Photobucket Wellcome

นิยาย : หมอหญิงปีศาจ Ep 26 - 42

นิยายเรื่อง : หมอหญิงปีศาจ Ep 26 - 42
นิยายโดย : An Qi
นิยายแนว : เพ้อเจ้อ, แฟนตาซี, ย้อนยุค, ต่างโลก, โรแมนติก, ตลก, ต่อสู้, ฮาเร็ม, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+, 18+
เรื่องย่อ    : อัญชลี พลัดหลงเข้าไปในอุโมงค์แล้วไปโผล่บนท้องฟ้าอีกโลกหนึ่งกลายเป็นสาวอายุ 17 ปี ชื่อ อันฉี ต้องผจญภัยและปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการแพทย์แผนพิศดาร โดยมี 4 สัตว์เทพคอยช่วยเหลือปกป้องและช่วยต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง

*** นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***


(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 43 - 58 (จบแล้ว) ➡


นิยาย หมอหญิงปีศาจ Ep 26 - 42


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 26
(คดีผักกาดขาวเน่า)

          เรากลับมาถึงบ้านที่ป่าอัคคี เหวินอี้และฟางหรูรีบออกมาต้อนรับ ฉันยื่นของฝากเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ และของใช้จำเป็นอื่นๆให้ฟางหรู นางรับไว้แล้วรีบนำไปเก็บ จากนั้นรีบเข้าครัวแล้วยกน้ำชาของว่างมาให้ที่ชานบ้านแล้วรินน้ำชาส่งให้เราดื่มแก้กระหาย ฉันบอกเหวินอี้ว่าคดีลักพาตัวฟางหรูได้รับการอภัยโทษแล้ว เขาทั้งสองดีใจและประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ได้รับการอภัยโทษ ทั้งสองรีบก้มหัวคำนับขอบคุณยกใหญ่ และถามว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับการอภัยโทษ ฉันรีบบอกให้พวกเขาลุกขึ้นและบอกเขาทั้งสองว่า

          อันฉี  : ข้าทูลฮ่องเต้ว่าพี่สาวฟางหรูทำงานดูแลบ้านและทำอาหารให้ข้าและพี่ชายทั้งสี่กิน ส่วนพี่ชายเหวินอี้ทำงานปลูกสมุนไพรให้ข้าและกำลังปลูกว่านแสงตะวันซึ่งเป็นตัวยาสำคัญสำหรับให้ทหารใส่บาดแผลที่ถูกสุนัขเยือกแข็งกัด ซึ่งถือว่าท่านมีส่วนช่วยทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง จึงได้รับการอภัยโทษ หากท่านทั้งสองต้องการออกจากป่าไปใช้ชีวิตในเมืองตามปกติก็ย่อมทำได้ ส่วนทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้หลี่เฉียงมาช่วยทำงานแทน
       เหวินอี้  : ขอบพระคุณท่านหมอหญิงมากๆที่ให้ความช่วยเหลือ พวกท่านมีพระคุณต่อเราทั้งสองคนเป็นอย่างมาก เราสองสามี-ภรรยาเป็นหนี้บุญคุณพวกท่านเหลือเกิน ขอให้เราอยู่ช่วยงานพวกท่านที่นี่เถอะ
      ฟางหรู  : เราสองคนเต็มใจที่จะอยู่ทำงานที่นี่ต่อไปเจ้าค่ะ
     หยงเป่า  : ดี หากพวกเจ้าต้องการเงินเพื่อไปซื้อของใช้ที่จำเป็นก็ไปขอเบิกเงินที่พี่ใหญ่
        เหวินอี้  : ขอรับ
     หยงเป่า  :  งั้นคืนนี้เรามาทำหม้อไฟกินกันดีกว่า ข้าอยากกินหม้อไฟ
          อันฉี  : ว้าว กินหม้อไฟเป็นความคิดที่เยี่ยมมาก พี่สาวฟางหรูทำหม้อไฟเป็นมั้ย?
      ฟางหรู  : ข้าทำหม้อไฟเป็นเจ้าค่ะ
       เหวินอี้  : ข้าจะออกไปที่ลำธารเพื่อจับปลามาทำหม้อไฟ
     เฟยเจิน  : ให้ข้าไปช่วยจับปลามั้ย?
       เหวินอี้  : ไม่เป็นไร ข้าไปคนเดียวได้ ข้าไปจับปลาที่ลำธารหลายครั้งแล้ว ท่านอยู่ที่นี่พักผ่อนเถอะงานทางนี้ให้ข้าทำเอง มันเป็นหน้าที่ของข้า
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าสาม เรียกให้หลี่เฉียงมาเอาเหล้าไปแจกจ่ายให้เหล่าทหารงูด้านนอกดื่มกันด้วยล่ะ
     ซิ่นหลิง  : ได้

          จากนั้นเราจึงแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง โดยซิ่นหลิงออกไปที่ป่าตะวันตกเพื่อไปดูเหล่าสมุนแมงมุมและจะกลับมาตอนเย็น ส่วนหยงเป่านั่งเช็ดขัดถูทำความสะอาดดาบและอาวุธอื่นๆของเขา เฟยเจินเดินออกไปฝึกนกเหยี่ยวนีโอและฝึกพลังเวทย์เพิ่มเติมที่ลานบ้าน ส่วนฉันไปช่วยเสวี๋ยฉีจัดเก็บสิ่งของที่เพิ่งซื้อมาจากในเมือง จากนั้นฉันก็มานอนเอกเขนกอ่านหนังสือข้างๆเสวี๋ยฉีที่กำลังนั่งจิบน้ำชามองดูเฟยเจินฝึกนกเหยี่ยวและฝึกพลังเวทย์

          ตอนเย็นเราเริ่มกินหม้อไฟกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะฟางหรูมีฝีมือดีในการทำอาหาร แม้แต่เสวี๋ยฉีที่เคยแง่งอนที่ฟางหรูแย่งครัวทำอาหารไป ยังเอ่ยปากชมฟางหรูว่ามีฝีมือปรุงอาหารรสชาติดี คืนนี้พวกเราร่วมดื่มเหล้ากันอีกจนดึก และพูดคุยกันถึงเรื่องกำหนดวันไปกักตัว ซึ่งฉันเองก็ต้องการให้พวกเขาไปกักตัวโดยเร็ว เพราะยังคงรู้สึกกังวลกลัวว่าปีศาจเยือกแข็งจะฟื้นตัวเร็วและกลับมาโจมตีอีก ฉันจึงบอกกับเหวินอี้ว่าพรุ่งนี้ให้เขาออกไปเก็บว่านแสงตะวันมาเพิ่มกับหลี่เฉียง เพราะฉันต้องการว่านแสงตะวันมาปรุงเป็นยารักษาแผล แล้วจะส่งยาไปให้หมอหวังในวังหลวงเก็บรักษายาไว้ใช้รักษาทหารหากสุนัขเยือกแข็งกลับมาโจมตีอีก

     ซิ่นหลิง  : พรุ่งนี้เราขุดสระปลูกดอกบัวกันดีมั้ย บ้านเราจะได้ดูมีสีสันของดอกไม้บ้าง
          อันฉี  : ตกลง แต่ไม่ต้องขุดสระใหญ่นักนะ เอาแค่พอสวยงาม เพราะข้าต้องการพื้นที่ไว้ปลูกสมุนไพรกับพืชผัก
     หยงเป่า  : ที่ป่าทางใต้มีดอกบัวมายาสีน้ำเงินสวยงามมาก ข้าจะไปเก็บเอามาปลูกในสระบัวที่นี่
          อันฉี  : ดี!

          ตกดึกฉันจึงขอแยกตัวไปนอนก่อนเพราะเริ่มง่วงจนนั่งคุยต่อไม่ไหว ส่วนพี่ทั้งสี่คนยังคงนั่งดื่มกันต่ออีกสักพัก จากนั้นจึงเข้านอน

          เช้าวันนี้ทุกคนดูคึกคักพี่ชายทั้งสี่คนลงมือช่วยกันขุดสระบัว อีกทั้งหยางกวางเกณฑ์ทหารงูชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงหลายคนมาช่วยกันขุดสระ เหวินอี้และหลี่เฉียงออกไปเก็บว่านแสงตะวันกันแต่เช้า ไม่นานนักเขาทั้งสองก็ได้ว่านแสงตะวันกลับมาและนำมาวางไว้ให้ฉันที่โต๊ะหน้าบ้าน จากนั้นพวกเขาก็รีบไปช่วยกันขุดสระกับคนอื่นๆ ที่เหนื่อยหน่อยเห็นจะเป็นฟางหรู ที่ต้องเตรียมอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นให้พวกเราและเหล่าทหารงูที่มาช่วยขุดสระได้กิน ฉันและลิงน้อยไมเคิลกับแอปเปิ้ลจึงไปช่วยฟางหรูยกน้ำดื่ม ขนมและของว่างไปให้พวกผู้ชายที่กำลังขุดสระได้กินแก้หิวและดื่มน้ำแก้กระหาย เราใช้เวลากันทั้งวันในการขุดสระบัวจนเสร็จ แม้จะเหนื่อยแต่ก็สร้างความสามัคคีและสนุกสนานได้ไม่น้อย

          ในช่วงเวลากลางคืนพวกเราจึงก่อกองไฟขึ้นกลางลานบ้านจัดปาร์ตี้กองไฟเล็กๆ ย่างหมูป่า และกวางตัวใหญ่ โดยมีหยางกวาง เหวินอี้ หลี่เฉียง และเหล่าทหารงูเข้าร่วมดื่มเหล้าและกินอาหารด้วยกัน สร้างความสนุกสนานครึกครื้นให้กับป่าไผ่เขียว คืนนี้เสวี๋ยฉีดื่มเหล้ามากและดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ คงเพราะมีเพื่อนรู้ใจร่วมดื่มเพิ่มมากขึ้น ตกดึกฉันจึงชวนเสวี๋ยฉีเข้านอน

          ฉันจูงมือเสวี๋ยฉีขึ้นไปนอนบนเตียง ไม่รอช้าฉันโถมตัวเข้ากอดจูบเขา ถอดเสื้อเขาออกและลงลิ้นเลียที่หัวนม เลียไล่ลงไปที่หน้าท้องกล้ามเนื้อแน่น มือปลดเชือกกางเกงแล้วถอดออก ค่อยๆลูบคลำแท่งเนื้อกำลังแข็งตัวเต็มที่ เสวี๋ยฉีส่งเสียงครางเบาๆแล้วใช้มือดันศรีษะฉันให้เลื่อนลงไปเลียที่แท่งเนื้อนั้น ฉันเลียรอบๆรอยหยักที่ปลายแท่งเนื้อ แล้วดันแท่งเนื้อใส่ปากดูดเลียจนเขาร้องครางไม่หยุด เขากดศรีษะฉันให้ดูดแท่งเนื้อนั้นเร็วและแรงขึ้นจนน้ำสีขาวข้นทะลักออกมาจนฉันกลืนลงคอไป เขาจูบฉันดูดดื่มด้วยความพึงพอใจแล้วสอดแขนให้ฉันหนุนนอนเหมือนเคย เรานอนกอดกันและพูดคุยหยอกล้อกันสักพัก แล้วค่อยๆหลับไปพร้อมๆกัน

      .......ในความฝัน ฉันกำลังนอนคว่ำหน้าสลับหัวท้ายบนตัวเสวี๋ยฉีดูดเลียแท่งเนื้อแข็ง เสวี๋ยฉีกำลังนอนหงายดูดเลียเนินสวรรค์จนเปียกแฉะ ลิ้นนุ่มนิ่มแต่แข็งแรงกำลังเลียและชอนไชลิ้นเข้าเนินสวรรค์จนฉันเสียวสะท้านไปทั้งตัว สักพักฉันค่อยๆยกตัวขึ้นแต่ยังคงนั่งคร่อมในลักษณะนั่งคร่อมหันหลังให้เขา และค่อยๆเลื่อนขยับตัวให้เนินสวรรค์สัมผัสถูไถกับแท่งเนื้อแล้วจับแท่งเนื้อแข็งใส่เข้าในเนินสวรรค์ ฉันโยกสะโพกเด้งขึ้นลง แท่งเนื้อแข็งสัมผัสถูไถภายในเนินสวรรค์แนบแน่นทำให้ฉันเสียวร้องครางเสียงดัง จากนั้นเสวี๋ยฉีจึงดึงตัวฉันให้นอนหงายลงบนตัวเขาแล้วยกขาทั้งสองข้างตั้งขึ้นให้ขาฉันทั้งสองข้างอ้ากว้างพาดกับหน้าขาเขา เสวี๋ยฉียกก้นเด้งกระแทกแท่งแข็งเข้าในเนินทางด้านหลังทั้งเร็วและแรงในลักษณะนอนหงายทั้งคู่ มือเขาข้างหนึ่งล้วงจับเนินสวรรค์และใช้นิ้วกลางขยี้จุดเสียว มืออีกข้างหนึ่งบีบขยำหน้าอก เขาทำใหัฉันเสียวซ่านเหลือเกินจนไม่อยากตื่นนอนในตอนเช้า เรายังคงอยู่ในท่าเดิมแต่เปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง ฉันเอี้ยวหน้าหันไปจูบในขณะที่เขายังคงกระแทกแท่งแข็งเข้าออกเนินสวรรค์ไม่หยุด โอวววว...ฉันทนไม่ไหวเกร็งตัวกระตุกเสร็จก่อนเขา เสวี๋ยฉีพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำหน้าแล้วยกสะโพกฉันให้สูงขึ้นและสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลัง เขาดันแท่งเนื้อเข้าจนสุดแล้วกระแทกกระทั้นหนักหน่วงอยู่หลายครั้ง จากนั้นเขาพลิกตัวฉันให้นอนหงายสองมือเขาจับที่หัวเข่าฉันทั้งสองข้างแล้วแยกขาออกกว้าง เขาดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาจนสุด ขยับสะโพกบดเบียดเสียดสีแล้วเด้งก้นให้แท่งเนื้อเข้าออกเนินหว่างขาช้าๆแล้วเริ่มเร่งจังหวะกระแทกให้เร็วขึ้น อ๊าาา! เขาส่งเสียงร้องดังขึ้น และมีน้ำอุ่นๆไหลออกมาจากหว่างขาฉัน เสวี๋ยฉีโถมตัวลงมากอดและจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม ฉันหลงรักเสียงร้องขณะร่วมรักของเขาเหลือเกิน และอยากได้ยินเสียงร้องนั้นอีกหลายๆครั้ง ฉันจึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่งคร่อมแล้วจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาแล้วโยกสะโพกขยับให้แท่งเนื้อเข้าเนินจนมิดแล้วขยับเนินขึ้นลงจนเสียว เขาเอื้อมมือมาจับที่สะโพกฉันแล้วเด้งก้นกระแทกรับ ฉันจึงโถมตัวกอดและจูบในขณะที่เขายังคงเด้งก้นกระแทกเนินหว่างขาไม่หยุด ทำให้ฉันเสียวสะท้านและรู้สึกดีมากจริงๆ เสวี๋ยฉีช่างเซ็กซี่และเร่าร้อนเหลือเกิน ฉันไม่สามารถหยุดบรรเลงบทรักกับเขาได้เลยจนกระทั่งถึงเช้า......

          เช้าวันนี้ฉันและพี่ๆต่างนอนตื่นสายเพราะเมื่อคืนเรามีปาร์ตี้กองไฟและดื่มกันจนดึก เสวี๋ยฉีตื่นนอนก่อนฉันและปลุกฉันด้วยรอยจูบที่หน้าผาก และแก้มจนฉันตื่น เราจึงเดินไปล้างหน้าด้วยกันและเดินไปนั่งดื่มชาที่ชานบ้านชมบรรยากาศยามเช้าเหมือนเดิมเพื่อรอพี่ชายอีกสามคนตื่นนอนก่อนจึงค่อยกินอาหารเช้า เรานั่งมองดูเหวินอี้ที่ตื่นแต่เช้ามาดูแลรดน้ำแปลงสมุนไพรและแปลงพืชผัก เหวินอี้ปลูกพืชเก่งเพราะดูเหมือนพีชที่เขาปลูกจะเจริญเติบโตเร็วและสวยงาม เขาดูเหมือนจะรู้ใจฉันเพราะปลูกผักกวางตุ้งและผักกาดที่ฉันชอบ ฉันจึงบอกฟางหรูว่าเมื่อไหร่ที่ผักโตจนสามารถกินได้ ให้นางปรุงผัดผักกาดขาวใส่ไข่ และบะหมี่ใส่ผักกวางตุ้งให้ฉันกินด้วยนี่คืออาหารจานโปรดของฉัน

          ตั้งแต่กลับจากในเมืองผ่านไปได้สิบกว่าวันแล้ว พวกเราใช้ชีวิตกันแบบชิลล์ๆที่ป่าไผ่เขียว เฟยเจินฝึกพลังเวทย์ ซิ่นหลิงซ่องสุมกองกำลังแมงมุมและแมงป่อง หยงเป่าลาดตระเวนป่าโดยรอบบริเวณนี้ เสวี๋ยฉีอ่านตำราและคอยดูแลฉัน ส่วนฉันเก็บสมุนไพรและปรุงยา หลายครั้งที่ปรุงยาตัวใหม่ได้ฉันก็จะใช้พี่ชายทั้งสี่เป็นหนูทดลองยา ในช่วงแรกๆพวกเขาเต็มใจช่วยทดลองยาให้ แต่มาช่วงหลังๆพวกเขาก็เริ่มจะเกี่ยงกัน คงเพราะช่วงหลังๆนี้ฉันกำลังปรุงยาแก้พิษสุนัขเยือกแข็งชนิดหายเร็วเฉียบพลัน จึงเริ่มทดลองผสมพิษลงในตัวยา ทำให้รสชาติยาตัวใหม่เริ่มจะมีรสขมมาก และกลิ่นฉุนรุนแรง เมื่อพี่ชายเริ่มเกี่ยงกันไม่ทดลองยา ฉันจึงแนะนำให้พวกเขาเลิกเกี่ยงกันแล้วใช้วิธีตัดสินกันแบบลูกผู้ชาย ด้วยการเป่ายิงฉุบ ใครเป่ายิงฉุบแพ้คนสุดท้ายคนนั้นต้องมาทดลองดื่มยาให้ฉัน และลูกผู้ชายตัวจริงมักตกที่เฟยเจินอยู่บ่อยๆ

          วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เราดำเนินชีวิตกันไปตามปกติ ฉันกับเฟยเจินออกไปเก็บสมุนไพรที่ป่าตะวันออก เฟยเจินเรียกฉันให้ไปดูอะไรบางอย่างที่เขาพบเจอ

     เฟยเจิน  : น้องห้า มานี่ มาดูอะไรนี่!
          อันฉี  : จ๊ากกก! หนอนตัวเบ้อเริ่มเลย ข้ากลัวหนอน บรื๋อออ ขนลุก! (ฉันกระโดดหนีสะดีดสะดิ้งตัวบิดตัวงอเพราะขนลุกที่เห็นหนอน)
     เฟยเจิน  : นี่คือ หนอนชิงชัง ถ้าเจ้าสนใจข้าจะจับให้
          อันฉี  : ชื่อฟังดูน่าสนใจ สรรพคุณทำอะไรได้บ้างล่ะ?

          ฉันหันไปมองหนอนตัวอ้วนใหญ่ สีเหลืองนวลขนาดเท่านิ้วโป้งที่อยู่ในมือเฟยเจิน แต่ฉันยืนมองอยู่ห่างๆเพราะกลัวหนอน

     เฟยเจิน  : หนอนชิงชัง หากนำไปใส่ในไหเหล้า จะทำให้ผู้ที่ดื่มไม่อยากดื่มเหล้าไปอีกนาน หรือถ้าใส่หนอนชิงชังลงในอาหารผู้ที่กินอาหารจะไม่อยากกินอาหารชนิดนั้นอีกนาน เพราะลิ้นจะหยุดการรับรสอาหารชนิดนั่นและเกิดความรู้สึกว่าไม่อร่อย และไม่อยากจะกินอีก
          อันฉี  : แล้วความรู้สึกไม่อร่อยที่เกิดจากหนอนชิงชังจะคงอยู่ตลอดไปหรือเปล่าหรือแค่ชั่วคราว?
     เฟยเจิน  : แค่ชั่วคราวเท่านั้น ออกฤทธิ์อยู่หลายวันเลยทีเดียว ใช้ในผู้ที่ต้องการเลิกกระทันหัน อย่างเช่นหากต้องการเลิกดื่มเหล้าโดยกินหนอนชิงชังเข้าไป เมื่อดื่มเหล้าอีกครั้งในช่วงที่หนอนชิงชังยังออกฤทธิ์ จะทำให้ผู้นั้นเกิดอาการผะอืดผะอมคลื่นใส้ อาเจียรทุกครั้งที่ดื่มเหล้า พอผ่านไปแล้วสิบกว่าวันเมื่อหนอนชิงชังหมดฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็จะไม่นึกอยากดื่มเหล้าอีก
          อันฉี  : แต่ก็สามารถกลับไปดื่มเหล้าได้อีกใช่มั้ย?
     เหยเจิน  : ใช่ สามารถกลับไปดื่มเหล้าต่อได้อีก ส่วนจะกลับไปติดเหล้าอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคนผู้นั้นแล้วว่าจะควบคุมตนเองได้หรือไม่
          อันฉี  : อืม...งั้นใช้รักษาในผู้ที่ต้องการเลิกจริงๆน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า ไม่ต้องเสียเวลารักษาและไม่เสียของอีกด้วย เอ...แล้วถ้าอยากเลิกหรืออยากลืมใครสักคนที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจล่ะ หนอนชิงชังสามารถช่วยได้มั้ย
      เฟยชัง  : ช่วยไม่ได้ นั่นมันเป็นเรื่องของจิตใจ ถามแบบนี้ เจ้าอยากลืมใครรึ?
          อันฉี  : ไม่มีหรอก แค่ถามดูเพราะสงสัย คือ...ทีข้าตัองถามสรรพคุณของมันจากเจ้า เพราะข้าไม่กล้ามองมันนานๆมันทำให้ข้าขนลุก ข้ากลัวจนไม่กล้าแตะต้องหนอนทุกชนิด อีกอย่างข้าจะไม่ทดลองกินหนอนนั่นด้วยตัวเองแน่ๆ แม้จะเอาไปปรุงจนสุกข้าก็ไม่กล้ากิน
     เฟยเจิน  : อย่าห่วง ข้าไม่กลั่นแกล้งเอาหนอนไปหลอกเจ้าหรอก ข้ากลัวเจ้าโกรธเคืองข้าเหมือนที่เจ้าเคยโกรธพี่สาม
          อัรฉี  : ขอบคุณที่ไม่แกล้งข้า งั้นหนอนชิงชังนี่ก็สรุปได้ว่า จะรักษาได้ผลดีต่อเมื่อนำมากินเท่านั้น ใช่มั้ย?
      เฟยจิน  : ถูกต้องแล้ว! เจ้าสนใจเอากลับไปมั้ย ข้าจะจับให้
          อันฉี  : เอาไปทดลองใช้แค่สองตัวก่อน ถ้าใช้ได้ผลดีค่อยมาจับใหม่ อย่าจับมาเยอะข้ากลัว

          ฉันให้เฟยเจินจับหนอนชิงชังมาหย่อนใส่กระเป๋าเวทย์แค่สองตัวเพราะฉันกลัวและไม่กล้าจับหนอน จากนั้นเราจึงหาสมุนไพรชนิดอื่นๆกันต่อแล้วค่อยกลับป่าไผ่เขียว

          เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันวางสมุนไพรบางส่วนที่ไม่ได้เก็บไว้ในกระเป๋าเวทย์วางไว้ที่โต๊ะหน้าบ้าน จากนั้นฉันและเฟยเจินจึงเดินไปนั่งดื่มน้ำชาและกินขนมที่เสวี๋ยฉีนำมาวางไว้ให้กินที่ชานบ้าน ซิ่นหลิงและหยงเป่า วันนี้เขาทั้งสองคนไม่ได้ออกไปข้างนอก จึงมาช่วยฉันเด็ดสมุนไพร ฉันบอกกับพี่ชายทั้งสามว่าได้จับหนอนชิงชังเป็นยาตัวใหม่สำหรับเลิกดื่มเหล้า มีใครต้องการเลิกดื่มเหล้าบ้างหรือไม่ พวกเขารีบหันหน้ามาตอบปฏิเสธทันที และกำชับห้ามฉันแอบใส่หนอนชิงชังในไหเหล้าเด็ดขาด จึงไม่มีใครทดลองกินหนอนชิงชังเพื่อทดลองยาให้ฉันดู

          เวลาผ่านไปสักพักหยางกวางนำนกพิราบที่จับได้ตัวหนึ่งเดินเข้ามาหาเสวี๋ยฉีที่กำลังช่วยฉันหั่นสมุนไพรเพื่อนำไปตาก ที่ขาของนกพิราบมีกระดาษผูกติดมาด้วยใบหนึ่ง เสวี๋ยฉีจึงแกะกระดาษออกมาอ่าน ในกระดาษเขียนขัอความสั้นๆว่า "เกิดโรคระบาดในวัง มีอาการปวดศรีษะ คลื่นใส้ อาเจียรรุนแรง ขอเชิญหมอหญิงร่วมตรวจสอบ จาก...หมอหวังจิวซื่อ" อ่านจบเสวี๋ยฉีจึงบ่นขึ้นว่า...

       เสวี๋ยฉี  : อะไรกันอีกล่ะเนี่ย?! เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้แค่สิบกว่าวันเอง เจ้าหมอเฒ่าเชิญเจ้าไปที่วังอีกแล้วรึ ข้าไม่ให้เจ้าไปหรอก!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ให้ข้าไปเถอะนะ ท่านอย่าลืมสิข้าเป็นหมอ มีคนป่วยก็ต้องไปรักษา อีกอย่างข้าไปรักษาข้าก็ได้เงินรางวัล
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าเนี่ย! เริ่มจะเห็นแก่เงินรางวัลมากขึ้นทุกที (เสวี๋ยฉีเอานิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากฉัน)
         อันฉี  : ถ้าท่านไม่อยากไปด้วยท่านก็อยู่รอข้าที่บ้าน ข้าไปกับเฟยเจินสองคนก็ได้ ไปไม่กี่วันก็กลับแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : เชอะ! เจ้าคิดจะสลัดข้าทิ้งงั้นเรอะ!?
          อันฉี  : ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย! ท่านเคยบอกว่าในวังน่าเบื่อ...
     หยงเป่า  : แต่ข้าจะไปกับเจ้า
      ซิ่นหลิง  : ข้าไปด้วย!
        เสวี๋ยฉี : ข้ายังไม่ได้พูดเลยว่าจะไม่ไปด้วย!
          อันฉี  : ท่านกลัวข้าไม่มีแขนท่านหนุนนอนใช่มั้ย? (ฉันกระซิบถามเสวี๋ยฉีแล้วยิ้ม)
       เสวี๋ยฉี  : รู้ดีนักนะ (เสวี๋ยฉีบีบจมูกฉันเบาๆ)
          อันฉี  : งั้นเราไปกันเลยนะ
       เสวี๋ยฉี  : อื้ม

          เราจึงออกเดินทางไปที่พระราชวังทันที การผ่านเข้าประตูวังด้านหน้าของเราครั้งนี้ไร้ปัญหาด้วยป้ายหยกพระราชทานผ่านฉลุย เราเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อนเหมือนเคย จากนั้นจึงเข้าพักที่ตำหนักเหลียนฮวา หรือตำหนักดอกบัวที่ฮ่องเต้จัดเตรียมไว้ให้ซึ่งประตูและผนังด้านหน้าได้ทำการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยจากการถูกสุนัขเยือกแข็งเข้าโจมตีเมื่อคราวก่อน เมื่อเราพักดื่มชาและกินของว่างกันเสร็จ พวกเราจึงออกไปพบหมอหวังที่จวนหมอหลวง เพื่อสอบถามถึงสาเหตุของโรคระบาด

          หมอหวังบอกว่าโรคนี้เพิ่งระบาดขึ้นในหมู่นางกำนัล ซึ่งมีนางกำนัลหลายคนอยู่ๆก็มีอาการคลื่นใส้ อาเจียร จนบางคนถึงขั้นเป็นลมหมดสติ แต่หมอหวังได้ทำการรักษาจนพวกนางอาการทุเลา มีเพียงแค่บางคนที่ยังคงอาเจียร และบางคนยังคงถ่ายท้อง

          ในตอนแรกหมอหวังคิดว่าอาจจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ แต่สอบถามทุกคนก็บอกว่าเป็นอาหารธรรมดาที่เคยกินปกติในโรงครัวรสชาติอาหารก็ไม่ได้จัดจ้าน สอบถามทางคนปรุงอาหารก็บอกว่าใช้วัตถุดิบตามเดิมที่ใช้ปรุงทุกวันจึงไม่มีอะไรผิดปกติ หยงเป่าจึงสอบถามถึงบ่อน้ำที่ใช้มีอะไรผิดปกติหรือไม่ หมอหวังบอกว่าตรวจสอบที่บ่อน้ำแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่พบยาพิษในบ่อน้ำ หมอหวังยังหาสาเหตุไม่พบจึงตัดสินใจส่งจดหมายเชิญฉันมาช่วยตรวจสอบเพราะกลัวจะเกิดโรคระบาด เนื่องจากนางกำนัลหลายคนล้มป่วย และเกรงจะมีผลกระทบต่อฮ่องเต้และฮองเฮา

          หมอหวังพาเราไปดูอาการนางกำนัลคนหนึ่งที่อาการยังไม่ทุเลาและยังคงอาเจียรอยู่ มองดูแล้วคล้ายอาการอาหารเป็นพิษ ฉันจึงใช้ดวงตาปีศาจเพ่งมองดูนางกำนัลคนนั้นแล้วพบว่าในกระเพาะอาหารของนางเต็มไปด้วยพิษที่เกิดจากพืชชนิดหนึ่ง ซิ่นหลิงจึงถามถึงรายการอาหารที่นางเพิ่งกินเข้าไป นางกำนัลบอกว่ากินต้มจืดผักกาดขาวหมูสับ และถั่วเขียวต้มน้ำตาล เราจึงเดินไปตรวจดูอาการนางกำนัลอีกคนหนึ่งกำลังนอนปวดท้องร้องโอดโอย ฉันมองเห็นพิษชนิดเดียวกันในกระเพาะอาหารของนางกำนัลคนนั้นเช่นกัน นางกำนัลบอกว่ากินผัดไก่ใส่ถั่วงอก ต้มจืดผักกาดขาวหมูสับ และถั่วเขียวต้มน้ำตาล จากนั้นจึงมองดูนางกำนัลคนอื่นๆที่มีอาการทุเลาลงแล้วแต่ก็ยังมองเห็นพิษที่เกิดจากพืชแต่พิษนั้นเจือจางลงแล้ว นางกำนัลที่ป่วยทุกคนล้วนบอกว่ากินต้มจืดผักกาดขาวหมูสับ และถั่วเขียวต้มน้ำตาล

          เสวี๋ยฉีจึงสอบถามนางกำนัลที่ไม่ป่วยว่ากินอาหารอะไรถึงไม่ป่วย นางกำนัลตอบว่ากินผัดไก่ใส่ถั่วงอก และถั่วเขียวต้มน้ำตาล แต่ไม่ได้กินต้มจืดผักกาดขาวใส่หมูสับ เพราะต้มจืดหมดเสียก่อนนางจึงไม่ได้กิน ฉันบอกหมอหวังว่าเหล่านางกำนัลที่ล้มป่วยได้รับพิษจากพืชชนิดหนึ่งที่ผสมอยู่ในอาหารที่พวกนางกำนัลกิน มิได้เกิดจากโรคระบาด หมอหวังมีอาการตกใจมาก และอุทานว่าโชคดีที่อาหารที่เหล่านางกำนัลกินนั้นไม่ได้ถูกจัดส่งให้ฮ่องเต้และฮองเฮาเสวย หมอหวังจึงรีบพาฉันไปที่โรงครัวเพื่อตรวจสอบอาหารที่หลงเหลือบางส่วนในโรงครัว ฉันบอกหมอหวังว่าต้องการตรวจดูต้มจืดที่หลงเหลือเพียงน้ำแกงและเศษผักนิดหน่อยลอยอยู่ในหม้อ ฉันใช้ดวงตาปีศาจเพ่งมองแล้วก็พบยาพิษในหมัอต้มจืดจริงๆ แล้วก้มดมกลิ่นน้ำแกงในหม้อซึ่งมีกลิ่นเดียวกันกับที่ได้กลิ่นพิษจากปากนางกำนัล ฉันจึงมองหาเศษผักกาดที่อยู่ในเข่งมีทั้งผักกาดสดที่กองทับผักกาดเน่าอยู่ด้านล่าง แล้วดมกลิ่นอีกครั้งก็ได้กลิ่นแบบเดียวกัน ฉันจึงบอกหมอหวังว่าในหม้อต้มจืดมีพิษที่เกิดจากผักกาดขาวเน่า คาดว่าคนปรุงต้มจืดหม้อนี้ใช้ผักกาดขาวเน่ามาปรุงอาหาร หมอหวังและทุกคนทำหน้าแปลกใจสงสัยมากจึงถามว่า...

    หมอหวัง  : พิษผักกาดขาวเน่ารึ?!
          อันฉี  : ใช่! หากกินผักกาดขาวเน่า จะทำให้เลือดเดินผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการปวดศรีษะ คลื่นใส้ อาเจียร หัวใจเต้นแรง และอาจรุนแรงถึงขั้นหมดสติ ดังนั้นท่านต้องสอบถามเจตนาคนปรุงต้มจืดหม้อนี้แล้วล่ะว่ามีเจตนาอย่างไรจึงปรุงผักกาดขาวเน่าเป็นอาหาร
     หมอหวัง  : ขอบใจเจ้ามากหมอหญิงที่มาช่วยข้าตรวจสอบ
          อันฉี  : ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยท่านลุงหมอหวังอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสอบสวนคนปรุงต้มจืดผักกาดขาวได้ความยังไง รบกวนท่านลุงหมอหวังบอกข้าด้วยนะ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมปรุงผักเน่าให้นางกำนัลกิน
    หมอหวัง  : อื้ม เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยสอบสวนเป็นผู้หาตัวคนร้าย เราไปกันเถอะ

          เราเดินออกจากโรงครัวแล้วปล่อยให้หน่วยสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการต่อ ฉันและพี่ชายทั้งสี่จึงขอแยกตัวกลับตำหนักดอกบัวเพื่อพักผ่อน แต่ไม่นานนักก็มีทหารมาเชิญฉันให้ไปที่ตำหนักของฮ่องเต้ ฉันจึงขออนุญาตพี่ชายไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยลำพังเนื่องจากเกรงว่าพี่ชายจะรอนานในขณะที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ จากนั้นฉันจึงเดินตามทหารคนนั้นไป

          ที่ตำหนักหมู่ตัน หรือตำหนักดอกโบตั๋นที่พำนักของฮ่องเต้ ฉันเห็นฮ่องเต้กำลังนั่งจิบน้ำชารออยู่ที่โต๊ะ ครั้นฮ่องเต้เห็นฉันจึงรีบเดินออกมารับทั้งกอดและหอมฉันด้วยความดีใจ และพูดขึ้นว่า...

       ฮ่องเต้  : ข้าคิดถึงเจ้ามาก รู้มั้ย?
          อันฉี  : หม่อมฉันก็คิดถึงฝ่าบาทเพคะ เรียกหม่อมฉันมาแค่จะบอกว่าคิดถึงเหรอเพคะ? (ฉันหยอกเย้าฮ่องเต้)
       ฮ่องเต้  : ฮื่อ! ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ข้าเรียกเจ้ามาเพราะอยากถามเจ้าเรื่องโรคระบาดที่เกิดขึ้นกับเหล่านางกำนัลเป็นอย่างไรบ้าง
          อันฉี  : ไม่ใช่โรคระบาดเพคะ แต่สาเหตุเกิดจากพิษ พิษที่เกิดจากการปรุงอาหารด้วยผักกาดขาวเน่า หากผู้ปรุงไม่ได้มีเจตนาร้ายอาจเกิดจากความสะเพร่าหรือมักง่ายก็สามารถเรียกได้ว่าอาหารเป็นพิษ แต่หากผู้ปรุงอาหารมีเจตนาร้ายต่อผู้อื่นเพราะรู้ว่าผักกาดขาวเน่าสามารถก่อให้เกิดพิษก็สามารถเรียกได้ว่าวางยาพิษเพคะ
       ฮ่องเต้  : ผักกาดขาวเน่าเป็นพิษได้ด้วยรึ?!
          อันฉี  : ได้เพคะ เพราะในผักกาดขาวเน่าจะมีเชื้อโรคชนิดหนึ่งทำปฏิกิริยากับเกลือชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในผักกาดขาว ส่งผลให้เลือดเดินผิดปกติ ทำให้หัวใจเต้นแรง เวียนศรีษะ ปวดศรีษะ คลื่นใส้ อาเจียร หากอาการรุนแรงอาจถึงขึ้นหมดสติเสียชีวิตได้ หากผู้ปรุงอาหารมีเจตนาร้ายก็ถือได้ว่าเป็นการวางยาพิษได้เพคะ
       ฮ่องเต้  : มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือนี่?! ข้าก็กำลังรอผลการตรวจสอบอยู่เหมือนกัน ใครกันนะที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้
          อันฉี  : จะมีทหารมาส่งผลตรวจสอบที่นี่หรือเพคะ?
       ฮ่องเต้  : อื้ม!
          อันฉี  : งั้นหม่อมฉันขออยู่ที่นี่รอฟังผลการตรวจสอบด้วยได้มั้ยเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ได้สิ! เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าถึงตอนเย็นเลยนะ เจ้าไปช่วยข้าฝนหมึกหน่อยข้ากำลังจะตอบฎีกาที่คั่งค้างอยู่
          อันฉี  : เพคะ ฝนหมึกเป็นงานถนัดของหม่อมฉันเลย

          ฉันเดินตามหลังฮ่องเต้ไปที่โต๊ะทรงงานแล้วนั่งลงข้างๆเพื่อช่วยฝนหมึก ส่วนฮ่องเต้ก็เริ่มนั่งอ่านฎีกาที่วางกองสูงอยู่ข้างๆอีกฝั่งหนึ่ง ฉันนึกขึ้นได้ถึงเรื่องเหวินอี้และฟางหรูที่ฝากฉันขอบคุณฮ่องเต้ ฉันจึงพูดขึ้นว่า

          อันฉี  : อ้อ!...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันบอกกับเหวินอี้และฟางหรูว่าฝ่าบาทอภัยโทษให้พวกเขาแล้ว เขาทั้งสองคนดีใจมากที่ฝ่าบาทให้ความเมตตาต่อพวกเขา และฝากขอบพระทัยฝ่าบาทมาด้วยอย่างสุดซึ้ง เหวินอี้บอกว่าจะดูแลแปลงว่านแสงตะวันที่ไว้ใช้ใส่บาดแผลถูกสุนัขเยือกแข็งกัดจะดูแลให้เป็นอย่างดี แล้วหม่อมฉันจะส่งยามาให้หมอหวังเก็บรักษาไว้เผื่อว่าพวกปีศาจและสุนัขเยือกแข็งมันย้อนกลับมาโจมตีเพคะ
       ฮ่องเต้  : ดี ดีมาก! ขอบใจเจ้ามาก
          อันฉี  : แล้ว...ฝ่าบาทกับฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ เอ่อ...เกี่ยวกับเรื่องบนเตียง ดีขึ้นกว่าเดิมมั้ยเพคะ
       ฮ่องเต้  : เฮ่อ...ก็เหมือนเดิม หลังจากผ่านสองคืนภารกิจนั้น ข้าก็ไม่ได้รู้สึกวาบหวิวอะไรอีก คงเพราะไม่มีเจ้ามาช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้ข้าล่ะมั้ง... (ฮ่องเต้เอื้อมมือมาบีบแก้มฉันเบาๆ)
          อันฉี  : ฝ่าบาทต้องทำงานให้น้อยลง แล้วแบ่งเวลาไปกุ๊กกิ๊กกับฮองเฮาบ้าง กลางวันทำงาน กลางคืนทำลูก ฝ่าบาทจะได้มีโอรสเร็วๆเพคะ ไม่ใช่กลางวันทำงานตกกลางคืนก็ยังทำงานอีก แบบนี้อย่าว่าแต่โอรสเลย แม้แต่พระธิดาก็จะไม่ได้ด้วย!
        ฮ่องเต้  : งั้นคืนนี้ข้าจะไปพักที่ตำหนักฮองเฮาแล้วกัน เจ้าบ่นข้าจนข้ารู้สึกผิดเลยรู้มั้ย...
          อัญฉี  : ขอประทานอภัยเพคะ...

          ฮ่องเต้ขยับเข้ามากอดและจูบจนฉันเริ่มมีอารมณ์พลุ่งพล่าน ลิ้นนิ่มๆริมฝีปากบางๆนุ่มนวลบรรจงจูบฉันอย่างอ่อนโยน เขาถอนริมฝีปากออกและมองสบตาฉันครู่หนึ่ง แล้วจูบฉันต่ออีกครั้งเราแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม เขาเริ่มจูบซุกไซร้มาที่ซอกคอและโอบกอดฉันแน่น สองมือที่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังและบีบก้น ฉันรู้ว่าเขากำลังมีอารมณ์และอาจทำให้ฉันเผลอไผลยินยอมให้เขาได้ ฉันจึงรีบทักฮ่องเต้ให้หยุดจูบ

          อันฉี  : อาาา...ฝ่าบาทหยุดเถอะเพคะ ลืมทำงานไปแล้วเหรอ
       ฮ่องเต้  : อืมมม...ข้าลืมตัวอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะ อยู่ใกล้เจ้าทีไรข้ามีอารมณ์จนห้ามใจไม่ได้จริงๆ
          อันฉี  : ไม่เป็นไร หม่อมฉันจะคอยห้ามฝ่าบาทเองเพคะ ฝ่าบาททำงานต่อเถอะเดี๋ยวงานจะไม่เสร็จ

          ฮ่องเต้จึงเริ่มทำงานต่อ แต่สายตายังคงคอยมองและมือยังคอยจับแก้มและนั่งจับมือฉันบ่อยๆ ฉันเองก็รู้ที่ฮ่องเต้มีอาการแบบนี้คงเพราะกลิ่นเสน่ห์ของเสวี๋ยฉีที่ติดตัวฉันมานั่นเองที่เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ฮ่องเต้ให้วูบวาบ

          สักพักใหญ่ๆทหารก็นำรายงานการสอบสวนหาคนร้ายคดีวางยาพิษผักกาดขาวเน่ามาส่งให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้อ่านรายงานและบอกฉันว่า คนร้ายคือแม่ครัวที่ประจำอยู่โรงครัว เป็นผู้มีหน้าที่ปรุงอาหารให้เหล่านางกำนัลกิน แม่ครัวคนดังกล่าวยอมรับสารภาพว่าปรุงอาหารด้วยผักกาดขาวเน่าจริง แต่มิได้มีเจตนาวางยาพิษ เนื่องจากแม่ครัวลืมซื้อผักกาดขาวสด และในครัวมีผักกาดขาวสดอยู่เพียงครึ่งเข่งซึ่งไม่เพียงพอ เมื่อนางหันไปเห็นผักกาดขาวเก่าเหลือค้างสภาพยังพอใช้ได้จึงตัดสินใจนำมาปรุงอาหาร แต่ไม่คิดว่าผักกาดขาวเหลือค้างจะเน่ากลายเป็นยาพิษไปได้

       ฮ่องเต้  : อืม...แม้จะรับสารภาพและไม่มีเจตนาวางยาพิษ แต่ก็ถือว่าปฏิบัติหน้าที่สะเพร่าทำให้นางกำนัลได้รับพิษเจ็บป่วยกันหลายคน แม่ครัวคนนี้ก็ต้องได้รับโทษตามกฏ
          อันฉี  : ต้องโทษประหารหรือเปล่าเพคะ?
       ฮ่องเต้  : โทษโบยและจองจำ เจ้าอยากให้ประหารงั้นรึ?
          อันฉี  : ไม่ ไม่ เพคะ หม่อมฉันจะไม่ก้าวก่ายใดๆ ถามเพราะอยากรู้เท่านั้นเองเพคะ
       ฮ่องเต้  : ไม่ได้มีความนัยอะไรแอบแฝงใช่มั้ย?
          อันฉี  : ไม่มีความนัยอะไรแอบแฝงจริงๆเพคะ ทำไมฝ่าบาทถามหม่อมฉันแบบนั้น หม่อมฉันดูเหมือนมีอะไรแอบแฝงเหรอเพคะ?
      ฮ่องเต้  : ไม่หรอก (ฮ่องเต้ยิ้มแล้วหันไปทำงานต่อ)

          ฮ่องเต้นั่งทำงานอยู่สักพักใหญ่ๆจึงทำงานเสร็จ เขาชักชวนฉันให้กินของว่างด้วยกัน และชวนฉันเล่นหมากกระดาน แต่ฉันเล่นหมากกระดานไม่เป็น ฉันจึงบอกจะนวดไหล่ให้แทน เนื่องจากฮ่องเต้นั่งทำงานนานๆอาจมีอาการปวดเมื่อย ฉันจึงลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังฮ่องเต้แล้วเริ่มบีบนวดที่ไหล่ ฮ่องเต้จึงหยิบหนังสือมานั่งอ่านแล้วปล่อยให้ฉันบีบนวดไหล่และหลังไปเรื่อยๆ สักพักฮ่องเต้วางหนังสือลงกับโต๊ะแล้วเอี้อมมือมาจับมือฉันที่กำลังบีบนวด ฮ่องเต้ลุกขึ้นและจูงมือฉันไปที่เตียง เขาบอกว่าจะนอนให้ฉันนวดหลังจะสบายกว่า ฮ่องเต้ขึ้นไปนอนคว่ำหน้าบนเตียงและบอกให้ฉันนวดหลัง ฉันจึงเริ่มนวดหลังให้ฮ่องเต้ต่อ นวดได้ไม่นานนักฮ่องเต้ก็พลิกตัวกลับมาแล้วดึงตัวฉันเข้าไปกอดและหอม และเขาก็พลิกตัวอีกครั้งโถมตัวขึ้นมานอนทับบนตัวฉัน และจูบฉันที่หน้าผาก

          อันฉี  : ฝ่าบาทหายปวดเมื่อยแล้วเหรอเพคะ?
       ฮ่องเต้  : หายแล้ว แต่อยากทำอย่างอื่นมากกว่า
          อันฉี  : ไม่ได้เด็ดขาดเพคะ!
       ฮ่องเต้  : แค่จูบเท่านั้น ไม่ได้เชียวรึ?
          อันฉี  : ถ้าแค่จูบได้เพคะ

          ฉันโอบกอดฮ่องเต้และจูบสอดใส่ลิ้นเข้าในปากเขา จูบของฮ่องเต้ช่างอ่อนหวานและนุ่มนวลทำฉันเคลิบเคลิ้ม ฉันหอมและจูบที่ซอกคอเขาและดูดที่คอเบาๆ ฮ่องเต้กระซิบและเงยหน้ามาสบตากับฉัน

       ฮ่องเต้  : สัมผัสข้าให้มากกว่านี้จะได้หรือไม่
          อันฉี  : แค่สัมผัสแต่ไม่ล่วงล้ำนะเพคะ
       ฮ่องเต้  : อื้ม....

          ฉันจึงพลิกตัวขึ้นนอนคร่อมทับตัวฮ่องเต้ จากนั้นจึงก้มจูบแลกลิ้นอีกครั้งและดูดซอกคอเบาๆ ค่อยๆแหวกคอเสื้อเขาให้กว้างขึ้นและก้มจูบที่หน้าอกลงลิ้นเลียรอบๆหัวนมแล้วดูด จนฮ่องเต้ส่งเสียงร้องคราง จากนั้นเขาที่กำลังนอนให้ฉันจูบซุกไซร้ก็ลุกขึ้นนั่งโดยมีฉันนั่งคร่อมอยู่บนตัก เขาถอดเสื้อตัวเองออก แล้วเริ่มแหวกคอเสื้อฉันให้กว้างขึ้นจนเห็นรอยสัญลักษณ์เสือดำที่หน้าอกแต่เยื้องไปทางหัวไหล่ ฮ่องเต้มองดูและถามถึงรอยสัญลักษณ์ที่เห็น

       ฮ่องเต้  : รอยนี่คือ....?
          อันฉี  : รอยสัญลักษณ์เสือดำของพี่รองเพคะ ยังมีรอยสัญลักษณ์งูหยกหิมะขาวของพี่ใหญ่ที่ต้นแขน และรอยสัญลักษณ์แมงป่องแดงของพี่สาม รอยสัญลักษณ์อินทรีย์ทองของพี่สี่ที่อยู่ทางด้านหลังเพคะ
       ฮ่องเต้  : ขอให้ข้าดูรอยสัญลักษณ์หน่อยจะได้หรือไม่?
          อันฉี  : ได้เพคะ

          ฉันจึงขยับตัวนั่งหันหลังและปลดคอเสื้อให้กว้างมากขึ้นจนเผยใหัเห็นถึงแผ่นหลัง ฮ่องเต้เอามือลูบไล้ที่แผ่นหลังอย่างเบามือจนฉันขนลุกวูบวาบ แล้วฮ่องเต้ก็พูดขึ้นว่า...

       ฮ่องเต้  : มีเพียงนกอัคคีสวรรค์เท่านั้นที่จะมีรอยสัญลักษณ์สี่สัตว์เทพปรากฏบนร่างกาย ข้ารู้สึกเบาใจยิ่งนักที่พวกเขาคอยปกป้องคุ้มครองเจ้า ปีศาจเยือกแข็งมุ่งหมายเอาชีวิตเจ้า ข้าเองก็ไม่สบายใจ และข้าก็ต้องการปกป้องเจ้าเช่นกัน ขอแค่ให้เจ้าปลอดภัยข้าก็พอใจแล้ว เจ้ามีอะไรหรือต้องการสิ่งใดขอให้บอกข้า หากข้าทำได้จะทำให้เจ้าทันที
          อันฉี  : ขอบพระทัยเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันไม่ต้องการสิ่งใด อ้อ...มีอย่างนึงเพคะที่ต้องการ
       ฮ่องเต้  : เจ้าต้องการสิ่งใดรึ บอกข้า?
          อันฉี  : หม่อมฉันต้องการให้ฝ่าบาทดูแลสุขภาพตัวเองอย่าหักโหมทำงานหนักมากเกินไป ต้องการให้ฝ่าบาทมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงหมื่นปี หมื่นๆปี และหากหม่อมฉันสามารถมอบพรวิเศษได้เหมือนกับนกอัคคีสวรรค์ หม่อมฉันก็คงจะมอบพรแบบเดียวกันกับที่นกอัคคีสวรรค์เคยมอบใหักับแผ่นดินนี้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ สงบสุข รุ่งเรือง สืบไปชั่วลูกชั่วหลานเพคะ
       ฮ่องเต้  : เจ้าพูดและคิดได้ดีเกินเด็ก ข้ารักเจ้าตรงนี้แหละ

          ฮ่องเต้พูดจบก็จูบฉันอีกครั้ง แต่รสจูบครั้งนี้ช่างเร่าร้อนกว่าเดิมจนอารมณ์ฉันพลุ่งพล่านเกินจะยับยั้งชั่งใจ ฮ่องเต้จูบและดูดที่คอแล้วลงลิ้นเลียมาที่เนินอก ฉันกอดและเบียดเนินสวรรค์แนบชิดกับแท่งเนื้อแข็ง ฮ่องเต้ทั้งจูบและลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง เขาก้มหน้าซุกไซร้ที่เนินอกพร้อมกระชับแขนกอดฉันแน่นและมือบีบขยำก้นให้เนินสวรรค์กระแทกเข้าแท่งเนื้อแข็ง ฉันโยกสะโพกเสียดสีแท่งเนื้อแข็งจนเสียวซ่านไปหมด ฮ่องเต้ล้มตัวนอนลงอีกครั้งและปล่อยให้ฉันจูบลูบไล้ตัวเขาไปทั่ว ฉันก้มลงเลียรอบๆหัวนมเขาทั้งสองข้างและดูดกัดเบาๆเพราะหมั่นเขี้ยว จากนั้นๆค่อยๆจูบเลื่อนลงมาที่หน้าท้องพร้อมมือข้างหนึ่งยังคงบีบเล่นที่หัวนม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเลื่อนลงมาลูบคลำที่แท่งเนื้อแข็งใหญ่ ฮ่องเต้หลับตาพริ้มและร้องครวญครางด้วยความเสียว ฉันเริ่มปลดเชือกผูกกางเกงเขาออกแล้วเลื่อนกางเกงลงเล็กน้อยจนเห็นแท่งเนื้อแข็งใหญ่ที่ชูชันโผล่ออกมานอกกางเกง ฉันลูบคลำแท่งเนื้อแข็งใหญ่แล้วกำมือรูดแท่งเนื้อแข็งรูดขึ้นรูดลงช้าๆอยู่อย่างนั้น พร้อมกับฉันเลื่อนหน้าขึ้นไปเลียรอบๆหัวนมและดูด สักพักฉันขยับมือที่กำแท่งเนื้อแข็งรูดขึ้นรูดลงเร็วขึ้น จนเขาเอื้อมมือมาจับซ้อนที่มือฉันให้ขยับรูดแท่งเนื้อแข็งขึ้นลงให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มร้องครวญครางเสียงดังขึ้นพร้อมกับจับมือฉันให้ขยับรูดขึ้นรูดลงเร็วและแรงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นเสียงร้องสุดท้ายที่ดัง อ๊าาาาาก ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับมีน้ำสีขาวข้นที่ไหลทะลักออกมาจากแท่งเนื้อแข็งน้ำสีขาวไหลออกมาเลอะเต็มมือ ฉันรีบเช็ดทำความสะอาดมือและช่วยเช็ดทำความสะอาดแท่งเนื้อนั้น จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เขา แล้วขยับไปจูบดูดดื่มกับฮ่องเต้ที่นอนแผ่อยู่บนเตียงอีกครั้ง เขากอดและหอมฉันฟอดใหญ่และพูดว่า...

       ฮ่องเต้  : ขอบใจเจ้ามาก แม้จะเป็นเพียงแค่สัมผัสจากมือเล็กๆของเจ้า แต่ก็ทำให้ข้ามีความสุข
          อันฉี  : เห็นฝ่าบาทมีความสุข หม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าคงจะแก่ ออกแรงนิดหน่อยก็หมดแรง ขอให้ข้างีบหลับซักประเดี๋ยวเถอะนะ เจ้าอยู่งีบหลับเป็นเพื่อนข้านะ
          อันฉี  : เพคะ ตื่นแล้วหม่อมฉันจึงค่อยกลับไปกินอาหารเย็นกับพี่ชาย

          ฮ่องเต้ให้ฉันนอนหนุนแขนและกอดฉันแนบอก เขาจูบและหอมฉันอยู่อย่างนั้นจนเราทั้งสองหลับไปบนเตียงด้วยกัน

          ฉันงีบหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะฮ่องเต้ขยับพลิกตัวมากอดและจูบฉันที่หน้าผาก ฉันพาดขากอดก่ายฮ่องเต้เหมือนกอดหมอนข้างแล้วงัวเงียถามเพราะยังไม่อยากตื่นนอน

          อันฉี  : ตื่นแล้วเหรอ?
       ฮ่องเต้  : เย็นแล้วนะ เจ้าจะค้างคืนกับข้าที่นี่ก็ได้ ข้ายินดีแบ่งเตียงนอนกับเจ้า
          อันฉี  : ห๊า!!! เย็นแล้วเหรอ?! ทำไมฝ่าบาทไม่รีบปลุกหม่อมฉัน กลับช้าโดนพี่ใหญ่บิดหูอีกแน่เลย!
       ฮ่องเต้  : ให้ข้าไปช่วยพูดแก้ตัวให้มั้ย?
          อันฉี  : ไม่เป็นไรเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันวิ่งกลับแป๊บเดียวก็ถึงตำหนักแล้ว ไม่ต้องให้องครักษ์ฟู่เซียงไปส่งนะเพคะ
       ฮ่องเต้  : ไม่เป็นไร ให้ฟู่เซียงวิ่งไปเป็นเพื่อนเจ้า ฮ่าฮ่า
          อันฉี  : หม่อมฉันวิ่งกลับคนเดียวสะดวกกว่าเพคะ
       ฮ่องเต้  : แต่ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า
         อั นฉี  : หม่อมฉันมีอาวุธครบมือซุกซ่อนอยู่ในเสื้อ อีกทั้งในวังยังมีทหารอยู่มากมายเดินกันเต็มไปหมด อย่ากังวลเลยเพคะ หม่อมฉันทูลลา

          ฮ่องเต้ทั้งกอดจูบและหอมแก้มฉันอีกหลายครั้งก่อนจะปล่อยให้ฉันเดินออกจากตำหนักหมู่ตัน ฉันเดินออกมาตามทางเดินและเดินไปเรื่อยๆผ่านสวนดอกไม้ และสวนสวยๆในพระราชวัง ฉันเห็นเวลายังไม่เย็นมากนักและน่าจะกลับทันเวลาอาหารเย็นจึงไม่จำเป็นต้องวิ่งและเดินชมสวนไปเรื่อยๆ

          ตลอดทางที่เดินผ่านนางกำนัลและทหาร เมื่อพวกเขาเห็นฉันต่างพากันทำความเคารพและโค้งตัวเหมือนทำความเคารพเจ้านายระดับสูง พวกเขาหลีกทางให้ฉันเดินผ่านไปก่อน จากนั้นพวกเขาจึงค่อยเดินไปกันต่อ ในตอนแรกฉันเองก็แปลกใจ จึงสอบถามนางกำนัลคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาและโค้งตัวเคารพฉันเหมือนคนอื่นๆ จึงถามว่าเหตุใดเหล่านางกำนัลและทหารจึงต้องทำความเคารพฉันด้วย นางกำนัลคนดังกล่าวบอกว่า เพราะฉันมีป้ายหยกที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ มีเพียงเจ้านายระดับสูงเท่านั้นที่มีป้ายหยกแบบนี้ จากนั้นนางกำนัลคนดังกล่าวจึงกล่าวลาและเดินจากไป ฉันหยิบป้ายหยกที่ห้อยคล้องอยู่ที่เอวขึ้นมาดูอย่างพินิจพิจารณาแล้วคิดในใจว่า... "ป้ายหยกนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง นอกจากสามารถใช้เป็นป้ายผ่านประตูวังได้แล้ว ยังช่วยทำให้เหล่านางกำนัลและทหารเกรงใจได้อีกด้วย แจ๋วจริง!".... จากนั้นฉันจึงเดินต่อไปเรื่อยๆเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินคุยกันอยู่ข้างหน้า แต่นางกำนัลทั้งสองไม่เห็นฉันที่เดินตามอยู่ทางด้านหลัง และได้ยินนางกำนัลทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับแม่ครัวที่ปรุงอาหารด้วยผักกาดขาวเน่า ฉันจึงเรียกนางกำนัลทั้งสองคนเพื่อสอบถาม

         อันฉี  : นี่ๆ! พี่สาวคนสวยทั้งสอง ขอถามอะไรหน่อยสิ
นางกำนัลคนที่ 1  : เอ๊ะ! เจ้าเรียกเราสองคนรึ? (นางกำนัลทั้งสองคนหันมามองหน้าฉัน แล้วมองมาที่ป้ายหยก จึงรีบโค้งตัวทำความเคารพ)
นางกำนัลคนที่ 2  : อุ๊ย! ขออภัยท่านหมอหญิง มีอะไรให้เรารับใช้เจ้าคะ?
          อันฉี  : เห๊!? รู้จักข้าด้วยรึ?
นางกำนัลคนที่ 2  : รู้จักเจ้าค่ะ ท่านหมอหญิงที่มีพี่ชายรูปงามทั้งสี่คน (นางกำนัลทั้งสองทำท่าทางคึกคักผสมเอียงอายเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายฉันทั้งสี่คน)
          อันฉี  : พวกเจ้าเคยเห็นพี่ชายทั้งสี่ของข้าด้วยเหรอ?
นางกำนัลคนที่ 2  : พวกเราเคยช่วยรินเหล้าให้ท่านหู่และท่านหยางในงานเลี้ยงเจ้าค่ะ
          อันฉี  : อ้อ...มิน่าล่ะ พวกเจ้ารู้จักข้าเพราะพี่ชายของข้านี่เอง
นางกำนัลคนที่ 1  : เอ่อ...เรารู้จักท่านเพราะท่านเป็นหมอหญิงส่วนพระองค์ฮ่องเต้ด้วยเจ้าค่ะ
          อันฉี  : อืม...คืองี้...พอดีข้าได้ยินพวกเจ้าคุยกันเรื่องแม่ครัวที่ถูกทำโทษ ข้าได้ยินเจ้าคุยกันว่าแม่ครัวช่างน่าเห็นใจเพราะนางมีปัญหาทางบ้านจึงทำให้นางทำงานสะเพร่านางมีปัญหาใดที่บ้านงั้นรึ?
นางกำนัลคนที่ 1  : ..... (นางกำนัลทั้งสองมองหน้ากันเพราะไม่กล้าเล่าให้ฉันฟัง)
          อันฉี  : เล่ามาเถอะน่า ข้ารู้มาว่านางถูกโบยด้วยใช่มั้ย หากนางเป็นคนน่าเห็นใจอย่างที่เจ้าสองคนพูดคุยกันข้าก็จะไปเยี่ยมนางที่คุก ทำแผลให้นางซักหน่อย แผลที่ถูกโบยจะได้หายโดยเร็ว อ่ะ! เอางี้รับนี่ไว้นะน้ำใจจากข้า

          ฉันล้วงในกระเป๋าเวทย์หยิบเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือนางกำนัลทั้งสองคนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับข่าวและเรื่องราวของแม่ครัว แต่นางกำนัลทั้งสองคนยังลังเลกล้าๆกลัวๆ

นางกำนัลคนที่ 2  : .....เราไม่กล้ารับไว้หรอกเจ้าค่ะ เราไม่กล้าพูดเรื่องของแม่ครัว เกรงถูกเข้าใจผิดหาว่ามีส่วนรู้เห็นแล้วจะถูกทำโทษ....

