแขกขนาดกลางตกแต่งสวยงามเป็นระเบียบน่านั่งเล่นเพราะเห็นมี โต๊ะ เบาะรองนั่ง และถ้วยชาคว่ำวางไว้บนโต๊ะ ดูแล้วคงไม่ใช่ห้องนี้ที่เก็บตำราหมื่นบุปผาเป็นแน่ ฉันจึงขยับเดินไปยืนอยู่หน้าห้องทางขวาที่ถูกปิดประตูแน่นมิดชิด หยางเค่อบอกว่าตำราหมื่นบุปผาถูกเก็บอยู่ในห้องปิดประตูมิดชิด ฉันลองเอื้อมมือขยับเปิดประตูแต่เปิดไม่ออกเพราะประตูถูกปิดแน่นทั้งๆที่ประตูก็ไม่ได้ลงสลักด้านนอกและไม่ได้ถูกคล้องด้วยโซ่กุญแจแต่ทำไมเปิดไม่ออก ฉันจึงบ่นพึมพำคนเดียวว่า

          มี่จื่อ  : ประตูมันก็ไม่ได้ล็อคทำไมมันเปิดไม่ออกวะ! เจ้าบ้าหยางเค่อรู้อยู่แล้วว่าประตูมันเปิดไม่ได้ยังจะให้เรามาที่นี่อีกทำไม บ้าจริง!

          ฉันบ่นพึมพำด่าหยางเค่อ มองประตูแล้วคิดไม่ตก หากอยู่ตรงนี้นานเกินไปก็เสี่ยงถูกจับได้ ถ้ากลับไปมือเปล่าก็จะถูกหยางเค่อเล่นงาน เฮ่อ! หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ ฉันมองไปที่ประตูอีกครั้งอย่างหมดหวังแล้วนึกถึงคำพูดที่หยางเค่อบอกฉันให้มองหามนต์โบราณที่ปิดผนึกประตูแล้วปลดผนึกมนต์ออก ยิ่งคิดฉันยิ่งมึนตึ้บ! มนต์ปิดผนึกโบราณคืออะไร หน้าตามันเป็นยังไงฟะ?! ฉันไม่ใช่หมอมนต์หมอผีจะรู้วิธีดูมนต์อะไรนั่นเป็นได้ยังไง มองไปรอบๆบานประตูก็ไม่พบอะไรจึงมองกลับมาที่ตรงกลางประตูอีกครั้ง จู่ๆก็ปรากฏข้อความตัวอักษรแปลกประหลาดขึ้นมาที่บานประตูข้างซ้าย ข้อความว่า "ในน้ำมีปลา" และที่บานประตูข้างขวาปรากฏข้อความอีกข้อความหนึ่งว่า "บนนภามีเรือ" เอ๊ะ???!!! มันมีด้วยรึ? "ในน้ำมีปลา บนนภามีเรือ" ทันไดนั้นประตูห้องก็เลื่อนเปิดออกเองทำเอา งง และตกใจแต่ฉันไม่มีเวลายืนงงอีกแล้วต้องรีบเข้าไปหาตำราก่อนที่ใครจะมาพบเข้า

          ฉันค่อยๆเดินย่องเข้าไปชำเลืองมองในห้องก่อน เห็นในห้องเป็นห้องพักขนาดใหญ่ตกแต่งเรียบง่ายแต่สวยงามน่าอยู่เพราะมีเตียงนอนขาวสะอาดน่านอนสบาย และมีชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางอยู่เต็มชั้น แจกันขนาดใหญ่ ภาพเขียน และมีของอื่นๆอีกหลายอย่างจัดวางอย่างเรียบง่ายเป็นระเบียบ และยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆภายในห้องเป็นกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นหอมของชายโรคจิตที่คอยตามลูบไล้ตัวฉัน จนฉันเกิดอาการหวาดระแวงขนลุก ฉันเห็นไม่มีใครอยู่ในห้องจึงค่อยๆก้าวเท้าเข้าไป และทันใดนั้นฉันก็ถูกใครบางคนผลักทางด้านหลังจนเซพุ่งถลาเข้าไปในห้อง และได้ยินเสียงประตูห้องถูกปิดทันที ฉันรีบหันกลับไปมองคนที่ผลักฉัน เขาคือชายชุดขาวคนนั้นคนที่เจอที่หอนางโลมและเจอที่ตลาด ใช่เขาจริงๆด้วยไอ้สตอล์เกอร์โรคจิต ชายชุดขาวทำหน้าเข้มขมวดคิ้วมองจ้อง ฉันจึงตวาดถามชายชุดขาวว่า...

            มี่จื่อ  : ฮึ่ม! เป็นเจ้าจริงๆด้วยไอ้โรคจิต! เจ้าตามข้ามาทำไม ต้องการอะไร?! ออกไปเลยนะไม่งั้นข้าจะเรียกคนมาจับเจ้าส่งทางการ
เหยียนเหล่ย  : ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าเจ้าเข้ามาในจวนของข้าได้ยังไง เจ้าเปิดประตูออกได้ยังไง?!
            มี่จื่อ  : อย่ามาโกหกว่านี่คือจวนของเจ้า ไอ้โรคจิต! ออกไปนะ?!
เหยียนเหล่ย  : นี่คือจวนของข้า! เจ้ารู้วิธีเปิดประตูได้ยังไง
            มี่จื่อ  : ประตูมันเปิดอยู่ข้าแค่เดินเข้ามาดู ตอนนี้จะไปแล้ว ถอยไปเลยข้าจะไปแล้วเจ้านายข้ารออยู่ข้างนอก

          ฉันพลาดถูกคนจับได้ซะแล้ว! แต่ตอนนี้พลาดอย่างร้ายแรงที่เจอไอ้สตอล์เกอร์โรคจิตในนี้สถานที่พร้อมอำนวยความสะดวกซะด้วยสิ! ประตูห้องปิดมิดชิด เตียงนอนพร้อมเชือด อีกทั้งฉันเริ่มลังเลไม่แน่ใจว่าชายชุดขาวคนนี้อาจเป็นเจ้าของจวนนี้จริงๆ หรือเป็นไอ้โรคจิตกันแน่ แต่ตอนนี้ต้องรีบหนีก่อน ฉันจะเดินไปเปิดประตูเพื่อหนีออกจากห้องแต่ชายชุดขาวยืนขวางประตูแล้วจับแขนฉันไว้ เขาพยายามเค้นถามว่าฉันเปิดประตูได้ยังไง ฉันตอบว่าไม่รู้เพราะประตูอยู่ๆก็เปิดเอง ฉันทั้งตีและทุบเพื่อให้เขาปล่อยและพยายามผลักเขาออก แต่เขาจับและกอดรัดฉันไว้แน่น ทำให้ฉันได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่ตัวเขา ฉันจึงมองหน้าเขาอีกครั้ง ใบหน้าเขาช่างคล้ายคลึงกับชายที่เคยบุกเข้าห้องพักฉันนัก

            มี่จื่อ  : เป็นเจ้าใช่มั้ยที่บุกไปที่ห้องพักข้าเมื่อคืนก่อน แล้วก็ที่หอกุ้ยฮวาด้วย
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ข้าเอง ข้าถึงรู้ว่าเจ้าจะมาขโมยของที่จวนของข้า แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเปิดประตูเข้ามาได้
            มี่จื่อ  : ก็ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ขโมย ข้ายังไม่ทันจะได้หยิบของอะไรสักชิ้น อย่าใส่ความข้า ปล่อยข้านะ ไม่งั้นข้าจะร้องให้คนช่วย
เหยียนเหล่ย  : ก็ร้องเลยสิ! จะได้รู้ว่าคนข้างนอกจะจับข้าหรือเจ้าส่งให้ทางการกันแน่?!

          เหยียนเหล่ยกอดรัดฉันไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันจึงกัดที่หน้าอกเขา เหยียนเหล่ยตกใจที่ถูกฉันกัดที่หน้าอกผลักฉันจนเซถอยหลัง ฉันจึงอาศัยจังหวะนี้วิ่งไปเปิดประตูแต่ถูกเขาจับไว้ได้ทันและเซล้ม เหยียนเหล่ยเข้ามากอดรัดจับฉันนอนหงายแล้วขึ้นนั่งคร่อมทับจับแขนฉันสองข้างยกขึ้นเหนือศรีษะแล้วกดไว้กับพื้น ฉันจึงบอกเขาว่าขอเจรจาสงบศึก ฉันจะตอบคำถามแต่เขาต้องปล่อยฉันไป เหยียนเหล่ยตอบตกลงแต่เขาจะนั่งคร่อมทับและจับฉันไว้แบบนี้ก่อนจนกว่าจะตอบคำถามเขาเสร็จ

เหยียนเหล่ย  : เจ้ารู้วิธีเปิดประตูได้ยังไง
             มี่จื่อ  : ตอนแรกเปิดประตูไม่ได้ แต่อยู่ๆก็มีคำว่า "ในน้ำมีปลา บนนภามีเรือ" ปรากฏขึ้นบนประตูพอข้าอ่านจบประตูก็เปิดออกเองจริงๆนะ ข้าไม่ได้โกหก
เหยียนเหล่ย  : เจ้าเป็นคนของสำนักไหน พูดมา!
            มี่จื่อ  : ข้าเคยอยู่หอกุ้ยฮวา ต่อมาก็ไปทำงานเป็นสาวใช้ที่บ้านสกุลหาน ข้าติดตามคุณชายหานมางานเลี้ยง ข้าเดินชมสวนจนหลงทางมาที่จวนนี้ เห็นจวนนี้สวยดีเลยแค่เข้ามาเดินชม ไม่ได้คิดจะขโมยของเลย
เหยียนเหล่ย  : โกหก! มนต์ผนึกประตูของข้าเป็นมนต์โบราณ ต้องเป็นคนที่เคยเรียนวิชามนต์โบราณจึงจะอ่านมนต์ออก บอกมาเจ้าเป็นคนของสำนักไหน
            มี่จื่อ  : ไอ้บ้า! ข้าไม่ได้โกหก ข้าพูดความจริงแล้วทุกอย่างเจ้าก็ไม่เชื่อ ข้าไม่รู้ว่านั่นคือมนต์โบราณและไม่รู้ว่าอ่านออกได้ยังไง จู่ๆก็อ่านออกได้เอง ข้าไม่ได้โกหก ปล่อยข้า! ข้าจะกลับบ้าน!
เหยียนเหล่ย  : ข้าเคยเห็นเจ้าพูดภาษาชนเผ่าไม้ดำซึ่งเป็นภาษาโบราณ และภาษาชนเผ่าหมีใต้คืนที่คุณชายหานไปไถ่ตัวเจ้าออกจากหอนางโลม และคืนนั้นเจ้าไปที่บ้านสกุลเฉา เจ้าไปอ่านแผนที่โบราณบอกที่ฝังสมบัติเก่าแก่ ยังจะโกหกว่าไม่รู้ภาษาโบราณอีกรึ?!
          มี่จื่อ  : ข้าบอกว่าไม่รู้ ก็คือไม่รู้ไง ปล่อยสิ!

          ฉันเริ่มโมโหและพยามดิ้นแต่ก็สู้แรงเหยียนเหล่ยไม่ได้ ฉันจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาแต่เขาก็ช่างดื้อด้านไม่เชื่อในคำพูดฉันสักนิด อีกทั้งฉันก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นใคร ใช่เจ้าของจวนฮุ่ยเฉิงนี้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันเริ่มรู้สึกกลัวจนร้องไห้น้ำตาไหลปล่อยโฮออกมา เหยียนเหล่ยเห็นฉันร้องไห้ปล่อยโฮเสียงดังจึงปล่อยมือที่จับฉันกดไว้กับพื้นแล้วค่อยๆพยุงตัวฉันให้ลุกขึ้นนั่งแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ เขาดึงตัวฉันไปกอดให้ซบอกลูบหัวลูบหลังปลอบให้ฉันหยุดร้องไห้ แล้วกล่าวขอโทษที่ทำให้ฉันกลัว เขาจับฉันให้นั่งบนตักแล้วเช็ดน้ำตา และบอกว่าให้ฉันหยุดร้องไห้เขาจะพาฉันกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ฉันจึงหยุดร้องไห้แต่ยังคงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย เหยียนเหล่ยนั่งกอดฉันอยู่อย่างนั้นและบอกว่าร้องไห้ตาแดงเดินกลับเข้างานจะมีคนสงสัยเอาได้ ฉันจึงรีบหยุดสะอื้น เขามองหน้าฉันแล้วยิ้มเล็กน้อยแต่ยังคงกอดอยู่อย่างนั้นแล้วพูดอีกว่า เขายังไม่เคยทำให้ผู้หญิงคนไหนต้องร้องไห้ เขาเองก็รู้สึกแย่เหมือนกันที่ทำให้ฉันร้องไห้

          พูดจบเหยียนเหล่ยก็หอมลงบนศรีษะฉันคล้ายปลอบโยนแล้วเลื่อนลงมาจูบที่หน้าผาก หอมเบาๆที่แก้มแล้วจับคางฉันให้เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วจูบเบาๆแต่ล้ำลึกละมุนลิ้น ลิ้นที่ค่อยๆสอดใส่เข้ามาในปากฉันมันอ่อนนุ่มฉ่ำน้ำจนไม่อยากให้หยุดจูบเลย เหยียนเหล่ยลูบไล้มือไปทั่วตัว ลูบไล้มือผ่านหน้าอกแล้วบีบคลึง ลูบไล้มือผ่านไปที่เอว สะโพก ลูบไล้บีบคลึงมาถึงต้นขาด้านในลูบผ่านเนินหว่างขาแล้วล้วงมือเข้าในกางเกงลูบเนินหว่างขาและจะถอดกางเกงฉันออก ฉันจึงหยุดจูบแล้วพยายามดึงมือเหยียนเหล่ยไม่ให้ถอดกางเกง แต่ดูเหมือนเขาจะมีอารมณ์ซะแล้ว เพราะเขาจับฉันนอนลงและพยายามจะถอดกางเกง ฉันพยายามดิ้นเขาจึงจูบฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันกัดปากเหยียนเหล่ยแต่เขาดึงปากออกทันปากเขาจึงเจ็บแค่แดงๆยังไม่ถึงกับมีเลือดออก ฉันได้จังหวะจึงยกขาถีบเหยียนเหล่ยที่หน้าอกจนเขาเซล้ม แล้วรีบลุกขึ้นวิ่งไปเปิดประตู แต่ประตูกลับเปิดไม่ออก เหยียนเหล่ยพุ่งตัวเข้ามาหาฉันทันที ฉันจึงหลบวิ่งหนีเข้าไปด้านในคว้าหยิบแท่นฝนหมึกที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือแบบนั่งพื้นขว้างปาใส่ เขาส่งเสียงร้องห้ามไม่ให้ปาแท่นฝนหมึก แต่ฉันไม่ฟังกระหน่ำหยิบของบนโต๊ะเขียนหนังสือปาใส่จนข้าวของพังแตกหัก แล้วหันไปคว้าภาพเขียนภู่กันที่วางอยู่ ครั้งนี้เหยียนเหล่ยร้องห้ามฉันจนเสียงหลงแต่ห้ามไม่ทันซะแล้ว เพราะฉันหยิบแกนไม้ที่ใช้ขึงภาพเขียนมาตีเขาจนภาพเขียนฉีกขาดยับเยิน เหยียนเหล่ยดูเหมือนจะโมโหมากที่ฉันทำภาพเขียนภู่กันขาด แล้วโวยวายว่าภาพเขียนนั่นฮ่องเต้เพิ่งพระราชทานให้เขา! ฉันจึงตอบกลับไปว่า แล้วจะทำไม!!! เขาเดินปรี่เข้ามาจับมือ ฉันทั้งตีทั้งทุบเขา จนฉันหันไปเห็นแจกันใบใหญ่วางตั้งโชว์อยู่ใกล้ๆจึงสะบัดมือให้หลุดแล้ววิ่งไปหยิบแจกันเหวี่ยงใส่เหยียนเหล่ยเต็มแรงพร้อมเสียงร้องโวยวายของเขาที่แจกันแตก ยิ่งเขาร้องเสียงหลงดังเท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกสะใจ แล้วจะวิ่งไปหยิบแจกันอีกใบมาเหวี่ยงใส่อีกครั้ง แต่เขาจับตัวฉันได้ทันแล้วทำเสียงเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันโมโหที่ฉันทำข้าวของในห้องพังแตกหักกระจาย เหยียนเหล่ยจับฉันไว้ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงรุนแรงขึ้น เขาคงจะโมโหมากจริงๆ

          เหยียนเหล่ยจับฉันโยนขึ้นเตียงแล้วใช้กำลังถอดเสื้อผ้าฉันออกจนแทบจะฉีกเสื้อผ้าขาดและถอดกางเกงฉันออกจนฉันเนื้อตัวเปลือยเปล่า เหยียนเหล่ยขึ้นนั่งคร่อมทับอยู่บนตัวฉันเพื่อไม่ให้ดิ้นหนีได้ จากนั้นเขาถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนหมดแล้วจับแขนสองข้างฉันที่กำลับทุบตีเขาจับยกขึ้นเหนือศรีษะกดไว้กับที่นอน มองหน้าฉันและมองหน้าอก มืออีกข้างหนึ่งบีบขยำหน้าอก แล้วสอดขาสองข้างเข้าใต้ขาฉันเพื่อแยกขาสองข้างอ้ากว้างแล้วจับแท่งเนื้อแข็งถูไถในเนินหว่างขาจนฉันเริ่มมีอารมณ์และเริ่มเปียกแฉะ ฉันร้องโวยวายแต่เขาไม่ฟังแล้วค่อยๆดันแท่งเนื้อแข็งเข้าไปในรอยแยกเนินหว่างขาทีละนิด จนฉันเจ็บร้อง "โอ๊ยเจ็บ!" เขาหยุดดันแท่งเนื้อครู่หนึ่งโถมตัวนอนทับฉันแล้วปล่อยมือที่จับแขนไว้ออก เหยียนเหล่ยโถมตัวกอดและหอมแก้มแต่เขาไม่จูบริมฝีปากคงกลัวถูกฉันกัดอีก เขาวางหน้าแนบจมูกและริมฝีปากกับแก้มฉัน ปล่อยลมหายใจอุ่นๆกระทบแก้มแล้วบอกว่าถ้าเจ็บก็ให้ฉันกอดเขาแน่นๆ แล้วจับแขนฉันให้โอบกอดเขาไว้ ค่อยๆดันแท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินหว่างขาช้าๆ แล้วดันแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆอีกครั้งแล้วดันอีกจนมิด ฉันร้องเจ็บและกอดเขาแน่น เหยียนเหล่ยพูดปลอบเบาๆว่า "ไม่เป็นไร" แล้วเริ่มเด้งก้นให้แท่งเนื้อขยับเข้าออกช้าๆเป็นจังหวะ เด้งก้นกระแทกแรงและเร็วขึ้นอยู่หลายครั้งจนเขาร้อง "อ๊ากกก" แล้วปล่อยน้ำอุ่นๆไว้ภายในเนินหว่างขา เหยียนเหล่ยโถมตัวกอดและหอม มองหน้าฉันแล้วเช็ดคราบน้ำตาที่มันไหลออกมาเพราะเจ็บตอนถูกสอดใส่แท่งเนื้อเข้าเนินหว่างขา เขาทำหน้าประหลาดใจปนรู้สึกผิด

เหยียนเหล่ย  : เจ้า...ยังไม่เคย...เอ่อ! ข้าขอโทษ เพราะข้าโมโหจึงทำอะไรไม่ยั้งคิด กระทำรุนแรงกับเจ้า
             มี่จื่อ  : หึ! ทำไปแล้วค่อยมาขอโทษเหรอ?! ตอนนี้จะปล่อยข้าไปได้หรือยัง?!
เหยียนเหล่ย  : เจ้าจะไม่คุยกับข้าสักหน่อยรึ?
             มี่จือ  : ไม่!!!

          ฉันไม่พูดอะไรต่อแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแต่สายตาพยายามสอดส่ายมองหาตำราหมื่นบุปผา และแล้วก็หันไปเห็นตำราเล่มบางหน้าปกสีทองตกอยู่ที่พื้นคงเป็นตอนที่ฉันอาละวาดพังข้าวของตอนนั้นแน่ๆ ฉันแกล้งทำทีเป็นเก็บของที่หล่นแตกหักวางหลบให้พ้นทางแล้วใช้ตัวบังก้มหยิบตำราเล่มสีทองมาดูหน้าปกเขียนว่า "หมื่นบุปผา" ฉันตื่นเต้นรีบยัดตำราใส่ในเสื้อแล้วเดินไปที่ประตูแต่ประตูเปิดไม่ออก ทันใดนั้นเหยียนเหล่ยมาตอนไหนไม่รู้มายืนอยู่ข้างหลังเข้ามาโอบกอดเอวแล้วพูดข้างหูฉันว่า

เหยียนเหล่ย  : เจ้าไม่มีอะไรจะคุยกับข้าจริงรึ?!"
             มี่จื่อ  : มะ ไม่มี ประตูเปิดไม่ได้ เปิดประตูให้ทีสิ
เหยียนเหล่ย  : ข้าเปลี่ยนข้อความบนประตู ประตูถึงเปิดไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าจับขโมยได้แล้ว!!

小暑音阙诗听/赵方婧 录音棚版二十四节气系列歌曲Slight
Youtube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 12
(ผู้สืบทอดพลังหมื่นบุปผา)

          เหยียนเหล่ยดึงฉันกลับไปที่เตียงแล้วฉีกดึงเสื้อฉันออกจนขาดหลุดลุ่ย จนตำราหมื่นบุปผาตกลงบนเตียง เขาโยนตำราลงพื้นข้างเตียงนอน แล้วถอดกางเกงฉันออก บีบขยำหน้าอกดูดหัวนม จับฉันที่กำลังดิ้นหนีด้วยการจับแขนสองข้างกดไว้กับเตียงแล้วแยกขาฉันสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขา ค่อยๆดันเข้าจนมิดสุดโคน แล้วกอดจูบซุกไซ้ซอกคอ มืออีกข้างเลื่อนลงไปจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งให้อ้าออกกว้างกระแทกแท่งเนื้อให้แรงขึ้น "อื้อออ" ฉันร้องเพราะถูกแท่งเนื้อกระแทกแรง เขาปล่อยมือจากที่จับมือฉันไว้ เพื่อให้เขาทรงตัวได้ถนัดและออกแรงกระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาให้หนักหน่วงขึ้น ฉันจึงวางมือที่ต้นแขนเขา ส่วนมือฉันอีกข้างหนึ่งเขาคว้าจับประสานนิ้วไว้บนหมอนหนุนศรีษะ แล้วจับหน้าฉันให้หันมาจูบสอดใส่ลิ้นจนลึกพร้อมเด้งก้นดันกระแทกแท่งเนื้อแข็งถี่แรงขึ้นกว่าเดิมจนฉันร้อง "อ๊าาา" เขาหอมแก้มเลียหู เสียงหอบของเหยียนเหล่ยดังอยู่ข้างหูได้อารมณ์ดีเหลือเกิน แล้วเร่งความเร็วกระแทกแท่งเนื้อแข็งอีกหลายครั้ง "อ๊ากก" เขาโถมตัวซบกอดฉันหมดแรงนอนกอดซบอยู่บนตัวฉันแบบนั้นครู่หนึ่ง แล้วขยับตัวลงนอนข้างๆ ฉันจะลุกขึ้นจากเตียงแต่เขาจับไว้ไม่ให้ลุกขึ้น ฉันจึงพลิกตัวนอนหันหลังให้ เหยียนเหล่ยขยับตัวเข้ามากอดฉันแนบแน่นทางด้านหลังแล้วจูบหอมที่ต้นคอทางด้านหลัง ฉันจึงถามว่าเขาเป็นใครกันแน่

เหยียนเหล่ย  : ข้าแซ่ต่ง ชื่อเยียนเหล่ย เป็นน้องชายท่านเสนาบดีขั้นสองต่งเหยียนอี้ และเป็นเจ้าของจวนฮุ่ยเฉิงหลังนี้
            มี่จื่อ  : แล้วทำไมท่านสะกดรอยตามข้า?
เหยียนเหล่ย  : เพราะเจ้าทำงานให้หยางเค่อ ข้ากำลังสืบเรื่องของหยางเค่อที่กำลังซื้อขายวัตถุโบราณผิดกฏหมาย เพื่อหาหลักฐานจับตัวเขา แล้วนี่เจ้าก็เข้ามาขโมยของในจวนข้าอีก หานหยางเค่อใช้ให้เจ้ามาขโมยใช่มั้ย?
            มี่จื่อ  : ใช่! แต่ข้าไม่อยากทำ…แต่หยางเค่อเป็นเจ้านายของข้า เขาช่วยไถ่ตัวข้าออกมาจากหอนางโลม ข้าต้องทำตามคำสั่งที่หยางเค่อสั่งให้ทำ ถ้าข้าไม่ได้ตำราหมื่นบุปผากลับไปหยางเค่อจะส่งข้ากลับคืนไปที่หอนางโลม หยางเค่อจะไม่ช่วยไถ่ตัวข้าออกมาอีกแล้ว! และถ้าข้ากลับไปอยู่ที่หอนางโลมอีกครั้งล่ะก็ หวังหย่งคนดูแลหอศัตรูเก่าของข้าคงกลับมาล้างแค้นข้าคืน คราวนี้ข้าคงไม่รอดเงื้อมมือหวังหย่งแน่ๆ
เหยียนเหล่ย  : หานหยางเค่อชั่วช้านัก!!
             มี่จื่อ  : หึ! ถึงหยางเค่อจะไม่ดี สั่งให้ข้ามาขโมยตำราก็จริงแต่หยางเค่อก็ไม่เคยใช้กำลังข่มเหงรังแกข้า หยางเค่อไม่เคยเอาเปรียบข้าอย่างที่เจ้าทำกับข้า! ส่วนเจ้าที่อ้างตัวเป็นคนดีกลับข่มเหงรังแกข้าอย่างคนไร้คุณธรรม!
เหยียนเหล่ย  : นี่เจ้ากำลังด่าข้ารึ?!
             มี่จือ  : ใช่! แล้วเจ้าคิดว่าข้ากำลังชื่นชมสรรเสริญเจ้าอยู่รึไง?

          ฉันหันหน้ากลับไปโวยวายทุบตีเหยียนเหล่ยเพราะโมโหที่เขาใช้กำลังปลุกปล้ำฉันถึงสองครั้ง ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วทุบเขา เหยียนเหล่ยจับฉันนอนลงกอดจูบแล้วบีบคลึงหน้าอกดูดหัวนม เลื่อนลงไปจูบหน้าท้องจนจักจี้แล้วจับขาฉันสองข้างยกขึ้นแยกออกกว้างสอดใส่ลิ้นในรอยแยกเนินหว่างขาเลียและดูดจนเสียว สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาดันจนมิดกระแทกกระทั้นอีกจนเสียวเกร็งตัวเสร็จไปพร้อมกัน

เหยียนเหล่ย  : ถ้าเจ้าด่าข้าอีกล่ะก็...!!!
             มี่จื่อ  : ไอ้บ้า!!!

          เหยียนเหล่ยจูบฉันต่อเนื่องแบบไม่ยอมถอนริมฝีปากจนฉันหายใจไม่ทันตีเขาให้หยุดจูบ เขาหัวเราะเบาๆคล้ายกลั่นแกล้งที่ฉันด่าเขา แล้วกระชับกอดหอม เหยียนเหล่ยถามฉันต่ออีกว่า...

เหยียนเหล่ย  : ยังจะด่าข้าอีกมั้ย? คราวนี้ข้าจะจูบเจ้าจนขาดใจตายไปเลย!
             มี่จื่อ  : เออ! ข้าไม่ด่าแล้ว เจ้าปล่อยข้าไปได้แล้ว!
เหยียนเหล่ย  : ยัง ข้ายังมีคำถามจะถามอีกและเจ้าต้องบอกความจริง หยางเค่อต้องการตำราหมื่นบุปผาไปทำอะไร?
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้ หยางเค่อไม่ได้บอกอะไร ส่วนข้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากความเกี่ยวกับตำรา ถ้าถามเยอะเดี๋ยวหยางเค่อจะรำคาญแล้วหาเรื่องลากข้าไปพูดคุยบนเตียงแทน แต่หยางเค่อสัญญากับข้าว่าจะให้ข้าขโมยตำราแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วจะให้ข้าไปทำงานเป็นสาวใช้ทั่วไปในบ้าน ขอตำราเล่มนั้นให้ข้าเถอะ ถ้าข้าไม่ได้ตำรากลับไปเขาจะส่งข้ากลับหอกุ้ยฮวา ข้าไม่อยากกลับไปทำงานรับแขกในหอนางโลมอีกแล้ว
เหยียนเหล่ย  : ตำราหมื่นบุปผาข้าให้เจ้าไม่ได้ นั่นเป็นตำราของท่านอ๋องหก ถ้าเจ้าเอาไปจะมีความผิดขโมยตำราของท่านอ๋อง อีกอย่างถึงจะขโมยตำราไปได้ก็อ่านตำราไม่ได้ ไม่มีใครอ่านได้ ขนาดข้าเองยังหาวิธีอ่านตำราหมื่นบุปผาไม่ได้เลย มานี่สิ! ข้าจะให้เจ้าดูตำราหมื่นบุปผา

          เหยียนเหล่ยพยุงฉันให้ลุกขึ้นใช้ผ้าห่มห่มคลุมตัวแล้วโอบกอดฉันไว้ในผ้าห่มผืนด้วยกัน เขาก้มหยิบตำราหมื่นบุปผาแล้วพาเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือแบบนั่งพื้น ข้าวของบนโต๊ะเขียนหนังสือล้มแตกหักระเนระนาด เหยี่ยนเหล่ยวางตำราหมื่นบุปผาบนโต๊ะแล้วนั่งลงเขาบอกให้ฉันนั่งตักซึ่งฉันเองก็ไม่ขัดขืนเพราะฉันสู้แรงเขาไม่ไหวแพ้จนหมดรูป เขาโอบกอดก้มจูบหอมที่ต้นคอและไหล่จนขนลุก มือข้างหนึ่งบีบคลึงหน้าอกฉันเล่น มืออีกข้างหนึ่งล้วงจับเนินสวรรค์แหย่นิ้วถูไถจนลื่น แล้วสอดใส่แท่งเนื้อที่กำลังแข็งตัวอีกครั้งเข้าเนินหว่างขาจนสุดโคน "อาาา" เหยียนเหล่ยยังคงกอดจูบลูบไล้ฉันอยู่อย่างนั้นแล้วจับสะโพกฉันขยับขึ้นลงเล็กน้อยเสียดสีแท่งเนื้อแข็งจนเสียว แล้วเปลี่ยนมาโอบกอดเล่นหน้าอกสลับจับสะโพกฉันโยกเสียดสีแท่งเนื้อแข็งแรงขึ้นจนเสียวสะท้าน เขาบอกให้ฉันเปิดตำราดูด้วยตัวเอง ฉันเปิดตำราดูด้วยความเสียวเพราะเหยียนเหล่ยทำลายสมาธิ ฉันเปิดตำราหมื่นบุปผาหน้าแรกพบกับบทกลอนบทหนึ่ง จึงอ่านบทกลอนบทนั้นพร้อมกับความเสียวที่เหยียนเหล่ยกำลังมอบให้…ซี๊ด..อ๊าาา....