          ฉันล้วงหยิบเงินในกระเป๋าออกมาอีกครั้งแล้วยัดใส่มือนางกำนัลทั้งสองคนเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง แล้วพูดว่า

          อันฉี  : เอางี้นะ...หากเจ้าสองคนมีเวลาว่างช่วงหัวค่ำอยากทำงานพิเศษ งานง่ายๆไม่ยาก คืนนี้ข้าจะจ้างงานเจ้าสองคนไปคอยรินเหล้าให้พี่ชายทั้งสี่ของข้า ปกติข้าจะต้องคอยรินเหล้าให้พี่ชายทั้งสี่เวลาที่พวกเขาดื่มเหล้ากัน แต่พอดีคืนนี้ข้าเมื่อยแขน ปวดมือเพราะเพิ่งกลับจากบีบนวดให้ฮ่องเต้ แขนของข้ามันเมื่อยล้าเลยรินเหล้าให้พี่ชายทั้งสี่ไม่ไหว ถ้าเจ้าสองคนรับเงินเพราะเป็นเงินจากการทำงานพิเศษคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? แต่ถ้าเจ้าทั้งสองคนไม่อยากทำงานพิเศษก็ไม่เป็นไรนะ ข้าจะทำเป็นว่าไม่ได้ยินเรื่องอะไรที่เจ้าสองคนพูดคุยกัน ส่วนเรื่องแม่ครัวที่ถูกทำโทษข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกและก็เดินกลับตำหนักไปเงียบๆ จะถือว่าข้าไม่ได้ยินอะไร ตกลงมั้ย?
นางกำนัลทั้งสอง  : (นางกำนัลทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วพูดเบาๆปรึกษาอะไรกันบางอย่าง จากนั้นจึงหันมาพูดกับฉันว่า...)
นางกำนัลคนที่ 1  : คืนนี้เรามีเวลาว่างทำงานพิเศษได้เจ้าค่ะ
          อันฉี  : ดี งั้นเราไปคุยเรื่องงานคืนนี้กันตรงศาลาริมน้ำนั่นกันดีกว่า

          ฉันเดินนำนางกำนัลทั้งสองคนไปนั่งคุยที่ศาลาริมน้ำ และถามชื่อของนางกำนัลทั้งสองคนบอกว่าชื่อ เจียวมี่ กับ ฉิงซู ทั้งสองคนเล่าให้ฟังว่า แม่ครัวมีชื่อว่า เพ่ยจี ทำงานเป็นแม่ครัวปรุงอาหารให้นางกำนัลมาเป็นเวลานาน แม่ครัวเพ่ยจีมีจิตใจดีแม้หลายๆครั้งขี้บ่น เพราะความที่นางเป็นหญิงแก่ขี้บ่น ทำให้มีนางกำนัลหลายคนไม่ชอบแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครถือสา แม่ครัวเพ่ยจีมีลูกชายหนึ่งคน แต่เป็นลูกที่เกิดจากน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว นางจึงรับเลี้ยงลูกของน้องสาวเหมือนเป็นลูกของตัวเอง เขาคอยช่วยงานอยู่ที่บ้าน ลูกชายของนางเป็นคนติดเหล้าหนักมาก หลายครั้งที่ล้มป่วยหนักเพราะเหล้า ทำให้แม่ครัวเพ่ยจีกลุ้มใจทำงานผิดพลาดบ่อย จนมาถึงครั้งนี้ที่ทำงานผิดพลาดร้ายแรงที่สุด นางกำนัลเจียวมี่พูดขึ้นว่า...

นางกำนัลเจียวมี่  : ข้าเชื่อว่าแม่ครัวเพ่ยจีไม่คิดร้ายกับใครหรอกเจ้าค่ะ ข้าสงสารนางเหลือเกิน นางแก่แล้วถูกโบยหลายไม้อาจทนเจ็บไม่ไหว
   นางกำนัลฉีงซู  : ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้จักนางมานาน นางไม่มีเจตนาวางยาพิษใครหรอกเจ้าค่ะ แม่ครัวเพ่ยจีคงมีความกังวลเกี่ยวกับลูกชายมาก จึงเผลอหยิบผักกาดขาวเน่าไปปรุงอาหาร
          อันฉี  : เอาล่ะ งั้นคืนนี้ข้าจะไปเยี่ยมแม่ครัวเพ่ยจีที่คุก ข้าจะช่วยทำแผลให้นางคลายความเจ็บปวดจากการถูกโบย แต่ข้าช่วยละเว้นโทษให้ไม่ได้ กฏต้องเป็นกฏ หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจกันนะ
นางกำนัลทั้งสองคน  : เข้าใจเจ้าค่ะ
          อันฉี  : อืม...งั้นเจ้าสองคนเริ่มทำงานพิเศษช่วงหัวค่ำ หลังอาหารเย็นพี่ชายข้าก็เริ่มตั้งวงดื่มเหล้ากันแล้ว
นางกำนัลทั้งสองคน  : เจ้าค่ะ เราสองคนขอลา

          จากนั้นเราทั้งสามคนจึงแยกย้ายกันไป ฉันเดินกลับถึงตำหนักเหลียนฮวา หรือตำหนักดอกบัวซึ่งกลับมาทันเวลาอาหารเย็นพอดี และบอกพี่ชายทั้งสี่คนว่าคืนนี้จะมีนางกำนัลมาช่วยรินเหล้า ขอพี่ชายอย่าไล่ตะเพิดเพราะพวกนางมาทำงานให้ฉัน จากนั้นได้เล่าให้พี่ชายฟังถึงเหตุผลที่นางกำนัลทั้งสองคนจะมาช่วยรินเหล้าและเรื่องแม่ครัวที่ปรุงผักกาดเน่ากับลูกชายติดเหล้าของนาง ฉันจึงชวนซิ่นหลิงเพียงคนเดียวให้ไปเยี่ยมแม่ครัวที่ถูกจองจำด้วยกัน พี่ชายทั้งสี่ต่างมองหน้าฉันและรู้ได้ทันทีถึงจุดประสงค์ในการไปเยี่ยมแม่ครัวในครั้งนี้

          อันฉี  : เห๊! มองหน้าข้ากันทำไมล่ะ!? ข้าแค่ไปเยี่ยมแม่ครัว ไปรักษาแผลให้คนแก่ (ฉันทำหน้าเฉไฉที่เห็นพวกเขารู้ทัน)
     หยงเป่า  : เจ้าคิดจะหาคนทดลองยาหนอนชิงชังของเจ้าใช่มั้ย ข้ารู้นะ
          อันฉี  : แหม เกลียดคนรู้ทันจริงๆเลย (ฉันหยิกแก้มหยงเป่าทั้งสองข้าง)
     เฟยเจิน  : ให้ข้าไปด้วยสิ
          อันฉี  : เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ เด็กๆไม่ควรไปในที่อโคจร มันไม่ดี
     เฟยเจิน  : เจ้าอายุน้อยกว่าข้าอีก ทำไมเจ้าไปได้ แต่ห้ามไม่ให้ข้าไป
          อันฉี  : เจินเจินน้อยของข้ารออยู่ที่นี่เถอะนะ ไปกันหลายคนจะดูเอิกเกริกไปหน่อย ข้าอยากไปแบบเงียบๆ
     ซิ่นหลิง  : งั้นไปตอนตีสาม! จะเงียบมาก
          อันฉี  : ฮึ่ม!!! กวนประสาทข้าเรอะ นี่แน่ะ (ฉันเอามือบีบคอซิ่นหลิง)
       เสวี๋ยฉี  : ไปแล้วก็รีบกลับล่ะ อย่าเถลไถลหากมีอันตรายจนรับมือไม่ไหวให้เรียกข้า เข้าใจมั้ย?!
          อันฉี  : เข้าใจเจ้าค่ะ นายท่าน (ฉันแกล้งหยอกเย้าเสวี๋ยฉี)
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 27
(เหล้าเห็ดหฤหรรษ์)

          หลังอาหารเย็น ฉันและซิ่นหลิงไปที่คุกหลวงเพื่อเข้าเยี่ยมแม่ครัวเพ่ยจี คุกที่นี่มีขนาดใหญ่แต่มีบรรยากาศอึมครึมมืดมน มีทหารเฝ้าหน้าประตูสองคน และมีทหารอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในประตูคอยตรวจสอบผู้เข้าเยี่ยมนักโทษ

          ที่หน้าประตูคุกซิ่นหลิงแจ้งทหารว่าต้องการเข้าเยี่ยมแม่ครัวเพ่ยจี ทหารมองเห็นป้ายหยกที่เอว พวกเขาจึงเปิดทางและพาฉันเข้าไปเยี่ยมแม่ครัวที่ถูกคุมขังด้านใน เราพบแม่ครัวเพ่ยจีถูกโบยจนเนื้อตัวเขียวฟกช้ำ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นอนร้องไห้โอดโอยอยู่ในห้องขัง ท่าทางของนางคงจะเจ็บปวดมากเพราะนางมีอายุมากแล้วจึงทนความเจ็บปวดไม่ไหว ฉันนั่งลงที่หน้าลูกกรงห้องขังแล้วเอ่ยถามถึงอาการบาดเจ็บ แม่ครัวเพ่ยจีพยายามขยับคลานคุกเข่ามาคุยใกล้ๆกับฉันที่นั่งอยู่ที่หน้าลูกกรงขัง นางก้มศรีษะคำนับกับพื้นและร้องห่มร้องไห้พร่ำบอกว่าไม่ได้มีเจตนาคิดทำร้ายใคร เป็นความสะเพร่าของนางเท่านั้น เพราะนางคิดถึงแต่เรื่องของลูกชายจึงทำให้การปรุงอาหารเกิดความผิดพลาด ซิ่นหลิงจึงยื่นยาทาแผลและขวดยาน้ำเล็กๆให้นางไว้ดื่มบรรเทาปวดและลดไข้จากการถูกโบยหลายไม้

          ฉันจึงเอ่ยถามนางถึงลูกชายที่ติดเหล้า นางบอกว่าลูกชายของนางชื่อ เหยียนเต๋อ เป็นลูกชายคนเดียวของนางและไม่ใช่คนเลวร้าย เพียงแต่ติดเหล้า เมื่อก่อนเขาเคยช่วยงานขยันขันแข็ง ต่อมาภายหลังเขารู้จักเพื่อนคนหนึ่งและชวนกันไปดื่มเหล้า พวกเขาเริ่มซื้อขายเหล้าให้กัน สุดท้ายเหยียนเต๋อติดเหล้างอมแงม วันไหนที่ไม่ได้ดื่มเหล้าที่ซื้อจากเพื่อนคนนั้นเขาจะรู้สึกหงุดหงิด บางครั้งอาละวาดพังข้าวของเพื่อให้ได้ดื่มเหล้า เขาเคยคิดเลิกแต่ก็เลิกไม่ได้หวนกลับไปดื่มอีกทำให้นางกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ฉันจึงถามต่ออีกว่า...

          อันฉี  : ท่านป้า หากข้าทำให้ลูกชายของท่านสามารถเลิกติดเหล้าได้ ท่านต้องการให้ข้าช่วยเขาหรือไม่
แม่ครัวเพ่ยจี  : ข้าต้องการเจ้าค่ะ ขอท่านหมอหญิงโปรดช่วยให้ลูกชายข้าเลิกติดเหล้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านเป็นหมอหญิงส่วนพระองค์ฮ่องเต้ ค่ายารักษาคงต้องมีราคาแพง แต่ข้าไม่มีเงินมากพอจะจ่ายค่ายา ให้ข้าทำงานให้ท่านแลกกับค่ายาได้ไหมเจ้าคะ?
          อันฉี  : ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้ารักษาให้ไม่คิดเงิน แต่หากข้ารักษาลูกชายท่านจนหายติดเหล้า แล้วเขากลับไปดื่มเหล้าเมามายจนติดเหล้าอีก ต่อไปข้าจะคิดค่ายาและค่ารักษาราคาแพงจนท่านจ่ายไม่ไหว ส่วนเรื่องคดีของท่านป้า ท่านต้องได้รับโทษตามความผิด ข้าเองไม่สามารถก้าวก่าย ขอท่านป้าโปรดเข้าใจ
แม่ครัวเพ่ยจี  : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านหมอหญิงจริงๆ (นางก้มศรีษะคำนับกับพื้นแล้วร้องไห้)
          อันฉี  : ท่านป้าลุกขึ้นเถอะ ข้าอายุสั้นกันพอดี ท่านอย่าร้องไห้อีกเลยนะ ดื่มยานี่ซะ และทายาที่แผลกับรอยฟกช้ำ แล้วก็นอนพักพรุ่งนี้อาการเจ็บปวดจากการถูกโบยของท่านก็จะดีขึ้น พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปรักษาลูกชายขี้เหล้าให้ท่านเอง ข้าไปล่ะ

          ฉันและซิ่นหลิงเดินออกจากสถานที่คุมขังนักโทษ ซิ่นหลิงจึงเอ่ยถามฉันว่า...

     ซิ่นหลิง  : เจ้าเนี่ยเริ่มมีชื่อเสียงแล้วนะ ทหารและนางกำนัลพากันก้มศรีษะเคารพ
          อันฉี  : พวกเขาไม่ได้เคารพข้า เขาเคารพป้ายหยกนี่ต่างหากเล่า!
     ซิ่นหลิง  : พรุ่งนี้เราจะไปที่บ้านของแม่ครัวนั่นรึ?
          อันฉี  : ใช่แล้ว ข้าจะให้นางกำนัลสองคนนั่นนำทางพาเราไป เพราะงั้นคืนนี้พี่สามต้องอ่อนโยนยิ้มหวานๆให้นางกำนัลสองคนที่มาทำงานรินเหล้าคืนนี้ด้วยนะ
     ซิ่นหลิง  : ทำไมข้าต้องอ่อนโยนยิ้มหวานๆให้นางกำนัลสองคนนั้นด้วยเล่า?!
          อันฉี  : เพราะข้าไม่มีเงินจ่ายให้นางกำนัลสองคนนั่นแล้วน่ะสิ! วันนี้ข้าจ่ายเงินซื้อข่าวให้นางกำนัลทั้งสองคนไปหมดแล้ว ดังนั้นท่านต้องช่วยข้าประหยัดค่าซื้อข่าวและค่าคนนำทางให้ข้า อ้อ! พรุ่งนี้ขากลับจากบ้านแม่ครัวเพ่ยจี ข้าอยากกินบะหมี่ที่ตลาด ท่านจ่ายเงินค่าบะหมี่ให้ข้าด้วยนะ! ข้าไม่อยากไปเบิกเงินที่ใหญ่ เดี๋ยวเขาจะบ่นว่าข้าใช้เงินฟุ่มเฟือย
      ซิ่นหลิง  : ข้าจ่ายค่าคนนำทางให้เจ้าก็ได้ อย่าให้ข้าต้องนั่งยิ้มหวานให้พวกนางเลย ตอนงานเลี้ยงครั้งที่แล้วพวกนางกำนัลก็จับเนื้อแตะตัวข้าจนข้าขนลุกไปหมด
          อันฉี  : ต้องมือหญิงบ้างนิดหน่อยจะเป็นไรไปเล่า
     ซิ่นหลิง  : แต่มันดูแปลกๆอยู่นะ ข้ากับพวกพี่ๆก็ชอบดื่มเหล้า และดื่มมานานเป็นพันปีแล้ว พวกข้าไม่เห็นจะติดเหล้างอมแงมเหมือนลูกชายนางสักนิด
          อันฉี  : ท่านไม่ใช่มนุษย์นะอย่าลืม ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่...ก็น่าแปลกจริงๆอย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ เหล้าอะไรจะมีรสชาติเอร็ดอร่อยจนถึงขาดไม่ได้

          ฉันกับซิ่นหลิงเดินห่างออกมาจากคุกไม่ไกลนัก ก็พบกับองครักษ์จิ้นฝานที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ ฉันจึงกล่าวทักทายองครักษ์จิ้นฝาน

          อันฉี  : คุณองครักษ์จิ้นฝาน จะไปไหนเหรอ?
      จิ้นฝาน  : ข้ามาหาท่านหมอหญิงนี่แหละ
          อันฉี  : ท่านอ๋องป่วยเหรอ?
      จิ้นฝาน  : ท่านอ๋องไม่ได้ป่วย ท่านอ๋องสบายดี แต่ท่านอ๋องส่งข้ามาเรื่องคดีแม่ครัวปรุงผักกาดขาวเน่า
      ซิ่นหลิง  : เอ๊ะ! คดียังไม่จบอีกรึ?!
      จิ้นฝาน  : คดีจบแล้ว เพียงแต่ท่านอ๋องส่งข้ามาคุยกับหมอหญิงว่าพบอะไรผิดปกติเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ข้าไปหาหมอหญิงที่ตำหนักไม่พบ ท่านไป๋บอกว่าหมอหญิงมาเยี่ยมแม่ครัวที่นี่ ข้าจึงตามมา มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นงั้นรึ?
          อันฉี  : ข้าแค่เอายามาให้แม่ครัวทาแผลที่ถูกโบยแค่นั้น และพูดคุยเรื่องทั่วไปนิดหน่อยน่ะ
      จิ้นฝาน  : งั้นรึ ได้พูดคุยถึงเรื่องลูกชายของนางด้วยหรือไม่?
      ซิ่นหลิง  : ลูกชายของนางเป็นอะไรรึ?
      จิ้นฝาน  : ข้าได้ยินมาว่านางมีลูกชายหนึ่งคนกำลังติดเหล้า พักนี้ชายหนุ่มในเมืองเริ่มติดเหล้ากันเพิ่มขึ้นผิดปกติ ท่านอ๋องสั่งให้ข้าหาสาเหตุของเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน บางทีลูกชายของนางอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ไหนๆพวกท่านก็อยู่ที่นี่แล้ว งั้นเราไปสอบถามนางเรื่องลูกชายด้วยกันเลยดีกว่า
     ซิ่นหลิง  : เราสองคนคุยกับนางมาแล้ว นางบอกว่าลูกชายของนางติดเหล้าหนัก พรุ่งนี้น้องห้าจะไปรักษาอาการติดเหล้าให้เขา
          อันฉี  : เราเดินกันไปคุยกันไปด้วยดีกว่านะ
      จิ้นฝาน  : อื้ม!
          อันฉี  : ทำไมคุณองครักษ์ถึงรู้เรื่องลูกชายของแม่ครัวเพ่ยจีล่ะ?
      จิ้นฝาน  : ตั้งแต่เกิดเรื่องผักกาดพิษ ท่านอ๋องจึงส่งคนให้ไปสืบที่บ้านของแม่ครัวเพ่ยจี ก็พบลูกชายของนางมีอาการแปลกๆจึงสอบถามกับเพื่อนบ้านต่างบอกว่าลูกชายของนางติดเหล้าหนัก ซึ่งลักษณะแบบนี้ตรงกับอาการของชายหนุ่มหลายคนที่อยู่ๆก็หันไปติดเหล้าหนักผิดปกติ
      ซิ่นหลิง  : ท่านอ๋องของเจ้าเนี่ยเห็นเงียบๆเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักกล้วยไม้ ที่แท้ก็หูตาว่องไวไม่เบา
      จิ้นฝาน  : แม้เวลาส่วนใหญ่ท่านอ๋องจะเก็บตัวอยู่ในตำหนัก แต่ก็มิได้ปล่อยวางเรื่องการทหาร ท่านอ๋องมีความเชี่ยวชาญด้านการรบ ท่านอ๋องมีกลุ่มทหารลับคอยสอดส่องเหตุการณ์ในเมือง หากมีเหตุการณ์ผิดปกติจะได้รับมือได้ทันท่วงที
          อันฉี  : ว้าว! ท่านอ๋องเนี่ย นอกจากจะหล่อ ยิ้มมีเสน่ห์แล้วยังเก่งอีกด้วย น่าชื่นชมๆ
      ซิ่นหลิง  : ชิ! (ซิ่นหลิงยกมือมาเขกหัวฉันเพราะหมั่นใส้ที่ฉันชื่นชมท่านอ๋องอย่างออกนอกหน้า)
          อันฉี  : โอ๊ยเจ็บนะ!
      จิ้นฝาน  : พรุ่งนี้พวกท่านจะไปพบลูกชายของแม่ครัวรึ ข้าไปด้วยสิ! เผื่อได้เบาะแสอะไรเพิ่ม
          อันฉี  : ได้สิ! ว่าแต่ท่านรู้ทางไปบ้านของแม่ครัวหรือไม่?
      จิ้นฝาน  : ข้าไม่รู้ทางไปบ้านของนางหรอก แต่ทหารลับรู้ทางสามารถนำทางได้ อีกอย่างข้าสั่งทหารลับคอยเฝ้าจับตาลูกชายของนางไว้ด้วย ทหารลับเพิ่งรายงานมาว่า เห็นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางลับๆล่อๆมาพบลูกชายของนางในมือถือไหเหล้ามาด้วยไหหนึ่ง น่าจะเป็นการซื้อขายเหล้า
      ซิ่นฝาน  : ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องนั่งยิ้มหวานเพื่อจ่ายเป็นค่าคนนำทาง งั้นเจ้าองครักษ์คืนนี้ไปดื่มเหล้ากับพวกข้า
      จิ้นฝาน  : ได้

          คืนนี้พี่ชายทั้งสี่มีองครักษ์จิ้นฝานมาร่วมดื่มเหล้าด้วย เป็นการสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีทำให้วงเหล้าดูครึกครื้นขึ้นมาอีกเล็กน้อย

          เช้าวันนี้เราออกเดินทางไปที่หมู่บ้านที่แม่ครัวเพ่ยจีอาศัยอยู่ด้วยการขี่ม้าเป็นพาหนะ โดยฉันนั่งม้าตัวเดียวกับเสวี๋ยฉี เราห้าคนพี่น้องตกลงกันว่าจะไม่ใช้พลังเวทย์ต่อหน้ามนุษย์โดยไม่จำเป็น เพราะหากขึ้นกระบี่หรือขี่เสือดำจะทำให้ชาวบ้านตกใจพาลจะคิดไปว่าปีศาจมาบุกหมู่บ้านก็เป็นได้

          ไม่นานนักทหารลับก็พาเรามาถึงบ้านของแม่ครัวเพ่ยจี พบทหารลับอีกคนหนึ่งที่เฝ้าจับตา เหยียนเต๋อ ที่รออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว และรายงานจิ้นฝานว่าเมื่อตอนเช้าตรู่มีชายคนหนึ่งถือไหเหล้ามาพบเหยียนเต๋อ จากนั้นเหยียนเต๋อส่งเงินให้จำนวนหนึ่งแล้วชายคนนั้นก็เดินจากไป แต่มีทหารลับอีกคนหนึ่งได้แอบติดตามชายคนดังกล่าวไปด้วยเพื่อดูว่าเป็นใครมาจากที่ไหน

          จิ้นฝานจึงพาเราเข้าไปในบริเวณหน้าบ้านและเรียก เหยียนเต๋อ ออกมาพบ พอสิ้นสุดเสียงเรียกของจิ้นฝาน ก็มีชายคนหนึ่งรูปร่างสันทัด แต่ดูไร้สง่าราศรี หน้าตาหมองคล้ำเดินออกมาที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นพวกเราที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน เหยียนเต๋อจึงเกิดอาการตกใจและรีบถามว่าพวกเราเป็นใคร ทหารลับคนหนึ่งรีบเข้าไปตรวจค้นในบ้าน ส่วนทหารลับอีกคนหนึ่งเข้าจับตัวล็อคแขนเหยียนเต๋อไม่ให้เขาขยับตัวหนีหรือขัดขืน เหยียนเต๋อทั้งตกใจและทั้งหวาดกลัวที่ถูกจับกุม ในขณะเดียวกันเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่ได้ยินเสียงโวยวายของเหยียนเต๋อ ต่างพากันเดินออกมายืนดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาขัดขวางเพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นทหารมาจากในวังหลวง จึงทำได้เพียงแค่ยืนดูและพูดคุยซุบซิบ จากนั้นเหยียนเต๋อจึงถามพวกเราอีกครั้งว่าเป็นใคร

เหยียนเต๋อ  : พวกเจ้าเป็นใคร มาจับตัวข้าไว้ทำไม?!
     จิ้นฝาน  : ข้าเป็นทหารมาจากในวังหลวง มาตรวจค้นบ้านเจ้าคดีลักลอบซื้อขายเหล้าเถื่อน
เหยียนเต๋อ  : เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ได้ซื้อขายเหล้าเถื่อน ข้าแค่ซื้อเหล้าธรรมดามาดื่มเท่านั้น
ทหารลับคนที่ 1  : ข้าตรวจค้นบ้านจนทั่วมีเหยียนเต๋ออยู่คนเดียว ไม่พบคนอื่นอีก และพบไหเหล้าสองไหนี้อยู่ในบ้าน
     จิ้นฝาน  : เหล้าสองไหนี้เจ้าดื่มเป็นประจำงั้นรึ?
เหยียนเต๋อ  : ใช่ ข้าซื้อมาจากเพื่อนคนหนึ่ง
     จิ้นฝาน  : ท่านหมอหญิงท่านสามารถตรวจสอบเหล้าในไหได้หรือไม่
          อันฉี  : ข้าจะให้พี่ชายข้าตรวจสอบ ช่วยรินเหล้าให้พี่ชายข้าหนึ่งถ้วย

          ทหารลับคนที่ 1 รินเหล้าในไหใส่ถ้วยเล็กๆแล้วส่งให้หยงเป่าดื่ม เสวี๋ยฉี ซิ่นหลิง และเฟยจินที่ยืนอยู่ใกล้ๆจึงขอทดลองชิมเหล้าในไหทั้งสองไหด้วย พี่ชายทั้งสี่ทันทีที่ได้ดื่มชิมเหล้าทั้งสองไหนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหล้าในไหมีพิษชนิดหนึ่งผสมอยู่ ซึ่งหยงเป่ายังบอกเพิ่มเติมอีกว่า เขาได้กลิ่นและรสชาติของเห็ดที่ผสมอยู่ในเหล้า ฉันจึงขอดมเหล้าในไห แล้วใช้นิ้วจิ้มเหล้าในไหมาชิมเพียงแตะเล็กน้อยที่ปลายลิ้น แล้วพูดว่า...

          อันฉี  : อื้ม! ข้าก็ได้กลิ่นและได้รสชาติของเห็ด คุณทหารลับช่วยรินเหล้าใส่ถ้วยให้ข้าตรวจดูอีกครั้งหนึ่งซิ
      จิ้นฝาน  : ให้ข้าทดลองชิมเหล้าด้วยจะได้หรือไม่?
          อันฉี  : อย่าดีกว่า หากท่านชิมแล้วเกิดติดใจรสชาติเหล้าแบบเหยียนเต๋อขึ้นมาจะลำบาก

          ทหารลับคนที่ 1 จึงรินเหล้าใส่ถ้วยแล้วส่งให้ฉันรับมาถือแล้วมองดูเหล้าด้วยดวงตาปีศาจ เห็นภายในเหล้ามีพิษที่เกิดจากการผสมเนื้อเห็ดสับละเอียดชนิดหนึ่งลงไป ฉันจึงสอบถามพี่ชายและจิ้นฝานเกี่ยวกับเห็ดชนิดนี้

          อันฉี  : ภายในเหล้ามีเนื้อเห็ดชนิดหนึ่งถูกสับละเอียดผสมอยู่ เห็ดชนิดนี้มีสีเหลืองอ่อนซีดๆขึ้นอยู่ตามกองมูลสัตว์

           พูดยังไม่ทันจบฉันก็มีอาการคลื่นใส้ ออกอาการโอ้กอ้าก อาเจียรออกมา จนพวกเขาพากันเข้ามาลูบหลังและมองดูฉันด้วยความตกใจเพราะคิดว่าฉันได้รับพิษจากเหล้า เมื่ออาเจียรเสร็จฉันจึงหยิบน้ำเปล่ามาล้างปากแล้วดื่มน้ำล้างคอ จากนั้นก็ล้วงหยิบผลอัคคีที่อยู่ในกระเป๋าเวทย์ออกมากินล้างปากอีกที ทหารลับ เหยียนเต๋อ และชาวบ้าน เห็นฉันกินผลไม้ไฟต่างมีอาการตกใจและประหลาดใจเพิ่มขึ้นไปอีก พวกพี่ชายจึงรีบเอ่ยถามขึ้นว่า....

    หยงเป่า  : น้องห้า เจ้าได้รับพิษจากเหล้ารึ?!
         อันฉี  : เปล่า! ข้าอาเจียรเพราะข้านึกถึงตอนที่ข้าชิมเหล้าผสมเห็ดที่เกิดและเติบโตขึ้นบนกองมูลสัตว์ น่ะ.....อึก โอ้ก อ้วกก....ขอโทษๆ ข้าขอเวลาพักแป๊บนึง โอ้ก อ้วกกกก
     เสวี๋ยฉี  : มันน่าฆ่าทิ้งนักเจ้าคนหมักเหล้าสกปรก บังอาจทำให้สาวน้อยของข้าอาเจียรแทบหมดใส้หมดท้อง (เสวี๋ยฉีเอาปลายแขนเสื้อช่วยเช็ดน้ำที่เปียกปากฉัน)
    เฟยเจิน  : ข้าตกใจหมดเลยคิดว่าน้องห้าได้รับพิษ
    ซิ่นหลิง  : น้องห้า จินตนาการเก่งชะมัดชิมเหล้าแค่ปลายนิ้วแท้ๆยังอาเจียรซะหมดท้อง เมื่อกี้เล่นเอาข้าแปลกใจ ขนาดพิษร้ายแรงระดับผลอัคคียังคร่าชีวิตเจ้าไม่ได้ แต่แค่เหล้าเห็ดบนมูลสัตว์ใยถึงมีผลกับเจ้าได้ขนาดนี ฮ่าฮ่าฮ่า
          อันฉี  : อย่าพูดสิ! โอ้กกกก อ้ากกกก
     หยงเป่า  : พอเถอะน่าเจ้าสาม อย่าพูดถึงอีก
      จิ้นฝาน  : หมอหญิง เป็นยังไงบ้าง ไหวไหม?
          อันฉี  : ไหว ข้าไม่เป็นไร คืองี้...เห็ดชนิดนี้ใครกินเข้าไปจะทำให้เกิดอาการมึนเมา เห็นภาพหลอนลวงตา อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หากกินมากเกินไปจะทำให้หายใจติดขัดอาจเสียชีวิตได้ แต่ในกรณีที่ผสมใส่เหล้าดื่มในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป จะทำให้เกิดความเพลิดเพลินต่อความรู้สึกต่างๆ จนเกิดการเสพติดและจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เหล้าชนิดนี้มาดื่ม
      จิ้นฝาน  : ถ้าหากคนขายเหล้าชนิดนี้ต้องการเรียกเงินจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม หรือสั่งให้คนที่ติดมันทำอะไรสักอย่างตามที่เขาต้องการเพื่อแลกเปลี่ยนกับเหล้าก็สามารถทำได้ใช่หรือไม่?
          อันฉี  : ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : แต่ที่แคว้นนี้ไม่เคยมีเห็ดชนิดนี้ขึ้นอยู่ แสดงว่าต้องเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นจากแคว้นอื่นแน่ๆ
     จิ้นฝาน  : ข้าเคยได้ยินเรื่องเห็ดชนิดนี้มาบ้างนิดหน่อยมันคือ เห็ดหฤหรรษ์ เป็นเห็ดที่เกิดขึ้นในแคว้น ซูเซียว แคว้นบ้านเกิดของพระชายา แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเห็ดชนิดเดียวกันหรือไม่ คงต้องทำการตรวจสอบและไต่สวนกันอีกครั้ง ข้าจะจับตัวเหยียนเต๋อไปสอบสวน
          อันฉี  : คุณองครักษ์ ข้าขอเวลาสักครู่ขอพูดคุยบางอย่างกับเหยียนเต๋อหน่อย
      จิ้นฝาน  : เชิญเลย
          อันฉี  : เหยียนเต๋อ เจ้ารู้มั้ยตอนนี้แม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน?
เหยียนเต๋อ  : แม่ของข้าอยู่ในวัง ทำงานเป็นแม่ครัวอยู่ในวังหลวง
          อันฉี  : ใช่! แม่ของเจ้าทำงานเป็นแม่ครัวอยู่ในวังหลวง แต่ตอนนี้นางไม่ได้กำลังทำงานอยู่ในครัว แต่นางกำลังถูกจองจำอยู่ในคุก เพราะเจ้า! เจ้ามันลูกอกตัญญู แม่ครัวเพ่ยจีถูกโบยหลายไม้ เนื้อตัวแตกฟกช้ำดำเขียว เจ็บปวดเจียนตายเพราะเป็นห่วงเจ้า กลุ้มใจเรื่องที่เจ้าติดเหล้า นางทำงานผิดพลาดร้ายแรงจนถูกโบยถูกจองจำอยู่ในคุก เจ้ารู้บ้างหรือไม่?!
เหยียนเต๋อ  : ท่านพูดจริงรึ แม่ข้าถูกโบยถูกจองจำจริงๆรึ?
          อันฉี  : จริงสิ! และนางต้องการให้เจ้าเลิกเหล้า เจ้าจะว่ายังไง?!
เหยียนเต๋อ  : ข้าอยากเลิกดื่มเหล้าแต่ทุกครั้งที่ข้าพยายามเลิก มันทำให้ข้าทรมาน ข้าอยากเลิกเหล้าเพื่อแม่ของข้า (เหยียนเต๋อร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ)
          อันฉี  : ดี งั้นข้าจะรักษาอาการติดเหล้าให้เจ้า แต่เจ้าต้องสาบานต่อหน้าฟ้าดิน สาบานต่อเทพเซียนที่อยู่เบื้องหน้าของเจ้า (ฉันผายมือไปที่พี่ชายทั้งสี่ที่ยืนอยู่) ว่าจะเลิกเหล้าและตั้งใจทำมาหากิน หากเจ้าผิดคำสาบานขอให้เจ้าไม่ตายดี
เหยียนเต๋อ  : ข้าขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ต่อเทพเซียนเบื้องหน้า ข้าจะเลิกเหล้าและตั้งใจทำมาหากิน หากข้าผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินและเหล่าเซียนลงทัณฑ์ให้ข้าไม่ตายดี
          อันฉี  : เทพเซียนได้ยินคำสาบานของเจ้าชัดแจ๋ว อย่าผิดคำสาบานเด็ดขาด (จากนั้นฉันก็หันไปยักคิ้วให้พี่ชายทั้งสี่แบบรู้กัน)
เหยียนเต๋อ  : ขอรับ
          อันฉี  : เอาล่ะ เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเพราะการรักษาของข้ามันออกจะโหดร้ายนิดหน่อย และข้าจะไม่ปราณีเจ้าแม้แต่น้อย
เหยียนเต๋อ  : ข้าพร้อมขอรับ

          ฉันจึงบอกให้ทหารลับสองคนจับตัวเหยียนเต๋อไว้ให้อยู่นิ่งๆ แล้วบอกให้เหยี๋ยนเต๋ออ้าปากรอรับยา จากนั้นฉันจึงให้เฟยเจินล้วงเอาหนอนชิงชังตัวอ้วนเป็นๆที่อยู่ในกระเป๋าเวทย์ออกมาหย่อนใส่ปากเหยียนเต๋อ จิ้นฝานเห็นดังนั้นจึงทักฉันว่า....

      จิ้นฝาน  : เดี๋ยวๆ นั่นหนอนอะไร ใช่ยาเลิกเหล้าจริงๆรึ?
          อันฉี  : ใช่ นั่นแหละยาเลิกเหล้า มันคือ หนอนชิงชัง
      จิ้นฝาน  : ข้าไม่เคยเห็นหนอนชิงชังมาก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่าหนอนช่วยเลิกเหล้าได้
          อันฉี  : เราจะได้รู้พร้อมกันวันนี้แหละ เจินเจินจัดการเลย
     จิ้นฝาน  : ห๊า! ว่าไงนะ?! นี่เจ้าใช้เขาทดลอง.....!

          จิ้นฝานพูดไม่ทันจบคำ เฟยเจินจับหนอนชิงชังยัดใส่ปากเหยียนเต๋อเสร็จเรียบร้อย เขาดิ้นทุรนทุรายเพราะพิษหนอนชิงชัง จากนั้นซิ่นหลิงหยิบไหเหล้าพิษเห็ดหฤหรรษ์เทกรอกใส่ปากเหยียนเต๋อจนเหยียนเต๋ออาเจียรออกมา ซิ่นหลิงเทเหล้ากรอกปากเขาอีก เหยียนเต๋อก็อาเจียรออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ซิ่นหลิงยังคงกรอกเหล้าเหยียนเต๋ออยู่อย่างนั้น จิ้นฝานและชาวบ้านต่างยืนมองดูด้วยความหวาดกลัวและตกใจ จิ้นฝานจึงรีบถามฉันว่า....

     จิ้นฝาน  : นี่หมอหญิง วิธีนี้รักษาได้ผลจริงรึ?! มันเหมือนกรอกเหล้าทรมานกันชัดๆ
          อันฉี  : ใช่ พี่สี่บอกว่าวิธีนี้ได้ผล เราต้องทรมานเขา ดังคำที่ว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา พี่สี่บอกข้าแบบนั้น
     จิ้นฝาน  : ห๊า! งั้นการรักษานี้เจ้าก็ไม่ได้เป็นคนคิดค้นหรอกเรอะ?!
          อันฉี  : เปล่า หนอนชิงชัง ข้าได้มาจากป่าตะวันออกแถวบ้านเก่าของพี่สี่ เขาเป็นคนจับมาให้ข้า พี่สี่บอกข้าเรื่องยาตัวนี้และวิธีรักษา ส่วนข้าแค่ตรวจสอบตัวยา และนำตัวยามาใช้ให้เหมาะสมและหาคนทดลองยาแค่นั้น
      จิ้นฝาน  : แล้วเหยียนเต๋อจะตายมั้ยนั่นน่ะ!!!
          อันฉี  : ไม่ตายหรอก ข้ามองเห็นพิษเห็ดหฤหรรษ์ในตัวเขามันออกมาพร้อมกับอาเจียร พิษเริ่มจางลงแล้ว ท่านเอาชานี่ไปต้มในบ้านรอให้เหยียนเต๋อดื่มหลังการรักษาเถอะ
      จิ้นฝาน  : แล้วนี่คือชาอะไร?
          อันฉี  : ชาร่ำสุรา แก้สร่างเมา เหยียนเต๋อดื่มเหล้าเข้าไปเยอะ คงต้องดื่มชานี่แล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
      จิ้นฝาน  : อ้าว?! แล้วเจ้าไม่ได้ปรุงยารักษาอาการหลังจากนี้รึ
          อันฉี  : เปล่า เมื่อคืนข้าเมาเลยปรุงยาไม่ทัน
      จิ้นฝาน  : ห๊า! พวกเจ้าเนี่ยน่ากลัวชะมัด!

          จิ้นฝานรีบรับชาร่ำสุราไปต้มในบ้านตามที่ฉันบอก ฉันจึงหันไปดูการรักษาเหยียนเต๋อต่อด้วยอาการผะอืดผะอมอยากอาเจียรตามไปด้วย หยงเป่าจึงเข้ามาช่วยลูบหลังให้ฉัน แล้วบอกให้ฉันหลับตา พอรักษาเสร็จค่อยลืมตาอีกครั้ง หยงเป่าโอบกอดฉันไว้แล้วให้ฉันหลับตา

          สักพักการรักษาจึงยุติลงเพราะซิ่นหลิงกรอกเหล้าเหยียนเต๋อจนหมดไห เหยียนเต๋ออาเจียรจนหมดแรง ทหารลับสองคนที่จับเขาอยู่ พยุงเหยียนเต๋อไปนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน จากนั้นจิ้นฝานจึงรีบเทน้ำชาร่ำสุราใส่ถ้วยและยกมาให้เหยียนเต๋อดื่ม เรารอสักพักให้เหยียนเต๋อค่อยยังชั่ว ฉันจึงตรวจร่างกายเขาด้วยดวงตาปีศาจ และไม่เห็นพิษเห็ดหฤหรรษ์ในร่างกายเขาอีกแล้ว ฉันจึงถามเหยียนเต๋อว่า...

          อันฉี  : รู้สึกเป็นยังไง รู้สึกโล่งขึ้นมั้ย?
เหยียนเต๋อ  : ข้ารู้สึกโล่งขึ้นมาก ตัวเบาสบายมากขึ้นกว่าเดิม และตอนนี้ข้าก็แขยงและหวาดกลัวการดื่มเหล้ามาก นึกถึงแล้วอยากจะอาเจียรอีกครั้ง ขอชาให้ข้าดื่มอีกถ้วยหนึ่งเถอะ....
          อันฉี  : ดี ถ้าเจ้าค่อยยังชั่วแล้วเจ้าต้องไปกับองครักษ์จิ้นฝาน ให้เขาทำการไต่สวน
เหยียนเต๋อ  : ข้าขอไปเยี่ยมแม่ของข้าก่อนจะได้หรือไม่ ป่านนี้แม่ข้าจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้ ข้าเป็นลูกอกตัญญูเหลือเกิน
      จิ้นฝาน  : ได้ ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมแม่ของเจ้าเอง แต่ต้องหลังจากไต่สวนเจ้าเสร็จ ส่วนเรื่องแม่ของเจ้าอย่าห่วง ก่อนข้ามาที่นี่ ข้าเพิ่งไปเยี่ยมนางที่คุก บาดแผลและรอยฟกช้ำที่นางถูกโบยได้รับยารักษาจากหมอหญิงอันฉี หมอทวดา อาการเจ็บปวดของแม่เจ้าจึงหายดีภายในชั่วข้ามคืน เมื่อครบกำหนดคุมขังแม่ของเจ้าก็จะได้รับการปลดปล่อย ส่วนเหล้าที่เหลืออีกไหหนึ่งข้าจะเก็บไปไว้เป็นหลักฐาน
เหยียนเต๋อ  : ขอบพระคุณพวกท่านจริงๆ ขอบพระคุณท่านหมอหญิงที่ช่วยเหลือข้ากับแม่ (เหยียนเต๋อลุกขึ้นจากแคร่แล้วนั่งลงคุกเข่ากับพื้นก้มศรีษะคำนับฉัน)
          อันฉี  : ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ใช่หมอเทวดา เฮ่อ! อายุข้าสั้นแล้วสั้นอีก
       เสวี๋ยฉี  : เอาล่ะๆ หมดธุระพวกเราแล้ว เราไปกินบะหมี่ที่ตลาดกันดีกว่า
          อันฉี  : ดี ข้าหิวแล้ว ข้าจะกินบะหมี่สองชาม
     หยงเป่า  : เมื่อคืนน้องห้า บอกว่าเจ้าสามจะเป็นคนจ่ายค่าบะหมี่ให้พวกเราวันนี้
      ซิ่นหลิง  : ห๊า! เจ้าห้า นี่เจ้าคิดจะถลุงเงินของข้าให้หมดเกลี้ยงเลยงั้นเรอะ?! (ซิ่นหลิงเข้ามาล็อคคอฉันแล้วหยิกแก้มแบบหยอกล้อ)
      เฟยเจิน  : พี่สาม ข้าขอกินบะหมี่สองชามด้วย
       ซิ่นหลิง  : เจ้าบ้า! ข้าให้เจ้ากินแค่ชามเดียวพอ
      หยงเป่า  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          เราห้าคนพี่น้องกำลังจะแยกตัวไปกินบะหมี่ที่ตลาด ทันใดนั้นก็มีลุงและป้าคู่หนึ่งที่เป็นชาวบ้านมายืนดูการรักษาเหยียนเต๋อตั้งแต่ต้น วิ่งพรวดเข้ามานั่งขวางทางและทั้งคู่ก็นั่งลงคุกเข่าก้มศรีษะคำนับกับพื้น ขอร้องให้เราช่วยรักษาลูกชายของเขาที่กำลังติดเหล้าชนิดเดียวกันกับเหยียนเต๋อ จากนั้นจึงมีชาวบ้านคนอื่นๆอีก 3 คนรีบเข้ามานั่งคุกเข่าขอร้องให้ช่วยรักษาอาการติดเหล้าลูกชายของพวกเขาด้วยเช่นกัน จิ้นฝานเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาสอบถามชาวบ้าน จึงได้ความว่าลูกชายของพวกเขาก็ติดเหล้าและมีอาการแบบเดียวกันกับเหยียนเต๋อ จิ้นฝานจึงหันมาถามฉันว่าจะทำอย่างไรดีกับชาวบ้านพวกนี้ ฉันจึงบอกจิ้นฝานไปว่า ฉันสามารถรักษาให้ได้แค่คนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ เพราะหนอนชิงชังที่ฉันนำติดตัวมาด้วยเหลืออยู่แค่ตัวเดียว และฉันจะรักษาลูกชายของลุงกับป้าที่มาขอร้องเป็นคนแรกเมื่อกี้ ส่วนที่เหลือให้จิ้นฝานจดชื่อเอาไว้เพื่อรอรับการรักษาภายหลัง เพราะฉันต้องกลับไปจับหนอนชิงชังที่ป่าอัคคีทางตะวันออกมาเพิ่ม เฟยเจินจึงเรียกนกเหยี่ยวนีโอให้ไปส่งข่าวถึง หลี่เฉียง งูเห่าดำยักษ์ที่ป่าไผ่เขียว ให้ไปจับหนอนชิงชังแทน และนำหนอนชิงชังมาส่งให้ฉันที่วังหลวง เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวกลับวังหลวงกับป่าอัคคี

     จิ้นฝาน  : ท่านลุงท่านป้าทั้งหลายที่ลูกหลานติดเหล้าเห็ดพิษมาแจ้งชื่อกับข้าไว้ก่อน หมอหญิงจะทำการรักษาให้ภายหลัง ส่วนคนที่ได้รับการรักษาเสร็จแล้วจำเป็นต้องได้รับการไต่สวนด้วย
    ชาวบ้าน  : ขอรับ พวกเราต้องขอบคุณพวกท่าน ขอบคุณจริงๆ พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่ได้มีเงินทองมากนัก แต่เราเห็นว่าพวกท่านอยากกินบะหมี่ หากไม่รังเกียจขอให้เราปรุงบะหมี่ให้พวกท่านทุกคนได้กินเป็นการตอบแทนด้วยเถอะ
          อันฉี  : อื้ม ก็ได้ ต้องขอรบกวนแล้ว

          จากนั้นเราจึงช่วยรักษาอาการติดเหล้าเห็ดพิษให้กับลูกชายของชาวบ้านที่นั่น และหลังจากนั้นเราทั้งหมดก็อยู่ร่วมกินบะหมี่ด้วยกันกับชาวบ้านที่ร่วมกันปรุงบะหมี่ให้เรากินเป็นการตอบแทน จากนั้นเราจึงบอกลาชาวบ้านแล้วกลับเข้าวัง ส่วนจิ้นฝานและทหารลับทั้งสองคนได้นำตัวเหยียนเต๋อและชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เพิ่งรักษาหายจากอาการติดเหล้าไปทำการไต่สวนต่อไป

          และในวันรุ่งขึ้นฉันได้รับหนอนชิงชังที่ หลี่เฉียง งูเห่ายักษ์ จับมาให้และฝากนกเหยี่ยวนีโอกลับมา ฉันพร้อมทั้งพี่ชายทั้งสี่คน องครักษ์จิ้นฝาน และทหารติดตามอีกสามคน เดินทางกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งเพื่อไปรักษาชายหนุ่มที่ติดเหล้าพิษเห็ดหฤหรรษ์ ชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นที่รู้ข่าวจึงแจ้งมายังวังหลวงว่าขอส่งลูกหลานของพวกเขาจำนวนหนึ่งเข้ารับการรักษาอาการติดเหล้าเห็ดพิษ อีกทั้งชาวบ้านยังช่วยกันแจ้งเบาะแสการค้าขายเหล้าเห็ดพิษนี้ให้ทางการเข้าจับกุม

          ไม่นานนัก เมื่อองครักษ์จิ้นฝาน และทหารลับที่ทำการสืบคดี ได้ติดตามคนร้ายไปถึงแหล่งค้าเหล้าพิษแหล่งใหญ่ ท่านอ๋องสั่งทหารให้เข้าทำการจับกุม อีกทั้งยังสั่งทำลายไหเหล้าพิษทั้งหมดที่ยึดมาได้ เพื่อมิให้ใครนำเหล้าพิษนั้นไปดื่มอีก โดยคนร้ายให้การสารภาพว่า รับซื้อเห็ดหฤหรรษ์มาจากคนเก็บของป่า แต่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดเกี่ยวกับคนเก็บของป่า เพราะเวลาซื้อขายเห็ด คนเก็บของป่าจะนัดพบซื้อขายสินค้าตามสถานที่ต่างๆไม่แน่นอน

          คดีนี้จึงสรุปได้ว่าสามารถจับตัวผู้ผลิตเหล้าพิษเห็ดหฤหรรษ์ได้ แต่ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ขายเห็ดหฤหรรษ์วัตถุดิบสำคัญได้

          และในคืนนี้ท่านอ๋องเชิญเราห้าคนพี่น้อง และองครักษ์จิ้นฝาน ร่วมดื่มเหล้าเป็นการส่วนตัวที่ตำหนักของท่านอ๋อง เนื่องจากเรามีส่วนช่วยในการคลี่คลายคดีเหล้าพิษเห็ดหฤหรรษ์ และช่วยรักษาอาการติดเหล้าพิษให้กับชาวบ้าน จิ้นฝานเล่าเรื่องที่ฉันอาเจียรจนหมดท้องขณะชิมเหล้าเห็ดพิษเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่กลับอาเจียรจนหมดท้องเพราะฉันจินตนาการถึงเห็ดที่เกิดบนกองมูลสัตว์ให้ท่านอ๋องฟัง พวกเขาจึงพากันขำขันในความตลกของฉัน และค่ำคืนนี้จึงเป็นอีกคืนหนึ่งที่เราร่วมดื่มเหล้าเคล้าเสียงหัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนาน

          เช้านี้ฉันตื่นนอนขึ้นมาไม่ค่อยสดชื่นนัก เพราะเมื่อคืนฉันดื่มเหล้าไปหลายจอกในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ตำหนักของท่านอ๋อง ส่วนพี่ชายทั้งสี่ยังคงไม่ตื่นเพราะเมื่อคืนดื่มเหล้ากับท่านอ๋องกันหนักเหมือนกัน ฉันเรียกนางกำนัลคนหนึ่งให้นำชาร่ำสุราไปชงและส่งเมล็ดเก๋ากี้ที่ฉันขอปันมาจากชาวบ้านกำมือหนึ่งส่งให้นางกำนัลต้มใส่ลงไปในน้ำชาด้วย จากนั้นฉันจึงไปนั่งชมดอกบัวรอดื่มน้ำชา และรอพี่ชายตื่นมากินอาหารเช้าพร้อมกัน

          สักพักพวกพี่ชายทยอยกันตื่นนอนแล้วเดินมานั่งที่ชานชมดอกบัวตรงที่ฉันนั่งดื่มน้ำชาอยู่ ฉันจึงรินน้ำชาให้พี่ชาย

     ซิ่นหลิง  : เอ๊ะ! นี่เม็ดเก๋ากี้นี่นา ทำไมมีอยู่ในน้ำชาด้วย
     หยงเป่า  : นี่เม็ดเก๋ากี้ที่ใส่ในน้ำแกงนี่นา
       เสวี๋ยฉี  : นั่นสิทำไมใส่เก๋ากี้ด้วย ชาสูตรใหม่รึ?
          อันฉี  : เก๋ากี้ช่วยบำรุงตับ ข้าเห็นพวกท่านช่วงนี้ดื่มเหล้ากันหนัก ข้ากลัวพวกท่านเป็นตับแข็ง เอ้าดื่มซะหนุ่มๆ
      เฟยเจิน  : เจ้าไปเอาเก๋ากี้มาจากที่ไหน เอามาจากโรงครัวรึ?
          อันฉี  : ข้าขอแบ่งจากชาวบ้านที่หมู่บ้านนั้น ข้าเห็นเขาใส่เก๋ากี้ในน้ำบะหมี่ เลยขอแบ่งมานิดหน่อย
      เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่ตายง่ายๆหรอกน่า แต่ก็ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วง เจ้าเองก็ต้องห่วงตัวเองด้วยนะ (เสวี๋ยฉีลูบศรีษะฉัน)
     ซิ่นหลิง  : เรากินอาหารเช้ากันเถอะข้าหิวแล้วล่ะ

          ซิ่นหลิงจึงเรียกนางกำนัลให้นำอาหารเช้าเข้ามา ระหว่างนั้นฉันบอกพี่ชายทั้งสี่ว่า หลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันจะไปที่หอตำราหลวงเพื่ออ่านหนังสือและศึกษาวิชาแพทย์และสมุนไพรอื่นๆเพิ่มเติม เฟยเจินจึงอาสาจะไปเป็นเพื่อน ส่วนพี่ชายที่เหลือบอกจะอยู่พักผ่อนรอที่ตำหนัก หลายวันมานี้ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือที่หอตำราหลวงเพื่อเพิ่มทักษะความรู้ให้กับตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อนกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว เป็นการประหยัดเงินซื้อตำรากลับบ้านไปในตัว

          และวันนี้ฉันขออนุญาตพี่ชายไปที่จวนหมอหลวงเพื่อไปเรียนวิชาปรุงยากับหมอหวัง พี่ชายทั้งสี่ปฏิเสธที่จะตามไปด้วยเพราะกลัวต้องเป็นหนูทดลองยาให้ฉัน วันนี้ฉันจึงไปที่จวนหมอหลวงเพียงลำพัง เมื่อมาถึงจวนฉันเห็นหมอหวังกำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก จึงรีบถามขึ้นว่า

    หมอหวัง  : อ้าวหมอหญิง มาพอดี ข้ากำลังจะไปที่ตำหนักฮองเฮา
          อันฉี  : ฮองเฮาป่วยเหรอ?
    หมอหวัง  : ใช่, เจ้ามาหาข้ารึ?
          อันฉี  : ก็ไม่ใช่ธุระด่วนอะไร ข้ามาเรียนวิชาการปรุงยาเพิ่มเติมกับท่าน
    หมอหวัง  : การปรุงยาและการรักษาโรคของเจ้าช่างแปลกแหวกแนว และพิศดารกว่าข้ามากนัก แถมเห็นผลชะงัดกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าแล้ว นี่! เจ้าไปที่ตำหนักฮองเฮาด้วยกันกับข้าดีกว่า รอข้าสักประเดี๋ยว ขอข้าไปหยิบกล่องตรวจโรคก่อน
          อันฉี  : ก็ได้.....(หมอหวังเดินไปหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างเสาแล้วรีบเดินกลับมาหาฉัน)
    หมอหวัง  : เรารีบไปกันเถอะ ข้ามีข่าวดีจะบอกเจ้าด้วยนะ
          อันฉี  : ข้าช่วยท่านถือของ ท่านมีข่าวดีอะไรจะบอกข้าเหรอ?!
    หมอหวัง  : ข้าส่งจดหมายไปบอกสหายข้าที่อยู่แคว้น จินชาง ในจดหมายข้าเขียนแนะนำเจ้ากับเขา และเขาเพิ่งตอบกลับจดหมายข้า เขาบอกยินดีรับเจ้าให้ไปเรียนวิชาแพทย์กับเขา และยินดีรับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้านี่ช่างโชคดีจริงๆมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่หมอเทวะจะยอมรับใครเป็นศิษย์
          อันฉี  : หมอเทวะเหรอ?
    หมอหวัง  : ใช่ เขาเป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านพิษ และเป็นหมอรักษาฝีมือดีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจินชาง มีคนใหญ่คนโตอยากฝากลูกหลานให้ไปเป็นศิษย์แต่เขาก็ไม่รับ เขาเป็นคนแปลก ไม่เห็นแก่ลาภยศและตำแหน่ง รักความสงบ สันโดษ ตอนนี้เขามีลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เป็นลูกมือ แต่เขาจะรับเจ้าเป็นศิษย์เพิ่มอีกคนนับว่าเจ้าช่างโชคดี
          อันฉี  : แล้วหมอเทวะ เคยมารักษาท่านอ๋องตอนที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อครั้งถูกกระบี่เกล็ดเยือกแข็งด้วยหรือเปล่า?
    หมอหวัง  : เปล่า เพราะครั้งนั้นเขาเดินทางไปต่างเมือง จึงไม่สามารถมารักษาท่านอ๋องได้ทัน ข้าถึงได้ตัดสินใจเข้าไปที่ป่าอัคคีจึงได้พบกับเจ้า เพราะฟ้าลิขิตแท้ๆ
          อันฉี  : ข้าขอขอบคุณท่านหมอหวังมากๆ ที่ฝากฝังข้าให้เป็นลูกศิษย์ของหมอเทวะ ข้าจะตั้งใจเรียนแล้วกลับมาช่วยงานท่านในวันข้างหน้า
   หมอหวัง  : ขอบใจเจ้ามาก เอาล่ะ! ถึงตำหนักฮองเฮาแล้วเรารีบเข้าไปกันเถอะ

          หมอหวังและฉันเดินเข้าไปในตำหนัก เห็นฮองเฮากำลังนั่งรอหมอหวังอยู่ที่โต๊ะ ฉันจึงอาสาเป็นผู้ช่วยให้หมอหวัง และไม่ใช้ดวงตาปีศาจมองฮองเฮา อีกทั้งจะไม่ก้าวก่ายหน้าที่หมอหลวงประจำราชสำนักขณะปฏิบัติงาน เมื่อเดินเข้าไปถึงเราทั้งสองทำความเคารพฮองเฮาที่นั่งรออยู่ตรงหน้า เมื่อฮองเฮาเห็นฉันจึงเอ่ยทักว่า

     ฮองเฮา  : เอ๊ะ! วันนี้หมอหญิงมาด้วยรึ?
          อันฉี  : เพคะ หม่อมฉันมาเป็นผู้ช่วยให้หมอหวัง
     ฮองเฮา  : เจ้าเนี่ยตลกนัก เป็นถึงหมอเทวดาแต่วันนี้กลับลดตัวลงเป็นผู้ช่วยหมอเป็นเด็กยกของรึ?
          อันฉี  : หม่อมฉันถือว่าหมอหวังเป็นอาจารย์คนหนึ่งของหม่อมฉันเพคะ การช่วยถือของให้หรือเดินตามหลังถือเป็นสิ่งสมควรกระทำเพคะ
     ฮองเฮา  : ถ่อมตัว ฉลาดพูด มิแปลกใจเลยที่ฝ่าบาทเอ็นดูเจ้า เอาเถอะ! หมอหวัง มาตรวจข้าได้แล้ว
   หมอหวัง  : ฮองเฮามีอาการเป็นอย่างไรพะย่ะค่ะ?
     ฮองเฮา  : ข้าเวียนศรีษะ เหมือนจะเป็นไข้ รู้สึกว่าเหนื่อยง่าย ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อย
   หมอหวัง  : กระหม่อมขอจับชีพจรพะย่ะค่ะ รอบเดือนมีมาปกติมั้ยพะย่ะค่ะ?
    ฮองเฮา  : ยังไม่มาเลย ปกติรอบเดือนต้องมาแล้ว
   หมอหวัง  : ทูลฮองเฮา กระหม่อมขอแสดงความยินดี พระองค์ทรงพระครรภ์พะย่ะค่ะ (หมอหวังแสดงสีหน้าดีใจยิ้มจนออกนอกหน้า)
    ฮองเฮา  : อะไรนะ?! ไหนเจ้าพูดอีกทีซิ!!!
  หมอหวัง  : ได้ยินไม่ผิดพะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงพระครรภ์

          ฮองเฮาหันมามองหน้าฉันด้วยความดีใจจนแทบจะกระโดด ตัวฉันเองก็ดีใจด้วยเช่นกัน ฮองเฮาสั่งให้ฉันเข้าไปใกล้ๆแล้วพูดว่า...

     ฮองเฮา  : ขอบใจเจ้ามาก ข้าดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก ข้าจะมอบรางวัลให้เจ้า
          อันฉี  : หม่อมฉันมิได้ต้องการสิ่งใด ขอแค่ฮองเฮารักษาพระวรกายให้แข็งแรงหม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ ฮ่องเต้ต้องดีใจมากแน่ๆ หม่อมฉันตื่นเต้นแทนเลยเพคะ
     ฮองเฮา  : ตรวจดูได้มั้ยข้าได้โอรสหรือธิดา?
    หมอหวัง  : ยังตรวจดูไม่ได้พระครรภ์ยังอ่อนนัก ยังเป็นก้อนเลือดอยู่ ต้องรอพระครรภ์ครบสามเดือนก่อนจึงจะสามารถตรวจเพศทารกได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจัดยาบำรุงครรภ์ถวาย ทรงพักผ่อนมากๆพะย่ะค่ะ

          หมอหวังตรวจเสร็จ เราทั้งสองจึงเดินออกจากตำหนักด้วยความตื่นเต้นและดีใจมาก ฉันจึงถามหมอหวังว่า...