                  "ดอกไม้บานยามต้องแสงแดด
                    อรุณแรกสาดส่องผ่องสดใส
                    ฝนพายุพัดผ่านครึ้มทันใด
                    กลีบดอกไม้ไหวร่วงหล่นต้องมลทิน"

          เหมือนเกิดแสงสว่างวาบหนึ่งที่บทกลอนนั้นพร้อมกับเสียงร้อง "อ๊ากกก" ของเหยียนเหล่ยที่กอดฉันแน่นแท่งเนื้อแข็งในเนินหว่างขากระตุกเล็กน้อยปล่อยน้ำอุ่นๆออกมาในเนินหว่างขา จากนั้นเหยียนเหล่ยจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า

เหยียนเหล่ย  : เจ้าทำอะไรกับตำราหมื่นบุปผา
             มี่จื่อ  : ปะ เปล่า! แค่อ่านบทกลอนในตำรา
เหยียนเหล่ย  : ข้าเคยอ่านบทกลอนนี้หลายครั้งแต่ไม่เคยมีการตอบสนองอะไรจากตำราอย่างนี้เลย แต่เจ้าอ่านบทกลอนนี้แค่ครั้งเดียวบทกลอนกลับมีการตอบสนองกับเจ้า หรือว่า…บุปผาต้องมลทินจะหมายถึงเจ้า? เพราะเมื่อกี้เรากระทำการเร่าร้อนขณะอ่านบทกลอนนั่น
             มี่จื่อ  : ตำรามีความรู้สึกเร่าร้อนไปด้วยรึ ประหลาดจัง

          เหยียนเหล่ยมองดูตำราแล้วคิดแต่ยังคงกอดลูบไล้เล่นหน้าอกเล่นหัวนมฉัน และจับคลึงเนินหว่างขาจนฉันเสียวมีอารมณ์อีก ทันใดนั้นก็ปรากฏแสงวาบหนึ่งที่บทกลอนอีกครั้ง เหยียนเหล่ยประหลาดใจแล้วมองฉัน เขาบอกให้ฉันเปิดดูอีกหน้าหนึ่งพบภาพเขียนภู่กันเป็นภาพกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่มีดอกไม้เหมือนดอกท้อสวยงาม เหยียนเหล่ยบอกให้ฉันเปิดดูหน้าอื่นๆด้วย ก็พบแต่ภาพเขียนภู่กันกิ่งดอกท้อที่มีลักษณะดอกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในแต่ละหน้า ฉันถามเขาว่า...

            มี่จือ  : เป็นตำราภาพเขียนรึ สำคัญยังไง?
เหยียนเหล่ย  : เป็นตำราโบราณวิชายุทธหมื่นบุปผาของสำนัก เฟิงเจี๋ย ภรรยาเจ้าสำนักของท่านอาจารย์เฟิงหย่า เป็นผู้เป็นผู้ฝึกวิชานี้ พอฮูหยินล้มป่วยเสียชีวิตก็ไม่มีใครฝึกวิชานี้อีก แม้จะมีคนพยายามฝึกแต่ก็ไม่อาจฝึกได้เพราะไม่มีใครอ่านหรือตีความในตำราออก เพราะในตำรามีแต่ภาพวาดดอกท้อ ตำราถูกส่งต่อให้เจ้าสำนักเฟิงเจี๋ยมาหลายรุ่น จนกระทั่งเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ยคนก่อนมอบตำราหมื่นบุบผาให้ไว้กับท่านอ๋องหกก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคปอด แล้วท่านอ๋องหกก็นำตำราเล่มนี้มาให้ข้าตีความ ซึ่งข้าก็ยังไม่สามารถตีความออก
             มี่จื่อ  : แล้วเจ้าสำนักเฟิงหย่าล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับเขา?
เหยียนเหล่ย  : ตั้งแต่ฮูหยินของเจ้าสำนักอาจารย์เฟิงหย่าเสียชีวิต อาจารย์เฟิงหย่าก็เกิดอาการตรอมใจจนกระอักเลือด จากนั้นอาจารย์เฟิงหย่าก็หายตัวไปพร้อมกับสุดยอดตำรามังกรสายลมกับกระบี่มังกรสายลม จนกระทั่งวันนี้ยังไม่มีใครพบ มีเพียงตำราหมื่นบุปผาที่เป็นเบาะแส ว่าแต่...เจ้าดูตำราแล้วมองเห็นอะไรบ้าง?
             มี่จื่อ  : ก็เห็นแต่กิ่งดอกท้อน่ะสิ!
เหยียนเหล่ย  : หุหุ ข้าก็เห็นเหมือนกันกับเจ้า
             มี่จื่อ  : หรือว่า...ต้องไปเปิดตำราอ่านกลางดงดอกท้อ หรือไม่ก็...เวลาฝึกต้องใช้กิ่งท้อฝึกแทนกระบี่ ต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับดอกท้อแน่ๆ
เหยียนเหล่ย  : ข้าเคยลองมาแล้วหลายวิธีก็ไม่มีผลอะไร
            มี่จื่อ  : ให้ข้าลองเอากลับไปศึกษาดูที่บ้านสักคืนเผื่อจะมองเห็นอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้
เหยียนเหล่ย  : ไม่ได้ ข้ารู้เจ้าจะเอาไปให้หยางเค่อ

          เหยียนเหล่ยจับฉันให้พลิกตัวกลับนั่งหันหน้าเข้าหาเขาในลักษณะนั่งคร่อมตักแล้วจูบฉันดูดดื่ม เขาก้มดูดหน้าอกฉันจนเป็นรอยแดง จับแท่งเนื้อแข็งใส่เนินหว่างขาอีกครั้ง เขาบอกให้ฉันขยับสะโพกทำให้เขาแล้วจะปล่อยให้ฉันกลับบ้าน ฉันจึงเริ่มโยกสะโพกเด้งขย่มแท่งเนื้อแข็งจนเขาร้องครางเบาๆ ฉันเองก็เสียวกอดคอเขาแน่น เหยียนเหล่ยกอดหอมซุกไซ้จูบซอกคอแล้วบอกให้ฉันขย่มให้เร็วขึ้นจนเราเกร็งตัวเสร็จพร้อมกัน "อ๊าาาาาา" ทันใดนั้นเหยียนเหล่ยก็เห็นตำราหมื่นบุปผาส่องแสงวาบขึ้นมาอีกครั้ง กลีบดอกท้อในภาพเขียนปลิวออกจากตำราเหมือนพายุหมุนจนหน้ากระดาษปลิวเปิดที่ละหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนการดีดหน้ากระดาษที่ละหน้าเร็วๆจนเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว และกลีบดอกท้อที่พุ่งเข้าหาฉันทางด้านหลังที่กำลังนั่งคร่อมตักกอดเขาพักเหนื่อยจนร้องโอ๊ว!ออกมา เพราะรู้สึกถึงความเย็นจนหนาวที่พุ่งเข้ามาปะทะที่หลังจนขนลุก

          เหยียนเหล่ยตกใจมากกับสิ่งที่เห็น เขามองดูที่ตำราดอกท้อในภาพหายไปแล้วเหลือเพียงแต่กิ่งท้อที่อยู่ในตำราหมื่นบุปผา เขามองหาดอกท้อที่หลังฉันบริเวณที่กลีบดอกท้อพุ่งใส่แล้วหายไปแต่ก็ไม่มีบาดแผลหรืออะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เขารีบถามฉันด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า...

เหยียนเหล่ย  : เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?
            มี่จื่อ  : ไม่บาดเจ็บอะไรแต่รู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกเข้าที่หลังข้า ท่านทุบข้ารึ?!
เหยียนเหล่ย  : ไม่ ข้าไม่ได้ทำ แต่ตำราหมื่นบุปผา....(เหยียนเหล่ยชี้ที่ภาพวาดดอกท้อที่เหลือแต่กิ่งให้ฉันดู)
            มี่จื่อ  : เอ๊ะ! ทำไมเหลือแต่กิ่งท้อล่ะ แล้วดอกท้อหายไปไหนหมด หายไปหมดเล่มเลย หายไปได้ยังไง ตำราผีหลอกหรือเปล่าเนี่ย?! (ฉันรีบโยนตำราลงกับโต๊ะแล้วลูบแขนเพราะขนลุก)
เหยียนเหล่ย  : ผีไม่ได้หลอก แต่ดอกท้อปลิวออกจากตำราแล้วพุ่งใส่หลังเจ้าจนหมดแล้วหายไป ข้าเห็นเองกับตา
            มี่จื่อ  : เห๊! จริงอ่ะ ไหนอ่ะ ไหน? ไม่เห็นมีเลยดอกท้ออยู่ไหน? (ฉันพยายามมองหาดอกท้อที่ตัวพร้อมกับทำท่าสั่นหนาว)
เหยียนเหล่ย  : ดอกท้อมันหายไปแล้ว!

          เหยียนเหล่ยพาฉันไปนั่นบนเตียงจากนั้นเดินไปรินน้ำชาในกามาให้ฉันดื่มแล้วบอกให้ฉันนอนค้างคืนกับเขาที่นี่ เพราะเขาต้องการค้นหาว่าดอกท้อหายออกไปจากตำราหมื่นบุปผาได้ยังไง หายไปที่ไหน หรือยังคงอยู่ในตัวฉัน แต่ฉันปฏิเสธที่จะนอนค้างคืนเพราะกลัวคำข่มขู่ของหยางเค่อ อีกทั้งหยางเค่อมีหนังสือสัญญาค่าไถ่ตัวฉัน ฉันกลัวเขาเรียกร้องเงินชดใช้ซึ่งฉันเองก็ยังไม่มีเงินมากพอไปคืนหยางเค่ ได้ เหยียนเหล่ยมองหน้าฉันแล้วกอดจูบเบาๆที่หน้าผากแล้วเริ่มหอมแก้มจูบซุกไซ้ดูดที่ซอกคอ มือเริ่มซุกซนบีบคลึงที่หน้าอก และจูบแลกลิ้นกับฉันอีกครั้งเขาจับฉันนอนหงายลงบนเตียงเลื่อนริมฝีปากมาดูดที่หัวนม แล้วเลื่อนมือลงไปลูบไล้เนินหว่างขาแหย่นิ้วชอนไชเข้าเนินหว่างขาจนฉันเสียวและมีอารมณ์ร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง "อาาาา" เหยียนเหล่ยที่กำลังดูดหน้าอกและเลียหัวนม เงยหน้ามามองฉันแล้วถามว่า "ชอบหรือไม่?" ฉันกำลังเสียวที่เนินหว่างขาพยักหน้าตอบว่า "ชอบ...อ๊าาา" เหยียนเหล่ยยิ้มเล็กน้อยและทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยแดงที่ผิวหนังบนตัวฉันเริ่มปรากฏชัดขึ้นเป็นรูปดอกท้อเหมือนในตำราหมื่นบุปผา เขามองไล่ดูตามรอยดอกท้อที่ปรากฏประปรายบนท้อง เนินอก และเริ่มมีดอกท้อปรากฏมากที่หน้าอกใต้หัวไหล่ เขาประหลาดใจมากที่ปรากฏรูปดอกท้อสีแดงบนผิวหนังของฉันจนเขาร้อง "โอ๊ะ!" เขาหยุดเล่นที่เนินหว่างขาทันที แล้วบอกให้ฉันพลิกตัวกลับนอนคว่ำก็พบรอยดอกท้อสีแดงที่ด้านหลังใต้หัวไหล่มีมากที่สุดและมีดอกท้อปรากฏประปรายลงไปจนถึงกลางหลัง

          ฉันตกใจรีบถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เหยียนเหล่ยพูดด้วยอาการประหลาดใจผสมดีใจแล้วบอกว่าเขาเจอดอกท้อที่หายไปจากตำราหมื่นบุปผาแล้ว จากนั้นเขาพยุงฉันลุกขึ้นนั่งแล้วรีบลุกไปหยิบกระจกมาให้ฉันส่องดูหน้าอกตัวเอง

             มี่จื่อ  : โอ๊ะ!!! เป็นไปได้ยังไง?!
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ข้าเห็นดอกท้อปลิวพุ่งเข้ามาในตัวเจ้า และตอนนี้ดอกท้อปรากฏออกมาแล้ว
             มี่จื่อ  : แล้วข้าต้องจะทำยังไงต่อล่ะ?
เหยียนเหล่ย  : ขอข้าคิดก่อน แต่เอ๊ะ?! รอยดอกท้อที่ผิวหนังเริ่มจางลงแล้วเหมือนมันจะหายไปอีกแล้ว
             มี่จื่อ  : เห๊! จริงด้วย อยู่ๆก็โผล่ออกมา อยู่ๆก็หายไป
เหยียนเหล่ย  : ข้าคิดว่าดอกท้อจะปรากฏเมื่อร่างกายเจ้ามีอุณภูมิสูงขึ้น แล้วดอกท้อจะหายไปเมื่อเจ้ามีอารมณ์ปกติ ข้าจะลองทำดูอีกครั้ง

Nurarihyon no Mago AMV
The LOVE SONG
[อนิเมะ] นูราริเฮียน หลานจอมภูต
Youtube by : NuraFukurou

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 13
(แผนชิงตัวมี่จื่อ)

          เหยียนเหล่ยเริ่มจูบเล้าโลมฉันอีกครั้ง แล้วแหย่นิ้วเข้าเนินหว่างขาขยับเข้าออกจนฉันมีอารมณ์ขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏรอยดอกท้อสีแดงขึ้นบนผิวหนังจริงๆ จากนั้นเขาสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาเด้งก้นกระแทกกระทั้น และพลิกตัวจับฉันให้ขึ้นนั่งคร่อมบนตัว ฉันเริ่มโยกสะโพกและถูไถเนินหว่างขาให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีจนเสียว "ฮ๊าาา" รอยดอกท้อมีสีแดงเข้มขึ้นกว่าเดิม เหยียนเหล่ยมองดูรอยดอกท้อบนร่างกายฉันด้วยความสนใจและดูจะยิ่งพอใจเมื่อเห็นดอกท้อกลายเป็นสีแดงเข้มเมื่อฉันกำลังมีอารมณ์ที่เร่าร้อนขย่มอยู่บนตัวเขา ฉันเริ่มเด้งก้นขย่มเขาแรงขึ้นเหยียนเหล่ยก็ดูจะยิ่งตื่นตาตื่นใจกับดอกท้อสีแดงเข้มที่เห็นบนตัวฉัน เขาช่วยเด้งก้นรับแรงขย่มจากฉันจนเราเกร็งตัวเสร็จพร้อมกัน ฉันหมดแรงเหนื่อยหอบโถมตัวนอนกอดเขาจนอยากจะหลับเพราะรู้สึกว่าวันนี้ฉันใช้แรงไปมากและเหนื่อยจริงๆ เหยียนเหล่ยบอกว่าจะปล่อยให้ฉันนอนพักและถามฉันอีกว่าหิวหรือไม่ เขาจะให้คนไปนำอาหารมาให้ฉันกินก่อนจะนอนพักผ่อน ฉันพยักหน้าตอบว่าหิวมาก

          เหยียนเหล่ยลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแต่ไม่ได้เรียบร้อยนักแล้วเดินไปที่ประตู ฉันมองตามเขาเพื่อจะดูว่าเขาเปลี่ยนมนต์ที่ประตูเป็นข้อความอะไร แล้วข้อความก็ปรากฏขึ้นว่า "ปิดประตูตีแมว" ฉันถึงกับอึ้งไปสามวินาที นี่เขาตั้งใจจัดการกับฉันไว้ตั้งแต่แรกแล้วสิเนี่ย!!! ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจมาก!!!...ฉันคิดในใจ

          เขาเปิดประตูไว้ไม่กว้างมากนักแล้วเรียกสาวใช้ให้ไปยกอาหารมาสองชุด สาวใช้เห็นเขาในสภาพที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยก็ทำสีหน้าตกใจแต่ก็รีบเดินออกไปตามคำสั่ง ในขณะเดียวกันก็มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งแต่งตัวดูเป็นทางการเหมือนคนมียศตำแหน่งเดินผ่านซุ้มประตูสวนทางกับสาวใช้และเดินเข้ามาที่จวน ทั้งสองดูตกใจที่เห็นเหยียนเหล่ยยืนอยู่หน้าประตูห้องในสภาพแต่งตัวไม่เรียบร้อยคือเขาสวมกางเกงแต่ไม่ได้สวมเสื้อตัวใน สวมไว้เพียงแค่เสื้อคลุม

        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ย!!! เจ้าแต่งตัวอะไรแบบนั้น! เจ้ากำลังทำอะไร?! อย่าบอกนะว่า....?
เหยียนเหล่ย  : โอ๊ะ!!! รอก่อน อย่าเพิ่งเข้ามา!

          เหยียนเหล่ยรีบเดินมาหาฉันแล้วหยิบเสื้อผ้าฉันที่ถูกฉีกขาดมาให้สวมใส่ เขารีบถอดเสื้อคลุมออกมาสวมใส่ให้ฉันแทนเพราะเสื้อฉันขาดจนเผยให้เห็นช่วงไหล่และเนินอก จากนั้นก็เอาผ้าห่มโยนขึ้นบนเตียงปกปิดรอยเลือดที่เลอะบนผ้าปูที่นอน ฉันจึงลงจากเตียงมายืนเอามือกอดตัวเองอยู่ข้างๆเตียง ซึ่งทางด้านนอกหน้าประตูก็ยังได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นเร่งให้เหยียนเหล่ยเปิดประตู เหยียนเหล่ยจูบที่หน้าผากฉันแล้วบอกว่า "อย่ากลัวนะ ไม่มีอะไรหรอก" เขารีบสวมเสื้อตัวในแล้วเดินไปเปิดประตู หนุ่มสาวคู่นั้นรีบเดินเข้ามาในห้อง โดยชายหนุ่มที่กำลังโวยวายใส่เหยียนเหล่ยคือผู้ชายกะล่อนที่เคยไปหอนางโลมกับเหยียนเหล่ยในคืนนั้น และผู้หญิงสาวสวยที่มาด้วยรีบเดินเข้ามาหาฉัน นางมองดูห้องที่ข้าวของแตกหักเสียหายกระจัดกระจายบนพื้น เหมือนผ่านการต่อสู้กันภายในห้องและมองดูเสื้อผ้าที่ฉันใส่ถูกฉีกขาดแต่ฉันสวมเสื้อคลุมของเหยียนเหล่ยปิดทับไม่ให้โป๊ นางถามฉันว่าเป็นอะไรหรือเปล่า? ถูกทำร้ายหรือเปล่า? ฉันก้มหน้าไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี จนนางต้องมองสำรวจใบหน้า และแขนเพื่อดูว่าฉันได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ส่วนผู้ชายที่มาด้วยกันยังคนโวยวายใส่เหยียนเหล่ย

        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ยนี่เจ้าทำอะไรลงไป ห๊ะ?! ถึงขนาดต้องลงมือลงไม้กับนาง นางเป็นสาวใช้ของหยางเค่อ ถ้าเขาเอาเรื่องขึ้นมาจะยุ่งกันไปใหญ่ ข้าบอกให้เจ้าแค่จับตัวนางไว้ ข้าจะมาสอบสวนเอง แต่นี่อะไร?! ทำไมเสื้อผ้านางขาดวิ่นขนาดนี้? อย่าบอกนะว่าเจ้า...?! (หลี่จวินเอื้อมมือไปเปิดผ้าห่มเพื่อจะดูเตียง เขาเห็นรอยเลอะเลือดจึงรีบเอาผ้าห่มปิดไว้ตามเดิม) เหยียนเหล่ย!!! นี่เจ้าถึงกับใช้กำลังกับสาวใช้เชียวเรอะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันเนี่ย?! ปกติเจ้าใจเย็นหยั่งกับน้ำ แต่นี่ถึงกับใช้กำลังปลุกปล้ำสาวใช้เชียวรึ?! อธิบายมาซิ! เกิดอะไรขึ้น?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าโมโห นางทำลายภาพวาดที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ข้า
        หลี่จวิน  : จริงรึ?! (หลี่จวินทำหน้าไม่เชื่อ)
         สาวใช้  : เอ่อ…คุณชายเหยียนเหล่ย เรายกอาหารไปวางที่ห้องรับรองแขกให้แล้วเจ้าค่ะ
เหยียนเหล่ย  : บอกให้คนมาทำความสะอาดห้องด้วย อ้อ! ลี่ถัง พามี่จื่อไปกินข้าวทีสิ
             ลี่ถัง  : ได้! มี่จื่อไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวข้าจะให้คนหาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน (ลี่ถังพาฉันไปนั่งกินข้าวที่ห้องรับรองแขกข้างๆ)
        หลี่จวิน  : ถ้าเจ้าหยางเค่อรู้ว่าเจ้าจัดการผู้หญิงของเขาก่อนเขาล่ะก็...เจ้านั่นคงเดือดเลือดขึ้นหน้าแน่ๆ แต่ไม่อยากจะเชื่อว่านางเคยเป็นหญิงคณิกาแต่ยังบริสุทธิ์...ว่าแต่ได้ความอะไรจากนางบ้าง พอนางกินข้าวเสร็จค่อยส่งนางกลับไปหาหยางเค่อก็แล้วกัน
เหยียนเหล่ย  : ส่งมี่จื่อกลับไปไม่ได้เด็ดขาด ที่หยางเค่อส่งมี่จื่อมาขโมยตำราหมื่นบุปผา เพราะมี่จื่อสามารถอ่านภาษาโบราณอ่านมนต์ปลดผนึกประตูของข้าได้ แล้วที่สำคัญ...มาดูนี่ ตำราหมื่นบุปผามีการตอบสนองเมื่อมี่จื่ออ่านบทกลอนดอกไม้บาน ยังมีอีก...ดอกท้อทั้งหมดในตำราหมื่นบุปผาปลิวหายเข้าไปอยู่ในตัวมี่จื่อจนเหลือแค่กิ่งก้าน ดูนี่...เมื่อข้าดีดหน้ากระดาษทีละแผ่นเร็วๆตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายจะเห็นภาพวาดกิ่งท้อมีการเคลื่อนไหวคล้ายกิ่งท้อต้องลม และถ้าสังเกตุดีๆด้านหลังกิ่งท้อดูคล้ายถ้ำหรือโพรงขนาดเล็กแต่ถูกปิดทับด้วยก้อนหิน
        หลี่จวิน  : โห!!! ไม่อยากเชื่อ ตอนนี้ดอกท้ออยู่กับนางรึ ขอให้ข้าดูหน่อย!
เหยียนเหล่ย  : ให้ดูไม่ได้!!
        หลี่จวิน  : ทำไมถึงดูไม่ได้เล่า?! โอ๊ะ! แย่ล่ะสิ! ดอกท้ออยู่กับนางรึ?! ข้าต้องรีบสั่งให้คนไปเชิญท่านอ๋องหกมาที่นี่ รอก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา
เหยียนเหล่ย  : หลี่จวินสั่งให้คนมาลงบันทึกประเมินทรัพย์สินที่เสียหายของข้าที่จวนด้วย
        หลี่จวิน  : ได้!

          เหยียนเหล่ยจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ปล่อยให้ฉันนั่งกินอาหารกลางวันอยู่กับลี่ถัง ลี่ถังบอกว่าหลี่จวินเป็นหัวหน้าหน่วยสอบสวน ส่วนนางเป็นรองหัวหน้าหน่วย และบอกอีกว่าถ้าเหยียนเหล่ยทำร้ายฉันก็สามารถร้องเรียนกับนางได้ นางจะจับเหยียนเหล่ยไปลงโทษให้สาสม ฉันรู้ว่าลี่ถังแกล้งพูดให้ฉันหายกลัวและพูดเพื่อให้ฉันไว้ใจ ฉันจึงถามลี่ถังอีกครั้งว่าเหยียนเหล่ยเป็นใคร เพราะฉันยังไม่ค่อยไว้ใจเหยียนเหล่ยสักเท่าไหร่นัก ลี่ถังจึงบอกว่าเหยียนเหล่ยเป็นน้องชายท่านเสนาบดีขั้นสอง และเป็นเจ้าของจวนฮุ่ยเฉิง บางครั้งเหยียนเหล่ยก็ช่วยทำงานตรวจสอบวัตถุโบราณและแผนที่ให้หน่วยสอบสวน นางและหลี่จวินมาที่นี่วันนี้เพื่อมาสอบสวนตามจับขโมยเพราะเหยียนเหล่ยบอกว่าวันนี้ต้องมีคนมาขโมยของที่จวนเขาแน่ๆ จากนั้นไม่นานนักหลี่จวินจึงเดินกลับมาหาฉันแล้วนั่งลงข้างๆ

        หลี่จวิน  : ข้าเคยเห็นเจ้าอยู่ที่หอกุ้ยฮวา วันนั้นหยางเค่อไถ่ตัวเจ้าราคาสามพันเหรียญใช่มั้ย ข้าจะให้เหยียนเหล่ยไถ่ตัวเจ้าจากหยางเค่อ?
             มี่จื่อ  : ตอนนี้ราคาเพิ่มเป็นสี่พันเหรียญแล้ว คุณชายหยางเค่อกลัวข้าจะจุดไฟเผาบ้านเขาจึงคิดหนี้ข้าเพิ่มล่วงหน้าอีกหนึ่งพันเหรียญ
        หลี่จวิน  : ร้ายกาจจริงๆ
             ลี่ถัง  : ใช่! หยางเค่อร้ายกาจมาก
        หลี่จวิน  : ไม่ใช่หยางเค่อ! แต่เป็นนางต่างหาก ค่าไถ่ตัวนางแพงเท่าหยู่เยียนหญิงงามอันดับหนึ่งของหอกุ้ยฮวา มี่จื่อค่าไถ่ตัวแพงเพราะไม่ได้งดงาม แต่แพงเพราะความสามารถที่หาได้ยาก
            ลี่ถัง  : นี่ท่าน! ไหนบอกว่าเคยไปหอกุ้ยฮวาแค่สองครั้ง! แล้วนี่รู้ถึงค่าไถ่ตัวหยู่เยียนเชียวรึ?! คิดจะไถ่ตัวนางหรือไง ไว้ใจไม่ได้เลย!
        หลี่จวิน  : ข้าไปหาข้อมูล ไปเที่ยวซะที่ไหนเล่า ถ้าไม่เชื่อก็ถามเหยียนเหล่ยดูสิ
เหยียนเหล่ย  : ข้าเคยไปกับหลี่จวินแค่สองครั้ง ส่วนครั้งอื่นๆข้าไม่รู้ (เหยียนเหล่ยที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลงมานั่งข้างๆหลี่จวินแล้วกินอาหารที่สาวใช้ยกมาให้)
        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ยเจ้าอย่าวางยาข้าสิ! เออนี่มี่จื่อ! ช่วยบอกคำตอบข้าหน่อย คำถามของเจ้าที่ว่ากระบี่อะไรที่หายากที่สุดแทบพลิกแผ่นดิน บอกคำตอบข้าหน่อย
            มี่จื่อ  : ท่านต้องจ่ายเงินค่าคำตอบ
       หลี่จวิน  : นี่เจ้ากำลังรีดไถเงินเจ้าหน้าที่
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้รีดไถเงิน แต่ข้ามีสิทธิ์ไม่บอกคำตอบ เพราะคำถามของข้าไม่ใช่เรื่องผิดกฏหมาย และข้ามีสิทธิ์เรียกเก็บเงินเหมือนการขายสินค้าทดสอบปัญญา ซึ่งไม่ถือเป็นการพนันเพราะข้าไม่ได้มีการประกาศเชิญชวนให้ใครมาตอบคำถามของข้า
      หลี่จวิน  : นี่เจ้าเอากฏหมายอะไรมาเถียงกับข้าเนี่ย?! ลี่ถังเห็นหรือยังว่านางร้ายกาจแค่ไหน นี่ขนาดมีคดีลักขโมยติดตัว นางยังคิดจะรีดไถเงินข้าไม่เกรงกลัวกฏหมาย ไม่คิดเกรงใจข้าที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยสอบสวน ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเหยียนเหล่ยถึงระงับอารมณ์ไม่อยู่ถึงขั้นต้องใช้กำลังกับเจ้า ฮึ่ม!