          อันฉี  : ท่านลุงหมอ แล้วพระชายาล่ะ ไปตรวจด้วยรึเปล่า?
    หมอหวัง  : ไม่หรอก รอให้พระชายาเรียกตรวจจึงค่อยไป เรารีบกลับไปที่จวนจัดยาบำรุงครรภ์ให้ฮองเฮากันเถอะ

          ฉันอยู่ที่จวนหมอหลวงคอยช่วยหมอหวังจัดยาและปรุงยา ฉันจึงชวนหมอหวังพูดคุยเกี่ยวกับหมอเทวะที่อยู่แคว้นจินชาง แต่ยังไม่ทันจะได้คุยกันมากกว่านี้ ก็มีทหารมาเชิญฉันไปพบฮ่องเต้ที่ตำหนักหมู่ตัน หรือตำหนักดอกโบตั๋น ซึ่งฉันเดาว่าฮ่องเต้คงทราบเรื่องที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้ว ฉันจึงรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทันทีที่ฉันมาถึงตำหนักฮ่องเต้ก็รีบเดินออกมารับและจูงมือฉันเข้าตำหนัก แล้วโผกอดฉันแน่น แสดงออกถึงความดีใจออกหน้าออกตา  ฉันจึงถามฮ่องเต้ว่า...

          อันฉี  : ฝ่าบาททราบเรื่องฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้วใช่มั้ยเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าทราบเรื่องแล้ว ข้าดีใจจริงๆ เพราะเจ้าช่วยแท้ๆ มาขอให้ข้ากอดเจ้าอีกที ฮ่าฮ่าฮ่า
          อันฉี  : ยินดีด้วยนะเพคะ

          ฉันแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ แล้วคิดในใจว่า... "ดีนะที่เมื่อก่อนเคยช่วยเพื่อนหาข้อมูลวิธีทำลูกชาย พอมาอยู่ที่โลกนี้เลยได้ใช้ประโยชน์จากครั้งนั้น เป็นความรู้กู้หน้าไว้แท้ๆ"

       ฮ่องเต้  : มา มาดื่มกับข้า
          อันฉี  : ฝ่าบาทไปหาฮองเฮามาแล้วหรือยังเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ข้าไปเยี่ยมฮองเฮามาแล้ว นางดีใจมาก แต่นางยังมีอาการเวียนศรีษะอยู่ข้าจึงให้นางพักผ่อน เจ้าอยากเป็นคนดูแลครรภ์ให้ฮองเฮาหรือไม่? (ฮ่องเต้พาฉันมานั่งคุยที่โต๊ะ)
          อันฉี  : ไม่ดีกว่า...ให้เป็นหน้าที่ของหมอหวังตามเดิมเถอะเพคะ อีกอย่างหม่อมฉันต้องการไปเรียนวิชาแพทย์กับหมอเทวะเพคะ
       ฮ่องเต้  : หมอเทวะ?! ที่อยู่แคว้นจินชางน่ะรึ?
          อันฉี  : เพคะ หมอหวังฝากฝังให้หม่อมฉันไปเรียนกับหมอเทวะ
       ฮ่องเต้  : ข้าต้องลงโทษหมอหวังซะแล้ว บังอาจคิดพรากเจ้าไปจากข้า
          อันฉี  : อย่าลงโทษหมอหวังนะเพคะ หม่อมฉันมีความตั้งใจอยากไปเรียนเอง
       ฮ่องเต้  : แต่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปหรอก แคว้นจินชางอยู่ไกล
          อันฉี  : หม่อมฉันแค่ไปเรียนเพคะ ไม่ได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่นั่นสักหน่อย ให้หม่อมฉันไปเถอะเพคะ หม่อมฉันอยากเป็นหมอเก่งๆจะได้กลับมาช่วยงานฝ่าบาท
       ฮ่องเต้  : แค่นี้เจ้าก็เก่งมากอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปเรียนที่อื่นไกลๆ เดี๋ยวข้าจะหาหมอเก่งๆมาสอนเจ้าที่นี่ก็ได้
          อันฉี  : ในแคว้นนี้ยังมีหมอคนอื่นที่เก่งกว่าหมอหวังอีกหรือเพคะ?
       ฮ่องเต้  : ในแคว้นนี้หมอหวังเป็นหมอที่เก่งที่สุดแล้วนะ
          อันฉี  : นั่นสิ! หม่อมฉันเรียนวิชากับหมอหวัง เขาบอกว่าสอนวิชาให้หม่อมฉันหมดแล้ว ถึงได้ส่งหม่อมฉันให้ไปเรียนกับหมอเทวะ แล้วฝ่าบาทยังจะหาใครมาสอนได้อีกล่ะเพคะ
       ฮ่องเต้  : เออ...นั่นสินะ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าอยู่ห่างจากข้า
          อันฉี  : หมอหวังบอกว่าหมอเทวะไม่รับลูกศิษย์ง่ายๆ แต่คราวนี้ยอมรับหม่อมฉันเป็นศิษย์ โอกาสดีๆมาถึงแล้วไม่รีบคว้าไว้เสียดายแย่ ฝ่าบาทอนุญาตให้หม่อมฉันไปเรียนเถอะนะเพคะ
       ฮ่องเต้  : ก็ได้ๆ แต่ถ้าข้าเรียกตัวเจ้ากลับเจ้าต้องรีบกลับมาหาข้า
          อันฉี  : เพคะ
         

           เราพูดคุยกันไดสักพักฮ่องเต้จึงเอ่ยชวนฉันไปเยี่ยมเยียนท่านอ๋องที่ตำหนักเพื่อพูดคุยและดื่มกันตามประสาพี่น้อง

          ฉันติดตามฮ่องเต้มาที่ตำหนักหลันฮวาโดยมีองครักษ์ฟู่เซียงติดตามไปด้วย เมื่อมาถึงที่ตำหนักท่านอ๋องกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ พอเห็นฮ่องเต้เดินมาถึงจึงรีบออกมาต้อนรับ เขาทั้งสองคนนั่งดื่มและพูดคุยกันสนุกสนานเนื่องจากวันนี้มีข่าวดีที่ฮองเฮาทรงพระครรภ์ ท่านอ๋องชวนฉันดื่มแต่ฉันปฏิเสธเนื่องจากฉันดื่มไม่เก่ง ฮ่องเต้จึงให้ฉันนั่งลงข้างๆคอยรินเหล้าให้เขาทั้งสองแทน ท่านอ๋องหยอกเย้าฉันว่า "สาวน้อยจอกเดียว" และเล่าเรื่องฉันอาเจียรตอนไปสืบคดีเหล้าเห็ดพิษให้ฮ่องเต้ฟัง จนเป็นที่ตลกขบขัน ฉันเองก็อายและขำตัวเองด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ

*เจียวมี่ (ชื่อของนางกำนัลคนที่ 1)  แปลว่า น้ำผึ้งที่อ่อนหวาน

* ฉิงซู (ชื่อของนางกำนัลคนที่ 2)  แปลว่า ฟ้าใส ใจดีและอ่อนโยน

*เพ่ยจี (ชื่อของแม่ครัว)  แปลว่า การชื่นชม เลื่อมใส หญิงสาว

*เหยียนเต๋อ (ชื่อของลูกชายแม่ครัว)  แปลว่า ภาษา วาจา คุณธรรม

*แคว้นซูเซียว (แคว้นหรือดินแดนบ้านเกิดของพระชายา เหม่ยหลัน)  หมายถึง สรวงสวรรค์อันงดงาม

*แคว้นจินชาง (แคว้น หรือดินแดน)  แปลว่า ทองคำ ความรุ่งเรือง

*จางเหว่ย (ชื่อของทหารลับคนหนึ่ง)  แปลว่า ยอดเยี่ยม ดีเลิศ หรือยิ่งใหญ่


เพลงจีน 遇萤 หิ่งห้อย : Critty
YouTube by : Userone


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 28
(พระชายาตกเลือด)   
     
       ฮ่องเต้และท่านอ๋องดื่มเหล้าและพูดคุยกันได้สักพัก นางกำนัลก็เข้ามารายงานว่าพระชายาเสด็จ ฮ่องเต้จึงอนุญาตให้เข้ามา พระชายาเดินเข้ามาพร้อมด้วยชามน้ำแกงชามหนึ่ง แล้วบอกว่าเป็นไก่ดำตุ๋นยาสมุนไพรนำมาให้ท่านอ๋องเสวย ท่านอ๋องจึงบอกให้วางไว้บนโต๊ะเดี๋ยวจะกินภายหลังเหมือนเดิม ฮ่องเต้จึงเอ่ยถามพระชายาถึงสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง พระชายาตอบว่าปกติดี ฮ่องเต้จึงเอ่ยชวนพระชายาให้อยู่ดื่มด้วยกัน พระชายาจึงนั่งลงดื่มเหล้าได้สามจอก ก็บอกว่าเริ่มจะเมาแล้ว จึงขอตัวกลับตำหนักไปพักผ่อน แตก่อนที่พระชายาจะทูลลานางหันมามองค้อนฉันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แล้วเดินออกจากตำหนักไป ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพระชายาจึงดูเหมือนจงเกลียดจงชังฉันนัก หรืออาจเป็นเพราะนางยังไม่มีอาการแพ้ท้องเหมือนฮองเฮา จึงไม่ชอบที่ฉันช่วยให้นางมีบุตรไม่สำเร็จก็อาจเป็นได้ ฉันคิด

          ฮ่องเต้กับท่านอ๋องนั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกันสักพักใหญ่ๆจึงกลับ เพราะใกล้ถึงเวลาเย็นที่ฉันต้องกลับ เราเดินกลับกันมาใกล้ถึงตำหนักดอกโบตั๋นที่พำนักของฮ่องเต้ ฮ่องเต้สั่งให้องครักษ์ฟู่เซียงแยกไปส่งฉันที่ตำหนักดอกบัว ฉันจึงกล่าวทูลลาฮ่องเต้ แล้วเดินแยกออกมากับองครักษ์ฟู่เซียง ทันใดนั้นมีนางกำนัลคนสนิทของพระชายาโผล่พรวดพราดออกมาจากทางด้านหลังแล้วเรียกฉัน

  นางกำนัล  : หมอหญิง พระชายาปวดท้องมาก ขอเชิญหมอหญิงไปตรวจพระชายาที่ตำหนักเจ้าค่ะ
          อันฉี  : เอ๊ะ! ก่อนหน้านี้ยังดีๆอยู่เลยนี่นา แต่เอาเถอะ ไปสิ
      ฟู่เซียง  : ข้าจะไปกับเจ้า เรารีบไปกันเถอะ

          นางกำนัลนำทางฉันไปที่ตำหนักของพระชายา บริเวณโดยรอบตำหนักเป็นสวนที่ประดับตกแต่งเต็มไปด้วยกล้วยไม้นานาชนิดที่พระชายาชอบ การตกแต่งสวนเหมือนกับสวนที่ตำหนักหลันฮวาที่พำนักของท่านอ๋อง ฉันจึงเข้าใจถึงความรู้สึกของท่านอ๋องเลยว่าจะต้องอึดอัดเพียงใดกับสิ่งที่พระชายาพยายามยัดเยียดให้ องครักษ์ฟู่เซียงยืนรอฉันอยู่ด้านนอกที่หน้าตำหนักเนื่องจากเป็นชายจึงไม่สามารถเข้าไปด้านในโดยมิได้รับอนุญาต

       ด้านในตำหนักพระชายานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ และมีแก้วหนึ่งใบวางอยู่บนโต๊ะ พระชายามิได้มีท่าทางเจ็บปวดท้องใดๆ ด้วยความไม่ระวังและไม่คิดว่าพระชายาจะคิดร้าย ฉันจึงมิได้ใช้ดวงตาปีศาจมองพระชายา แต่ฉันเอ่ยถามพระชายาว่า...

          อันฉี  : นางกำนัลบอกหม่อมฉันพระชายาปวดท้องมาก
  พระชายา  : ใช่! แต่ตอนนี้ข้าหายปวดท้องแล้ว ข้าอยากให้เจ้าตรวจว่าข้าตั้งครรภ์หรือไม่
          อันฉี  : หม่อมฉันเป็นเพียงหมอฝึกหัด ให้หมอหวังเป็นผู้ตรวจครรภ์ดีกว่าเพคะ หม่อมฉันมิสมควรก้าวก่ายหน้าที่ การตรวจครรภ์และดูแลครรภ์โดยหมอหลวงจะดีที่สุดเพคะ
  พระชายา  : ทำไม?! เจ้าตรวจข้าไม่ได้รึ ข้าเป็นพระชายา ข้าสั่งให้เจ้าตรวจเจ้าก็ต้องตรวจสิ!
          อันฉี  : เพคะ

          ฉันค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆพระชายาเอื้อมมือจะจับที่ข้อมือเพื่อจับชีพจร ทันไดนั้นพระชายาสาดน้ำบางอย่างที่อยู่ในแก้วใส่ที่ใบหน้าฉัน ทำให้ฉันปวดแสบปวดร้อนที่ใบหน้า คอ หน้าอก มือ และแขน ฉันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเจ็บปวด จึงเปิดดวงตาปีศาจมองที่มือและแขนถูกน้ำกรดเข้มข้นกัดจนเป็นแผลพุพองเนื้อแทบจะหลุดออกมา เสื้อผ้าที่ถูกน้ำกรดกระเด็นใส่ไหม้ขาดวิ่น ฉันพยายามควบคุมอารมณ์และสติไม่ให้ลุกขึ้นไปตอบโต้หรือทำร้ายพระชายา

          อันฉี  : พระชายา ทำร้ายข้าทำไม?!
  พระชายา  : นี่ยังน้อยไปสำหรับเจ้า นังปีศาจ นังหญิงแพศยา อย่าหวังว่าเจ้าจะแย่งท่านอ๋องไปจากข้า ข้าจะดูว่าหากเจ้ามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วท่านอ๋องยังจะมองเจ้าอีกมั้ย!
          อันฉี  : ข้าไม่เคยมีความคิดแบบนั้น หากข้าต้องการแย่งท่านอ๋อง ข้าจะช่วยท่านให้มีโอรสกับท่านอ๋องทำไม?! โอ๊ยยย เจ็บบบบ (ฉันร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เพราะแผลยังไม่สมาน)
  พระชายา  : ช่วยงั้นรึ! หึ! นี่ยังน้อยไปที่เจ้าทำไว้กับข้า
          อันฉี  : ข้าไม่ได้ทำอะไร!
  พระชายา  : ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่าเจ้าทำอะไรไว้กับข้า! คืนที่ท่านอ๋องอยู่บนเตียงกับข้า ท่านอ๋องเรียกหาแต่ชื่อของเจ้าตลอดทั้งคืน ข้าเจ็บปวดเพียงใดเจ้ารู้หรือไม่! ต่อไปคนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือเจ้า นังปีศาจ!

          ในขณะที่พระชายากำลังด่าทออาละวาดฉันอยู่นั้น บาดแผลพุพองบนร่างกายฉันกำลังเริ่มสมาน และในขณะเดียวกันฉันก็ได้ยินเสียงท่านอ๋องตวาดเสียงดังมาจากหน้าประตู "หยุดนะ!!! เหม่ยหลันเจ้ากำลังทำอะไร?!" เสียงตวาดนั้นทำพระชายาตกใจหน้าซีดจนแก้วตกจากมือ ที่จู่ๆท่านอ๋องก็โผล่เข้ามา ท่านอ๋อง, องครักษ์ฟู่เซียง, องครักษ์จิ้นฝานและทหารลับอีกคนหนึ่ง พวกเขารีบวิ่งเข้ามาหาฉันที่นั่งทรุดตัวอยู่กับพื้น ท่านอ๋องรีบถอดเสื้อคลุมออกมาห่มคลุมให้ฉันเพราะเสื้อผ้าส่วนบนขาดวิ่นเพราะถูกน้ำกรดกัด ท่านอ๋องประคองฉันไว้แล้วถามฉันว่า...

    ท่านอ๋อง  : พระชายาทำอะไรเจ้า ทำไมถึงบาดเจ็บขนาดนี้
          อันฉี  : น้ำกรด พระชายาสาดน้ำกรด (ฉันพยายามลุกขึ้นยืน องครักษ์ฟู่เซียงจีงรีบเข้ามาช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้น)
    ท่านอ๋อง  : จางเหว่ยไปตามหมอหวังมาที่นี่เร็ว! เหม่ยหลัน! เจ้าสาดน้ำกรดใส่อันฉีทำไม เหตุใดเจ้าจึงกระทำการรุนแรงเยี่ยงนี้?!
  พระชายา  : รุนแรงรึ?! นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ! ท่านอ๋อง ท่านสนใจแต่นางปีศาจนี่ เวลาท่านอยู่กับข้าท่านทำเย็นชาใส่ข้า แต่เวลาอยู่กับนางปีศาจท่านกลับหัวร่อต่อกระซิก ข้าพยายามเอาใจท่านทุกอย่างแต่ท่านกลับไม่เคยสนใจใยดีข้า แต่พอนังปีศาจนั่นเข้ามาท่านกลับไปสนใจมัน มันกำลังจะแย่งท่านไปจากข้า นั่นไงทุกคนดูหน้ามันสิ! มันเป็นปีศาจ! คนปกติที่ไหนถูกน้ำกรดสาดขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไร!

          ใบหน้าและผิวหนังฉันที่ถูกน้ำกรดสาดจนเป็นแผลเละ กำลังสมานจนเหลือเพียงรอยไหม้เล็กน้อย แต่ทันไดนั้น! พระชายาชักมีดพกออกมาจากที่ซ่อนในแขนเสื้อ ไม่มีใครทันได้คาดคิดว่าพระชายาจะขาดสติพุ่งตัวเข้ามาจะแทงฉัน แต่ท่านอ๋องเอามือรับจับที่คมมีดไว้จนเลือดไหล ฉันรีบพุ่งตัวเข้าผลักพระชายาอย่างแรงจนพระชายาล้มลงไปนอนกับพื้น ขณะนี้ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทุกคนไม่คาดคิกว่าพระชายาจะขาดสติได้ถึงเพียงนี้ องครักษ์จิ้นฝานรีบเข้ายืนขวางเพื่อไม่ให้พระชายาลุกขึ้นมาทำร้ายใครอีก องครักษ์ฟู่เซียงและฉันจึงรีบประคองท่านอ๋องที่กำลังบาดเจ็บที่มือและรีบหาผ้าเช็ดหน้ามาพันแผลให้ ส่วนนางกำนัลคนสนิทของพระชายารีบวิ่งเข้ามาประคองพระชายาที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นเอามือกุมท้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด นางกำนัลร้องไห้โวยวายแล้วรีบประคองพระชายาให้ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ทันไดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาตามขาของพระชายา ทุกคนพากันตกตะลึงหนักขึ้นไปอีก จนฉันเองที่พยายามตั้งสติแต่ก็ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

          ท่านอ๋องรีบขยับเข้าไปดูพระชายาแล้วร้องตะโกนเรียกหมอหวังทันที ขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งและทำอะไรไม่ถูกกันอยู่นั้น หมอหวังก็มาถึงพอดีรีบวิ่งเข้ามาหาเรา ฉันชี้นิ้วไปที่พระชายาเป็นการบอกหมอหวังให้รีบตรวจอาการพระชายาก่อน ท่านอ๋องรีบประคองพระชายา และจับมือพระชายาข้างหนึ่งไว้เหมือนให้กำลังใจ จากนั้นฮ่องเต้จู่ๆก็เดินแกมวิ่งเข้ามาในตำหนักพร้อมทั้งทำสีหน้าตกใจที่เห็นหน้าฉันมีรอยไหม้จางๆยืนห่มเสื้อคลุมของท่านอ๋อง ส่วนท่านอ๋องมือเป็นแผลเลือดไหลมีผ้าเช็ดหน้าพันแผลอยู่ที่มือ พระชายาร้องโอดโอยเพราะมีเลือดออกไหลมาตามขา ฮ่องเต้จึงถามฉันด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับทุกคน แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่ฉันพูดไม่ออกแล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ฮ่องเต้เข้ามากอดฉันแน่นแล้วปลอบ จากนั้นฮ่องเต้จึงหันไปถามองครักษ์ฟู่เซียงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สักพักหมอหวังที่ตรวจอาการพระชายาเสร็จก็ทำสีหน้าไม่ดีแล้วส่ายหัว หมอหวังบอกว่าพระชายาตกเลือดแท้งแล้ว ทุกคนต่างพากันตกใจกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนท่านอ๋องกับพระชายาจะตกใจมากที่สุด ท่านอ๋องถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ส่วนพระชายาปล่อยร้องไห้โฮออกมาทันที เหตุการณ์ยังไม่ทันจะยุติ ฉันก็มองเห็นหยงเป่ากำลังเดินเข้ามาที่หน้าประตู พวกพี่ชายคงเห็นฉันกลับไปช้าจึงให้หยงเป่าออกมาตามฉันกลับตำหนักแน่ๆ ฉันจึงรีบบอกฮ่องเต้ว่าอย่าบอกหยงเป่าว่าฉันถูกสาดน้ำกรด หากพี่ชายรู้เรื่องว่าฉันถูกทำร้ายพวกเขาคงมาโวยวายเอาเรื่องจะเป็นเรื่องใหญ่โตกันขึ้นมาอีก ไว้ฉันจะบอกพวกพี่ชายเรื่องนี้เองภายหลัง ฮ่องเต้พยักหน้าตกลง

          หยงเป่ารีบเดินเข้ามาเพราะเห็นฮ่องเต้กำลังช่วยเช็ดน้ำตาให้ฉัน หยงเป่าจึงรีบเข้ามาดึงตัวฉันไปกอดแล้วถามว่าฉันร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ฉันจึงบอกหยงเป่าว่าฉันร้องไห้เพราะฉันทำพระชายาตกเลือดแท้งลูก ฮ่องเต้จึงบอกให้ฉันกลับตำหนักดอกบัวไปก่อน ส่วนทางนี้ฮ่องเต้จะเป็นคนจัดการเอง หยงเป่าจึงถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกแล้วนำมาให้ฉันคลุม และคืนเสื้อคลุมท่านอ๋องฝากไว้กับฮ่องเต้ จากนั้นหยงเป่าจึงพาฉันกลับตำหนักดอกบัว

          ขณะกำลังเดินกลับฉันเดินร้องไห้ไปตลอดทาง หยงเป่าเองก็เดินกอดฉันและคอยช่วยเช็ดน้ำตาให้ตลอดทางเช่นกัน เดินไปไม่ไกลนักข้างหน้ามีศาลานั่งชมบ่อปลา หยงเป่าจึงพาฉันเข้าไปนั่งคุยที่ศาลานั้น

     หยงเป่า  : ไหนเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ พูดความจริงมาห้ามโกหกเพราะข้าได้กลิ่นน้ำกรดมาจากตัวเจ้า
          อันฉี  : ถ้าข้าเล่าแล้วท่านอย่าโมโหไปทำร้ายพวกเขานะ สัญญามาก่อนว่าจะไม่ทำร้ายพวกเขา
     หยงเป่า  : อืม!
          อันฉี  : พูดว่าสัญญาก่อนสิ อย่าอืม
     หยงเป่า  : สัญญา
          อันฉี  : คือ...พระชายาเกิดความหึงหวง และคิดไปเองว่าข้าจะแย่งท่านอ๋องไปจากนาง นางจึงเอาน้ำกรดสาดข้า และจะแทงข้าด้วยมีดพก ท่านอ๋องเข้ามาเห็นพอดีจึงใช้มือรับมีดแทนข้า ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บที่มือ ตอนนั้นข้าตกใจจึงผลักพระชายาล้มลงกระแทกกับพื้น ทำให้พระชายาตกเลือดแท้งลูก ......พี่รอง ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้พระชายาแท้งลูก ข้าฆ่าเด็กตาย ฮือ ฮืออออ (ฉันกอดหยงเป่าซบหน้าร้องไห้)
      หยงเป่า  : ไม่เป็นไรนะ เจ้าทำเพราะป้องกันตัวเพราะนางทำร้ายเจ้าก่อน ข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ ว่าแต่เจ้าเจ็บหรือเปล่าเป็นยังไงบ้าง ให้ข้าดูแผลเจ้าหน่อย?

          หยงเป่ากำมือแน่นขณะฟังฉันเล่า และโอบกอดฉันปลอบใจ แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความโกรธ แต่เขากำลังข่มอารมณ์ให้ใจเย็น เขามองหน้าและลูบที่แก้มเช็ดน้ำตาให้ฉัน หยงเป่ามองหารอยแผลและหารอยไหม้ แต่ตอนนี้บาดแผลสมานจนสนิทรอยไหม้ได้หายไปหมดแล้ว

          อันฉี  : ข้าหายเจ็บแล้ว ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว
     หยงเป่า  : เรากลับไปกินข้าวกันเถอะนะ เจ้าอย่าคิดมาก พรุ่งนี้เรากลับบ้านที่ป่าไผ่เขียวกัน หากใครกล้ามาเอาเรื่องหรือกล้ามาขวางต้องได้เจอดีแน่!

         ฉันกับหยงเป่าเดินกลับกันมาถึงตำหนัก พี่ชายทั้งสามที่ยืนรอตั้งท่าจะดุฉันเพราะกลับช้า พอเห็นตาฉันบวมๆจมูกแดงๆเพราะร้องไห้ พวกเขาจึงรีบถามถึงว่าเหตุใดฉันจึงร้องไห้เป็นการใหญ่ ฉันจึงเล่าเหตุการณ์นั้นให้พี่ชายทั้งสามฟังอีกครั้ง พวกพี่ชายต่างพากันโกรธและจะไปเอาเรื่องกับท่านอ๋องและพระชายา แต่ฉันห้ามและขอร้องพวกพี่ชายไว้ว่าไม่ให้ทำร้ายใคร พวกพี่ชายจึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะพาฉันกลับป่าไผ่เขียววันพรุ่งนี้ ซึ่งฉันเองก็ตอบตกลงว่าจะกลับไปพร้อมกับพี่ชายทั้งสี่ และในขณะนั้นหมอหวังก็ตามมาที่ตำหนักเพื่อมาทำแผลและตรวจอาการให้ฉัน

    หมอหวัง  : แม่นางน้อย ให้ข้าดูแผลหน่อยเป็นอะไรมากหรือเปล่า โถ...ถูกน้ำกรดคงจะเจ็บมาก ข้าจะทำแผลให้ ข้าเป็นห่วงเจ้ามากจนร้อนใจรีบตามมา
          อันฉี  : ขอบคุณท่านลุงหมอ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว (ฉันให้หมอหวังดูที่แขนและใบหน้าที่หายเป็นปกติ)
   หมอหวัง  : มหัศจรรย์จริงๆ ข้าเคยเห็นเจ้าเป็นแผลมีดบาดที่มือแล้วแผลสมานโดยเร็ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าถูกน้ำกรดสาดเต็มตัวแล้วแผลจะสมานได้เร็วขนาดนี้ ดีแล้วที่เจ้าปลอดภัย เฮ่อ! ค่อยโล่งใจหน่อย
          อันฉี  : พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง
    หมอหวัง  : พระชายาปลอดภัยแล้ว ข้าจัดยาให้แล้วอย่าห่วงเลย ส่วนเรื่องที่พระชายาตกเลือดแท้งเจ้าก็อย่าคิดมาก พระครรภ์ของพระชายายังอ่อนนักยังเป็นแค่ก้อนเลือดเล็กกว่าหัวไม้ขีด มีโอกาสตกเลือดได้ง่ายมากแม้จะไม่ถูกเจ้าผลักก็ตาม บางคนเดินๆอยู่ดีๆก็ตกเลือดได้เช่นกัน เจ้าอย่าคิดมากเลย ไปอาบน้ำล้างน้ำกรดออกซะ แล้วนอนพักผ่อนเถอะ ข้ากลับล่ะ

          ก่อนเข้านอนฉันเล่าเรื่องจะไปเรียนวิชาแพทย์กับหมอเทวะให้พี่ชายทั่งสี่คนฟัง พวกเขาบอกว่าค่อยคุยกันอีกครั้งภายหลัง คืนนี้ให้ฉันเข้านอนพักผ่อนมากๆ เสวี๋ยฉีจึงพาฉันเข้านอนเร็วแต่หัวค่ำ เขานอนกอดและปลอบโยนให้ฉันหยุดเสียใจ แต่เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน จึงเป็นการยากที่ฉันจะลืมได้ในทันที ส่วนหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจิน ยังนั่งดื่มเหล้าและพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ด้วยความโมโห
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 29
(หมอเทวะ)

          รุ่งเช้าเราห้าคนพี่น้องกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว ขณะที่กำลังเตรียมตัวกันอยู่นั้น ฮ่องเต้ ท่านอ๋อง องครักษ์ฟู่เซียง องครักษ์จิ้นฝานและหมอหวังกำลังเดินเข้ามาในตำหนัก พี่ชายทั้งสี่เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาพร้อมกันจึงจะเข้าไปต่อว่าเพื่อเอาเรื่อง แต่ฉันรีบเข้าไปห้ามพี่ชายไว้ แล้วบอกให้พี่ชายใจเย็นเพื่อดูท่าทีของฮ่องเต้และท่านอ๋องก่อนว่าต้องการอะไร ฮ่องเต้และท่านอ๋องมาที่นี่เพื่อขอโทษฉัน พวกเขาโทษตัวเองที่ดูแลฉันไม่ดีจนฉันถูกพระชายาทำร้าย และมาเพื่อพูดคุยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น

       ฮ่องเต้  : เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก ข้าอยากมาเยี่ยมเจ้าเมื่อคืนแต่หมอหวังบอกว่าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วและเจ้าต้องพักผ่อน ข้าต้องรอตอนเช้าแล้วรีบมาที่นี่ (ฮ่องเต้เข้ามาจับมือฉันแล้วสำรวจมองหาบาดแผล)
          อันฉี  : หม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ
    ท่านอ๋อง  : ข้าต้องขอโทษพวกท่านที่ข้าปกป้องดูแลหมอหญิงอันฉีไม่ดีทำให้หมอหญิงได้รับอันตราย
       เสวี๋ยฉี  : ข้าอุตส่าห์ไว้ใจปล่อยให้อันฉีอยู่กับพวกเจ้าโดยลำพัง แต่เจ้ากลับปล่อยให้ภรรยาของเจ้ามาทำร้ายนางได้ ตอบข้ามาซิ! หากอันฉีเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้า ถูกน้ำกรดเข้มข้นสาดขนาดนั้นเจ้าคิดว่านางจะยังสามารถมายืนคุยกับเจ้าอย่างนี้ได้อีกมั้ย!!! (เสวี๋ยฉีโกรธมากจนเกือบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ฉันรีบเข้าไปจับแขนเสวี๋ยฉีให้ใจเย็นๆ)
    ท่านอ๋อง  : ข้าทราบและยอมรับผิดตรงข้อนั้น แต่ภรรยาของข้าก็ได้สูญเสียบุตรในครรภ์เป็นการชดใช้ และตอนนี้นางก็มีความผิดโทษฐานทำร้ายข้า นางกำลังได้รับผลกรรม ทางเราเองก็มิได้เข้าข้างพระชายาโดยอยุติธรรมแต่อย่างใด ผิดเราก็ว่าไปตามผิด
       ฮ่องเต้  : ใช่แล้วท่านเซียน เรามาที่นี่เพื่อมาอธิบายให้พวกท่านเข้าใจ
          อันฉี  : พี่ใหญ่ใจเย็นๆก่อน หากเมื่อคืนท่านอ๋องมาไม่ทันและรับคมมีดแทนข้า บางทีข้าอาจควบคุมสติไม่อยู่แล้วตอบโต้กลับ ข้าอาจจะลงมือฆ่าพระชายาไปแล้วก็ได้ คราวนี้หายนะบังเกิดแน่ ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยข้าเมื่อคืน ว่าแต่จู่ๆทำไมท่านไปที่นั่นได้ล่ะ
    ท่านอ๋อง  : ตั้งแต่เกิดคดีเหล้าพิษเห็ดหฤหรรษ์ ข้าได้รับรายงานจากทหารลับมาก่อนหน้านั้นว่ามีนางกำนัลในวังแอบติดต่อกับบุคคลภายนอกอย่างน่าสงสัย ข้าสั่งให้ทหารลับตามสืบจนได้ความว่านางกำนัลคนนั้นคือคนสนิทของพระชายา นางกำนัลได้ทำการติดต่อซื้อขายของบางอย่างกับชายแปลกหน้าคนนั้น ข้าจึงสั่งให้ทหารลับคอยจับตาดู และคืนนั้นข้าได้รับแจ้งจากทหารลับว่านางกำนัลคนดังกล่าวมาคอยดักรอหมอหญิงให้ไปพบพระชายา ข้าจึงรีบตามไปที่นั่นและไปพบว่าหมอหญิงถูกพระชายาสาดน้ำกรด และน้ำกรดนั่นนางกำนัลซื้อมาจากชายแปลกหน้าที่นางลักลอบติดต่อนอกวัง ส่วนนางกำนัลรับโทษประหารชีวิต
       เสวี๋ยฉี  : ฮึ! เจ้าควรประหารชีวิตภรรยาของเจ้าด้วย นางมีเพียงแค่ความสวยงามอยู่บนใบหน้าเท่านั้น แต่จิตใจของนางหาได้งดงามตามด้วยไม่ ต่อไปภายหน้านางจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าอีก
      ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่กล่าวถูกต้อง เจ้าเปลี่ยนภรรยาใหม่น่าจะดีกว่า นางไม่เหมาะกับเจ้าหรอก นางมีแต่จะสร้างปัญหาให้เจ้า
        ฮ่องเต้  : มันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆน่ะสิ นางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นซูเซียว นางแต่งเข้ามาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น
       เสวี๋ยฉี  : งั้นรึ! งั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวเองให้ดี อย่าเข้าใกล้นางเป็นอันขาด (เสวี๋ยฉีมองจ้องหน้าฮ่องเต้)
        ฮ่องเต้  : ระวังเรื่องอะไรรึ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้า?!
        เสวี๋ยฉี  : ชิ! (เสวี๋ยฉีมองหน้าฮ่องเต้ แต่ไม่ตอบคำถาม)
      เฟยเจิน  : เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ
     หมอหวัง  : เดี๋ยวๆ พวกท่านเตรียมตัวจะออกไปที่ไหนกันรึ?
      เฟยเจิน  : พวกเราก็จะกลับบ้าน ขอลาเลยแล้วกัน (เฟยเจินกอดคอฉันแล้วจะพาเดินออกไป)
     หมอหวัง  : เดี๋ยวๆแม่นางน้อยอย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องหมอเทวะส่งจดหมายมาบอกว่า หากเจ้าต้องการเรียนควรไปพบเขาวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ เขาจะสอนวิชาให้เจ้าก่อนที่จะเดินทางไปทำธุระที่อื่นสักระยะหนึ่ง แล้วจะฝากเจ้าให้ศิษย์เอกของเขาสอนวิชาเจ้าต่อในช่วงที่เขาไม่อยู่ เจ้าจะไปพบหมอเทวะวันนี้เลยมั้ย ข้าจะพาเจ้าไปส่ง ข้าเองก็อยากพบปะพูดคุยกับหมอเทวะอีกครั้งเหมือนกัน
          อันฉี  : ตกลง เราไปกันวันนี้เลย
       เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้า! ไม่คิดจะปรึกษาข้าก่อนเลยรึ?!
       ฮ่องเต้  : นั่นสิ! ทำไมตอบตกลงเร็วนักล่ะ อยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยเถอะ
          อันฉี  : พี่ใหญ่เราไปแคว้นจินชางกันเถอะน่า, ฮ่องเต้เพคะให้หม่อมฉันไปเถอะเพคะ ไม่อยากพลาดโอกาส แต่จะว่าไปอยู่ที่นี่หม่อมฉันก็ไม่ค่อยสบายใจเพคะ
       ฮ่องเต้  : เฮ่อ...ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ก็ได้เจ้าไปก็ได้ อยู่ที่นั่นบางทีเจ้าอาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่เจ้าอย่าลืมข้านะ
          อันฉี  : ไม่ลืมหรอกเพคะ
    หมอหวัง  : งั้นเจ้ารอข้าสักครู่ ข้าขอกลับจวนไปเตรียมตัวก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา

          ฮ่องเต้และท่านอ๋องจึงเสด็จกลับ และปล่อยให้เรารอหมอหวังที่นี่เพื่อจะเดินทางไปแคว้นจินชางด้วยกัน ขณะกำลังนั่งรอหมอหวังได้สักพัก ฮองเฮาก็เสด็จมาที่นี่โดยมีเพียงนางกำนัลคนสนิทคนเดียวเท่านั้นที่ติดตามมาด้วย ฮองเฮาบอกว่าขอพูดคุยกับฉันตามลำพังในสวน ฉันจึงเดินตามพระชายาไปพูดคุยในสวน ฮองเฮากล่าวว่า...

     ฮองเฮา  : เจ้ากำลังจะเดินทางไปแคว้นจินชางรึ?
          อันฉี  : เพคะ
     ฮองเฮา  : เรื่องบาดหมางระหว่างเจ้ากับพระชายาเหม่ยหลันเมื่อคืนข้ารู้เรื่องหมดแล้ว เป็นความบกพร่องของข้าเองที่ดูแลวังหลังไม่ดีจนเกิดเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ ข้าเข้าใจเจ้า และข้าก็เข้าใจความรู้สึกของพระชายาเหม่ยหลันเป็นอย่างดี เพราะข้าก็เคยรู้สึกเจ็บปวดในใจเหมือนนางมาก่อน ...สองคืนนั้นที่ฮ่องเต้อยู่บนเตียงกับข้า ฝ่าบาทเรียกข้าเป็นชื่อของเจ้า ฝ่าบาทมองเห็นข้าเป็นเจ้า เรียกข้าว่า อันฉี ทั้งคืน เจ้ารู้มั้ยว่าคนที่เป็นภรรยาจะเจ็บปวดใจมากสักเพียงใด เมื่อสามีเอาแต่เรียกชื่อหญิงอื่นขณะอยู่บนเตียงด้วยกัน
          อันฉี  : แต่นั่นเกิดจากพิษของดอกไม้......
      ฮองเฮา  : หึ! ช่างเถอะ ข้าไม่ใช่พระชายาเหม่ยหลันที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ว่าสิ่งใดควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ ข้ารู้จักแยกแยะคน อีกอย่างเจ้าเองก็ช่วยให้ข้ามีบุตรกับฮ่องเต้ได้ เรื่องคืนนั้นข้าจะพยายามลืมมันไป และที่ข้ามาที่นี่แค่จะมาถามเจ้าว่าต้องการเป็นสนมของฝ่าบาทหรือไม่ หากเจ้าต้องการ ข้าเองก็จะสนับสนุนเจ้า ที่ข้ามาพูดกับเจ้าแบบนี้ใช่ว่าข้าจะไม่เจ็บปวดใจ แต่ที่ข้ากล้ามาพูดเพราะข้ารู้ว่าฝ่าบาทรักเจ้ามากกว่ารักข้าเสียอีก หากเจ้ามาเป็นสนมคอยอยู่เคียงข้างฝ่าบาท คงช่วยงานฝ่าบาทได้ดีไม่น้อย
          อันฉี  : ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ แต่หม่อมฉันขอปฏิเสธ หม่อมฉันต้องการอยู่กับพี่ชายทั้งสี่คนที่ป่าอัคคีเพคะ
      ฮองเฮา  : ดี ข้าจะไม่บังคับใจเจ้า แต่หากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ให้มาบอกข้า งั้นการไปเรียนของเจ้าในครั้งนี้ขอให้โชคดี
          อันฉี  : ขอบพระทัยเพคะ

          ฮองเฮาเสด็จกลับไปอย่างเงียบๆ แต่คำพูดของฮองเฮามันทำให้ฉันเศร้าใจและเจ็บปวดเช่นกัน ฉันไม่เคยรู้เลยว่าฉันทำอะไรลงไปก่อนหน้านั้น ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามีใครบ้างต้องเจ็บปวดเพราะฉัน และไม่เคยรู้เลยว่ามีใครบ้างจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้างเพราะฉัน คิดได้ดังนั้นฉันก็นั่งลงร้องไห้เช็ดน้ำตากับหัวเข่าอยู่คนเดียวในสวน ร้องไห้ได้สักพักฉันจึงเอามือปาดน้ำตาแล้วยกชายประโปรงขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่เลอะแก้มจนแห้ง ลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าตำหนัก พี่ชายทั่งสี่ ที่รออยู่รีบเข้ามาถามเพราะเห็นฉันตาแดงๆจมูกแดงๆจึงรู้ว่าฉันร้องไห้

     ซิ่นหลิง  : ฮองเฮานั่นทำเจ้าร้องไห้รึ ข้าจะไปจัดการนางให้เจ้าเอง
          อันฉี  : เปล่าหรอก ข้าร้องไห้เอง
     เฟยเจิน  : แต่พอนางมาคุยกับเจ้า เจ้าก็ร้องไห้
          อันฉี  : ข้าแค่ซาบซึ้งใจที่นางอวยพรให้ข้าน่ะ
      ซิ่นหลิง  : นางอวยพรว่าอะไร
          อันฉี  : ฮองเฮาอวยพรให้ข้า โชคดี
     เฟยเจิน  : พูดแค่นั่นอ่ะนะ ก็ทำให้ซาบซึ้งจนร้องไห้รึ ข้าไม่เชื่อหรอก
     หยงเป่า  : นี่! เจ้าสองคนอย่าเซ้าซี้น้องห้าเลยน่า หมอหวังมาแล้ว เดินทางกันเถอะ

          หมอหวังสั่งคนจัดรถม้าเทียมเกวียนมารอรับที่หน้าประตูวัง หมอหวัง เสวี๋ยฉี และฉันขึ้นรถเกวียนคันแรก ส่วนหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจิน ขึ้นรถม้าคันที่สอง เราออกเดินทางจากเมืองมาได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง เสวี๋ยฉีที่บ่นง๊องแง๊งมาตลอดทางก็โวยวายออกมาว่า...

       เสวี๋ยฉี  : โอ๊ย! ทำไมข้าต้องมานั่งรถม้าโยกเยกอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ทำไมเราไม่บินไปล่ะห๊า?!
          อันฉี  : ข้าไม่รู้...ก็หมอหวังเตรียมรถแบบนี้ให้นั่ง ข้าก็นั่งอ่ะ...
    หมอหวัง  : ข้าต้องขอโทษท่านด้วย ข้าแก่แล้วข้าไม่ถนัดขี่ม้า
     เสวี๋ยวฉี  : นี่ เจ้าหมอเฒ่า แล้วทำไมเจ้าไม่เขียนแผนที่ให้ข้าล่ะ ข้าจะได้บินไปรอเจ้าข้างหน้า ปล่อยให้ข้านั่งโยกเยกในรถม้านี่อยู่ได้ ข้าเวียนหัวจะแย่อยู่แล้ว!
    หมอหวัง  : ได้ ได้ ท่านใจเย็นๆก่อน ข้าจะเขียนแผนที่ให้
       เสวี๋ยฉี  : ดี แล้วบอกจุดนัดพบ กับเวลามาด้วย พวกข้าจะไปเที่ยวในเมืองจินชางกันก่อน แล้วค่อยไปรอเจ้าที่จุดนัดพบ
          อันฉี  : นี่ท่านลุงหมอ นั่งรถม้าแบบนี้เมื่อไหร่ถึงแคว้นจินชาง?
   หมอหวัง  : หนึ่งวัน แต่หากพวกท่านบินไปไม่ถึงครึ่งวันก็ถึงแล้ว
          อันฉี  : โห! งั้นข้าบินไปกับพี่ใหญ่ดีกว่า 
       เสวี๋ยฉี  : หยุ๊ด หยุดรถเดี๋ยวนี้ ข้าจะลง! พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่จุดนัดพบนะหมอเฒ่า

          เราทั้งห้าคนลงจากรถม้าแล้วบินไปแคว้นจินชางด้วยพาหนะเวทย์ เราบินมาถึงเมืองจินชางเป็นเมืองใหญ่ และดูเจริญรุ่งเรืองมากไม่แพ้เมืองหลวนเซียน หยงเป่าชวนไปนั่งกินบะหมี่ในร้านอาหารร้านหนึ่งที่ดูใหญ่โตพอสมควร และในร้านอาหารใหญ่ๆมักจะจ้างนักเล่านิทานมาสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า เมื่อกินอาหารกันเสร็จเราจึงเดินเที่ยวดูสินค้าและของสวยงามในตลาด ซิ่นหลิงและเฟยเจินชักชวนฉันซื้อขนมและของกินกันตลอดทางที่เดินเที่ยว เสวี๋ยฉีคอยชักชวนฉันดูและซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับ ส่วนหยงเป่าคอยชักชวนดูของเล่นและการละเล่นต่างๆในเมือง พวกเขาเอาอกเอาใจฉันทุกอย่างเพราะอยากให้ฉันลืมเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวนเซียน ซึ่งฉันเองก็พยายามลืมและพยายามทำใจให้สนุกไปกับพี่ชายทั้งสี่ เราเดินเล่นดูร้านค้าต่างๆและกินขนมกันไปเรื่อยๆ เฟยเจินหันไปเห็นป้ายๆหนึ่งมีใบประกาศติดอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปอ่านแล้วมาบอกว่าคืนนี้มีงานฉลองศาลเจ้า เราน่าจะไปเที่ยวกันคืนนี้ ทุกคนจึงตอบตกลง เราจึงหาที่พักใกล้ๆบริเวณนั้น

          พอตกกลางคืนเราจึงออกไปเที่ยวงานศาลเจ้าและไหว้พระ ศาลเจ้าแห่งนี้มีขนาดใหญ่ มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเที่ยวและไหว้พระกัน อีกทั้งมีร้านขายของตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทาง รวมทั้งมีการละเล่นละครงิ้วที่เป็นจุดไฮไลค์ของที่นี่ เราจึงเดินไปนั่งไหว้พระกันก่อน และซื้อขนมไปนั่งดูละครงิ้วด้วยกัน แต่ฉันดูละครงิ้วไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก อาศัยดูการแต่งตัวที่มีสีสันสวยงาม และนั่งกินขนมเพลินๆแค่นั้น สักพักหยงเป่าจึงชักชวนไปเล่นปาลูกดอกเอาของรางวัลเพื่อความสนุกเราจึงเลิกดูงิ้วและไปปาลูกดอก ซึ่งสร้างความสนุกสนานให้กับเราไม่น้อยแต่ด้วยความที่พี่ชายทั้งสี่ปาลูกดอกแม่นเกินมนุษย์แทบจะกวาดของรางวัลหมดร้าน ทางเจ้าของร้านจึงเชิญพวกเราออกจากร้าน ยิ่งสร้างความตลกขบขันให้กับเราขึ้นไปอีก เราจึงเอาของรางวัลที่ได้จากการปาลูกดอกไปแจกเด็กๆที่เราเดินผ่าน ซึ่งก็มีเด็กเล็กหลายๆคนวิ่งมาขอของเล่นเราก็ให้ และแจกของเล่นและรางวัลให้ไปจนหมด คืนนี้ฉันสนุกมากจนทำให้คลายความทุกข์ใจไปได้บ้าง จากนั้นเราจึงออกจากศาลเจ้าแล้วเดินกลับไปทางที่พักซึ่งก่อนถึงที่พักมีร้านเหล้าเปิดอยู่เราจึงแวะนั่งดื่มกันสักพักจึงค่อยกลับที่พักแล้วเข้านอน

          ในตอนเช้าเราตื่น และกินอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงออกจากที่พักเพื่อไปพบกับหมอหวังตามจุดนัดหมาย ซึ่งตามจุดนัดหมายที่ได้นัดกันไว้คือหน้าบ้านหมอเทวะ

          อันฉี  : พี่ใหญ่ นัดเจอกันหน้าบ้านหมอเทวะเลยเหรอ ข้านึกว่าจะนัดเจอกันตามสามแยก หรือหน้าปากซอยบ้านซะอีก?
      เสวี๋ยฉี  : แล้วจะต้องนัดเจอกันที่อื่นทำไมให้ยุ่งยากล่ะ ยังไงก็ต้องมาที่บ้านของเขาอยู่แล้วนี่
          อันฉี  : ว่าแต่...ใช่ที่นี่แน่นะ?
     ซิ่นหลิง  : ไม่ผิดหรอก มาตามแผนที่เป๊ะ แต่ถ้าผิดก็ต้องโทษหมอหวังเฒ่านั่น
          อันฉี  : บ้านนี้ไม่น่าจะดูสันโดดตรงไหนเลย แค่อยู่ห่างไกลตลาดออกมาไม่เท่าไหร่เอง
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าอยากให้สันโดดขนาดไหนล่ะ
          อันฉี  : ข้าคิดว่าคงจะอยู่บนยอดเขา หรือป่าดงดิบไรปานนี้แหละ
     เฟยเจิน  : หมอหวังยังมาไม่ถึงเลย อันฉีเรามากินขนมรอกันดีกว่า อ่ะเซาปิ่งที่เจ้าชอบ
     หยงเป่า  : บ้านหลังใหญ่ดีแฮะ ดี จะได้มีพื้นที่ให้ข้าได้ออกกำลังกาย

          เรานั่งรอกันบ้างยืนรอกันบ้างได้สักพัก ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินแบกตระกร้าไว้ที่หลัง ภายในตระกร้าน่าจะเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ฉันไม่รู้จัก เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจะเดินเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว แต่เด็กหนุ่มหยุดยืนมองแล้วถามเราที่ยืนกันอยู่หน้าบ้านว่า...

    เด็กหนุ่ม  : เอ่อ...พวกท่านมาพบท่านหมอ จง รึ?
     เฟยเจิน  : หมอจงเนี่ยใช่หมอเทวะหรือเปล่าล่ะ ถ้าใช่หมอเทวะ พวกข้าก็มาพบเขานั่นแหละ
    เด็กหนุ่ม  : ได้นัดหมายไว้หรือไม่?
          อันฉี  : พวกเราไม่ได้นัดหมายไว้ แต่มีอีกคนหนึ่งนัดไว้ แต่เขายังมาไม่ถึง
    เด็กหนุ่ม  : เขาคนนั้นชื่ออะไรข้าจะได้ไปแจ้งท่านหมอจงให้ทราบ
          อันฉี  : หมอ หวังจิวซื่อ
    เด็กหนุ่ม  : พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปแจ้งหมอจง

          เด็กหนุ่มเปิดประตูทางเข้าอ้าค้างไว้ แล้วเดินเข้าไปด้านใน ทำให้เราเห็นภายในบ้านด้านหนึ่งเป็นลานกว้างที่มีชั้นตากสมุนไพรวางเรียงอยู่หลายชั้น และส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นสวนไม้ประดับ มีสระบัวสีขาวและสีชมพู มีสะพานปูนเล็กๆข้ามสระบัวสวยงาม โดยมีทางเดินเป็นตัวแบ่งแยกโซน ภายในบ้านมีคนอยู่กันหลายคนทุกคนล้วนใส่ชุดสีขาวกำลังยืนคัดสมุนไพร และบางคนช่วยกันตากสมุนไพร ส่วนบางคนกำลังกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นในสวน เด็กหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวแต่สวมเสื้อคลุมสีครามอ่อนจางๆกำลังยืนตรวจและดมสมุนไพรอยู่ที่ชั้นตาก เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว มองดูหล่อเหลาโดดเด่นกว่าคนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณนั้นแม้จะมองเห็นไกลๆแต่ก็ฉายแววหล่อ เด็กหนุ่มพูดอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มหล่อคนนั้นแล้วชี้นิ้วมือมาที่เราที่กำลังยืนรอที่หน้าบ้าน ชายหนุ่มหล่อคนนั้นก็มองกลับเข้าไปในบ้านชะเง้อมองหาอะไรสักอย่าง จากนั้นหนุ่มหล่อคนนั้นจึงเดินตรงมาหาเราที่ยืนอยู่ มองใกล้ๆเขาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ใบหน้าเรียวหล่อเหลา มาดนิ่ง สุขุม อายุน่าจะประมาณ 25-27 ปี เขาหล่อดูดีจนฉันไม่อาจจะละสายตาจากเขาได้เลย ดูจากบุคลิกเขาคงจะเป็นลูกศิษย์เอกของหมอเทวะที่หมอหวังเคยพูดถึงแน่ๆ จากนั้นซิ่นหลิงจึงถามเขาว่า...

     ซิ่นหลิง  : น้องชาย หมอเทวะ อยู่มั้ย? พวกเรามาพบหมอเทวะ
     หมอจง  : พวกท่านเป็นใครกันรึ?
          อันฉี  : นี่พี่ชาย คือเรานัดกับหมอหวังจิวซื่อมาเจอกันที่นี่แต่หมอหวังมาช้า เรามาถึงกันก่อน พี่ชายเป็นศิษย์ของหมอเทวะเหรอ ข้าชื่ออันฉี หมอหวังส่งข้าให้มาเรียนวิชาแพทย์กับหมอเทวะที่นี่ อ้อ...และนี่พี่ชายทั้งสี่ของข้า หากไม่ว่ากระไรขอเข้าไปนั่งรอด้านในได้หรือไม่
      หมอจง  : เชิญ เข้าไปรอด้านในเถอะ เมื่อหมอหวังมาถึงจะบอกให้ว่าพวกท่านมารอด้านในแล้ว

          ชายหนุ่มหล่อมองดูป้ายหยกที่ฉันห้อยไว้ที่เข็มขัด เดินนำเราเข้าไปในบ้านแล้วพาไปที่ห้องๆหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องสำหรับรับรองแขก ชายหนุ่มหล่อคนนั้นมองหน้าฉันอยู่บ่อยครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ ฉันจึงส่งยิ้มให้ แต่เขาไม่ยิ้มตอบ แล้วเดินออกจากห้องไป ฉันจึงคิดในใจว่า ....สงสัยที่นี่คงจะสอนวิชากันเคร่งเครียด และเข้มงวดแน่ๆ ทำสีหน้าปลาตายกันเหลือเกิน....

          สักครู่ก็มีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีต้นๆรุ่นราวคราวเดียวกับซิ่นหลิง เขาใส่ชุดสีขาวดูเรียบร้อย คงเป็นชุดเครื่องแบบของที่นี่ เดินถือถาดน้ำชาเข้ามาวางแล้วรินน้ำชาให้เราดื่ม และพูดขึ้นว่า....

       ฉิงคุน  : เชิญดื่มน้ำชา ข้าชื่อ ฉิงคุน พวกท่านมาจากเมืองหลวนเซียนกันรึ? เจ้าคงเป็นคนที่หมอหวังฝากฝังไว้กับอาจารย์งั้นรึ?
          อันฉี  : ใช่ ข้าชื่อ อันฉี นี่พี่ชายทั้งสี่ของข้า
        ฉิงคุน  : หมอหวัง เป็นเพื่อนกับอาจารย์ข้ามานาน เคยมาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เคยเอ่ยปากฝากฝังใคร เจ้าคงเป็นคนสำคัญหมอหวังถึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง
      เสวี๋ยฉี  : ใช่ นางสำคัญมาก ใครอย่าบังอาจมาแตะต้อง (เสวี๋ยฉีมองด้วยสายตาเย็นชาแต่แฝงไปด้วยแรงจิตสังหาร)
       ฉิงคุน  : พวกท่านอย่าห่วงเลย แม้ที่นี่จะมีแต่ผู้ชาย แต่เราก็แบ่งแยกชายหญิง อาจารย์ข้าเข้มงวดในเรื่องนี้มากเจ้าจะปลอดภัยเพราะเราอยู่กันอย่างพี่น้อง อาจารย์รับศิษย์เพิ่มก็ดีข้าจะได้มีศิษย์น้อง ไม่เหงา (ฉิงคุนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร)
     ซิ่นหลิง  : อ้าว! เจ้าเป็นศิษย์เอกของหมอเทวะหรอกรึ?! แล้วคนที่เดินออกไปเมื่อกี้ล่ะ?!
    หยงเป่า  : ข้าก็คิดว่าคนเมื่อกี้เขาเป็นศิษย์เอกของหมอเทวะเสียอีก
       ฉิงคุน  : อ๋อ! คนนั้นนั่นแหละคือ หมอจงหยู หรือหมอเทวะ ส่วนข้าคือศิษย์เอก
         อันฉี  : ห๊า! นั่นหมอเทวะ จริงๆเรอะ?! ยังหนุ่มอยู่เลย ตอนแรกข้าคิดว่าหมอเทวะคงจะแก่ๆเหมือนหมอหวังซะอีก พระเจ้ายอดมันจอร์จมาก! อาจารย์หล่อขนาดนี้ ข้าจะมีสมาธิเรียนไหมเนี่ย
เสวี๋ยฉี, ซิ่นหลิง, เฟยเจิน  : ฮึ่ม! (รวมพลสามัคคีบิดแขนฉัน ที่พูดจาไม่เข้าหูพวกเขา)
          อันฉี  : โอ๊ยยย! เจ็บๆ ข้าพูดเล่นน่า!!!
     หยงเป่า  : หุหุ
        ฉิงคุน  : เอ๊ะ! ดูท่าหมอหวังจะมาถึงแล้ว ข้าขอตัวออกไปต้อนรับหมอหวังก่อน

          ฉิงคุนเดินออกไปจากห้องไปได้สักพัก พวกเขาก็เดินกลับเข้ามาในห้องรับรองแขกพร้อมกัน

    หมอหวัง  : ขอโทษที่ข้ามาถึงช้าไปหน่อย เจ้ากับหมอจงคงรู้จักกันแล้วสิ?
          อันฉี  : หึ! ข้าไม่รู้ว่าพี่ชายท่านนี้คือหมอจง ข้าขอโทษด้วย ข้าชื่ออันฉี
    หมอหวัง  : ฮึ่ย! เรียกว่าอาจารย์สิ เขาเป็นอาจารย์ของเจ้า
          อันฉี  : อาจารย์ (ฉันก้มศรีษะเคารพหมอจง)
      หมอจง  : อืม...ตามสบายเถอะ

          หมอหวังนั่งพักดื่มน้ำชาแก้เหนื่อยสักครู่ แล้วพูดคุยถามเรื่องทั่วไปกับหมอจง แต่หมอจงเป็นคนพูดน้อย เหมือนถามคำตอบคำซะมากกว่า เวลายิ้มก็ยิ้มเพียงเล็กน้อยเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลา แต่เขาก็ยังดูหล่อ มาดนิ่งๆเท่ห์ไปอีกแบบ เมื่อการพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบผ่านไป หมอจงจึงเอ่ยปากจะพาฉันเดินชมรอบๆบ้าน เพื่อให้รู้ว่าที่นี่ทำอะไร และฉันจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง พี่ชายทั้งสามบอกจะนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขก ฉิงคุนจึงอยู่ด้วยเพื่อคอยดูแล มีเพียงหมอหวัง ฉัน และเฟยเจินที่เดินตามหมอจงไปดูรอบๆบ้าน

          หมอจงพาเราเดินชมรอบๆบ้านด้านหลังบ้านถูกใช้เป็นสวนสมุนไพร ปลูกสมุนไพรไว้หลายชนิด มีทั้งสมุนไพรที่ฉันรู้จัก และสมุนไพรที่ฉันไม่รู้จักอยู่หลายชนิดเลยทีเดียว ฉันแอบเปิดดวงตาปีศาจมองดูพืชสมุนไพรที่ปลูกในสวน มีทั้งสมุนไพรมีพิษ และสมุนไพรไม่มีพิษ ฉันจึงแอบเด็ดสมุนไพรที่ไม่มีพิษมาชิมเพราะขึ้นอยู่ใกล้มือ มันมีรสชาติขมอมฝาด เฝื่อนคอ ฉันแกล้งพูดเบาๆกับเฟยเจินว่าสมุนไพรนี้รสชาติเย็น สดชื่น แล้วยัดสมุนไพรนั้นใส่ปากเฟยเจิน จนเฟยเจินร้องยี้ เบะปากเพราะขมแล้วรีบบ้วนทิ้ง เฟยเจินตีฉันเบาๆเพราะถูกแกล้งเราจึงแอบขำให้กันเบาๆ

          สายตาของหมอจงมักหันมามองฉันกับเฟยเจินอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะฉันกับเฟยเจินชอบเล่นและคุยกันเบาๆสองคนกระหนุงกระหนิง แต่เขาก็ไม่ได้พูดหรือต่อว่าอะไร หมอจงพาเราเดินชมมาถึงโซนตากสมุนไพรที่อยู่ทางหน้าบ้าน หมอจงและหมอหวังพูดคุยกันไปเรื่อยๆจนมาหยุดตรงชั้นตากสมุนไพรกระจาดหนึ่งสีสวยสะดุดตา หมอหวังจึงถามถึงสมุนไพรในกระจาด เป็นสมุนไพรลักษณะเหมือนดอกหญ้าสีขาวมีลวดลายเป็นริ้วเส้นบางๆสีเงินทำให้ดอกหญ้าดูเป็นสีเงินสวยดี หมอจงบอกว่ามันคือ หญ้าเงินใยหิน ฉันหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆและจะดมกลิ่นเพราะไม่ได้เปิดดวงตาปีศาจจึงไม่รู้ว่ามันมีพิษ หมอจงร้องออกมาเสียงดังว่า "อย่า! มันมีพิษ!" ทำเอาเราสะดุ้งตกใจ อีกทั้งสีหน้าของหมอจงที่ตกใจมากที่เห็นฉันหยิบหญ้าเงินใยหิน เขารีบปัดมือฉันให้หญ้าพิษหลุดออกจากมือ แล้วรีบดึงมือฉันไปดูที่ฝ่ามือแล้วจับฝ่ามือผลิกไปพลิกมา เขาร้องขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยสีหน้างุนงง ปนประหลาดใจเพราะฝ่ามือฉันยังคงปกติ "เอ๊ะ!!! ทำไม?!..." หมอจงยังคงจับมือฉันไว้อย่างนั้น แล้วเขาก็เอื้อมมือข้างหนึ่งไปหยิบหญ้าพิษขึ้นมาดู

          ทันไดนั้นหมอจงก็รีบสะบัดหญ้าเงินใยหินทิ้งจากมือทันที เพราะมือของเขาถูกพิษจนฝ่ามือมีสีม่วงคล้ำจนเกือบดำ เราเองต่างพากันตกใจไปด้วย หมอจงรีบล้วงมือเข้าไปในเสื้อหยิบมีดพกเล็กๆออกมาจรดปลายมีดลงบนฝ่ามือตั้งแต่โคนฝ่ามือจนถึงปลายนิ้วกลาง จากนั้นเขากดจุดไล่พิษจากต้นแขนบนลงมาถึงปลายข้อมือ และรีดพิษให้ไหลออกมาพร้อมกับเลือดสีดำจำนวนมาก จนฉันมีสีหน้าหวาดเสียวที่เห็นเลือดไหลจำนวนมากแบบนั้น และแผลที่ถูกกรีดเป็นแนวยาว เป็นที่น่าหวาดเสียวยิ่งนัก หมอจงมองหน้าฉันอีกครั้ง แล้วหันไปพูดกับหมอหวังว่า

      หมอจง  : เรากลับเข้าข้างในกันเถอะ!
    หมอหวัง  : หมอจง เป็นอะไรมากหรือเปล่า
      หมอจง  : ไม่เป็นอะไรแล้ว รีดพิษออกแล้ว
    หมอหวัง  : แล้วแผลนี่ล่ะ? เดี๋ยวข้าจะเย็บให้?
      หมอจง  : ไม่เป็นไร ข้าจะให้ฉิงคุนเย็บแผลให้ อย่าห่วง
          อันฉี  : อาจารย์...ข้าขอโทษ
    หมอหวัง  : อันฉีต่อไปเจ้าอย่าหยิบจับอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องระวังหน่อยนะ แล้วเจ้าล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า?
          อันฉี  : หมอหวังข้าไม่เป็นอะไร ข้าขอโทษจริงๆ....
    หมอหวัง  : เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ค่อยโล่งใจหน่อย

          เราเดินตามหมอจงเข้าบ้าน เฟยเจินเดินเข้ามาเบียดแล้วกระซิบกระซาบกับฉัน

     เฟยเจิน  : เมื่อกี้เจ้ามองไม่เห็นพิษที่ดอกหญ้ารึ?
          อันฉี  : ข้าไม่เห็น! ข้าไม่ได้ไช้ดวงตา..... (ฉันละเสียงไว้และชี้นิ้วชี้มาที่ดวงตาของฉัน และกระซิบต่ออีกว่า...) ข้าจึงใช้วิธีหยิบดอกหญ้าขึ้นมาดมกลิ่นแทนน่ะสิ
     เฟยเจิน  : เจ้าอย่าซนอีกนะ (เฟยเจินจับมือฉันไปแกล้งตีเบาๆ)

          เรากลับเข้ามาในห้องรับรองแขก เพื่อรอหมอจงเย็บแผลที่ฝ่ามือเสร็จ ฉันจึงส่งยาทาแผลให้หมอหวังเพื่อให้หมอหวังมอบยาให้กับหมอจงทาแผลที่ฝ่ามือ และกำชับไม่ให้บอกว่าเป็นยาของฉัน สักพักหมอจงกลับเข้ามาพร้อมมือถูกพันด้วยผ้าพันแผล หมอหวังจึงมอบยานั้นให้กับหมอจง พร้อมบอกว่ายาทาแผลที่ฝ่ามือจะหายโดยรวดเร็ว หมอจงจึงกล่าวขอบคุณแล้วรับยานั้นไป

          จากนั้นไม่นานนักหมอจงเชิญหมอหวังให้แยกตัวไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวสักพัก

    หมอหวัง  : มีอะไรงั้นรึ?!
      หมอจง  : อันฉีนางมีอะไรพิเศษมากกว่าในจดหมายที่ท่านเขียนมาบอกข้าใช่มั้ย? ท่านถึงได้ออกหน้าด้วยตัวเองฝากฝังนางให้มาอยู่กับข้าที่นี่ ข้าเห็นป้ายหยกที่ห้อยอยู่ที่เข็มขัดของนาง นางเป็นเชื้อพระวงศ์รึ?
    หมอหวัง  : นางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หรอก ป้ายหยกนั่นฮ่องเต้พระราชทานให้นางด้วยพระองค์เอง เพื่อให้นางสามารถเขา-ออกพระราชวงได้สะดวง นางและพี่ชายทั้งสี่คนเป็นคนสำคัญของแคว้นหลวนเซียน ฝากดูแลนางด้วย ข้ารับรองว่าอันฉีจะสามารถเป็นลูกศิษย์ของเจ้าได้ แต่เจ้าอย่าทำให้พี่ชายของนางโกรธล่ะ พวกเขาน่ากลัวมาก อ้อ...ฮ่องเต้ให้ข้านำเงินมาให้เจ้าจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่นางพักอยู่ที่นี่ ข้าให้คนยกลงเอาไปไว้ในห้องพักของเจ้าแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการข้าวของเงินทองพวกนี้ แต่ฮ่องเต้ทรงห่วงใยนางมากโปรดรับไว้เถอะ หรือเห็นแก่ข้าที่เป็นสหายของเจ้ามานานก็แล้วกัน และยาทาแผลนี่เจ้าทาซะพรุ่งนี้เช้าแผลที่ฝ่ามือจะหายดีจนเจ้าประหลาดใจเชียวล่ะ เชื่อข้า!
      หมอจง  : แล้วเรื่องที่นางไม่ถูกพิษหญ้าล่ะ?!
    หมอหวัง  : เรื่องนั้นเจ้าถามนางเองเถอะ ข้าต้องลากลับแล้ว ในวังกำลังยุ่งๆข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้
      หมอจง  : เกิดอะไรขึ้นรึ?
    หมอหวัง  : ก็ไม่มีอะไร พระชายาล้มป่วยในวังจึงยุงๆกัน

          หมอหวังพูดคุยกับหมอจงเสร็จเรียบร้อยก็กลับเข้ามาบอกฉันว่าจะเดินทางกลับแคว้นหลวนเซียนตอนนี้เลย โดยบอกเหตุผลว่าในวังยังมีเรื่องยุ่งๆจึงต้องรีบกลับ และบอกไว้อีกว่าหากมีอะไรให้ใช้นกพิราบส่งข่าวหาเขาได้ทันที จากนั้นหมอหวังจึงเดินทางกลับ สักพักฉิงคุนจึงพาเราไปที่ห้องพัก เป็นห้องพักขนาดกลาง ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ภายในห้องมีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิงวางกองอยู่แต่ยังไม่ได้จัด ฉิงคุนบอกอีกว่า

        ฉิงคุน  : หมอหวัง ยกของพวกนี้ลงจากเกวียนบอกว่าเป็นของใช้จำเป็นสำหรับเจ้า แต่เสื้อผ้าพวกนี้เจ้าคงไม่ได้ใส่หรอก เพราะอยู่ที่นี่เจ้าต้องใส่เสื้อผ้าสีขาวเหมือนข้า เอ้านี่เสื้อผ้าของเจ้า ห้องพักของอาจารย์อยู่ข้างๆ ส่วนห้องพักของข้าอยู่ถัดไปจากห้องของอาจารย์หากมีอะไรสามารถเรียกได้ ส่วนพี่ชายของเจ้าให้ไปพักรวมกับข้า
       เสวี๋ยฉี  : ใยข้าต้องไปพักรวมกับเจ้า ข้าจะพักรวมกับน้องสาวของข้า
        ฉิงคุน  : แต่ที่นี่ต้องแยกหญิงชาย พักรวมกันไม่ได้
     หยงเป่า  : แต่พวกข้าจะพักรวมกัน!
        ฉิงคุน  : ไม่ได้ พวกท่านพักรวมกันไม่ได้
ซิ่นหลิง, เฟยเจิน  : ได้!!!
        ฉิงคุน  : ไม่ได้!
      หมอจง  : ไม่เป็นไร ให้พวกเขาพักรวมกัน ฉิงคุน เจ้าไปทำงานที่ค้างของเจ้าเถอะ (หมอจงคงได้ยินเสียงพี่ชายกับฉิงคุนเถียงกันเสียงดัง)
        ฉิงคุน  : ขอรับอาจารย์
          อันฉี  : ขอบคุณอาจารย์ที่อนุญาต
      หมอจง  : เราจะเริ่มเรียนกันวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้เจ้าพักผ่อนตามสบาย

          จากนั้นหมอจงเดินออกจากห้องไปแล้วปล่อยให้เราจัดเก็บของในห้องให้เข้าที่ และหลังจากที่เรากินอาหารค่ำกันเสร็จเราออกมานั่งจิบชาหน้าบ้าน เพราะรู้สึกแปลกสถานที่ จึงทำให้นอนไม่หลับ ที่นี่พอตกกลางคืนบรรยากาศเงียบเชียบเข้าโหมดสันโดดจริงๆ เพราะคนงานในบ้านที่เห็นตอนกลางวันต่างกลับบ้านกันหมด ทั้งหมอจงและฉิงคุน ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องปิดประตูเงียบแต่หัวค่ำ แต่ไฟภายในห้องยังคงติดส่องสว่างบางทีพวกเขาอาจจะยังไม่นอน

          ฉันนั่งกอดแขนซบไหล่เสวี๋ยฉีชมจันทร์ ฉันคิดภายในใจว่า...นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้นั่งชมจันทร์กับพี่ชายทั้งสี่ในคืนที่แสนสงบเงียบแบบนี้...ความคิดที่เคยมุ่งมั่นว่าอยากเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ตอนนี้มันถูกบั่นทอนลงจนฉันเริ่มท้อแท้และอยากยอมแพ้ ฉันหันไปมองพี่ชายและนึกขึ้นมาได้ว่าฉันควรทำเพื่อตัวเองและพี่ชายก่อนสิ หากฉันยอมแพ้ตอนนี้แล้วปีศาจเยือกแข็งกลับมาพวกเราคงไม่รอดเงื้อมมือของมันแน่ๆ พวกเราต้องแข็งแกร่งกว่ามันจึงจะชนะ ฉันจึงบอกพี่ชายทั้งสี่ว่า...

          อันฉี  : พี่จ๋า พรุ่งนี้พวกท่านไปกักตนกันเถอะนะ อย่าห่วงข้าเลย
     หยงเป่า  : แต่เจ้าเพิ่งมาที่นี่ได้วันเดียวเองนะ ข้าทิ้งเจ้าไปไม่ลงหรอก
      ซิ่นหลิง  : นั่นสิ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไปอีกสักระยะหนึ่ง
          อันฉี  : หากยังมัวห่วงหน้าพะวงหลังกันแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เพิ่มพลังเวทย์ ถ้าเจ้าปีศาจเยือกแข็งนั่นย้อนกลับมาเราจะสู้มันไม่ไหวนะ ตราบใดที่มันยังอยู่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ พวกท่านอย่าห่วง ที่นี่เงียบสงบ ข้าจะไม่ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนโดยพละการ และหากข้ามีอันตรายข้าจะเรียกพวกท่าน อย่าได้กังวลเรื่องข้าอีกเลย เราควรแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองให้สำเร็จ หากขืนยังตามห่วงกันแบบนี้เราคงทำอะไรกันไม่สำเร็จสักคนแน่
     เฟยเจิน  : ข้าจะอยู่กับน้องห้าเอง พวกท่านไปกักตนกันเถอะ
       เสวี๋ยฉี  : อืม..เจ้าพูดมาก็ถูก ข้าจะอยู่กับเจ้าพรุ่งนี้อีกวันหนึ่งเพื่อดูใหัแน่ใจว่าเจ้าอยู่ที่นี่ได้
          อันฉี  : อืม ข้าเข้านอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องเริ่มเรียนแล้ว
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าไปนอนเถอะ สักพักข้าจะตามไป

          ฉันเข้านอนแล้ว ที่นี่ไม่มีเตียงนอนมีเพียงฟูกปูนอนกับพื้น หมอนและผ้าห่มห้าชุดสำหรับคนห้าคนวางปูเรียงกันอยู่ สักพักใหญ่ๆเสวี๋ยฉีจึงเข้ามานอนกอดฉันและสอดแขนให้ฉันหนุนนอนเหมือนเคย จากนั้นพี่ชายอีกสามคนก็ค่อยๆทยอยกันเข้ามานอนโดยซิ่นหลิงลงมานอนข้างๆ และต่อด้วยเฟยเจินที่นอนข้างๆซิ่นหลิง ส่วนหยงเป่าไปนอนข้างเสวี๋ยฉี
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 30
(ทดสอบวิชา)

          ฉันกับเสวี๋ยฉีตื่นนอนกันแต่เช้า เขาช่วยฉันแต่งตัวด้วยชุดสีขาวที่ฉิงคุนให้ไว้เมื่อวาน ทำผมและปักปิ่นปักผมหยกขาวลายปีกแมงปอให้ เสวี๋ยฉีหอมแก้มฉันแล้วพูดว่า

       เสวี๋ยฉี  : ปิ่นปักผมคู่ของเราเจ้าอย่าทำหายล่ะ ข้าจะมองปิ่นปักผมเวลาที่ข้าคิดถึงเจ้า
          อันฉี  : ข้าก็เหมือนกัน
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าใส่ชุดสีขาวแบบนี้ก็ดูดีไม่เบานะ ดูสิสีขาวเหมือนชุดของข้าเลย ปิ่นปักผมก็เหมือนกันเป็นคู่แฝดเลย น่ารักที่สุด
          อันฉี  : จริงด้วย! เราเหมือนกันเลย
       เสวี๋ยฉี  : แล้วป้ายหยกของเจ้าล่ะ หายไปไหน
          อันฉี  : ไม่ได้หายหรอก ข้าเก็บไว้เองเพราะอยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้ป้ายหยก
       เสวี๋ยฉี  : ดี จะได้ไม่สะดุดตาผู้คน เจ้าไปเรียนเถอะ ถ้าไปช้าเดี๋ยวเจ้าหมอหน้าปลาตายจะดุเจ้าเอา
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไปล่ะ (ฉันจุ๊บริมฝีปากเสวี๋ยฉีหนึ่งครั้ง แล้วเดินออกไปจากห้องพัก)

         ฉันเดินออกมาเจอฉิงคุนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องพักเช่นกัน ฉิงคุนเอ่ยทักทาย ฉันจึงเดินเข้าไปหาเขาใกล้ๆ

        ฉิงคุน  : อ้าว! ศิษย์น้อง เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย
          อันฉี  : หลับสบายดี
        ฉิงคุน  : ข้าจะพาเจ้าไปดูแปลงสมุนไพรพิษ แล้วค่อยกลับมากินอาหารเช้ากัน อ่ะ! นี่ผ้าสำหรับปิดจมูกเจ้าถือไว้ก่อน อ้อ! แต่เดี๋ยวข้าเข้าไปช่วยอาจารย์ใส่ยาแผลที่ฝ่ามือสักประเดี๋ยว เดี๋ยวข้าออกมา เจ้ารอข้าตรงนี้ก่อน

          ฉิงคุนเดินหายเข้าไปในห้องของหมอจง สักพักฉิงคุนก็เดินออกมาด้วยอาการตื่นเต้นปนประหลาดใจ

          อันฉี  : เกิดอะไรขึ้นเหรอ?
        ฉิงคุน  : ก็ฝ่ามือของอาจารย์ที่ถูกมีดบาดลึกเมื่อวานน่ะสิ ตอนนี้แผลแห้งและสมานกันดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก
          อันฉี  : อื้อ! ดีสิ ดีจังเลย เนอะ
        ฉิงคุน  : แผลยาวและลึกขนาดนั้นกว่าจะหายก็ต้องร่วมเดือนเชียวนะ ยาทาแผลของหมอหวังเนี่ยสุดยอดไปเลย แผลแห้งเร็วสมานกันดีภายในชั่วข้ามคืน แบบนี้ไม่เกินห้าวันก็หาย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย!!!
          อันฉี  : แต่ก็เป็นไปแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า
        ฉิงคุน  : ไว้คราวหน้าหมอหวังมาที่นี่อีก ข้าต้องให้หมอหวังสอนข้าปรุงยาตัวนั้นบ้าง

          หมอจงเปิดประตูออกมาเห็นฉันกับฉิงคุนยืนคุยกันอยู่ที่หน้าห้อง และกำลังจะเดินไปดูแปลงสมุนไพรพิษ หมอจงจึงเรียกฉิงคุนและมองหน้าฉันด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

      หมอจง  : ฉิงคุน ข้าจะพาอันฉีไปดูแปลงสมุนไพรเอง เจ้าไปเตรียมอาหารเช้าเถอะ
        ฉิงคุน  : ขอรับ
      หมอจง  : อันฉี ป้ายหยกของเจ้าหายไปรึ?
          อันฉี  : ไม่ได้หาย แต่ข้าถอดเก็บไว้เพราะที่นี่ไม่ต้องใช้ป้ายหยกเพื่อผ่านประตู
      หมอจง  : อืม..เจ้าตามข้ามา

          ฉันเดินตามหมอจงไปทางแปลงสมุนไพรหลังบ้านที่เรามาดูเมื่อวาน แต่วันนี้เขาพาฉันเดินลึกเข้าไปอีกเป็นทางเดินเล็กๆเดินลึกเข้าไปในสวนทึบที่นั่นมีแปลงสมุนไพรอีกแห่งหนึ่งแต่ถูกครอบคลุมด้วยตาข่ายและผ้าคล้ายโรงเรือนกันแมลง ฉันถามหมอจงว่า...

          อันฉี  : อาจารย์ ทำไมแปลงสมุนไพรนี้จึงปลูกห่างจากบ้านขนาดนี้ล่ะ ปลูกในโรงเรือนป้องกันแมลงกัดกินเหรอ?
      หมอจง  : ป้องกันคนเข้าไปใกล้มันต่างหาก นี่เป็นแปลงปลูกสมุนไพรพิษเป็นพิษชนิดแรง จึงจำเป็นต้องปลูกห่างออกมาจากบริเวณบ้าน กางตาข่ายและผ้าป้องกันพิษและกันคนเข้าไป ที่นี่คนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ เข้าไปดูข้างในสิ

          หมอจงเปิดผ้าเป็นช่องทางเข้าเล็กๆให้ฉันลอดเข้าไป จากนั้นเขาจึงลอดตามเข้ามา ภายในนี้ปลูกต้นไม้พุ่มออกดอกสีม่วงสวยงาม ใต้ต้นมีผ้าสีขาววางอยู่ทุกต้นและบนผ้ามีเมล็ดร่วงหล่นอยู่ ฉันถามหมอจงว่าเดินเข้าไปดูใกล้ๆและสัมผัสได้หรือไม่ หมอจงตอบว่าได้ ฉันจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และพิจารณาลักษณะของมันว่าเหตุใดสมุนไพรชนิดนี้จึงถูกแยกปลูกออกมาห่างบ้านขนาดนี้ ลำต้นของมันไม่ใหญ่ มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม กิ่งลู่ลง ใบเป็นรูปรี ขอบใบเป็นจักรฟันเลื่อยเล็กๆ ออกดอกเล็กๆเป็นช่อ ดอกมีสีม่วงขอบกลีบดอกโดยรอบเป็นสีขาว ฉันก้มหน้าไปสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของมัน จึงรู้ว่าพิษของมันก็คือกลิ่นหอมนี่เอง หมอจงบอกว่า

      หมอจง  : มันคือต้น ม่วงเทียนมรกต เพราะดอกมีสีม่วง ผลเป็นรูปหยดน้ำมีสีเขียวมรกต เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วตกลงสู่พื้นดิน จะเจริญเติบโตเป็นต้นขึ้นมาใหม่ขยายพันธุ์บนผืนดินไปเรื่อยๆ เราจึงต้องจำกัดการขยายพันธุ์ด้วยการรองผ้ากันเมล็ดตกลงสู่ดิน และถอนต้นอ่อนที่ขึ้นมาใหม่รอบๆทิ้ง
          อันฉี  : ประโยชน์ใช้ทำอะไร? อ้าว...ข้าลืมใช้ผ้าปิดจมูก

           ฉันจึงหันหน้าไปถามหมอจงที่มีผ้าปิดอยู่ที่จมูก ที่กำลังยืนมองฉันอยู่ทางด้านหลัง ฉันรีบหยิบผ้าที่เหน็บไว้ที่เอวจะเอามาปิดจมูก แต่หมอจงจับที่ข้อมือฉันไว้ไม่ให้ใช้ผ้าปิด เขาจับข้อมือฉันแน่น มองจ้องตาแล้วถามขึ้นว่า...

      หมอจง  : รู้สึกยังไง?
          อันฉี  : ข้าเจ็บ!
      หมอจง  : เจ็บตรงไหน? เจ็บตรงทรวงอก หรือหัวใจ?!
          อันฉี  : เจ็บที่ข้อมือเนี่ย!

          หมอจงจึงปล่อยมือออกจากข้อมือฉัน แล้วเปลี่ยนมาจับที่ต้นแขนทั้งสองข้าง เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆแล้วถามว่า

       หมอจง  : ตอบข้ามา ทำไมพิษจึงไม่มีผลอะไรกับเจ้า
           อันฉี  : มีผลสิ ทำไมจะไม่มี ข้ามีอาการเวียนหัว
       หมอจง  : อย่ามาโกหก! คนธรรมดาปกติแค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของ ดอกม่วงเทียนมรกต ลอยมาตามลม ก็แทบจะหายใจไม่ออกล้มลงหมดสติ หากสูดดมใกล้ๆจะมีอาการชักหมดสติและเสียชีวิตได้ แต่นี่เจ้าสูดดมเข้าไปขนาดนั้นกลับบอกแค่เวียนหัวงั้นรึ?!
          อันฉี  : อ้าว! แล้วทำไมท่านถึงปล่อยให้ข้าดมดอกไม้ ทำไมไม่บอกก่อนว่ามันมีพิษร้ายแรง อ้อ! แล้วที่ข้าไม่ชักหมดสติเพราะข้ากำลังคัดจมูกเลยไม่ได้กลิ่นอะไร ตอนนึข้าหิวข้าวแล้วอ่ะ ข้าไปกินข้าวดีกว่า (ฉันแถไปข้างๆคูๆเพราะคิดคำแก้ตัวไม่ทัน อีกทั้งฉันไม่อยากถูกมองเป็นตัวประหลาดหากเขารู้ความจริง)

          ฉันจึงหมุนตัวให้หลุดจากหมอจงที่จับแขนฉันไว้ และจะเดินออกไปจากโรงเรือนสมุนไพร แต่หมอจงเข้ามากอดล็อคตัวฉันไว้แน่นเพื่อไม่ให้เดินหนี แล้วพูดต่ออีกว่า

      หมอจง  : เดี๋ยว! เจ้าจะไปไหนไม่ได้จนกว่าจะบอกความจริงกับข้า
          อันฉี  : โอ๊ยยย! เวียนหัวมาก ข้าเป็นลม! (ฉันแกล้งร้องเวียนหัว แล้วแกล้งล้มตัวลงเป็นลมหมดสติ)

          หมอจงรีบประคองฉันแล้วอุ้มฉันออกมาจากโรงเรือนม่วงเทียนมรกต เขาอุ้มฉันมาวางไว้ที่พื้นด้านนอกแล้วนั่งลงข้างๆ เขาดึงผ้าปิดจมูกออกและพูดว่า

      หมอจง  : ข้ารู้เจ้าแกล้งเป็นลม หากข้าเป็นคนโง่ข้าคงไม่ได้เป็นหมอเทวะ หมอหวังไว้วางใจข้าฝากฝังเจ้าให้เป็นลูกศิษย์ แต่หากเจ้าไม่วางใจข้าแล้วเราจะเป็นศิษย์กับอาจารย์กันได้อย่างไร?!
          อันฉี  : (ได้ยินดังนั้นฉันจึงลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งก้มหน้าสลด จากนั้นจึงก้มศรีษะกับพื้นขอโทษเขา) อาจารย์...ข้าขอโทษ ที่ข้าโกหกเพราะข้ากลัวถูกมองเป็นตัวประหลาด งั้นข้าบอกท่านก็ได้ คือ...พิษพวกนี้ไม่มีผลกับข้าเพราะร่างกายของข้ามีภูมิต้านทานพิษ มีเพียงพิษชนิดแรงเข้มข้นเท่านั้นที่สามารถมีผลกระทบกับข้า
      หมอจง  : พิษชนิดใด และอาการเป็นอย่างไร?
          อันฉี  : พิษเกล็ดเยือกแข็ง พิษแทรกซึมรวดเร็วไปถึงกระดูก ทำให้ข้าหนาวสะท้านไปทั่วตัว
      หมอจง  : อืม..หมอหวังบอกข้าว่าเจ้าเป็นคนรักษาพิษให้ท่านอ๋องที่ถูกพิษเกล็ดเยือกแข็ง ในครั้งนั้นข้าไปทำธุระต่างเมืองจึงไม่อาจเดินทางไปรักษาท่านอ๋องได้ ในเมื่อเจ้ามีความสามารถด้านพิษดีขนาดนี้ ข้าจะได้สอนวิชาเกี่ยวกับพิษให้เจ้าได้เต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นเกี่ยวกับเจ้า ค่อยเล่าให้ข้าฟังเมื่อเจ้าอยากจะเล่าก็แล้วกัน งั้นเจ้ากินผลม่วงเทียนมรกตให้ข้าดูหน่อย ข้าจะได้มั่นใจว่าเจ้าจะปลอดภัยจากพิษที่ข้าจะสอนให้
          อันฉี  : แหวะ อี๋ ขม ไม่อร่อยเลย! (ฉันรับผลม่วงเทียนมรกตมากิน)
      หมอจง  : รู้สึกคลื่นใส้ ปวดศรีษะ หรือปวดท้องมั้ย?
          อันฉี  : รู้สึกหิวข้าวจนตาลาย
      หมอจง  : หุหุ! เอาล่ะการกิน สูดดม และสัมผัสพิษไม่มีผลกับเจ้า ค่อยสบายใจหน่อยว่าเจ้าจะไม่ตายจากพิษที่ข้าสอน เอาล่ะไปกินอาหารเช้ากัน

          หมอจงเดินนำฉันออกจากสวนม่วงเทียนมรกต อาหารเช้าถูกเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉิงคุน และพี่ชายทั้งสี่กำลังนั่งรอกินอาหารเช้าพร้อมกัน ฉันนั่งลงข้างๆระหว่างเสวี๋ยฉี และหยงเป่า หมอจงและฉิงคุนนั่งฝั่งตรงข้าม หมอจงกินอาหารแบบเงียบๆเหมือนคนไม่มีธุระจะพูดคุยอะไรกับใคร มีเพียงฉิงคุนที่ชักชวนฉันคุยขณะกินอาหาร เสวี๋ยฉีคีบเนื้อปลาใส่ในถ้วยข้าวให้ฉัน ส่วนหยงเป่าคีบปลาใส่ถ้วยข้าวให้ฉันอีก แล้วพูดว่า "กินเยอะๆจะได้โตไวๆ" ฉันหัวเราะเบาๆกับคำพูดของหยงเป่า ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือหยอกฉันเล่นกันแน่ ซิ่นหลิงที่นั่งถัดจากหยงเป่าจึงหยอกหยงเป่าว่า "ข้าก็อยากโตไวๆเหมือนกันนะ พี่รองขอปลาให้ข้าบ้างสิ" หยงเป่าจึงคีบก้างปลาวางบนถ้วยข้าวของซิ่นหลิง แล้วหยงเป่าก็กินข้าวต่อ พวกเรารวมทั้งฉิงคุนต่างขำกับการหยอกเล่นกันของพี่ชาย มีเพียงหมอจงที่มองด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เมื่อกินอาหารเสร็จเขาจึงลุกขึ้นเดินออกไป

          หลังจากที่เรากินอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย ฉิงคุน พาฉันไปที่ห้องเรียนโดยพี่ชายทั้งสี่คนติดตามไปที่ห้องเรียนด้วย ฉิงคุนจึงกระซิบถามฉันว่า

        ฉิงคุน  : พี่ชายของเจ้าต้องตามไปเฝ้าที่ห้องเรียนด้วยรึ?
          อันฉี  : พวกเขาแค่ไปดูให้แน่ใจว่าข้าอยู่ที่นี่ได้จริงๆ พรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับ แต่พี่สี่จะอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่
        ฉิงคุน  : เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า เจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะดูแลเจ้าเอง
          อันฉี  : ขอบคุณศิษย์พี่ เราต้องเรียนกันทั้งวันรึ
        ฉิงคุน  : ไม่ทั้งวันหรอก เรียนในตำราแค่พอเข้าใจเท่านั้น ส่วนใหญ่มุ่งเน้นลงมือปฏิบัติจริง อาจารย์ไม่ชอบการท่องจำในตำรา
          อันฉี  : ดี ข้าท่องตำราทีไรหลับดีทุกที ฮ่าฮ่า
        ฉิงคุน  : แต่วันนี้อาจารย์จะทดสอบความรู้ของเจ้าก่อน เพื่อดูว่าเจ้ามีความรู้มากน้อยแค่ไหน

          เราเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นหมอจงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ที่ข้างหน้าเขามีสมุนไพรวางอยู่ในถาดสี่ชนิดที่ฉันไม่รู้จัก เพราะส่วนใหญ่ฉันรู้จักแต่สมุนไพรในป่าอัคคี ฉิงคุน นั่งลงข้างๆหมอจงเพื่อเป็นผู้ช่วย ส่วนฉันเขาให้นั่งลงข้างหน้าหมอจง พี่ชายทั้งสี่นั่งลงตรงมุมห้องเพื่อดูการเรียนของฉัน หมอจงมองหน้าฉันแล้วพูดว่า

      หมอจง  : หมอหวัง บอกข้าว่าเจ้าเคยศีกษาเรื่องสมุนไพร และการรักษาอื่นๆกับเขามาบ้าง ข้าจะทดสอบความรู้ของเจ้าหน่อย เริ่มจากสมุนไพรที่วางอยู่นี่มีอะไรบ้าง และบอกสรรพคุณของสมุนไพร
          อันฉี  : ไม่รู้จักชื่อเลยสักชนิดเดียว
        ฉิงคุน  : ไม่รู้จักเลยเหรอ นี่เป็นสมุนไพรทั่วไปเองนะ ไหนบอกเคยเรียนกับหมอหวัง
          อันฉี  : เคยเรียนกับหมอหวังแค่เจ็ดวันเอง บอกแค่สรรพคุณได้มั้ยล่ะ แต่ข้าขอชิมรสชาติหน่อย
      หมอจง  : ได้
          อันฉี  : งั้นเริ่มจากอันนี้ละกัน...โสมคน รสหวานอมขม มีสรรพคุณเสริมพลังบำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ต่อไปก็อันนี้...รูปร่างคล้ายเห็ด รสหวานนิดหน่อย มีสรรพคุณบำรุงม้ามให้แข็งแรง ระบายความชื้น ต่อไป...เหง้าอะไรสักอย่างสีน้ำตาล รสขมอมหวาน มีสรรพคุณบำรุงม้าม แก้ความชื้น ระงับเหงื่อ ชิ้นต่อไป...รากไม้ มีรสหวาน มีสรรพคุณระบายความร้อน บำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร หากนำสมุนไพรทั้งสี่ชนิดมาต้มเอาน้ำดื่ม จะช่วยรักษาระบบม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนเพลียย่อยไม่ดี รักษามือเท้าอ่อนแรง
      หมอจง  : ดี แล้วสมนไพรนี่ล่ะ
          อันฉี  :นี่รากอะไรไม่รู้ รสหวานอมขม มีสรรพคุณระบายความร้อน ให้ความชุ่มชื้นแก่ปอด ส่วนผลเล็กๆสีดำนี้มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีสรรพคุณแก้เหนื่อยหอบ กระหายน้ำ บำรุงประสาท หากนำสมุนไพรทั้งสองชนิดไปต้มรวมกับโสมคน ต้มเอาน้ำดื่ม จะรักษาอาการอ่อนเพลีย หายใจสั้น แก้อาการไอเรื้อรัง
     หมอจง  : ไม่รู้ชื่อยา แต่รู้สรรพคุณและวิธีรักษานับว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว แต่เจ้าต้องจดจำชื่อตัวยาให้ได้ด้วยมิเช่นนั้นจะเขียนเทียบยาให้คนไข้ไปซื้อยาได้ยังไง
       ฉิงคุน  : ศิษย์น้องเจ้าเก่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!                          
      หมอจง  : เอาล่ะ! ฉิงคุน เจ้าบอกอันฉีเรื่องชื่อสมุนไพรพวกนี้ ข้าจะไปดูสมุนไพรที่คนงานเก็บมาส่งสักหน่อย

          หมอจงหันมามองหน้าฉันครั้งหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ฉันสังเกตุเห็นเขาแอบยิ้มบางๆนิดหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไป ฉันจึงเรียนรู้ท่องจำชื่อสมุนไพรกับฉิงคุนสักครู่ จากนั้นฉิงคุนชวนฉันไปดูหมอจงคัดเลือกสมุนไพร เพื่อที่เวลาหมอจงหรือฉิงคุนไม่อยู่บ้านฉันอาจต้องช่วยรับหน้าที่แทน ซิ่นหลิงเดินเข้ามาบ่นฉันว่าการเรียนน่าเบื่อ ชวนหลับ ฉันจึงบอกให้พี่ชายทั้งสี่คนไปนอนเล่นเอกเขนกตามสบาย ไม่ต้องคอยเฝ้าฉันแล้ว ฉันอยู่ที่นี่ได้อย่าห่วง ฉิงคุนเหมือนจะรู้ใจพี่ชายทั้งสี่ จึงบอกพี่ชายว่าที่นี่มีเหล้าไว้สำหรับหมักกับสมุนไพร หากพี่ชายต้องการดื่มเหล้าเขาจะบอกคนงานให้นำเหล้ามาให้ดื่มแก้เบื่อ พี่ชายทั้งสี่จึงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ฉิงคุนจึงเรียกคนงานให้นำเหล้ามาให้พี่ชายดื่มที่ห้องพักเพื่อเอาใจ

          จากนั้นเขาจึงพาฉันไปหาหมอจงเพื่อศึกษาวิธีคัดแยกสมุนไพร และพาดูสมุนไพรต่างๆที่ตากอยู่บนชั้นกลางลานบ้าน จากนั้นกลับมาช่วยกันหั่นสมุนไพรแยกใส่กล่องไม้ และใส่ชั้นตู้ไม้เพื่อเตรียมไว้สำหรับปรุงยา ฉันกับฉิงคุนเราทำงานกันไปคุยกันไป โดยมีหมอจงนั่งตวงยาอยู่ห่างออกไปแต่ไม่ไกลนัก ฉิงคุนเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี อัทธยาศัยดี ดูจริงใจ เขาคอยดูแล คอยแนะนำเรื่องสมุนไพรให้ฉันรู้อยู่ตลอดเวลา และเขาดูจะตื่นเต้นดีใจไม่น้อยที่มีฉันเป็นศิษย์น้องของเขา ฉิงคุนเริ่มจะถามถึงเรื่องส่วนตัวฉันว่าเป็นยังไงมายังไงถึงได้มารู้จักกับหมอหวัง ถึงขนาดที่หมอหวังออกหน้ามาฝากฝังให้มาเรียนกับหมอจงที่นี่ ฉันจึงตอบไปว่า

          อันฉี  : ข้าเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า วันหนึ่งได้เจอกับหมอหวังพอดี หมอหวังเห็นว่าข้ามีหน่วยก้านดี จึงชักชวนให้ไปช่วยงาน และเห็นว่าข้าสามารถร่ำเรียนวิชาได้จึงพาข้ามาที่นี่
        ฉิงคุน  : เจ้าใช้คำผิดแล้ว เจ้าผอม ตัวเล็กขนาดนี้เค้าไม่ได้เรียกว่าหน่วยก้านดี หมอหวังคงเห็นว่าเจ้าหัวดีมากกว่า ถึงได้สนับสนุนเจ้า เห็นทีข้าต้องขยันเรียนบ้างแล้ว ไม่งั้นเจ้าคงแซงหน้าข้าแน่ๆ
          อันฉี  : แหม! ศิษย์พี่ท่านก็พูดเกินไป ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า หุหุ
        ฉิงคุน  : วันที่หมอหวังมาส่งเจ้า เขาให้ข้ายกหีบสองหีบหนักมากให้ยกไปไว้ในห้องของอาจารย์ แค่ดูภายนอกก็รู้ว่าเป็นหีบเงิน หมอหวังบอกว่าหีบเงินนั่นเป็นค่าใช้จ่ายให้เจ้าระหว่างที่เจ้าพักอยู่ที่นี่ ฐานะทางบ้านของเจ้าคงร่ำรวยน่าดู
          อันฉี  : อ๋อ...เงินนั่นนายท่านที่เป็นคนไข้ของหมอหวังเขาเอ็นดูข้าจึงให้ข้ามาน่ะ

          ฉันโกหกฉิงคุนเรื่องหีบเงินเพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องส่วนตัวของฉันมากเกินไป แต่ฉันก็รู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่าฮ่องเต้ยังคงห่วงใยฉันอยู่

        ฉิงคุน  : อย่าโกหกเลย ข้าเคยเห็นเจ้าห้อยป้ายหยก คนฐานะร่ำรวยเท่านั้นถึงจะมีของแบบนั้นได้
          อันฉี  : อ๋อ...ป้ายหยกนั่นข้าได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของข้า ข้าต้องเสี่ยงชีวิตรับพิษแทนน้องชายของนายท่าน ถ้าน้องชายเขารอดข้าก็ได้ป้ายหยก หากเขาตายข้าก็ตายเหมือนกัน โชคดีที่เขารอดข้าจึงได้ป้ายหยกเป็นของรางวัล บ้านข้าไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอก บ้านข้าอยู่ในป่าไผ่รกๆ มีทั้งงู แมงมุม แมงป่องเต็มไปหมด

          หมอจงที่กำลังนั่งตวงยาอยู่ไม่ไกลนักเงยหน้าขึ้นมามองแล้วสบตากับฉันคล้ายจะพูดทางสายตาว่า "เจ้าโกหก" ฉันจึงทำเฉไฉไม่รู้ไม่ชี้ แล้วรีบถามฉิงคุนเพื่อตัดบทไม่ให้เขาถามเรื่องของฉันต่อ

          อันฉี  : ศิษย์พี่อยู่ที่นี่นานแล้วเหรอ?
        ฉิงคุน  : ข้าอยู่กับอาจารย์มานานหลายปีแล้ว เดิมทีข้ามาช่วยพ่อ-แม่ของข้าทำงานที่บ้านของอาจารย์ พี่สาวของข้าแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับพี่เขยต่างอำเภอ พวกเขาจึงมารับพ่อกับแม่ไปอาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนข้าชอบเรียนรู้เรื่องสมุนไพรจึงขออยู่ทำงานต่อที่นี่ อาจารย์คงเห็นว่าข้าหน่วยก้านดีเหมือนเจ้าเลยรับข้าเป็นศิษย์ ฮ่าฮ่าฮ่า (ฉิงคุนพูดหยอกล้อฉัน) หากเจ้าต้องการอ่านตำรา เจ้าไปเอาตำราที่ห้องของข้าได้ ข้ามีตำราอยู่หลายเล่ม
          อันฉี  : ดี งั้นขอยืมอ่านหน่อย

          เรานั่งหั่นสมุนไพรกันเสร็จ ฉิงคุนจึงพาฉันไปที่ห้องพักของเขาเพื่อเลือกตำราไปอ่าน ภายในห้องพักของเขาไม่มีของตกแต่งอะไรมาก เป็นแบบเรียบง่ายตามสไตล์ผู้ชาย ข้าวของภายในห้องถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย จนฉันเอ่ยทัก

          อันฉี  : โอ้โห ห้องพักจัดวางของเรียบร้อยมาก
        ฉิงคุน  : ข้าคงติดนิสัยเจ้าระเบียบของอาจารย์ อาจารย์ไม่ชอบข้าวของรกไม่เป็นระเบียบ มาทางนี้สิเจ้ามาเลือกตำราทางนี้ เจ้าชอบเล่มไหนก็หยิบไปอ่านได้เลย ข้าอ่านหมดแล้ว
          อันฉี  : อืม...ข้าเอาสองเล่มนี้
        ฉิงคุน  : ไหนดูซิเจ้าสนใจเล่มไหน ออ...ตำราจับชีพจร กับตำราเย็บบาดแผลรึ? ทำไมถึงสนใจสองเล่มนี้ล่ะ?
          อันฉี  : ข้ายังไม่เก่งเรื่องจับชีพจร แล้วก็เมื่อวานศิษย์พี่เย็บแผลให้อาจารย์ ข้าอยากเย็บแผลเป็นบ้างอ่ะ
        ฉิงคุน  : งั้นเจ้าเอาตำราไปอ่านก่อน เดี๋ยวข้าจะบอกอาจารย์ให้ว่าเจ้าอยากเรียน
          อันฉี  : ขอบคุณศิษย์พี่

          ฉันเดินถือตำราออกมาจากห้องฉิงคุนกำลังจะเดินผ่านหน้าห้องพักของหมอจง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หมอจงเดินกลับมาที่ห้องพักพอดี ฉันจึงหยุดยืนก้มหน้าและรอให้หมอจงเดินเข้าห้องพักไปก่อน แต่หมอจงกลับหยุดยืนตรงหน้าฉันและถามว่า

    หมอจง  : เจ้าได้ตำราอะไรมาอ่าน
        อันฉี  : จับชีพจรและเย็บแผล
    หมอจง  : รอข้าตรงนี้ก่อน (หมอจงเดินหายไปในห้องสักครู่ แล้วออกมาในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง) นี่ตำราฝังเข็ม หากไม่เข้าใจมาถามข้าได้ พรุ่งนี้ข้าจะสอนจับชีพจรให้
          อันฉี  : ขอบคุณอาจารย์

          หมอจงเดินเข้าไปในห้องพักแล้วปิดประตูเงียบ ฉันเดินกลับไปที่ห้องพัก เห็นพี่ชายทั้งสี่นั่งๆนอนๆเอกเขนก หยงเป่าเดินเข้ามาช่วยฉันถือหนังสือและดูว่าเป็นหนังสืออะไร

     หยงเป่า  : นี่เจ้าต้องอ่านตำราอีกแล้วรึ ดูน่าง่วงชะมัด
          อันฉี  : ง่วงก็ต้องอ่าน ไม่ง่วงก็ต้องอ่าน อ่านเยอะก็รู้เยอะ (ฉันนั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉีแล้วรินน้ำชาดื่ม)
     เฟยเจิน  : แต่เรื่องที่เจ้ารู้แต่ละเรื่อง ไม่เห็นมีเขียนในตำราเลยสักนิด
          อันฉี  : ตอนนี้ยังไม่มีเขียน แต่ในอนาคตจะมีเขียนแน่นอน
      ซิ่นหลิง  : น้องห้า มานวดหลังให้ข้าหน่อยสิ อยู่ที่นี่ข้านั่งๆนอนๆทั้งวันจนเมื่อย อยู่ที่วังข้าว่าน่าเบื่อแล้ว อยู่ที่นี่น่าเบื่อมากกว่าอีก เจ้ามานวดหลังให้ข้าหน่อย
           อันฉี  : ข้าคิดเงินค่านวดด้วยน๊า~ คริคริ
       ซิ่นหลิง  : เจ้านวดเหยาะแหยะแบบนี้ยังคิดจะเก็บเงินกับข้าอีกเรอะ?
           อันฉี  : ได้! งั้นข้าจะยืดเส้นให้ท่านด้วยท่าโยคะ ที่ข้าทำประจำที่บ้านเก่า

         ฉันพลิกตัวซิ่นหลิงให้นอนหงายราบกางแขนเหยียดตรงกับพื้น และบอกให้เฟยเจินมากดไหล่ซิ่นหลิงทั้งสองข้างไว้กับพื้น ให้ซิ่นหลิงหันหน้าไปทางซ้าย แล้วดึงเข่าทั้งสองข้างของซิ่นหลิงงอเข้าหาอก จากนั้นบิดหัวเข่าทั้งสองข้างไปทางด้านขวา ให้ขาขวาติดพื้นในขณะที่ขาซ้ายวางอยู่บนขาขวา ทำท่านี้ค้างไว้ โดยนับ 1 ถึง 5 ซิ่นหลิงร้องลั่นจากการถูกบิดตัวจนเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบ! แล้วฉันก็บิดตัวซิ่นหลิงอีกในท่าเดียวกันแต่คราวนี้บิดตัวไปทางซ้าย ซิ่นหลิงร้องลั่นอีกครั้งจนมีเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบ! อีกครั้ง แล้วพวกเราก็หัวเราะซิ่นหลิงกันลั่น ซิ่นหลิงลุกขึ้นนั่งขยับตัวบิดไปมาแล้วหันมาบอกว่าหายปวดเมี่อยหลังแล้ว พี่ชายต่างหัวเราะกันสนุกสนานกับท่ายืดเส้นที่ดูแปลกๆแต่กลับได้ผล

          ไม่นานนักก็มีเสียงเรียกของฉิงคุนที่หน้าประตูห้อง หยงเป่าที่นั่งดื่มเหล้าอยู่จึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ฉิงคุนที่ยืนยิ้มอยู่ที่หน้าห้องในมือถือขวดเหล้าหนึ่งขวดและจานกับแกล้ม ฉัน, ซิ่นหลิง และเฟยเจินที่กำลังเพลินเล่นบิดตัวกันอยู่จึงหยุดเล่น และฉันจึงหันไปพูดคุยกับฉิงคุนที่เดินเข้ามาในห้อง

          อันฉี  : อ้าว! ศิษย์พี่
        ฉิงคุน  : ข้าเอาของแกล้มมาให้น่ะ แล้วก็เอาเหล้ามาเพิ่มให้ด้วย
          อันฉี  : ศิษย์พี่มาดื่มด้วยกันสิ พรุ่งนี้พี่ชายทั้งสามก็จะกลับแล้ว
        ฉิงคุน  : แหม! ข้าเกรงใจ
       เสวี๋ยฉี  : เกรงใจก็ดี หากเจ้ากับเจ้าหมอหน้าปลาตายรังแกน้องสาวสุดที่รักของข้าล่ะก็ ข้าจะมาฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ! (ฉิงคุนได้ยินเสวี๋ยฉีขู่ถึงกับสะดุ้งหน้าซีด)
          อันฉี  : พี่ใหญ่ล่ะก็ อาจารย์กับศิษย์พี่ไม่รังแกข้าหรอกน่า ศิษย์พี่เชิญดื่ม อย่าเพิ่งตกใจ พี่ใหญ่ไม่ทำร้ายท่านหรอก
        ฉิงคุน  : เมื่อกี้เจ้าเล่นอะไรกันเหรอดูสนุกกันใหญ่เลย
          อันฉี  : โยคะ ยืดเส้นแก้อาการปวดหลังน่ะ
        ฉิงคุน  : ไว้เจ้าสอนให้ข้าบ้างนะ
          อันฉี  : อื้ม

          ฉิงคุนอยู่นั่งดื่มเหล้ากับพี่ชายสักพักใหญ่ๆ เขาก็ขอตัวกลับห้องพัก เพราะฉิงคุนเริ่มจะเมาและดื่มต่ออีกไม่ไหว คืนนี้ซิ่นหลิงจึงบอกฝากฝังและเขียนแผนที่ ที่ไหเหล้าถูกนำไปแช่ไว้ใต้ธารน้ำแข็งไม่หวนกลับให้เฟยเจินรับหน้าที่ต่อในช่วงที่กักตน คืนนี้เราจึงเข้านอนกันแต่หัวค่ำ

          เช้านี้เราตื่นกันแต่เช้าเพราะพี่ชายทั้งสามคน เสวี๋ยฉี หยงเป่า และซิ่นหลิง ต้องกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียวเพื่อไปกักตน เราโอบกอด หอมแก้ม ร่ำลากันอยู่สักพักพี่ชายทั้งสามจึงขึ้นพาหนะเวทย์บินจากไป ฉันเตรียมตัวรอเวลากินอาหารเช้า ส่วนเฟยเจินบอกว่าจะออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบและหาอะไรกินข้างนอกเลยไม่ต้องห่วง แล้วเขาก็เดินไปมุมที่ปลอดคนและบินออกไป ฉันจึงเดินไปที่โรงครัวเพื่อจะช่วยฉิงคุนยกอาหารเช้าที่พ่อครัวคนงานเตรียมไว้ให้ แต่ก็ไม่พบฉิงคุนที่นั่น พ่อครัวบอกว่าปกติฉิงคุนจะตื่นเช้า แต่เช้านี้ยังไม่เห็นเขาเลย ฉันจึงเดาได้เลยว่าบางทีเพราะเขาอาจจะดื่มเหล้ามากเกินไปเมื่อวาน เช้านี้จึงลุกขึ้นไม่ไหว ฉันจึงเดินย้อนกลับไปที่ห้องพักของฉิงคุนแล้วเรียกเขาที่หน้าห้อง สักครู่ประตูห้องก็เปิดออก ฉิงคุนยังอยู่ในชุดนอน สภาพหน้าตาสะโหลสะเหลเมาค้าง

          อันฉี  : ศิษย์พี่ไม่สบายหรือเปล่า
        ฉิงคุน  : ข้าเวียนศรีษะมาก คงเพราะดื่มหนักเมื่อวาน อาจารย์ออกจากห้องพักแล้วรึ? เดี๋ยวข้าจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะตามไปนะ (เขาขยับตัวแต่ยังโซเซ ฉันจึงรีบเข้าไปพยุงเขากลับไปที่ฟูกนอน)
          อันฉี  : ศิษย์พี่ ท่านนอนต่อเถอะ เรื่องอาหารเช้าของอาจารย์ข้าทำแทนให้เอง จะบอกอาจารย์ให้ว่าท่านเวียนศรีษะ เดี๋ยวข้าไปยกข้าวต้มมาให้ท่านก่อน
        ฉิงคุน  : ขอบใจเจ้ามาก

          ฉันเดินกลับไปที่โรงครัวให้พ่อครัวต้มน้ำร้อนเพื่อชงชาร่ำสุราหนึ่งกาให้ฉิงคุนและยกข้าวต้มไปที่ห้องของเขา ฉันรินชาร่ำสุราให้ฉิงคุนดื่มแล้วพูดว่า...

          อันฉี  : ศิษย์พี่ดื่มชาก่อน ท่านจะดีขึ้นเดี๋ยวก็หายเวียนศรีษะแล้ว
        ฉิงคุน  : ข้าดื่มเหล้ามากจะเป็นแบบนี้ทุกทีเลยเวียนศรีษะ คลื่นใส้อยู่เป็นวันกว่าจะหาย
          อันฉี  : ดื่มชาเถอะ ไม่เกินครึ่งวันก็หายแล้ว
        ฉิงคุน  : เอ๊ะ! นี่ชาอะไรเนี่ยรสชาติแปลกๆ แต่หอมเย็นอ่อนๆ ดื่มแล้วสดชื่น
          อันฉี  : นี่คือชาร่ำสุรา เป็นชาที่ข้าปลูกเองที่บ้านป่าไผ่ รับรองปลอดภัย พี่ชายข้าดื่มเป็นประจำตอนเช้าหลังดื่มเหล้ามาหนักๆ ท่านกินข้าวต้มด้วยนะเดี๋ยวจะเย็นไปซะก่อน ข้าไปยกอาหารเช้าให้อาจารย์ก่อนนะ ไปล่ะ

          ฉันยกอาหารเช้าไปวางเตรียมไว้สองที่สำหรับหมอจง และสำหรับฉัน จากนั้นจึงนั่งรอเขาเพื่อกินอาหารเช้าพร้อมกัน สักครู่หมอจงเดินเข้ามานั่งแล้วมองหาฉิงคุน

      หมอจง  : ฉิงคุนล่ะ ทำไมไม่มากินอาหารเช้าด้วยกัน
          อันฉี  : ศิษย์พี่เวียนศรีษะลุกขึ้นไม่ไหว แต่ข้ายกข้าวต้มไปให้ที่ห้องพักแล้ว
      หมอจง  : เพราะดื่มเหล้ามากใช่มั้ย เมื่อวานข้าได้ยินเสียงฉิงคุนดังจากห้องพักของเจ้า
          อันฉี  : ใช่ ศิษย์พี่ดื่มกับพี่ชาย แต่หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จข้าจะไปดูอาการเขาอีกครั้ง
      หมอจง  : เจ้ารอข้าอยู่นี่ เดี๋ยวข้าไปดูฉิงคุนสักหน่อย

          พูดจบหมอจงก็ลุกขึ้นเดินออกไปที่ห้องพักฉิงคุน ฉิงคุนที่กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนฟูกเห็นหมอจงเดินเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นเคารพ หมอจงบอกไม่เป็นไร แล้วรีบบอกให้ฉิงคุนนั่งลงตามเดิม

      หมอจง  : ฉิงคุน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
        ฉิงคุน  : ข้าดีขึ้นแล้วขอรับอาจารย์ ศิษย์น้องเอาชาร่ำสุรามาให้ดื่ม รสชาติแปลกๆแต่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมากอาการเมาค้างหายทันตา
      หมอจง  : ชาอะไรนะ? ชื่อไม่เคยได้ยินมาก่อน
        ฉิงคุน  : ชานี่ยังไงขอรับอาจารย์ ศิษย์น้องนำมาให้ดื่ม ชาร่ำสุรา นางบอกว่าที่บ้านปลูกเอง

          หมอจงหยิบกาน้ำชาเปิดฝาขึ้นดมกลิ่น จากนั้นรีบจับชีพจรที่ข้อมือของฉิงคุน เขาจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปเทน้ำชาใส่ถ้วยดมอีกครั้ง เขาจิบชิมรสชาตินิดหน่อย แล้วยกดื่มชาจนหมดถ้วย จากนั้นใช้ช้อนคนตักกากชาออกมาแล้วหยิบดูอย่างพินิจพิจารณา ใบชาเป็นสีเขียวเข้มปล้องกลมๆเหมือนฝักเม็ดพริกสีเขียวถูกตัดเป็นท่อนเล็กๆสั้นๆ แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า

     หมอจง  : ชามีกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ชาชนิดนี้ข้ายังไม่เคยดื่มและใบชาแบบนี้ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน เอาล่ะ! เจ้านอนต่อเถอะ วันนี้ข้าให้เจ้าหยุดพักหนึ่งวัน

           หมอจงเดินออกจากห้องฉิงคุนแล้วกลับมานั่งที่สำรับอาหาร เขาบอกฉันว่าฉิงคุนหยุดพักหนึ่งวัน และถามฉันเกี่ยวกับชาร่ำสุรา

      หมอจง  : ฉิงคุนบอกข้าว่าชาร่ำสุราเจ้าปลูกเองที่บ้านงั้นรึ?
          อันฉี  : ใช่ พี่รองเป็นคนช่วยข้าปลูก
      หมอจง  : นั่นเป็นสมุนไพรพิษ หากต้มดื่มกินเพียงปริมาณเล็กน้อยจะไม่เกิดอันตราย แต่ไม่ใช่ว่าสมุนไพรพิษทุกชนิดจะกินได้ด้วยวิธีนี้ แต่เจ้ากลับรู้วิธีใช้มันเป็นอย่างดี ดูว่าเจ้าจะเชี่ยวชาญด้านพิษมากกว่าข้าซะอีก เพราะข้าเองยังไม่เคยเห็นสมุนไพรชนิดนี้มาก่อน รวมทั้งยาทาแผลที่หมอหวังให้ข้าใช้ทาแผลนั่นก็เป็นสมุนไพรพิษที่ข้าไม่เคยรู้จักอีกเช่นกัน คงเป็นยาของเจ้าด้วยสินะ ข้าเคยเดินทางไปตามแคว้นต่างๆจนทั่วเพื่อเสาะหาสมุนไพรดีๆ ไม่เว้นแม้แต่แคว้นหลวนเซียนจนได้ผูกมิตรเป็นสหายกับหมอหวัง ที่แคว้นหลวนเซียนมีเพียงที่เดียวที่ข้าไม่อาจย่างเท้าเข้าไปถึงได้คือป่าต้องห้าม นั่นก็คือป่าอัคคี เจ้ามาจากดินแดนลี้ลับใดในแคว้นหลวนเซียนถึงได้มีสมุนไพรพิษพวกนี้?
          อันฉี  : เอ่อ....

          ในขณะที่ฉันกำลังอ้ำอึ้งคิดคำตอบอยู่นั้น ฉิงคุน ก็เดินเข้ามาพอดี ฉันจึงรีบตัดบทลุกขึ้นไปหาฉิงคุน และรีบถามถึงอาการของเขา

          อันฉี  : อ้าว! ศิษย์พี่หายดีแล้วเหรอ อาจารย์ให้ท่านหยุดพักหนึ่งวันนี่นา
        ฉิงคุน  : ข้าแค่เวียนศรีษะ แต่ตอนนี้ข้าหายแล้ว ชาร่ำสุราของเจ้าดีจริงๆ
          อันฉี  : งั้นมากินอาหารเช้าด้วยกัน นั่งๆ เดี๋ยวข้าไปเอาอาหารมาเพิ่มอีกชุด
        ฉิงคุน  : ข้ากินข้าวต้มมาแล้ว ข้าแค่มารับใช้อาจารย์เท่านั้น เผื่ออาจารย์ต้องการอะไรเพิ่มเติม

          ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คนงานวิ่งมาบอกหมอจงว่า ราชครู เฉิงหยางเฉิน มาขอพบ หมอจงจึงเดินออกไปต้อนรับ ฉิงคุนจึงรีบไปที่โรงครัวเพื่อเตรียมน้ำชามาต้อนรับราชครูเฉิง ฉันจึงตามฉิงคุนไปที่โรงครัวด้วย
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 31
(เสวี๋ยฉีพ่นพิษ)

          ราชครูเฉิงเดินเข้ามาพร้อมด้วยเด็กสาวหน้าตาน่ารักสะสวยคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างๆ และมีชายหนุ่มหน้าตาดี มาดเข้ม แต่มีใบหน้าละม้ายคล้ายหมอจง เดินตามหลังราชครูเฉิงมาด้วยอีกคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องรับรองแขก ฉันจึงช่วยฉิงคุนยกถาดน้ำชาและของว่างเข้าไปรับรองแขก เด็กสาวที่มากับราชครูเฉิงมองจ้องฉันไม่วางตา สลับหันไปมองหน้าหมอจงเหมือนมีคำถามว่าฉันคือใคร แต่หมอจงยังคงทำหน้าวางเฉยเย็นชาไม่สะทกสะท้านสายตาเด็กสาวสวยคนนั้นแต่อย่างใด จากนั้นฉิงคุนจึงบอกให้ฉันไปรอที่ห้องพักก่อน เพราะเขาจะรอช่วยดูแลแขกเอง ฉันจึงเดินแยกออกไปเดินเล่นดูแปลงสมุนไพรหลังบ้านระหว่างรอแขกกลับ

 ราชครูเฉิง  : เอ๊ะ! หมอจงรับลูกศิษย์หญิงด้วยรึ?
      หมอจง  : นางเป็นญาติของฉิงคุนมาอาศัยทำงานด้วย ข้าจึงรับนางไว้ให้ช่วยงานฉิงคุน
 ราชครูเฉิง  : ข้าคิดว่าท่านรับศิษย์เพิ่มเสียอีก ข้าจะได้ฝาก เหม่ยอิง มาเรียนวิชากับท่าน ข้าแก่แล้วนางจะได้คอยดูแลข้ายามป่วยไข้
     เหม่ยอิง  : แหม ท่านพ่อ แม้ตอนนี้ท่านจะยังไม่ป่วยข้าก็ดูแลท่านอยู่แล้ว
 ราชครูเฉิง  : น่ารักจริงๆลูกสาวคนนี้ เจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อนไป พ่อมีธุระจะพูดคุยกับหมอจงสักหน่อย

          เหม่ยอิงลุกออกจากห้องพร้อมด้วยชายหนุ่มมาดเข้ม คอยเดินตามอยู่เงียบๆคล้ายองครักษ์

     เหม่ยอิง  : เหวินหลาง เจ้าจะเดินตามข้ามาทำไม?!
 เหวินหลาง  : มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องดูแลคุณหนูให้ปลอดภัย
     เหม่ยอิง  : หน้าที่ของเจ้าคือติดตามท่านพ่อ ไม่ใช่ติดตามข้า แล้วก็เลิกเรียกข้าว่าคุณหนูสักที ข้าโตแล้ว ให้เรียกข้า เหม่ยอิง
 เหวินหลาง  : ขอรับ คุณหนู เหม่ยอิง
     เหม่ยอิง  : เฮ่อ! บอกให้เรียกข้า เหม่ยอิง เจ้าเนี่ยหน้าเบื่อชะมัด

          เหม่ยอิงเดินเล่นมาเรื่อยๆเห็นฉันเดินดูสมุนไพรอยู่หลังบ้าน นางจึงเดินตรงมาหาฉันที่ยืนหันหลังเด็ดชิมใบสมุนไพรอยู่แล้วทักว่า...