          เหยียนเหล่ยกับลี่ถังหัวเราะที่ฉันสามารถทำให้หลี่จวินชายกะล่อนเจ้าชู้ชอบเอ็นดูสาวๆ มีอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาได้ ลี่ถังจึงส่งเงินให้ฉันเพื่อให้บอกคำตอบกับหลี่จวิน ฉันรีบรับเงินไว้และบอกคำตอบว่า "เพราะกระบี่หายไปจึงหายากกว่าจะเจอ" ทำเอาพวกเขาอึ้ง และขำกับคำตอบกวนประสาท และเมื่อฉันกินอาหารเสร็จลี่ถังจึงเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันเปลี่ยน

          ไม่นานนักท่านอ๋องหกก็เสด็จมาถึงจวนฮุ่ยเฉิงด้วยความรีบร้อน และรีบถามหาตำราหมื่นบุปผาทันที หลี่จวินจึงเชิญท่านอ๋องให้นั่งดื่มน้ำชาใจเย็นๆและบอกท่านอ๋องว่าตำราหมื่นบุปผามีการตอบสนองกับฉัน เหยียนเหล่ยจึงอธิบายและหยิบตำรามาให้ท่านอ๋องดู

        อ๋องหก  : เป็นไปได้หรือนี่ ที่ตำราหมื่นบุปผาตอบสนองกับเด็กคนนี้ แล้วดอกท้อล่ะหายไปอยู่ที่ไหน เอาออกมาให้ข้าดู ห้ามปล่อยนางกลับไปเด็ดขาดจนกว่าเรื่องนี้จะคลี่คลาย เหยียนเหล่ยบอกให้นางเอาดอกท้อออกมาให้ข้าดู เร็ว!
เหยียนเหล่ย  : ท่านอ๋อง คือว่า….(เหยียนเหล่ยกระซิบกระซาบข้างหูอ๋องหก)
        อ๋องหก  : ห๊า! ประหลาดนัก งั้นหลี่จวินกับลี่ถังรอตรงนี้ ข้าจะเข้าไปข้างในห้องกับเหยียนเหล่ยและมี่จื่อ
        หลี่จวิน  : อ้าว?! ท่านอ๋องทำไมต้องปิดบังกระหม่อมด้วยเล่า เราเป็นเพื่อนกันไม่ควรมีความลับ อีกอย่างคดีนี้เป็นคดีของกระหม่อม ถ้าปิดบังกันแล้วกระหม่อมจะทำคดีต่อได้อย่างไรกันเล่า?!
เหยียนเหล่ย  : ฮึ่ย! ก็ได้!
        หลี่จวิน  : ลี่ถังรออยู่ตรงนี้นะ ถ้ามีใครมาให้รับหน้าไว้ก่อน

          เหยียนเหล่ยพาฉันเข้าไปในห้องนอนโดยมีท่านอ๋องหก และหลี่จวินเดินตามเข้าไปด้วย เหยียนเหล่ยบอกฉันว่า ต้องทำให้ท่านอ๋องกับหลี่จวินเห็นดอกท้อบนผิวหนังของฉัน แต่จะให้เห็นแค่ด้านหลังเท่านั้น และจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เหยียนเหล่ยจูงมือฉันเดินมาที่เตียง เขานั่งลงตรงขอบเตียง แล้วจับให้ฉันนั่งไพล่บนตัก เหยียนเหล่ยเริ่มปลดคอเสื้อฉันออกกว้างจนเผยให้เห็นแผ่นหลัง ท่านอ๋องหกกับหลี่จวินเดินเข้ามาดูใกล้ๆบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเลย เหยียนเหล่ยจับฉันขยับตัวให้หันหน้าเข้าหาเขาจับขาฉันแยกออกให้เปลี่ยนเป็นท่านั่งคร่อมตักเขาตรงขอบเตียง ทำเอาท่านอ๋องหกกับหลี่จวินทำตาโตยืนอ้าปากค้าง จากนั้นเหยียนเหล่ยจูบสอดใส่ลิ้น จูบซุกไซ้ซอกคอจนจักจี้ ฉันทั้งขนลุกทั้งอายที่มีท่านอ๋องกับหลี่จวินคอยมองอยู่ เหยียนเหล่ยบอกว่าถ้าดอกท้อไม่ปรากฏหลี่จวินจะพาฉันไปกักตัวในคุกที่หน่วยสอบสวนเพื่อค้นหาดอกท้อ ฉันจึงจูบเขากลับแล้วเบียดตัวจนเนินช่วงล่างเสียดสีกับแท่งเนื้อแข็ง เหยียนเหล่ยเอื้อมมือมาจับที่ก้นฉันแล้วบีบขยำจับเบียดเสียดสีกับแท่งเนื้อให้มากขึ้นจนฉันมีอารมณ์เสียววูบวาบ แล้วฉันได้ยินเสียงหลี่จวินกับท่านอ๋องร้องตกใจตื่นเต้น "โอ๊ะ!!! นี่ไงดอกท้อ! โอ้ว" เหยียนเหล่ยจูบและดูดที่ซอกคออีกครั้งแล้วหยุด เมื่อหลี่จวินกับท่านอ๋องเห็นดอกท้อบนหลังฉันแล้ว เหยียนเหล่ยจึงรีบจับคอเสื้อที่เปิดกว้างยกขึ้นใส่ให้ฉันตามเดิม จนหลี่จวินกับท่านอ๋องทำหน้าเสียดายเพราะถูกขัดจังหวะดูดอกท้อผสมฉากเล้าโลมกำลังได้อารมณ์

        หลี่จวิน  : ทะ ท่านอ๋อง มีความคิดเห็นอย่างไร?
        อ๋องหก  : เอ่อ...เราแยกย้ายกลับกันก่อนดีกว่า ตอนนี้ข้าคิดถึงพระชายาเหลือเกิน...
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋อง!!!
        อ๋องหก  : อ่ะเอ้อ! ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดทีละเรื่อง เริ่มจากถ้ำที่ปรากฏในตำราหมื่นบุปผาหาให้เจอก่อนว่าถ้ำนั้นอยู่ที่ไหนและมีอะไรอยู่ในนั้น ส่วนเรื่องดอกท้อที่อยู่กับมี่จื่อค่อยว่ากันใหม่ภายหลัง ตอนนี้จิตใจข้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว!
       หลี่จวิน  : หรือมี่จื่อจะเป็นผู้สืบทอดวิชาหมื่นบุปผา เพราะดอกท้อไปอยู่บนตัวนางทั้งหมดเลย
       อ๋องหก  : นั่นสิ! อาจจะใช่ก็ได้ (ท่านอ๋องมีอาการตื่นเต้น)
            ลี่ถัง  : ท่านอ๋อง!! หานหยางเค่อมาเพคะ เขามาตามหามี่จื่อสาวใช้ของเขา ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับรองแขก
        อ๋องหก  : อืม! จะให้เหยียนเหล่ยออกไปเจรจา

          เหยียนเหล่ยกับหลี่จวิน ลี่ถังและฉัน เดินออกไปจากห้องพบหยางเค่อกำลังนั่งดื่มน้ำชารออยู่ เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วทำหน้าครุ่นคิด หยางเค่อคงมองออกแล้วว่าคงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เพราะฉันเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าอื่นที่ไม่ใช่ชุดสาวใช้ของตระกูลหาน แล้วนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆลี่ถัง แต่หยางเค่อยังคงทำหน้าปกติแล้วพูดว่า

     หยางเค่อ  : ข้ามาตามหาสาวใช้ของข้า นางหายหน้าไปตั้งแต่เช้าที่ข้ามาถึงที่นี่ ไม่คิดว่านางจะมาอยู่ที่จวนคุณชายต่ง ต้องขออภัยที่ข้าอบรมคนของข้าไม่ดีทำให้รบกวนคุณชาย กลับไปคงต้องลงโทษให้เข็ดหราบที่แอบอู้งาน
เหยียนเหล่ย  : นางคงเป็นสาวใช้คนสำคัญของท่านสินะ คุณชายหานจึงต้องออกหน้ามาตามหาด้วยตัวเอง
     หยางเค่อ  : ข้าให้ความสำคัญกับคนงานทุกคนในบ้าน ถ้าคุณชายต่งไม่ว่ากระไรข้าจะขอพาสาวใช้ของข้ากลับบ้านตอนนี้เลย
เหยียนเหล่ย  : ท่านพานางกลับไปไม่ได้ นางต้องถูกดำเนินคดีทำลายทรัพย์สินในจวนข้าเสียหาย และนางถูกจับได้เพราะพยายามขโมยตำราโบราณของท่านอ๋องหกที่อยู่ในจวนข้า
     หยางเค่อ  : แต่นางเป็นสาวใช้ของข้า ข้าจะชดใช้ค่าเสียหายแทนนางเอง
เหยียนเหล่ย  : ดี! ในเมื่อคุณชายหานเป็นเจ้านายของนาง คุณชายหานจะรับชดใช้หนี้สินแทนนางข้าก็เห็นสมควร และข้ายินดีจะรับเงินค่าชดใช้นั้นจากคุณชายหาน
     หยางเค่อ  : นางทำลายทรัพย์อะไรรึ ราคาเท่าไหร่ข้าจะจ่ายให้
เหยียนเหล่ย  : นางทำแจกันโบราณแตก ราคา 8,500 เหรียญ, แท่นฝนหมึกหยกเขียว ราคา 7,200 เหรียญ, ภู่กันหยกหนึ่งคู่ ราคา 3,000 เหรียญ, ค่าเสียหายอื่นๆอีก 7,000 เหรียญ, และที่สำคัญที่สุดนางฉีกภาพเขียนภู่กัน หงส์ดำระบำน้ำ ราคาประเมินค่ามิได้ ที่ฮ่องเต้เพิ่งพระราชทานให้ข้า ซึ่งข้าต้องรายงานฮ่องเต้ด้วยว่าภาพเขียนถูกทำลาย ในเมื่อคุณชายหานเป็นเจ้านายของนางก็ถูกต้องแล้วที่คุณชายหานต้องรับผิดชอบแทน และต้องไปรับโทษที่ทำลายภาพเขียนกับฮ่องเต้ในวังด้วย
    หยางเค่อ  : ฮึ่ม!!! มี่จื่อ!!! ของพวกนั้นเจ้าเป็นคนทำลายมันงั้นรึ?!
            มี่จื่อ  : ใช่! (ฉันตกใจตาค้างกับราคาข้าวของที่ฉันทำแตก มิน่าเหยียนเหล่ยถึงได้โมโหฉันตอนทำมันแตกหักเสียหาย)
    หยางเค่อ  : นี่เป็นแผนการของเจ้าล่ะสิ! เจ้าคิดจะเล่นงานข้า
        หลี่จวิน  : คุณชายหาน! ข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว สาวใช้ของท่านทำลายภาพเขียนและแจกันโบราณรวมถึงของโบราณอื่นๆแตกจริง
        อ๋องหก  : ส่วนภาพเขียนภู่กันหงส์ดำระบำน้ำถูกฉีกทำลาย ข้าตรวจสอบด้วยตัวข้าเอง ถ้าเสด็จพ่อข้ารู้คงจะกริ้วไม่น้อย เตรียมตัวรับโทษไว้ได้เลย (อ๋องหกเดินออกมาจากห้องเพื่อยืนยันว่าภาพเขียนภู่กันเป็นของจริงและถูกฉันฉีกทำลายไปแล้ว)
        หลี่จวิน  : คุณชายต่งเหยียนเหล่ยแจ้งความกับข้าไว้เรียบร้อยแล้ว และข้าต้องขอยึดใบสัญญาซื้อขายสาวใช้มี่จื่อไว้ เพราะตอนนี้นางเป็นคนร้ายในคดีพยายามลักทรัพย์ของท่านอ๋องหก คดีทำลายวัตถุโบราณล้ำค่าของจวนฮุ่ยเฉิง และคดีทำลายภาพเขียนภู่กันล้ำค่าของฮ่องเต้ ข้าจะส่งคนไปรับใบสัญญาซื้อขายสาวใช้มี่จื่อที่จวนของคุณชายหาน
เหยียนเหล่ย  : เอาล่ะ! ข้ารู้มาว่าคุณชายหานไถ่ตัวมี่จื่อออกจากหอกุ้ยฮวา ราคา 3,000 เหรียญ ข้าจะจ่ายเงินส่วนนั้นคืนให้ และหลังจากเสร็จสิ้นการพิจารณาคดีที่หน่วยสอบสวน มี่จื่อจะต้องมาทำงานเป็นสาวใช้ที่จวนฮุ่ยเฉิง จนกว่าจะชดใช้หนี้สินครบ และข้าคือเจ้านายคนใหม่ของนาง

          หยางเค่อออกอาการโมโหจนพูดไม่ออก แล้วเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดออกไปจากจวนฮุ่ยเฉิง ฉันเองก็นั่งก้มหน้าเงียบคิดไม่ตก ได้แต่โทษโชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้งอะไรฉันนักหนายิ่งพยายามดิ้นรนหนี กลับยิ่งถูกผูกมัดด้วยหนี้สินจำนวนมหาศาล หนีจระเข้เข้าปากสิงห์โตชัดๆ หนักใจมากสุดก็คือภาพเขียนภู่กันหงส์ดำระบำน้ำของฮ่องเต้ เขาจะสั่งประหารชีวิตฉันทิ้งไหมหนอ...ฉันคิดในใจ

          หลี่จวินบอกว่าเขาจะส่งคนไปที่บ้านของหยางเค่อเพื่อไปเอาหนังสือสัญญาค่าไถ่ตัวฉัน เมื่อลงบันทึกเสร็จแล้วจะนำมามอบให้เหยียนเหล่ยเก็บไว้ แล้วบอกอีกว่าให้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ต้องเดินทางไปที่หน่วยสอบสวน เพราะเหยียนเหล่ยต้องตรวจสอบและตีความว่าเหตุใดดอกท้อจึงไปปรากฏอยู่บนตัวฉัน ส่วนเรื่องคดีลักขโมยและทำลายวัตถุโบราณหลี่จวินกับลี่ถังจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง พวกเขาจึงอยู่พูดคุยและนั่งดื่มเหล้ากันต่อที่จวนฮุ่ยเฉิง หลี่จวินยื่นถ้วยเหล้าให้ฉันที่นั่งอยู่ด้านหลังเหยียนเหล่ย แต่ฉันส่ายหัวปฏิเสธ หลี่จวินจึงหยอกเย้าฉันว่าดื่มเหล้าทำความรู้จักกันไว้ เพราะอีกหน่อยคงต้องได้เห็นหน้ากันบ่อยๆเพราะพวกเขาเป็นแขกประจำจวนฮุ่ยเฉิง เหยียนเหล่ยจึงบอกให้ฉันรับถ้วยเหล้าไปดื่มอย่าเสียมารยาท ฉันจึงรับถ้วยเหล้ามาดื่ม เวลาผ่านไปจากที่ฉันนั่งอยู่ด้านหลังเหยียนเหล่ยกลายเป็นมานั่งอยู่ข้างๆคอยรับถ้วยเหล้าจากหลี่จวินมาดื่มเพื่อรักษามารยาทจนเริ่มเมา จึงแอบสะกิดเหยียนเหล่ยเพื่อจะบอกว่าฉันดื่มเพื่อมารยาทไม่ไหวแล้วเพราะเมา แต่ถูกหลี่จวินหยอกเย้าว่าแอบสะกิดชวนกันเข้าห้อง แล้วพากันหัวเราะแต่เหยียนเหล่ยแค่ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วอมยิ้มกับคำหยอกเย้า

Seal - Kiss From A Rose (Official Music Video)
Youtube by : JoJolsTheBestOfAll

Seal - Kiss From A Rose
Youtube by : Seal

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 14
(พบเจ้าสำนักเฟยอวี่)

          ในขณะที่พวกเขาหัวเราะกันสนุกสนาน มีชายชราคนหนึ่งหนวดยาวสีขาวสวมเสื้อผ้าสีเทา แต่ท่าทางยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงเดินเข้ามาที่จวนฮุ่ยเฉิง และตามหลังมาด้วยเด็กหนุ่มอายุน่าจะใกล้เคียงกับฉัน พวกเขาลุกขึ้นทำความเคาพชายชรา เหยียนเหล่ยเอ่ยทักทายชายชราว่าอาจารย์ ส่วนอ๋องหก หลี่จวิน และลี่ถังเอ่ยทักทายชายชราว่า ท่านเจ้าสำนักเฟยอวี่ ส่วนเด็กหนุ่มที่ติดตามมาด้วยทำความเคารพบุคคลทั้งสี่แต่เรียกเหยียนเหล่ยว่าศิษย์พี่ เหยียนเหล่ยบอกฉันว่าชายชราคนนั้นชื่อเฟยเทียน เป็นเจ้าสำนักเฟยอวี่ และเป็นอาจารย์ของเขาด้วย ฉันจึงทำความเคารพชายชราแล้วจับชายแขนเสื้อเหยียนเหล่ยไว้ไม่ให้ยืนเซเพราะเริ่มมีอาการมึนเมา ชายชรากล่าวทักทายทุกคนและมองมาที่ฉันเพราะเป็นคนแปลกหน้า

     เฟยเทียน  : ข้ามาร่วมงานเลี้ยงของพี่ชายเจ้า คนของข้ามารายงานข้าว่าจวนของเจ้าถูกรื้อพังเละเทะรึ? ใครทำ? จับตัวได้หรือยัง?
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ (เหยียนเหล่ยมองมาที่ฉัน)
    เฟยเทียน  : ข้ารู้นะว่าตำรานั่นมันมีการตอบสนองแล้วจริงรึ?
เหยียนเหล่ย  : (เหยียนเหล่ยมองมาที่ฉันอีกครั้ง แล้วเล่าให้อาจารย์เฟยเทียนฟัง)
    เฟยเทียน  : อืม...เจ้าเองหรอกรึ มาจากที่ไหนล่ะ?
            มี่จื่อ  : จักรวาลมาร์เวล รวมเหล่าซูปเปอร์ฮีโร่
    เฟยเทียน  : ข้าเป็นเพื่อนเล่นของเจ้ารึนังหนู?
            มี่จื่อ  : ก็ได้ๆข้าจะบอก...ข้ามาจากอนาคต ที่อยู่คนละยุคสมัยกับพวกท่าน เพราะตอนที่ข้าจมน้ำมิติกาลเวลาเกิดการบิดเบี้ยวผิดรูปทำให้ข้าหลงทางย้อนเวลามาที่นี่
    เฟยเทียน  : แล้วอนาคตบ้านเจ้าเป็นเช่นไร?
            มี่จื่อ  : ในอนาคตบ้านข้ารวมถึงบ้านท่านในยุคของเหลนๆๆๆ เราไม่ขี่ม้าเป็นพาหนะ แต่เรามีพาหนะเหล็กขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงวิ่งอึดและทนกว่าม้า ใช้ของเหลวที่เรียกว่าน้ำมันขุดจากใต้ดินเป็นพลังงานขับเคลื่อน

          ทุกคนทำหน้างุนงงกับสิ่งที่ฉันพูด แล้วหัวเราะที่ฉันเมาแล้วพูดเพ้อเจ้อ ยกเว้นอาจารย์เฟยเทียนที่ไม่หัวเราะแต่กลับสนใจสิ่งที่ฉันพูดแล้วถามต่ออีกว่า

    เฟยเทียน  : แล้วดินแดนนี้ในอนาคตเป็นเช่นไร?
            มี่จือ  : ข้าพูดไม่ได้หรอก จะมีผลกระทบต่อจิตใจใครบางคน แต่ถ้าท่านตาจ่ายเงินให้ข้าเป็นค่าบอกความลับ ข้าก็จะบอกให้
    เฟยเทียน  : ได้! งั้นเจ้าขยับมาใกล้ๆข้าตรงนี้ มาพูดใกล้ๆหูข้า
            มี่จื่อ  : (ฉันขยับคลานเข้าไปหาอาจารย์เฟยเทียนและกระซิบว่า...) จะมีผู้แข็งแกร่งรวบรวมดินแดนน้อยใหญ่เข้าเป็นปึกแผ่นจนกลายเป็นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ การปกครองระบอบฮ่องเต้จะสิ้นสุดลงในยุคราชวงศ์ชิง ฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง ชื่อ ผู่อี๋ (ปูยี หรือ เซวียนถ่ง) ถูกบังคับให้สละราชสมบัติกลายเป็นสามัญชนไปทำงานเป็นบรรณาธิการแผนกวรรณกรรม ดินแดนนี้จึงถูกปกครองโดยสามัญชนที่ชื่อเหมาเจ๋อตุง และสับเปลี่ยนผู้นำไปเรื่อยๆจนถึงยุคสมัยข้ายุคที่เงินเป็นพระเจ้า ยุคแห่งความขัดแย้ง และเกิดโรคระบาดร้ายแรงมีชื่อว่า โควิด แต่อย่าห่วงพวกท่านทุกคนมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้เห็นยุคสมัยที่โหดร้ายนั้นหรอก
    เฟยเทียน  : (อาจารย์เฟยเทียนหันไปมองท่านอ๋องหกแล้วหันมาทำตาโตตกใจถามฉันว่า...) จริงรึ?!
            มี่จื่อ  : อื้ม! ใช่!...ตอนนี้ข้าเมาแล้ว....อยากนอน....
เหยียนเหล่ย  : อาจารย์! มี่จื่อบอกอะไรกับท่านรึ?
    เฟยเทียน  : เอ่อ...นางเมามากแล้วพูดไปเรื่อย เจ้าพานางไปนอนเถอะ เอ้านี่! เงิน ฝากไว้ให้นางด้วย ข้ากลับล่ะ

          เหยียนเหล่ยพาฉันเข้าไปนอนในห้อง โดยปูผ้าให้ฉันนอนที่พื้นใกล้ๆเตียงแล้วห่มผ้าให้ จากนั้นเขาก็เดินกลับออกไปนั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกับเพื่อนๆต่อ

         หลี่จวิน  : อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ข้ายอมรับว่าเจ้าสำนักเฟยอวี่เป็นคนเก่งและข้าก็นับถือชื่นชมเขามากจริงๆ แต่เขาเป็นคนแปลกชอบทำอะไรแปลกๆ มีความคิดแปลกๆ ไม่อยากจะเชื่อเหยียนเหล่ยเรียนวิชามนต์โบราณกับเขาเข้าใจได้ยังไง
เหยียนเหล่ย  : ท่านกำลังนินทาอาจารย์ข้าอยู่นะ
             ลี่ถัง  : ท่านเจ้าสำนักคุยอะไรกับมี่จื่อ แล้วเค้าคุยกันเข้าใจได้ยังไง ข้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจเลย จักรวาลอะไรนั่นน่ะ?
        อ๋องหก  : เขาคุยกันถึงดวงดาวบนฟ้า แต่เป็นดวงดาวที่อยู่ห่างไกลออกไป ไกลกว่าตามองเห็น ส่วนเรื่องที่นางมาจากอนาคตคงพูดเพราะเมามากกว่า เจ้าสำนักคงรู้ว่านางเมาจึงไม่อยู่คุยต่อ
        หลี่จวิน  : งั้นพรุ่งนี้เราเอาแผนที่มาเปรียบเทียบดูดีกว่าว่ามีที่ไหนตรงกับถ้ำในตำราหมื่นบุปผา
เหยียนเหล่ย  : เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แต่ลองดูหน่อยก็ดี

          ฉันนอนหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องแล้วดับไฟ เหยียนเหล่ยคงเข้ามานอนบนเตียง ในใจฉันคิดว่าแม้การปูผ้านอนบนพื้นจะไม่สบายนักแต่ก็ยังดีกว่าถูกส่งกลับไปนอนที่หอนางโลม จึงหลับต่อจนกระทั่งดึกก็รู้สึกว่ามีคนขยับตัวเข้ามานอนในผ้าห่ม ขยับตัวโอบกอดแนบชิดทางด้านหลัง จูบหอมซอกคอทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในเสื้อบีบขยำหน้าอก ฉันจับมือเขาไว้และหันไปมองว่าเป็นใคร เขาจับตัวฉันพลิกให้นอนหงาย ขยับตัวนอนคร่อมทับแล้วจูบสอดใส่ลิ้นเข้าปากฉันจนลึก จึงรู้ว่าเป็นเหยียนเหล่ยเพราะจำรสจูบละมุนฉ่ำลิ้นแบบนี้ได้ ฉันปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้าฉันออกจนหมดเพราะเมาจนไม่มีแรงขัดขืน ปล่อยให้เขากอดจูบดูดซอกคอ บีบขยำหน้าอก ดูดเลียหัวนมสองข้างจนฉันร้อง "อื้อออ" แล้วจับขาฉันแยกออกกว้าง สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาดันเข้าช้าๆทีละนิดแล้วขยับออก จากนั้นดันแท่งเนื้อแข็งเข้าอีกครั้งจนมิดโคน เขาสอดแขนสองข้างเข้าใต้หว่างขาเพื่อยกก้นฉันขึ้นเล็กน้อยและแยกขาฉันออกกว้างขึ้นโถมตัวกระแทกแท่งเนื้อแข็งให้ลึกและแรงขึ้น แม้ฉันจะเมาแต่ฉันก็ยังมีความรู้สึก มันเสียวเหลือเกิน "โอ๊ววว" เขากระแทกกระทั้นอยู่อย่างนั้นหลายครั้งจนกระทั่งเขาเสร็จ แล้วโถมตัวกอดนอนทับ ฉันยกแขนโอบกอดเขาแล้วจูบที่ริมฝีปากแลกลิ้นกันอีกครั้ง เหยียนเหล่ยจับฉันพลิกตัวขึ้นนอนคร่อมทับบนตัว จับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขา สองมือเอื้อมจับก้นฉันขยับเสียดสีให้แท่งเนื้อเข้าออกเป็นจังหวะ เขาเด้งก้นกระแทกเนินหว่างขาเร็วๆอยู่หลายครั้ง "อ๊าา อ๊าา" ฉันจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วออกแรงขย่มแท่งเนื้อแข็ง "อ๊าา อ๊าา" จนฉันเสียวขนลุกเกร็งตัวเสร็จ จากนั้นเขาเร่งจังหวะเด้งกระแทกให้เร็วขึ้นอีก "อ๊ากก" แล้วปล่อยน้ำอุ่นๆใส่เนินหว่างขาฉันอีกแล้ว จากนั้นเราก็นอนกอดกันหลับไปจนถึงเช้า

          ฉันรู้สึกตัวตื่นกำลังนอนอยู่ที่พื้นห้องมีผ้าปูรองนอนและผ้าห่มห่มคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่า ฉันจำได้ว่าเหยียนเหล่ยลงจากเตียงมานอนกับฉันเมื่อคืน ฉันจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วคิดในใจว่า ตอนอยู่ที่หอนางโลมอุตส่าห์หวงตัวไม่ยอมรับแขก พอมาที่จวนฮุ่ยเฉิงแค่วันเดียวกลับยอมให้เหยียนเหล่ยเข้าหาง่ายๆซะงั้น บ้าจริง! คอยดูนะวันนี้จะไม่ให้แตะแม้แต่ปลายเล็บ ฉันเดินไปล้างหน้าแล้วเดินออกมาจากห้อง พบเหยียนเหล่ยกำลังนั่งดื่มน้ำชาและอ่านตำรา ฉันจึงนั่งลงเพื่อรอรับคำสั่ง เขามองหน้าฉันแล้วยิ้มเล็กน้อยพูดขึ้นว่า

เหยียนเหล่ย  : เจ้าเป็นสาวใช้ยังไงถึงได้ปล่อยให้เจ้านายมานั่งรอเจ้าตื่นนอนเพื่อรอกินอาหารเช้า
             มี่จื่อ  : แล้วทำไมท่านไม่ปลุกข้า
เหยียนเหล่ย  : ข้าเห็นเจ้ากำลังนอนหลับสบายจึงไม่อยากปลุก
             มี่จื่อ  : ถ้าข้าตื่นสายก็ปลุกสิ แต่อย่าบ่น! แล้วข้าต้องทำงานอะไรบ้าง
เหยียนเหล่ย  : ชงชา รินน้ำชา รินเหล้า กวาดใบไม้ที่หน้าจวน และทำตามคำสั่งที่ข้าสั่งให้เจ้าทำ ส่วนเรื่องทำอาหาร ทำความสะอาดจวน จะมีคนจากจวนเสนาบดีขั้นสองมาทำให้ ข้าชอบความเงียบสงบ ดังนั้นที่จวนนี้จึงมีเจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันสองคน ช่วงระหว่างรอคนยกอาหารมาให้ เจ้าก็มารินน้ำชาให้ข้า
            มี่จื่อ  : งั้นที่ท่านลงมานอนที่พื้นห้องกับข้าเมื่อคืน นั่นก็ไม่ใช่งานของข้า ต่อไปท่านอย่าลงมานอนที่พื้นกับข้าอีก (ฉันรินน้ำชาให้เขาด้วยใบหน้าเฉยชา)
เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนอากาศเย็น ข้ารู้สึกหนาวเพราะไม่มีผ้าห่ม จึงต้องไปอาศัยห่มผ้าห่มผืนเดียวกันกับเจ้า (เขาพูดตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยชาแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม)
             มี่จื่อ  : งั้นวันนี้ข้าจะไปหาผ้าห่มมาเพิ่ม จะได้ไม่ต้องห่มผ้าผืนเดียวกับท่าน
เหยียนเหล่ย  : ตามใจเจ้า

排骨教主 - 入夢局良辰美景虛設甘願重蹈覆轍
Youtube by : tk Music Time

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 15
(ปลดผนึกมนต์กักขังห้าธาตุ)

          ฉันนั่งเงียบๆรินน้ำชาให้เหยียนเหล่ยเพราะไม่รู้จะคุยอะไร ส่วนเขานั่งนิ่งอ่านตำรามาดสุขุมยกถ้วยน้ำชาดื่ม ฉันที่ไม่เคยชินกับการนั่งบนขาตัวเองเป็นเวลานานจึงเกิดอาการเมื่อยบิดไปบิดมา เหยียนเหล่ยจึงบอกให้ฉันนั่งตามสบาย ฉันจึงเหยียดขาออกยืดคลายเมื่อย แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิหลวมๆแบบที่เหยียนเหล่ยนั่ง เขามองท่านั่งฉันแล้วอมยิ้มส่ายหัวเล็กน้อยกับท่านั่นที่ผ่อนคลายเกินไปของฉัน ไม่นานนักสาวใช้ก็ยกอาหารมาให้สองชุด เขาบอกให้ฉันนั่งกินอาหารด้วยกัน หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เหยียนเหล่ยบอกให้ฉันไปช่วยเขายกแผนที่ออกมาจากในห้อง เพราะหลี่จวินจะมาช่วยเขาหาถ้ำในตำราหมื่นบุปผา ฉันช่วยเขารื้อหยิบแผนที่ในชั้นด้านล่าง ส่วนเขารื้อหยิบในชั้นด้านบน ขณะกำลังรื้อเหยียนเหล่ยก็ทำแผนที่ตกใส่หัวฉันเจ็บจนร้อง โอ๊ย!

เหยียนเหล่ย  : โอ๊ะ! ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ระวัง เป็นอะไรหรือเปล่า? (เหยียนเหล่ยขยับมาจับตัวและมองหาว่าฉันเจ็บตรงไหน)
             มี่จื่อ  : ไม่ ไม่เป็นอะไร

           ฉันรีบถอยห่างเหยียนเหล่ยไม่ให้แตะตัวแล้วรีบยกแผนที่ออกไปวางที่ห้องรับแขก ก็เห็นเจ้าสำนักเฟยอวี่ และเด็กหนุ่มผู้ติดตามกำลังเดินเข้ามา ฉันจึงรีบเชิญเจ้าสำนักให้นั่งดื่มน้ำชา

            มี่จื่อ  : เจ้าสำนักเฟยอวี่ คุณชายกำลังหยิบแผนที่อยู่ในห้อง ข้าจะไปเรียนคุณชายว่าท่านมา
    เฟยเทียน  : ฮึ! เมื่อคืนเจ้ายังเรียกข้าว่าท่านตา พอหายเมาจึงเรียกว่าเจ้าสำนักได้แล้วรึ?
            มี่จื่อ  : เมื่อคืนข้าเมาจนไร้มารยาท ข้าขออภัย เชิญท่านเจ้าสำนักนั่งดื่มน้ำชาก่อน (ฉันรีบรินน้ำชาให้อาจารย์เฟยเทียนดื่ม) ข้าจะไปเรียนคุณชาย...
     เฟยเทียน  : ไม่ต้องๆ ข้าแค่ผ่านมาแถวนี้เลยแวะเข้ามาดื่มน้ำชา อืม...ชาหอมรสชาติดี ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเจ้าปลดผนึกมนต์หน้าประตูห้องพักของเหยียนเหล่ยได้งั้นรึ?
             มี่จื่อ  : อื้ม! แค่เรื่องบังเอิญน่ะ
     เฟยเทียน  : งั้นเจ้าลองดูนี่ บอกข้าซิว่าเห็นอะไร?

          ขณะนั้นเหยียนเหล่ยหอบแผนที่เดินออกมาจากห้อง เห็นอาจารย์เฟยเทียนกำลังพูดคุยอยู่กับฉัน เขาจึงนั่งลงใกล้ๆ และอาจารย์เฟยเทียนกำลังยกมือขึ้นเขียนอักษรประหลาดสีแดงบนอากาศ ปรากฏอักษรประหลาดขึ้นจำนวนมากมายมีลักษณะเป็นชั้นวงกลมห้าวง โดยแต่ละวงหมุนสลับกันไปคนละด้านจนลายตา แต่เท่าที่เห็นโดยรวมตัวอักษรทุกตัวของแต่ละวงมีลักษณะคล้ายกัน

     เฟยเทียน  : เจ้ามองเห็นอะไร
             มี่จื่อ  : เอ่อ...ข้าเห็นอักษรแต่ละวงเหมือนกันหมดเลย แถมยังหมุนสลับทางกันอีกดูยากจัง เอ่อ...ข้าเห็นตัวอักษรตัวหนึ่งที่วงรอบนอกสุดไม่เหมือนตัวอื่น มันมีหัวม้วนออกอยู่ตัวเดียว นอกนั้นตัวอักษรทุกตัวมีหัวม้วนเข้า อักษรที่หัวม้วนออกคือตัวนี้!

          ฉันชี้นิ้วไปที่ตัวอักษรที่ฉันเห็น ทันใดนั้นวงล้ออักษรทั้งห้าวงก็หายไป อาจารย์เฟยเทียน เหยียนเหล่ย และจินไห่เด็กหนุ่มผู้ติดตามหันมามองหน้าฉันและทำสีหน้าตะลึงประหลาดใจ ขณะนั้นหลี่จวินก็เดินเข้ามาพอดีและสงสัยว่าเราทำอะไรกัน

        หลี่จวิน  : เกิดอะไรขึ้นรึ?
     เฟยเทียน  : นางเป็นคนที่สองที่สามารถปลดผนึกมนต์กักขังห้าธาตุของข้าได้
        หลี่จวิน  : แล้วคนแรกเป็นใคร?
     เฟยเทียน  : คือเหยียนเหล่ย
             มี่จื่อ  : ข้าแค่สายตาดีเท่านั้นเอง ข้าปลดผนึกมนต์อะไรไม่เป็นหรอก
     เฟยเทียน  : ข้าต้องอุดช่องโหว่มนต์ของข้าก่อน อุดยังไงจึงจะสนิท
             มี่จื่อ  : โลกใบนี้ไม่มีอะไรเพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ หากช่องโหว่อุดมันไม่ได้ก็ต้องพรางตา เพิ่มบางอย่างลงไปเบี่ยงเบนความสนใจก่อนที่เหยื่อจะเจอทางออก
     เฟยเทียน  : เช่นอะไร?
             มี่จื่อ  : อืม...เช่นเพิ่มภาพลวงตาหญิงสาวยั่วเย้ายวนตาหันเหความสนใจจนจิตใจไม่นิ่ง เป็นการรบกวนสมาธิ แล้วเสียบมีดคมหลายๆเล่มเสียบสลับเหมือนการสอดประสานนิ้วค่อยๆบีบจนเหยื่อถูกคมมีดเชือดเฉือนเนื้อทีละน้อยๆจนกว่าจะยอมจำนนหรือไม่ก็ยอมตาย
    เฟยเทียน  : ดี ข้าชอบความคิดของเจ้า ฮ่าฮ่า เออ! ข้าถามอะไรหน่อยข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดเหมือนกันกับข้ามั้ย เรื่องแผ่นดินไหว พวกเขาเชื่อกันว่าเป็นเพราะปลามังกรยักษ์ขยับตัวจึงเกิดแผ่นดินไหว แต่ข้าคิดว่าเป็นเพราะพื้นดินขยับตัวไม่ใช่ปลามังกร
            มี่จื่อ  : ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว แผ่นดินไหวเกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก ผืนดินต้องการปลดปล่อยพลังงานเพื่อระบายความร้อนที่สะสมไว้ออกมาอย่างฉับพลัน เพื่อปรับความสมดุลของเปลือกโลกให้คงที่ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากความคิดของข้า แต่เกิดจากกลุ่มคนที่ศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยยึดหลักเหตุและผล ค้นคว้าและทดลอง หากวันนี้พวกเขายังไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านเชื่อ แต่วันนึงในยุคเหลนๆๆๆๆของท่าน พวกเขาจะได้รับรู้และเข้าใจมันได้อย่างถูกต้อง
    เฟยเทียน  : ในที่สุดก็มีคนที่คิดแบบเดียวกับข้า (เขาหัวเราะ)
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้คิดแบบเดียวกับท่านซะหน่อย ฮ่าฮ่า (ฉันหยอกเย้าอาจารย์เฟยเทียน)
        หลี่จวิน  : นี่ๆเหยียนเหล่ย... ท่านเจ้าสำนักกับสาวใช้ของเจ้าพูดคุยภาษาเทพอะไรกันรึ ดูจะคุยกันถูกคอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว นางคุยกับเจ้าสำนักรู้เรื่องได้ยังไง? (หลี่จวินกระซิบถามเหยียนเหล่ย)
เหยียนเหล่ย  : ข้าเป็นศิษย์ของเขาแท้ๆ เขายังไม่เคยพูดคุยกับข้าถูกคอแบบนั้นเลย แล้วนี่...ลี่ถังไม่ได้มาด้วยรึ?
        หลี่จวิน  : ลี่ถังอยู่เขียนรายงานที่หน่วยสอบสวน

          เมื่อจบการสนทนาอย่างถูกคอ อาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนักเฟยอวี๋เดินทางกลับสำนัก ฉันจึงไปช่วยเหยียนเหล่ยกับหลี่จวินดูแผนที่
หมายเหตุ

*เฟิงเจี๋ย แปลว่า วีรบุรุษแห่งสายลม

*เฟยอวี่ แปลว่า ทะยานสู่ห้วงเอกภพ

*เฟยเทียน แปลว่า ทะยานฟ้า

*จินไห่ แปลว่า ทะเลทอง

季彥霖 - 退場 | 高音質動態歌詞
Youtube by : SNCS Music Channel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 16
(ปลอมตัว)

          ฉันนั่งดูแผนที่จนเมื่อยปวดหลัง จากที่นั่งหลังตรง ฉันเริ่มวางคางบนมือวางศอกกับหัวเข่า เวลาผ่านไปสักพักก็เริ่มวางคางบนมือแล้ววางศอกกับพื้น ไม่นานนักฉันค่อยๆขยับตัวนอนวางคางบนหลังมือแล้ววางฝ่ามือนาบกับพื้นสักพักก็เคลิ้มหลับ จนรู้สึกสะดุ้งตื่นเพราะหลี่จวินมานั่งยองๆอยู่ข้างๆดึงหูฉันเบาๆ

        หลี่จวิน  : มี่จื่อ......
            มี่จื่อ  : ห๊ะ!!! อ๊า! ข้าขอโทษที่เผลอหลับ...
        หลี่จวิน  : ข้าให้เจ้ามาช่วยดูแผนที่ไม่ได้ให้เจ้ามานอน
เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนมี่จื่อนอนดึกไปหน่อย
        หลี่จวิน  : ชิ! ชิ! เจ้าใช้นางทำอะไรจนดึกดื่นล่ะ?!
เหยียนเหล่ย  : เอ่อ....ท่านจะกินอะไรเป็นมื้อกลางวันข้าจะให้แม่ครัวปรุงมาให้
        หลี่จวิน  : หึ! ทำเป็นพูดเปลี่ยนเรื่อง ข้ารู้ทันเจ้าหรอกน่า เอาเหอะ! ทำอะไรมาข้าก็กินได้ทั้งนั้น
            มี่จื่อ  : คุณชาย ข้าอยากกินขนม...
       หลี่จวิน  : หนอย! เจ้าแอบอู้ ยังมีหน้ามาออดอ้อนขอกินขนมอีกเรอะ!
             มี่จื่อ  : ก็...ข้าหิวขนมอ่ะ!
เหยียนเหล่ย  : เอาล่ะๆ ข้าจะให้คนเอาขนมมาให้เจ้ากิน
             มี่จื่อ  : คุณชาย ถ้าข้าดูแผนที่กองนั้นเสร็จแล้ว ข้าขอออกไปพบพี่ชายกับพี่สาวของข้าที่หอกุ้ยฮวาหน่อยได้มั้ย ข้าอยากพบพวกเขามากเลย (ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้ๆเหยียนเหล่ย)
เหยียนเหล่ย  : เจ้ามีพี่ชายกับพี่สาวด้วยรึ?
             มี่จื่อ  : อื้ม! ข้ารู้จักกับพี่หย่งหลุนทำงานดูแลม้า ส่วนพี่ซูเจินเป็นหญิงคณิกา ทั้งสองคนดีกับข้ามากคอยช่วยเหลือข้าตอนที่อยู่ในหอนั่น เราสัญญากันว่าจะเก็บเงินและจะออกไปใช้ชีวิตใหม่ข้างนอกหอกุ้ยฮวาด้วยกัน ตอนนี้ข้าออกมาได้แล้วและรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่งข้าอยากนำเงินไปให้พี่ซูเจินเก็บสะสมไว้ไถ่ตัวเองออกจากหอนางโลม
        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ย! เจ้าก็พานางไปหน่อยสิ ไปคืนนี้เลย คืนนี้มีการแสดงระบำของหยู่เยียน ข้าจะได้ไปกับเจ้าด้วย
เหยียนเหล่ย  : อืม! ก็ได้

          ตกเย็นเหยียนเหล่ยจับฉันใส่เสื้อผ้าของเขาปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อไม่ให้ใครจำฉันได้ เสื้อผ้าของเหยียนเหล่ยมีกลิ่นหอมอ่อนๆเพราะในจวนฮุ่ยเฉิงจะจุดกำยานโบราณอยู่เสมอเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายเวลาที่เขาทำงาน กลิ่นกำยานจึงติดเสื้อผ้าจนเหมือนกลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นเฉพาะตัวเหยียนเหล่ย จนถึงเวลานัดหมาย เหยียนเหล่ยพาฉันขึ้นรถม้าของจวน มุ่งตรงไปที่หอกุ้ยฮวา คืนนี้มีผู้ชายมาเที่ยวที่หอกุ้ยฮวาเหมือนเคย หย่งหลุนรีบวิ่งออกมารับม้าแล้วบอกให้คนขับรถม้าเคลื่อนม้าเข้าไปจอดตรงที่ว่างข้างๆคอกม้า ฉันกับเหยียนเหล่ยจึงก้าวเท้าลงจากรถม้าก่อนที่คนขับรถม้าจะเคลื่อนรถม้าออกไป ทันทีที่หย่งหลุนเห็นฉัน เขาก็ตกใจและดีใจมากๆ ฉันรีบบอกให้หย่งหลุนอย่าเสียงดังไป และบอกเขาว่าฉันปลอดภัยดีอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงเป็นสาวใช้ของคุณชายเหยียนเหล่ย คืนนี้ฉันมาหาซูเจิน ส่วนรายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับฉันจะเล่าฝากไว้กับซูเจิน

          เหยียนเหล่ยพาฉันเดินเข้าไปด้านใน ฉันจึงหยิบพัดออกมาแสร้งโบกพัดเพื่อปิดบังใบหน้า จนพบหลี่จวินที่นั่งดื่มเหล้ารอเราอยู่ก่อนแล้ว หลี่จวินบอกว่าเขาจองตัวซูเจินไว้ให้ฉันแล้ว รอซูเจินแต่งตัวเสร็จนางจะมาปรนนิบัติ หลี่จวินจึงเรียกหญิงคณิกาคนหนึ่งมาคอยรินเหล้า ซึ่งฉันเองก็ไม่คุ้นหน้าหญิงคณิกาคนนี้อาจเป็นคนมาใหม่ หญิงคณิกาคนนี้ดูยังมีอายุน้อยแต่ท่าทางจัดจ้านเจนโลกไม่เบา นางเดินอ้อมมานั่งแทรกกลางระหว่างฉันกับเหยียนเหล่ยแล้วออดอ้อนจะปรนนิบัติฉัน แต่ฉันปฏิเสธและพูดว่า "ข้ารอซูเจิน" นางจึงหันไปออดอ้อนเหยียนเหล่ย แต่เหยียนเหล่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วยกถ้วยเหล้าดื่ม เหยียนเหล่ยบอกนางว่าให้ไปปรนนิบัติหลี่จวินแทน เขาแค่เข้ามานั่งดื่มเหล้าชมการฟ้อนรำเท่านั้น นางจึงสะบัดหน้าใส่เล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปออดอ้อนคลอเคลียหลี่จวินซึ่งไม่เคยปฏิเสธสาวๆ

          ไม่นานนักซูเจินก็เดินลงมาจากห้อง ใบหน้าอ่อนหวานงดงามปนเศร้า สวยงามไม่แพ้หยู่เยียนเลย เพียงแต่จริตจก้านมีไม่เท่าหยู่เยียนเท่านั้น ซูเจินค่อยๆเดินก้มหน้ามาที่โต๊ะตรงที่ฉันนั่ง หลี่จวินจึงบอกให้ซูเจินนั่งลงข้างๆฉัน พอซูเจินนั่งลงและเงยหน้ามองฉัน นางถึงกับตกใจอ้าปากจะทัก แต่ฉันใช้นิ้วชี้ยื่นไปแตะที่ริมฝีปาซูเจินไว้แล้วรีบพูดขึ้นว่า...

            มี่จื่อ  : ชู่ววว! ชื่อนั้นไม่สำคัญ เรียกข้าว่าคุณชายมู่ก็พอ
           ซูเจิน  : เอ่อ...คุณชายมู่ มาจากจวนไหนรึ? สบายดีใช่มั้ย?
             มี่จื่อ  : ข้ามาจากจวนฮุ่ยเฉิง ข้าสบายดี นี่เพื่อนข้าเหยียนเหล่ย ส่วนคนนั้นหลี่จวิน (ฉันกอดคอแนะนำเหยียนเหล่ยจนเขาแทบสำลักเหล้า)
           ซูเจิน  : ข้าชื่อซูเจิน ยินดีที่ได้พบกับคุณชายทั้งสาม
        หลี่จวิน  : ซูเจินเนี่ยงดงามไม่แพ้หยู่เยียนเลย กิริยาเรียบร้อยสำรวมยิ่งนัก
            มี่จื่อ  : คืนนี้ข้าซื้อเจ้าทั้งคืน ปรนนิบัติดีๆข้ามีรางวัลให้ (ฉันพูดแล้วขยิบตาทำเป็นเจ้าชู้ใส่ซูเจิน)
           ซูเจิน  : ข้าจะปรนนิบัติคุณชายมู่เป็นอย่างดีทั้งคืนเลย (ซูเจินดูผ่อนคลายขึ้นหัวเราะเบาๆและหยอกเย้ากลับ)

          ซูเจินรินเหล้าให้ฉันดื่มแล้วแกล้งทำเป็นกระซิบหยอกเย้าแต่ความจริงแล้วนางแอบสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมฉันถึงได้มาอยู่กับเหยียนเหล่ยได้ ฉันจึงแกล้งกระซิบหยอกเย้ากลับแล้วเล่าให้ซูเจินฟัง แกล้งหอมแก้มซูเจินกลบเกลื่อนที่กระซิบกระซาบกัน ซูเจินตกใจแล้วหัวเราะที่ฉันแกล้งปลอมเป็นผู้ชายเจ้าชู้ได้เหมือนมาก จนหลี่จวินแกล้งแซวว่าฉันเจ้าชู้กว่าเขาเสียอีก ซูเจินรินเหล้าให้ฉันดื่มอีกถ้วยแล้วถามว่าอยู่ค้างคืนด้วยกันไหม แต่ฉันตอบว่าไม่อยู่ค้างคืน ฉันเริ่มเมาเหล้านิดหน่อยแล้วบอกซูเจินว่าฉันมีอะไรจะให้ จึงแกล้งเล่นกลหยิบเงินออกจากหูซูเจิน นางแปลกใจและตื่นตาตื่นใจมากกับกลที่ฉันเล่นจนหลี่จวินร้องว้าวๆ จากนั้นฉันทำตาหวานฉ่ำจับมือซูเจินให้ค่อยๆล้วงเข้าไปในเสื้อฉัน จนเหยียนเหล่ยและหลี่จวินมองกันตาค้าง ซูเจินค่อยๆดึงมือออกจากเสื้อฉันพร้อมด้วยเงินจำนวนหนึ่งกำอยู่ในมือ ซูเจินทำหน้าแปลกใจมากที่ฉันมีเงินเยอะขนาดนี้แล้วจะยื่นเงินคืน ฉันจับมือซูเจินให้กำเงินไว้แล้วบอกว่านี่คือรางวัลที่ฉันตั้งใจให้ แล้วดึงตัวซูเจินมากอดกระซิบว่า “ให้เก็บสะสมเงินไว้ไถ่ตัวเอง เราจะมีชีวิตใหม่ด้วยกันข้างนอก ข้าจะรอพี่ซูเจินกับพี่หยุ่งหลุนเพื่ออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน” ซูเจินมองตาฉันแล้วพยักหน้าน้ำตาซึม ฉันจึงชวนทุกคนดื่มเหล้าแล้วชมระบำของหยู่เยียนอย่างเพลิดเพลิน คืนนี้ฉันดื่มเหล้าเมาจนเดินไม่ตรงทาง เหยียนเหล่ยจึงบอกว่าจะพาฉันกลับบ้าน เขาพาฉันเดินกลับมาที่รถม้า หย่งหลุนเห็นฉันเมามากจึงรีบวิ่งเข้ามาสอบถาม เหยียนเหล่ยตอบว่าฉันเมาไม่มีอะไรอย่าห่วงแล้วพาฉันขึ้นรถม้านั่งออกไป ฉันนอนฟุบหน้าลงกับตักเหยียนเหล่ยมาตลอดทาง

เหยียนเหล่ย  : สบายใจแล้วสินะ ได้เจอกันแล้ว
เหยียนเหล่ย  : อื้ม...ขอบคุณ คุณชายมากๆที่ช่วยเหลือข้า พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้ามานั่งรอชงชาไม่ให้ท่านต้องบ่นเลย (ฉันพูดขณะนั่งฟุบหน้ากับตักเขา)
เหยียนเหล่ย  : อืม...ข้าจะรอดู

          เมื่อถึงจวนฮุ่ยเฉิง เหยียนเหล่ยพยุงฉันพาไปนอนที่ฟูกปูนอนที่พื้นห้อง แล้วจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เพราะเสื้อที่ฉันใส่เปียกเหล้าที่ฉันทำเหล้าหกเลอะตัวเอง เมื่อเขาถอดเสื้อผ้าฉันออกเขากลับบีบคลึงหน้าอกก้มดูดหัวนม นั่งมองและลูบไล้ดอกท้อสีแดงที่ปรากฏบนผิวหนังยามฉันมีอารมณ์วูบวาบเร่าร้อน แล้วอุ้มฉันขึ้นไปนอนบนเตียงกอดจูบจนฉันมีอารมณ์ ฉันจึงลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าเขาออกแล้วขยับตัวขึ้นนั่งคร่อมทับจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาขยับดันให้แท่งเนื้อแข็งสอดเข้าจนลึกแล้วโยกขย่มช้าๆ "อ๊าา อ๊าา" เขาช่วยจับสะโพกฉันแล้วเด้งก้นรับ ฉันโยกขย่มอยู่หลายครั้งจนเขาลุกขึ้นนั่งกอดรัดดูดหน้าอกและหัวนม ฉันยังคงโยกขยับเข้าออกจนเสียวเกร็งกระตุก อื้มอ๊าา! เหยียนเหล่ยจับฉันนอนลงแล้วกระแทกแท่งเนื้อแรงขึ้นจนเสร็จ แล้วโถมตัวนอนทับจูบหอมซอกคอเลียใบหูจนจักจี้ ฉันจึงผลักตัวเขาออกเพื่อจะคลานลงไปนอนบนฟูกที่ปูอยู่พื้นห้อง แต่เหยียนเหล่ยคว้าตัวฉันไว้ เข้าโอบกอดทางด้านหลัง สองมือเอื้อมบีบคลึงหน้าอก ริมฝีปากจูบลงที่แผ่นหลัง แล้วเลื่อนมือข้างหนึ่งมาลูบไล้เนินหว่างขาสอดนิ้วแหย่จนฉันมีอารมณ์อีกครั้ง เขาดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังแยกขาฉันออกกว้าง เขาเด้งก้นขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกกระแทกกระทั้นแรงๆจนฉันเกร็งกระตุก แล้วกระแทกแท่งแข็งเร็วแรงอีกหลายครั้งจนเราเสร็จไปพร้อมกัน เหยียนเหล่ยโอบกอดฉันไว้แนบซบอก ฉันกอดเขาด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และคิดว่าช่วงกลางดึกพอสร่างเมาค่อยลุกไปนอนที่ฟูกปูนอนที่พื้นห้อง แต่พอช่วงกลางดึกก็รู้สึกตื่นอีกครั้ง เพราะเหยียนเหล่ยกำลังขยับตัวดูดเลียหน้าอกแล้วเลื่อนลงไปดูดเลียเนินหว่างขาจนแฉะแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเด้งก้นกระแทกอยู่หลายครั้ง จนเราเกร็งตัวเสร็จไปพร้อมกันอีกครั้ง จากนั้นเขาโถมตัวจูบที่ริมฝีปากและซอกคอ แล้วเราก็นอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่มอบอุ่นอยู่บนเตียงจนถึงเช้า

苏幕遮 | Su Muzhe
Youtube by : EHPMusicChannel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 17
(หน้าผาที่เลือนลาง)

          ฉันงัวเงียตื่นนอนบนเตียงของเหยียนเหล่ย แต่เขาตื่นนอนแต่เช้าและลุกออกจากห้องไปแล้ว ฉันจึงลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าเดินไปล้างหน้าแล้วเดินออกมาจากห้อง เห็นเหยียนเหล่ยกำลังดื่มน้ำชานั่งพูดคุยกับหญิงวัยกลางคนบุคลิกภูมิฐาน ซึ่งฉันจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือภรรยาของท่านเสนาบดีขั้นสอง ฉันจึงทำความเคารพ นางตกใจที่เห็นฉันเดินออกมาจากห้องพักของเหยียนเหล่ย

     ฮูหยินต่ง  : เอ๊ะนี่ใครกัน?!
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ นางเป็นสาวใช้ของข้า
     ฮูหยินต่ง  : นางนอนในห้องพักของเจ้ารึ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่ ช่วงนี้ข้ายุ่งๆตีความในตำราให้อ๋องหก จึงยังไม่มีเวลาจัดเตรียมที่พักให้นาง
     ฮูหยินต่ง  : ให้นางไปพักที่เรือนคนใช้ที่จวนท่านเสนาก็ได้ ข้าจะเป็นธุระจัดการให้เอง
เหยียนเหล่ย  : ขอบคุณพี่สะไภ้ที่จะเป็นธุระจัดการให้ แต่ให้มี่จื่อพักที่นี่แบบนี้ไปก่อน อีกอย่างข้าทำงานช่วงกลางคืนด้วยจึงต้องให้มี่จื่อคอยรินน้ำชาให้ดื่ม ไว้ข้ามีเวลาข้าจะจัดการเอง ไม่รบกวนพี่สะไภ้
      ฮูหยินต่ง  : รบกวนอะไรกันเรื่องแค่นี้เอง แต่ดูแล้วเจ้าคงจะเอ็นดูนางน่าดู เอาเถอะ! ถ้าเจ้าอยากจะจัดการเองก็ตามใจ ส่วนเจ้าเองก็อย่าหักโหมทำงานให้มากนักพักผ่อนบ้าง กินอาหารเยอะๆดูสิซูบผอมเหลือเกิน เหยียนเหล่ย…เจ้าหาเวลาว่างไปพบปะดื่มน้ำชากับท่านเสนาบ้างสิ จวนก็ไม่ได้อยู่ไกลกันเลย เขาถามหาเจ้าอยู่หลายวันแล้ว
เหยียนเหล่ย  : แล้วข้าจะไป ขอบคุณพี่สะไภ้ที่เตือน
     ฮูหยินต่ง  : ข้ากลับล่ะ อย่าลืมกินน้ำแกงที่ข้าตุ๋นมาให้ด้วยล่ะ

          ฮูหยินต่งเดินกลับจวนเสนาบดีขั้นสอง เหยียนเหล่ยจึงหันมาบ่นที่ฉันนอนตื่นสาย แล้วหันไปเรียกสาวใช้ที่รอรับใช้อยู่หน้าจวนให้ยกอาหารเข้ามา

เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนเจ้าบอกว่าจะตื่นแต่เช้ามานั่งรอรินน้ำชาให้ข้าดื่ม
            มี่จื่อ  : ท่านก็ปลุกข้าสิ ข้าจะได้ตื่นแต่เช้ามานั่งรินน้ำชาให้ท่านดื่ม ว่าแต่...ทำไมข้าไปนอนอยู่บนเตียงท่าน?
เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนอากาศเย็นข้ากลัวว่าเจ้าจะหนาวเลยอุ้มเจ้ามานอนบนเตียง
            มี่จื่อ  : วันนี้ข้าจะไปขอผ้าห่มมาเพิ่มอีกผืน ท่านก็อย่าอุ้มข้าไปนอนบนเตียงอีก!
เหยียนเหล่ย  : เจ้ากินน้ำแกงนี่สิ พี่สะไภ้ข้าปรุงน้ำแกงอร่อยนะ ช่วยบำรุงกำลัง (เหยียนเหล่ยเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย แต่อมยิ้มเล็กน้อยแล้วยกน้ำชาดื่ม)

          เรากินอาหารเช้ากันเสร็จ เหยียนเหล่ยจึงลุกขึ้นแต่งตัวแล้วบอกว่าจะไปพบปะพูดคุยกับพี่ชายที่จวนเสนาสักหน่อย ให้ฉันรออยู่ที่นี่ไม่ต้องติดตามไป ฉันจึงเดินไปกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นนิดหน่อยตามทางเดินหน้าจวนเพราะมีคนงานมากวาดไปแล้วตอนเช้าตรู่ ฉันหยิบไม้กวาดด้ามยาวมากวาดใบไม้ได้ครู่หนึ่งก็มีชายหนุ่มคนงานรีบวิ่งเข้ามาหาฉัน แย่งไม้กวาดไปแล้วพูดเหมือนรู้สึกผิดอย่างสุภาพอ่อนน้อมว่า