     เหม่ยอิง  : นี่เจ้าน่ะ หันหน้ามาซิ เจ้าชื่ออะไร
          อันฉี  : ข้าแซ่ ไป๋หู่เซียหยาง ชื่อ อันฉี
     เหม่ยอิง  : แซ่อะไรพิลึกจัง ข้าเรียกเจ้าแช่ไป๋แล้วกัน นั่น! เจ้ากำลังกินอะไร
          อันฉี  : ข้ากำลังชิมสมุนไพร
     เหม่ยอิง  : แล้วทำไมต้องชิมด้วย
          อันฉี  : ชิมเพื่อให้รู้รส รู้กลิ่น และรู้สรรพคุณที่แท้จริงของมันด้วยตัวเอง มิใช่รู้เพราะท่องจำจากตำรา
     เหม่ยอิง  : ปิ่นปักผมของเจ้าสวยดี ซื้อมาจากที่ไหนรึ?
          อันฉี  : พ่อมอบให้กับแม่ แม่มอบให้กับข้า
     เหม่ยอิง  : เจ้ามาทำงานที่นี่นานหรือยัง เมื่อหลายวันก่อนข้ามาที่นี่ยังไม่เห็นเจ้าอยู่ที่นี่เลย
          อันฉี  : สามวัน มีอะไรจะถามอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีข้าขอตัว
 เหวินหลาง  : นี่! เจ้าเด็กไร้มารยาท คุณหนูเฉิงกำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ
          อันฉี  : ข้าขออภัยคุณหนูเฉิง ข้าคนความรู้น้อยจึงไม่รู้เรื่องมารยาท พอดีข้ามีธุระ ขอตัว!
 เหวินหลาง  : เจ้าบังอาจ!
     เหม่ยอิง  : ช่างเถอะๆ แม่นางไป๋เจ้าไปเถอะ
 เหวินหลาง  : แต่คุณหนู!...ข้าจะสั่งสอนนางเอง
     เหม่ยอิง  : นี่! อย่าหาเรื่องให้ท่านพ่อเลยน่า เจ้าไม่ได้สังเกตุเห็นปิ่นปักผมที่นางปักรึไง ปิ่นปักผมหยกนั่นเป็นของมีค่าราคาแพง แสดงว่านางต้องมาจากตระกูลดีมีฐานะ คำพูดคำจาฉะฉาน ดูไม่เกรงกลัวใคร นางคงไม่ได้เป็นญาติกับฉิงคุนแน่นอน ท่าทางจะมาจากครอบครัวที่มีอิทธิพลอยู่พอสมควร ท่าทางนางพยายามเลี่ยงไม่เปิดเผยฐานะ นางเป็นใครกันนะ หมอจงคงรับนางเป็นศิษย์แล้วแน่ๆ ฮึ! ทีกับข้ากลับปฏิเสธไม่ยอมรับข้า
 เหวินหลาง  : คุณหนูเฉลียวฉลาดนัก ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านทราบ
     เหม่ยอิง  : นี่! เจ้าเลิกทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้องสักทีจะได้มั้ย แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องฟ้องท่านพ่อ ถ้าไม่ฟ้องสักเรื่องจะตายมั้ย?!
 เหวินหลาง  : ขอรับ ข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้...
     เหม่ยอิง  : เอาล่ะ! ข้าจะไปดูดอกไม้ตรงนั้น ส่วนเจ้าก็ยืนรอตรงนี้ ข้าไม่หายไปไหนหรอก
 เหวินหลาง  : ขอรับ

          ฉันจึงรีบเดินกลับห้องพักเห็นเฟยเจินนอนเอกเขนกอยู่ ฉันจึงนั่งลงข้างๆแล้วถามถึงที่เขาออกไปสำรวจข้างนอก เฟยเจินบอกเหตุการณ์ปกติ ตอนเขากลับมาเห็นมีแขกมาพบหมอจง เขาจึงไม่ได้เดินไปหาฉัน เลยกลับมานอนรอในห้องเพราะอยู่ที่นี่เขาไม่รู้จะทำอะไร เฟยเจินบอกว่าอยากออกไปเอาไหเหล้าไปแช่ในสถานที่แห่งใหม่คือภูเขาไฟโทสะคลั่ง เนื่องจากครบกำหนดแช่ไหเหล้าที่ธารน้ำแข็งไม่หวนกลับแล้ว

          ฉันจึงบอกเฟยเจินว่า ไปก็ดีเหมือนกันเพราะอยู่ที่นี่เขาก็เบื่อออกไปหาอะไรทำแก้เซ็งก็ดีเหมือนกัน แต่ต้องรอให้แขกกลับไปก่อน หากออกไปเจอสาวสวยช่างถามคนนั้นเข้าอีกคงมิวายมาถามโน่นถามนี่อีกแน่ ฉันจึงหยิบหนังสือแล้วล้มตัวลงนอนอ่านข้างๆเขา เฟยเจินจึงเอาแขนสอดใต้ศรีษะฉันให้หนุนนอน ฉันจึงหันไปมองเฟยเจินแล้วพูดกับเขาว่า...

          อันฉี  : คิดถึงพี่ทั้งสามคนจังเลย พอพวกเขาไม่อยู่ก็รู้สึกเหงา รู้สึกบ้านเงียบๆ คิดถึงพี่ใหญ่ข้านอนหนุนแขนเขาทุกคืน
     เฟยเจิน  : เจ้านอนหนุนแขนข้าก็ได้ ข้าจะนอนกอดเจ้าทุกคืนแทนพี่ใหญ่เอง แต่วันนี้ข้าจะออกไปเอาไหเหล้าก่อน คืนนี้ข้าอาจจะกลับมาไม่ทันได้นอนกอดเจ้า แต่หากมีเรื่องด่วนเจ้าก็เรียกข้าผ่านรอยสัญลักษณ์ข้าเหมือนเดิมนะ
          อันฉี  : อย่าห่วงเลย ข้าไม่เป็นอะไรหรอก

            เวลาผ่านสักพักเฟยเจินลุกขึ้นแง้มประตูออกไปดู เห็นแขกกำลังเดินกลับออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านโดยมีหมอจงเดินออกไปส่ง เมื่อแขกขึ้นรถม้าลับตาไปแล้ว เฟยเจินจึงเดินไปที่มุมปลอดคนแล้วบินออกไปทันที ฉันจึงออกจากห้องพักเพื่อจะไปพูดคุยกับฉิงคุน แต่รถม้าราชครูเฉิงวิ่งออกไปยังไม่ทันไร ก็มีชายหนุ่มรูปหล่อ ภูมิฐาน สายตาดูเจ้าชู้ และท่าทางขี้เล่น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหมอจง เขาเดินตรงมาหาหมอจง เขาทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเหมือนเพื่อนสนิทที่มีบุคลิกคนละขั้ว คนหนึ่งยิ้มหน้าเป็นอีกคนหนึ่งหน้าตาย ฉันจึงยืนก้มหน้าค้อมตัวให้แล้วหยุดยืนรอให้เขาสองคนเดินผ่านไป แต่แขกของหมอจงคนนี้กลับหยุดยืนมองฉันด้วยความสนใจ แล้วพูดกับหมอจงว่า

ชายหนุ่มขี้เล่น  : เด็กคนนี้รึลูกศิษย์คนใหม่ของเจ้า ต้องมีอะไรน่าสนใจเป็นแน่ เจ้าถึงยอมรับนางเป็นศิษย์ น่าสนใจๆ
      หมอจง  : ท่านมาเพื่อพูดคุยกับข้ามิใช่รึ เชิญ

          หมอหวังไม่พูดมากคงกลัวเจ็บคอ พูดตัดบทห้วนๆแล้วเดินนำหน้าชายหนุ่มขี้เล่นเข้าไปในห้องพัก ปิดประตูพูดคุยกันเงียบเชียบ ฉันจึงเดินไปหาฉิงคุนในโรงครัว ถามเขาว่ามีอะไรให้ฉันช่วยหรือไม่ ฉิงคุนตอบว่าไม่เป็นไรนั่นท่านจินหย่งเจิ้ง เพื่อนสนิทของอาจารย์ เจ้าไปรอที่ห้องพักของข้าก่อน เดี๋ยวข้ายกน้ำชาไปที่ห้องของอาจารย์เอง เดี๋ยวข้ากลับมาคุยด้วย ฉันจึงเดินกลับไปนั่งรอฉิงคุนที่หน้าห้องพักของเขา สักครู่ฉิงคุนเดินกลับมาหาฉัน

        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง ทำไมไม่เข้าไปรอในห้องล่ะ
          อันฉี  : นั่งคุยตรงนี้เผื่ออาจารย์จะเรียกใช้ ดูท่าวันนี้อาจารย์จะมีแขกทั้งวัน
        ฉิงคุน  : อาจารย์ไม่เรียกใช้แล้วล่ะ ถ้าท่านจินมาพวกเขาจะอยู่ในห้องนั้นกันนานเลย งั้นเราไปเดินเล่นในสวนกัน
          อันฉี  : ท่านจินมาที่นี่บ่อยเหรอ
        ฉิงคุน  : มาไม่บ่อยหรอก แต่จะมาภายหลังราชครูกลับออกไปทุกครั้ง แล้วจะขลุกตัวอยู่ในห้องนั้นนานๆกับอาจารย์แล้วค่อยกลับไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน
          อันฉี  : หรือว่า.........อ่าน๊า??!!
        ฉิงคุน  : ฮึ่ย!!! ไม่ใช่แบบนั้นหรอก
          อันฉี  : รู้เหรอว่าข้าหมายถึงอะไร
        ฉิงคุน  : ไม่รู้หรอก
          อันฉี  : แล้วจะฮึ่ยทำไมเล่า! ช่างเถอะๆ แล้วราชครูป่วยเหรอถึงมาหาอาจารย์ ลูกสาวเขาสวยน่ารักเนอะ
        ฉิงคุน  : ท่านราชครูไม่ได้ป่วยหรอก แต่มาตื๊ออาจารย์ให้ไปเป็นหมอประจำที่จวนท่านราชครูน่ะ อาจารย์ตอบตกลงไปแล้วด้วย
          อันฉี  : อ้าว! ถ้าอาจารย์ไปแล้วใครจะอยู่สอนพวกเราล่ะ
        ฉิงคุน  : ไม่รู้สิ แต่ข้าชินแล้วล่ะ เพราะอาจารย์มักไม่อยู่บ้านบ่อยๆ แต่เจ้าอย่าห่วงข้าจะคอยดูแลเจ้าเอง

          ท่านจินหย่งเจิ้งอยู่พูดคุยกับหมอจงจนกระทั่งเย็นถึงกลับออกไป และในระหว่างที่กำลังนั่งกินอาหารเย็นกันอยู่นั้นมีเพียงฉัน หมอจง และฉิงคุงที่นั่งกินอาหารกันเงียบๆ ในลักษณะตัวยู ฉิงคุนและฉันนั่งฝั่งตรงข้ามกันส่วนหมอจงนั่งหัวโต๊ะ โดยเรานั่งใกล้ๆกัน หมอจงกล่าวขอโทษที่วันนี้มีแขกทั้งวันจนไม่มีเวลาสอนจับชีพจรให้ฉัน เขาบอกจะสอนให้หลังกินอาหารเย็นเสร็จ ฉิงคุนคงเห็นฉันกินข้าวด้วยท่าทางอึดอัด จึงคีบเนื้อปลาใส่ถ้วยข้าวให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มแย้ม เพื่อช่วยให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เรากินอาหารเย็นกันเสร็จจึงเริ่มเรียนจับชีพจรตอนหัวค่ำ หมอจงให้ฉันลองจับชีพจรที่ข้อมือของฉิงคุนก่อน

        ฉิงคุน  : เจ้าใช้นิ้วแตะที่ข้อมือข้าแบบนี้
      หมอจง  : จังหวะชีพจรบอกอะไรเจ้าบ้าง
          อันฉี  : เอ่อ...ชีพจรเต้นอยู่บอกว่า...ศิษย์พี่ยังไม่ตาย
        ฉิงคุน  : ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ข้ายังไม่ตายน่ะสิ!
      หมอจง  : เจ้าลองจับชีพจรข้าดูสิ
          อันฉี  : ท่านฝึกพลังยุทธ
      หมอจง  : ไม่เลว รู้ถึงว่าข้าฝึกพลังยุทธ
        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง ให้ข้าจับชีพจรเจ้าหน่อย

          ฉิงคุนจับชีพจรฉันแล้วเขาก็ตกใจรีบเอาหลังมือแตะที่หน้าผากและแตะที่สองแก้มฉันคล้ายแตะวัดไข้ ฉิงคุนรีบบอกหมอจงให้จับชีพจรฉัน

        ฉิงคุน  : อาจารย์ตรวจศิษย์น้องทีชีพจรปั่นป่วนเหลือเกิน ผิดปกติมาก
          อันฉี  : ศิษย์พี่ ชีพจรข้าเป็นยังไงเหรอ
      หมอจง  : ส่งมือมาให้ข้าตรวจ

          หมอจงจับชีพจรฉันแล้วมีสีหน้าตื่นตระหนกอีกคน เขาจับตามมือและแขนเอาหลังมือขึ้นมาแตะหน้าผากคล้ายแตะวัดไข้ แตะแก้ม แตะคอ ดูตา เหมือนที่ฉิงคุนทำ หมอจงพูดขึ้นว่า...

      หมอจง  : ชีพจรปั่นป่วน ข้าได้ยินเสียงเลือดที่เดือดพล่านดุจเพลิงเผาของเจ้า แต่เหตุใดเจ้ายังดูปกติ!?
          อันฉี  : ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้าปกติดีทุกอย่างเลย (ฉันอุทานขึ้นในใจ ชิ_หายแล้ว! ฉันรีบชักมือออก)
      หมอจง  : ให้ข้าตรวจเลือดเจ้าหน่อย
          อันฉี  : ไม่เอา!
         ฉิงคง  : ศิษย์น้อง ให้อาจารย์ตรวจเลือดเจ้าเถอะ ถ้าไม่ตรวจเจ้าอาจจะตายเอาได้นะ
          อันฉี  : ข้าไม่ตายหรอก อาจารย์ต่างหากล่ะที่จะตาย ข้าจะไปนอนแล้ว ฝันดี!
      หมอจง  : ให้ข้าเจาะดูเลือดเจ้าไม่เจ็บหรอก

          หมอจงคว้าจับที่ข้อมือฉันไว้ไม่ให้ขยับ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบมีดพกเล็กๆออกมาจากเสื้อ หมอจงพยายามจะกรีดมือฉันเพื่อดูเลือด

          อันฉี  : อาจารย์อย่า! ข้ามีเลือดออกไม่ได้!
        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง อยู่นิ่งๆให้อาจารย์เจาะเลือดสิ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว

          หมอจงกำลังจะใช้มีดกรีดลงที่ฝ่ามือฉัน แต่ฉันคว้าข้อมือข้างที่หมอจงถือมีดไว้ไม่ให้เจาะเลือด ฉันกับหมอจงต่างเผชิญหน้ากัน ต่างคนต่างจับข้อมือยื้อกันไว้อย่างนั้น แต่เพราะหมอจงมีวิชายุทธ และมีกำลังมากกว่าฉัน เขาจึงพลิกข้อมือแล้วจับตัวฉันหมุนตัวแล้วดึงฉันไปกอดไว้ เขาล็อคตัวกอดฉันไว้แน่นทางด้านหลัง แล้วพยายามจับมือฉันให้แบมือออกเพื่อเจาะเลือด ในบ้านมีเพียงเสียงฉันและฉิงคุนที่ร้องกันดังลั่นบ้าน

        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง! อยู่เฉยๆสิอย่าดิ้น! เดี๋ยวมีดก็บาดแขนเอาหรอก
      หมอจง  : เจ้าอยู่นิ่งๆสิ!
          อันฉี  : ไม่! อาจารย์อย่าบังคับข้า! ไม่เอา! ปล่อย!    

          ทันไดนั้น ประตูห้องถูกเลื่อนออกอย่างเร็วและรุนแรงทำเอาเราทั้งสามคนที่กำลังชุลมุนสะดุ้งตกใจหยุดชะงัก เขาคือ เสวี๋ยฉี ที่ยืนอยู่หน้าประตู เสวี๋ยฉีอยู่ในอาการที่โกรธจัด เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ซัดพิษเข้าใส่หมอจงจนล้มลงไปนอนกับพื้น ฉิงคุนที่อยู่ในอาการตกตะลึงเห็นหมอจงถูกซัดด้วยพิษล้มลงไปนอนบาดเจ็บ ฉิงคุนจึงรีบเข้าไปพยุงหมอจงไว้ด้วยอาการตื่นตระหนก เสวี๋ยฉีไม่รอช้า เรียกกระบี่บินหยกขาวออกมาจากที่ซ่อนในแขนเสี้อแล้วขยับตัวจะพุ่งเข้าแทงหมอจงอีกครั้ง ฉันจึงส่งเสียงดังตวาดเสวี๋ยฉีด้วยความโกรธ "พี่ใหญ่หยุดนะ!" เสวี๋ยฉีหยุดชะงักทันทีด้วยเสียงตวาดของผู้ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์ เสวี๋ยฉีหยุดชะงักแล้วหันมามองหน้าฉัน แล้วพูดว่า

       เสวี่ยฉี  : เพื่อมันเจ้าถึงกับใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์กับข้าเลยรึ!!!
          อันฉี  : ท่านลงมือทำร้ายอาจารย์ทำไม?!
       เสวี๋ยฉี  : เพราะเจ้าหมอสวะ มันหันคมมีดใส่เจ้ามันจะทำร้ายเจ้า ดีที่ข้ามาทัน ข้าจะฆ่ามัน! (เสวี๋ยฉีขยับตัวจะพุ่งแทงหมอจงด้วยกระบี่)
          อันฉี  : คุกเข่า!! และวางกระบี่ลงเดี๋ยวนี้!!
       เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย ปล่อยให้ข้าไปฆ่ามัน!
         ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง! อาจารย์แย่แล้ว ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว พิษชนิดใดกันนี่รุนแรงเหลือเกิน (ฉิงคุนกำลังตรวจชีพจร และมองดูหมอจงที่ผิวขาวๆกำลังเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ)
          อันฉี  : พี่ใหญ่ อาจารย์ไม่ได้ทำร้ายข้า อาจารย์แค่จะเจาะเลือดตรวจโรค ท่านนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแหละ ห้ามขยับ มิเช่นนั้นข้าจะไม่ให้อภัยท่านอีกเลย!

          เสวี๋ยฉีนั่งคุกเข่าฟึดฟัดไม่พอใจ เพราะถูกฉันสั่งห้ามขยับในนามของนกอัคคีสวรรค์ เขาจึงไม่สามารถขัดคำสั่งได้

          จากนั้นฉันรีบเข้าไปดูหมอจงที่มีอาการเจ็บปวด สภาพร่อแร่เพราะพิษของเสวี๋ยฉี ฉันจึงบอกให้ฉิงคุนถอดเสื้อของหมอจงออก ฉันกับฉิงคุนต้องตกตะลึงกันอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพหมอจง จากผิวขาวๆกลายเป็นสีม่วงคล้ำ พิษสีเงินแทรกซึมรวดเร็ววิ่งไปตามเส้นเลือดจนเส้นเลือดกลายเป็นสีเงิน ลักษณะพิษเย็นจัดคล้ายกับพิษเกล็ดเยือกแข็งของปีศาจเยือกแข็งที่เป็นพิษสีน้ำเงิน ฉันจำเป็นต้องเปิดใช้ดวงตาปีศาจเพ่งมองหมอจงเพื่อดูชนิดของพิษและวิธีถอนพิษที่ถูกต้อง ฉิงคุนที่นั่งพยุงหมอจงเห็นดวงตาฉันเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนระเรื่อขาว จึงอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจว่า

        ฉิงคุน  : ดวงตาของเจ้า...!!!
          อันฉี  : (ฉันไม่สนใจที่ฉิงคุนร้องอุทาน แต่ฉันหันหน้าไปดุเสวี๋ยฉีที่กำลังนั่งคุกเข่าหน้าหงิกหน้างอ) นี่ท่านใช้ พิษงูเหมันต์ห้าสี เชียวเรอะ?! นี่ตั้งใจจะฆ่ากันจริงๆเลยรึ?!
       เสวี๋ยฉี  : มันสมควรตาย เจ้าอย่าช่วยมันนะ!
          อันฉี  : ฮึ่ม! เสร็จจากตรงนี้เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน
        ฉิงคุน  : เอ๊ะ!!! ทำไมไม่มีเลือดไหลออกมาเลยล่ะ เกิดอะไรขึ้น?!

          ฉิงคุนร้องเอะอะขึ้นมาเพราะเขาใช้มีดกรีดฝ่ามือหมอจงสองครั้งข้างที่มีแผลอยู่เดิมอยู่จนกลายเป็นสามแผล เพื่อรีดพิษออกทางเลือดแต่เลือดกลับไม่ไหลออกมา ฉันตกใจอุทานขึ้นว่า...

          อันฉี  : เฮ้ย! บอกไม่ทัน! ห้ามกรีดแผลรีดพิษ โธ่! แผลเก่ายังไม่ทันหายแผลใหม่มาอีกแล้ว! แล้วนี่กรีดเพิ่มอีกสองแผลเลยเรอะ?!!!
        ฉิงคุน  : กรีดรีดเลือดพิษไม่ได้รึ อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ แล้วจะขับพิษออกยังไง?!
          อันฉี  : แย่จนงานงอกเลยล่ะ ตอนนี้พิษทำลายระบบเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวไม่ไหลเวียนในร่างกาย หากผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อไหร่เลือดที่แข็งตัวจะเปลี่ยนเป็นไหลทะลักไม่หยุดออกมาทางแผลที่ท่านกรีดเมื่อกี้และเลือดจะไหลออกทางบาดแผลอื่นด้วย บาดแผลจะสมานยาก คนที่ไม่รู้จักพิษนี้จะหลงกลกรีดแผลเพื่อรีดพิษจึงเป็นการเร่งให้ตายเร็วขึ้น พิษนี้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์เหมือนเจ้าของพิษเลยล่ะ ศิษย์พี่อย่าทำอะไรโดยพละการอีกนะ
        ฉิงคุน  : แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ อาจารย์จะไม่ไหวแล้วนะ! (ฉิงคุนตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก)
          อันฉี  : ศิษย์พี่ กดจุดไล่พิษเป็นใช่มั้ย?
        ฉิงคุน  : ข้ากดจุดเป็น เจ้ารู้วิธีรักษาใช่มั้ย?
          อันฉี  : ใช่ ท่านกดจุดไล่พิษจากด้านล่างให้ขึ้นมาด้านบน หลังจากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า
        ฉิงคุน  : เจ้าช่วยข้าพยุงอาจารย์ให้นั่ง ข้าจะกดจุดข้างหลังอาจารย์

         ฉันขึ้นนั่งคร่อมหมอจง แล้วพยุงตัวเขาให้นั่ง โดยกอดเขาไว้ จับศรีษะเขามาซบที่ไหล่ฉัน หมอจงกอดฉันแน่นเพราะเจ็บปวดจากพิษ ฉิงคุนจึงเริ่มทำการกดจุดไล่พิษจากเอวไล่ขึ้นมาถึงต้นคอ จากนั้นฉิงคุนจึงจับตัวหมอจงให้มาพิงตัวกับเขา แล้วปล่อยให้ฉันรับหน้าที่ต่อ

          ฉันที่ยังนั่งคร่อมหมอจง ขยับยกตัวให้สูงขึ้นในขณะที่ยังคร่อมเขา แล้วสูดลมหายใจลึกๆเข้าปอดจากนั้นฉันประกบริมฝีปากจูบหมอจง และดูดพิษออกทางปากของเขา ฉันบ้วนพิษสีเงินลงพื้นพิษนั้นรสเย็นซ่าจนไอเย็นลอยออกจากปาก ทำให้ฉันหนาวไปถึงกระดูก ฉิงคุนอ้าปากค้างตกตะลึงที่เห็นฉันถอนพิษด้วยวิธีจูบปากกับหมอจง ส่วนเสวี๋ยฉียิ่งร้องโวยวายหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นฉันจูบหมอจง เขาโวยวายไม่ให้ฉันรักษาหมอจง แต่การรักษายังคงดำเนินต่อไป

         หมอจงเริ่มรู้สึกตัวและลืมตามอง เขาเอื้อมมือมากอดเอวและปล่อยให้ฉันก้มดูดพิษที่ปากเขาอีกครั้ง ฉันบ้วนพิษลงพื้นจนพิษเริ่มเจือจาง เส้นเลือดที่มีพิษสีเงินเริ่มจางลงเช่นกัน ฉันประกบริมฝีปากกับหมอจงอีกครั้งเพื่อดูดพิษแต่ครั้งนี้หมอจงจูบรับริมฝีปากฉันเหมือนชายหนุ่มจูบหญิงสาว ฉันชะงักไปนิดหนึ่งแล้วเริ่มดูดพิษต่อ พิษถูกบ้วนลงพื้นอีกครั้ง ที่ใบหน้ารอยเส้นเลือดสีเงินเริ่มเลือนลาง ฉันบอกหมอจงว่าจะดูดพิษอีกครั้ง และจากนั้นจะให้ยาสลายพิษที่แทรกซึมในกระดูก หมอจงพยักหน้าช้าๆวาเข้าใจ ฉิงคุนพยักหน้าดีใจที่หมอจงเริ่มมีอาการดีขึ้นและตกตะลึงผสมเคอะเขินที่เห็นการรักษาด้วยวิธีวาบหวิวของฉัน ฉันประกบริมฝีปากกับหมอจงอีกครั้งแต่หมอจงกลับสอดลิ้นเข้าปากและจูบฉันอย่างตั้งใจ ฉันจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วดูดลิ้นเขาเข้าปาก ฉันถอนริมฝีปากออกแล้วบ้วนพิษสีเงินจางๆจนเกือบจะเป็นสีขาวลงพื้น

          ฉันหันหน้าไปมองเสวี๋ยฉีที่กำลังนั่งคุกเข่าทุบพื้นโวยวายที่เห็นภาพบาดตาบาดใจ ฉันบอกเสวี๋ยฉีว่าเป็นความผิดของเขา เพราะเขาคิดจะฆ่าหมอจงผู้เป็นอาจารย์ ฉันจึงต้องมานั่งทำการรักษาหมอจงแบบนี้ เสวี๋ยฉีจึงเปลี่ยนจากโวยวายเป็นสะอึกสะอื้นขอโทษผสมดราม่าตัดพ้อ

          ฉันปล่อยให้เสวี๋ยฉีนั่งคุกเข่าดูการรักษาต่อไป จากนั้นฉันบอกกับหมอจงว่า...

          อันฉี  : อาจารย์...ข้าจะป้อนยาเพื่อสลายพิษเย็นที่กัดกินกระดูกท่าน เมื่อยาสัมผัสถูกลิ้นให้รีบกลืนลงคอทันทีไม่ต้องเคี้ยว เพราะยามีรสร้อนแสบทรวงเหมือนท่านถูกเผาอยู่ในนรกเลยล่ะ เมื่อท่านกลืนยาลงไปแล้วข้าจะจูบท่านอีกครั้งเพื่อช่วยลดความแสบร้อนของยา อาจารย์อย่าผลักตัวข้าออกจนกว่าข้าจะผลักท่านออกเอง ขอให้ท่านโปรดไว้วางใจข้า ท่านจะไม่ตายคามือข้าแน่
      หมอจง  : อื้ม...(เขาพยักหน้า)
          อันฉี  : ส่วนศิษย์พี่ จับตัวอาจารย์อย่าให้ดิ้นตอนป้อนยา เมื่อรักษาเสร็จแล้วให้รีบนำผ้าชุบน้ำเย็นธรรมดามาเช็ดตัวให้อาจารย์คลายร้อน แล้วต้มยาบำรุงกำลังให้ดื่ม เข้าใจตรงกันนะ
        ฉิงคุง  : ข้าเข้าใจแล้ว

           ฉันล้วงหยิบผลอัคคีในกระเป๋าเวทย์ออกมากัดครึ่งผล ฉิงคุนและหมอจงต่างตกตะลึงที่เห็นฉันกัดผลไม้ไฟ จากนั้นฉันให้หมอจงอ้าปากแล้วประกบริมฝีปากกับเขาแล้วใช้ลิ้นดันผลอัคคีเข้าปาก หมอจงสะดุ้งเพราะความแสบร้อนดังไฟเผาของผลอัคคีแล้วรีบกลืนเนื้อผลอัคคีลงคอ ฉันที่ยังนั่งคร่อมหมอจงรีบเข้าประกบริมฝีปากกับหมอจงอีกครั้ง เราจูบแลกลิ้นกันในลักษณะชายหนุ่มกับหญิงสาวที่เกิดความปรารถนาเร่าร้อนต่อกัน หมอจงกอดฉันแน่นจนส่วนล่างของเราสัมผัสกัน ฉิงคุนถึงกับก้มหน้าแดงหลับตาไม่กล้ามองเพราะเราจูบกันเร่าร้อนเกินกว่าจะทนดูได้ ส่วนเสวี๋ยฉียังคงโวยวายร้อง "ไม่ยอมๆ" ปริ่มจะขาดใจซะให้ได้ ฉันเอามือลูบไล้ตัวหมอจง ตัวของเขาอุ่นขึ้นแล้ว ฉันจึงผลักตัวเขาออก ฉิงคุนรีบจับตัวหมอจงลงนอนแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้หมอจง ฉันค่อยๆขยับคลานไปหาเสวี๋ยฉีแต่ฉันหมดแรงเพราะการรักษาและผลกระทบจากพิษงูเหมันต์ห้าสีของเสวี๋ยฉี ฉันจึงยกมือขึ้นเรียกหาเสวี๋ยฉี "พี่ใหญ่..." และทันทีที่ฉันเอ่ยปากเรียกหาเสวี๋ยฉี เขาก็รีบลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวมาประคองกอดฉัน และเอ่ยขอโทษขอโพยไม่หยุด

       เสวี๋ยฉี  : ข้าขอโทษ ข้าทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ เจ้าเจ็บเพราะข้า
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ท่านอย่าทำร้ายอาจารย์อีกนะ ขอร้องล่ะ
       เสวี๋ยฉี  : ไม่แล้ว ข้าไม่ทำแล้ว ข้าขอโทษ
          อันฉี  : พี่ใหญ่พาข้ากลับห้องพักที
        ฉิงคุน  : เดี๋ยว! ศิษย์น้อง แล้วแผลที่มืออาจารย์นี่ล่ะ ต้องทำยังไง เลือดยังออกอยู่เลย แผลจะสมานกันมั้ย?
          อันฉี  : พิษถูกถอนแล้ว ท่านเย็บแผลให้อาจารย์ตามปกติได้เลย อ่ะ! นี่ยาทาแผล แผลจะหายไว ข้าขอพักสักคืน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปดูอาการของอาจารย์อีกครั้ง แต่ตอนนี้อาจารย์ปลอดภัยแล้ว อย่าห่วง
       ฉิงคุน  : เจ้าต้องเช็ดตัวหรือไม่? ข้าต้มยาเสร็จจะนำไปให้ อีกอย่างเสื้อผ้าเจ้าเลอะเลือดของอาจารย์ไปหมดแล้ว ข้าจะนำชุดใหม่ไปให้
          อันฉี  : ขอบคุณศิษย์พี่ พี่ใหญ่จะเป็นดูแลข้าเอง อย่าห่วง

          เสวี๋ยฉีอุ้มฉันกลับห้องพัก เขาค่อยๆวางฉันลงบนฟูก แล้วบอกว่าจะออกไปตักน้ำมาเช็ดตัวให้ ฉันจับแขนเขาแล้วมองตา และถามเขาว่า

          อันฉี  : ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่มั้ยว่าจะไม่ทำร้ายใคร?
       เสวี๋ยฉี  : อื้ม (เขามองจ้องตาฉันแล้วลุกออกไป)

          ไม่นานนักเสวี๋ยฉีเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยอ่างน้ำใบเล็กๆใบหนึ่งและผ้าผืนหนึ่งสำหรับเช็ดตัว ก่อนหน้านี้ที่เขาร้องโวยวายเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ตอนนี้เขากลับพูดน้อยเข้าโหมดเงียบขรึม เสวี๋ยฉีค่อยๆถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออกจนฉันเปลือยเปล่า แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเริ่มเช็ดเบาๆที่ใบหน้า ฉันมองหน้าเขาและเอื้อมมือไปแตะที่แก้มเสวี๋ยฉีแล้วใช้นิ้วโป้งขยับสัมผัสที่แก้มเขาแผ่วเบา เสวี๋ยฉีเอียงแก้มแนบกับมือฉันพร้อมยกมือขึ้นมาประกบทับมือฉันที่จับแก้มเขา

          อันฉี  : ข้าขอโทษที่ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์บังคับให้ท่านนั่งคุกเข่า
      เสวี๋ยฉี  : ข้าผิดเองที่ใจร้อน จนเป็นเหตุให้เจ้าป่วย ข้ารู้สึกปวดใจเหลือเกิน
          อันฉี  : ท่านรู้ตัวเองผิดก็ดีแล้ว ข้าให้อภัยท่าน แล้วนี่ท่านกลับมาทำไม พี่รองกับพี่สามล่ะ
      เสวี๋ยฉี  : เจ้ารองกับเจ้าสามไปกักตนแล้ว แต่ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยกลับมาหาเจ้า อยากนอนกอดเจ้าแล้วพรุ่งนี้จะเข้าถ้ำกักตน สาวน้อยข้าคิดถึงเจ้าจริงๆนะ (เสวี๋ยฉีทำเสียงออดอ้อน)
          อันฉี  : ข้าก็คิดถึงท่านมากเหมือนกัน

          ฉันโน้มคอเสวี๋ยฉีเข้ามาจูบที่ริมฝีปากแล้วสอดลิ้นกวัดแกว่งไปทั่ว เสวี๋ยฉีกอดและค่อยๆโถมตัวทับบนตัวฉัน เขาเลื่อนตัวลงไปจูบหน้าอกและดูดหัวนม ลิ้นที่นุ่มนิ่มแต่ซุกซนเลียสลับจูบลงไปที่หน้าท้องทั้งเสียวและทั้งจักจี้ เขาเลียไปจนถึงเนินหว่างขา แล้วสอดลิ้นเข้าไปในรอยแยกตรงหว่างขา จับขาฉันทั้งสองข้างยกขึ้นแล้วแยกออกกว้าง ลิ้นที่กำลังเลียชอนไชเข้าไปข้างในจนเยิ้มแฉะ เขาดูดและเลียอีกครั้ง ลิ้นที่ยังคงซุกซนสอดใส่ชอนไชเข้าข้างในจนลึก ฉันเด้งก้นและเอื้อมมือไปจับศรีษะเขาแล้วกดหน้าเขาเข้ากับเนินตามจังหวะลิ้นที่ชอนไชเข้าออกทำฉันเสียวสะท้านเกร็งไปทั้งตัว อ๊าาา

          จากนั้นเขาค่อยๆเลียและจูบขึ้นมาที่หน้าท้อง สองมือเอื้อมมาบีบขยำหน้าอก ริมฝีปากที่ค่อยๆจูบขึ้นมาเลียรอบหัวนมแล้วดูด เขาแลบลิ้นเลียฉันตั้งแต่หน้าอก ลำคอจนมาถึงใบหู เสวี๋ยฉีลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วขยับมานั่งคร่อมตรงหน้าอกฉัน เขาจับแท่งเนื้อแข็งมาจ่อที่ปาก ฉันแลบลิ้นเลียที่ปลายแท่งและขยับลิ้นเลียรอบๆปลายรอยหยัก สองมือฉันก็บีบขยำก้นเขาไปด้วย เสวี๋ยฉีถูไถแท่งเนื้อกับริมฝีปากและลิ้นที่ฉันคอยเลียให้ เขาจับแท่งเนื้อสอดใส่เข้าในปากแล้วเริ่มขยับแท่งเนื้อเข้าออกในปากช้าๆ แท่งเนื้อถูกดันเข้าปากจนสุด และขยับออกมาสุดปลายเช่นกัน เสียงครางๆเบาๆเขาเซ็กซี่เหลือเกิน จากนั้นจังหวะเริ่มเร่งให้เร็วและกระแทกแรงขึ้น เขาเอามือปิดปากตัวเองเพราะกลัวเสียงร้องครางดังไปถึงห้องข้างๆ เขาเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อเข้าปากแรงและลึกจนน้ำสีขาวข้นทะลักออกมาเต็มปากซึ่งฉันต้องกลืนลงไปนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ

          เสวี๋ยฉีขยับตัวมานอนกอดฉัน หอมแก้มจูบซอกคอ มือบีบเล่นหน้าอก ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วบอกให้เขาเช็ดตัวฉันให้เสร็จ จะได้เข้านอนเร็วๆและกอดกันให้สมกับความคิดถึง เขาจึงเริ่มเช็ดตัวให้อีกครั้ง มือนิ่มๆสัมผัสลูบไล้ฉันอย่างแผ่วเบาจนขนลุก เมื่อเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยฉันขยับตัวนั่งพิงแนบอกเขา เสวี๋ยฉีโอบกอดฉันทางด้านหลัง สองมือเอื้อมมาบีบคลึงหน้าอก แล้วค่อยๆเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปที่เนินหว่างขาลูบไล้แล้วแหย่นิ้วกลางเข้าไปในรอยแยกนั้น ทั้งเขี่ยและคลึงจนเริ่มมีน้ำเยิ้มแฉะอีกครั้ง เสวี๋ยฉีก้มหน้าจูบที่ลำคอและไหล่ ฉันเอี้ยวหน้าไปจูบเขาอย่างดูดดื่มเพราะเสียววูบวาบที่เนินหว่างขา ฉันบอกเสวี๋ยฉีด้วยเสียงกระเส่าว่า

          อันฉี  : อ๊าาา...ข้ารักท่าน
       เสวี๋ยฉี  : แต่ข้ารักเจ้ามากกว่า
          อันฉี  : ทำให้ข้าเห็นสิ
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะทำให้เจ้าเห็นทั้งคืน...

          เสวี๋ยฉีทำให้ฉันหลับ...ในความฝันฉันกำลังยืนโก้งโค้งหันหน้าเข้าหาผนังโดยมีเสวี๋ยฉีกำลังนั่งคุกเข่าเลียเนินหว่างขาทางด้านหลัง ลิ้นซุกชนทั้งเลียและชอนไชเข้าออกจนฉันร้องครางเสียงดัง เขาเลียสลับกับใช้นิ้วสอดใส่เข้าออกช้าๆ ฉันจึงพลิกตัวกลับหลังพิงผนังและหันหน้าให้เขา ขาฉันข้างหนึ่งยกขึ้นพาดบ่าเขาที่กำลังนั่งคุกเข่าดูดเลียเนินสวรรค์ เขาลุกขึ้นยืนจับแท่งเนื้อแข็งถูไถเนินสวรรค์และค่อยๆดันเข้าไปจนสุด เสียงลมหายใจและเสียงครางของเขาที่ดังเบาๆอยู่ข้างๆหูช่างเป็นเสียงที่เซ็กซี่เหลือเกิน เขาเด้งก้นโยกสลับกระแทกช้าๆ และเริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น กระแทกแรงขึ้นดันอีกครั้งจนสุด เขากระตุกเล็กน้อยพร้อมกับน้ำอุ่นๆไหลออกมา เสวี๋ยฉียังไม่หยุดแค่นั้น เขาเริ่มจูบซุกไซร์อีกครั้ง และอุ้มฉันเข้าเอวค่อยๆวางฉันลงบนฟูกที่นอน แท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาอีกครั้ง...การแสดงความรักของเขากำลังจะเริ่มขึ้นอีกรอบ และความรักที่ร้อนแรงนี้จะไม่หยุดลงง่ายๆจนกว่าจะถึงรุ่งเช้า
     
          ฉันตื่นแต่เช้ามาส่งเสวี๋ยฉีที่จะเดินทางไปกักตัวในถ้ำที่ไหนสักแห่ง เราสวมกอดและหอมแก้มกันอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนที่จะขึ้นกระบี่บินออกไป จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องพักของหมอจงเพื่อดูอาการบาดเจ็บ แต่ไม่กล้าเปิดประตูห้องเข้าไปโดยพละการ เพราะฉิงคุนเคยบอกว่าหมอจงเคร่งครัดเรื่องการแบ่งแยกชายหญิง ฉันจึงนั่งรีๆรอๆอยู่หน้าห้องพักหมอจง

          นั่งรออยู่ไม่นานนักฉิงคุนเปิดประตูห้องพักออกมา เขาเห็นฉันนั่งอยู่จึงกล่าวทักทายเหมือนเดิมแต่ออกอาการกลัวๆอยู่พอสมควร

        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?
          อันฉี  : อาการข้าดีขึ้นแล้ว ศิษย์พี่กำลังจะเข้าไปดูอาการของอาจารย์รึ?
        ฉิงคุน  : อาจารย์อาการดีขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ข้าจะเข้าไปทำแผลให้อาจารย์น่ะ
          อันฉี  : ขอให้ข้าทำแผลให้อาจารย์ได้มั้ย?
        ฉิงคุน  : แล้วพี่ชายของเจ้าล่ะ เขาจะมาอาละวาดอีกหรือเปล่าถ้ามาเห็นเจ้าอยู่กับอาจารย์อีก พี่ใหญ่ของเจ้าน่ากลัวจริงๆ
          อันฉี  : พี่ใหญ่ไม่มาอาละวาดแล้วล่ะ พี่ใหญ่เข้าใจแล้วและกลับไปแล้ว
         ฉิงคุน  : ค่อยยังชั่ว...งั้นฝากเจ้าทำแผลให้อาจารย์ด้วย ข้าจะไปเตรียมอาหารเช้าให้อาจารย์
          อันฉี  : ศิษย์พี่...ถ้าอาจารย์หายเป็นปกติแล้ว ข้าจะกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว
        ฉิงคุน  : ทำไมล่ะ เพราะเรื่องที่อาจารย์บาดเจ็บรึ? เจ้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายอาจารย์สักหน่อย เจ้าอย่าเพิ่งด่วนใจร้อน รอพูดคุยกับอาจารย์ก่อนเถอะ
          อันฉี  : อืม....

          ฉันเปิดประตูห้องพักหมอจง เห็นเขากำลังนอนอยู่ ฉันจึงจะถอยหลังกลับแต่ได้ยินเสียงหมอจงพูดขึ้นว่า

      หมอจง  : เข้ามาสิ ข้าตื่นแล้ว
          อันฉี  : อาจารย์ ศิษย์พี่กำลังเตรียมอาหารเช้า ข้าจึงมาทำแผลให้ท่าน
      หมอจง  : อื้ม

          ฉันเดินเข้าไปภายในห้องตกแต่งแบบเรียบง่าย ข้าวของถูกจัดเก็บไว้เป็นระเบียบ ฉันเหลือบไปเห็นตู้หลังหนึ่งวางตั้งอยู่ที่มุมห้อง ภายในมีหม้อสีเงินลวดลายสวยงาม คล้ายหม้อต้มยาขนาดเท่าชามใส่น้ำแกง วางอยู่ในตู้สะดุดตาฉันเหลือเกิน แต่ฉันไม่กล้าเอ่ยถามเกี่ยวกับมัน เกรงหมอจงจะคิดว่าฉันมีสายตาสอดส่องภายในห้องของเขา ฉันจึงละสายตาจากหม้อใบนั้น แล้วนั่งลงข้างๆหมอจงที่ลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นมือมาให้ฉันแกะผ้าพันแผลออก เพื่อให้ทำแผลใหม่

      หมอจง  : ข้าจำได้ว่ามือข้ามีแผลแค่แห่งเดียว แต่ทำไมตอนนี้กลับมีแผลถึงสามแผลล่ะ?
          อันฉี  : ศิษย์พี่ กรีดแผลเพื่อรีดพิษให้อาจารย์
      หมอจง  : ตั้งแต่เจ้ามาอยู่กับข้า ข้าก็ได้แผลเพิ่มขึ้นแทบจะทุกวัน
          อันฉี  : อาจารย์ ข้าขอโทษ คือว่าข้ามีเรื่องจะ......
      หมอจง  : เอาเถอะ! มีเรื่องบ้างก็ดี ทำให้ข้าได้รู้ความสามารถที่แท้จริงของเจ้า
          อันฉี  : คือว่าข้ามีเรื่องจะ......
      หมอจง  : ข้ามีเรื่องจะให้เจ้าทำ แต่รอให้ข้าหายดีก่อน แล้วจะบอกอีกทีว่าต้องทำอะไร ว่าแต่...พี่ใหญ่ของเจ้าซัดพิษอะไรใส่ข้า พิษรุนแรงมาก ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นพิษรุนแรงที่สุดที่ข้าเคยเจอมา
          อันฉี  : พิษงูเหมันต์ห้าสี
      หมอจง  : พิษสกัดจากงูสินะ ผู้มีวรยุทธสูงเท่านั้นจึงจะสามารถสกัดพิษรุนแรงขนาดนี้ได้ หมอหวังเตือนข้าไว้ก่อนแล้ว ว่าให้ระวังพี่ชายของเจ้า แล้วพิษเกล็ดเยือกแข็ง พิษรุนแรงเท่านี้มั้ย?
          อันฉี  : พิษรุนแรงไม่เท่ากัน พิษงูเหมันต์ห้าสี พิษรุนแรงระดับแปด ส่วนพิษเกล็ดเยือกแข็ง พิษรุนแรงกว่า พิษแรงระดับเก้า
     หมอจง  : ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสามารถมีชีวิตรอดได้จากพิษทั้งสองชนิดนี้ แล้วเจ้าเอายาอะไรป้อนให้ข้ากินเมื่อคืน รูปร่างมันแปลกๆข้าเห็นไม่ชัด แต่แสบร้อนเหมือนถูกไฟเผาอยู่ในขุมนรกเจ็บปวดเกินจะทนเหมือนกินยาพิษมากกว่ากินยาถอนพิษ

          หมอจงเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับฉันมากขึ้น ฉันจึงพยายามเปลื่ยนเรื่องคุย และหันเหความสนใจของเขา ฉันโปะยาทาแผลตำรับของฉันลงบนฝ่ามือที่มีแผลของหมอจง แล้วแอบวางมือทาบบนปากแผลเพื่อส่งพลังสมานแผลแบบรวดเร็ว

          อันฉี  : อาจารย์ ท่านยังรู้สึกหนาวลึกๆอยู่มั้ย ข้าจะได้ให้พ่อครัวต้มน้ำขิงให้ท่านดื่ม ดื่มน้ำขิงร้อนๆร่างกายจะได้อุ่นขึ้น
      หมอจง  : เจ้าใส่ยาอะไรให้ข้า ให้ข้าดูส่วนผสมหน่อย ใช่ใบสมุนไพรแปลกๆนั่นหรือไม่
          อันฉี  : เอ่อ...มันคือหญ้าหวานน่ะอาจารย์ ท่านอยู่นิ่งๆก่อน ต้องให้ยาออกฤทธิ์สักครู่แล้วค่อยพันผ้าพันแผล
      หมอจง  : หญ้าหวานรึ?! ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหญ้าหวานจะสามารถสมานแผลได้รวดเร็ว
          อันฉี  : ใช่ ที่บ้านข้าเรียกว่าหญ้าหวาน

          ฉันแอบส่งพลังสมานแผลจนเสร็จ และรีบหยิบผ้าพันแผลมาพันมือหมอจงโดยไม่ให้หมอจงเห็นว่าแผลมีดบาดลึกทั้งสามแผลบนฝ่ามือเขาหายเป็นปกติแล้ว

          อันฉี  : อาจารย์อย่าเพิ่งแกะผ้าพันแผลออกนะ ค่อยแกะออกตอนที่ศิษย์พี่มาทำแผลให้ตอนเย็น
      หมอจง  : แต่ข้ารู้สึกเหมือนหายเจ็บแล้ว
          อันฉี  : หึ! ท่านคิดไปเอง อย่าเพิ่งแกะผ้าพันแผลออก ถ้ายาโดนลมมันจะเสื่อมคุณภาพ รอแกะตอนเย็นนะ
      หมอจง  : อื้ม งั้นเจ้าไปต้มน้ำขิงให้ข้า ข้าอยากดื่มน้ำขิง

          ฉันลุกออกมาจากห้องหมอจง ซึ่งฉิงคุนยกอาหารเช้าของหมอจงมาพอดี ฉันจึงเดินไปโรงครัวบอกพ่อครัวให้ต้มน้ำขิง สักครู่ฉิงคุนก็เดินมาหาฉัน และชวนฉันไปนั่งคุยระหว่างที่รอน้ำขิง

        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง เจ้าคุยเรื่องที่จะกลับบ้านกับอาจารย์หรือยัง?
          อันฉี  : ยังเลย อาจารย์ไม่เปิดโอกาสให้ข้าพูด แถมยังบอกว่ามีงานบางอย่างให้ข้าทำ แต่รอให้อาจารย์หายดีก่อน
        ฉิงคุน  : แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้ถือโกรธอะไรเจ้า เจ้าก็อย่าคิดมากเลย อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ
          อันฉี  : ศิษย์พี่ไม่กลัวข้าแล้วรึ?
        ฉิงคุน  : ตอนแรกข้าก็กลัว เพราะเจ้าดูแปลกๆ แต่พอคิดไปคิดมา เจ้าเองก็ไม่เคยทำร้ายข้ากับอาจารย์ อีกทั้งยังช่วยถอนพิษให้อาจารย์อีก ยังไงเจ้าก็เป็นศิษย์น้องของข้า ข้าเลิกกลัวเจ้าแล้วล่ะ นี่! ข้าขอถามอะไรหน่อย ไหนๆข้าก็ได้เห็นแล้ว ข้าอยากรู้ว่าทำไมเมื่อคืนดวงตาของเจ้าจึงเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้ล่ะ?
          อันฉี  : อ๋อ...เรื่องนั้นศิษย์พี่ช่วยเก็บเป็นความลับได้มั้ยล่ะ
        ฉิงคุน  : ข้ารับปากว่าจะไม่บอกใคร
          อันฉี  : นั่นคือดวงตาปีศาจ ข้าจะใช้ดวงตาปีศาจมองเวลาที่ต้องการตรวจสอบพิษ
        ฉิงคุน  : โห มิน่าล่ะ เมื่อคืนเจ้าถึงรู้ว่าอาจารย์ถูกพิษอะไร ทำไมข้าไม่มีดวงตาปีศาจแบบนี้บ้างน๊า น่าอิจฉาจริงๆ
          อันฉี  : หุหุ
        ฉิงคุน  : อ้อ...ข้ามีอีกเรื่องนึงอยากให้เจ้าช่วยหน่อย คือวันนี้ครบกำหนดวันส่งยาสมุนไพรให้ลูกค้า แต่บ้านของลูกค้าอยู่ไกลต่างอำเภอ จะให้เจ้าเอายาไปส่งก็เกรงว่าเจ้าจะหลงทาง อีกอย่างเจ้าเป็นผู้หญิง ข้าก็เกรงเจ้าจะมีอันตราย ข้าจะไปด้วยตัวเองอาจารย์ก็กำลังป่วย
          อันฉี  : ข้าไปส่งยาให้ก็ได้เขียนแผนที่มาสิ
        ฉิงคุน  : ไม่ ไม่ ข้าจะไปส่งยาเอง คืองี้...ตอนขากลับจะผ่านอำเภอที่พ่อกับแม่ข้าอาศัยอยู่ ข้าอยากแวะไปเยี่ยมพวกเขา จึงอยากจะพักค้างคืนกับพวกเขาสักคืน ข้าฝากเจ้าดูแลอาจารย์จะได้มั้ย
          อันฉี  : ได้สิ ท่านจะไปตอนไหนล่ะ
        ฉิงคุน  : กินอาหารเช้าเสร็จข้าจะไปเลย ส่งยาให้ลูกค้าเสร็จเร็ว ข้าจะได้มีเวลาอยู่กับพ่อแม่นานๆหน่อย ขอบใจเจ้ามากนะ น้ำขิงต้มเสร็จแล้วข้ายกไปให้อาจารย์เอง

          ฉิงคุนรีบยกน้ำขิงไปให้หมอจงที่ห้องพัก เขาคงดีใจที่จะได้แวะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้าน ส่วนฉันเองก็เริ่มปรับตัวกับที่นี่ได้บ้างแล้ว ขณะกำลังจะเตรียมตัวไปกินอาหารเช้า ก็มีคนงานเด็กหนุ่มเดินมาบอกว่ามีผู้หญิงชื่อ เฉิงเหม่ยอิง มาขอพบหมอจง ฉันจึงเดินไปแจ้งหมอจง แต่หมอจงไม่ยอมให้นางเข้าพบ แล้วปิดประตูเงียบอยู่ในห้องพัก ฉันจึงเดินไปหาเฉิงเหม่ยอิงที่นั่งรออยู่ในสวน

          อันฉี  : ต้องขออภัย อาจารย์ป่วยอยู่ สั่งไว้ไม่ให้ใครเข้าพบ
     เหม่ยอิง  : พี่หยู!!! เอ่อ...หมอจง ป่วยเป็นอะไร?! ป่วยมากหรือเปล่า? (เหม่ยอิงมีสีหน้ากังวลที่รู้ว่าหมอจงป่วย)
          อันฉี  : ไม่เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนน้อย อ่อนเพลีย และต้องการพักผ่อนเงียบๆ
     เหม่ยอิง  : ให้ข้าไปเยี่ยมเขาหน่อย
          อันฉี  : เยี่ยมไม่ได้ อาจารย์สั่งห้ามใครเข้าพบ ท่านอย่าทำให้ข้าต้องถูกอาจารย์ดุเลย วันนี้ท่านกลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่อาจารย์คงดีขึ้นแล้ว
     เหม่ยอิง  : ฮึ! คิดว่าจะหลบหน้าข้าได้ตลอดไปรึ... ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ฝากอาหารนี่ให้เขาด้วย กำชับให้เขากินให้หมดด้วยล่ะ
          อันฉี  : ข้าจะนำไปให้อาจารย์ อย่าห่วง

          เหม่ยอิงกลับไปด้วยสีหน้าห่วงใยผสมผิดหวังที่ไม่ได้เข้าพบหมอจง ฉันคิดในใจว่าอาจารย์กับเหม่ยอิงต้องมีอะไรกันสักอย่างแน่ๆ แต่ที่แน่ๆเหม่ยอิงชอบอาจารย์แน่นอน แต่ช่างเถอะคิดไปก็ปวดหมอง ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่แล้ว...