          ฟูหลิว  : ข้าเพิ่งกวาดใบไม้ไป มันร่วงลงมาเยอะอีกแล้วเหรอ ให้ข้าทำเองนี่เป็นงานของข้า
             มี่จื่อ  : เอ่อ...ใบไม้ร่วงนิดหน่อยเลยหยิบไม้กวาดมากวาด ข้ากวาดใบไม้ไม่ได้เหรอ?
          ฟูหลิว  : ไม่ได้หรอก ให้เจ้ากวาดเดี๋ยวคุณชายเหยียนเหล่ยมาเอาเรื่องทำโทษข้า
             มี่จื่อ  : ทำไมเขาต้องมาเอาเรื่องเจ้าด้วย ในเมื่อเขาบอกข้าว่างานของข้าคือกวาดใบไม้หน้าจวน
          ฟูหลิว  : เจ้าก็เป็นสาวใช้งั้นรึ?
             มี่จื่อ  : ใช่ ก็ข้าสวมชุดสาวใช้อยู่นี่ไง
          ฟูหลิว  : เจ้าใส่ชุดสาวใช้ก็จริง แต่คุณชายไม่เคยใช้งานเจ้าทำงานแบบสาวใช้เลย อีกทั้งยังพักอยู่ในห้องเดียวกันกับคุณชายอีก เลยดูไม่ค่อยเหมือนสาวใช้สักเท่าไหร่ เอ่อ...ข้าชื่อฟูหลิว เจ้าชื่ออะไร?
            มี่จื่อ  : ข้าชื่อ มี่จือ และที่คุณชายยังไม่ใช้งานข้าเพราะข้าเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วัน อยู่ในช่วงปรับตัว ส่วนที่พักอยู่ในห้องเดียวกันเพราะข้าติดหนี้คุณชายอยู่จำนวนมากเขากลัวข้าจะหนีหนี้ และตอนนี้เขาเองก็ยังไม่ว่างจัดที่พักให้ข้าด้วย
          ฟูหลิว  : ยังงั้นรึ? เอ่อ...ใบไม้พวกนี้ให้ข้ากวาดเถอะ แค่ท่าทางจับไม้กวาดเจ้าก็ดูเก้ๆกังๆยังไงพิกลเหมือนเจ้าไม่เคยทำ
            มี่จื่อ  : เคยสิ ข้าเคยทำ แต่เป็นไม้กวาดดอกหญ้าอันเล็กเบาๆ ส่วนไม้กวาดขนาดใหญ่กวาดทางเดินแบบนี้ยังไม่เคยทำ แต่ข้าทำได้เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ว่าแต่...เจ้าอยู่แถวนี้เหรอ ข้าไม่ค่อยเห็นคนงานกับสาวใช้อื่นเดินกันแถวนี้เลย แต่บริเวณโดยรอบกลับดูสะอาดตามาก
          ฟูหลิว  : ใช่ ข้าอยู่แถวนี้ ข้าเป็นคนงานที่จวนนี้ คอยดูแลเก็บกวาดใบไม้หน้าจวนและบริเวณโดยรอบ เมื่อกวาดเสร็จก็จะอยู่แถวๆนี้แหละคอยฟังเสียงคุณชายเรียกใช้ เพราะคุณชายชอบความเงียบสงบ ไม่ชอบให้คนงานหรือสาวใช้เดินกันขวักไขว่ในจวน เพราะรบกวนสมาธิการทำงาน ที่นี่จึงมีคนงานชายแค่สองคน และสาวใช้อีกสองคนแค่นั้น พวกข้าจึงอยู่กันรอบๆแถวนี้รอคุณชายเรียกใช้ แต่คุณชายก็ไม่ค่อยเรียกใช้งานจนพวกข้าว่างงานเลยเก็บกวาดบริเวณโดยรอบฆ่าเวลาเลยดูสะอาดตาเป็นพิเศษ
            มี่จื่อ  : มิน่าล่ะถึงไม่เห็นใครแถวนี้
         ฟูหลิว  : เจ้ามีอะไรก็เรียกข้าได้ ข้าอยู่แถวนี้

          ฉันจึงเดินกลับเข้าจวน เข้าไปในห้องนั่งๆนอนๆดูแผนที่ก็มองไม่เห็นอะไร จึงหยิบตำราหมื่นบุปผามานั่งดีดหน้ากระดาษดูไปเรื่อยๆก็มองเห็นกิ่งท้อขยับเล็กน้อยมองดูคล้ายหน้าผาลางๆ ฉันตื่นเต้นมากแม้จะได้เบาะแสเพียงเล็กน้อยจนเก็บอาการไม่อยู่รีบวิ่งออกมาหน้าจวนมองหาเหยียนเหล่ยที่ยังไม่มีทีท่าจะกลับจากจวนท่านเสนาบดีขั้นสอง ฉันจึงนั่งรอเขาที่หน้าจวน ฟูหลิวที่อยู่แถวนั้นจึงเดินเข้ามาถามว่าฉันมีอะไรให้เขาช่วยหรือไม่ ฉันตอบว่าฉันรอคุณชายเหยียนเหล่ยเพราะมีธุระบางอย่างต้องพูดคุยกับเขา ฟูหลิวจึงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฉันระหว่างรอเหยียนเหล่ย สักพักใหญ่ๆเหยียนเหล่ยก็เดินเข้ามาที่จวนเห็นฉันกับฟูหลิวพูดคุยกันอยู่ เขามองด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยแต่มีแววตาครุ่นคิด ฟูหลิวจึงขอตัวแยกออกไป ฉันจึงเดินไปคุยกับเหยียนเหล่ยใกล้ๆแล้วบอกว่ามีเบาะแสเพิ่มเติม เขามีสีหน้าประหลาดใจผสมรอยยิ้มที่รู้ว่ามีความคืบหน้า ฉันดึงปลายแขนเสื้อเขาให้รีบเดินเข้าไปในห้องพักแล้วนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ ฉันบอกเขาว่าฉันมองเห็นหน้าผา และหยิบตำราหมื่นบุปผามาดีดหน้ากระดาษเร็วๆให้เขาดู

เหยียนเหล่ย  : ตรงไหนล่ะหน้าผา ข้ามองไม่เห็นเลย
             มี่จื่อ  : ตรงนี้ไง มองทางด้านขวามือตรงนี้ ช่วงที่กิ่งท้อไหวเล็กน้อยตรงนี้ จะมองเห็นหน้าผาลางๆ (ฉันขยับตัวเบียดชิดเหยียนเหล่ยชี้ให้ดูจุดที่จะมองเห็นหน้าผาแล้วดีดหน้ากระดาษอีกครั้ง)
เหยียนเหล่ย  : โอ๊ะ! เห็นแล้ว ตอนแรกไม่ได้สังเกตุจึงมองไม่เห็น (เหยียนเหล่ยเอื้อมมือโอบเอวฉันเพื่อนั่งให้ถนัด)
             มี่จื่อ  : คิดว่าตรงนี้ใช่หน้าผามั้ย?
เหยียนเหล่ย  : น่าจะใช่ เหมือนเป็นโพรงเล็กๆมากกว่าจะเป็นถ้ำ ต้องเป็นผู้มีวรยุทธสูงจึงจะสามารถปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงชันได้โดยไม่เป็นอันตราย
             มี่จื่อ  : แล้วหน้าผาอะไรมีต้นท้อขึ้นอยู่ด้วย มันจะขึ้นที่หน้าผาได้ยังไงกัน
เหยียนเหล่ย  : ขึ้นได้สิ! ดอกท้อยังเบ่งบานบนตัวเจ้าได้เลย ถ้าต้นท้อจะขึ้นบนหน้าผาทำไมจะไม่ได้ ขอให้ข้าชื่นชมดอกท้อที่สวยงามอีกครั้ง

          เหยียนเหล่ยขยับกอดหอมแก้ม และจูบซอกคอจนฉันเริ่มเคลิ้ม มือเขาเริ่มเลื่อนมาบีบคลำหน้าอกและจะคลายคอเสื้อฉันออกกว้าง ฉันจึงฝืนใจไม่ยอมเคลิบเคลิ้มตาม แล้วบีบแก้มเขาแรงๆจนหยุดจูบ

             มี่จื่อ  : นี่แน่ะ! หยุดแตะต้องตัวข้าแบบนี้สักที
เหยียนเหล่ย  : โอ๊ย! เจ็บนะ!
             มี่จื่อ  : ว่าแต่...เรื่องนี้ต้องรายงานท่านอ๋องหกหรือไม่?
เหยียนเหล่ย  : นั่นสิ! เจ้าไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องกับข้า
             มี่จื่อ  : ข้าต้องไปด้วยรึ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่! เจ้าอยู่จวนก็ชักชวนคนงานอู้งาน เจ้าไปกับข้าน่ะดีแล้ว

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 18
(ดอกท้อในมือ กับองค์หญิงตัวน้อย)

          เหยียนเหล่ยหยิบตำราหมื่นบุปผา และพาฉันเข้าวังตรงไปยังตำหนักท่านอ๋องหก พบท่านอ๋องกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ เหยียนเหล่ยจึงเริ่มพูดคุยกับท่านอ๋องเรื่องที่เห็นหน้าผาหลังกิ่งท้อไหวต้องลม แล้วพูดคุยกันต่อถึงสถานที่ที่อาจเป็นไปได้ที่มีหน้าผา ส่วนฉันที่ไม่รู้จักเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆในดินแดนนี้ จึงขอตัวออกไปเดินเล่นในสวนหน้าตำหนัก ก็ได้พบกับเด็กผู้หญิงอายุประมาณเจ็ดขวบหน้าตาน่ารักแก้มใสเหมือนตุ๊กตา กำลังแอบยืนมองฉันมาจากหลังต้นไม้ในสวน ฉันจึงร้องเรียกออกไปว่า

            มี่จื่อ  : เห็นนะ! ไม่ต้องแอบมอง เดินออกมานี่เลยแอบมองข้าทำไม มานี่ๆ
     องค์หญิง  : เจ้าเป็นใคร?
            มี่จื่อ  : แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร?
     องค์หญิง  : จินเอ๋อ
            มี่จื่อ  : ข้าชื่อมี่จื่อ เจ้าน่ารักจังเลยมาแอบอยู่หลังต้นไม้ทำไม
     องค์หญิง  : มาเล่น...
            มี่จื่อ  : เล่นอะไรล่ะ ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรให้เล่น
     องค์หญิง  : เล่นจับผีเสื้อ
            มี่จื่อ  : จะจับผีเสื้อยังไง อุปกรณ์อะไรก็ไม่มี งั้นเด็ดดอกไม้เอามั้ย?
     องค์หญิง  : อื้ม! เล่นเด็ดดอกไม้

          ฉันจึงแอบเด็ดดอกไม้ใกล้ๆมาเล่นมายากลหลอกเด็กแกล้งหยิบดอกไม้ออกจากหู ผม แขน จนจินเอ๋อเด็กน้อยหัวเราะชอบใจยกใหญ่ ฉันใช้มือเปล่าทำเป็นหยิบดอกไม้ที่ซอกคอเด็กน้อยแล้วแกล้งจักจี้คอแต่พอดึงมือกลับ ในมือกลับมีดอกท้อสีแดงออกมาด้วยทำเอาฉันตะลึงตกใจ ฉันมองดูดอกท้อในมืออยู่ครู่หนึ่งแล้วดอกท้อก็สลายหายไปในอากาศ จินเอ๋อเด็กน้อยเร่งเร้าให้ฉันเล่นกลอีก ฉันจึงลองทำแบบเดิมอีกครั้ง โดยใช้นิ้วสัมผัสถูกันแล้วนึกถึงดอกท้อ ปรากฏว่ามีดอกท้อออกมาจริงๆ แต่ปรากฏอยู่ครู่หนึ่งแล้วสลายหายไป ฉันลองใช้มือสองข้างทำแบบเดียวกันอีกครั้ง ก็มีดอกท้อออกมาในมือทั้งสองข้าง จึงคิดจะเลิกเล่นกับหนูน้อยจินเอ๋อเพื่อไปบอกเหยียนเหล่ยถึงเรื่องมีดอกท้อออกมา แต่จินเอ๋อคะยั้นคะยอให้อยู่เล่นต่อ ด้วยความน่ารักของเด็กหญิงตัวน้อย ฉันจึงใจอ่อนอยู่เล่นต่อและพาจินเอ๋อไปนั่งเล่นข้างกอดอกไม้ เด็ดดอกไม้ร้อยใส่ก้านดอกหญ้าก้านยาวผูกร้อยเป็นพวงวางบนศรีษะให้จินเอ๋อ แล้วร้อยดอกไม้อีกสองพวงสวมข้อมือเป็นที่ชอบอกชอบใจยกใหญ่ เราจึงเล่นร้อยพวงดอกไม้กันจนดอกไม้ถูกเด็ดจนแทบจะโกร๋น

          ขณะที่กำลังเล่นกันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องตวาดโหวกเหวกของผู้หญิง มีผู้หญิงสองคนรีบวิ่งเข้ามาตรงมาที่ฉันกับจินเอ๋อนั่งเล่นกันอยู่ ผู้หญิงสองคนรีบเข้ามาผลักฉันให้ออกห่างจากจินเอ๋อ แล้วอุ้มจินเอ๋อไว้ให้อยู่ห่างฉัน คนหนึ่งตวาดฉันเสียงดัง "เจ้าเป็นใคร จะทำอะไรองค์หญิง?!" พอสิ้นเสียงตวาดก็มีผู้หญิงอีกสองคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาหน้าตาตื่นตระหนก ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวสวยงามสวมใส่อาภรณ์เครื่องประดับหรูหรา ส่วนอีกคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีพื้นแบบเดียวกันกับสองคนแรกที่ผลักและตวาดฉัน จินเอ๋อเมื่อเห็นผู้หญิงที่แต่งกายสวยงามเดินเข้ามาก็เอ่ยเรียกนางว่า "เสด็จแม่" แล้วโผตัวให้นางอุ้ม ขณะเดียวกันท่านอ๋องหกและเหยียนเหล่ยที่รีบเดินออกจากตำหนักมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

        อ๋องหก  : เกิดอะไรขึ้น เอะอะโวยวายเรื่องอะไรกัน?!
    นางกำนัล  : เรียนท่านอ๋องหก ข้าเห็นผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้อยู่กับองค์หญิงจินเอ๋อ ข้าเกรงว่านางจะทำร้ายองค์หญิงจึงรีบเข้าขวางเพคะ
             มี่จื่อ  : ข้ากับจินเอ๋อกำลังเล่นร้อยดอกไม้กัน ดูสิเนี่ยพวงดอกไม้ เจ้าคิดว่าข้าจะทำร้ายจินเอ๋อด้วยดอกไม้บอบบางพวกนี้ได้เรอะ?! ถ้าไม่เชื่อก็ถามจินเอ๋อดูสิว่าข้าทำร้ายนางหรือเปล่า เด็กน้อยยังโกหกไม่เป็นเท่าเจ้าคนขี้โกหกร้อยลิ้น พูดขาวให้กลายเป็นดำได้!
    นางกำนัล  : เจ้าบังอาจเรียกแค่ชื่อขององค์หญิงรึ!? ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
เหยียนเหล่ย  : ทูลพระชายา มี่จื่อ เป็นสาวใช้ของกระหม่อมเอง นางยังไม่รู้กฏระเบียบในวังขอพระชายาประทานอภัยให้นางด้วย
    พระชายา  : นางเป็นสาวใช้ของคุณชายต่งนี่เอง เอาล่ะ! ข้าไม่ถือโทษโกรธหรอก นางคงเล่นร้อยพวงดอกไม้กับจินเอ๋อจริงๆ ดูสิดอกไม้เต็มตัวเลยท่าทางจินเอ๋อจะชอบ ท่านอ๋อง...หม่อมฉันขอประทานอภัยที่จินเอ๋อมารบกวนถึงที่นี่ ส่วนกอดอกไม้นั่นหม่อมฉันจะให้คนมาปลูกให้ใหม่เพคะ (ทุกคนหันไปมองกอดอกไม้ที่ดอกไม้ถูกเด็ดจนโกร๋น)
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! เจ้าเกิดมาเพื่อทำลายข้าวของให้ย่อยยับกันไปข้างหนึ่งเลยรึไง?! (เหยียนเหล่ยเอามือบีบแก้มฉันสองข้างจนปากจู๋ จนท่านอ๋องและพระชายามองหน้ากันแล้วยิ้มที่เหยียนเหล่ยแสดงออกใกล้ชิดกับฉัน)
             มี่จื่อ  : โอ๊ยย! ข้าขอโทษเล่นกันเพลินไปหน่อย แต่! ที่เล่นกันเมื่อกี๊ทำให้มีดอกท้อออกมาได้ด้วย ดูสิ! (ฉันแอบทำมือเอาดอกท้อออกมาให้เขาดู)
เหยียนเหล่ย  : ท่านอ๋อง! ดูนี่สิดอกท้อ!
        อ๋องหก  : ดอกท้อจริงๆด้วย เรารีบเข้าไปคุยข้างในกันเถอะ เยี่ยมจริงๆวันนี้
    พระชายา  : ท่านอ๋อง ข้าจะให้คนจัดของว่างมาให้นะเพคะ (พระชายาส่งจินเอ๋อให้สาวใช้อุ้มพากลับตำหนัก)
        อ๋องหก  : ขอบใจ

           ฉันกับจินเอ๋อแอบโบกมือบ๊ายบายให้กันด้วยความเอ็นดู แล้วเดินตามท่านอ๋องกับเหยียนเหล่ยเข้าไปในตำหนัก ฉันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เหยียนเหล่ยและท่านอ๋องหกฟัง แม้จะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับตำราหมื่นบุปผา แต่เราก็ยังหาเหตุผลและข้อสรุปไม่ได้อยู่ดี ช่วงบ่ายแก่ๆเราจึงกล่าวลาท่านอ๋องกลับจวนฮุ่ยเฉิง ระหว่างทางขากลับเหยียนเหล่ยพาฉันเข้าไปซื้อของใช้จำเป็นสำหรับฉันในตลาด บังเอิญได้พบกับหย่งหลุนออกมาซื้อของให้สาวๆในหอ หย่งหลุนจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอให้ฟังว่า...

      หย่งหลุน  : เดี๋ยวนี้สาวๆในหอของหายกันบ่อยๆ ซูเจินก็มีของหายเช่นกันคือต่างหู แต่ซูเจินมั่นใจว่าต้องมีคนแอบเข้ามาขโมยไปแน่ เพราะต่างหูคู่นั้นข้าเป็นคนซื้อให้นาง นางจึงเก็บใส่กล่องกลัวหายแล้ววางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซูเจินมั่นใจว่าไม่ได้ทำหายเองต้องมีคนเข้ามาขโมยต่างหูไปแน่นอน แต่ตอนนี้ยังจับตัวคนขโมยไม่ได้เลย ไม่รู้จะทำยังไงดี?
             มี่จื่อ  : ฝากบอกพี่ซูเจินว่า ทุกครั้งก่อนออกจากห้องให้วางขนมไว้หน้าประตูห้องแล้วเอาผ้าเช็ดเท้าวางทับปิดไว้ เมื่อมีคนแอบเข้ามาในห้องจะเหยียบขนมจนแตกเละ เราจะรู้ว่ามีคนแอบเข้ามาในห้อง หรือโรยแป้งไว้ที่หน้าประตูขโมยจะเหยียบเป็นรอยเท้าแต่รอยแป้งจะจางหายไปและลบทิ้งได้ หรือทากระเทียมไว้ที่พื้นหน้าห้องกลิ่นกระเทียมจะติดเท้าคนที่แอบเข้ามา แต่วิธีนี้กลิ่นกระเทียมจะเหม็นคลุ้งห้องไปด้วย
     หย่งหลุน  : ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะรีบไปบอกซูเจิน
            มี่จื่อ  : ฝากบอกพี่ซูเจินว่าข้าคิดถึง
     หย่งหลุน  : อื้ม! เจ้าก็ดูแลตัวเองดีๆนะ ข้าออกมานานแล้วต้องกลับแล้วล่ะ
เหยียนเหล่ย  : เจ้ารู้วิธีพวกนี้ได้ยังไง?
             มี่จื่อ  : ข้าอ่านหนังสือและจดจำวิธีการมาใช้ แม้จะเป็นวิธีที่ระบุตัวคนร้ายไม่ได้เลยทีเดียว แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามีผู้ไม่หวังดี จะได้ระมัดระวังตัวมากขึ้น
เหยียนเหล่ย  : ดี!

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 19
(คดีฆาตกรรมที่หอกุ้ยฮวา)

          เราซื้อของในตลาดกันเสร็จจึงเดินทางกลับจวนฮุ่ยเฉิงช่วยเหยียนเหล่ยดูแผนที่ เพื่อหาหน้าผาที่มีต้นท้อขึ้น ตกเย็นเหยียนเหล่ยบอกให้สาวใช้ยกอาหารเย็นมาสองชุดและเรียกฉันให้ไปนั่งกินอาหารด้วยกันกับเขาเหมือนเคย พอตกค่ำเหยียนเหล่ยจึงนั่งดื่มเหล้าเล็กน้อยเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เหยียนเหล่ยบอกให้ฉันมานั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อน แต่ฉันส่ายหัวปฏิเสธไม่ดื่ม และบอกจะคอยรินเหล้าให้เขาดื่มแทน เหยียนเหล่ยข่มขู่ว่าถ้าฉันไม่ดื่มเหล้าเขาจะป้อนเหล้าให้ฉันดื่ม แล้วยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากส่งสายตาหวานให้ ฉันจึงรีบยกถ้วยเหล้าดื่มทันทีจนรู้สึกเลือดสูบฉีดร้อนวูบวาบ เหยียนเหล่ยส่งถ้วยเหล้าให้ฉันดื่มอีกถ้วยแล้วชวนฉันเล่นเกมส์ตอบคำถาม

เหยียนเหล่ย  : ข้าอยากลองเล่นคำถามเศรษฐีของเจ้า จะดูซิว่าข้าจะตอบคำถามของเจ้าได้หรือไม่?
             มี่จื่อ  : ถ้าท่านตอบคำถามไม่ได้ท่านต้องจ่ายเงินค่าปรับ และคำถามจะเฉลยคำตอบได้ก็ต่อเมื่อท่านจ่ายเงินเป็นค่าเฉลยคำตอบ
เหยียนเหล่ย  : ได้! คำถามคืออะไร?
             มี่จื่อ  : คำถามคือ เมื่อม้าถูกตัดหางออกไป ม้าจะกลายเป็นอะไร?
เหยียนเหล่ย  : ม้ากลายเป็นลา
             มี่จื่อ  : ผิด!
เหยียนเหล่ย  : นั่นสิ! ม้าจะกลายเป็นลาไปได้ยังไง?

          เหยียนเหล่ยนั่งดื่มเหล้าและพยายามคิดคำตอบ แต่ทุกคำตอบกลับผิดหมด ทำให้เหยียนเหล่ยรู้สึกสนุกและอยากเอาชนะ ฉันรู้ว่าเหยียนเหล่ยเป็นคนฉลาด แต่ฉันก็มั่นใจว่าเขาต้องตอบคำถามไม่ถูกแน่ เพราะคนในยุคนี้คงยังไม่รู้จักพวกคำถามกวนประสาทแน่นอน ฉันคิดในใจแล้วยิ้มแกมหัวเราะเบาๆ เหยียนเหล่ยเห็นฉันแอบยิ้ม จึงหยิกแก้มฉันหยอกเย้า เรานั่งดื่มนั่งคุยกันจนดึก ก็เห็นฟูหลิววิ่งเหยาะๆเข้ามาที่จวน แล้วบอกว่าเขากำลังเดินอยู่แถวประตูทางเข้าหน้าจวนท่านเสนา เห็นมีชายชื่อหย่งหลุนท่าทางลุกลี้ลุกลน บอกว่าเป็นพี่ชายมีเรื่องสำคัญมากขอพบฉัน ฉันได้ยินดังนั้นจึงร้อนใจจะวิ่งออกไปพบหย่งหลุน แต่เหยียนเหล่ยจับแขนฉันไว้แล้วสั่งให้ฟูหลิวไปพาหย่งหลุนเข้ามาพบที่จวน

          ฟูหลิวเดินแกมวิ่งออกไปพาหย่งหลุนให้เข้ามาที่จวนฮุ่ยเฉิง หย่งหลุนที่เดินแกมวิ่งตามฟูหลิวเข้ามาหน้าตาตื่นแล้วรีบบอกว่าซูเจินเกิดเรื่องใหญ่ นางถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนตาย ตอนนี้เจ้าหน้าที่หน่วยสอบสวนกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุและจับกุมตัวซูเจินไว้ ฉันจึงขออนุญาตเหยียนเหล่ยไปที่หอกุ้ยฮวากับหย่งหลุน เหยียนเหล่ยบอกว่าเขาจะไปด้วย จึงให้ฟูหลิวเอารถม้าออกและขับไปส่งเราที่หอกุ้ยฮวา ระหว่างทางหย่งหลุนเล่าว่าแขกที่มาเที่ยวที่หอคือคุณชายหม่า เรียกซูเจินให้ไปปรนนิบัติรินเหล้า พอคุณชายหม่าเมามากเขาก็เข้าห้องไปนอนพัก ซูเจินเล่าว่าระหว่างที่คุณชายหม่ากำลังเมาหลับอยู่ในห้อง สาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ก็มาบอกซูเจินว่าข้ามีเรื่องสำคัญอยากพูดคุยกับซูเจินให้ไปพบที่สวนด้านหลังหอ พอซูเจินไปก็ไม่พบข้าที่นั่นนางจึงนั่งรออยู่สักพักก็ไม่เห็นข้า จึงเดินมาหาข้าที่คอกม้าก็พบข้ากำลังให้หญ้าม้ากิน ข้ายืนยันกับซูเจินว่าไม่ได้เรียกนางมาพบจริงๆ พอซูเจินกลับไปที่ห้องพักก็คิดว่าคุณชายหม่ายังนอนหลับไม่คิดว่าจะเสียชีวิตแล้ว จากนั้นสาวใช้ก็เข้ามาในห้องพอดีแล้วร้องบอกให้คนช่วยว่าคุณชายหม่าตายแล้ว และบอกว่าซูเจินเป็นคนฆ่าคุณชายหม่า เหยียนเหล่ยจึงถามว่า

เหยียนเหล่ย  : ตายยังไงรู้มั้ย?
     หย่งหลุน  : หน่วยสอบสวนบอกว่าขาดอากาศหายใจ
เหยียนเหล่ย  : อืม...ความเป็นไปได้มีสองอย่าง อย่างแรกคุณชายหม่าอาจจะป่วยมีโรคแทรกซ้อนอยู่แล้ว พอดื่มเหล้าเข้าไปมากๆจึงทำให้อาการป่วยกำเริบ อย่างที่สองคือถูกฆาตกรรม อาจถูกบีบคอหรือใช้หมอนกดทับจนขาดอากาศหายใจ ยิ่งเมามากด้วยแล้วแรงต่อสู้ขัดขืนยิ่งไม่มี
      หย่งหลุน  : แต่ข้าเชื่อว่าซูเจินไม่ได้ทำ นางมีจิตใจอ่อนโยน นางฆ่าใครไม่ได้หรอก
             มี่จื่อ  : ใช่! พี่ซูเจินไม่มีทางฆ่าใครแน่นอน

          ไม่นานนักเราก็มาถึงหอกุ้ยฮวา พบผู้คนมายืนมุงดูกันเป็นจำนวนมาก และมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยสอบสวนคอยยืนกันไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เหยียนเหล่ยใช้อำนาจส่วนตัวที่เคยช่วยตรวจสอบวัตถุโบราณให้หน่วยสอบสวนพาเราเข้าไปในหอกุ้ยฮวา ภายในหอพบหญิงคณิกา สาวใช้และผู้ชายที่มาเที่ยวจำนวนหนึ่งกำลังให้ปากคำกับหน่วยสอบสวน และพบกลุ่มหญิงคณิกานักแสดงระบำทาสีทองที่ตัวและแขน คงมีการแสดงระบำนางฟ้าอวยพรกันก่อนหน้านี้ เรารีบเดินขึ้นไปที่ชั้นสองห้องพักที่พบศพคุณชายหม่า พบหลี่จวิน ลี่ถัง เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เถ้าแก่ สาวใช้หน้าใหม่ และซูเจินที่กำลังยืนร้องไห้ พอซูเจินเห็นฉันก็รีบโผเข้ามากอดแล้วร้องไห้โฮพร่ำบอกว่านางไม่ได้ฆ่าคุณชายหม่า สาวใช้โกหกใส่ความนาง ฉันจึงปลอบโยนให้ซูเจินหยุดร้องไห้ และให้หย่งหลุนช่วยปลอบให้ใจเย็นๆ ขณะนั้นเหยียนเหล่ยจึงเดินเข้ามาถามซูเจินว่า...

เหยียนเหล่ย  : ทำไมข้าได้กลิ่นกระเทียม?
           ซูเจิน  : ข้าทากระเทียมที่พื้นหน้าประตูห้องเจ้าค่ะ เพราะช่วงนี้มีของหายบ่อยๆ ข้าจึงทากระเทียมที่พื้นเพื่อจับขโมย ข้าทำตามคำแนะนำที่มี่จื่อบอกข้าเจ้าค่ะ
เหยียนเหล่ย  : ดี! เจ้าทำถูกต้องแล้ว
         เถ้าแก่  : ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าซูเจินจะฆ่าคุณชายหม่า แต่หลักฐานมันมีอยู่นี่สิยากจะโต้เถียง
        หลี่จวิน  : ข้าคิดไว้แล้วเชียวว่าเจ้าสองคนต้องมาที่นี่เพราะเป็นห่วงซูเจิน ดูนี่เราพบต่างหูของซูเจินบนตัวผู้ตาย อีกทั้งสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ยังยืนยันว่าซูเจินเป็นคนลงมือฆ่าคุณชายหม่า แต่ข้าก็ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่นัก
เหยียนเหล่ย  : หลี่จวินเจ้าได้กลิ่นอะไรบ้างมั้ย
        หลี่จวิน  : อืม ข้าได้กลิ่นกระเทียม
เหยียนเหล่ย  : ซูเจินทากระเทียมไว้ที่พื้นหน้าประตูห้องเพราะช่วงนี้ที่หอกุ้ยฮวามีของหายบ่อยๆ ซูเจินทากระเทียมเพื่อจับขโมย ดังนั้นทุกคนที่เดินเข้ามาในห้องนี้จะมีกลิ่นกระเทียมติดเท้า และถ้าหากทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องตอนนี้ไม่มีใครฆ่าคุณชายหม่าเลย เป็นไปได้มั้ยที่คนร้ายตัวจริงที่ฆ่าคุณชายหม่าจะมีกลิ่นกระเทียมติดเท้ายืนปะปนอยู่ในกลุ่มคนข้างล่างนั่น ส่วนต่างหูนี่อาจเป็นหลักฐานปลอมที่คนร้ายต้องการป้ายความผิดให้ซูเจินก็อาจเป็นได้
        หลี่จวิน  : จริงด้วย! เท้าของข้าก็มีกลิ่นกระเทียม เอาล่ะ! ทุกคนในห้องนี้ห้ามใครออกจากห้องจนกว่าข้าจะบอกว่าให้ออกไปได้ ทหารข้างนอกลงไปช่วยกันหาคนที่มีกลิ่นกระเทียมติดเท้า เอ้อ! ซูเจินเห็นเงียบๆเรียบร้อยแบบนี้กลับคิดวิธีนี้ออกได้ยังไงใช้กระเทียมจับขโมย
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อบอกวิธีนี้ให้ซูเจินทำ (จากนั้นเหยียนเหล่ยกับฉันเดินเข้าไปดูศพคุณชายหม่าใกล้ๆ เหยียนเหล่ยเอานิ้วแตะจมูกไม่มีลมหายใจ)
        หลี่จวิน  : ห๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้รู้วิธีแบบนี้ได้ยังไง?
             มี่จื่อ  : นี่ท่านหลี่จวิน มาดูนี่สิ! ที่เล็บของคนตายมีสีอะไรไม่รู้ติดอยู่ในซอกเล็บด้วยสีเหลืองทอง ที่มืออีกข้างก็มีด้วย มันสีอะไรกันเนี่ย?
        หลี่จวิน  : คงเลอะมาจากข้างนอกก็เป็นได้ เพราะในห้องนี้ไม่ได้ทาสีเหลืองทองเลย
             ลี่ถัง  : แต่ที่ตัวนักแสดงหญิงด้านล่างทาตัวและแขนสีทอง ข้าจะบอกให้คนไปตรวจสอบ
        หลี่จวิน  : ดี จัดการเลย ส่วนที่คอผู้ตายไม่มีรอยฟกช้ำจึงไม่น่าจะถูกบีบคอ เป็นไปได้ที่ผู้ตายอาจถูกหมอนกดทับจนหายใจไม่ออกและพยายามขัดขืนจนข่วนสีบนตัวหรือแขนของคนร้ายออกมาลักษณะแบบนี้... (หลี่จวินสันนิษฐานและทำท่าทางจำลองเหตุการณ์ จากนั้นเดินไปหยิบหมอนมาดู) มีรอยเลอะสีเหลืองทองติดอยู่ที่หมอนจริงๆ เอาล่ะ! ถ้าเอาสีมาเปรียบเทียบคดีก็จะง่ายขึ้น

          ฉันจึงเดินกลับมาหาสาวใช้ที่กล่าวหาซูเจินว่าฆ่าคุณชายหม่า ซึ่งสาวใช้กำลังยืนดูเหตุการณ์อยู่บริเวณหน้าประตูห้อง เหยียนเหล่ยจึงเดินตามฉันมาด้วย

             มี่จื่อ  : สาวใช้ เจ้าชื่ออะไร เด็กใหม่ล่ะสิ?
             จูจิ่น  : ใช่! ข้าชื่อจูจิ่น
             มี่จื่อ  : เจ้าบอกว่าพี่ซูเจินเป็นคนฆ่าคุณชายหม่า เจ้าเห็นตอนที่พี่ซูเจินลงมือฆ่างั้นรึ ลงมือฆ่าแบบไหน ท่าทางเป็นยังไง?
            จูจิ่น  : เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าต้องเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเล่าให้ท่านหัวหน้าหน่วยสอบสวนฟังไปหมดแล้ว ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเขาเองสิ
       หลี่จวิน  : อืมใช่ สาวใช้จูจิ่นเล่าให้ข้าฟังแล้ว ข้าให้ลี่ถังจดบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว
            มี่จื่อ  : ได้! จูจิ่นเจ้าจะไม่เล่าให้ข้าฟังก็ได้ งั้นข้าจะถามเจ้าคำถามเดียว ตอนที่เจ้าเห็นคุณชายหม่าตายเจ้ายืนอยู่ตรงไหน? (ฉันถามคำถามจูจิ่นต่อโดยไม่สนใจฟังที่หลี่จวินพูดด้วย)
        หลี่จวิน  : มี่จื่อ! เจ้าอย่าเมินข้าเซ่!
เหยียนเหล่ย  : สาวใช้จูจิ่นตอบคำถามสิ!
             จูจิ่น  : อ่ะ เอ่อ! ข้ายืนอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ
เหยียนเหล่ย  : เจ้าได้แตะต้องตัวคุณชายหม่ามั้ย?
             จูจิ่น  : ไม่ ข้าไม่กล้าแตะต้องตัวคุณชายหม่าเลยเจ้าค่ะ
             มี่จื่อ  : ในเมื่อเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ ตัวคุณชายหม่าเจ้าก็ไม่ได้แตะต้อง แล้วตอนนั้นเจ้ารู้ได้ยังไงว่าคุณชายหม่าตายแล้ว จากที่ข้ายืนมองคุณชายหม่ากับเจ้าตรงนี้ เขาเหมือนคนกำลังนอนหลับด้วยซ้ำ!
เหยียนเหล่ย  : นั่นสิ! ที่ตัวคุณชายหม่าไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยเลือด หากยืนมองในระยะห่างขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะรู้โดยทันทีว่าคุณชายหม่าตาย ขนาดข้าเข้าไปยืนดูศพใกล้ๆเมื่อกี๊ เขายังดูเหมือนคนเมานอนหลับ ต้องเอานิ้วแตะจมูกจึงจะรู้ว่าไม่หายใจ แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้โดยทันทีว่าคุณชายหม่าตาย อธิบายมาซิ?!(เหยียนเหล่ยเค้นถามสาวใช้จูจิ่น)
             มี่จื่อ  : จูจิ่นดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้มาก่อนล่วงหน้าว่าคุณชายหม่าตายแล้ว รู้ก่อนที่พี่ซูเจินจะเดินกลับเข้ามาในห้องเสียอีก งั้นคงเป็นเจ้าล่ะสิที่แอบมาฆ่าคุณชายหม่าแล้วรีบหลบออกไป เจ้ารอเวลาให้พี่ซูเจินกลับเข้ามาในห้อง เจ้าก็โผล่ออกมาแล้วโยนความผิดให้นาง ข้าพูดถูกมั้ยจูจิ่น!
            จูจิ่น  : ไม่ ไม่ใช่ข้า! ข้าไม่ได้ฆ่าคุณชายหม่า ต่างหูที่อยู่บนศพก็เป็นหลักฐานอยู่แล้วว่าซูเจินเป็นคนฆ่า
             มี่จื่อ  : ต่างหูนั่นคนร้ายตัวจริงขโมยไปจากห้องของพี่ซูเจินเพื่อนำมาสร้างหลักฐานเท็จแน่นอน ส่วนต่างหูที่เหลืออีกข้างถ้าไม่ซ่อนอยู่ในห้องของเจ้า ก็ต้องซ่อนอยู่ในห้องของคนร้ายอีกคน
         เถ้าแก่  : ใช่ๆ ช่วงนี้ในหอมีข้าวของหายบ่อยๆ โดยเฉพาะเงินกับเครื่องประดับ ซูเจินเคยมาบอกข้าว่ามีคนแอบหยิบต่างหูของนางไป ฮึ่ม! ถ้าเป็นคนในหอนี้ล่ะก็ ข้าจะไม่เลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุกเลย คอยดู!
            มี่จื่อ  : บอกมาจูจิ่น! เจ้าร่วมมือกับใครฆ่าคุณชายหม่า?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าว่าเราพาสาวใช้จูจิ่นไปไตร่สวนที่หน่วยสอบสวนดีกว่า มีอุปกรณ์ช่วยเปิดปาก ดึงลิ้น บีบขมับ ตอกเล็บ รับรองว่านางต้องทนไม่ไหวยอมสารภาพแน่
             จูจิ่น  : ไม่ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป!
             มี่จื่อ  : จูจิ่น ข้ามีสองทางให้เจ้าเลือก ทางแรก สารภาพความจริงว่าใครเป็นคนฆ่าคุณชายหม่า เจ้าร่วมมือกับใคร โทษผิดของเจ้าก็จะลดลง หน่วยสอบสวนอาจจะกันเจ้าไว้เป็นพยาน ถ้าเจ้าเลือกทางแรกอะไรๆมันก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าเจ้าเลือกทางที่สอง เลือกช่วยคนร้ายซึ่งแน่นอนเจ้าช่วยไม่ได้อยู่แล้วรวมทั้งตัวเจ้าเองด้วย หากเจ้ายังดันทุรังโกหกเจ้าจะได้รับโทษหนัก โดนข้อหาแจ้งความเท็จ ข้อหาลักทรัพย์ ข้อหาใส่ความทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกเข้าใจผิด และข้อหาสมรู้ร่วมคิดฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน หลักฐานมัดตัวเจ้าขนาดนี้ยังไงเจ้าก็ไม่รอด เพราะข้ารู้ว่าคนร้ายตัวจริงคือใคร คนร้ายตัวจริงคือหนึ่งในนักแสดงหญิงในชุดระบำนางฟ้าอวยพร ที่เท้ามีกลิ่นกระเทียมติดเหมือนกันกับเท้าของเจ้า และที่แขนมีรอยเล็บข่วนของคุณชายหม่าเป็นทางยาว แน่นอนว่าข้าหาตัวคนร้ายได้ไม่ผิดตัวแน่
           จูจิ่น  : เจ้าอย่าใส่ความข้านะ ข้าไม่ได้ทำ ไม่ได้ร่วมมือกับใครทั้งนั้น จะมาจับข้าไม่ได้นะ
           มี่จื่อ  : หากเจ้ายังปากแข็งไม่รับสารภาพว่าเจ้าร่วมมือกับใคร จนทำให้พี่ซูเจินของข้าต้องเดือดร้อนรับโทษผิดแทนพวกเจ้าล่ะก็... ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าถึงคดีจะจบแต่ข้าไม่ยอมจบกับพวกเจ้าแน่ ชีวิตน้อยๆอันไร้ค่าของเจ้าคงไม่ได้อยู่ยืนยาวนัก...ถ้าอยู่ๆวันหนึ่งเจ้าหายตัวจากหอนี้ และถูกพบอีกทีตอนกลายเป็นศพอยู่ริมแม่น้ำด้วยสาเหตุเจ้าจมน้ำตาย ต่อไปปากเล็กๆของเจ้าจะโกหกใครไม่ได้อีกแล้ว
            จูจิ่น  : เจ้าเป็นใคร คิดจะข่มขู่ข้าเรอะ?!
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้ขู่และไม่ชอบพูดอะไรให้มากความ อ้อ! ส่วนชื่อของข้าชื่อ มี่จื่อ ข้าเคยอยู่ที่หอนี้มาก่อน เคยมีใครเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังบ้างมั้ย "มี่จื่อเด็กเปรตแห่งหอกุ้ยฮวา!"
            จูจิ่น  : จะ เจ้าเองรึมี่จื่อเด็กเปรตนั่น?!!!
        หลี่จวิน  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า "มี่จื่อเด็กเปรตแห่งหอกุ้ยฮวา!" ใครตั้งฉายาให้เจ้าเนี่ย โดนใจข้าสุดๆไปเลย!
เหยียนเหล่ย  : หุหุหุ (เหยียนเหล่ยและคนอื่นๆเอามือปิดปากแล้วแอบหัวเราะ)
             มี่จื่อ  : จูจิ่นเจ้าต้องรีบตัดสินใจแล้วล่ะ ว่าจะรีบสารภาพก่อนหรือจะรอให้คนร้ายตัวจริงมาซัดทอดเจ้า เพราะเดี๋ยวรองหัวหน้าหน่วยก็จะพาคนร้ายตัวจริงขึ้นมาแล้ว ลองชะเง้อดูก่อนก็ได้ว่าใช่คนๆเดียวกันที่ร่วมมือกับเจ้าหรือเปล่า ยังไงนางต้องซัดทอดเจ้าแน่ๆ ทางที่ดีเจ้าควรให้ความร่วมมือกับหน่วยสอบสวนจะดีกว่า
            จูจิ่น  : ฮือๆๆๆ ใต้เท้าข้าถูกเจียวลู่หลอกใช้ ข้าสารภาพแล้ว เจียวลู่นางเป็นคนจ้างข้าให้หลอกซูเจินออกไปจากห้อง เจียวลู่โกหกข้า! นางบอกว่าจะเข้ามาขโมยเงินคุณชายหม่าในห้องแล้วเอาเงินไปแบ่งกันกับข้า แต่ที่ไหนได้นางกลับพลั้งมือฆ่าคุณชายหม่า แล้วให้ข้าป้ายความผิดให้ซูเจิน นางขู่ว่าถ้าข้าไม่ทำตาม นางจะบอกทุกคนว่าข้าเป็นขโมย เจียวลู่สั่งให้ข้าขโมยต่างหูของซูเจินมาให้นาง ข้าไม่ได้คิดจะร่วมมือฆ่าคุณชายหม่ากับนางเลย ข้าถูกบังคับ
         เถ้าแก่  : หนอย! เจ้ามันเลี้ยงไม่เชื่อง (เพี๊ยะ! เสียงเถ้าแก่ตบหน้าจูจิ่นเต็มแรง) ท่านหลี่จวิน จับพวกนางไปลงโทษเลยลงโทษให้หนักพวกนางไม่ใช่คนของหอกุ้ยฮวาอีกแล้ว!

情人劫 - 伊格赛听/叶里你的一字一句一笔一点 都画尽人
Youtube by : Rockey Music
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 20
(คนร้ายในคราบนางฟ้า)

          ขณะนั้นลี่ถังได้จับกุมตัวเจียวลู่ในชุดนักแสดงระบำนางฟ้าอวยพรขึ้นมาที่ชั้นสองพามาให้หลี่จวินไตร่สวน และฉันก็จำได้ว่าเจียวลู่คือหญิงคณิกาที่มาคอยรินเหล้าให้ฉันในคืนที่ฉันปลอมตัวเป็นผู้ชายมาหาซูเจินที่หอนางโลมคืนนั้น

            ลี่ถัง  : นางชื่อเจียวลู่ มีนางคนเดียวที่เท้ามีกลิ่นกระเทียม และที่แขนมีรอยข่วนทั้งสองข้าง
       หลี่จวิน  : เจียวลู่ แขนเจ้าไปทำอะไรมา
         เจียวลู่  : ข้าลื่นหกล้มแขนจึงครูดกับกิ่งไม้
        หลี่จวิน  : แล้วเท้านี่หล่ะบอกได้มั้ยทำไมมีกลิ่นกระเทียม
         เจียวลู่  : เอ่อ...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีกลิ่นกระเทียมติดเท้าได้ยังไง ข้าคงเดินไปเหยียบกระเทียมในครัวมาแน่ๆ
        หลี่จวิน  : ลี่ถัง เจ้าสั่งคนไปสอบถามทุกคนในครัวว่ามีใครเห็นเจียวลู่เดินไปในครัวมั้ยวันนี้ แล้วสอบถามด้วยว่ามีใครทำกระเทียมหกตกพื้นจนเจียวลู่เดินไปเหยียบหรือเปล่า สั่งคนไปค้นห้องของเจียวลู่กับสาวใช้จูจิ่นด้วย
            มี่จื่อ  : ลี่ถัง อย่าลืมรื้อค้นใต้เตียงด้วยนะจุดซ่อนสมบัติ
         เจียวลู่  : ท่านจับข้ามาทำไม ข้าไม่ใช่คนร้าย!

          ไม่นานนักลี่ถังกลับมารายงานพร้อมกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่ไปค้นห้องและโรงครัว รายงานว่าคนในโรงครัวไม่มีใครเห็นเจียวลู่และไม่มีใครทำกระเทียมหก เพราะแม่ครัวจะเข้มงวดเรื่องการใช้วัตถุดิบในครัวมาก และพบต่างหูของซูเจินอีกข้างหนึ่งซ่อนอยู่ในแจกันดอกไม้ในห้องเจียวลู่ อีกทั้งยังพบเงินกับเครื่องประดับจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นอนในห้องของจูจิ่น

         เจียวลู่  : ไม่จริง ข้าถูกใส่ร้าย ข้าไม่รู้ว่าต่างหูนั่นมาอยู่ในห้องข้าได้ยังไง อีกอย่างข้าไม่เคยมีความแค้นอะไรกับคุณชายหม่า ข้าจะฆ่าเขาไปเพื่ออะไร?
        หลี่จวิน  : นั่นสิ!? เจ้าฆ่าเขาทำไมบอกมาเถอะ สาวใช้จูจิ่นสารภาพหมดแล้วว่าเจ้าเป็นคนฆ่าคุณชายหม่า แล้วป้ายความผิดให้ซูเจิน ส่วนหลักฐานก็คือสีเหลืองทองที่ทาอยู่บนตัวเจ้าเป็นสีชนิดเดียวกันกับสีเหลืองทองที่ติดอยู่ในซอกเล็บของคุณชายหม่า เพราะเขาพยายามดิ้นรนจนข่วนแขนเจ้าเป็นรอยข่วนทางยาวตอนที่เจ้าเอาหมอนปิดทับหน้าเขาจนขาดอากาศหายใจ และที่เท้าของเจ้ามีกลิ่นกระเทียมติดอยู่เพราะเจ้าเดินเหยียบพื้นที่ซูเจินทากระเทียมไว้เพื่อจับขโมย พอเจ้าแอบเข้ามาฆ่าคุณชายหม่าในห้อง เท้าของเจ้าจึงเหยียบพื้นที่ทากระเทียมไว้เท้าเจ้าจึงมีกลิ่นกระเทียมติดอยู่ ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าเจ้าเหยียบกระเทียมมาจากที่ไหน
         เจียวลู่  : กรี๊ด! ทำไมๆข้าต้องแพ้นางทุกครั้ง ทำไมใครๆก็รักแต่ซูเจิน ทำไมใครๆก็ช่วยแต่ซูเจิน ข้าเกลียดนาง พี่หย่งหลุนก็รักนาง คุณชายมู่ก็ให้เงินช่วยเหลือนาง คุณชายหม่าก็เรียกหาแต่ซูเจินให้ไปปรนนิบัติ ข้าอยากให้นางตาย กรี๊ด! ฮือๆๆๆ
        หลี่จวิน  : ทหารพาคนร้ายทั้งสองคนไปขังที่หน่วยสอบสวนก่อนพรุ่งนี้ค่อยตัดสินโทษ อย่าลืมให้คนมายกศพคุณชายหม่าออกไปด้วย เอาล่ะๆ! จับตัวคนร้ายได้แล้ว คดีคลี่คลายได้รวดเร็วเกินไป เหยียนเหล่ยเจ้าไปดื่มเหล้าต่อกับข้าสักหน่อยดีกว่า พาเด็กเปรตแห่งหอกุ้ยฮวาไปด้วยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า (หลี่จวินหัวเราะชอบใจแล้วเดินออกไปดูความเรียบร้อยต่อที่ด้านล่าง)

          ซูเจินที่ร้องไห้จนตาบวมกับหย่งหลุนเดินเข้ามากอดฉันและพร่ำกล่าวขอบคุณฉันกับเหยียนเหล่ยที่มาช่วย เหยียนเหล่ยตอบว่าไม่เป็นไรแล้วบอกหย่งหลุนกับซูเจินว่าทั้งสองสามารถแวะไปหาฉันที่จวนฮุ่ยเฉิงได้ ฉันจึงบอกให้หย่งหลุนพาซูเจินไปนอนพักผ่อน จากนั้นเถ้าแก่ก็เดินมาหาฉันจับมือแล้วกล่าวขอบใจ

         เถ้าแก่  : ขอบใจเจ้ามากมี่จื่อ ขอบใจเจ้ากับคุณชายเหยียนเหล่ยมากๆ ที่มาช่วยพูดแก้ต่างให้ซูเจินจนจับคนร้ายตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นซูเจินคงถูกคุมตัวไปที่หน่วยสอบสวนและคงยอมรับผิดเองเพราะความหวาดกลัวจนตัวสั่นแน่ๆ ข้านี่แย่จริงๆรับนังงูพิษสองคนนั่นเข้ามาอยู่ในหอ
             มี่จื่อ  : ขอบคุณเถ้าแก่ที่ห่วงใยและเชื่อว่าพี่ซูเจินบริสุทธิ์ พี่ซูเจินเป็นคนจิตใจดีและอ่อนโยน ข้าฝากท่านดูแลพี่ซูเจินด้วย อีกไม่นานข้าจะมาไถ่ตัวพี่ซูเจินออกไป อิอิ
          เถ้าแก่  : ฮึ! เด็กเปรต ถ้าเจ้าไถ่ตัวซูเจินออกไป รายได้ข้าก็ลดลงไปอีกน่ะสิ ว่าแต่...ทำไมเจ้าถึงไปอยู่กับคุณชายต่งได้ล่ะ แล้วคุณชายหานล่ะหายไปไหน? (เถ้าแก่กระซิบถาม)
             มี่จื่อ  : เพราะข้าติดตามคุณชายหานไปที่จวนท่านเสนาบดีขั้นสอง และพลาดทำแจกันโบราณราคาแพงมากของคุณชายเหยียนเหล่ยแตกกระจาย จึงมีการเปลี่ยนมือเจ้านายกระทันหัน (ฉันกระซิบตอบ)
         เถ้าแก่  : อุ๊ยตาย! เจ้ามันตัวทำลายล้างผลาญ อยู่ที่ไหนที่นั่นก็วอดวาย!
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้ทำลายล้างผลาญ ข้าแค่ซุ่มซ่าม เถ้าแก่…ข้าขอตัวลากลับก่อน
         เถ้าแก่  : อื้ม ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ
      หยู่เยียน  : เชอะ! ทำเป็นอวดดี อวดเก่ง (หยู่เยียนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่นอกห้องพูดแขวะฉัน)
         เถ้าแก่  : หยู่เยียนเจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ที่คุณชายหานบอกว่ามี่จื่อมีสิ่งที่เขาต้องการ แต่เจ้าไม่มี เฮ่อ!... ข้าชักจะเสียดายมี่จื่อขึ้นมาซะแล้วสิ ให้มาทำงานเป็นผู้ช่วยข้าน่าจะดี ข้าน่าจะนึกเอะใจได้ตั้งแต่ที่นางช่วยแปลภาษาชนเผ่าให้ข้าคืนนั้น ข้าไม่น่าขายนางไปเลย น่าเสียดายๆ

          เถ้าแก่เดินส่ายหัวบ่นเสียดายฉันแล้วเดินลงไปชั้นล่างบอกกับแขกที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว เชิญแขกไปดื่มเหล้ากันต่อ เหยียนเหล่ยกับฉันเดินออกจากหอกุ้ยฮวาแล้วตรงไปขึ้นรถม้าที่ฟูหลิวเตรียมรอไว้อยู่แล้ว ฟูหลิวมองหน้าฉันแล้วยิ้มระรื่นแอบยกนิ้วโป้งให้คล้ายบอกว่าเยี่ยม ฉันยิ้มตอบกลับฟูหลิว และกำลังจะเดินขึ้นรถม้าโดยมีเหยียนเหล่ยขึ้นตามหลัง เหยียนเหล่ยสั่งฟูหลิวให้ขับรถม้าไปร้านเหล้าโต้รุ่งที่นัดไว้กับหลี่จวิน ระหว่างทางเหยียนเหล่ยเตือนฉันว่า

เหยียนเหล่ย  : ที่เจ้าข่มขู่ว่าจะฆ่าสาวใช้จูจิ่น ถ้าหากนางเกิดตายขึ้นมาจริงๆระวังหน่วยสอบสวนจะคิดว่าเจ้าเป็นคนฆ่านาง
             มี่จื่อ  : ข้ามีท่านเป็นพยานว่าข้าทำงานอยู่กับท่านตลอด ข้าไม่มีเวลาไปวิ่งไล่ฆ่าใครหรอก
เหยียนเหล่ย  : แต่เมื่อกี้ที่หอนางโลมเจ้าเก่งมาก พูดไล่ต้อนจนสาวใช้จูจิ่นจนมุมยอมสารภาพผิดทำให้คนร้ายตัวจริงดิ้นไม่หลุดคดีจึงสิ้นสุดได้อย่างรวดเร็ว
             มี่จื่อ  : เพราะท่านด้วยแหละที่ช่วยเหลือข้าทุกอย่างเลย
เหยียนเหล่ย  : เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นพวกคนชนเผ่าใดสักเผ่าหนึ่งที่รู้ภาษาโบราณแต่เข้ามาทำงานในเมือง แต่เท่าที่ข้าเห็นเจ้าเป็นคนมีความรู้มากว่าจะเป็นสาวใช้ หรือหญิงคณิกา บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่หอนางโลม เจ้าเป็นใครกันแน่?
             มี่จื่อ  : ข้ามาจากอนาคตศตวรรษที่ 21 ข้าตกน้ำและหลงทางในมิติที่บิดเบี้ยวแล้วมาโผล่ที่นี่นอนสลบอยู่ริมแม่น้ำ มีลุงกับป้าคู่หนึ่งช่วยข้าจากแม่น้ำพอหายดีก็หลอกพาข้าไปขายที่หอกุ้ยฮวา
เหยียนเหล่ย  : เจ้าคงยังไม่สร่างเมาจากดื่มเหล้าที่จวน หรือว่าเจ้าจะเมากระเทียมเริ่มจะพูดจาไม่รู้เรื่อง คงจะมีแต่อาจารย์ของข้าที่เข้าใจเจ้าพูดเวลาเมาล่ะมั้ง
             มี่จื่อ  : เฮ่อ! ....งั้นช่างเถอะ

          พอมาถึงร้านเหล้าพบหลี่จวินกับลี่ถังกำลังนั่งดื่มเหล้ารออยู่แล้ว หลี่จวินบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทำคดีฆาตกรรมซ่อนเงื่อนเสร็จรวดเร็วภายในคืนเดียว และแซวเหยียนเหล่ยว่า...

        หลี่จวิน  : แหม! เจ้านายกับสาวใช้ ทำงานเข้าขากันดีจริงๆ ทำเอาคนร้ายรีบรับสารภาพ ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องทำงานหนักคืนนี้ ข้าจะได้พักผ่อนบ้าง ช่วงนี้เหนื่อยเหลือเกิน
เหยียนเหล่ย  : คดีเยอะงั้นรึ?
        หลี่จวิน  : ก็ไม่เยอะนักหรอก แต่ช่วงนี้ข้าเจอแต่คดีพิลึก เมื่อวานข้าได้รับรายงานมาว่ามีคนตระเวนทุบทำลายรูปปั้นมังกรในสามหมู่บ้านแถบแม่น้ำหรงเหอ ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ข้าคิดว่าวันพรุ่งนี้จะไปตรวจสอบดูสักหน่อย
เหยียนเหล่ย  : เอ๊ะ! ทุบทำลายรูปปั้นมังกรทำไม? เพื่อความสนุกหรือเพื่อค้นหาอะไร?
        หลี่จวิน  : น่าจะค้นหาอะไรสักอย่าง เพราะหากทำเพื่อความสนุกก็น่าจะทุบทำลายรูปปั้นอื่นๆด้วย ตอนนี้คนในหมู่บ้านทั้งสามหมู่บ้านจึงจัดเวรยามเฝ้ารูปปั้นมังกรสำคัญตามจุดสำคัญต่างๆเพื่อไม่ให้ถูกทุบทำลาย
             ลี่ถัง  : เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับหยางเค่อด้วยหรือไม่
        หลี่จวิน  : หากทำเพื่อค้นหาสมบัติก็น่าจะเกี่ยวข้องกัน ถ้าจับตัวคนทำได้สักคนก็อาจจะสาวถึงตัวคนบงการได้
             มี่จื่อ  : บ้านของคุณชายหยางเค่อก็ร่ำรวยอยู่แล้ว เค้าจะค้นหาสมบัติไปทำไมนัก?
        หลี่จวิน  : เป้าหมายของเขาคืออย่างอื่นต่างหาก ส่วนค้นหาสมบัติเป็นผลพลอยได้
             มี่จื่อ  : เป้าหมายของเขาคืออะไร?
เหยียนเหล่ย  : สุดยอดตำรากระบี่มังกรสายลม ของอาจารย์เฟิงหย่าเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย
             มี่จื่อ  : เขาจะฝึกวิชาในตำรารึ
เหยียนเหล่ย  : ก็มีอยู่สองอย่าง ถ้าไม่เก็บไว้ฝึกวิชาเอง ก็คงเก็บไว้ขายในราคาแพงลิ่ว
             มี่จื่อ  : อ้อ! คุณชายต่งเหยียนเหล่ยอย่าลืมจ่ายเงินให้ข้า ที่ท่านตอบคำถามข้าไม่ได้
เหยียนเหล่ย  : รีบทวงเงินข้าเลยรึ? ข้ายังมีเวลาอีกทั้งคืนขอเวลาให้คิดบ้างสิ
        หลี่จวิน  : ตอบคำถามอะไรกันรึ?
เหยียนเหล่ย  : คำถามเศรษฐี ข้ายังตอบคำถามนางไม่ได้เลย
        หลี่จวิน  : คำถามใหม่รึ คำถามว่าอะไร แต่ถ้าข้าตอบถูกเจ้าสองคนต้องจ่ายเงินให้ข้า
             มี่จื่อ  : ได้! คำถามคือ...เมื่อม้าถูกตัดหาง ม้าจะกลายเป็นอะไร?
             ลี่ถัง  : เห๊! กลายเป็นลารึ?
        หลี่จวิน  : ม้ากลายเป็นฬ่อ!
             มี่จื่อ  : ผิด! ข้าให้เวลาท่านแค่คืนนี้ คิดคำตอบมาให้ได้ แต่ตอนนี้ข้าดื่มเหล้าไม่ไหวแล้ว ข้าง่วงนอน
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ เจ้าไปนอนรอข้าที่รถม้าก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป
        หลี่จวิน  : ทิ้งคำถามไว้ให้ข้าคิด แต่เจ้ากลับไปนอนหลับสบายน่าหงุดหงิดชะมัด!
เหยียนเหล่ย  : ก็จ่ายเงินค่าคำตอบให้นางสิ
        หลี่จวิน  : ได้! เอาเงินไป คำตอบคืออะไร
            มี่จื่อ  : คำตอบคือ เมื่อม้าถูกตัดหาง ม้าจะกลายเป็น แผล น่ะสิ! ....ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ข้าขอรับเงินไปล่ะนะ