          ฉันถือปิ่นโตอาหารเดินไปที่หน้าห้องพักหมอจง พบฉิงคุนกำลังเดินออกมาจากห้องพักและจะไปโรงครัวเพื่อกินอาหารเช้า เขาเห็นฉันถือปิ่นโตในมือจึงเรียกให้ฉันเดินไปหา

        ฉิงคุน  : นั่นปิ่นโตอาหารคุณหนูเฉิงใช่มั้ย
          อันฉี  : ใช่ ทำไมรู้ล่ะ นางมาหาอาจารย์ แต่อาจารย์ไม่ให้พบ
        ฉิงคุน  : ความพยายามของคุณหนูเฉิงสูงจริงๆ นางมาที่นี่คนเดียวหลายครั้งแล้วแต่อาจารย์ก็ไม่เคยให้พบสักครั้ง
          อันฉี  : ทำไมล่ะ เมื่อวานนางมากับราชครูเฉิง ยังเข้าพบได้เลย
        ฉิงคุน  : เมื่อวานอาจารย์เลี่ยงไม่ได้ อย่าใส่ใจเลย เราไปกินอาหารเช้ากันเถอะ
          อันฉี  : ข้าเอาปิ่นโตนี่ไปให้อาจารย์ก่อน
        ฉิงคุน  : อาจารย์ไม่กินหรอก ข้าเคยเอาไปให้หลายครั้งแล้ว จนอาจารย์สั่งไว้ว่าไม่ต้องเอาไปให้อีก ให้ข้ากินได้เลย ถ้าเจ้ากลัวก็บอกอาจารย์ว่าข้าเป็นคนกิน ข้ารับผิดชอบเอง

          ฉิงคุนดึงแขนฉันไปกินอาหารเช้า เขาเปิดฝาปิ่นโตที่เหม่ยอิงฝากมาเพื่อจะกินอาหารข้างใน อาหารในปิ่นโตมีสองอย่าง กลิ่นหอมแลดูน่ากินมาก ชั้นแรกเป็นไก่ต้มเนื้อสีเหลืองสวยดูคล้ายไก่ต้มน้ำปลาสับเรียงเป็นชิ้นสวยงาม ส่วนชั้นที่สอง เป็นหมูสามชั้นทอดหั่นเป็นชิ้นๆตุ๋นจนเปื่อย วางสลับด้วยเผือกเนื้อซุยจี่ไฟพอสุกหั่นเป็นชิ้นเท่ากันกับหมูสามชั้น แล้วราดด้วยน้ำปรุงรสคล้ายน้ำพะโล้ ฉิงคุนเริ่มลงมือกิน เขาหยิบไก่มาฉีกกินดูน่าอร่อย สลับตักหมูสามชั้นเข้าปาก

          อันฉี  : อร่อยป่ะ?
        ฉิงคุน  : อร่อยมาก คุณหนูเฉิงทำอาหารอร่อย ข้ากินมาหลายครั้งแล้ว ฝีมือดีไม่มีตกเลย
          อันฉี  : คุณหนูเฉิงคงจะชอบอาจารย์มาก
        ฉิงคุน  : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อาจารย์ไม่เคยให้นางพบเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง
          อันฉี  : แล้วอาจารย์มีคนรักมั้ย (ฉันเอื้อมมือไปหยิบน่องไก่มาฉีกกิน)
        ฉิงคุน  : อาจารย์ไม่น่าจะมีคนรัก เพราะข้าไม่เคยเห็นอาจารย์พูดถึงผู้หญิงคนไหน และไม่มีผู้หญิงคนไหนมาหาอาจารย์ที่นี่ ที่เห็นมีแต่คุณหนูเฉิง, ราชครูเฉิง กับท่านจิน
          อันฉี  : (ฉันมองจ้องตานิ่งๆกับฉิงคุนครู่หนึ่ง)
        ฉิงคุน  : ฮึ่ย! อาจารย์ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอกน่า อ่ะ! กินข้าวๆ ข้าจะรีบไปส่งยาสมุนไพร
          อันฉี  : หุหุ ศิษย์พี่ข้าถามอะไรหน่อยสิ คือถามเพราะอยากรู้เฉยๆ หม้อสวยๆสีเงินคล้ายหม้อต้มยาที่อยู่ในห้องพักอาจารย์ เป็นหม้ออะไรเหรอ (ฉันตักหมูสามชั้นเข้าปากแล้วรอฟังคำตอบ)
         ฉิงคุน  : นั่นคือ หม้อต้มยาราชัน เป็นของตกทอดประจำตระกูลของอาจารย์ อาจารย์บอกว่าสามารถต้มยาได้ทุกชนิดแม้แต่ยาพิษร้ายแรงก็ต้มได้หม้อไม่สึกหรอไม่ละลาย แล้วยาที่ต้มจากหม้อใบนั้นจะให้ผลดีกว่ายาทั่วไปหลายเท่าเลย แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ใช้ เลยไม่รู้ว่าจริงตามคำล่ำลือหรือเปล่า
          อันฉี  : อืม น่าสนใจ ..... ศิษย์พี่กินข้าวเถอะจะได้รีบไปส่งยา

          ฉิงคุนเดินทางออกไปส่งสมุนไพร ส่วนอาจารย์ปิดประตูพักผ่อนเก็บตัวอยู่ในห้อง ฉันจึงมีเวลาว่างทั้งวัน เลยไปช่วยคนงานคัดแยกและตากสมุนไพร หาอะไรทำไปเรื่อยแก้ว่าง ตกเย็นฉันจึงแกล้งเข้าไปทำแผลให้หมอจงในห้องพัก

          อันฉี  : อาจารย์ ข้ามาทำแผลให้
      หมอจง  : ยาทาแผลสูตรหญ้าหวานของเจ้านี่ดีนะ ทั้งวันข้าไม่รู้สึกเจ็บแผลเลยสักนิด เหมือนแผลหายแล้วตั้งแต่เช้า (หมอจงพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนรู้ทัน)
          อันฉี  : ว้าว! แผลหายแล้วจริงๆด้วย ไม่ต้องทำแผลแล้ว อ้อ! คืนนี้ศิษย์พี่ แวะนอนค้างที่บ้านพ่อแม่ หากท่านมีอะไรก็เรียกใช้ข้าได้
      หมอจง  : อืม ฉิงคุนบอกข้าไว้แล้ว
          อันฉี  : งั้นข้าไปล่ะ
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 32
(ค่ำคืนที่ปรากฎนกอัคคีสวรรค์)

          ที่นี่ตกค่ำบรรยากาศจะเงียบเชียบ มีเพียงเสียงแมลงและนกกลางคืนที่ร้องดังแต่ก็ไม่มากนัก คืนนี้มีเพียงฉันกับหมอจงที่อยู่บ้านกันสองคน ฉันไม่รู้จะทำอะไร เฟยเจินไปย้ายสถานที่หมักไหเหล้าก็ยังไม่กลับ ฉันจึงออกมานั่งเล่นและอ่านหนังสือที่ชานหน้าห้องพักเพื่อรอเฟยเจิน และเผื่อว่าหมอจงจะเรียกใช้ นั่งอ่านหนังสือไปได้สักพักใหญ่ๆเฟยเจินก็ยังไม่ยอมกลับ ส่วนหมอจงก็ไม่เห็นเรียกใช้สักที ฉันมองขึ้นไปบนฟ้าคืนนี้ไม่มีพระจันทร์ มีแต่ดวงดาวที่ส่องแสงกระพริบ บรรยากาศชวนเหงาซะจริง

          เริ่มดึก ห้องพักของหมอจงดับไฟแล้วคงเข้านอน ฉันจึงเดินไปที่ห้องเก็บเหล้า หยิบเหล้าขวดเล็กมาขวดหนึ่งนำมานั่งดื่มชมดาวที่หน้าห้องพัก แค่อึกแรกก็พามึนซะแล้ว ฉันจึงหยิบหูฟังเพลงในกระเป๋าเวทย์มาสวมครอบหูแล้วเปิดฟังเพลง ดวงดาว ที่เก็บบันทึกไว้ในโทรศัพท์

         ♪♫♪....คืนที่ดาวอยู่เต็มฟ้า
          โปรดเถอะจันทรา
          อย่าเพิ่งส่องมาได้ไหม
          เพราะในตอนนี้ยังมีคนที่
          เขาทนทรมาน คือฉันเอง
          คิดถึงเธอ.... ♪♫♪

          เสียงเพลงชวนเหงาซะเหลือเกิน ภาพใบหน้าของพี่ชายทั้งสี่และใบหน้าฮ่องเต้ผุดขึ้นมากลางใจ ฉันยกขวดเหล้าดื่มอีกหนึ่งอึกใหญ่ แล้วเริ่มบ่นพึมพำกับตัวเองว่า "ใครบอกวะว่า...?! ดื่มเหล้าเพื่อลืมเธอ ขมก็ขม ดื่มแล้วไม่เห็นจะลืมใครได้สักคน แถมเมาจะกลิ้งตกบ้านแล้วเนี่ย!" ฉันยกเหล้าดื่มอีกหนึ่งอึกจนเมามายแทบจะครองสติไม่อยู่ ด้วยความมึนเมาและมีสติเพียงเล็กน้อย ฉันลุกเดินโซเซไปในสวนเพราะอยากเดินฟังเพลงและชมดวงดาวยามค่ำคืน ฉันเดินใส่หูฟังร้องเพลงและเต้นรำหมุนไป หมุนมาคนเดียวในสวน โดยไม่รู้ตัวว่าหมอจงกำลังแอบมองดูฉันมาจากความมืดในห้องพัก

          ฉันมีสติบ้างนิดหน่อยเริ่มร่ายรำเล่นๆผสมท่าร่ายรำสะบัดพิษที่เสวี๋ยฉีเคยสอนจนฉันเกิดความสนุกและเพลิดเพลิน ความมึนเมาทำให้ฉันเกิดความรู้สึกเบาจนเหมือนจะบินได้ ฉันร่ายรำและหมุนตัวจนเกิดลมหมุนที่พื้น ใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นกับพื้นขยับปลิวตามลมหมุนที่ฉันหมุนตัว ฉันจึงหมุนตัวให้เร็วขึ้นกว่าเดิมและออกแรงกระโดดลอยตัวให้สูง วาดแขนทั้งสองข้างออกไปข้างลำตัวลักษณะนกกำลังสยายปีกพร้อมกับส่งเสียงว่า "ข้าจะบิน!" ทันไดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบและประกายสะเก็ดไฟลอยในอากาศแล้วกระจายหายไป คล้ายเกิดการเผาไหม้อะไรสักอย่างแต่ฉันไม่ทันมองเห็น ตัวฉันค่อยๆตกลงสู่พื้นและล้มลงไปนั่งกับพื้นเพราะเมาจนทรงตัวไม่อยู่ ฉันพยายามลุกขึ้นมองดูที่ตัวเองและรอบๆสวนก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ จึงเดินโซเซกลับไปนั่งที่ชานหน้าห้องพักแล้วยกเหล้าดื่มอีกหนึ่งอึก ฉันดึงหูฟังที่ครอบหูออกแล้วล้มตัวลงนอนตรงนั้น คิดว่าสักครู่จะคลานกลับเข้าห้องพัก เพราะตอนนี้คลานไปไม่ไหว

          แค่ชั่วอึดใจที่ฉันหลับไป หมอจงที่แอบมองดูจากในห้องพักกำลังจะเดินออกมาดูฉันที่นอนหลับอยู่ตรงชานก็ตัองหยุดชะงัก เพราะเขาเห็นเฟยเจินเพิ่งบินกลับมาจากข้างนอก เฟยเจินรีบพุ่งตัวเข้ามาหาฉันแล้วมองดูฉันสักครู่หนึ่งเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เฟยเจินเห็นขวดเหล้าวางอยู่ข้างๆจึงรู้ว่าฉันดื่มเหล้าจนเมา เขาจึงเก็บหูฟังใส่ในกระเป๋าเวทย์ตามเดิม แล้วอุ้มฉันกลับเข้าไปนอนในห้อง

          เช้าแล้ว ฉันตื่นขึ้นมาโดยมีเฟยเจินนอนอยู่ข้างๆ เขาปลุกให้ฉันตื่นเพราะฉันต้องมีเรียนกับหมอจงตอนเช้า ฉันงัวเงียตื่นและเวียนหัวนิดหน่อย เฟยเจินจูบฉันเป็นการทักทายตอนเช้า ฉันจูบกลับแล้วพลิกตัวขึ้นนอนทับบนตัวเขา และสอดลิ้นเข้าในปากจูบดูดดื่มแบบลืมหายใจให้สมกับความคิดถึง

          อันฉี  : คิดถึงจังเลยเจินเจินของข้า
     เฟยเจิน  : ข้าก็คิดถึงเจ้า
          อันฉี  : กลับมาถึงเมื่อคืนเหรอ
     เฟยเจิน  : ใช่ กลับมาก็เห็นเจ้านอนอยู่ที่ชานหน้าห้องพัก ทำไมดื่มเหล้าจนเมามายขนาดนั้นล่ะ
          อันฉี  : ข้าคิดถึงพี่ชายทั้งสามคน คิดถึงเจ้าด้วย เลยนั่งดื่มเหล้ารอเจ้าเมื่อคืน เจ้ากลับมาช้า ข้าเลยเมาหลับไปก่อน นี่เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้ารึ
    เฟยเจิน  : ใช่ แล้วเมื่อคืนไปคลุกขี้ฝุ่นที่ไหนมา เสื้อผ้าเลอะเศษใบไม้ติดเต็มไปหมด
          อันฉี  : ฮ่าฮ่า ข้าไปเดินชมดวงดาวในสวน คงเมาแล้วหกล้มล่ะมั้ง เออ...ใช่! ข้าจำได้ ข้าล้มเมื่อคืน โอ๊ะ! เมื่อคืนเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า เจ้าก็เห็นเรือนร่างของข้าหมดแล้วน่ะสิ! ข้ามีมลทินซะแล้ว ข้าไม่ยอม เจ้าต้องรับผิดชอบตัวข้านะ
    เฟยเจิน  : ข้ารับผิดชอบเจ้าทั้งตัวเลย รับผิดชอบเจ้าไปตลอดชีวิต ไหนมาให้ข้าดูซิเมื่อคืนล้มมีอะไรบุบสลายหรือเปล่า

          เฟยเจินแกล้งจี้เอวแล้วเปิดเสื้อฉันทำเป็นหารอยหกล้ม เขาหอมและซุกไซร้จูบฉันที่ซอกคอให้ฉันจักจี้หัวเราะ แล้วพูดกับฉันว่า

     เฟยเจิน  : ต่อไปห้ามดื่มเหล้าเมามายคนเดียวแบบนั้นโดยที่ไม่มีข้าหรือพี่ชายทั้งสามอยู่ข้างๆอีก เจ้ารู้มั้ยว่ามันตราย แรงที่เจ้าจะเรียกชื่อข้ายังไม่มีเลย โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน
          อันฉี  : ข้าขอโทษ ต่อไปจะไม่ดื่มเหล้าเมาแบบนั้นอีกแล้ว....เฮ่อ! ตั้งแต่พี่ชายทั้งสามคนไม่อยู่ เจ้าก็กลายเป็นตาแก่ขี้บ่นขึ้นมาทันทีเลย
     เฟยเจิน  : เห๊อะ! ว่าข้าเป็นตาแก่ขี้บ่นเรอะ?! (เฟยเจินแกล้งจี้เอวฉันจนฉันดิ้นเพราะจักจี้) เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะทนไม่ไหวแล้วกินเจ้าเป็นอาหารเช้าแทน
          อันฉี  : อ๊ะ! จริงด้วยสิ ศิษย์พี่ไม่อยู่ เช้านี้ข้าต้องไปดูแลอาจารย์แทนศิษย์พี่ งั้นข้าไปก่อนนะ สายๆเจ้าตามข้าไปกินอาหารเช้าด้วยกันนะ
    เฟยเจิน  : อื้ม

          ฉันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า รีบร้อนเดินไปที่ห้องพักของหมอจง เปิดประตูห้องพักหมอจง เห็นเขากำลังเปลี่ยนเสื้อ เขาตกใจที่ฉันโผล่พรวดพราดเข้าไปในห้องโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ฉันรีบเดินเข้าไปช่วยเขาผูกเชือกเสื้อตัวใน จัดระเบียบคอเสื้อ ช่วยคาดเข็มขัด และหยิบเสื้อคลุมช่วยสวมใส่ให้เขา หมอจงมีท่าทางเก้ๆกังๆที่ฉันเข้าไปช่วยเขาแต่งตัว แต่เขาก็ไม่ได้ไล่ตะเพิดฉันออกไป ฉันแต่งตัวให้เขาพร้อมเอ่ยขอโทษขอโพยเขาอย่างรีบเร่ง

          อันฉี  : อาจารย์ ข้าขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต พอดีข้าลืมเคาะประตู แต่พรุ่งนี้จะไม่ลืม ให้ข้าช่วยอาจารย์แต่งตัวนะ ข้าจะช่วยหวีผม ทำผมให้ อย่าห่วงข้าช่วยแต่งตัวและทำผมให้พี่ใหญ่เป็นประจำ ข้าทำเป็น นั่งๆข้าหวีผมให้ อ้อ! เมื่อวานคุณหนูเฉิงเหม่ยอิงบอกว่าวันนี้จะมาพบท่านอีก
      หมอจง  : ข้าไม่รับแขก
          อันฉี  : จะให้ข้าบอกนางว่าไง
      หมอจง  : บอกเหมือนเมื่อวาน
          อันฉี  : เมื่อวานข้าบอกนางว่าท่านป่วย วันนี้ท่านจะป่วยอีกไม่ได้
      หมอจง  : งั้นบอกอะไรก็ได้แล้วแต่เจ้า
          อันฉี  : อ่ะก็ได้! ข้าทำผมเสร็จแล้ว เดี๋ยวข้าไปยกอาหารเช้ามาให้ท่านนะ
       หมอจง  : วันนี้เจ้าดูเร่งรีบยังไงพิกล
           อันฉี  : ข้าแค่กลัวอาจารย์หิวน่ะ อาจารย์กินอาหารเช้าก่อนเลย ข้ายังไม่หิว ค่อยกินสายๆ

          ฉันยกอาหารเช้ามาให้หมอจง จากนั้นจึงไปนั่งรอเวลาเจอเหม่ยอิงที่หน้าห้องพัก ก็ได้ยินเสียงคนงานสองคนบ่นพึมพำถือไม่กวาดเดินผ่านมา

   คนงาน 1  : ...เมื่อวานตอนเย็นข้ากวาดมากองรวมกันไว้ว่าจะมาเก็บไปทิ้งตอนเช้า ไหงเช้ามาถึงเละกระจุยกระจายขนาดนี้ล่ะเนี่ย
   คนงาน 2  : เจ้าโกหกรึเปล่า ถ้ากวาดจริงจะเละเทะแบบนี้ได้ยังไง เมื่อคืนก็ไม่มีลมพายุสักหน่อย
   คนงาน 1  : เอ...หรือจะเป็นหมาแมวแอบเข้ามาเล่น
          อันฉี  : มีเรื่องอะไรกันรึพี่ชาย
   คนงาน 1  : เมื่อวานข้ากวาดใบไม้กองรวมกันไว้ในสวนตรงนั้น พอเช้ามาใบไม้ที่กองไว้กลับกระจุยกระจายไปหมดเลย เมื่อคืนเจ้าเห็นหมาหรือแมวแอบเข้ามาวิ่งเล่นบ้างหรือเปล่า
          อันฉี  : เมื่อคืนตอนหัวค่ำก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะ อ้อ! แต่เมื่อคืนข้าเดินสะดุดหกล้มตรงบริเวณนั้นแต่ก็ไม่น่าทำให้ใบไม้กระจุยกระจายเละเทะได้ขนาดนั้น หากสมมุติว่าข้าเป็นคนทำข้าคงจะหกล้มเทกระจาดระเนระนาดน่าดู แต่ข้าไม่ได้ทำจริงๆนะ ส่วนตอนดึกๆข้าไม่รู้หรอกว่ามีหมาแมวแอบเข้ามาหรือเปล่า เพราะข้านอนหลับ
      หมอจง  : เมื่อคืนกลางดึกข้าเห็นแมวเข้ามาเล่นซนอยู่ในสวน แมวมาเล่นกองใบไม้นั่น (หมอจงหันมามองหน้าฉันแล้วแอบหัวเราะ)
    คนงาน 1 : เป็นแมวงั้นเหรอขอรับ งั้นไม่มีอะไรแล้วล่ะ พวกข้าจะไปเก็บกวาดใบไม้กันต่อ
          อันฉี  :  อาจารย์ๆ มีแมวเข้ามาที่นี่ด้วยเหรอ ตัวใหญ่มั้ย สีอะไร น่ารักหรือเปล่า ถ้าแมวเข้ามาอีก และไม่มีเจ้าของข้าขอเลี้ยงไว้ได้มั้ย
      หมอจง  : อื้ม! เจ้าไปกินอาหารเช้าได้แล้ว กินเสร็จแล้วไปหาข้าที่ห้องปรุงยา

          หมอจงพูดจบก็เดินไปที่ห้องปรุงยา ส่วนฉันก็ชะเง้อชะแง้มองไปที่ประตูทางเข้าเพราะรอเหม่ยอิง เฟยเจินเดินออกมาหาฉันเพื่อไปกินอาหารเช้าพร้อมกัน สักพักก็มีเด็กคนงานวิ่งมาบอกว่าเหม่ยอิงมาขอพบหมอจง ฉันจึงบอกให้เฟยเจินรออยู่ก่อนเพราะฉันต้องไปรับแขกของหมอจง

          อันฉี  : คุณหนูเฉิง
     เหม่ยอิง  : หมอจงเป็นยังไงบ้าง
          อันฉี  : อาจารย์หายป่วยแล้ว ขอให้คุณหนูสบายใจ แต่ตอนนี้อาจารย์อยู่ในห้องปรุงยา สั่งห้ามใครรบกวน
     เหม่ยอิง  : อีกแล้วเหรอ?! แต่ข้าจะเข้าไป
          อันฉี  : ท่านเข้าไปไม่ได้ อาจารย์กำลังปรุงยาอยู่ หากอาจารย์ถูกรบกวนสมาธิตวงปริมาณยาผิด จะทำให้ตัวยาเกิดการผิดพลาด จะเกิดอันตรายต่อคนไข้ได้หากได้รับปริมาณยามากเกินขนาด และหากปริมาณยาน้อยเกินไปการรักษาก็จะไม่ได้ผล หากท่านยังฝืนที่จะเข้าไป คนที่จะทำให้คนไข้ได้รับยาอันตรายและจะทำให้อาจารย์ต้องเดือดร้อนก็คือท่าน ท่านคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับอาจารย์ใช่มั้ย?
     เหม่ยอิง  : แต่ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับเขา
          อันฉี  : คุณหนูเฉิงค่อยมาอีกครั้งวันอื่นเถอะ
     เหม่ยอิง  : ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยสิ
          อันฉี  : อืม
     เหม่ยอิง  : เจ้ารู้สึกยังไงกับพี่หยู...เอ่อ! เจ้ารู้สึกยังไงกับหมอจง
          อันฉี  : รู้สึก...อาจารย์ก็คืออาจารย์ แต่คุณหนูเฉิงชอบอาจารย์ใช่มั้ย? เราเป็นผู้หญิงด้วยกันข้ามองออก
     เหม่ยอิง  : (เหม่ยอิงเขินอายกับคำถามของฉันแล้วเล่าว่า...) อื้ม! หมอจงเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งที่ข้าเคยรู้จักสมัยเด็ก...พี่หยู... เราเรียนอยู่สถานศึกษาที่เดียวกัน เขาชอบศึกษาวิชาสมุนไพร แต่ข้าชอบการทำอาหาร ข้าชอบไปดูพี่หยูเรียนปรุงสมุนไพร หลายครั้งที่ข้าทำขนมหรืออาหาร ข้าจะเอาไปให้พี่หยูกิน แต่เขาก็ไม่ยอมกินขนมหรืออาหารที่ข้าทำ ข้าไม่เคยโกรธ แต่ข้ายังคงแวะเวียนไปเล่นกับเขาบ่อยๆ แม้เขาจะไม่เล่นกับข้าแถมยังกลั่นแกล้งข้าอีก แต่ข้าก็ไม่เคยโกรธ ให้พี่หยูแกล้งข้าก็ยังดีกว่าเขาไม่ใยดีข้าเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาย้ายที่อยู่ข้าก็ไม่ได้ข่าวคราวพี่หยูอีกเลย ข้าจำเขาได้ไม่เคยลืม เมื่อข้าเจอเขาอีกครั้งที่นี่ แม้เขาจะเปลี่ยนสกุลใหม่แต่ข้าก็จำเขาได้ ข้าแค่อยากถามเขาว่าจำข้าได้หรือไม่ และอยากรู้ว่าทำไมเขาต้องทำเป็นจำข้าไม่ได้ด้วย พี่หยูไม่ยอมเปิดโอกาสให้ข้าพูดคุยกับเขาเลย....
          อันฉี  : ราชครูเฉิงทราบเรื่องนี้หรือไม่
     เหม่ยอิง  : ข้าไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กับใคร แม้กับท่านพ่อข้ายิ่งไม่กล้า เพราะท่านพ่อต้องการให้ข้าหมั้นหมายกับลูกชายขุนนางใหญ่ด้วยกันในวัง ข้าจึงทำได้แค่ติดตามท่านพ่อมาที่นี่เพื่อหาโอกาสพูดคุย แม้มันดูเหมือนเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับข้ามันคือเรื่องสำคัญ
          อันฉี  : อืม เรื่องราวซับซ้อนแต่พอเข้าใจ รักแท้ตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ ข้าเข้าใจความรู้สึกของคุณหนูเฉิง
     เหม่ยอิง  : เจ้าช่วยให้ข้ามีโอกาสได้พูดคุยกับเขาได้มั้ย ข้ามีเงินรางวัลให้เจ้า
          อันฉี  : ข้าไม่อยากได้เงินรางวัลหรอก
     เหม่ยอิง  : นั่นสินะ เพราะดูจากปิ่นปักผมที่เจ้าปักข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามาจากตระกูลดีมีฐานะ เงินรางวัลเล็กน้อยคงไม่มีประโยชน์สำหรับเจ้า
          อันฉี  : ไม่ใช่แบบนั้นหรอก คืออย่าว่าแต่หาโอกาสให้ท่านเลย ข้าจะพูดเรื่องของข้ากับอาจารย์ข้ายังไม่มีโอกาส
     เหม่ยอิง  : เจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรรึ
          อันฉี  : ข้าไม่ค่อยฉลาดเรื่องการเรียน จึงจะขอลาอาจารย์กลับไปอยู่ที่บ้าน อาจารย์ไม่เปิดโอกาสให้ข้าพูด แถมยังจะมอบหมายงานให้ข้าทำอีก ข้าก็หมดปัญญาจะช่วยคุณหนูเฉิงเหมือนกัน แต่ข้าจะพยายามช่วยละกัน แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จหรือไม่อ่ะนะ เอาเป็นว่าวันนี้ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าเองก็มีงานต้องไปทำแล้ว
    เหม่ยอิง  : ขอบใจที่เจ้ารับฟังข้าและจะพยายามช่วย ข้าฝากอาหารนี่ให้เขาด้วย
          อันฉี  : อาจารย์กินอาหารเช้าแล้ว งั้นจะเก็บไว้ให้อาจารย์กินมื้อกลางวันแทนละกัน
     เหม่ยอิง  : ว๊า...พอถึงมื้อกลางวันอาหารก็ชืดรสชาติเปลี่ยนกันพอดี งั้นข้าให้เจ้ากินแทนก็แล้วกัน ถือเป็นน้ำใจจากข้า แล้วข้าจะมาใหม่

          เหม่ยอิงเดินทางกลับแต่โดยดี อีกทั้งยังยกอาหารที่นางปรุงเพื่อหมอจงมาให้ฉันกินแทน แผนการของฉันเพื่อช่วงชิงอาหารอร่อยโดยไม่รู้สึกผิดต่ออาจารย์ประสบผลสำเร็จ แต่ฉันกลับรู้สึกไม่อยากกินอาหารในกล่องยังไงไม่รู้ ฉันเดินหิ้วกล่องอาหารสองกล่องมาหาเฟยเจินที่กำลังรออยู่

     เฟยเจิน  : นั่นกล่องอะไร
          อันฉี  : อาหารเช้า คุณหนูเหม่ยอิงปรุงมาเพื่อให้อาจารย์กิน แต่อาจารย์กินอาหารเช้าแล้ว นางจึงยกให้ข้ากินแทน
     เฟยเจิน  : ทำไมวันนี้อาจารย์ของเจ้ากินอาหารเช้าเร็วจัง (เฟยเจินมองจ้องหน้าฉัน)...หรือว่าเจ้า...? มิน่าล่ะเจ้าถึงได้เร่งรีบไปดูเขาแต่เช้า แล้วบอกว่าเจ้าจะกินอาหารสายๆที่แท้ก็รออาหารสองกล่องนี้นี่เอง
          อันฉี  : อะไรล่ะ แหม! แค่อาหารสองกล่องเอง ก็นางทำอาหารอร่อยอ่ะ ข้าแค่อยากกินอาหารที่เฉิงเหม่ยอิงทำ ข้าไม่ได้ทำความผิดอะไรร้ายแรงสักหน่อย
     เฟยเจิน  : คิดแผนการอยู่นานมั้ย ฮ่าฮ่าฮ่า
          อันฉี  : ต่อไปข้าไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลย นางปรุงอาหารด้วยความรักอยากให้อาจารย์กิน แต่กลายเป็นข้าที่เป็นคนกินความรักของนาง (ฉันเปิดกล่องอาหารภายในเป็นปลาราดพริก กับขาห่านอบหม้อดินส่งกลิ่นหอมฉุย)
     เฟยเจิน  : ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องกิน เอาไปเททิ้ง
          อันฉี  : จะบ้าเหรอ เสียดายของ ดูปลาราดพริกนี่สิน่ากินมาก (ฉันคีบเนื้อปลาใส่ปากเฟยเจิน) อร่อยป่ะ?
     เฟยเจิน  : อื้มอร่อย

          ฉันกินอาหารเช้ากับเฟยเจินเสร็จ จึงเดินไปที่ห้องปรุงยาตามคำสั่งหมอจงที่ต้องการพูดคุยกับฉันที่นั่น หมอจงกำลังนั่งบดยาด้วยท่าทางเงียบขรึมตามบุคคลิกของเขา ดูเย็นชาไร้หัวใจ แต่เขาก็หล่อเหลาและเท่ห์ไม่น้อย ฉันจึงเดินเข้าไปหาและหยุดยืนใกล้ๆ รีบรายงานว่า...

          อันฉี  : อาจารย์ คุณหนูเฉิงบอกว่ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่าน คราวหน้าขอพบท่านหน่อยได้มั้ย
      หมอจง  : ข้าไม่ว่าง ส่วนเจ้าน่ะมานั่งตรงนี้ (หมอจงชี้มือให้ฉันมานั่งใกล้ๆเขา) เอาล่ะ  ข้าจะไม่อ้อมค้อม ข้าต้องการให้เจ้าช่วย ข้าจะต้องเดินทางไปหาสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งและข้าต้องการผู้ช่วย ซึ่งเจ้าก็เหมาะสมที่สุด
          อันฉี  : แล้วศิษย์พี่ฉิงคุนล่ะ
      หมอจง  : ฉิงคุนเป็นคนตั้งใจเรียนและช่วยเหลืองานข้าได้ดีมาก ข้าสามารถไว้วางใจฉิงคุนให้ดูแลที่นี่ได้ แต่ฉิงคุนไม่เหมาะกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะงานนี้ต้องเสี่ยงอันตรายมาก สถานที่ที่ข้าจะไปคือ เกาะกระต่ายผี ที่นั่นมีพืชพิษและสัตว์พิษที่ข้าไม่รู้จักเลยบนเกาะ ส่วนเจ้ามีความชำนาญเรื่องพิษและสามารถแยกแยะพิษได้ ข้ามองดูแล้วเจ้าน่าจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าฉิงคุน และที่สำคัญหากข้าไม่มีชีวิตรอดกลับมา เจ้าจะต้องเป็นผู้นำสมุนไพรที่หาได้กลับมา ข้าจะเขียนวิธีปรุงยาให้ไว้กับฉิงคุง
          อันฉี  : อาจารย์จะไปหาสมุนไพรชนิดใดที่นั่น ทำไมถึงได้สำคัญนัก
      หมอจง  : ดอกยูงรำแพนแดง
          อันฉี  : คนที่ต้องการยานี้คงเป็นคนที่สำคัญมากเลยล่ะสิ ท่านถึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองขนาดนี้
      หมอจง  : ใช่!
          อันฉี  : เฮ่อ! ลำบากใจจังเลยน๊า... ข้าไปกับท่านลำพังสองคนไม่ได้หรอก พี่สี่ไม่ยอมแน่ๆข้าอยู่ที่ไหนต้องมีเขาอยู่ด้วยที่นั่น และถ้ารู้ว่าที่นั่นอันตรายเขายิ่งไม่ยอมให้ไปใหญ่ เฮ่อ! เอาชีวิตไปเสี่ยงมันไม่คุ้มกันเลยน๊า... (ฉันบ่นพึมพำ)
      หมอจง  : แล้วถ้าข้ายก หม้อต้มยาราชัน ที่เป็นของตกทอดตระกูลข้าให้เจ้าล่ะ เจ้าคิดว่ามันน่าจะคุ้มกันมั้ย ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็สนใจหม้อใบนั้นอยู่ไม่น้อย เจ้าอยากไปดูมันใกล้ๆไหมล่ะข้าจะให้เจ้าดู
          อันฉี  : ข้าขอดูของก่อนตัดสินใจ

          ฉันเดินตามหมอจงไปที่ห้องพัก เขาหยิบกุญแจที่พกเก็บไว้กับตัวออกมาเปิดตู้และหยิบ หม้อต้มยาราชัน ออกมาให้ฉันดู หม้อยาเป็นสีเงินเงางาม มีขาตั้งหม้อสามขา ลวดลายรอบๆตัวหม้อเป็นลายมังกรเล่นเกลียวเมฆ ดวงตามังกรประดับด้วยเม็ดพลอยสีดำแวววาวยามกระทบแสง ฉันยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ หมอจงปิดตู้คล้องกุญแจโดยยังไม่ได้เก็บหม้อยา

          อันฉี  : อาจารย์ ท่านลืมเก็บหม้อยา
      หมอจง  : ข้าไม่ได้ลืม ข้าให้เจ้า
          อันฉี  : แต่ข้ายังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ
      หมอจง  : ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการมัน
          อันฉี  : แต่นี่ของตกทอดตระกูลท่านเลยนะ อีกทั้งข้ายังไม่ได้ทำงานให้ท่านเลย ให้ข้าไว้ก่อนแบบนี้ไม่กลัวข้าแอบขโมยหนีไปก่อนรึ
      หมอจง  : ขนาดฮ่องเต้แห่งเมืองหลวนเซียนยังไว้ใจ มอบป้ายหยกให้เจ้าเข้าออกวังได้ตามใจชอบ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าจะไว้ใจเจ้าบ้างไม่ได้เชียวรึ
          อันฉี  : งั้นข้าตกลง ข้าขอไปบอกพี่สี่ก่อน

          ฉันเดินถือ หม้อยาราชัน ไปหาเฟยเจินที่กำลังนั่งเช็ดทำความสะอาดมีดติดปลายพัดอาวุธของเขา ฉันบอกเฟยเจินเกี่ยวกับการเดินทางไปเกาะกระต่ายผี เพื่อไปหาดอกไม้สมุนไพร ยูงรำแพนแดง และยื่นหม้อยาให้เขาดูและบอกเฟยเจินว่าหม้อยานี้น่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้สักอย่าง ที่แน่ๆใช้ต้มยา

     เฟยเจิน  : หม้อต้มยาก็ต้องใช้สำหรับต้มยาสิ นี่!แค่ต้มยาใช้หม้ออะไรต้มก็ได้ เจ้าถูกเจ้าหมอหน้าปลาตายหลอกแล้วล่ะ
          อันฉี  : แต่ข้าชอบหม้อยาใบนี้นะ เห็นปุ๊บอยากได้ปั๊บ เหมือนมังกรส่งสายตาวิ้งๆให้ข้า
     เฟยเจิน  : เอาหม้อยามานี่ ข้าจะควักลูกตามันออกมา ดูซิมันจะส่งสายตาวิ้งๆให้เจ้าอีกมั้ย
          อันฉี  : เจ้านี่ก็! กับหม้อต้มยายังคิดจะทะเลาะเป็นเรื่องเป็นราว
     เฟยเจิน  : ข้าจะไปเอาเรื่องเจ้าหมอหน้าปลาตายนั่น มันคิดจะหลอกเจ้าไปเสี่ยงอันตราย
          อันฉี  : หยุดเลยนะ ห้ามไปทำร้ายเขา ข้าตอบตกลงอาจารย์ไปแล้วว่าจะไปช่วยเขาหาสมุนไพร เจ้าน่ะมานี่เลยมานั่งตรงนี้คุยกับข้า (ฉันดึงเฟยเจินให้นั่งลงกับพื้นแล้วขึ้นนั่งตักเขา พูดต่ออีกว่า...) ไปด้วยกันเถอะน่า อยู่ที่นี่น่าเบื่อจะตายออกไปผจญภัยกันเถอะ เราเคยต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็งที่ร้ายกาจมาแล้ว จะกลัวทำไมกับสัตว์พิษที่พลังต่ำกว่าเจ้าเสียอีก
    เฟยเจิน  : ข้าไม่กลัวหรอกสัตว์พิษพวกนั้น แต่กลัวเจ้าได้รับอันตรายมากกว่า ข้าเป็นห่วงเจ้า
          อันฉี  : ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าอยากไปที่เกาะนั่นข้าอยากรู้บนเกาะนั่นมีอะไร อยากไปหาประสบการณ์ เผื่อได้ของดีติดไม้ติดมือกลับมา นะนะ ไปเถอะ เราจะเจอสมุนไพรนั่นหรือไม่เจอค่อยว่ากันอีกที แต่อย่างน้อยเราอาจจะได้อาจารย์เป็นพันธมิตรเพิ่ม หรือบางทีเราอาจต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาบ้างสักวันหนึ่งก็ได้
     เฟยเจิน  : ไปก็ไป แต่เจ้าห้ามอยู่ห่างข้านะ
          อันฉี  : อื้ม จะเกาะติดเป็นปลาท่องโก๋เลย เจ้ากับข้า เราจะออกไปท่องยุทธภพ เราจะกลายเป็นเจ้ายุทธภพด้วยกัน
     เฟยเจิน  : เจ้าคงจะดูละครงิ้วมากเกินไป เริ่มจะเพ้อเจ้อ เลอะเทอะ ให้หมอจงตรวจอาการเจ้าหน่อยดีกว่านะ
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          ฉันกับเฟยเจินเดินออกมาจากห้องพัก ช่วยกันคัดแยกสมุนไพรที่คนงานนำมาส่งให้ที่หน้าบ้าน เราทำงานไปเล่นกันไปด้วยตามประสา สักพักฉิงคุนที่กลับจากส่งยาสมุนไพรกำลังเดินตรงมาที่เรา เขาบอกว่าซื้อขนมมาฝาก ฉันและเฟยเจินจึงวางมือและเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อกินขนมที่ฉิงคุนนำมาฝาก ฉิงคุนเดินไปรายงานตัวกับหมอจงที่ห้องปรุงยาก่อนเพื่อให้หมอจงทราบว่าเขากลับมาถึงแล้ว สักพักเขาจึงเดินออกมานั่งคุยกับฉันและเฟยเจินที่โต๊ะ

        ฉิงคุน  : อาจารย์บอกข้าว่า เจ้าจะไปหา ดอกยูงรำแพนแดง ที่เกาะกระต่ายผี กับอาจารย์รึ
          อันฉี  : ใช่ ศิษย์พี่รู้จักเกาะนั้นบ้างมั้ย?
        ฉิงคุน  : เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง ว่ากันว่าผู้ชายที่ไปเกาะนั้นไม่เคยมีใครได้กลับออกมา ชาวบ้านที่ออกเรือหาปลาใกล้ๆบริเวณนั้นมักได้ยินเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนออกมาจากเกาะ บางครั้งก็เจอหญิงสาวผมยาวยืนกวักมือเรียกอยู่บนโขดหิน น่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
          อันฉี  : บนเกาะมีผีเหรอ (เฟยเจินเริ่มขยับตัวเบียดและเกาะแขนฉัน)
        ฉิงคุน  : บ้างก็ว่าตาฝาด บ้างก็บอกว่าเห็นผี
          อันฉี  : ชักตื่นเต้นซะแล้วสิ ขนลุกด้วย ในเมื่อไม่มีใครกล้าเข้าไป แล้วทำไมถึงรู้กันล่ะว่าบนเกาะมีดอกยูงรำแพนแดง
        ฉิงคุน  : เพราะเคยมีผู้หญิงขึ้นไปบนเกาะกับสามีเพื่อไปหาสมุนไพรและของมีค่าบนเกาะ สามีของนางหายตัวไปบนเกาะส่วนผู้หญิงวิ่งหนีออกมาที่โขดหิน ร้องตะโกนให้คนช่วย ชาวประมงที่ออกเรือบริเวณนั้นได้ยินเสียงจึงพายเรือเข้าไปดู เห็นว่าเป็นคนไม่ใช่ผีจึงเข้าไปช่วย นางมีอาการเสียสติ หลงๆลืมๆ พูดคุยไม่รู้เรื่องเหมือนคนบ้า และบางครั้งได้เอ่ยถึงชื่อ ดอกไม้นกยูงๆ แต่ก็ฟังไม่ได้ใจความอะไรมากนัก
          อันฉี  : ทำไมท่านถึงรู้เรื่องเยอะจัง
        ฉิงคุน  : เวลาข้าเดินทางไปส่งยาสมุนไพรให้ลูกค้า ข้าก็ได้ยินพวกชาวบ้านพูดคุยกันตามร้านอาหารที่ข้าเข้าไปกิน ข้าเลยมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขาด้วย
          อันฉี  : อืม เบาะแสเพียงเล็กน้อยจากคนบ้ามันจะเชื่อถือได้มั้ยน๊อ.... แต่ถ้าไม่ไปดูก็จะไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี เอ๊ะนี่! เจินเจินเจ้ากลัวผีรึ? นั่งเบียดข้าซะติดเชียว!
     เฟยเจิน  : ข้าไม่ได้กลัว (เฟยเจินพูดแก้ตัว แต่ความจริงกลัวผีเพราะเคยถูกคุมขังในคุกราตรีบนสวรรค์จนประสาทหลอน)
          อันฉี  : อยู่กับข้าไม่ต้องกลัว ผีไม่มีจริงหรอก แต่ถ้ามีจริง ผีก็แค่หลอกหลอนให้ตกใจกลัวเท่านั้น มนุษย์ต่างหากที่น่ากลัวมากกว่าผี เอาล่ะ! ข้าจะปิดตำนานผีบนเกาะนั่นเอง ว่าแต่...ศิษย์พี่มีของขลังให้ข้ายืมพกติดตัวกันเหนียวบ้างมั้ยอ่า....
     เฟยเจิน  : ปัดโธ่! พูดซะดูดีข้ากำลังจะเชื่อเจ้าอยู่แล้วเชียว
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า
        ฉิงคุน  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          วันรุ่งขึ้นเราทั้งสามคนเตรียมสัมภาระขึ้นม้ากันคนละตัวพร้อมออกเดินทาง เราควบม้าผ่านหมู่บ้าน ผ่านป่า ทุ่งนา แม่น้ำ และภูเขา จนในที่สุดเราควบม้ามาถึงท่าเรือแห่งหนึ่งในเวลาเย็น เกาะกระต่ายผีอยู่ห่างไกลจากท่าเรือพอสมควร คนถ่อเรือไม่มีใครกล้าไปสักคน และเตือนไม่ให้เราไปที่เกาะนั่น แต่หมอจงยืนยันว่าจะไป หมอจงเห็นคนถ่อเรือคนหนึ่งมีเรือแจวขนาดเล็กจอดอยู่อีกลำหนึ่ง เขาจึงขอเช่าเรือแจวลำเล็กและเพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่งให้เจ้าของเรือ โดยเราจะแจวเรือไปกันเอง ถ้า 5 วันเรายังไม่กลับมา ให้เจ้าของเรือตามไปลากเรือคืนได้เลย เจ้าของเรือจึงยินยอมให้เช่า
หมายเหตุ

*จงหยู (ชื่อแซ่ของหมอเทวะ)  แปลว่า ปราชญ์ผู้รอบรู้และซื่อสัตย์

*ฉิงคุน (ชื่อแซ่ของศิษย์หมอเทวะ)  แปลว่า ฟ้าใส โลก

*เฉิงหยางเฉิน (ชื่อแซ่ของราชครูเฉิง)  แปลว่า ชายผู้หนักแน่นผู้ประสบความสำเร็จ

*เหม่ยอิง (ชื่อของลูกสาวราชครูเฉิง)  แปลว่า ผู้มีความงามและความสำคัญ

*จินหย่งเจิ้ง (ชื่อแซ่ขององค์รัชทายาท) แปลว่า ผู้มีความกล้าหาญถูกต้องเที่ยงธรรม

*พิษงูเหมันต์ห้าสี เป็นพิษออกฤทธิ์เย็นจัดชนิดร้ายแรง (รองจากพิษเกล็ดเยือกแข็งของปีศาจเยือกแข็ง) สีของพิษเป็นสีเงิน พิษแทรกซึมรวดเร็วกระจายไปตามเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดเปลี่ยนเป็นสีเงิน พิษจะแสดงออกมาทางผิวหนัง ตามลำดับพิษห้าขั้น   (ขั้นแรก) สีม่วงคล้ำ ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ พิษทำลายระบบเลือดทำให้เลือดแข็งตัวไม่ไหลเวียนในร่างกาย พิษแทรกซึมรวดเร็วและเริ่มกัดกินกระดูก   (ขั้นสอง) สีแดงช้ำ ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงช้ำ พิษทำลายระบบเลือด จากที่เลือดแข็งตัวในขั้นแรกจะหยุดแข็งตัวและเปลี่ยนเป็นทำให้เลือดไม่เกิดการแข็งตัว  หากมีบาดแผล แผลจะสมานยาก เลือดไม่แข็งตัวจะไหลออกไม่หยุด จึงห้ามกรีดเนื้อให้เกิดแผลเพื่อรีดพิษ พิษทำลายระบบประสาทเกิดอาการชักเกร็ง   (ขั้นสาม) สีน้ำตาลเข้ม ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม พิษทำลายอวัยวะภายในกระอักเลือด บีบหัวใจ   (ขึ้นสี่) สีเหลืองซีด ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีด พิษกัดกินกระดูกจนหมด   (ขั้นห้า) สีขาวซีด ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด คือ ตาย


เพลงไทย Star : The TOYS
YouTube by : Whattheduck


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 33
(เกาะกระต่ายผี)

          เกาะกระต่ายผีอยู่ห่างไกลจากท่าเรือพอสมควร หมอจงและเฟยเจินจึงสลับกันพายเรือคนละครึ่งทาง ในที่สุดเราก็พายเรือมาถึงเกาะในเวลามืด เกาะกระต่ายผี มีขนาดใหญ่ มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นรกครึ้ม บรรยากาศชวนวังเวงจนขนลุก เราจุดคบไฟ 2 อัน หมอจงถือคบไฟเดินนำหน้า ฉันเดินตรงกลาง เฟยเจินถือคบไฟเดินตามหลัง เราเริ่มเดินเข้าไปในป่าลึกเรื่อยๆ บรรยากาศมืดสนิท น่ากลัววังเวงขึ้นมากกว่าเดิม เหมือนมีคนจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลา เฟยเจินจากที่เดินตามหลัง กลับมาเดินอยู่ข้างๆและจับมือกับฉันเพราะกลัวผี มีหลายครั้งที่มีเสียงดังแปลกๆอยู่ในป่ามืดรอบๆ เช่นเสียงกิ่งไม้หัก เสียงของตกจากที่สูง และเสียงร้องโหยหวนของหญิงสาว แต่หาที่มาของเสียงเหล่านั้นไม่เจอ ทำเอาฉันกับเฟยเจินสะดุ้งจนแทบจะกระโดดอยู่หลายครั้ง ฉันเดินเบียดตัวหาหมอจงและเกาะที่ชายเสื้อเขาเพราะกลัว

      หมอจง  : เราหาที่พักก่อกองไฟกันก่อนดีกว่า เดินในป่ากลางคืนไม่สะดวก และอันตราย
          อันฉี  : อาจารย์ที่นี่มันหลอนใจสุดๆอ่ะ สมคำล่ำลือ
     เฟยเจิน  : เหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลาเลย
      หมอจง  : เราเดินกันไปอีกหน่อยแล้วก่อกองไฟตรงนั้น พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปกันต่อ
     เฟยเจิน  : ข้าเห็นตรงนั้นเหมือนจะมีกระท่อมนะ
          อันฉี  : ตรงไหน ข้าไม่เห็น?! สถานที่น่ากลัวขนาดนี้มีคนมาอาศัยอยู่ด้วยเรอะ
     เฟยเจิน  : ข้าเห็นเป็นกระท่อมร้าง
      หมอจง  : อาจจะเป็นกระท่อมของพวกคนที่มาที่นี่ก่อนเราสร้างไว้พักแรม เราไปพักที่กระท่อมร้างนั่นกัน

          เราทั้งสามคนเดินตรงไปที่กระท่อมหลังนั้นเป็นกระท่อมหลังเล็กๆเก่าๆสำหรับอาศัยอยู่คนเดียว กระท่อมหลังนี้ดูเก่าร้างมานานหลายปีไม่มีคนมาพักแรม หยากไย่เกาะเต็มไปหมด อีกทั้งหน้าต่าง 1 บานทางด้านหน้าผุพังหลุดออกทั้งบาน ฉันและเฟยเจินปัดหยากไย่ออกในส่วนที่เราจะพักคือบริเวณแคร่นอนไม้ไผ่ หมอจงยกฟูกเก่าๆขาดๆที่วางปูอยู่บนแคร่ออก เพื่อใช้แคร่เป็นที่นั่ง ข้างๆแคร่มีหลุมสำหรับก่อไฟเล็กๆ หมอจงเริ่มก่อไฟภายในกระท่อมจึงมีแสงสว่าง คบไฟจึงถูกดับลง

          ภายในกระท่อมมีขนาดเล็กเราจึงนั่งรวมกันอยู่บนแคร่ ดีที่เราพักกินอาหารกันมาก่อนแล้วจากท่าเรือ คืนนี้เราจึงไม่ต้องหาอาหารกินอีก เฟยเจินนั่งกอดแขนเบียดฉันแน่น หมอจงบอกให้ฉันกับเฟยเจินนอนพักผ่อนเพราะเดินทางมากันทั้งวัน ส่วนเขาจะเป็นคนเฝ้ายามเอง เฟยเจินจึงเสนอว่าให้ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายามจะดีกว่าโดยเขาจะอยู่ผลัดแรก หมอจงให้อยู่ผลัดต่อไป ส่วนฉันเป็นผู้หญิงไม่ต้องเฝ้ายาม แต่ฉันก็นอนไม่หลับอยู่ดีในบรรยากาศหลอนแบบนี้ ฉันจึงนั่งเฝ้ายามเป็นเพื่อนเฟยเจิน หมอจงเองก็ยังไม่หลับ คงเพราะยังไม่ถึงเวลานอนจึงยังไม่ง่วง เรานั่งกันอยู่เงียบๆเพื่อคอยฟังเสียงผิดปกติที่ดังอยู่ด้านนอก และมองดูบรรยากาศวังเวงด้านนอกผ่านทางหน้าต่างบานที่หลุดออกไป ทันไดนั้นก็มีเสียงบางอย่างตกลงบนหลังคากระท่อม ฉันและเฟยเจินสะดุ้งตกใจ ใจหายวาบกอดกันแน่น จนฉันรีบท่อง "นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ" หมอจง บอกว่าคงเป็นกิ่งไม้ตกลงมา หรือลูกไม้หล่นใส่หลังคาอย่าตกใจ หมอจงหันหน้ามาพูดกับฉันด้วยสีหน้าที่ผิดหวังว่า...

      หมอจง  : นี่ข้าคิดผิดหรือเปล่าที่พาเจ้ามาด้วย
          อันฉี  : ท่านคิดผิดตั้งแต่คิดชักชวนข้าเลยล่ะ
      หมอจง  : เจ้าสองคนตั้งสติกันหน่อย แค่ลูกไม้ตกลงบนหลังคาเท่านั้น
     เฟยเจิน  : น้องห้า ไหนเจ้าบอกจะเป็นคนปิดตำนานผีบนเกาะนี้ไง
          อันฉี  : ข้าพูดเล่นเจ้าเชื่อด้วยรึ!

          ทันไดนั้นก็มีเสียงทุบที่ข้างฝาดังลั่นทางฝั่งหมอจงเหมือนคนกำลังโกรธ ฉันกับเฟยเจินร้องกันลั่นด้วยความกลัวและตกใจสุดขีด แต่หมอจงยังคงมีสติและท่าทางไม่กลัวผี เขาลุกขึ้นชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อเตรียมพร้อมในทันที แล้ววิ่งออกไปดูด้านนอกตรงบริเวณที่ได้ยินเสียงทุบข้างฝา แต่ก็ไม่มีใคร หมอจงเดินกลับเข้ามาด้วยความแปลกใจว่าใครกันมาล้อเล่นแกล้งกันให้ตกใจแบบนี้ อาการตื่นตระหนกยังไม่ทันหาย ทันไดนั้นสายตาก็หันไปเห็น มือสีขาวซีดเหี่ยวแห้งค่อยๆโผล่ขึ้นมาเกาะที่ขอบหน้าต่าง หยั่งกับมือผีญี่ปุ่นโผล่ขึ้นจากบ่อน้ำที่เคยดูในภาพยนต์ไม่มีผิด ฉันกับเฟยเจินร้องจ๊ากกก! ลั่นป่าด้วยความกลัวและตกใจสุดขีดกระโดดตัวลอยเข้าหาหมอจง แต่หมอจงกลับวิ่งออกไปดูด้านนอกทันทีแต่ไม่พบใครอีกเช่นเคย เขายังคงยืนอยู่ด้านนอกและร้องตะโกนถามว่าใคร ฉันและเฟยเจินจึงรีบกระโจนออกจากกระท่อมไปยืนกอดกันตัวสั่นข้างๆหมอจง

      หมอจง  : ใคร เผยตัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!
          อันฉี  : อาจารย์...อย่าเรียกมันออกมามันเป็นผี! แค่เห็นมือเมื่อกี้หัวใจข้าก็จะวายตายอยู่แล้ว
      หมอจง  : ให้มันออกมาน่ะดีแล้วจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นคนหรือผีกันแน่!
     เฟยเจิน  : แล้วถ้ามันเป็นผีล่ะ
      หมอจง  : เราคงต้องรีบออกจากที่นี่ เพราะข้ารู้แต่วิธีต่อสู้กับคน ไม่รู้วิธีต่อสู้กับผี
เฟยเจิน, อันฉี  : ห๊า?!!!
      หมอจง  : ให้เรารวมกลุ่มกันไว้ ตั้งสติ อย่าวิ่งเตลิดจะทำให้พลัดหลงกันในป่า
เฟยเจิน, อันฉี  : อื้ม!

          ในขณะที่เราพยายามมองหาเจ้าของเสียงร้องโหยหวนในป่ามืดอยู่นั้น เฟยเจินก็ร้องบอกและชี้นิ้วไปทางซ้ายมือในราวป่า ปรากฏร่างหญิงสาวสวมชุดสีขาวผมยาวรุงรังยืนก้มหน้าผมปิดบังใบหน้า หญิงสาวท่าทางน่ากลัวผู้นั้นกำลังยืนชี้นิ้วมาที่พวกเรา เล่นเอาเราอกสั่นขวัญผวาไปตามๆกัน ฉันกับเฟยเจินกระโดดหลบข้างหลังหมอจงทันที

      หมอจง  : เจ้าเป็นใคร?!
              ผี  : (ผียืนเงียบไม่ตอบ แต่ยังคงยืนก้มหน้าชี้นิ้วมาที่เรา)
          อันฉี  : พี่สาว เราจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ ต่างคนต่างอยู่เถอะ
     เฟยเจิน  : นางเป็นหญิงแก่ ข้าเห็นร่างจริงของนางเป็นหญิงแก่ นี่เป็นร่างเพื่อล่อลวงมนุษย์
              ผี  : ข้าต้องการเจ้า (ผีพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก)
          อันฉี  : อาจารย์! ผีมันต้องการท่าน! อาจารย์เราจะทำยังไงดี!? หนีกันเถอะ น่ากลัว ฮือออออ
      หมอจง  : ใจเย็นๆ ขอข้าพูดคุยกับมันก่อน
     เฟยเจิน  : ไม่ต้องคุยแล้วหนีกันเหอะ
              ผี  : ข้าต้องการเจ้า นกอินทรีย์ทอง จงไปอยู่กับข้า (ผีพูดด้วยเสียงที่เย็นยะเยือก แต่ยังคงยืนก้มหน้าชี้นิ้วมาที่เรา)

          หมอจงทำหน้างง ที่ผีบอกต้องการนกอินทรีย์ทอง เมื่อฉันได้ยินผีบอกว่าต้องการนกอินทรีย์ทอง นั่นหมายถึงเฟยเจิน จากความกลัวผีจนขนหัวลุกกลับเปลี่ยนเป็นความหึงหวงและโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ฉันก้าวเท้าออกจากที่หลบข้างหลังหมอจง แล้วออกมายืนเท้าเอวด่ากราดผีด้วยคำหยาบคายกันเลยทีเดียว

          อันฉี  : อ้าวเฮ้ยอีผี! เป็นผีแล้วไม่อยู่ส่วนผี อยากได้ผู้ชายไปเป็นผัว หนอย! อีผีแก่ตัณหากลับ ไม่ดูสารรูปตัวเอง บังอาจนัก อยากได้เจินเจินของข้าเรอะฝันไปเถอะ เจินเจินเป็นของข้าคนเดียวใครหน้าไหนก็ห้ามแตะ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผีก็ห้ามมาแตะ ถอยไปเลย! ไม่งั้นแม่จะเผาป่านี้ให้เหี้ยนไม่ต้องมีที่สิงสู่กันเลยมึง!

         หมอจงยืนตะลึงที่เห็นฉันยืนด่าผีอย่างเอาจริงเอาจังด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดต่างจากที่กลัวผีก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ส่วนเฟยเจินยืนพยักหน้าเห็นด้วยที่ฉันด่าผี และภูมิใจที่ฉันไม่ยอมยกเขาให้ใคร ฉันด่ากราดแช่งชักหักกระดูกทำให้ผีเริ่มโกรธน้ำเสียงคำรามในลำคอเริ่มแข็งกร้าว แล้วเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่โล่งเตียนไร้ใบหน้าอย่างน่ากลัว

          อันฉี  : ก็มาดิวะ! แม่จะฌาปณกิจทีเดียวให้เกลี้ยงป่า ถ้ายังไม่ถอยไปข้าจะสาปแช่งให้เจ้าตกนรกไม่ให้ได้ผุดได้เกิด

          อารมณ์ฉันขึ้น! เริ่มท้าตีท้าต่อยกับผี ฉันหันไปบอกเฟยเจินให้มองหาร่างของผีตนนั้นถูกฝังอยู่ตรงไหน แล้วขุดมันขึ้นมาเพื่อสะกดวิญญาณ เฟยเจินใช้สายตานกอินทรีย์มองหาศพไปรอบๆ

      หมอจง  : เจ้าสะกดวิญญาณได้ด้วยรึ?!
          อันฉี  : ได้!
     เฟยเจิย  : ข้าเจอแล้ว โครงกระดูกอยู่หลังกระท่อม มีพุ่มไม้สุมกองทับอยู่ นั่นคงเป็นกระท่อมของนาง
          อันฉี  : ไปเอาโครงกระดูกมา แล้วเผากระท่อมนั่นซะ อย่าให้มันมีที่สิงสู่ ปล่อยให้มันเป็นผีเร่ร่อน
      หมอจง  : ข้าไปเอาโครงกระดูกเอง

          ผีเริ่มส่งเสียงกรีดร้องแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปหาหมอจงเพื่อทำร้ายแต่วิญญาณทำได้แค่พุ่งผ่านทะลุตัวหมอจงไปเท่านั้น หมอจงกอบโครงกระดูกบางส่วนและหัวกะโหลกมาวางตรงจุดเดิมที่เรายืน เฟยเจินชี้บอกว่าผีย้ายไปยืนทางขวา ฉันจึงบอกเฟยเจินอย่าเพิ่งเผากระท่อม และหันไปเจรจากับผีที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความโมโห

          อันฉี  : อีผีจะยอมถอยไปดีๆหรือไม่ถอย ถ้าไม่ถอย ข้าจะสาปแช่งเจ้าให้ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด และจะให้ชายสองคนนี้ถ่มน้ำลายและเยี่ยวรดใส่โครงกระดูกเจ้า
      หมอจง  : เดี๋ยวก่อน! ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยรึ มันเป็นการดูถูกเหยียดหยามศพเกินไป
          อันฉี  : ใช่! ข้าจะให้มันได้รับการดูถูกเหยียดหยามก่อนที่ข้าจะส่งมันไปลงนรก
               ผี  : ข้าไม่อยากไปผุดไปเกิด!
          อันฉี  : หึ! กลัวการไปเกิดในท้องสุนัขล่ะสิ เพราะเสพวิญญาณมนุษย์ไปเยอะ วิญญาณดีจะกลัวการไม่ได้ไปผุดไปเกิด แต่วิญญาณชั่วอย่างเจ้ากลัวการไปเกิดในภพภูมิต่ำล่ะสิ ดี! (ฉันยกมือขึ้นพนมแล้วพูดว่า...) ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าไปเกิดในภพภูมิต่ำต้อยถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีความเจริญในชีวิต ไม่ได้รับความเมตตาปราณีจากผู้อื่น ถูกกดขี่ข่มแหง แม้ได้เกิดเป็นสัตว์ก็จงไปเกิดเป็นหอยทาก โคตรเชื่องช้า ถูกเหยียบย่ำ ถูกถ่มน้ำลาย ถูกเยี่ยวรดทุกชาติไป! สาธุ

         จากนั้นฉันบอกให้เฟยเจินและหมอจงให้ทำท่าทางจะถอดกางเกงฉี่รดโครงกระดูก ทันไดนั้นวิญญาณก็กรีดร้องว่า "อย่า" แล้วหายวับไปกับตา เฟยเจินและหมอจงจึงหยุดทำท่าทางนั้น แล้วพูดพร้อมกันว่า...

หมอจง, เฟยเจิน  : มันไปแล้ว!
          อันฉี  : (ฉันจึงหันมาพูดกับโครงกระดูกที่กองอยู่กับพื้นว่า...) ดีแล้วที่ถอยไป ข้าจะไม่เผาโครงกระเจ้าหรอก ถ้าเจ้าชอบอยู่ที่นี่ก็อยู่ไปเถอะ ข้าจะขุดหลุมฝังกระดูกให้แล้วกัน จะได้ไม่อุจจาดตา แล้วอย่าตามจองเวรจองกรรมกันเลยนะ อโหสิกรรมให้กันและกันเถอะ แต่ถ้าเจ้ายังคิดตามราวีพวกข้าอีกล่ะก็ ข้าจะกลับมาขุดกระดูกเจ้าเอาไปโยนให้สุนัขแทะ และจะเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งเจ้าให้แสบกระดูกไปยันชาติหน้าเลย เอาล่ะ! เรามาช่วยกันขุดหลุมฝังกระดูกของนางกันเถอะ
      หมอจง  : เจ้าทำไปเพราะต้องการปราบผี หรือเพราะหึงหวงพี่ชายกันแน่?! ข้าว่าเจ้ามีความอาฆาตแค้นน่ากลัวกว่าผีตนนั้นอีกนะ
          อันฉี  : ข้าทำไปเพราะความโมโห แค่อยากให้นางหวาดกลัวน่ะอาจารย์ การสาปแช่งผู้อื่นและวิญญานไม่ใช่เรื่องที่ดี การสาปแช่งผู้อื่นถือเป็นบาป
     เฟยเจิน  : เจ้าสะกดวิญญานได้จริงรึ?
          อันฉี  : ไม่จริงหรอก ข้าสะกดวิญญาณไม่เป็น ข้ารู้แค่ว่าวิญญาณกลัวการถูกสาปแช่งแค่นั้น

          เราช่วยกันขุดหลุมฝังโครงกระดูกใกล้ๆกระท่อม จากนั้นเราเดินทางออกจากบริเวณนั้นมาจนไกลได้ระยะหนึ่งจนความรู้สึกเย็นยะเยือกวังเวงของป่านั้นหายไป เราจึงหยุดพักการเดินแล้วหาจุดที่พักเหมาะๆนอน เราก่อกองไฟกันอีกครั้ง

      หมอจง  : เจ้ารู้เรื่องราวของวิญญาณตนนั้นรึ เจ้าถึงรู้ว่านางเสพวิญญาณมนุษย์ไปจำนวนมาก
          อันฉี  : ข้าไม่รู้เรื่องราวอะไรของนางเลย ข้าแค่คาดเดาเอาเท่านั้น ข้าเคยอ่านในตำราว่าวิญญาณจะวนเวียนอยู่ใกล้ๆจุดที่ตัวเองตาย วิญญาณจะไม่มีพลังมากพอไล่บีบคอมนุษย์ แต่วิญญาณจะหลอกล่อให้มนุษย์หลงเชื่อคล้ายเสียงกระซิบ เช่นหลอกล่อให้หลงทางในป่า หรือหลอกล่อให้มนุษย์ฆ่าตัวตาย
      เฟยเจิน  : งั้นพวกผู้ชายที่หายไปคงถูกล่อลวงด้วยวิธีการนี้แน่ๆ
          อันฉี  : มีความเป็นไปได้มาก
      หมอจง  : เราควรจะกลับไปกำจัดนางดีหรือไม่?
          อันฉี  : อย่าเลยอาจารย์ข้าสู้รบกับผีอีกไม่ไหวแล้ว บอกตามตรงข้ากลัว อีกอย่าง ที่นางคอยหลอกหลอนคนที่ขึ้นมาบนเกาะบางทีนางอาจจะกำลังปกป้องอะไรบางอย่างที่สำคัญอยู่ก็ได้ ดังนั้นหากนางจะล่อลวงคนที่เข้าไปขโมยให้ไปตายก็ถือว่าสมควร ที่บ้านข้าก็มีแบบนี้เหมือนกันแต่เป็นวิญญาณผู้ชาย เรียกว่า ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เป็นวิญญาณเฝ้าสมบัติของแผ่นดิน คอยปกป้องสมบัติไม่ให้คนชั่วมาขโมย บางทีวิญญาณหญิงแก่นั่นอาจจะกำลังทำหน้าที่แบบเดียวกันนี้อยู่ก็ได้ พวกเราต่างหากที่เป็นผู้บุกรุก
      หมอจง  : อืม ข้าเข้าใจที่เจ้าพูดมา เจ้านอนเถอะพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกันต่อ

          หมอจงนั่งหลับพิงก้อนหินอยู่ใกล้ๆ ส่วนฉันนอนหลับหนุนตักเฟยเจินที่กำลังนั่งหลับพิงก้อนหินเช่นกัน พอถึงตอนเช้าเรากินอาหารที่พกติดตัวกันมา จากนั้นเราจึงเริ่มเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปต่อคือยอดเขา
       
          เราเดินผ่านป่าทึบสลับป่าโปร่ง ในป่ามีทั้งพืชพิษและสัตว์พิษหลายชนิดสภาพป่าใกล้เคียงกับป่าอัคคีเพียงแต่ที่นี่เป็นเกาะ เราเดินกันมาถึงจุดที่เป็นสะพานเชือกผูกไม้กระดานเก่าผุพังบ้างนิดหน่อย แต่ยังสามารถเดินได้หมอจงบอกให้เราเดินด้วยความระมัดระวัง ด้านล่างสะพานเป็นแม่น้ำไหลเชี่ยว หมอจงทดสอบเขย่าและดึงเชือกให้มั่นใจว่าเชือกจะไม่ขาด หมอจงเริ่มออกเดินนำหน้า ฉันเดินตรงกลาง และเฟยเจินเดินตามหลัง เฟยเจินบอกฉันว่า "หากกลัวก็อย่ามองลงไปด้านล่าง" ฉันจึงตอบกลับไปว่า "ไม่กลัว แม่น้ำดูสวยดี"

          เราเดินข้ามสะพานกันมาเกือบถึงอีกฝั่ง จู่ๆแผ่นไม้กระดานแผ่นหนึ่งที่เฟยเจินเหยียบเกิดหักออกเพราะมันผุ ทำให้เฟยเจินไม่ทันตั้งตัวร่วงหล่นลงแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว ฉันตะโกนเรียกเฟยเจิน แล้วบอกหมอจงว่าเฟยเจินว่ายน้ำไม่เป็น ฉันจะกระโดดตามลงไปในแม่น้ำ แต่หมอจงห้ามฉันไว้ เขาส่งถุงผ้าของเขาให้ฉันแล้วกระโดดลงแม่น้ำด้วยความรวดเร็ว ฉันจึงรีบกระโดดถลาลงจากสะพานสูงไปที่ตลิ่ง เพราะขนนกที่เฟยเจินให้ฉันไว้ ช่วยพยุงตัวฉันลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย แล้ววิ่งไปตามตลิ่งตามพวกเขาไป หมอจงรีบว่ายน้ำตามเฟยเจินที่กำลังผลุบๆโผล่ๆเพราะจมน้ำ แต่เพราะน้ำที่ไหลเชี่ยวเหมือนล่องแก่งทำให้ยากที่หมอจงจะถึงตัวเฟยเจิน หมอจงเร่งว่ายน้ำให้เร็วขึ้นจนในที่สุดก็สามารถคว้าแขนของเฟยเจินไว้ได้ หมอจงกอดรัดตัวเฟยเจินไว้ แต่น้ำที่ไหลแรงทำให้ยากที่หมอจงจะลากเฟยเจินขึ้นฝั่งได้ ฉันเห็นหมอจงจับตัวเฟยเจินได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถพากันเข้าฝั่งได้เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงอีกทั้งเฟยเจินหมดสติจากการจมน้ำ โชคดีที่หมอจงสามารถยึดเหนี่ยวก้อนหินกลางลำน้ำไว้ได้ ฉันจึงเรียกแซ่อสรพิษออกมาแล้วสะบัดแซ่ไปพันรอบตัวเขาทั้งสองไว้ไม่ให้ไหลไปตามกระแสน้ำไปอีก แล้วนำปลายแซ่อีกด้านไปผูกไว้กับต้นไม้ยึดไว้อีกชั้นหนึ่ง จากนั้นฉันจึงรีบไปดึงแซ่เพื่อช่วยลากพวกเขาเข้าฝัง

          หมอจงแบกเฟยเจินขึ้นมาวางนอนแผ่แน่นิ่งบนฝั่ง เขาเอานิ้วทาบจมูกเฟยเจิน แล้วอุทานว่า "ไม่หายใจ!" จากนั้นหมอจงก้มลงเอาหูแนบที่หน้าอกเพื่อฟังเสียงหัวใจ "หัวใจไม่เต้น!" ฉันตกใจร้อง "ห๊า!!!" แล้วคิดในใจว่า ....เป็นถึงเซียนตกสวรรค์ ทำไมจมน้ำตายง่ายดายนัก!.... ฉันจึงเรียกเฟยเจินด้วยเสียงอันดังว่า

          อันฉี  : เจินเจิน! ตื่นสิ! เจ้าตายไม่ได้ถ้าข้าไม่อนุญาต! (แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่า...) อ่ะ!ใช่แล้วต้องทำ CPR!