          ฉันเก็บเงินแล้วเดินไปที่รถม้าที่มีฟูหลิวนั่งรออยู่ หลี่จวินโวยวายและตะโกนทวงเงินฉันไล่หลัง ส่วนลี่ถังกับเหยียนเหล่ยหัวเราะขบขันกับคำตอบกวนประสาท ฉันเดินกลับมาถึงรถม้า บอกฟูหลิวว่าเหยียนเหล่ยกำลังจะตามมา และกล่าวขอบคุณฟูหลิวที่ช่วยให้หย่งหลุนสามารถเข้ามาพบฉันในจวน ทำให้เราสามารถไปช่วยซูเจินที่หอกุ้ยฮวาได้ทันเวลา

          ฟูหลิว  : ข้าเห็นเจ้ากับคุณชายเหยียนเหล่ยช่วยกันสอบสวนสาวใช้ที่เป็นคนร้าย เหมือนเป็นคู่หูกันเลย เจ้าเข้าไปนอนในรถก่อนเถอะข้าจะนั่งรอคุณชายให้เอง
             มี่จื่อ  : ขอบคุณนะ

          ฉันกำลังจะมุดเข้าไปนอนในรถม้า ทันใดนั้นหยางเค่อก็โผล่ออกมาจากข้างๆรถใช้ไม้ตีเข้าที่ศรีษะของฟูหลิวจนเขากลิ้งตกรถม้า แล้วพุ่งเข้ามาจับตัวฉันเอามือปิดปากแล้วอุ้มฉันไปจากรถ ฉันจึงทำดอกท้อทิ้งไว้ตามรายทางและหวังว่ามันจะยังไม่สลายหายไปเสียก่อนที่เหยียนเหล่ยจะตามมาทัน ส่วนฟูหลิวที่ตั้งสติได้ก็รีบร้องตะโกนบอกพวกเหยียนเหล่ยและหลี่จวินว่าฉันถูกคนจับตัวไป

          ฟูหลิว  : ช่วยด้วยๆ! มีคนจับมี่จื่อไป!
เหยียนเหล่ย  : มันจับไปทางไหน?
          ฟูหลิว  : ไปทางนั้นตรอกสิบเอ็ด
        หลี่จวิน  : ตามไปเร็ว! ลี่ถังเจ้ารออยู่ที่นี่!
เหยียนเหล่ย  : ตามรอยดอกท้อไป มี่จื่อทิ้งรอยไว้ให้เราตามไป
             ลี่ถัง  : นี่! คนขับรถม้าเจ้าชื่ออะไร?
          ฟูหลิว  : ข้าชื่อฟูหลิว
             ลี่ถัง  : ตามพวกเขาไปกันเถอะ!
          ฟูหลิว  : แต่ท่านหลี่จวินสั่งให้เรารอที่นี่นะขอรับ
             ลี่ถัง  : ข้ามิใช่คนอ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้ งั้นเจ้าก็อยู่รอที่นี่เถอะ เอารถม้ามาให้ข้า ข้าจะตามพวกเขาไป
          ฟูหลิว  : เอ่อ! งั้นข้าไปด้วยขอรับ!
หมายเหตุ

*จินเอ๋อ แปลว่า ทองคำ สาวน้อยผู้งดงาม

*จูจิ่น  แปลว่า ดอกชบา

*เจียวลู่ แปลว่า ดินแดนแห่งความอ่อนโยน

[Batte Fort 凤舞九天] by Dj小4
Youtube by : Beat Panda

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 21
(ช่วงชิงตัวมี่จื่อ)

          หยางเค่ออุ้มฉันขึ้นม้าควบหนีออกไปโดยเร็ว โดยมีเหยียนเหล่ยกับหลี่จวินควบม้าติดตามมา ฉันไม่เคยขี่ม้ามาก่อนจึงร้องโหวกเหวกโวยวายหวาดกลัวเมื่อหยางเค่อเร่งควบม้าให้เร็วขึ้น

             มี่จื่อ  : ว๊ากกก! ช้าๆหน่อย ช้าๆ! ข้ากลัว!
     หยางเค่อ  : จะบ้ารึไง ช้าๆพวกนั้นก็ตามทันน่ะสิ!
             มี่จื่อ  : ท่านจับข้ามาทำไม ปล่อยข้าลง จะพาข้าไปไหนกันล่ะเนี่ย?! ข้าไม่ไป ปล่อยข้า!
     หยางเค่อ  : ทำไม?! อยู่กับคุณชายหัวโบราณนั่นไม่กี่วันเจ้าก็ลืมความสัมพันธ์เก่ากับข้าแล้วรึ?!
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้ลืม แต่ข้าไม่อยากไปกับท่าน ข้าไม่อยากเป็นขโมย ปล่อย!
     หยางเค่อ  : แค่พาไปดูแผนที่ให้ข้าหน่อย อย่าร้องสิ หนวกหู! เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นคนช่วยเจ้าออกมาจากหอนางโลม หากคืนนั้นที่บ่อน้ำไม่ได้ข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้าคงถูกเจ้าหวังหย่งข่มเหงเจ้าไปแล้ว!
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ลืมหรอกไม่ต้องทวงบุญคุณ!
     หยางเค่อ  : นี่! เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับมังกรเจ้าสำราญ พวกนั้นบอกอะไรเจ้าบ้าง
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้ พวกเขาไม่ได้บอกอะไรข้าเลย

          ขณะที่ม้ากำลังควบหนีด้วยความเร็ว ข้างหน้าก็ปรากฏอักษรโบราณขวางทางลักษณะคล้ายกำแพงโผล่พรวดขึ้นมาจากดินขวางทางอยู่ หยางเค่อดึงม้าหยุดแทบไม่ทันแล้วรีบดึงให้ม้าวิ่งหนีออกไปอีกทางหนึ่ง แต่กำแพงอักษรก็โผล่พรวดขึ้นมาขวางทางอีกครั้งทั้งสี่ด้านจนกลายเป็นล้อมกรอบ หยางเค่อหยิบดาบออกมาฟาดฟันมนต์อักษรกำแพงนั่นแต่ก็ไม่สามารถทำลายลงได้

     หยางเค่อ  : มนต์สกัดกั้น! ฮึ่ม! ไอ้คุณชายหัวโบราณมันน่ารำคาญเสียจริง!
             มี่จื่อ  : ปล่อยข้าลงเถอะ ท่านรีบหนีไป
     หยางเค่อ  : จะหนีไปยังไงเล่า?! มนต์สกัดกั้นมันดักไว้ทุกทางแบบนี้
             มี่จื่อ  : ปล่อยข้าลงก่อนสิ! ข้าจะคลายมนต์เปิดทางให้
     หยางเค่อ  : ได้!

          หยางเค่อยอมปล่อยฉันลงยืนที่พื้น ช่วงเวลาเร่งรีบต้องแข่งกับเวลาที่เหยียนเหล่ยกับหลี่จวินกำลังควบม้ามาใกล้ ฉันจึงตั้งสมาธิมองหาตัวอักษรเพื่อปลดมนต์ ในที่สุดฉันก็หาเจอและช่วยปลดมนต์สกัดกั้นใด้ หยางเค่อจึงรีบควบม้าหนีไปได้ทันเวลาที่เหยียนเหล่ยและหลี่จวินควบม้ามาถึง เหยียนเหล่ยหยุดม้าตรงที่ฉันยืนอยู่แล้วรีบลงม้ามาหา ส่วนหลี่จวินยังคงควบม้าตามหยางเค่อไป

เหยียนเหล่ย  : เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?
             มี่จื่อ  : เอ่อ...ข้ารู้สึกคลื่นใส้ ขี่ม้าเมื่อกี้มันสะเทือนท้องใส้ข้าปั่นป่วนไปหมด อ๊อกกกอ้วกกก!!!

          ฉันรีบหันหน้าออกห่างเหยียนเหล่ยแล้วอาเจียร ทั้งเหล้าและอาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้ถูกอาเจียรออกมาหมด ขณะนั้นหลี่จวินก็ควบม้าวิ่งกลับมาแล้วบ่นว่าไล่ตามหยางเค่อไม่ทัน ส่วนลี่ถังกับฟูหลิวที่ขับรถม้าตามมาถึง ลี่ถังรีบลงจากรถม้ามาดูฉันแล้วส่งน้ำดื่มที่หยิบจากในรถม้ามาให้ดื่มและบ้วนปาก หลี่จวินบ่นเหยียนเหล่ยว่าฝีมือตกมนต์สกัดกั้นก็กั้นหยางเค่อไม่อยู่จนหยางเค่อหนีไปได้ เหยียนเหล่ยไม่พูดตอบโต้อะไรได้แต่มองจ้องหน้าฉันนิ่ง ฉันจึงก้มหน้ายอมรับผิดและบอกกับหลี่จวินว่า

             มี่จื่อ  : ข้าเป็นคนปลดมนต์สกัดกั้นให้คุณชายหยางเค่อเอง เป็นการแลกเปลี่ยนให้เขายอมปล่อยข้า อีกอย่างเขาก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายข้า
        หลี่จวิน  : เจ้าปลดมนต์สกัดกั้นให้หยางเค่อรึ?! มนต์สกัดกั้นของเหยียนเหล่ยที่ปลดยากรองจากเจ้าสำนักเฟยอวี่ เจ้าปลดมนต์แค่เพียงครู่เดียวเองรึ?
             มี่จื่อ  : อื้ม....
        หลี่จวิน  : ตกลงเจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?!
เหยียนเหล่ย  : เจ้าช่วยหยางเค่อทำไม?
             มี่จื่อ  : เพราะเขาเคยช่วยข้าจากคนที่พยายามจะข่มเหงข้าที่หอกุ้ยฮวา
เหยียนเหล่ย  : คิดแค่นั้นจริงๆรึ? (เหยียนเหล่ยยื่นหน้ามาถามฉันใกล้ๆ)
             มี่จื่อ  : อื้ม....
        หลี่จวิน  : หยางเค่อมาจับเจ้าทำไม เขาจะพาเจ้าไปไหน
             มี่จื่อ  : เขาบอกแค่ว่าจะพาข้าไปดูแผนที่ แล้วพูดถึงมังกรเจ้าสำราญแค่นั้น
             ลี่ถัง  : หรือหยางเค่อคิดจะพามี่จื่อไปที่สามหมู่บ้านริมแม่น้ำหรงเหอ
        หลี่จวิน  : ไหนๆเราก็ควบม้ามาไกลถึงนี่แล้ว เราไปที่สามหมู่บ้านริมแม่น้ำหรงเหอด้วยกันเลยดีกว่า
เหยียนเหล่ย  : อืม!

          เหยียนเหล่ยถามฟูหลิวว่าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ฟูหลิวตอบว่าไม่เป็นอะไรมากแค่มึนและเจ็บศรีษะ โชคดีศรีษะไม่แตก เหยียนเหล่ยจึงพาฉันกับลี่ถังขึ้นนั่งในรถม้า ส่วนหลี่จวินขี่ม้าไปตัวหนึ่ง เหยียนเหล่ยให้ฉันนอนซบหน้าลงบนตักแล้วลูบหลังให้เพื่อให้ฉันรู้สึกสบายตัวคลายอาการคลื่นใส้ ฉันจึงนอนหลับซบตักเขาเพราะความง่วงนอน

             ลี่ถัง  : มังกรเจ้าสำราญ คืออะไร?
เหยียนเหล่ย  : คงเป็นคำบอกใบ้ของอะไรสักอย่าง
             ลี่ถัง  : จะเกี่ยวข้องกับที่รูปปั้นมังกรที่ถูกทุบทำลายหรือไม่?
เหยียนเหล่ย  : น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าการทุบทำลายรูปปั้นเกี่ยวข้องกับมังกรเจ้าสำราญอย่างไร
             ลี่ถัง  : ข้าเคยได้ยินมาว่าในสมัยก่อนบริเวณสามหมู่บ้านริมแม่น้ำหรงเหอมีการเดินเรือค้าขายสินค้ากันคึกคัก แต่อยู่มาวันหนึ่งเรือรับจ้างขนสินค้าลำหนึ่งเกิดพุ่งชนเข้ากับโขดหินเพราะเจอกับกระแสน้ำเชี่ยวอีกทั้งคนขับเรือไม่มีความชำนาญเรือจึงล่มจมลงกลางแม่น้ำ ทรัพย์สินและข้าวของทั้งหมดจมลงในแม่น้ำแต่ก็สามารถงมเจอเพียงบางส่วนเท่านั้น ทรัพย์สินบางส่วนสูญหายไปในกระแสน้ำยังหาไม่เจอ บ้างก็ว่ามีคนงมหาสมบัติเจอแล้วนำไปซุกซ่อนไว้ หรือหยางเค่อจะเชื่อว่าสมบัติถูกซุกซ่อนไว้ตามรูปปั้นจึงไล่ทุบรูปปั้นมังกรในหมู่บ้าน?
เหยียนเหล่ย  : เรื่องนั้นข้าก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ถึงหมู่บ้านแล้วค่อยตรวจสอบกันอีกที ตอนนี้เจ้านอนพักผ่อนก่อนเถอะดึกแล้ว

          หลี่จวินหาสถานที่เหมาะๆแล้วให้ฟูหลิวจอดรถม้า ก่อกองไฟเพื่อพักค้างแรม เราพักค้างแรมกันกลางป่า หลี่จวินบอกว่าค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า ฟูหลิวจึงเดินไปหาฟืนมาก่อกองไฟ เหยียนเหล่ยนั่งพิงหลังกับต้นไม้และให้ฉันนอนหลับอยู่ข้างๆ ก่อนนอนพวกเขาพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งถึงเรื่องเล่าของหมู่บ้านหนึ่งริมแม่น้ำหรงเหอที่เรากำลังจะเดินทางไป ฉันนอนหลับไปก่อนเหยียนเหล่ย แต่รู้สึกตัวตื่นกลางดึกเพราะอากาศที่เย็นลงเหยียนเหล่ยถอดเสื้อคลุมออกนำมาห่มคลุมตัวเราทั้งคู่แล้วนอนกอดกันแน่นจนรู้สึกอบอุ่น และรู้สึกตัวตื่นในตอนเช้าเพราะได้ยินเสียงของหลี่จวินที่กำลังนั่งยองๆพูดเหน็บแนมอยู่ข้างๆว่า...

        หลี่จวิน  : นี่! เจ้าสองคนคิดว่ากำลังนอนอยู่ที่บ้านกันหรือไงห๊ะ?! นอนกอดกันกลมไม่เกรงใจใคร
             มี่จื่อ  : โอ๊ะ! คุณชายตื่นเร็ว!
เหยียนเหล่ย  : อ้าว?! เช้าแล้วเหรอ?
        หลี่จวิน  : ใช่! ทำไมลี่ถังไม่ยอมให้ข้ากอดนอนแบบนี้บ้างน๊า...
             ลี่ถัง  : อย่าได้คิดฉวยโอกาสกับข้า!
เหยียนเหล่ย  : ก็เมื่อคืนอากาศมันเย็น ข้ากลัวมี่จื่อจะไม่สบาย
        หลี่จวิน  : แหม...เจ้านี่ช่างเป็นเจ้านายที่แสนดีเหลือเกิน ห่วงใยดูแลสาวใช้อย่างใกล้ชิดเกินไปหรือเปล่า... (หลี่จวินทำน้ำเสียงประชดประชัน)
เหยียนเหล่ย  : ท่านไม่ต้องน้อยใจไป เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปกอดท่านกล่อมนอน
        หลี่จวิน  : ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย อย่าพูดอะไรทำให้ข้าขนลุก
เหยียนเหล่ย  : หุหุ

音阙诗听/赵方婧瑞鹤仙MV 游戏逆水寒同人曲
Youtube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 22
(สมบัติมังกรเจ้าสำราญ)

          จากนั้นเราจึงรีบเดินทางกันต่อจนเข้ามาถึงในตัวเมืองแวะกินอาหารเช้าแล้วเดินทางไปยังหมู่บ้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหรงเหอ เป็นหนึ่งในสามหมู่บ้านที่ถูกทุบทำลายรูปปั้นมังกร หลี่จวินพาเราเข้าไปในหมู่บ้านพาไปพบหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ชาวบ้านหลายคนพากันออกมายืนมองคนแปลกหน้าที่เข้ามาในหมู่บ้านโดยเฉพาะสาวๆที่ออกมายืนยิ้มส่งสายตาให้หลี่จวินเจ้าหน้าที่หนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่อยู่บนหลังม้า ไม่นานนักเราก็มาถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านเป็นชายแก่ร่างเล็กแต่ดูเป็นคนน่าเชื่อถือ เขาเชิญเราเข้าไปนั่งพูดคุยข้างในบ้าน ฉันจะอยู่นั่งรอด้านนอกกับฟูหลิว แต่เหยียนเหล่ยดึงแขนให้ฉันเดินตามเข้าไปด้วย แล้วกระซิบบอกฉันว่า กลัวหยางเค่อจะแอบมาขโมยอุ้มฉันไปอีก หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้คนยกน้ำชากับขนมมาให้หลี่จวินและเหยียนเหล่ยกินระหว่างนั่งพูดคุยกัน ฉันกับลี่ถังนั่งอยู่ถัดไปคนทั้งสอง หัวหน้าหมู่บ้านเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงกับรายงานของทหารที่ส่งให้หลี่จวินอ่านก่อนมาที่นี่ หลี่จวินจึงสอบถามหัวหน้าหมู่บ้านถึงมังกรเจ้าสำราญหมายถึงอะไร

          หัวหน้าหมู่บ้านเล่าว่า คำว่า มังกรเจ้าสำราญ มีความหมายไม่แน่ชัด และเป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆกันมาของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเกี่ยวกับสมบัติที่สูญหายไปกับกระแสน้ำว่าสมบัติถูกมังกรเจ้าสำราญสีน้ำตาลกลืนกินจนเต็มท้อง และเลื้อยหนีหายไปบนท้องฟ้า อีกทั้งยังไม่มีใครเคยเห็นสมบัตินั้นซึ่งอาจไม่มีอยู่จริง จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าจะพาเราไปดูรูปปั้นมังกรที่ถูกคนร้ายทุบทำลาย เหยียนเหล่ยจึงหยิบขนมหลายชิ้นที่ยังไม่ได้กินหยิบวางใส่ผ้าเช็ดหน้าแล้วห่อส่งให้ฉัน เขาบอกว่าขนมอร่อยดีและให้ฉันกินขนมนั้น หัวหน้าหมู่บ้านพาเรามาตรวจสอบที่วัดเล็กๆแห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน พบรูปปั้นมังกรทั้งหมดถูกทุบแตกตรงท้องทุกตัว ฉันเดินตามหลังพวกเขาไปด้วยกินขนมไปด้วยโดยไม่ได้สนใจดูรูปปั้นที่แตกสักเท่าไหร่นัก

        หลี่จวิน  : ดูเหมือนคนร้ายตั้งใจจะหาอะไรสักอย่างในท้องมังกร คงไม่ใช่พวกมือบอนเล่นสนุกทั่วไปแล้วล่ะ
เหยียนเหล่ย  : อืม! หรือพวกคนร้ายกำลังตามหาสมบัติมังกรเจ้าสำราญ?
        หลี่จวิน  : เป็นไปได้ เพราะท้องมังกรถูกทุบแตกทุกตัว
หัวหน้าหมู่บ้าน  : รูปปั้นมังกรที่อื่นก็ถูกทุบแบบเดียวกันขอรับ บางแห่งที่ยังไม่ถูกทุบทำลายข้าให้ชาวบ้านช่วยกันจัดเวรยามไปเฝ้าไว้แล้ว ขอท่านหัวหน้าหน่วยช่วยจับคนร้ายให้ได้โดยไวด้วยเถิด ข้ากับพวกชาวบ้านรู้สึกไม่สบายใจกันเลย กลัวคนร้ายพาลไปทุบทำลายรูปปั้นอื่นที่ชาวบ้านเคารพบูชาด้วย
        หลี่จวิน  : หมู่บ้านอื่นในละแวกใกล้เคียงและห่างออกไปถูกทุบทำลายรูปปั้นมังกรด้วยหรือไม่?
หัวหน้าหมู่บ้าน  : ไม่มี มีเพียงหมู่บ้านสามพี่น้องนี้เท่านั้น น่าแปลกที่คนร้ายจ้องทุบทำลายรูปปั้นแค่สามหมู่บ้านนี้
             ลี่ถัง  : คนในหมู่บ้านมีความขัดแย้งส่วนตัวกับใครหรือไม่?
หัวหน้าหมู่บ้าน  : ข้าสอบถามลูกบ้านของข้าทุกคนล้วนบอกไม่มีใครมีปัญหากับเพื่อนบ้านหรือคนหมู่บ้านอื่นเลย อาจจะมีบางคนที่ขัดเคืองใจกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร พวกเราอยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
        หลี่จวิน  : ข้าจะจับคนร้ายมาให้ได้! คืนนี้ข้าจะส่งคนไปคอยเฝ้าดู ถ้าพวกคนร้ายโผล่มาจะได้จับทันที เออนี่! มี่จื่อเจ้าเห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่?
             มี่จื่อ  : นอกจากมังกรท้องแตก ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเจ้าค่ะ (ฉันหยิบขนมป้อนใส่ปากเหยียนเหล่ยที่กำลังขอแบ่งขนมกินจากฉัน)
             ลี่ถัง  : พวกคนร้ายกำลังค้นหาอะไรกันนะ? เราไปตรวจสอบอีกสองหมู่บ้านที่เหลือกันเถอะ
        หลี่จวิน  : (หลี่จวินเดินมาหยิบขนมในมือฉันไปสองชิ้น จะนำไปป้อนลี่ถังเพื่อเอาใจ) ลี่ถัง เจ้าตั้งใจทำงานดีขนาดนี้ให้ข้าป้อนขนมให้เจ้ากินนะ
             ลี่ถัง  : ข้ากินเองได้น่า! เด็กๆอย่างมี่จื่อทำก็ดูน่ารัก แต่ท่านทำสิไม่ได้น่ารักเลยสักนิด นี่มี่จื่อขนมอร่อยดีซื้อมาจากที่ไหน
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้ซื้อหรอก คุณชายเหยียนเหล่ยเอาขนมมาให้ข้ากิน
             ลี่ถัง  : คุณชายของเจ้าดีจริงๆห่วงใยเจ้าแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ
        หลี่จวิน  : ลี่ถังข้าก็ห่วงใยเจ้าเหมือนกันนะ ไม่เห็นเจ้าชมข้าบ้างเลย
            ลี่ถัง  : เชอะ! รีบไปทำงานกันต่อเถอะ (ลี่ถังทำเสียงเชอะ!ใส่หลี่จวินแล้วเดินตามหัวหน้าหมู่บ้านออกไป)
        หลี่จวิน  : นี่ข้าทำอะไรผิด ทำไมลี่ถังทำเสียงเชอะ! ใส่ข้า (หลี่จวินหันหน้ามาถามฉัน)
             มี่จื่อ  : ท่านทำเจ้าชู้หกเรี่ยราดตามรายทางที่ผ่านมาก็สมควรโดน เชอะ! แล้วล่ะ! (ฉันสะบัดหน้าเชอะ! ใส่หลี่จวินอีกคนและหยิบขนมจากมือหลี่จวินใส่ปากตัวเองกินแล้ววิ่งตามลี่ถังไป)
        หลี่จวิน  : หนอย! เจ้าเด็กคนนี้!! ฮึ่ม! เหยียนเหล่ยดูสาวใช้ของเจ้าสิ! เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ทำเสียงเชอะ! ใส่ข้า (เขาฟ้องเหยียนเหล่ย)
เหยียนเหล่ย  : ข้าก็ดูนางอยู่ทุกวัน นางก็น่ารักน่าเอ็นดูดี
        หลี่จวิน  : เพราะเจ้าให้ท้ายนางแบบนี้น่ะสิ นางถึงไม่เกรงกลัวข้า แต่เอ๊ะ! แหมๆ! เหยียนเหล่ยแววตาเจ้ามันเปลี่ยนไปนะเนี่ย แววตาที่มองสาวใช้ตัวเองแบบนี้มันเหมือนหมาป่าอยากกินลูกกวางน้อยชัดๆ
เหยียนเหล่ย  : รีบไปทำงานให้เสร็จเถอะน่า!
        หลี่จวิน  : ข้าพูดถูกใช่มั้ยล่ะ ฮ่าฮ่า

          เราไปตรวจสอบอีกสองหมู่บ้านที่รูปปั้นมังกรถูกทุบทำลายในลักษณะเดียวกัน หลี่จวินจึงให้เรากลับไปพักที่หมู่บ้านแรกเพราะหัวหน้าหมู่บ้านจัดเตรียมที่พักไว้ให้ ส่วนหลี่จวินกับลี่ถังจะออกไปดักจับคนร้ายกับทหารคนอื่นๆคืนนี้ ฉันจึงขออนุญาตเหยียนเหล่ยไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำหรงเหอซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกลมากนัก เหยียนเหล่ยอนุญาตแต่เขาจะไปด้วยกันกับฉันเพราะเขากลัวว่าหยางเค่อจะตามมาจับตัวฉันอีก ฉันกับเหยียนเหล่ยเดินมาหยุดที่ริมแม่น้ำหรงเหอ ฉันชี้ไปทางขวามือและถามเขาว่า...

             มี่จื่อ  : กระแสน้ำไหลไปทางนี้ ไหลไปที่ใด
เหยียนเหล่ย  : ทะเล
             มี่จื่อ  : งั้นทางนี้ก็ไหลผ่านเมืองล่ะสิ
เหยียนเหล่ย  : ใช่, ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า เจ้าคิดอย่างไรกับหยางเค่อ
             มี่จื่อ  : คุณชายหยางเค่อเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อข้า ท่านกลัวว่าข้าจะช่วยเขาอีกใช่มั้ย?...ข้ายอมรับข้าคงจะช่วยคุณชายหยางเค่ออีก หากข้าพบเขาตกอยู่ในอันตรายข้าก็จะยื่นมือเข้าช่วย แต่ข้าจะไม่ช่วยเขาขโมยของหรือกระทำความผิดอีก แม้ข้าจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ข้าก็ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง
เหยียนเหล่ย  : ดี! พูดได้ดี ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ข้าก็เบาใจ ว่าแต่...เจ้าไม่รู้จริงๆรึเรื่องมังกรเจ้าสำราญกับแผนที่ ที่หยางเค่อพูดถึง?
             มี่จื่อ  : โธ่! ข้าไม่รู้เรื่องมังกรเจ้าสำราญกับแผนที่อะไรนั่นจริงๆ ถ้าข้ารู้ข้าจะบอกท่านเป็นคนแรกเลย ขนาดตอนที่ไปดูรูปปั้นมังกรถูกทุบทำลายข้ายังไม่รู้เลยว่าคนร้ายทุบทำลายรูปปั้นมังกรทำไม ข้ารู้จักกับคุณชายหยางเค่อก็จริงแต่ข้ากับเขารู้จักกันแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ข้าไม่ได้รู้ทุกเรื่องที่เขาทำหรอก
เหยียนเหล่ย  : (เหยียนเหล่ยเอื้อมมือสองข้างมาจับหน้าฉันให้มองจ้องตากับเขาครู่หนึ่งแล้วพูดว่า...) อืม แววตาของเจ้าไม่มีแววโกหก ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่รู้จริงๆ งั้นเจ้าบอกความจริงกับข้าว่าเจ้ามาจากที่ใด เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังหน่อย
             มี่จื่อ  : เฮ่อ!...ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าข้ามาจากอนาคต ตอนนั้นข้านั่งอยู่ริมแม่น้ำแล้วพลัดตกน้ำ น้ำลึกและไหลเชี่ยวมาก ข้าว่ายน้ำไม่เก่งแต่ก็พยายามว่ายเข้าฝั่งจนหมดแรงจมน้ำ ตอนนั้นข้าคิดว่าข้าควรจะตายไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่ตายดันโผล่มาที่นี่จนได้พบกับทุกคน คือ...ข้าไม่ใช่คนที่นี่จริงๆนะ ข้าไม่ใช่คนชนเผ่า และข้าคิดว่าทางกลับบ้านของข้าก็คือแม่น้ำ
เหยียนเหล่ย  : เรากลับเข้าข้างในที่พักกันเถอะ ต่อไปเจ้าอย่าเข้าใกล้แม่น้ำมากเกินไปเดี๋ยวพลัดตกน้ำไปอีก (เหยียนเหล่ยรีบจูงมือฉันเดินกลับเข้าที่พักและไม่อนุญาตให้ฉันออกไปเดินเล่นแถวริมแม่น้ำอีก)

         ในที่พักเหยียนเหล่ย หลี่จวิน ลี่ถัง กำลังนั่งพูดคุยเพื่อหาข้อมูลและความหมายของมังกรเจ้าสำราญ ฟูหลิวยกน้ำชาและขนมเข้ามาวางบนโต๊ะ ฉันจึงรินน้ำชาให้พวกเขาแล้วจะเดินตามฟูหลิวออกไปนั่งรอด้านนอก แต่เหยียนเหล่ยเรียกฉันไว้ให้นั่งลงข้างๆนวดแขน ฉันนั่งลงนวดแขนให้เหยียนเหล่ยบีบนวดแขนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง บีบนวดไปเรื่อยๆ แล้วมองใบหน้าหล่อคมเข้มของเหยียนเหล่ยที่กำลังตั้งใจอ่านบันทึกประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน ฉันจึงแกล้งลูบไล้เบาๆใต้ท้องแขน เห็นเขาทำสีหน้าเรียบเฉยปกติแต่แอบยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก แล้วหยิบถ้วยน้ำชายกดื่มกลบเกลื่อนอาการที่ถูกฉันแกล้งยั่ว แต่ฉันก็ต้องสะดุ้งตกใจเพราะถูกหลี่จวินตีที่มือดังเพี๊ยะ!

            มี่จื่อ  : โอ๊ะ! ตกใจหมดเลย! ท่านตีข้าทำไม?!
        หลี่จวิน  : นี่! เจ้าลูกกวางน้อยคิดยั่วน้ำลายหมาป่ารึไง?! ให้ตายสิ! เจ้าสองคนนี่ทำให้ข้าหงุดหงิดชะมัด ดูหน้าคุณชายของเจ้าสิ! คุณชายของเจ้าเก็บอาการจะไม่อยู่แล้ว หยุดยั่วยวน! แล้วเอาบันทึกของหมู่บ้านไปอ่าน (หลี่จวินส่งบันทึกของหมู่บ้านให้ฉันอ่านหนึ่งเล่ม)
             มี่จื่อ  : ข้าต้องอ่านด้วยเรอะ...?
        หลี่จวิน  : ใช่! ช่วยกันสิ! คดีเสร็จเร็วจะได้กลับบ้านเร็ว
เหยียนเหล่ย  : หลี่จวินบอกให้หัวหน้าหมู่บ้านเอาแผนผังของหมู่บ้านมาดูหน่อย
        หลี่จวิน  : ข้ากำลังจะบอกเขาอยู่เหมือนกัน

音阙诗听排骨教主入画民乐版
บทกวี Yinque
Youtube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 23
(ชี้จุดที่ซ่อนสมบัติมังกร)

         จนกระทั่งเวลาเย็นมีหญิงชาวบ้านเดินมาเชิญเราไปกินอาหารมื้อเย็นที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เหยียนเหล่ยพาฉันไปกินอาหารด้วยอีกตามเคย และหลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าหมู่บ้านจึงหยิบแผนผังและแผนที่ของหมู่บ้านออกมากางให้เราดู ในแผนที่เป็นรูปแม่น้ำสายยาวไหลโค้งผ่านทั้งสามหมู่บ้านเหมือนแม่น้ำทั่วๆไป ฉันจึงหยิบขนมนั่งกินและฟังหัวหน้าหมู่บ้านอธิบายเกี่ยวกับแผนผังและแผนที่ของหมู่บ้านซึ่งก็ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ เหยียนเหล่ยมองหน้าฉันแล้วยิ้มให้ เขารินเหล้าให้ฉันดื่มถ้วยหนึ่ง พอหลี่จวินหันมาเห็นก็ยกถ้วยเหล้าชนถ้วยกับฉันแล้วดื่มอีกครั้งจนฉันเริ่มรู้สึกมึนเพราะคออ่อนดื่มเหล้าไม่เก่ง

        หลี่จวิน  : มี่จื่อ เห็นอะไรผิดสังเกตในแผนที่บ้างมั้ย? เจ้าเห็นมังกรเจ้าสำราญหรือเปล่า?
             มี่จื่อ  : เห็นสิ! ข้าเห็นมังกรเจ้าสำราญ (ฉันยกเหล้าดื่มอีกถ้วยและมีอาการเมา)
             ลี่ถัง  : ไหน?! เห็นตรงไหนมังกรเจ้าสำราญอยู่ตรงไหน?!
หัวหน้าหมู่บ้าน  : เอ๊ะ!? มังกรเจ้าสำราญมีจริงรึนี่?!
             มี่จื่อ  : นี่ไง! มังกรเจ้าสำราญ อวบอ้วน (ฉันลุกขึ้นเดินไปชี้นิ้วบนแผนที่ลากนิ้วไปตามแนวโค้งแม่น้ำที่ไหลผ่านทั้งสามหมู่บ้าน) หมอดูหลายสำนักที่บ้านข้า บอกว่าลักษณะแบบนี้เรียกว่าท้องมังกร มีความเชื่อกันว่าผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้จะได้รับอาหารจากมังกร ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์พูนสุข มีความสุขความเจริญ แถวบ้านข้าเรียกว่าฮวงจุ้ยท้องมังกร จัดว่าเป็นที่ดินราคาแพงมีค่าดั่งทองเลยเชียว นี่แหละมังกรเจ้าสำราญคือมังกรตัวนี้
หัวหน้าหมู่บ้าน  : จริงรึนี่ ไม่อยากจะเชื่อมองออกได้ยังไง?
             ลี่ถัง  : มิน่าล่ะ! สามหมู่บ้านนี้จึงถูกทุบทำลายรูปปั้นมังกร งั้นพวกคนร้ายก็ตีความหมายมังกรเจ้าสำราญผิดน่ะสิ?!
        หลี่จวิน  : ถ้าแม่น้ำคือมังกรเจ้าสำราญ งั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่สมบัติก็ยังคงอยู่ในแม่น้ำ
หัวหน้าหมู่บ้าน  : เวลาผ่านมานานเป็นร้อยปีแล้ว สมบัติไม่น่าจะอยู่แล้วล่ะท่านหัวหน้าหน่วย
        หลี่จวิน  : งั้นสมมุติว่า...ถ้าสมบัติยังคงอยู่ในแม่น้ำล่ะ มันควรซ่อนอยู่ตรงจุดไหนในแม่น้ำ? (หลี่จวินถามฉันและส่งถ้วยเหล้าให้ฉันดื่มอีกถ้วย)
             มี่จื่อ  : มังกรกินอาหารเยอะเกินไปจนบินขึ้นฟ้าไม่ไหว มังกรกินและก็นอนอยู่ตรงนี้นานแล้ว กินทางนี้ต้องขับถ่ายออกทางนี้ ก้นมังกร
        หลี่จวิน  : ก้นมังกรอะไรอีกล่ะเนี่ย?! พูดให้มันชัดเจนหน่อยได้มั้ยห๊ะ!
เหยียนเหล่ย  : หัวหน้าหมู่บ้าน ตรงนี้นี่คืออะไร (เหยียนเหล่ยชี้นิ้วบนแผนที่มีรอยแยกเล็กๆสองสายที่แยกออกจากแม่น้ำ)
หัวหน้าหมู่บ้าน  : นั่นเป็นร่องน้ำเล็กๆที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ
             มี่จี่อ  : ....คุณชายข้าอยากกินขนมแต่เอื้อมหยิบขนมไม่ถึง ทำยังไงดี.... (ฉันนั่งลงข้างๆเหยียนเหล่ยซบหน้าลงที่ไหล่ออดอ้อนให้เขาป้อนขนมเพราะเมา เหยียนเหล่ยยิ้มแล้วหยิบขนมป้อนฉัน)
หัวหน้าหมู่บ้าน  : อะ เอ่อ...ท่าทางแม่หนูคนนี้จะเมาแล้ว ข้าว่าพานางไปนอนก่อนดีมั้ย?
             ลี่ถัง  : เดี๋ยวข้าจะพามี่จื่อไปนอน
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไรให้มี่จื่ออยู่ก่อน ข้าจะพานางไปนอนเอง
             ลี่ถัง  : มี่จื่อคออ่อนพวกท่านก็ชอบยื่นถ้วยเหล้าให้นางดื่ม ยิ่งตอนกำลังทำงานยิ่งไม่ควรให้นางดื่มเหล้า
        หลี่จวิน  : ลี่ถัง เพราะมี่จื่อเมานี่แหละนางถึงหลุดปากบอกว่าอะไรคือมังกรเจ้าสำราญไงเล่า!
             ลี่ถัง  : อืมนั่นสิ! เวลานางเมามักคิดและทำอะไรแปลกๆ แต่ก็ช่วยให้คลี่คลายคดีได้รวดเร็วไม่ยืดเยื้อ
เหยียนเหล่ย  : ข้าดูจากทิศทางการไหลของกระแสน้ำ และดูบันทึกเวลาน้ำขึ้นน้ำลง บางครั้งเกิดกระแสน้ำวนด้วย งั้นข้าเดาว่าส่วนก้นของมังกรที่มี่จื่อบอก น่าจะเป็นบริเวณรอยแยกร่องน้ำที่ถูกกัดเซาะนั่นใช่มั้ย? กระแสน้ำอาจพัดพาหีบสมบัติเข้าไปติดในร่องน้ำใช่มั้ย? (เหยียนเหล่ยหันหน้ามาถามฉันที่นั่งกอดแขนซบไหล่เขา)
             มี่จื่อ  : อื้มม! (ฉันพยักหน้าแล้วหยิบขนมมากัดกินครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งป้อนให้เหยียนเหล่ยกินแล้วสบตาหวาน)
        หลี่จวิน  : ดี! ลี่ถังเจ้าไปคัดคนที่สามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้มาสักยี่สิบคนแล้วพาไปดำน้ำค้นหาสมบัติที่ร่องน้ำสองสายนั่นแบ่งเป็นสายละสิบคน
            ลี่ถัง  : รับทราบ
หัวหน้าหมู่บ้าน  : ท่านหัวหน้าหน่วย! คนในหมู่บ้านข้าชำนาญเรื่องการว่ายน้ำและดำน้ำ ข้าจะเกณฑ์คนในหมู่บ้านไปช่วยดำน้ำค้นหาสมบัติด้วย เอ่อนายท่าน...ว่าแต่...แม่หนูคนนั้นเชื่อคำพูดได้จริงๆรึ คำพูดคนเมาจะเชื่อถือได้รึ?
        หลี่จวิน  : คนเมาบางคนจะพร่ำบ่นเรื่อยเปื่อยไร้สาระ แต่คนเมาบางคนจะเก็บความลับไม่อยู่เปิดเผยความลับและแสดงตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาตอนเมายังไงเล่า แต่เอาเถอะ! จะเชื่อถือมี่จื่อได้หรือไม่นั้น เดี๋ยวจะได้รู้กันคืนนี้ว่ามี่จื่อจัดเป็นคนเมาอยู่ในประเภทไหน ท่านรีบไปเกณฑ์คนพาไปดำน้ำตอนนี้เลย ส่วนข้าจะไปดักจับคนร้ายทุบทำลายรูปปั้น เอาล่ะ! เหยียนเหล่ยเจ้าพามี่จื่อไปนอนเถอะ เรื่องทางนี้ข้ากับลี่ถังจะจัดการเอง

          เหยียนเหล่ยพาฉันเข้าไปนอนในห้องแล้วบอกให้ฟูหลิวตักน้ำใส่อ่างมาวางในห้องแล้วเดินออกจากห้องไป เหยียนเหล่ยคลายคอเสื้อฉันออกแล้วนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดคอให้ ทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นนิดหน่อยแต่ยังคงไม่สร่างเมา เขาก้มจูบใกล้ๆกระดูกไหปลาร้าเบาๆ ฉันจับหน้าเขาเข้ามาพูดใกล้ๆว่า

             มี่จื่อ  : คืนนี้ข้าอยากนอนบนเตียง ข้าไม่อยากนอนที่พื้น
เหยียนเหล่ย  : ข้าอนุญาตให้เจ้านอนบนเตียงกับข้าได้ทุกคืน
             มี่จื่อ  : ข้ากอดท่านนอนทุกคืนได้หรือเปล่า?
เหยียนเหล่ย  : ได้สิ ทำมากกว่ากอดข้าก็ยินดี

          เหยียนเหล่ยก้มจูบฉันแล้วค่อยๆถอดเสื้อผ้าฉันออกทีละชิ้น ชายหนุ่มมาดนิ่งเปลี่ยนเป็นชายเร่าร้อนดูดซุกไซ้ซอกคอ หน้าอกและหัวนม เขาถอดกางเกงออกแล้วจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งค่อยๆสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาดันเข้าจนสุด จับขาฉันอีกข้างยกขึ้นพาดบ่าเขาจนก้นฉันยกสูง เขาเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งให้แรงขึ้นจนเสร็จ จากนั้นเหยี่ยนเหล่ยพลิกตัวลงนอนกอดฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบบอกว่าจะไปดูคนดำน้ำสักหน่อย แล้วจะกลับมานอนด้วย แต่เขาจะสร้างมนต์ปิดผนึกที่หน้าประตูป้องกันคนอื่นเข้ามาในห้อง และสั่งฟูหลิวให้นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วย ฉันได้แต่หลับตาและพยักหน้ารับไปงั้นๆเพราะง่วงนอน เหยียนเหล่ยจึงเดินออกไปจากห้อง ฉันจึงหลับไปเพราะความเมา และมารู้สึกตัวตื่นอีกทีกลางดึก เพราะเหยียนเหล่ยขยับตัวเข้ามานอนในผ้าห่มด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ผิวเนื้อเรียบเนียนแต่อบอุ่นขยับเบียดเข้าทางด้านหลังโอบกอดฉันอยู่ใต้ผ้าห่มช่างอบอุ่นจริงๆ เขาเอื้อมมือบีบขยำหน้าอก จูบเบาๆที่หัวไหล่และซอกคอด้านหลัง มือที่กำลังบีบคลึงหน้าอกลูบไล้เลื่อนลงไปที่หว่างขา แหย่นิ้วเข้าเนินหว่างขาขยับนิ้วเข้าออกถูไถจนเปียกลื่น ฉันหันหน้าไปจูบเขาแลกลิ้นกันดูดดื่ม เหยียนเหล่ยสอดขาเข้าหว่างขาฉันแล้วยกขาตั้งขึ้นเพื่อแยกขาฉันออกกว้าง สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาขยับเด้งก้นให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกจนเสียวร้องครางออกมา "อือออ๊าา" เขาเด้งก้นกระแทกอยู่หลายครั้งจึงจับฉันพลิกตัวนอนคว่ำยกสะโพกให้สูงขึ้นแยกขาออกแล้วขยับก้นให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกเนินหว่างขาช้าๆทางด้านหลัง แล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นจนเราเสร็จไปพร้อมกัน เหยียนเหล่ยขยับตัวลงนอนสอดแขนให้ฉันหนุนนอน จูบฉันดูดดื่มอีกครั้งแล้วกอดนอนหลับไปจนเช้า

เพลงบรรเลง
Youtube by : Chinese Music
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 24
(ช่วยชีวิตองค์หญิง)

          ฉันตื่นนอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ผ้าห่ม แต่เหยียนเหล่ยตื่นนอนและออกจากห้องไปแล้ว ฉันได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ด้านนอกจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกมาดู พบฟูหลิวนั่งรอฉันตื่นอยู่หน้าห้อง ฟูหลิวบอกว่าเหยียนเหล่ยไปช่วยหลี่จวินกับลี่ถังตรวจดูของที่เพิ่งงมพบเมื่อตอนเช้า ฟูหลิวบอกว่าเป็นหีบสมบัติขนาดเล็ก เขาจึงชวนฉันให้ไปดูด้วยกัน

          ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านมีทหารยืนคุมอยู่หลายคนและชาวบ้านที่ยืนมุงดูจับกลุ่มพูดคุยกันหลายคนอยู่รอบๆบ้าน พอพวกเขาเห็นฉันเดินมาต่างพากันหันมามองด้วยความสนใจแล้วยิ้มให้ บางคนก็กระซิบกระซาบคุยกันว่า "เด็กคนนี้รึที่บอกจุดงมสมบัติ?" จากนั้นพวกเขาขยับเปิดทางให้ฉันกับฟูหลิวเดินเข้าไปด้านในก็พบเหยียนเหล่ย หลี่จวิน ลี่ถัง หัวหน้าหมู่บ้าน และเจ้าหน้าที่คนอื่นอีกสามคนกำลังช่วยกันนั่งเปิดดูตำราดูอย่างตั้งใจ ฉันจึงกล่าวทักทายพวกเขาและกล่าวขอโทษที่ฉันตื่นสาย

             ลี่ถัง  : ไม่เป็นไรหรอก มาดูนี่สิ! เรางมเจอแล้วสมบัติที่หายไป แต่ตอนนี้กำลังตรวจสอบกับบันทึกสมบัติราชวงศ์ว่าตรงกับสมบัติชิ้นใดที่หายไป มี่จื่อขอบใจเจ้ามากเมื่อคืนเจ้าช่วยเราได้มากเลยทีเดียว
             มี่จื่อ  : เมื่อคืนข้าเมาเลยพูดจามั่วซั่ว ไม่คิดว่าจะบังเอิญถูกต้อง แล้วสมบัตินั่นคืออะไร?
        หลี่จวิน  : มันคือไข่มุกเบญจมาศ มาดูทางนี้สิ!
             มี่จื่อ  : โห! สวยจัง! ไข่มุกเม็ดใหญ่เหมือนมีดอกเบญจมาศสีเหลืองอยู่ข้างในเลย ตรงกลางคล้ายเกสรมีสีส้มเข้มไล่สีอ่อนจนเป็นสีเหลือง สวยมากไข่มุกแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
             ลี่ถัง  : ใช่มันสวยงามมาก
เหยียนเหล่ย  : เจอแล้ว! ไข่มุกเบญจมาศ ในบันทึกเขียนไว้ว่า ไข่มุกเบญจมาศถูกส่งมาจากแคว้นทะเลเหนือเพื่อเป็นของขวัญในวันเฉลิมฉลองขึ้นครองราชของพระราชาราชวงศ์เกา ไข่มุกเบญจมาศสามารถวางแช่ในน้ำแล้วนำน้ำมาดื่มช่วยขับพิษร้อนในตับ ไข่มุกนี้เราต้องนำเข้าวังหลวงเพราะเป็นไข่มุกสมบัติของราชวงศ์
        หลี่จวิน  : ข้าจะเป็นคนนำเข้าวังเอง ป้องกันคนร้ายดักปล้นกลางทาง คนร้ายมันคงยังไม่รามือง่ายๆจนกว่าไข่มุกเบญจมาศจะถูกเก็บรักษาไว้ในวังหลวง เหยียนเหล่ยเจ้าทำมนต์ปิดผนึกหีบแล้วไปเจอกันที่วังหลวงให้ที
เหยียนเหล่ย  : ดี! ข้าจะทำมนต์ปิดผนึกหีบให้

          เหยียนเหล่ยทำมนต์ปิดผนึกหีบเสร็จจึงพาฉันไปกินอาหารเช้าด้วยกันกับเขา ฉันถามเขาว่าเมื่อคืนหลี่จวินจับคนร้ายได้หรือไม่ เหยียนเหล่ยตอบว่าจับคนร้ายยังไม่ได้ เพราะคนร้ายคอยติดตามความเคลื่อนไหวของทางนี้ จึงไม่ไปทุบทำลายรูปปั้นแต่กลับแฝงตัวปะปนอยู่ในหมู่ชาวบ้านเพื่อรอจังหวะช่วงชิงไข่มุกเบญจมาศ ดีที่ชาวบ้านจำได้ว่าคนร้ายไม่ใช่คนในหมู่บ้านจึงแจ้งทหารไปจับ คนร้ายจึงรีบหนีหายไปเสียก่อน เหยียนเหล่ยกำชับให้ฉันอยู่ใกล้ๆห้ามอยู่ห่างสายตาจนกว่าจะไปถึงพระราชวัง เพราะเขากลัวว่าคนร้ายจะมาลักพาตัวฉันไปเพื่อค้นหาสมบัติอื่นๆอีก จากนั้นเราจึงเดินทางกลับและมุ่งหน้าไปที่วังหลวง

          พวกเราได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยมีท่านอ๋องหกนำเราเข้าเฝ้า หลี่จวินและลี่ถังถวายรายงานการค้นหาไข่มุกเบญจมาศและยังบอกอีกว่าเหยียนเหล่ยมีส่วนช่วยในการบอกทิศทางไหลของน้ำและจุดที่หีบไข่มุกไปจมติดขัดใต้ก้อนหินทับ ส่วนฉันมีส่วนช่วยในการไขความหมายมังกรเจ้าสำราญบอกจุดที่ซ่อนหีบไข่มุก และยังมีชาวบ้านในหมู่บ้านสามพี่น้องที่ช่วยกันงมหีบไข่มุกทั้งคืนจนเจอ ฮ่องเต้ได้ฟังรายงานถึงกับทำสีหน้าประหลาดใจ แล้วถามว่าฉันเป็นใคร ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้จึงทูลฮ่องเต้ว่า....

       ขันทีเจิ้ง  : นางชื่อมี่จื่อ เป็นสาวใช้ของคุณชายต่งเหยียนเหล่ย นางคือคนร้ายที่ฉีกทำลายภาพเขียนภู่กันหงส์ดำระบำน้ำ นางจึงต้องทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิงเพื่อชดใช้หนี้และความผิดพะย่ะค่ะ
         ฮ่องเต้  : เป็นคนเดียวกันที่สามารถอ่านตำราหมื่นบุปผาได้ใช่มั้ย
        อ๋องหก  : ใช่แล้วเสด็จพ่อ ตำราหมื่นบุปผาตอบสนองกับมี่จื่อเพียงคนเดียว
         ฮ่องเต้  : อืม! ยังเด็กอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ เหยียนเหล่ยเจ้าตาถึงจริงๆมีสาวใช้ฉลาดนัก มิน่าล่ะวันนั้นเจ้าถึงพยายามปกป้องไม่ยอมให้ข้าสั่งลงโทษที่นางฉีกทำลายภาพเขียนของข้า แต่เจ้ากลับขอรับโทษนั้นไว้แทนนาง ในเมื่อนางมีความสามารถอีกทั้งตำราหมื่นบุปผายังตอบสนองกับนางงั้นให้นางช่วยงานเจ้าตามหาตำรามังกรสายลมมาคืนราชสำนักให้ได้ หากตามหาพบโทษฉีกทำลายภาพเขียนภู่กันหงส์ดำระบำน้ำข้าจะยกโทษให้ แต่วันนี้พวกเจ้าสามารถนำไข่มุกเบญจมาศที่สูญหายไปนานนับร้อยปีมาคืนราชสำนักได้นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
เหยียนเหล่ย  : ขอบพระทัยฝ่าบาท (เหยียนเหล่ยสะกิดให้ฉันกล่าวขอบคุณฮ่องเต้)
             มี่จื่อ  : ขอบพระทัยฝ่าบาท
        หลี่จวิน  : ไม่มีอะไรแล้วกระหม่อมทูลลา
เหยียนเหล่ย  : กระหม่อมทูลลา

          เรากล่าวทูลลาฮ่องเต้ แล้วไปพักนั่งดื่มน้ำชาพูดคุยกันที่ตำหนักอ๋องหก เหยียนเหล่ยหยิบขนมให้ฉันกินเพราะรู้ใจว่าฉันชอบกินขนม ฉันจึงถือขนมเดินออกมานั่งกินที่ศาลาชมดอกไม้ด้านนอก เพราะพวกเขาเริ่มพูดคุยเรื่องงานกันอีกครั้งกับท่านอ๋องหก ลี่ถังเดินตามฉันออกมานั่งเล่นที่ศาลาชมดอกไม้ด้วย ฉันกับลี่ถังนั่งกินขนมและพูดคุยเล่นนินทาหลี่จวินจอมเจ้าชู้ตามประสาหญิงสาวนินทาชายหนุ่ม สักพักก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องเรียกฉัน เด็กคนนั้นคือองค์หญิงน้อยจินเอ๋อที่รีบวิ่งมาหาฉัน

     องค์หญิง  : มี่จื่อ!
            มี่จื่อ  : อ้าว! องค์หญิงแอบมาเล่นแถวนี้อีกแล้วเหรอ?
     องค์หญิง  : ข้ารู้ว่าเจ้ามา จึงมาชวนไปเล่นด้วยกัน ข้าอยากเล่นเด็ดดอกไม้อีก
            มี่จื่อ  : ไม่เอาอ่ะ เด็ดดอกไม้เดี๋ยวโดนดุอีก
            ลี่ถัง  : เจ้ารู้จักกับองค์หญิงจินเอ๋อด้วยรึ?
            มี่จื่อ  : อืม เคยเล่นเด็ดดอกไม้ด้วยกันครั้งหนึ่ง ข้าถูกนางกำนัลเอ็ดตะโรลั่นสวนเพราะเด็ดดอกไม้โกร๋นหมดกอ จนพระชายาต้องหาดอกไม้กอใหม่มาปลูก โชคดีที่ข้าไม่ถูกทำโทษ เฮ่อ! ชีวิตข้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสมอ
            ลี่ถัง  : ฮ่าฮ่า ต่อไปเล่นอะไรก็ระวังหน่อย
     องค์หญิง  : มี่จื่อ ไปเล่นกันเถอะ
            มี่จื่อ  : เราเล่นหมาป่าจับกระต่ายน้อยน่ารักกินดีมั้ย หม่อมฉันจะเป็นหมาป่าเอง
     องค์หญิง  : อื้ม ข้าเป็นกระต่าย ข้าหนีก่อนนะ!
            มี่จื่อ  : โบร๋ววววว หมาป่ามาแล้ว! กระต่ายน้อยอยู่ไหน แฮ่!

           ฉันกับองค์หญิงน้อยจินเอ๋อเล่นวิ่งไล่จับกันในสวน ฉันแกล้งส่งเสียงร้องโหยหวนทำท่านั่งหอนแบบหมาป่าแล้วกระโดดตะครุบจับ องค์หญิงน้อยวิ่งหนีไปรอบสวนส่งเสียงกรีดร้องผสมเสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความสนุกสนาน ลี่ถังจึงมาร่วมเล่นด้วยรับบทเป็นนายพรานล่าหมาป่าและปกป้องกระต่ายน้อย ยิ่งทำให้การเล่นของเรายิ่งส่งเสียงดังมากขึ้น จนท่านอ๋องหก เหยียนเหล่ย และหลี่จวิน เดินออกมาดูเห็นว่าเล่นอะไรกันจึงส่งเสียงหัวเราะสนุกสนานกันนัก อ๋องหกจึงเรียกให้นางกำนัลยกน้ำชาและของว่างออกมาที่ศาลาชมดอกไม้และนั่งดื่มชาดูเราวิ่งเล่นกัน หลี่จวินนึกสนุกจึงมาร่วมเล่นด้วยรับบทเป็นหมาป่าเหมือนกับฉัน ยิ่งสร้างความสนุกสนานให้มากยิ่งขึ้น และไม่นานนักพระชายาและนางกำนัลที่กำลังเดินตามหาองค์หญิงจินเอ๋อ พบว่ากำลังเล่นอยู่กับพวกเรา พระชายาจึงเดินเข้าไปที่ศาลาชมดอกไม้และร่วมดื่มน้ำชากับท่านอ๋องและเหยียนเหล่ย

    พระชายา  : ดูท่า..จินเอ๋อจะติดอกติดใจเล่นกับสาวใช้คนนี้ของคุณชายเหยียนเหล่ยซะแล้ว คราวที่แล้วพอกลับตำหนักไปจินเอ๋อชวนนางกำนัลเล่นเด็ดดอกไม้จนแทบจะหมดสวน หุหุ วันนี้พอจินเอ๋อรู้ว่าคุณชายเหยียนเหล่ยกับสาวใช้เข้ามาในวัง จินเอ๋อจึงแอบหนีพี่เลี้ยงมาเล่นกับสาวใช้คนนี้ที่นี่ ต้องรบกวนคุณชายเหยียนเหล่ยแล้ว
เหยียนเหล่ย  : เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ พระชายามิต้องเกรงพระทัย
    พระชายา  : สาวใช้คนนี้ชื่ออะไรนะ?
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ พะย่ะค่ะ
    พระชายา  : ดูลักษณะแล้วไม่เหมือนสาวใช้เลยสักนิด ได้ยินมาว่านางช่วยไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญจนสามารถพบไข่มุกเบญจมาศ จริงงั้นรึ?
เหยียนเหล่ย  : พะย่ะค่ะ
    พระชายา  : ดี ดีจริงๆ คงไม่ใช่สาวใช้ทั่วไปสินะ
        อ๋องหก  : มี่จื่อเป็นสาวใช้คนโปรดของเหยียนเหล่ย เขาต้องให้นางอยู่ข้างกายพาไปไหนมาไหนด้วยตลอด ดุจเป็นแขนข้างหนึ่งเลยทีเดียว
เหยียนเหล่ย  : เอ่อ…มี่จื่อเป็นเด็กซุ่มซ่ามทำอะไรไม่ค่อยระมัดระวัง หากละสายตาเกรงว่าจะทำข้าวของพังเสียหายให้กระหม่อมตามชดใช้เก็บกวาดไม่หวาดไม่ไหว
    พระชายา  : นั่นสินะ! ดูสิ! พวกเขาเล่นกันเป็นเด็กๆเชียว หลังจากวันนี้ไปพวกพี่เลี้ยงและนางกำนัลคงต้องเล่นหมาป่าจับกระต่ายกับจินเอ๋อ ดีแล้วล่ะ! ดอกไม้ในสวนจะได้มีโอกาสออกดอกงอกงามสักที หุ หุ
        อ๋องหก  : ฮ่า ฮ่า ฮ่า

          ขณะที่เรากำลังเล่นกันเพลินๆ ลี่ถังกำลังวิ่งไล่ตีหลี่จวิน ส่วนฉันกำลังวิ่งไล่จับองค์หญิงจินเอ๋อ จนลืมระวังไปว่าใกล้ๆกันนั้นมีสระบัวอยู่ องค์หญิงจินเอ๋อที่กำลังวิ่งหลบฉันไปทางสระบัว ฉันจึงรีบร้องเรียกองค์หญิงไม่ให้วิ่งไปใกล้สระบัว แต่องค์หญิงยังมีอายุน้อยและขาดการระมัดระวังหยุดไม่ได้ทันทีจึงเซถลาจะพุ่งตกลงไปในสระบัว ทุกคนที่เห็นต่างพากันตกใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนต่างอยู่ห่างจากองค์หญิง ฉันยื่นมือจะคว้าองค์หญิงแต่ด้วยระยะที่ฉันอยู่ห่างจากองค์หญิงอยู่พอสมควรจึงคว้าไม่ถึง แต่ทันใดนั้นก็ปรากฏดอกท้อสีแดงพวยพุ่งออกมาจากมือฉันดุจพายุดอกไม้ที่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วหมุนพันรอบตัวองค์หญิงจินเอ๋อแล้วดึงองค์หญิงออกห่างจากสระบัว ทั้งฉันและทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้

เพลง That Girl - Olly Murs
Youtube by : Olly Murs

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

ขออภัย! นักเขียนนิยายมือใหม่กับนิยายเรื่องแรกในชีวิต "หมอหญิงปีศาจ" และเรื่องที่สอง “มี่จื่อสาวใช้จำเป็น” หากถ้อยคำที่ใช้ผิดพลาด หรือภาษาที่ใช้ในนิยายหยาบคาย หรือหยาบโลน 18+ จนเกินไป ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณที่ตั้งใจเข้ามาอ่าน

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤



No comments:

Post a Comment