          ฉันนึกขึ้นได้ว่าสมัยเรียนมัธยมต้น อาจารย์ที่โรงเรียนเคยสอนการทำ CPR ฉันบอกหมอจงให้ช่วยคลายเสื้อเฟยเจินออกหลวมๆ แล้วบอกหมอจงให้ตรวจช่องปากและช่องคอเฟยเจินว่ามีสิ่งแปลกปลอม เช่น เลือด หรือเสมหะหรือไม่ หากพบว่ามีให้ใช้ผ้าพันปลายนิ้วกวาดเช็ดออกมาโดยเร็ว และให้หมอจงขยับตัวไปนั่งด้านเหนือศรีษะเฟยเจินคอยจับปากเฟยเจินให้อ้าปากและแหงนคอเพื่อเปิดทางเดินหายใจ

          จากนั้นฉันจึงเริ่มทำการนวดหัวใจด้วยการวางสันมือข้างซ้ายที่ไม่ถนัดไว้บนกระดูกหน้าอก แล้ววางมือขวาประกบทับมือซ้าย นวดบริเวณกึ่งกลางของกระดูกหน้าอก ฉันเริ่มนวดหัวใจโดยนับ 15 ครั้ง แล้วสลับด้วยการเป่าปากผายปอดโดยนับ 5 ครั้ง สลับกันไป หมอจงดูฉันทำแค่ครั้งเดียวเขาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องอธิบายมากสมกับฉายาหมอเทวะ เขาอาสาช่วยกดนวดหัวใจ และให้ฉันเป่าปากผายปอดเฟยเจิน จนกระทั่งทรวงอกเฟยเจินเริ่มขยับหายใจ และเริ่มรู้สึกตัว ฉันและหมอจงมองหน้ากันแล้วยิ้มผสมหัวเราะด้วยความดีใจและโล่งใจไปพร้อมๆกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นหมอจงยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

          ฉันกอดเฟยเจินร้องไห้ฟูมฟายผสมดีใจที่เขารู้สึกตัว และก้มจูบริมฝีปากเฟยเจินเพื่อให้ยาบำรุงกำลัง หมอจงเดินไปหากิ่งไม้แห้งเพื่อก่อกองไฟเพิ่มความอบอุ่นและตากเสื้อผ้าเปียก ฉันค่อยๆพยุงเฟยเจินให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งตรงบริเวณที่หมอจงกำลังจะก่อกองไฟ หมอจงเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งใหม่ แล้วส่งเสื้อผ้าแห้งของเขาที่ติดเผื่อมาให้เฟยเจินเปลี่ยน เพราะถุงผ้าของเฟยเจินลอยตามกระแสน้ำไปแล้วตอนที่ตกลงไปในแม่น้ำ เรารอให้เสื้อผ้าเปียกแห้งหมาด และรอให้เฟยเจินค่อยยังชั่ว ค่อยเดินทางต่อ ฉันจึงให้เฟยเจินนอนพักสักครู่เพราะเขายังดูอ่อนเพลียจากการจมน้ำ

          ฉันเก็บแซ่อสรพิษที่ผูกกับต้นไม้แล้วเดินกลับมานั่งข้างๆเฟยเจินที่กำลังหลับ หมอจงถามถึงแซ่อสรพิษเพราะเขาไม่เคยเห็นฉันใช้มันมาก่อน ฉันบอกเขาว่าพี่ใหญ่ให้แซ่ฉันไว้ใช้ป้องกันตัว แต่ฉันไม่ค่อยได้ใช้เพราะพี่ชายทั้งสี่คนจะคอยดูแลปกป้องฉันอยู่แล้ว หมอจงจึงถามถึงการรักษาเมื่อสักครู่นี้ที่สามารถช่วยคนตายแล้วฟื้นได้คืออะไร ฉันบอกเขาว่า คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นคืนชีพ หรือการยื้อชีวิต ช่วยได้ในกรณีหยุดหายใจในระยะสั้นผู้ป่วยจะมีโอกาสรอด แต่หากหยุดหายใจเป็นเวลานานเกินไปวิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผล หมอจงจึงบอกให้ฉันสอนวิธีการยื้อชีวิตให้เขาอีกครั้ง ฉันบอกให้เขานอนลงแล้วอธิบายขั้นตอนให้ฟังโดยละเอียดมากขึ้นเท่าที่ฉันจำได้ การนวดหัวใจเขาทำเป็นแล้ว ฉันจึงบอกวิธีเป่าปากผายปอด หรือการให้ลมหายใจ ฉันแสดงตัวอย่างให้ดูโดยการบีบจมูก และเป่าปากด้วยการประกบริมฝีปากให้สนิทกับคนป่วย ฉันบอกให้หมอจงลองทำกับฉัน

          ฉันนอนลงแล้วบอกหมอจงให้ทำตามขั้นตอนที่สอน เขาขยับเข้ามาใกล้ๆแหงนหน้าฉันขึ้นเล็กน้อยแล้วใช้นิ้วบีบจมูก เขาประกบริมฝากกับฉันแน่นแล้วเป่าโดยนับหนึ่ง-นับสอง-นับสาม-นับสี่-นับห้า...... หมอจงกลับไม่ถอนริมฝีปากออก เขาปล่อยมือที่บีบจมูกฉัน แล้วสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปาก แล้วจูบฉันอยู่อย่างนั้นจนพอใจ สักพักเขาถอนริมฝีปากออกแล้วพูดว่า เขาเข้าใจขั้นตอนแล้วและขอบใจที่สอน จากนั้นเขารีบลุกกลับไปนั่งผิงไฟอย่างอายๆ ทิ้งฉันให้นั่งงง เพราะถูกเขาจูบในขณะที่เขายังมีสติดี ฉันลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งข้างๆเฟยเจิน แตะมือที่หน้าผากเพื่อดูว่าเขามีไข้หรือไม่ โชคดีที่เขาไม่มีไข้ เขาเพียงแค่อ่อนเพลียเท่านั้น เราจึงกินมื้อกลางวันกันที่ริมแม่น้ำ โดยหมอจงไปหาปลาจากแม่น้ำมาย่างให้เรากิน

          เฟยเจินมีอาการดีขึ้นแล้วและสามารถออกเดินทางต่อได้ เราเดินออกจากแม่น้ำมุ่งหน้าสู่ป่าทึบเขาด้านบน ทางเดินเริ่มลำบากมากขึ้น ระหว่างทางเดินในป่าเราเจองูพิษหลายชนิด พวกงูเหล่านั้นเห็นเราก็แยกเขี้ยวขู่ฟ่อ แล้วผลุบถอยหลังหนีไปตามพุ่มไม้ คงเป็นเพราะกลิ่นของเสวี๋ยฉีที่ติดตัวฉันพวกงูจึงไม่กล้าเข้าใกล้ หนทางเริ่มชันมากขึ้นเราเดินมาถึงผาสูงตั้งชัน หมอจงบอกว่าเราต้องปีนขึ้นไปด้านบน เฟยเจินกระซิบถามฉันว่า...

     เฟยเจิน  : ทำไมเราไม่บินขึ้นไปล่ะ แป๊บเดียวก็ถึงข้างบนแล้ว
          อันฉี  : เราเป็นมนุษย์ จะบินได้ไงกันเล่า
     เฟยเจิน  : ออ...เราเป็นมนุษย์หรอกรึ?
          อันฉี  : รีบปีนขึ้นไปเถอะ อาจารย์ปีนขึ้นไปแล้วนั่น (ฉันเริ่มปีนขึ้นไปก่อนเฟยเจิน)
     เฟยเจิน  : ตอนปีนเจ้าอย่ามองลงไปข้างล่างล่ะ
          อันฉี  : บอกตัวเจ้าเองเถอะ ตอนข้ามสะพานที่แม่น้ำเจ้าก็พูดแบบนี้ แล้วเจ้าก็ตกน้ำ
     เฟยเจิน  : ฮ่าฮ่า ข้ายอมรับว่าข้าพลาด นี่! ตอนที่ข้าหมดสติ ข้าเห็นองค์เง็กเซียนด้วยล่ะ เง็กเซียนหันมาแล้วพูดว่า "ยังไม่ถึงเวลา" แล้วเง็กเซียนก็ผลักข้าตกลงมาจากก้อนเมฆ
          อันฉี  : เพราะเจ้ามัวแต่ไปเฝ้าเง็กเซียนนี่เอง แทนที่จะรีบกลับมาหาข้า รู้มั้ยข้าต้องเป่าปากแบ่งลมหายใจให้เจ้าเหนื่อยแค่ไหน ห๊ะ!
     เฟยเจิน  : เออ ปีนถึงข้างบนแล้ว ข้าจะเป่าปากคืนลมหายใจให้เจ้าก็ได้ จะเป่าปากคืนให้พันครั้งเลย
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 34
(พบราชากระต่าย)
       
          หมอจงคิดว่าฉันกับเฟยเจินคุยหยอกเล่นกันตามประสาพี่น้อง จึงไม่ได้ใส่ใจ แล้วในที่สุดเราก็ปีนผาขึ้นมาถึงข้างบนจนได้ ด้านบนเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เขียวขจี หมอจงบอกว่าเราต้องเดินต่อไปอีกไกล เพื่อปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเป็นจุดสุดท้าย เราจึงตกลงกันว่าจะเดินไปเรื่อยๆให้ใกล้ทางขึ้นยอดเขาแล้วค่อยก่อกองไฟพักแรม เนื่องจากเวลาใกล้จะเย็นแล้ว เราเดินกันไปเรื่อยๆ เฟยเจินๆก็บอกว่าเขามองเห็นกระต่ายบาดเจ็บอยู่ข้างหน้า หมอจงพูดว่า "ดี! จะได้ย่างกระต่ายกินคืนนี้" เฟยเจินจึงวิ่งไปจับกระต่ายที่บาดเจ็บกลับมา แล้วยื่นให้ฉันดู กระต่ายตัวนั้นสีขาว มีขนาดเล็กเหมือนกระต่ายเด็ก ดวงตาสีแดง ขนปุกปุยน่ารัก ที่ขาได้รับบาดเจ็บมีเลือดออก กระต่ายตัวนั้นดิ้นด้วยความหวาดกลัว ฉันจึงบอกหมอจงและเฟยเจินว่าสงสารกระต่ายกินไม่ลง ขอให้ปล่อยมันไป ฉันเอายาทาแผลที่ขาให้กระต่ายตัวนั้น

     เฟยเจิน  : อยู่ที่บ้านเจ้ายังบอกว่าเนื้อกระต่ายอร่อยดี
          อันฉี  : นั่นเพราะข้าไม่ได้เห็นมันดิ้นดุ๊กดิ๊กแบบนี้ อีกทั้งนี่ยังเป็นกระต่ายเด็ก อาหารที่เราเตรียมมายังพอมีเหลืออยู่ ปล่อยกระต่ายตัวนี้ไปเถอะ น่ารักบ้องแบ๊วขนาดนี้ข้ากินไม่ลงหรอก
      หมอจง  : ก็ได้
     เฟยเจิน  : ระวัง!!!

          ในขณะที่เรากำลังยืนดูกระต่ายตัวน้อย ก็มีขอนไม้ขนาดเขื่องลอยลงมาตกตรงที่เรากำลังยืนอยู่ โชคดีที่เฟยเจินกระโดดผลักเราให้หลบขอนไม้ได้ทันท่วงที ส่วนกระต่ายน้อยกระเด็นออกไปอีกทางหนึ่ง

          ทันไดนั้นก็มีกระต่ายตัวใหญ่เกือบเท่าเด็กอายุสิบขวบจำนวนสองตัว กระโดดเข้ามาข้างหน้า ตัวหนึ่งสีขาว และอีกตัวหนึ่งสีดำทึมๆ ตัวสีดำทึมท่าทางแข็งแรงยืนสองขา ขาหน้ากำลังอุ้มขอนไม้ 1 ขอนไว้ คงเป็นกระต่ายตัวนี้แน่ๆที่โยนขอนไม้ใส่เรา กระต่ายน้อยกระโดดไปหากระต่ายยักษ์ตัวสีขาวที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ของมัน กระต่ายสีดำทึมมีท่าทางโกรธเกรี้ยว และกล่าวโทษเราว่าทำร้ายกระต่ายน้อยและจะกินกระต่ายน้อยลูกของเขา หมอจงตกตะลึงเห็นกระต่ายพูดได้

กระต่ายดำ  : เจ้าพวกมนุษย์ชั่ว บุกรุกมาถึงนี่เชียวรึ บังอาจคิดจะกินลูกของข้า
          อันฉี  : เดี๋ยวก่อนท่านกระต่ายผู้ยิ่งใหญ่ พวกข้าไม่ได้คิดจะกินลูกของท่านเลยนะ เราเห็นเขาบาดเจ็บจึงทายาให้แค่นั้น ลองดูที่ขาเขาสิ มียาทาอยู่น่ะ
กระต่ายขาว  : ลูกบอกว่าพวกเขาทายาให้จริงๆ ตัวที่ทำร้ายลูกคือนกอินทรีย์ดำ
กระต่ายดำ  : แล้วเจ้าอินทรีย์ทองนั่นล่ะ เป็นพวกเจ้างั้นรึ มาดีหรือมาร้าย? (เขาชี้ไปที่เฟยเจิน)
          อันฉี  : เขาเป็นพี่ชายข้าเอง เขาเป็นคนใจดีไม่ทำร้ายใคร       
กระต่ายดำ  : พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่
      หมอจง  : เรามาหาสมุนไพร ดอกยูงรำแพนแดง แค่นั้นพวกเราก็จะกลับ ไม่ได้ต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้
กระต่ายดำ  : แค่นั้นรึ? ต้องการดอกยูงรำแพนแดงไปทำอะไร?
      หมอจง  : เอ่อ.......
          อันฉี  : เอ้อ! อาจารย์ของข้าจะนำไปรักษาโรคร้ายให้ภรรยา นางป่วยเป็นโรคประหลาด เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เอาแต่ใจ ยามกินไม่ได้นอน ยามนอนไม่ได้กิน ดึกๆดื่นๆตื่นมาหิว อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ล่าสุดนางบอกอยากกินเนื้อนกยูงตุ๋น โอ๊ยย! อกอีแป้นจะแตก นกยูงเป็นราชินีแห่งนกที่แสนสวยงามและน่ารัก ใครจะพรากชีวิตนกยูงได้ลงคอ เราไม่ต้องการฆ่านกยูง เราจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อค้นหา ดอกยูงรำแพนแดง เพื่อนำกลับไปตุ๋นแทนเนื้อนกยูงน่ะท่านกระต่าย
      หมอจง  : เอ่อ ใช่ๆ
กระต่ายดำ  : อาการคล้ายกันกับภรรยาข้าเลย เพียงแต่นางไม่นึกอยากกินนกยูง (เขากระซิบ และพูดต่ออีกว่า...) เอาล่ะ! ดอกยูงรำแพนแดง มีอยู่หลังบ้านข้า ไปเก็บได้เลย ไปกับข้าสิ

          เราเดินตามกระต่ายสองสามี-ภรรยาไปที่บ้านของเขา ท่าทางทั้งคู่ดูไม่มีพิษภัย แต่เราก็พยายามระมัดระวัง เราจึงถามกระต่ายดำว่าบนยอดเขามีอะไร เขาบอกว่าบนยอดเขามีนกอินทรีย์ดำ จอมเกเร เดิมทีนกอินทรีย์ดำจะล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ต่อมาภายหลังนกอินทรีย์ดำเกเรตัวนี้ขึ้นเป็นจ่าฝูงและเริ่มล่าสัตว์อื่นเป็นของเล่น เราจึงย้ายที่อยู่จากทุ่งกว้างมาอยู่ในถ้ำ ฉันจึงถามเขาต่ออีกว่า

          อันฉี  : เคยมีมนุษย์ขึ้นมาถึงบนนี้หรือไม่ เพราะเคยมีหญิงเสียสติเคยเห็นดอกยูงรำแพนแดง
กระต่ายดำ  : พวกเจ้าเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่สามารถขึ้นมาถึงบนนี้ เมื่อก่อนดอกยูงรำแพนแดงเคยขึ้นอยู่ด้านล่าง แต่เกาะนี้ถูกมนุษย์รบกวนเข้ามาหาสมบัติ ล่าสัตว์และหาสมุนไพรอย่างหนัก พวกกระต่ายจึงอพยพกันขึ้นมาอาศัยอยู่บนนี้ ข้าเห็นว่าดอกยูงรำแพนแดงสวยดีจึงนำมาปลูกข้างบนเป็นดอกไม้ประดับบ้านข้า ส่วนที่ขึ้นอยู่ด้านล่างข้าก็ทำลายมันทิ้งทั้งหมด หญิงเสียสติที่เจ้าว่าอาจเคยเห็นดอกยูงรำแพนแดงเคยที่ขึ้นอยู่ด้านล่างเมื่อก่อนก็เป็นได้
     เฟยเจิน  : แล้วผีหญิงแก่ที่อยู่ในป่าด้านล่างนั่นล่ะ
กระต่ายดำ  : ผีหญิงแก่นั่นอยู่บนเกาะมานานก่อนข้า แต่ข้ารู้มาว่า ตอนที่นางเป็นมนุษย์ นางขึ้นเกาะมาหาสมบัติที่พวกโจรนำมาซ่อน สุดท้ายนางเป็นไข้ป่าตายนางจึงวนเวียนอยู่เฝ้าสมบัติ แต่ข้าก็ขนสมบัติพวกนั้นขึ้นมาเก็บไว้ข้างบน เพราะไม่ต้องการให้มนุษย์โลภมากมารบกวนเรา
          อันฉี  : ทำไมนางถึงต้องการแต่ผู้ชายล่ะ
กระต่ายดำ  : ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพราะคนที่มาที่นี่ส่วนมากเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงเกิดความกลัวจึงไม่กล้ามาที่เกาะ
          อันฉี  : เข้าใจแล้วล่ะ

          เราเดินมาถึงถ้ำๆหนึ่งมีขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยกระต่ายน้อยใหญ่ กระต่ายที่โตแล้วจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ พอพวกเขาเห็นเราต่างพากันตกใจแอบหลบตามมุมต่างๆ กระต่ายดำบอกกับพวกเขาว่า เราเป็นเพื่อน พวกเขาจึงออกจากที่ซ่อนแต่ยังคงกล้าๆกลัวๆ กระต่ายขาวภรรยาอุ้มกระต่ายน้อยขาเจ็บเดินเข้าถ้ำ จากนั้นกระต่ายดำจึงพาเราเดินไปดูดอกไม้ยูงรำแพนแดง แต่น่าเสียดายดอกไม้หุบหมดแล้ว จะบานอีกครั้งในตอนเช้า เราจึงไม่แน่ใจว่าใช่ดอกยูงรำแพนแดงจริงหรือไม่ เพราะเราเองก็ไม่เคยเห็น

          กระต่ายดำจึงเอ่ยเชิญเราพักแรมด้วยกันในถ้ำ พรุ่งนี้เช้าค่อยไปเด็ดดอกยูงรำแพนแดง เราทั้งสามคนจึงตัดสินใจรับคำเชิญ กระต่ายดำจึงแบ่งห้องในถ้ำให้เราพักอยู่ด้วยกันห้องหนึ่ง ภายในตกแต่งแบบเรียบง่ายๆแต่หรูหราด้วยแจกันเงินและเครื่องทองอื่นๆวางตามมุมต่างๆ ที่พื้นปูพรมนุ่มนิ่มสำหรับนอน กระต่ายดำบอกว่าเครื่องเงินและทองคือสมบัติของพวกโจรที่นำมาซ่อนบนเกาะ เขาจึงนำมาประดับตกแต่งบ้าน แต่หากเราต้องการเขาจะยกให้ พวกเราตอบปฏิเสธไม่ต้องการสมบัติ เราต้องการแค่ดอกยูงลำแพนแดงเท่านั้น

          กระต่ายดำบอกว่าเขาจะเลี้ยงอาหารและเหล้า หากจัดเตรียมเสร็จจะให้คนมาตาม หลังจากกระต่ายดำเดินออกไป ฉันกับเฟยเจินล้มตัวลงนอนบนพรมทันทีด้วยความเหนื่อยล้า หมอจงนั่งลงข้างๆแล้วต่อว่าฉันเบาๆว่า...

      หมอจง  : ทำไมเจ้าบอกเขาว่าภรรยาข้าป่วย ข้ายังไม่มีภรรยา!
          อันฉี  : ท่านมัวแต่อ้ำอึ้ง ข้าเลยต้องพูดแทนน่ะสิ ถึงวันนี้ท่านจะยังไม่มีภรรยา วันหน้าก็ต้องมีล่ะน่า
     เฟยเจิน  : ดอกยูงลำแพนแดง นึกจะเจอก็เจอง่ายๆ มันเจอง่ายเกินไปหรือเปล่า
          อันฉี  : ให้เจออะไรง่ายๆบ้างเหอะ ข้าเหนื่อยจนขาลากแล้ว
      หมอจง  : คืนนี้เราก็ระวังกันไว้หน่อย อย่าเพิ่งไว้วางใจมากเกินไป

          ไม่นานนักก็มีกระต่ายสาวมาเชิญเราไปกินอาหาร อาหารและเหล้าถูกจัดวางมาในถาดเงินสี่เหลี่ยมขนาดกลางซึ่งอาหารมีแต่ผักกับผลไม้ กระต่ายสาวรินเหล้าใส่ถ้วย ฉันใช้ดวงตาปีศาจมองหาพิษในเหล้าและอาหารไม่พบพิษเลย ฉันจึงพยักหน้าเล็กนัอยและยิ้มเป็นการส่งสัญญานให้หมอจงรู้ว่าอาหารและเหล้าไม่มีพิษแต่อย่างใด กระต่ายดำให้เหตุผลว่าที่อาหารไม่มีเนื้อสัตว์เพราะกระต่ายไม่กินเนื้อสัตว์ จึงไม่มีเนื้อสัตว์เก็บไว้ในบ้าน แต่พวกเขาชอบงานเลี้ยงสังสรรค์

          คืนนี้หมอจง และเฟยเจินถูกสาวๆกระต่ายมอมเหล้าอีกแล้ว โดยเฉพาะเฟยเจินจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆกระต่ายเป็นพิเศษ กระต่ายดำบอกว่าหากเฟยเจินชอบสาวๆเขาจะส่งให้ไปปรนนิบัติที่ห้อง เฟยเจินรีบส่ายหัวปฏิเสธ ฉันจึงรีบพูดขึ้นว่า เฟยเจินยังมีอายุน้อย ยังไม่ถึงเวลาต้องมือสาว ฉันจึงโบ้ยไปให้หมอจง แล้วขอตัวพาเฟยเจินกลับไปนอน เพราะดึกแล้ว อีกทั้งเฟยเจินก็เมามาก ฉันดึงเฟยเจินกลับห้องพัก ส่วนหมอจงบอกปฏิเสธหญิงสาวเช่นกันโดยให้เหตุผลว่าเขามีภรรยาแล้ว แล้วรีบตามฉันกลับห้องพัก

      หมอจง  : ต่อไปเจ้าอย่าทำแบบนี้กับข้าอีกนะ
          อันฉี  : ท่านไม่ชอบหญิงสาวหรอกรึ? (ฉันจ้องหน้าเขา)
      หมอจง  : ข้ามาทำงาน ไม่ได้มาดื่มเหล้ากับหญิงสาว
          อันฉี  : เอาน่าๆต้องมือสาวนิดหน่อยไม่ถึงกับสึกหรอ ไปนอนกันเถอะข้าง่วงแล้ว

          ฉันจับเฟยเจินให้นอนตรงกลางระหว่างฉันกับหมอจง แล้วจับแขนเฟยเจินข้างหนึ่งกางออกหนุนนอน และกอดนอน หมอจงทำหน้าตะขิดตะขวงใจและพูดว่า

      หมอจง  : ข้าคิดว่าเจ้านอนแบบนั้นมันดูไม่เหมาะ
          อันฉี  : เจินเจินเป็นพี่ชายของข้า ข้ากอดเขานอนทุกคืน ข้ากอดพี่ชายไม่เหมาะตรงไหน แต่ถ้าข้ากอดท่านนอนสิจึงจะเรียกว่าไม่เหมาะ
      หมอจง  : เจ้ากอดพี่ชายของเจ้าทุกคนแบบนี้หรือเปล่า
          อันฉี  : ใช่ มีปัญหาอะไรรึ
      หมอจง  : เออ ช่างเถอะ

          หมอจงดับไฟแล้วล้มตัวลงนอนใกล้ๆเฟยเจิน เฟยเจินพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามากอดยกขามาก่ายฉันเหมือนนอนกอดหมอนข้าง เขาจูบลงบนหน้าผาก ฉันเงยหน้าจูบที่ริมฝีปากเขาแล้วซุกตัวนอนแนบอกเฟยเจิน

          เราตื่นนอนกันแต่เช้าเพื่อไปเก็บดอกยูงรำแพงแดง กระต่ายดำพาเราเดินไปบริเวณที่มีดอกยูงรำแพนแดงขึ้น เมื่อเดินไปถึงเราถึงกับตะลึงเพราะมีดอกยูงรำแพนแดงบานสวยงามอยู่จำนวนมาก ฉันเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันขึ้นเป็นกอลำต้นคล้ายกล้วยไม้ดิน ลำต้นมีสีเขียวขนาดเล็ก ใบเรียวยาวแคบคล้ายใบหญ้า ปลายใบแหลมสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมี 5-6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงซ้อนกันเป็นชั้นเรียงกันคล้ายพัด ภายในกลีบสีแดงมีลวดลายเป็นดวงวงกลมสีเหลือง และภายในดวงวงกลมสีเหลืองจะมีดวงวงกลมเล็กๆสีเขียวแกมดำ ตรงกลางดอกมีจงอยยื่นออกมาสีน้ำเงินคล้ายตัวนก จึงเหมือนนกยูงสีแดงกำลังรำแพนหางอวดความงดงามต่อหน้าผู้มาเยือน ฉันเด็ดมาชิมรสชาติดอกหนึ่ง สรรพคุณขับพิษ บำรุงไต

          อันฉี  : อื้ม! รสชาติคล้ายเนื้อไก่เลย
กระต่ายดำ  : แปลกจริง! เป็นพืชแต่กลับมีรสชาติคล้ายเนื้อไก่
          อันฉี  : ท่านลองชิมดูสิ
กระต่ายดำ  : ไม่ล่ะ ข้าเป็นกระต่าย ข้าไม่กินนกยูง! พวกเจ้าเด็ดไปเท่าที่ต้องการเถอะ
      หมอจง  : ขอบคุณท่านกระต่ายดำ
     เฟยเจิน  : น้องห้า เราเก็บเอาไปปลูกที่ป่าไผ่เขียวด้วยดีกว่า ข้าว่ามันสวยน่ารักดี
          อันฉี  : อื้ม

          หมอจงเก็บดอกยูงรำแพนแดงไปจำนวนหนึ่ง แต่ฉันเก็บไปเพียงเมล็ดเพื่อนำไปปลูก เมื่อเราได้สิ่งที่ต้องการเรียบร้อย จึงกล่าวขอบคุณกระต่ายดำและกระต่ายอื่นๆที่ต้อนรับเราเป็นอย่างดี ขณะกำลังกล่าวคำขอบคุณและจะกล่าวคำลากลับ ก็มีกระต่ายหนุ่มตัวหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาหากระต่ายดำ และบอกว่า นกอินทรีย์ดำกำลังเผาทุ่งหญ้าตรงบริเวณที่พวกกระต่ายเด็กวิ่งเล่นกันอยู่

          พวกเราและเหล่ากระต่ายอื่นๆต่างรีบวิ่งตามกระต่ายหนุ่มไปที่ทุ่งหญ้าจุดเกิดเหตุ เราวิ่งไปถึงที่นั่นเห็นมีกระต่ายผู้ใหญ่หลายตัวกำลังช่วยกันใช้กิ่งไม้ตบเปลวไฟให้ดับและช่วยกันสาดน้ำดับไฟ แต่เพราะไฟโหมแรงจึงดับไฟไม่ได้ง่ายๆ กระต่ายสาวผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่ามีกระต่ายเด็กติดอยู่ในนั้นหกตน เหล่ากระต่ายผู้ใหญ่ตนอื่นพยายามเข้าไปช่วยแต่เข้าไปไม่ได้เพราะไฟที่โหมแรงเกินไปและไม่มีทีท่าว่าจะดับ กระต่ายดำจะพุ่งตัวเข้ากองไฟไปช่วยเด็กๆ แต่ถูกห้ามและดึงไว้เพราะอันตรายเกินไป

        ในขณะเดียวกัน เฟยเจินเห็นนกอินทรีย์ดำกำลังบินวนพ่นไฟอยู่ทำให้ไฟโหมแรงไม่ยอมดับ เฟยเจินบอกว่าเขาจะเป็นคนจัดการนกอินทรีย์ดำเอง พูดจบเฟยเจินกลายร่างเป็นนกอินทรีย์ทองที่งามสง่าและน่าเกรงขาม เขาสยายปีกสีทองขนาดกว้างใหญ่โผบินขึ้นไปต่อสู้กับนกอินทรีย์ดำบนท้องฟ้า นกอินทรีย์เป็นนกตระกูลนักล่าและบินเร็ว เขาทั้งสองต่อสู้กันรุนแรง นกอินทรีย์ดำตกเป็นรองจึงบินหนีไปทางยอดเขา เฟยเจินบินตามไปและหายไปทางยอดเขาเช่นกัน ทั้งหมอจงและเหล่ากระต่ายต่างพากันตกตะลึงที่เห็นเฟยเจินกลายร่างเป็นนกอินทรีย์ทอง

          เมื่อหมอจงตั้งสติได้ เขาบอกว่าจะเข้าไปช่วยเด็กๆในกองเพลิงกับกระต่ายดำ ฉันจึงบอกว่าให้รอก่อน แล้วฉันก็ยกถังน้ำมาราดตัวเอง ราดหมอจง และราดกระต่ายดำ และนำผ้าชุบน้ำสามผืนสำหรับคลุมตัวเด็ก ฉันเปิดแสงโล่ขึ้นมาบังข้างหน้าเพื่อเป็นโล่กันไฟ ทุกคนตกตะลึงกันอีกครั้งหนึ่ง ฉันบอกให้หมอจงกับกระต่ายดำเดินตามฉันทางด้านหลัง เราทั้งสามเดินลุยไฟที่โหมกระหน่ำและร้อน เราช่วยกันมองหาและตะโกนเรียกเด็กๆ ทันไดนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กๆร้องตอบห่างออกไปไม่ไกลมากนัก เราจึงรีบวิ่งเข้าไปหา เห็นเด็กๆนั่งรวมตัวกันอยู่อย่างหวาดกลัวร้องไห้กันจ้าละหวั่น ทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน กระต่ายดำนับจำนวนเด็กๆอยู่กันครบหกตน หมอจงจึงถามว่ามีเด็กตนอื่นๆอีกไหม พวกเด็กๆตอบไม่มี เราจึงช่วยกันเอาผ้าที่ชุบน้ำเย็นมาด้วย เอามาห่มคลุมตัวเด็ก แล้วอุ้มพวกเขาออกมา โดยฉันอุ้มกระต่ายเด็กหนึ่งตน หมอจงอุ้มเด็กสองตน ส่วนกระต่ายดำอุ้มเด็กสามตน เราฝ่าไฟที่โหมกระหน่ำกันออกมา ดีที่แสงโล่สามารถเป็นโล่กันไฟได้จึงช่วยได้มากทีเดียว แม้หมอจงและกระต่ายดำจะถูกไฟลวกที่แขนขาแต่ก็บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

          เราค่อยๆวางกระต่ายเด็กลงกับพื้น หมอจงห้ามกระต่ายอื่นๆมายืนมุงเพราะต้องการอากาศโล่งๆ และบอกให้หาน้ำเย็นมาเช็ดตัวเด็กๆ กระต่ายขาวผู้เป็นภรรยาบอกกระต่ายอื่นๆให้ช่วยตรวจสอบถ้ามีใครหายไปให้รีบแจ้ง ฉันกับหมอจงช่วยกันตรวจสอบกระต่ายเด็กว่าบาดเจ็บหรือไม่ พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่สำลักควันไฟ กระต่ายดำบอกว่ามีกระต่ายเด็กตนหนึ่งมีอาการเสียงแหบ และหายใจผิดปกติ ฉันและหมอจงรีบขยับตัวเข้าไปดู หมอจงหันมามองหน้าฉัน ฉันจึงพยักหน้าแล้วพูดกับหมอจงเบาๆคล้ายกระซิบว่า

          อันฉี  : อื้ม ต้องให้ลมหายใจ
      หมอจง  : ข้ารึ? (หมอจงชี้นิ้วมาที่ตัวเอง)
          อันฉี  : ใช่ อาจารย์นั่นแหละ
      หมอจง  : นี่กระต่ายนะ....
          อันฉี  : อื้ม!

          หมอจงก้มลงเป่าปากให้กระต่ายน้อย เพื่อช่วยให้กระต่ายน้อยหายใจได้สะดวก ท่าทางหมอจงที่กระอักกระอ่วนเวลาเป่าปากกระต่ายดูตลกจนฉันแอบขำ แต่เขาก็ช่วยเป่าปากให้กระต่ายน้อยจนอาการดีขึ้นและปลอดภัย เหล่ากระต่ายที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันดีใจ และกล่าวชื่นชมสรรเสริญหมอจงกันยกใหญ่ อีกทั้งพวกเขาหันมากล่าวขอบคุณฉันที่ช่วยพาฝ่ากองไฟเข้าไปช่วยกระต่ายเด็กๆจนพวกเขาปลอดภัย กระต่ายดำจึงสั่งกระต่ายผู้ใหญ่ทุกตนให้ช่วยกันดับไฟที่กำลังโหมไหม้ให้ดับลงโดยเร็ว

          ในระหว่างที่เรานั่งดูเหล่ากระต่ายช่วยกันดับไฟ และกำลังรอเฟยเจินกลับมา หมอจงหันมาถามฉันเกี่ยวกับเฟยเจินที่เป็นนกอินทรีย์ทอง ฉันจึงโกหกหมอจงไปว่า

          อันฉี  : เฟยเจินฝึกวิชาพลังเวทย์ขั้นสูง จึงสามารถแปลงกายเป็นนกอินทรีย์ทองได้
      หมอจง  : รวมทั้งพี่ชายอีกสามคนของเจ้ามีพลังเวทย์ด้วยรึเปล่า
          อันฉี  : ใช่
      หมอจง  : แล้วเจ้าล่ะ
          อันฉี  : ข้าไม่มีพลังเวทย์ ไม่มีพลังยุทธ แค่สามารถป้องกันตัวเองได้นิดหน่อย
      หมอจง  : แล้วโล่แปลกๆที่เจ้าใช้เมื่อกี๊ล่ะ
          อันฉี  : นั่นเป็นแสงโล่ มันเกิดขึ้นมาเองตอนข้ามีภัยเป็นแสงโล่ป้องกันภัยน่ะ
      หมอจง  : ว่าแต่...พี่ชายของเจ้าจะเป็นอะไรรึเปล่า ไล่ตามนกอินทรีย์ดำจนหายไปนานแล้ว ดูเจ้าไม่กังวลใจ
          อันฉี  : ที่ข้าไม่กังวลใจเพราะข้ายังสามารถสัมผัสสัญญาณชีพของเจินเจินได้ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เป็นสายสัมพันธ์ของพี่น้องที่เชื่อมถึงกัน อีกอย่างเจินเจินมีจุดอ่อนอยู่สองอย่างคือ กลัวผี กับ ว่ายน้ำไม่เป็น ข้ากังวลสองเรื่องนี้มากกว่า แต่เหตุการณ์สองอย่างนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ หุหุ
      หมอจง  : อืม ข้าเห็นแล้ว (หมอจงแอบขำเมื่อนึกถึงตอนที่เฟยเจินกลัวผี)

          ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้นเฟยเจินก็บินกลับมา กระต่ายดำและกระต่ายขาวผู้เป็นภรรยา และกระต่ายตนอื่นๆต่างเข้ามาขอบคุณเฟยเจินที่ช่วยไล่นกอินทรีย์ดำให้หนีไป เฟยเจินบอกว่าที่กลับมาช้าเพราะตอนนี้เขากลายเป็นจ่าฝูงนกอินทรีย์ดำไปแล้ว ต่อไปนกอินทรีย์ดำจะล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารเท่านั้น เฟยเจินเล่าให้ฟังว่า นกอินทรีย์ดำเกเร ที่มาพ่นไฟเผาทุ่งหญ้า เป็นนกอินทรีย์ที่มีพลังเวทย์เท่ากันกับเขา แม้จะมีพลังเวทย์เท่ากัน แต่เฟยเจินมีความแข็งแกร่งมากกว่า เขาไล่ตามนกเกเรนั่นไปถึงยอดเขาซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของนกอินทรีย์ดำ เขาจึงท้ารบชิงตำแหน่งจ่าฝูงต่อหน้านกอินทรีย์ดำตัวอื่นๆในฝูง และเฟยเจินก็ชนะเพราะนกอินทรีย์ดำเกเรถูกเฟยเจินฆ่าตายด้วยไฟที่ร้อนแรงกว่าเผาจนตาย เฟยเจินแต่งตั้งรองหัวหน้านกอินทรีย์ดำให้คอยควบคุมฝูงนกให้ล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารเท่านั้น ห้ามล่าเพื่อความสนุก และหากฝูงนกอินทรีย์ทำผิดแบบนี้อีกให้กระต่ายดำส่งนกสื่อสารถึงเขา เขาจะกลับมาจัดการด้วยตัวเอง

          ทั้งฉันและเหล่ากระต่ายต่างร้องเฮกระโดดด้วยความดีใจ เหล่ากระต่ายดีใจที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตในทุ่งหญ้าที่สงบสุขตามเดิม ส่วนฉันดีใจที่เฟยเจินเริ่มเติบโตเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญและแข็งแกร่ง เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนแอแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว เขาคือความภาคภูมิใจของฉันจริงๆ

          เหล่ากระต่ายกล่าวขอบคุณเราทั้งสามคนอีกครั้งที่ช่วยเหลือและช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาที่เผชิญมานานหลายปีเกี่ยวกับนกอินทรีย์ดำเกเร กระต่ายดำบอกว่า พวกเราจะกลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ก็ได้ พวกเขายินดีต้อนรับเสมอ เราจึงสอบถามถึงเส้นทางลัดเพื่อเลี่ยงผ่านป่าที่มีผีหญิงแก่และต้องการกลับให้ถึงจุดจอดเรือเร็วๆ กระต่ายดำบอกว่ามีทางลัดแต่เป็นเส้นทางหน้าผาสูงชัน ปีนลงไป จะเจอแม่น้ำเดินข้ามขอนไม้ใหญ่ เดินผ่านป่าออกไปไม่นานจะถึงจุดจอดเรือ เฟยเจินจึงกระซิบถามฉันว่า...

     เฟยเจิน  : ทำไมเราไม่บินกลับไปที่เรือเลยล่ะ
          อันฉี  : เราอยู่กับมนุษย์ต้องพยายามใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับมนุษย์ เผยร่างอินทรีย์เฉพาะเวลาที่จำเป็นดีกว่า คิดซะว่าเรามาเที่ยวผจญภัยสนุกๆ
    เฟยเจิน  : ตามใจเจ้า

          เราจึงกล่าวลาเหล่ากระต่าย และเดินไปตามเส้นทางลัดที่กระต่ายดำบอกมา หน้าผามีความสูงชันมาก ฉันจึงออกความคิดว่า เราน่าจะผูกเชือกที่เอวไว้ด้วยกัน หากมีใครพลาด อีกสองคนจะได้ช่วยพยุงไว้ไม่ให้ตกหน้าผา เฟยเจินและหมอจงตอบตกลง

          อันฉี  : เดี๋ยว! ทำไมเห็นด้วยง่ายนักล่ะ ไม่มีความคิดเห็นอื่นเลยรึ
     เฟยเจิน  : ความคิดเพี้ยนๆไร้เหตุผลของเจ้ามักใช้ได้ผลเสมอ เอาตามที่เจ้าคิดนั่นแหละ
      หมอจง  : ข้าเห็นด้วยกับพี่ชายเจ้า ผูกเชือกเถอะ
          อันฉี  : นี่ชมหรือด่าข้ากันแน่.....?

          ฉันจึงเรียกแซ่อสรพิษออกมาเป็นเชือกผูกเอว ต่อกันสามคน เฟยเจินอาสาปีนลงไปก่อน ตามลำดับด้วยฉันและหมอจง เราปีนกันลงไปช้าๆอย่างระมัดระวัง หน้าผาสูงชันแต่วิวทิวทัศน์สวยงามยิ่งนัก ฉันมองลงไปด้านล่างเห็นป่ารกทึบ และสายแม่น้ำไหลยาวซึ่งเราต้องเดินไปที่นั่น ขณะที่ฉันกำลังชื่นชมความงามของธรรมชาติ เสียงหมอจงก็ร้องดังขึ้น "ระวัง!"

          ทันใดนั้น หมอจงก็ร่วงลงมาใส่ฉัน และฉันก็ร่วงใส่เฟยเจิน เฟยเจินกอดฉันไว้แน่น เราทั้งสามคนร่วงลงไปข้างล่าง หมอจงตกกระแทกฉันกับเฟยเจินกลางอากาศ เฟยเจินร้องบอกว่า "จับข้าไว้อย่าปล่อย!" ฉันกับหมอจงเกาะเฟยเจินแน่นร้องกันเสียงหลงลั่นป่า เราร่วงผ่านกิ่งไม้แต่โชคดีเฟยเจินที่กอดเราไว้ ตัวเขาครูดกับกิ่งไม้แทนฉัน เมื่อใกล้ตกถึงพื้นแรงตกค่อยๆชลอช้าลง เราสามคนกอดกันกลมค่อยๆตกสู่พื้นช้าๆเหมือนถูกพยุงด้วยลมไม่ให้กระแทกพื้นรุนแรง

          ฉันกับหมอจงตกลงมานอนทับเฟยเจินที่เป็นเบาะรองรับเราอยู่ เราลุกขึ้นมานั่งโดยปลอดภัยแต่กลับรู้สึกแสบร้อนไปทั้งตัวและแสบตาจนตาลืมไม่ขึ้นเหมือนถูกพริกเข้าตา ฉันได้ยินเสียงเฟยเจินและหมอจงร้องเอะอะว่าแสบตา แสบผิว ฉันจึงร้องบอกพวกเขาให้ใจเย็นๆ ฉันมีน้ำที่พกติดตัวมาในกระเป๋าเวทย์ จึงเทน้ำล้างหน้าให้ตัวเอง และหันไปล้างหน้าให้เฟยเจิน กับหมอจง สักครู่ดวงตาฉันดีขึ้นจนสามารถลืมได้ฉันเห็นพวกเราอยู่ในดงพืชพิษสีเหลืองแกมส้ม เฟยเจินค่อยๆดีขึ้นแต่สามารถลืมตาได้แค่ตาปรือๆปริ๊บๆ ส่วนหมอจงอาการไม่ดีขึ้นเพราะเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาภูมิต้านพิษพืชปีศาจจึงมีน้อย ฉันพยุงเขาทั้งสองคนที่ตามองไม่เห็นเดินออกจากดงพืชพิษ

          อันฉี  : เราออกจากดงพืชพิษกันก่อนเถอะ เดียวข้าจะตรวจดูตาให้พวกท่าน
      หมอจง  : เราตกลงมาที่ดงพืชพิษอะไร ทำไมมันแสบร้อนเหมือนถูกพริกเลย
          อันฉี  : ข้าก็ไม่รู้ มันเหมือนดอกหญ้า ดอกมันกลมๆปุยๆน่ารักสีเหลืองแกมส้ม ข้าจะตรวจดูพืชอีกทีภายหลังดูตาให้ท่าน ข้าจะดูตาให้อาจารย์ก่อน มา!ทั้งสองคนนั่งตรงนี้ ข้าปัดละอองพิษออกให้

          ฉันนำผ้าชุบน้ำเช็ดตามคอและแขนให้หมอจง และตรวจดูตาให้หมอจงมีอาการแดงคล้ายถูกพริกเข้าตา ฉันเทน้ำให้หมอจงล้างหน้าและล้างซ้ำอีกครั้งที่บริเวณดวงตา ตาเขายังคงลืมไม่ขึ้น ฉันเอานิ้วชี้อมไว้ในปากสักครู่แล้วใช้นิ้วชี้นั้นป้ายที่ตาหมอจงทั้งสองข้าง

      หมอจง  : เจ้าเอาอะไรป้ายตาข้า
          อันฉี  : ยา อาจารย์อย่าเพิ่งลืมตา รอให้ค่อยยังชั่วแล้วค่อยลืมตา
      หมอจง  : ตาข้าจะบอดหรือเปล่า
          อันฉี  : ไม่บอดหรอก ทายาของข้าตาท่านจะไม่บอด แต่ถ้าทายาของคนอื่นตาบอดแน่นอน หากถูกพืชพิษปีศาจจะใช้ยาของมนุษย์รักษาไม่หายหรอก เอาล่ะ! ขอข้าไปดูพี่สี่ของข้าก่อน

          เฟยเจินนั่งเหยียดขาเท้าแขนเอนหลังแหงนหน้าหลับตาคอยฉันไปดูตาให้เขา ฉันนั่งคร่อมลงบนตักเฟยเจน และบอกว่าขอดูตาหน่อย เฟยเจินจึงเปลี่ยนจากนั่งเอนหลังแล้วเอื้อมมือมาโอบกอดที่เอวฉันแทน

     เฟยเจิน  : ตาข้าค่อยยังชั่วแล้วล่ะ ดีขึ้นแล้ว
          อันฉี  : ต้องการยาหน่อยมั้ย?
     เฟยเจิน  : อื้ม

          ฉันจึงจูบแลกลิ้นกับเฟยเจินเบาๆครู่หนึ่ง จากนั้นจึงให้เฟยเจินนั่งพักสายตาสักครู่ ฉันลุกขึ้นจากตักเฟยเจินและเดินไปที่ดงพืชพิษที่เราตกลงมา ฉันมองดูด้วยตาเปล่า ต้นขึ้นเป็นกอ หนึ่งกอมีดอก 3-4 ดอก ใบสีเขียวสดเรียวยาวเป็นแฉกๆตลอดใบ ก้านดอกยาวคล้ายก้านดอกบัวแต่มีขนาดเล็ก ดอกมีลักษณะกลมๆปุยๆ มีขนาดเล็กกว่าลูกปิงปองนิดหน่อย ตรงกลางดอกมีสีเหลือง ส่วนที่เป็นปุยๆมีสีส้มคาดว่าน่าจะเป็นเกสร ฉันเปิดดวงตาปีศาจมองดูสรรพคุณของมัน มีสรรพคุณเผ็ดร้อน ลดเย็น แก้หวัด ลดเสมหะ ฆ่าเซลล์เนื้อร้าย ขยายเส้นโลหิต ป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว และพิษของมันอยู่ที่ปุยๆนั่นคือละอองเกสรที่ทำให้เผ็ดแสบเหมือนพริกป่น

          ฉันเด็ดมาดูใกล้ๆหนึ่งดอก ลองเคาะๆเอาละอองเกษรออกมาใส่ฝ่ามือ แล้วใช้นิ้วหยิบสัมผัสละอองเกสรมีเนื้อเนียนละเอียดเหมือนแป้ง ฉันลองหยดน้ำใส่ละอองเกสรมันละลายในน้ำได้ดี แล้วฉันก็หัวเราะร่าออกมาคนเดียวอย่างสะใจ เฟยเจินจึงรีบวิ่งมาหาฉัน

     เฟยเจิน  : น้องห้า มีอะไรรึ อยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาคนเดียว
          อันฉี  : ดูนี่สิ! ในที่สุดข้าก็เจอ มันจอร์จมากเลยโรบิน! (ฉันบีบแก้มเฟยเจินแล้วจูบริมฝีปากเขาด้วยความดีใจ แล้วชูดอกหญ้าพิษให้เฟยเจินดูและพูดว่า...) นี่ไง ข้าจะเอาดอกหญ้านี้ไปปรุงยาพิษละลายน้ำแข็ง ใช้สำหรับเคลือบคมอาวุธให้เหล่าทหารต่อสู้กับสุนัขเยือกแข็งให้เหล่าทหารสามารถฆ่ามันตายได้ในดาบเดียว
     เฟยเจิน  : เยี่ยมเลย! เดี๋ยวข้าจะเก็บเอาไปให้เหวินอี้ปลูก
          อันฉี  : ขุดกอมันไปเลย แล้วก็เก็บเมล็ดมันไปด้วย กำชับเหวินอี้ให้ปลูกในโรงเรือน ใช้ผ้าบางคลุมหน้าเวลาปลูก ละอองเกสรมันเป็นพิษอย่าให้เข้าตา
    เฟยเจิน  : อื้ม

          ฉันเด็ดดอกหญ้า 7-8 ดอกและเก็บเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งใส่ในกระเป๋าเวทย์ แล้วเดินกลับไปหาหมอจงที่นั่งรออยู่ ฉันส่งน้ำให้หมอจงดื่มแก้กระหาย เขาถามฉันว่า....

      หมอจง  : มีอะไรรึ ข้าได้ยินเสียงเจ้าหัวเราะดังลั่น
          อันฉี  : ข้าเจอหญ้าพิษที่มีสรรพคุณตรงกับที่ข้าต้องการ ข้าเลยดีใจลืมตัวไปหน่อย ตาของท่านค่อยยังชั่วขึ้นมั้ย ท่านเดินไหวหรือเปล่า แม่น้ำอยู่ข้างหน้าไม่ไกล เราเดินกันไปเรื่อยๆข้าจูงมือท่านเดินเอง
      หมอจง  : ดีขึ้นแล้วล่ะ เราไปต่อกันเถอะ ออกจากเกาะก่อนมืดแล้วหาที่พักแรมแถวท่าเรือสักคืนค่อยกลับบ้านกัน
     เฟยเจิน  : (เฟยเจินเสร็จจากเก็บดอกหญ้าแล้วเดินมาหาเราที่นั่งรออยู่) ไปกันเลยเถอะ ข้าอยากล้างเนื้อล้างตัวเต็มที คันดอกหญ้าเหลือเกิน

          เราเดินทางกันไปเรื่อยๆในป่าไม่รีบร้อน เฟยเจินเดินนำหน้าคอยระวังภัย ฉันเดินจูงมือหมอจงตามหลัง การเดินทางในป่าขากลับราบรื่น เฟยเจินเก็บชมพู่ป่ามาให้เรากินแก้หิวระหว่างทางที่เดินอยู่ในป่า สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินได้พอสมควร ตาของหมอจงที่ถูกพิษเริ่มมีอาการดีขึ้นสามารถลืมตาได้แบบปรือๆปริ๊บๆแต่ยังมองดูทางได้ไม่ถนัดนัก เราจึงเดินจูงมือกันต่อไป ไม่นานนักเราเดินมาถึงแม่น้ำแต่แม่น้ำบริเวณนี้ไม่ได้ไหลเชี่ยว ฉันกำชับเฟยเจินเวลาเดินไปที่แม่น้ำล้างหน้าล้างตัวต้องระวังตกน้ำ อย่าเดินไปไกลให้อยู่ใกล้ๆกัน เขาตอบว่าจะระวัง ฉันจึงพาหมอจงเดินมาที่ริมแม่น้ำเพื่อให้เขาล้างหน้าล้างแขนได้เต็มที่ สักพักตาเขาก็เริ่มลืมได้โดยปลอดภัย เวลาเริ่มเย็นแล้ว เราจึงข้ามขอนไม้ใหญ่ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง แล้วเดินผ่านป่าไปอีกไม่นานก็ถึงจุดจอดเรือ เราขึ้นเรือแล้วพายเรือกลับเข้าท่าเรือ ที่ท่าเรือพวกชาวบ้านและคนแจวเรือต่างตื่นเต้นฮือฮากันเป็นการใหญ่ที่เห็นเรากลับมากันครบและปลอดภัย เจ้าของเรือแจวซักถามเรายกใหญ่ว่า

เจ้าของเรือแจว  : ทำไมถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่น่าเชื่อเลย
      หมอจง  : พวกเราพายเรือไปใกล้เกาะกระต่ายผี เห็นมีหญิงสาวยืนกวักมือเรียกอยู่บนโขดหิน น่ากลัวมาก พวกเราจึงเปลี่ยนใจไปที่เกาะอื่นแทน
เจ้าของเรือแจว  : เงินค่าเช่าเรือที่เกินมา 2 วันข้าจะคืนให้
      หมอจง  : ไม่ต้องคืน ท่านเก็บไว้เถอะข้ายกให้
เจ้าของเรือแจว  : ขอบใจพ่อหนุ่ม คราวหน้ามาเช่าเรือข้าอีกนะ ลูกค้าใจดีแบบนี้ข้าไม่ได้เจอมานานแล้ว

          คืนนี้เราหาที่พักกันแถวท่าเรือ และเดินทางกลับบ้านหมอจงในตอนเช้า เราควบม้ากันทั้งวันกว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดแล้ว ฉิงคุนที่รออยู่ พอเห็นเรากลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็ดีใจวิ่งออกมารับ และสอบถามด้วยความตื่นเต้นถึงเรื่องที่พบเจอบนเกาะกระต่ายผี ฉันเล่าให้ฉิงคุนฟังคร่าวๆว่าเจอผีหลอก เจอราชากระต่ายใจดี และเจอนกอินทรีย์ดำใจร้าย อีกทั้งกำชับฉิงคุนไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร เพื่อไม่ให้มนุษย์เข้าไปรบกวนพวกเขาที่อาศัยอยู่บนเกาะมากไปกว่านี้

          เราเข้านอนกันแต่หัวค่ำเพราะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าจากการเดินทางตลอดวัน เฟยเจินรู้หน้าที่เขาวางแขนให้ฉันหนุนนอนเหมือนเคย ฉันนอนกอดเขาเอามือลูบไล้บริเวณหน้าอกแล้วเล่นหัวนมเขา ฉันบอกกับเฟยเจินว่า...

          อันฉี  : เจ้าควรไปกักตนสักเจ็ดวัน เพื่อเพิ่มพลังเวทย์ นี่ขนาดเจ้ายังไม่ได้กักตนเลยสักครั้ง ยังสามารถเอาชนะนกอินทรีย์ดำได้ แล้วถ้าเจ้าได้กักตนบ้าง พลังเวทย์จะก้าวหน้าขนาดไหน
     เฟยเจิน  : แต่ข้ารับปากไว้ว่าจะอยู่ดูแลเจ้า
          อันฉี  : ไม่ต้องมานั่งเฝ้าข้าทุกวันหรอก อันตรายไม่ได้เกิดขึ้นกับข้าทุกวันสักหน่อย เจ้าต้องใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เจ้าจะนั่งเฝ้าข้าหายใจทิ้งไปวันๆทำไม กักตนเจ็ดวัน เฝ้าข้าเจ็ดวัน สลับกันไปแบบนี้เจ้าว่าดีมั้ย ได้ทำทั้งสองอย่าง
     เฟยเจิน  : ที่เจ้าพูดมาก็ดีเหมือนกันนะ ข้าเองก็อยากกักตน แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆก็ยังดี แต่ว่า...
          อันฉี  : เถอะน่า! เอาตามนี้แหละ ไม่ต้องห่วงหากข้ามีภัยข้าจะเรียกหาเจ้าคนแรก ตกลงนะ
     เฟยเจิน  : ก็ได้
          อันฉี  : จำคำของข้าไว้แล้วชีวิตเจ้าจะเจริญรุ่งเรือง "ชีวิตจะก้าวหน้า ต้องไม่พึ่งพายาเสพติด"
     เฟยเจิน  : คำนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย
          อันฉี  : "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น"
     เฟยเจิน  : เฮ่อ! ให้กำลังใจดีแท้
          อันฉี  : "ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้า ดีกว่ายืนเหยียบขี้หมาอยู่กับที่"
     เฟยเจิน  : ฮ่าฮ่า นอนเถอะน่า

          เฟยเจินจูบฉันที่ริมฝีปาก สอดใส่ลิ้นเข้าหากันดูดดื่ม เขาปลดเชือกที่เสื้อฉันออกกว้างจนเผยให้เห็นหน้าอก มือข้างหนึ่งบีบคลึง เขาเลื่อนหน้าลงมาดูดเลียที่เนินอกและเลียวนรอบๆหัวนมแล้วดูด จากนั้นเฟยเจินเลื่อนมือลงไปลูบคลำที่เนินสวรรค์จนฉันเสียววูบวาบ เฟยเจินเริ่มถอดเสื้อออกแล้วโถมตัวทับจนหน้าอกเราแนบสนิทกัน เราจูบแลกลิ้นกันอย่างเร่าร้อน มือฉันข้างหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังกล้ามเนื้อแข็งแรง มืออีกข้างหนึ่งบีบขยำก้นเขาสนุกมือ ฉันแยกขาออกเพื่อให้เสียดสีแท่งเนื้อที่กำลังแข็งตัว เขากระแทกแท่งเนื้อเบาๆกับเนินนั้น ฉันล้วงมือเข้าในกางเกงเขาแล้วบีบก้น พร้อมกับเด้งก้นรับแรงกระแทกนั้น เนื้อแน่นๆกลิ่นเนื้อหนุ่มแรกรุ่นหอมแรงเหลือเกิน จนฉันทนไม่ไหว พรหมจรรย์ของเขาฉันจะขอรับไปตอนนี้ เป็นไงเป็นกัน ฉันพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมเฟยเจิน แล้วปลดเชือกผูกกางเกงเขาออก ถลกกางเกงเขาเลื่อนลงมาจนเผยให้เห็นแท่งเนื้อแข็งใหญ่ ฉันเริ่มปลดเชือกกางเกงตัวเองและจะถอดออก แต่เฟยเจินกลับรีบจับมือฉันไว้ไม่ให้ถอดกางเกง แล้วผูกเชือกที่กางเกงฉันและกางเกงเขากลับเหมือนเดิม

     เฟยเจิน  : ข้าเปลี่ยนใจแล้ว
          อันฉี  : อะไร อยู่ๆก็เปลี่ยนใจ อารมณ์ข้ากำลังมาเลย คืนนี้เจ้าต้องเป็นของข้า ข้าไม่รอแล้วพันปี
     เฟยเจิน  : แต่เจ้าต้องรอ บังคับใจตัวเองหน่อยสิ ข้าจะต้องเพิ่มพลังเวทย์ให้แข็งแกร่งให้ได้
          อันฉี  : มาพูดเรื่องพลังเวทย์อะไรตอนนี้เล่า ถอดเกงออกสิ
     เฟยเจิน  : เจ้าเคยพูดกับข้า ว่าอยากให้ข้าแข็งแกร่ง ฝึกพลังเวทย์พันปีจนสำเร็จ เจ้าจำได้หรือเปล่า
          อันฉี  : จำได้....
     เฟยเจิน  : หากคืนนี้เจ้าเอาพรหมจรรย์ข้าไป ที่เราพยายามกันมาก็จะสูญเปล่า ดังนั้นเราต้องเดินหน้าต่อไปแล้วทำให้สำเร็จ
          อันฉี  : งั้นเจ้าห้ามจูบข้าแบบเมื่อกี้อีกนะ
     เฟยเจิน  : ข้าขอโทษ ข้าเองก็เกือบยั้งใจไว้ไม่อยู่เหมือนกัน เรานอนกันเถอะนะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปกักตนเลย หากยังช้าอยู่ข้าคงจะยั้งใจไว้ไม่ไหวเหมือนกัน
           
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 35
(สารลับจากหมอจง)

          เฟยเจินไปกักตัวแต่เช้าเขาฝากนกเหยี่ยวนีโอไว้ให้ฉันไว้ใช้งานสื่อสาร จากนั้นฉันจึงไปช่วยฉิงคุนเตรียมอาหารเช้าให้หมอจงตามปกติ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นาน ราชครูเฉิงก็มาขอพบหมอจง เพื่อเชิญไปเป็นหมอที่จวนราชครู

      หมอจง  : ท่านแน่ใจจริงๆรึ ว่าต้องการให้ข้าไปทำงานที่จวนของท่าน
 ราชครูเฉิง  : ข้าแน่ใจ มีใครบ้างไม่ต้องการให้หมอเทวะคอยดูแลรักษา หากข้าไม่ต้องการให้ท่านไปอยู่ที่จวนของข้า ข้าจะมาตื๊อท่านบ่อยๆทำไมกัน
      หมอจง  : ท่านควรต้องรู้ไว้อีกอย่างข้าไม่ได้เป็นแค่หมอรักษาคน แต่ข้ายังเป็นหมอที่สามารถฆ่าคนได้ด้วย
 ราชครูเฉิง  : นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าเลย ขอเพียงหมอเทวะไปทำงานกับข้าก็จะยินดีมาก (ราชครูเฉิงแสดงอาการตกใจแต่แอบซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก)
      หมอจง  : ข้ามีสามข้อที่ต้องการ หากท่านตกลง ข้าก็ยินดีไปอยู่ที่จวนของท่าน (ข้อแรก) ข้าต้องเลือกคนงานของข้าเอง  (ข้อสอง) ข้าไม่พบแขก ไม่จัดงานเลี้ยง ไม่ไปงานเลี้ยง  (ข้อสาม) ห้ามใครเข้าจวนของข้าถ้าข้าไม่อนุญาต
 ราชครูเฉิง  : แหม แค่นี้เอง ข้าตกลง
      หมอจง  : วันนี้เชิญท่านกลับไปก่อน ข้าขอเวลาเตรียมตัว แล้วพรุ่งนี้จะไปที่จวนของท่าน
  ราชครูเฉิง : ดี ข้าลาล่ะ

          ราชครูเฉิงกลับไปได้ไม่นาน ท่านจินหย่งเจิ้งก็มาหาหมอจงตามหลังทันที แล้วเข้าห้องปิดประตูพูดคุยกันเงียบเหมือนคราวก่อน ตกบ่ายท่านจินหย่งเจิ้งก็ลากลับไป จากนั้นหมอจงเรียกฉิงคุนเข้าไปพูดคุยในห้อง และคนสุดท้ายคือฉัน หมอจงบอกว่า จะไปทำงานที่จวนราชครูสักระยะหนึ่ง ให้ฉันรออยู่ที่นี่ ฉิงคุนจะเป็นคนคอยดูแลฉัน จากนั้นหมอจงจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ แล้วแบ่งคนงานไปช่วยงานที่จวนราชครูเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

          วันรุ่งขึ้นหมอจงออกเดินทางไปที่จวนราชครูแต่เช้า ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหมอจงกำลังคิดจะทำอะไร เพราะเขาดูมีลับลมคมในอะไรบางอย่างกับท่านจินหย่งเจิ้งเหลือเกิน ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของเขามากนัก เพราะฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน หมอจงไปทำงานที่จวนราชครูได้สามวันแล้ว ฉันเองก็เริ่มใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อย วันๆก็ช่วยฉิงคุนคัดแยกสมุนไพร ดูแลแปลงสมุนไพร ช่วยงานในห้องปรุงยา หรือไม่ก็เล่นกับนกเหยี่ยวนีโอ เป็นช่วงเวลาสโลว์ไลฟ์จริงๆ

          ขณะที่ฉันกำลังยืนตากสมุนไพร มีทหารคนหนึ่งมาที่บ้าน ฉิงคุนออกมาพูดคุยกับทหารคนนั้นครู่หนึ่ง ทหารคนนั้นส่งจดหมายให้ฉิงคุนฉบับหนึ่งอ่าน จากนั้นฉิงคุนจึงเรียกฉันไปหาเขา ฉิงคุนบอกทหารคนนั้นว่าจะให้ฉันเป็นคนนำยาไปให้อาจารย์เอง ขอเวลาไปจัดยาก่อน ฉิงคุนจึงพาฉันเดินเข้าไปในบ้าน เขาส่งจดหมายฉบับนั้นให้ฉันอ่าน แล้วบอกว่าหมอจงส่งสารถึงเรา ในจดหมายเขียนบอกว่า...ให้จัดยาบำรุงกำลังชุดหนึ่งตามเทียบยาและให้ฉันนำหญ้าหวานมาด้วยห้ามขาด ลงท้ายข้อความกล่าวขอบคุณฉิงคุนที่ดูแลบ้าน และมีรูปนกสามตัวกำลังบิน ฉิงคุนจัดยาตามเทียบยาที่หมอจงเขียน พร้อมหญ้าหวานอีกหนึ่งห่อวางไว้ให้ฉัน ฉิงคุนมีสีหน้ากังวลผสมเศร้า เขาเข้ามากอดฉันแน่นแล้วพูดว่า...

        ฉิงคุน  : ข้าอยากเป็นคนไปส่งยาให้อาจารย์ แต่อาจารย์เลือกเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าเหมาะสม ข้าดีใจมากที่มีเจ้าเป็นศิษย์น้อง ฝากดูแลอาจารย์ด้วย
          อันฉี  : ศิษย์พี่มีอะไรเกิดขึ้นรึ ข้าไม่เข้าใจ
        ฉิงคุน  : รีบนำยาไปให้อาจารย์เถอะ อาจารย์จะเป็นคนบอกเจ้าเอง เจ้าเองต้องระวังตัวด้วย

          ฉิงคุนเดินไปส่งฉันขึ้นม้าไปกับทหาร สีหน้าเขาดูเหมือนปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าทหาร แต่จริงๆแล้วเขาพยายามปกปิดความผิดปกติ ฉันไม่มีเวลาถามไถ่เขาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แค่เพียงรอสอบถามกับอาจารย์เท่านั้น ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆฉันคิดในใจ เมื่อถึงจวนราชครูทหารคนนั้นพาฉันไปที่จวนอีกหลังหนึ่ง บริเวณลานหน้าจวนถูกจัดเป็นพื้นที่ตากยา มีทหารยืนเฝ้าหน้าจวนสี่คน และมีเหวินหลางองครักษ์มาดเข้มของราชครูยืนอยู่อีกคน ทหารพาฉันเดินไปที่หน้าประตู องครักษ์มาดเข้มยกมือกั้นให้ฉันหยุดเพื่อตรวจดูห่อยาในมือ

        ทหาร  : นางเป็นเด็กในบ้านหมอจง
เหวินหลาง  : ข้าจำเจ้าได้ เจ้าเด็กไร้มารยาท อย่าคิดว่าคุณหนูเฉิงไม่ถือสาเจ้าแล้วข้าจะไม่ถือสาตามหรอกนะ! แล้วนี่คือยาอะไร
          อันฉี  : ยาบำรุงกำลังตามเทียบยาที่เขียนมาเนี่ย
 เหวินหลาง  : แล้วนี่ห่ออะไร (เขาแกะห่อยาออกดู)
          อันฉี  : หญ้าหวาน ชงดื่มเป็นน้ำชาทั่วไป จะแบ่งไปสักหน่อยมั้ยล่ะ?!
 เหวินหลาง  : หึ! อย่าทำปากดีกับข้า เข้าไปได้ แต่เดี๋ยวก่อน! ข้าจะเข้าไปด้วย

          ฉันเปิดประตูเข้าไปในจวนเห็นหมอจงกำลังนั่งบดยาอยู่ที่โต๊ะปรุงยา ใบหน้าเขาดูซีดลงแต่เขายังคงทำท่าทางเหมือนเป็นปกติ ฉันเปิดดวงตาปีศาจมองดูหมอจงพบว่าเขาถูกพิษงูชนิดแรงชนิดหนึ่ง เขามองจ้องตากับฉันแล้วส่ายหน้านิดหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณไม่ให้ฉันเอ่ยถาม ฉันจึงเดินไปยืนข้างๆหมอจง และวางห่อยาบนโต๊ะปรุงยา

 เหวินหลาง  : หมอจง ท่านให้เด็กนำยาบำรุงกำลังมาทำไม มีใครป่วยรึ
      หมอจง  : นี่คือยาบำรุงกำลังของท่านราชครู ข้าเห็นท่านราชครูช่วงนี้ทำงานหนัก พักผ่อนน้อยข้าจะปรุงยาบำรุงให้ท่านราชครูสักหน่อย
เหวินหลาง  : ข้ามีเรื่องอยากจะถาม เมื่อคืนมีคนร้ายลักลอบเข้าไปขโมยของในจวนท่านราชครู ข้ายิงคนร้ายด้วยธนูอาบยาพิษจนได้รับบาดเจ็บสาหัส วิ่งหายมาทางจวนของท่าน ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่ (เหวินหลางมองหมอจงอย่างจับผิด)
      หมอจง  : เมื่อคืนข้าอยู่ทำงานจนดึก ไม่เห็นหรือได้ยินอะไรผิดปกติเลย
เหวินหลาง  : แต่หน้าตาท่านหมอจงดูซีดๆ ป่วยงั้นรึ
     หมอจง  : ข้าแค่นอนดึกเมื่อคืน งีบหลับสักพักก็จะดีขึ้น อย่าห่วง
เหวินหลาง  : ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าขอตัวลา

          หมอจงยกมือเคารพตอบ ทันไดนั้นเหวินหลาง ก็เห็นรอยเลือดที่ไหลซึมเลอะออกมาที่เสื้อหมอจง เขาจึงหยุดและถามขึ้นว่า

เหวินหลาง  : นี่รอยเลือด?!
     หมอจง  : ก่อนหน้านี้นิ้วข้าถูกมีดบาด ข้าเช็ดเลือดที่เสื้อ
เหวินหลาง  : ข้าว่าไม่ใช่นะ ขอข้าดูหน่อย

          เหวินหลางจะเปิดเสื้อดูแผลของหมอจง แต่หมอจงปัดมือเหวินหลางออก ทั้งสองคนจึงเกิดการประมือกันเล็กน้อย แต่เพราะหมอจงได้รับบาดเจ็บจึงไม่สามารถปัดมือเหวินหลางได้ทัน จนหมอจงล้มลงนั่งกับพื้น ฉันจึงขยับเข้าไปตีมือและแขนเหวินหลางที่กำลังพยายามเปิดเสื้อหมอจง ฉันตีเหวินหลางและบอกให้เหวินหลางปล่อยมือจากหมอจง เหวินหลางเองที่ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษแม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าฉัน แต่เขาก็ไม่ทำร้ายฉันกลับ เขายกมือปัดป้องและจับข้อมือไว้ไม่ให้ตีเขาเท่านั้น หมอจงจึงพูดขึ้นว่า

      หมอจง  : อันฉี พอเถอะ! ในเมื่อเขารู้ความจริงแล้วว่าข้าคือคนร้าย ข้าก็มีความความจริงอีกอย่างที่เขาควรจะรู้
          อันฉี  : อาจารย์... (ฉันรีบไปพยุงหมอจงให้ลุกขึ้นยืนและประคองเขาไว้)
เหวินหลาง  : ความจริงเรื่องอะไร?!
     หมอจง  : เจ้าจำเรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนได้หรือไม่? ที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของเราถูกฆ่าตาย คนในบ้านถูกฆ่าตายจนหมด
เหวินหลาง  : เจ้าจะพูดเรื่องอะไร?! เจ้าเป็นใคร? (เหวินหลางเริ่มมีอาการคล้ายคนสับสน เหมือนจะจำได้แต่เขาไม่อยากจะจำ)
     หมอจง  : เจ้าจำข้าไม่ได้รึ เจ้าถั่วเขียว นึกออกหรือยังใครที่ชอบเรียกเจ้าว่า เจ้าถั่วเขียว
เหวินหลาง  : ไม่ พี่ชายข้าตายไปแล้ว! ข้าไม่เชื่อเจ้า
     หมอจง  : ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าแต่เจ้าไม่เชื่อ แต่เจ้ากลับไปเชื่อราชครูเฉิงที่ฆ่าท่านพ่อท่านแม่และทุกคนในบ้านเรา เจ้าทำงานให้มัน เทิดทูนมัน ท่านพ่อกับท่านแม่นอนตายตาไม่หลับหากรู้ว่าเจ้าไปเทิดทูนศัตรู
เหวินหลาง  : เจ้าโกหก พี่ชายข้าตายไปแล้ว!
     หมอจง  : (หมอจงล้วงมือหยิบหวีอันเล็กๆสีแดงของผู้หญิงออกมาจากในเสื้อแล้วโชว์ให้เหวินหลางดู) นี่ไง หวีที่ท่านแม่ให้เราเก็บไว้คนละอัน อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้ว!
เหวินหลาง  : (เหวินหลางหยิบหวีที่เก็บไว้ในเข็มขัดออกมาดูแล้วร้องไห้) ท่านแม่....
     หมอจง  : เหตุการณ์ในวันนั้นข้าจำได้ไม่มีวันลืม ราชครูเฉิงใส่ความท่านพ่อว่าสมคบคิดการกบฏ พวกมันบุกเข้าจวนเพื่อมาฆ่าพวกเราทุกคน แม่นมซ่อนข้าไว้ข้างหลังนางเอาตัวบังคมดาบให้ข้าแล้วล้มลงมานอนทับข้าเพื่อให้พวกมันเข้าใจว่าข้าตายแล้ว ข้าต้องนอนฟังเสียงกรีดร้องของคนในบ้านถูกฆ่าตายทีละคน ข้าสาบานว่าข้าจะแก้แค้นมันให้ได้เพื่อทวงคืนความบริสุทธิ์ให้กับท่านพ่อ ดังนั้นเจ้าต้องฆ่ามันแก้แค้นให้ท่านพ่อและท่านแม่และทุกคนที่ถูกพวกมันฆ่า
เหวินหลาง  : ข้าทำไม่ได้!!!.....
     หมอจง  : เจ้ามันคน อกตัญญู!
เหวินหลาง  : ข้า ข้า......

          เหวินหลางมีอาการสับสนมากเขาเช็ดน้ำตาแล้วรีบเปิดประตูเดินออกไป ฉันจึงรีบวิ่งไปปิดประตูลงสลัก แล้วรีบวิ่งกลับมาดูอาการหมอจง หมอจงจูงมือฉันไปนั่งแล้วหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมา เขาเปิดเสื้อออกเพื่อให้ฉันทำแผลให้เขา

      หมอจง  : ทำแผลให้ข้าเร็ว เจ้าเอาหญ้าหวานมาด้วยหรือเปล่า
          อันฉี  : เอามาสิ นี่ไง
      หมอจง  : ไม่ใช่อันนี้ ข้าหมายถึงหญ้าหวานยาหายเร็วของเจ้าน่ะ
          อันฉี  : อ๋อ! เข้าใจแล้ว แต่ท่านถูกพิษต้องเอาพิษออกก่อน ท่านทะเลาะกับเหวินหลางเมื่อกี๊เป็นการกระตุ้นพิษให้แทรกซึมเร็วขึ้น หน้าท่านซีดเป็นไก่ต้มแล้ว
      หมอจง  : ทำแผลเลย! เร็ว! ข้าเตรียมอุปกรณ์ทำแผลไว้ให้แล้ว รีบทำก่อนที่ราชครูจะมาถึงที่นี่
          อันฉี  : ได้ แต่เจ็บหน่อยนะ
      หมอจง  : อื้ม

          ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาขมวดเป็นก้อนแล้วยัดใส่ปากหมอจงให้เขากัดก้อนผ้า แล้วหยิบกาน้ำชาที่อุ่นแล้วจนเกือบเย็นมาราดทำความสะอาดปากแผลที่อยู่บนหน้าอกค่อนไปทางไหล่เป็นแผลถูกยิงด้วยธนูอาบยาพิษจนเนื้อกลายเป็นสีม่วงคล้ำ ฉันก้มหน้าลงไปดูดพิษแล้วกลืนพิษนั้นลงคอ เพราะไม่ต้องการให้มีหลักฐานคายพิษลงที่พื้น หมอจงเจ็บปวดมากจนเกร็งไปทั้งตัว เขาเอื้อมมือมาโอบกอดและก้มหน้าลงกับไหล่ฉัน ฉันก้มหน้าลงไปดูดพิษที่แผลเขาอีกครั้ง และดูดอีก 3-4 ครั้ง จนรสชาติพิษที่ดูดออกมาขมเฝื่อนคอหายไป เนื้อจากสีม่วงคล้ำกลายเป็นเนื้อสีขาวตามปกติ เหลือไว้แค่รอยดูดสีแดงเล็กๆเท่านั้น ฉันมองดูบาดแผลไม่มีพิษแล้วแต่ต้องทำแผลที่ถูกธนูยิง ฉันดึงก้อนผ้าออกจากปากของหมอจง ใบหน้าขาวซีดดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ฉันยกกาน้ำชามาดื่มล้างปากล้างคอ จากนั้นจึงแกะห่อหญ้าหวานออกแล้วหยิบหญ้าหวานมาหนึ่งกำมือโปะหญ้าหวานลงบนบาดแผลธนูยิง และวางมือบนแผลส่งพลังรักษาผ่านฝ่ามือไปที่แผล หมอจงทำหน้างุงงง แล้วพูดว่า

      หมอจง  : เจ้าจะใช้หญ้าหวานนี่จริงๆรึ
          อันฉี  : หญ้าหวานรักษาแผลได้ รอให้หญ้าหวานออกฤทธิ์สักครู่

          หมอจงก้มมองดูมือฉันที่วางอยู่บนบาดแผล เขาเอื้อมมือมาจับที่มือฉันเพื่อจะดูบาดแผลที่เริ่มหายสนิทอย่างผิดธรรมชาติ ฉันใช้มืออีกข้างที่ว่างจับมือหมอจงไว้ไม่ให้จับมือฉันที่กำลังรักษาเขา หมอจงมองหน้าฉันด้วยความสงสัยปนประหลาดใจด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ฉันจึงขยับตัวเข้าไปจูบที่ริมฝีปากแล้วสอดลิ้น เขาตกใจเล็กน้อยแต่ก็จูบตอบกลับด้วยการสอดลิ้นเข้าปากฉัน เราจูบแลกลิ้นกันครู่หนึ่งจนบาดแผลถูกธนูสมานกันหายเป็นปกติ ฉันถอนริมฝีปากหยุดจูบหมอจง และมองดูใบหน้าเขาที่ขาวซีดเริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อยค่อยยังชั่วขึ้น ฉันรีบพันแผลให้เขาและหลอกว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเอาผ้าพันแผลออก แผลจะหายในวันพรุ่งนี้

          ทันไดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเสียงดัง เรียกให้เปิดประตู ฉันรีบช่วยหมอจงใส่เสื้อ ช่วยซับเหงื่อที่ใบหน้า แล้วเดินไปเปิดประตูพบราชครูเฉิง และเหวินหลางรออยู่ที่หน้าประตู ฉันมองหน้าเหวินหลางและคิดในใจว่า "เขาคงเลือกที่จะเชื่อราชครูเฉิงที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็ก มากกว่าจะเชื่อพี่ชายที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี๊แน่ๆ ถ้าเขาลงมือทำร้ายหมอจงล่ะก็ ฉันก็จะไม่เกรงใจเขาอีก" ฉันคิด

          ราชครูเฉิงและเหวินหลางเดินตรงไปหาหมอจงที่แสร้งนั่งอ่านหนังสือ แล้วทำทีลุกขึ้นมาต้อนรับ ราชครูเฉิงจึงเอ่ยถามและมองด้วยสายตาจ้องจับผิด

 ราชครูเฉิง  : เหวินหลางมาบอกข้าว่าหมอจงป่วยเพราะปรุงยาให้ข้าจนดึกดื่นงั้นรึ พอข้ารู้จึงรีบมาเยี่ยม
      หมอจง  : ข้าแค่พักผ่อนน้อย ได้งีบหลับสักหน่อยก็จะดีขึ้น
 ราชครูเฉิง  : เอ๊ะ! นั่นท่านได้รับบาดเจ็บรึ?! ให้ข้าดูหน่อย

          ทั้งเหวินหลางและหมอจงต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก ที่ราชครูเฉิงเห็นผ้าพันแผลโผล่แพลมออกมานอกเสื้อ และต้องการให้หมอจงเปิดเสื้อให้ดู หมอจงหันมามองหน้าฉัน ฉันจึงชิงพูดขึ้นว่า

          อันฉี  : อ๋อ! นั่นข้าเพิ่งประคบนวดให้อาจารย์คลายปวดเมื่อยน่ะ
 ราชครูเฉิง  : ข้าไม่ได้ถามเจ้า อย่าได้สอดแทรกเข้ามา! (ราชครูเฉิงตวาดใส่จนฉันตกใจ)
      หมอจง  : ใช่ ข้าเพิ่งให้นางนวดประคบคลายปวดเมื่อยให้ข้า
 ราชครูเฉิง  : ท่านรู้ใช่มั้ยว่าเมื่อคืนมีคนร้ายบุกเข้าไปในจวนของข้า แล้วหนีมาทางนี้ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ไว้ใจท่าน แต่ถ้าข้าจะขอตรวจดูหน่อยจะได้หรือไม่
      หมอจง  : ได้ ข้าจะให้ท่านดู

         หมอจงถอดเสื้อออก ฉันจึงเข้าไปช่วยเขาแกะผ้าพันแผลออก แล้วใช้มือปัดหญ้าหวานที่ฉันโปะไว้บนแผลออกหมดจนเห็นเนื้อสีขาวปกติ มีเพียงรอยดูดสีแดงเล็กๆที่ฉันทิ้งรอยไว้แค่นั้น ทั้งเหวินหลางและหมอจงต่างมีสีหน้าโล่งอกโล่งใจที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ราชครูเฉิงจึงกล่าวขอโทษ และกล่าวลากลับจวน ระหว่างเดินกลับ ราชครูเฉิงโกรธมากและพูดกับเหวินหลางว่า...

 ราชครูเฉิง  : เป็นไปได้ยังไงที่เจ้ายังหาคนร้ายไม่เจอ
 เหวินหลาง  : ขออภัย...
 ราชครูเฉิง  : ข้าไม่ต้องการคำขอโทษ ข้าต้องการให้เจ้าจับตัวคนที่บุกเข้ามาในจวนของข้าให้ได้! ถ้าจับตัวมันมาไม่ได้ก็อย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้า
 เหวินหลาง  : รับทราบ!
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 36
(ทำลายแผนการกบฎ)

          ราชครูเฉิงเดินห่างจวนไปไกลแล้ว ฉันจึงเดินไปบอกทหารที่ยืนเฝ้าหน้าประตูว่า "หมอจงต้องการพักผ่อน ไม่รับแขก" และปิดประตูลงสลักไว้แล้วเดินกลับไปนั่งข้างๆหมอจง เพื่อจะสอบถามเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หมอจงกลับชิงถามคำถามฉันก่อน

      หมอจง  : ที่แผลข้าหายเป็นปกติได้ทันทีไม่ใช่เพราะหญ้าหวาน แต่เป็นเพราะมือของเจ้า?!
          อันฉี  : ก็ได้ๆ ข้าบอกก็ได้ ใช่แล้ว ฝ่ามือของข้ามีพลังสมานบาดแผลเฉียบพลัน แต่ข้าจะใช้พลังสมานแผลแบบนี้พร่ำเพรื่อไม่ได้ ข้าจะสูญเสียพลังงานบางส่วนไปเหมือนกัน
      หมอจง  : เหลือเชื่อ! ถ้าข้าไม่เจอกับตัวเองข้าจะไม่เชื่อเลย แล้วทุกครั้งที่ข้าป่วยข้าจะไม่มีเรี่ยวแรง หลังจากที่เจ้าจูบข้า ข้าจะรู้สึกดีขึ้นมีเรี่ยวแรงเพราะอะไร อ้อ! ดวงตาสีฟ้าของเจ้าด้วย เจ้ามองเห็นพิษเพราะดวงตานี้ใช่มั้ย
          อันฉี  : ใช่ ดวงตาปีศาจสำหรับตรวจหาพิษ ส่วนจูบของข้าเป็นยาบำรุงใช้ในกรณีจำเป็นและฉุกเฉินเท่านั้น เอ่อ! อาจารย์ไปขโมยอะไรที่จวนราชครู จนโดนธนูอาบยาพิษยิง?
      หมอจง  : เป็นกระดาษแผ่นหนึ่งแต่สำคัญมาก ข้าบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้หรอก
          อันฉี  : อาจารย์ งั้นขอถามอีกอย่าง เหวินหลาง เป็นน้องชายของท่านจริงๆ หรือว่าเป็นแผนการหลอกเหวินหลางให้ตายใจ?
      หมอจง  : เขาเป็นน้องชายแท้ๆของข้า
          อันฉี  : มิน่าล่ะ หน้าตาถึงได้คล้ายกัน ข้าถามแค่นี้แหละ ข้ากลับได้หรือยัง?
      หมอจง  : เจ้ากลับไม่ได้ ที่บ้านข้าหลังนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว พวกเขาแยกย้ายกลับบ้านของตัวเองกันหมด รวมทั้งฉิงคุนด้วย
          อันฉี  : ห๊า ตอนไหน?! ตอนข้ามาที่นี่พวกเขายังอยู่ที่บ้านกันอยู่เลย
     หมอจง  : ตั้งแต่ที่ฉิงคุนได้รับเทียบยา ข้าวาดรหัสลับรูปนกบินกลับรัง ในใบเทียบยา หมายถึงให้ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง ส่วนหญ้าหวานหมายถึงเจ้า
          อันฉี  : โห รหัสลับสุดยอดอ่ะ มันล้ำลึกจริงๆ ท่านเป็นสายลับปลอมตัวมาเป็นหมองั้นรึ?!
      หมอจง  : ข้าเป็นหมอ! แล้วพี่ชายของเจ้าล่ะ
          อันฉี  : เจินเจิน ไปทำธุระที่อื่น แต่อย่าห่วงถ้าเขากลับมาเขาจะหาข้าเจอเองแหละ
      หมอจง  : ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสี่ยงอันตรายไปด้วย ข้าจะหาวิธีพาเจ้าหนีออกไปให้ได้ แต่ตอนนี้เราต้องทำตัวให้เป็นปกติไปก่อน
          อันฉี  : อื้ม งั้นข้าขอนอนพักหน่อยได้มั้ย ยาพิษที่อาบลูกธนูผสมพิษงูทำให้ข้าง่วงนอน
      หมอจง  : เจ้าได้รับพิษรึ?
          อันฉี  : ได้รับผลกระทบจากพิษนิดหน่อย ทำให้ง่วงนอน อาจารย์อย่าห่วงข้าไม่ตายง่ายๆหรอก อาจารย์เองก็ต้องพักผ่อนด้วยนะ
      หมอจง  : เจ้าไปนอนก่อนเถอะ นอนบนเตียงข้าได้ ข้าขอทำงานสักประเดี๋ยว

          ฉันไม่เกรงใจจึงเดินไปนอนบนเตียงด้านใน โดยเผื่อที่ว่างด้านนอกไว้ให้หมอจงมานอน ส่วนเขาจะมานอนบนเตียงหรือไม่ก็ตามใจเขา ฉันหลับไปได้สักพัก ก็รู้สึกได้ว่าหมอจงกำลังใช้หลังมือแตะที่แก้มและที่หน้าผากเหมือนแตะวัดไข้ จากนั้นก็ห่มผ้าให้ เขาขยับตัวมานอนอยู่ข้างๆแต่ไม่ได้สัมผัสหรือล่วงเกินอะไร ฉันจึงหลับต่อ และรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเพราะหมอจงขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ฉันจึงตื่นลุกขึ้นมาช่วยหมอจงตัดสมุนไพร และบดยาตามปกติ ตกเย็นมีคนนำอาหารมาส่ง และหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย เหวินหลาง ก็มาขอพบหมอจงที่จวน

เหวินหลาง  : ถ้าข้าเอารายชื่อนั่นที่ท่านต้องการมาให้ท่านได้ ท่านอย่าทำร้ายเฉิงเหม่ยอิงจะได้หรือไม่? โปรดปล่อยนางไป
      หมอจง  : เจ้าคิดจะปกป้องลูกสาวของศัตรูที่ฆ่าท่านพ่อกับท่านแม่รึ เจ้าหลงรักลูกสาวของศัตรูงั้นรึ หรือคิดจะตอบแทนคุณศัตรูที่มันเลี้ยงดูเจ้าจนลืมไปแล้วว่ามันลงมือฆ่าท่านพ่อกับท่านแม่และทุกคนในบ้านยังไง เจ้าลืมไปแล้วรึ?!
เหวินหลาง  : พอสักทีเถอะ! อย่าบีบบังคับข้านักเลย เฉิงเหม่ยอิงไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ปล่อยนางไป แล้วข้าจะเอาของที่ท่านต้องการมาให้
      หมอจง  : ได้! ข้าจะไว้ชีวิตนาง

          เหวินหลางเดินกลับออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอึมครึมอึดอัด ฉันเองก็เห็นด้วยกับเหวินหลางที่ควรแยกแยะบุคคลดีและชั่วออกจากกันมิควรเหมารวมไปซะหมด แต่เรื่องราวของหมอจงยิ่งรู้ก็ยิ่งสลับซับซ้อนยุ่งเหยิง ยิ่งเรื่องความรักยิ่งยุ่งเหยิงหนักจนปวดหัวใจแทนไม่รู้จะเห็นใจใครดี เหวินหลางรักเหม่ยอิง แต่เหม่ยอิงรักหมอจง แล้วหมอจงรักใครล่ะ? แล้วถ้าหมอจงรักเหม่ยอิงล่ะ? ตายล่ะหว่า! รักสามเศร้าเราสองสามคน คิดแล้วปวดหมองๆ

          อันฉี  : เฮ่อ!.....
      หมอจง  : เป็นอะไร
          อันฉี  : อาจารย์ ที่ท่านไม่ยอมพบเฉิงเหม่ยอิงก็เพราะเหตุผลนี้นี่เอง ถ้านางรู้นางคงจะร้องไห้เสียใจ
      หมอจง  : เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะร้องไห้เสียใจ
          อันฉี  : เฉิงเหม่ยอิงเคยบอกกับข้าว่านางชอบท่านมาก อาจารย์ให้โอกาสนางได้พบท่านสักครั้งเถอะนะ
      หมอจง  : ข้าไม่ว่าง
          อันฉี  : แค่แป๊บเดียวเอง นางแค่อยากจะถามท่านว่า...ท่านจำนางได้มั้ยที่เป็นเพื่อนเล่นกับท่านตอนเป็นเด็ก แล้วตอนที่ทำขนมไปให้ท่านกินตอนเป็นเด็ก ท่านจำนางได้หรือเปล่า
      หมอจง  : จำไม่ได้
          อันฉี  : ไม่ใช่ให้ท่านตอบข้า แต่จะให้นางมาฟังคำตอบจากปากของท่านเองได้มั้ย
      หมอจง  : ไม่ได้
          อันฉี  : เฮ่อ! ไม่ก็ไม่ (ฉันทำหน้าละเหี่ยใจแล้วหยิบหนังสือไปนอนอ่านบนเตียง)
       
          คืนนี้ฉันเข้านอนก่อนหมอจง เขาล้มตัวนอนข้างๆฉันเหมือนเดิม และไม่สัมผัสหรือล่วงเกินใดๆ มีเพียงแค่ช่วงที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกห่มผ้าให้ฉัน และใช้มือลูบแก้มแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิฉันตามปกติ แต่คืนนี้เขานั่งมองฉันสักครู่แล้วแอบจับชีพจรที่ข้อมือแล้วเลื่อนมาจับมือด้วยท่าทางสงสัย ฉันจับมือเขากลับจนเขาสะดุ้งตกใจ

      หมอจง  : ขอโทษที่ข้าทำเจ้าตื่น
          อันฉี  : อาจารย์คิดจะเจาะเลือดข้าอีกงั้นรึ
      หมอจง  : ข้าสงสัยเหตุใดเลือดของเจ้าถึงเดือดพล่านได้ขนาดนี้แปลกประหลาดนัก
          อันฉี  : ก็ได้ ข้าจะให้ท่านดู แต่ท่านห้ามสัมผัสเลือดข้าเด็ดขาด

          ฉันพาหมอจงมานั่งที่โต๊ะปรุงยา ใช้ปลายมีดบาดที่นิ้วชี้จนมีเลือดออก ฉันหยดเลือดหนึ่งหยดลงบนสมุนไพรสด สมุนไพรไหม้เหี่ยวแห้งตายในทันที หมอจงมองดูด้วยความตกใจ

      หมอจง  : อะไรกันนี่?!
          อันฉี  : เลือดของข้าเป็นพิษ เพราะข้ากินผลไม้พิษไฟเข้าไปโดยไม่รู้ว่ามันมีพิษ แม้ร่างกายข้าส่วนอื่นจะช่วยรักษาชีวิตผู้อื่นได้ แต่เลือดในร่างกายข้ากลับไม่เป็นมิตรต่อผู้ใด เลือดข้าเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ถ้าข้าได้รับบาดเจ็บจนมีเลือดออก ท่านอย่าเข้ามาสัมผัสข้าเด็ดขาด
      หมอจง  : แล้วข้าจะช่วยทำแผลให้ได้ยังไง
          อันฉี  : ไม่ต้องทำ

          ฉันยื่นนิ้วที่ถูกมีดบาดและแผลกำลังสมานจนสนิทให้หมอจงดู เขาถึงกับตะลึงที่เห็นนิ้วมือฉันไม่มีบาดแผลถูกมีดบาดอยู่เลย ฉันนั่งก้มหน้าแล้วพูดว่า...

          อันฉี  : ข้าเป็นปีศาจก็ไม่ใช่ เป็นมนุษย์ก็ไม่เชิง แต่ข้าไม่เคยคิดทำร้ายใคร
      หมอจง  : ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร เจ้ายังคงเป็นลูกศิษย์ของข้า กลับไปนอนต่อเถอะ (หมอจงเอื้อมมือลูบที่แก้มฉันเพื่อปลอบประโลม)

          ฉันจึงกลับไปนอนต่อ หมอจงตามมานอนทีหลัง ฉันจึงนอนหลับสบายใจขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าหมอจงจะแอบมาเจาะเลือดฉันอีก

          เช้าวันนี้บรรยากาศดูตึงเครียดยังไงชอบกล ผู้คนในจวนดูเคร่งเครียด หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ฉันก็ช่วยหมอจงจัดเตรียมยานิดหน่อยในช่วงเช้า พอตกบ่ายหมอจงบอกฉันว่า พรุ่งนี้เช้าเขาต้องไปพบราชครูเฉิง หลังจากพูดคุยธุระกับราชครูเฉิงเสร็จ เขาจะไปยืนดูปลาที่ศาลาริมน้ำก่อนกลับ ฉันพยักหน้ารับทราบ แต่ก็แปลกใจที่เขาจะไปยืนดูปลาแต่มาบอกฉันทำไม จากนั้นหมอจงบอกว่าจะอ่านหนังสือและจะงีบหลับสักประเดี๋ยว และไม่รับแขก ฉันจึงเดินออกมานั่งเล่นหน้าจวน ไม่นานนักฉันก็เห็นเหม่ยอิงมายืนด้อมๆมองๆที่ลานหน้าจวน ฉันจึงเดินไปหาเหม่ยอิง

          อันฉี  : คุณหนูเฉิง
     เหม่ยอิง  : แม่นางไป๋ เจ้าเองหรอกรึ งั้นที่สาวใช้พูดถึงกันก็คือเจ้าน่ะสิ
          อันฉี  : พูดถึงกันว่ายังไง
     เหม่ยอิง  : พูดกันว่า เมื่อวานหมอจงพาเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มเข้ามานอนในจวน และไม่ให้แยกไปนอนที่เรือนคนงาน
          อันฉี  : อ๋อ...เป็นข้าเอง แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เมื่อวานอาจารย์สั่งข้าให้เอายามาส่ง แล้วเมื่อวานอาจารย์ก็ไม่สบายเพราะพักผ่อนน้อยเหมือนเดิม ข้าเลยอยู่ช่วยงานอาจารย์จนดึก ก็เลยนอนที่จวน ข้าปูผ้านอนที่พื้นน่ะ
    เหม่ยอิง  : ข้าก็คิดไว้เหมือนกันว่าต้องเป็นเจ้า ข้าเลยรีบมาหา แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง
          อันฉี  : อาจารย์หายป่วยแล้วเพราะได้พักผ่อน แต่ตอนนี้อาจารย์งีบหลับไม่รับแขก
    เหม่ยอิง  : ชาตินี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขา เขาอยู่ในบ้านข้าแล้วแท้ๆ แต่ข้าก็ยังไม่มีโอกาสได้พบเขา
          อันฉี  : พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะไปพบราชครูที่จวน หลังจากพูดคุยธุระเสร็จ เขาจะไปยืนดูปลา....เอ๊ะ! ใช่แล้ว! อาจารย์ส่งข้อความลับให้ข้า ฮ่าฮ่าฮ่า ซุปเปอร์อาจารย์จริงๆ
     เหม่ยอิง  : เอ๊ะ! เจ้าหมายถึงอะไร
          อันฉี  : อาจารย์ยอมพบคุณหนูเฉิงแล้ว
     เหม่ยอิง  : จริงรึ?!
          อันฉี  : ใช่! พรุ่งนี้หลังจากพูดคุยธุระกับท่านราชครูเสร็จ อาจารย์จะไปยืนดูปลาที่ศาลาริมน้ำ คุณหนูไปรอพบอาจารย์ที่นั่น และบอกความในใจกับอาจารย์เลยนะ เขาจะได้รู้ถึงความรู้สึกของคุณหนู
     เหม่ยอิง  : อื้ม! เออนี่! เจ้าไปนอนที่จวนข้ามั้ยมีเตียงให้นอนอุ่นสบาย
          อันฉี  : ขอบคุณ คุณหนู แต่ไม่ดีกว่า ถ้าข้าไปเดี๋ยวอาจารย์อยู่ทำงานดึกดื่นจนล้มป่วยอีก และจะไปพบคุณหนูไม่ไหว
     เหม่ยอิง  : อืม งั้นเจ้าอยู่ช่วยงานหมอจงต่อเถอะ ขอบใจเจ้ามากๆ ข้ากลับล่ะนะ

          เหม่ยอิงกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและมีความหวัง ฉันเองก็พลอยดีใจกับนางไปด้วย สุดท้ายแล้วอาจารย์ก็มีหัวใจ ฉันคิด ก่อนที่จะเดินกลับเข้าจวน

          รุ่งขึ้นหมอจงไปพบราชครูเฉิงแต่เช้า ก่อนไปหมอจงกำชับให้ฉันอยู่แต่ในจวน แล้วหมอจงก็ไปที่จวนราชครู ทั้งสองอยู่พูดคุยกันจนสาย

 ราชครูเฉิง  : ข้ามีงานสำคัญให้ท่านหมอทำ
      หมอจง  : งานอะไรรึ
 ราชครูเฉิง  : เย็นนี้ข้าจะให้เจ้าถวายการรักษาอาการป่วยของฮ่องเต้ เพราะข้าไม่ต้องการเห็นฮ่องเต้อีกแล้ว ท่านหมอเทวะเข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม
      หมอจง  : ข้าเข้าใจ สั่งเป็นหรือสั่งตาย อยู่ที่ปลายเข็มของข้า ท่านราชครูอย่าห่วง ข้าขอกลับไปเตรียมตัว

          หลังจากพูดคุยธุระสำคัญกับราชครูเสร็จแล้ว หมอจงเดินไปที่บ่อปลาที่อยู่ห่างจากจวนราชครูออกไป แล้วหยุดดูปลาที่ศาลาริมน้ำนั้น เพียงครู่เดียวเหม่ยอิงที่นั่งรออยู่บริเวณใกล้ๆก็รีบเดินมาหาหมอจง

     เหม่ยอิง  : หมอจง...
      หมอจง  : คุณหนูเฉิงมีธุระอะไรจะคุยกับข้างั้นรึ
     เหม่ยอิง  : ข้าอยากจะถามว่า เดิมทีท่านไม่ได้ใช้แซ่จง ใช่หรือไม่
      หมอจง  : ข้าใช้แซ่จงมาตลอดไม่เคยเปลี่ยน
     เหม่ยอิง  : ท่านจำเด็กผู้หญิงที่ชอบไปเล่นกับท่าน ชอบทำขนมไปให้ท่านกินได้หรือไม่
      หมอจง  : สมัยเด็กข้าไม่เคยมีเพื่อนเป็นเด็กผู้หญิง คุณหนูเฉิงจำคนผิดแล้ว
     เหม่ยอิง  : ข้าจำคนไม่ผิดหรอก มีแต่ท่านที่ไม่ยอมรับข้า ไม่ว่าท่านจะย้ายที่อยู่ หรือเปลี่ยนสกุล ข้าก็จำท่านได้ ข้าจำได้ท่านชอบกินถั่วเขียวต้มน้ำตาล ท่านอยู่ในใจข้าเสมอ ข้าไม่เคยลืมพี่หยูเลยสักครั้งเดียว ตอบข้ามาสิว่าท่านคือพี่หยู!
      หมอจง  : ข้าไม่ใช่พี่หยูของคุณหนูเฉิง ต่อไปอย่ามาพบข้าอีก! ข้าขอลา! (เขากัดฟันตอบแล้วเดินผละออกมา)

          หมอจงเดินออกจากศาลาริมน้ำทิ้งให้เหม่ยอิงยืนร้องไห้อยู่ตามลำพัง เขาเดินกลับจวนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดกันเป็นโบว์ มองดูก็รู้ว่าจบมาไม่สวย ฉันเองก็ไม่กล้าถามเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป แต่พอจะคาดเดาได้สองรูปการณ์ คือหนึ่ง จำเหม่ยอิงไม่ได้จริงๆและไม่ได้คิดอะไรกับนาง แต่เครียดเรื่องอื่น ส่วนรูปการณ์ที่สอง จดจำเหม่ยอิงได้แต่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้แล้วเสียสละคนรักให้กับน้องชาย ก็อาจเป็นได้ ไว้มีโอกาสเหมาะๆค่อยถามเขาดีกว่า

          ตั้งแต่หมอจงกลับมาจากจวนราชครู เขาก็นั่งเช็ดเข็มสำหรับใช้ฝังเข็มเงียบๆ ฉันจึงยกน้ำชาไปให้เขาดื่ม เขายกชาดื่มเงียบๆ ฉันจึงค่อยๆถอยออกมาและจะไปนั่งตัดสมุนไพรต่อ

      หมอจง  : อันฉี ตอนเย็นข้าจะไปออกไปทำธุระ ปิดประตู ลงสลัก ห้ามเปิดประตูให้ใครเข้ามาจนกว่าข้าจะกลับมา
          อันฉี  : อาจารย์จะไปที่ไหน
       หมอจง  : ข้ามีคนไข้ต้องไปฝังเข็ม

          ตอนเย็นหมอจงออกไปข้างนอก ฉันจึงปิดประตูลงกลอนสลักประตู หน้าต่าง ตามคำสั่งหมอจง จนถึงเวลาค่ำหมอจงก็กลับมา และตามหลังมาติดๆคือราชครูเฉิง และเหวินหลาง

 ราชครูเฉิง  : หมอจง! เจ้าเล่นตลกอะไรกับข้า ข้าสั่งให้เจ้าฆ่ามัน ไม่ได้ให้เจ้าไปรักษามัน! ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่ามัน!!
      หมอจง  : ข้าไม่ได้เล่นตลกอะไร จะฆ่าเขาให้ตายเลยทันทีก็ย่อมได้ แต่จะไม่แนบเนียนและจะรู้โดยทันทีว่าราชครูเฉิงอยู่เบื้องหลัง
 ราชครูเฉิง  : ก็ให้มันรู้กันไปสิ! กว่าที่พวกมันจะรู้ข้าก็ยึดอำนาจไว้หมดแล้ว ข้ารอเวลาแค่มันตายเท่านั้น!
      หมอจง  : ท่านราชครูอย่าห่วง ไม่เกินรุ่งสางเขาก็ตาย
 ราชครูเฉิง  : ฮึ่ม! อย่าห่วงเรอะ!? เจ้าทำข้าผิดแผน อย่าคิดเล่นตลกกับข้า และจงจำใส่ใจไว้ด้วยว่าข้าพาเจ้าให้มาทำงานให้ข้า ไม่ใช่มาทำงานให้ฮ่องเต้! (ราชครูเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่หมอจง)

          เหวินหลางสบตากับหมอจงแวบหนึ่งก่อนเดินตามหลังราชครูออกจากจวน และสั่งทหารมาเฝ้าจับตาเพิ่มขึ้นตามคำสั่งราชครูเฉิง ฉันจึงเดินไปปิดประตู และเดินกลับมานั่งใกล้ๆหมอจง และถามเขาด้วยเสียงอันเบาเพราะกลัวคนข้างนอกได้ยินว่า

          อันฉี  : อาจารย์ ราชครูเฉิงสั่งให้ท่านไปฆ่าฮ่องเต้มาเหรอ
      หมอจง  : อื้ม
          อันฉี  : แล้วฮ่องเต้จะตายมั้ย
      หมอจง  : (หมอจงส่ายหน้า)
          อันฉี  : เราจะทำยังไงกันต่อไปเหรอ
      หมอจง  : เราจะหนีกันคืนพรุ่งนี้
          อันฉี  : แล้วทำไมไม่หนีคืนนี้เลยล่ะ รออะไร
      หมอจง  : รอให้แผนการข้าสำเร็จน่ะสิ เจ้าอย่าห่วง พรุ่งนี้ทั้งวันราชครูเฉิงจะไม่มีเวลามาจัดการเราหรอก แค่ทำตัวให้เป็นปกติ และเตรียมพร้อมไว้ก็พอ

          คืนนี้ฉันจึงนั่งๆนอนๆเล่นอยู่บนเตียง จนถึงเวลาเข้านอนฉันก็เข้านอนตามปกติ ส่วนหมอจงก็เข้านอนเหมือนกันเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ ฉันนอนหันหน้าไปถามเขาว่า

          อันฉี  : อาจารย์ เราจะหนีไปที่ไหนกันเหรอ
      หมอจง  : เมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ชายแดน ข้ามีเพื่อนอยู่ที่นั่น เราจะไปที่นั่นกัน เจ้าเลยต้องลำบากไปด้วย
          อันฉี  : ไม่เป็นไรหรอก ถือเป็นการผจญภัย เพราะถ้าข้ากลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว ข้าก็เหงาเพราะพวกพี่ชายไม่อยู่ อีกสองเดือนกว่าพวกพี่ชายจึงจะมารับข้ากลับบ้าน ข้าต่างหากที่อยู่รบกวนอาจารย์น่ะ
     หมอจง  : เจ้าไม่ได้รบกวน แต่ช่วยงานข้าได้ดีมากต่างหาก ขอบใจเจ้ามากนะ นอนเถอะ

          เขาเอามือลูบศรีษะฉันและลูบแก้มอย่างอ่อนโยน ไม่ทันคาดคิดเขาขยับตัวมาจูบฉันแล้วสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปาก เขากอดฉันแน่นและจูบจนฉันหายใจไม่ทัน ฉันจึงส่งเสียงเรียกเขาเบาๆ "อาจารย์" เขาจึงหยุดจูบและกล่าวขอโทษ และพูดแก้เขินอีกว่าเขาจูบเพราะต้องการยาบำรุง แล้วเขาก็พลิกตัวนอนหันหลังให้ฉันทันที ฉันจึงถือโอกาสถามถึงเรื่องของเหม่ยอิง

          อันฉี  : อาจารย์ ข้าถามจริงๆเหอะแล้วจะไม่ถามเรื่องนี้อีกเลย ท่านรักคุณหนูเฉิงหรือเปล่า
      หมอจง  : นี่เป็นเรื่องเดียวที่ข้าไม่ต้องการจดจำ! (หมอจงยังคงนอนหันหลังตอบคำถามฉัน)
          อันฉี  : ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน ถ้าเป็นข้า...ข้าก็ไม่อยากจดจำเหมือนกัน คิดแล้วปวดใจจัง แต่อาจารย์กับเหม่ยอิงมีความรักให้กันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มีโอกาสได้พบกันแล้ว ทำไมท่านต้องแกล้งจำนางไม่ได้ด้วยล่ะ?!
     หมอจง  : เพราะข้ารักน้องชายของข้ามากกว่ารักนางน่ะสิ!

           หมอจงที่นอนหันหลัง พลิกตัวกลับมาหาฉันทันที แววตาบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกแย่และอ่อนแอในจิตใจที่สุด มันเป็นความผิดของฉันด้วยที่คะยั้นคะยอเขาให้ไปพบเหม่ยอิง ฉันเอ่ยขึ้นว่า...

          อันฉี  : อาจารย์ ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ
      หมอจง  : เจ้าอย่าโทษตัวเอง มันเป็นการตัดสินใจของข้า ...เมื่อครั้งที่ข้ายังเด็ก เหม่ยอิงมักจะมาแอบมองข้าเรียนวิชาสมุนไพร นางจะนำขนมและอาหารมาให้ข้า โดยเฉพาะถั่วเขียวต้มน้ำตาลที่นางทำมาบ่อยๆ แต่คนที่คอยกินขนมของนางเสมอและชอบกินถั่วเขียวต้มน้ำตาล คือเหวินหลาง น้องชายข้าชอบนางมาก ข้าที่เป็นพี่ชายจึงไม่อาจทนเห็นน้องชายตัวเองเสียใจ จนกระทั่งราชครูเฉิงพาทหารบุกบ้านข้า ฆ่าล้างครอบครัว พวกมันจับตัวเหวินหลางไปเลี้ยงเพื่อทำงานให้มัน ส่วนข้าหลบหนีไปได้ก็กลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ข้างถนน จนกระทั่งครอบครัวตระกูลจงมาพบข้าและรับข้าไปเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม ข้าศึกษาร่ำเรียนวิชาอย่างหนักเพื่อที่จะกลับมาแก้แค้น ข้าถึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่
          อันฉี  : อาจารย์...ข้าฟังแล้วอยากจะร้องไห้... (ตาฉันเริ่มแดงๆน้ำเสียงเริ่มสั่น)

          หมอจงจับแก้มฉันเบาๆอย่างอ่อนโยนและบอกว่า เขาไม่เป็นไร เรานอนหันหน้าเข้าหากัน ฉันแบ่งผ้าห่มให้เขาห่มครึ่งหนึ่ง จัดระเบียบผ้าห่ม ตบผ้าห่มบนหน้าอกหมอจงเบาๆคล้ายปลอบโยนเด็ก หมอจงหัวเราะเบาๆ แล้วนอนหลับไปทั้งคืน
       
          เช้านี้หมอจงตื่นนอนก่อนฉันเหมือนทุกวัน แต่ด้านนอกกลับดูผิดปกติ เพราะมีทหารจำนวนหลายคนยืนเฝ้าอยู่โดยรอบจวน อีกทั้งคนงานก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดให้เป็นคนของราชครูเฉิง แต่ฉันกับหมอจงก็ทำตัวตามปกติ เพราะรู้ว่าทหารและคนงานถูกส่งมาเพื่อจับตาดูเรา วันๆฉันทำได้แค่กินๆนอนๆนั่งเล่นรอเวลาค่ำเพื่อหนี แต่วันนี้ทั้งวันราชครูเฉิงไม่ได้มีเวลามาโวยวายเล่นงานอาจารย์ เพราะราชครูเฉิงถูกเรียกตัวเข้าวังทั้งวันเพื่อรับคำชมเชย รับรางวัล และอยู่ในงานเลี้ยงตอบแทนที่ราชครูพาหมอเทวะมารักษาฮ่องเต้จนอาการป่วยดีขึ้นผิดหูผิดตา

          พอตกดึกหมอจงก็ยังไม่มีทีท่าจะหลบหนี ฉันจึงถามเขาว่า "จะหลบหนีตอนไหน?" หมอจงตอบว่า "รอฟังสัญญาณ" จนฉันเริ่มจะง่วงก็ยังไม่ได้ยินสัญญาณอะไร เวลาผ่านไปได้สักพักก็มีเสียงดังเอะอะมาจากจวนราชครู เหล่าทหารร้องบอก "มีคนร้าย" ทันใดนั้นหมอจงก็เริ่มจุดไฟในจวนที่พัก ไฟเริ่มโหมลุกลามไปทั่วห้องควันโขมง หมอจงดึงมือฉันออกไปที่หน้าประตูจวนพร้อมตะโกน "ไฟไหม้ๆ!!!" เหล่าทหารพากันวิ่งวุ่นดับไฟ หมอจงจึงถือโอกาสตอนที่เกิดความวุ่นวายในจวนสองจุด แล้วจูงมือฉันวิ่งหลบหนีไปทางกำแพงด้านหลัง หมอจงมีวิชายุทธกระโดดขึ้นกำแพง เขาหันมาบอกให้ฉันรีบกระโดดขึ้นกำแพง แต่ฉันไม่มีวิชายุทธจึงบอกเขาว่าฉันกระโดดขึ้นกำแพงไม่เป็น ฉันจึงพยายามปีนกำแพงแต่ก็ปีนขึ้นไม่ได้เพราะกำแพงสูง ประจวบกับราชครูเฉิงที่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยง ในมือถือธนูวิ่งตรงมาทางนี้ ราชครูเฉิงเห็นฉันยืนอยู่ตรงกำแพง จึงง้างคันธนูยิงใส่ฉัน หมอจงรีบกระโดดกำแพงกลับลงมาเอาตัวบังรับธนูแทนฉัน ราชครูง้างคันธนูจะยิงหมอจงซ้ำอีกดอกหนึ่ง แต่หมอจงอุ้มฉันกระโดดข้ามกำแพงได้ทัน ราชครูเฉิงจึงยิงธนูพลาดเป้า เขาสั่งทหารออกไล่ตามฉันกับหมอจงที่หนีออกไปทางป่าด้านหลัง

          ฉันประคองหมอจงที่ได้รับบาดเจ็บวิ่งหนีกันไปเรื่อยๆ แต่ทหารก็ไล่ตามไม่ลดละ ทันไดนั้นเหวินหลางกระโดดลงมาจากต้นไม้ ฉันตกใจจนเกือบจะเรียกดาบแซ่ซาบิมารุออกมา ดีที่ชะงักมือไว้ทัน เหวินหลางตกใจที่เห็นหมอจงถูกธนูยิงบาดเจ็บสาหัส ฉันบอกเขาว่าอย่าห่วง จะรักษาหมอจงไม่ปล่อยให้เขาตายแน่นอน เหวินหลางบอกให้ฉันพาหมอจงเดินไปทางซ้ายมือ เดินตรงไปเรื่อยๆจะเจอลำธารและมีม้าผูกไว้ ให้รอเขาที่นั่น เขาจะล่อทหารไปทางอื่นก่อน จากนั้นเหวินหลางจึงรีบวิ่งออกไป และล่อทหารไปทางขวามือ ฉันจึงพาหมอจงที่ได้รับบาดเจ็บเดินออกมาไกลจากบริเวณนั้นได้ระยะหนึ่ง แล้วมองหาสุมทุมพุ่มไม้ที่ลับตาคนพาหมอจงไปนั่งหลบเพื่อถอนพิษจากถูกธนูยิง หากไม่รีบถอนพิษอาการจะทรุดหนักไปเสียก่อน

          ฉันให้หมอจงนั่งลงหลังพิงต้นไม้แล้วมองด้วยดวงตาปีศาจ ลูกธนูอาบยาพิษงูชนิดหนึ่งเป็นพิษชนิดเดียวกันกับที่ฉันเคยรักษาเขาไปก่อนหน้านี้ ราชครูเฉิงคงจะโกรธจัดออกแรงยิงธนูจนหัวธนูทะลุเนื้อโผล่ออกมาทางด้านหน้า ดี! ช่วยให้ฉันไม่ต้องออกแรงมากในการดึงธนู ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาม้วนพันเป็นก้อนกลมให้หมอจงกัด และบอกให้เขาอย่าส่งเสียงดังออกมา จากนั้นฉันเรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาแล้วใช้กงเล็บที่คมกริบตัดหัวลูกธนูออกอย่างง่ายดายเหลือแค่ก้านธนูที่เสียบคาอยู่ จึงรีบดึงก้านธนูออกทางด้านหลัง ฉันถอดเสื้อของหมอจงออก เขาเจ็บปวดมากและเสียเลือดไม่น้อย หยิบน้ำจากกระเป๋าเวทย์มาล้างบาดแผลทางด้านหลัง และหยิบตลับยาที่ฉันปรุงยาไว้ใส่แผลสดคือว่านไร้รู้สึกเป็นยาชาผสมว่านโซ่โลหิตเป็นยาห้ามเลือดและสมานแผล ทายาลงบาดแผลที่ด้านหลังเพื่อลดการเสียเลือดและคลายเจ็บปวด จากนั้นจึงขยับตัวมาล้างบาดแผลทางด้านหน้า แล้วก้มลงดูดพิษออกจากบาดแผล ฉันบ้วนพิษลงพื้น แล้วก้มลงดูดพิษซ้ำอีก 4-5 ครั้ง จนลดขมเฝื่อนคอหมดไป แล้วบ้วนน้ำล้างคอล้างปากอีกครั้ง ใส่ยาสมานแผลและประสานมือวางบนแผลส่งพลังรักษาจนบาดแผลสมานกันหายสนิททั้งด้านหน้าและด้านหลัง

           ตอนนี้ใบหน้าหมอจงซีดเซียวหมดแรงเพราะสูญเสียเลือดไปมาก ฉันอมน้ำไว้ในปากแล้วประกบริมฝีปากป้อนน้ำให้เขาดื่ม เขาใช้แขนที่อ่อนแรงโอบกอดแล้วจูบ ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่งคร่อมบนตักเพื่อความถนัดแล้วสอดใส่ลิ้นเข้าในปากเขากวัดแกว่งลิ้นในปากจนทั่ว เราจูบแลกลิ้นกันไปมาจนเขาเริ่มมีแรงเพราะเขาออกแรงกอดฉันแน่นขึ้นจนเนินหว่างขาสัมผัสแนบชิดกับแท่งเนื้อที่แข็งตัวของเขา หมอจงขยับตัวจับฉันนอนลงกับพื้นกอดจูบดูดดื่ม เขาเอื้อมมือจะถอดกางเกงฉัน ฉันจับมือเขาไว้ให้หยุดแล้วพูดขึ้นว่า...

          อันฉี  : อาจารย์ หายดีแล้วใช่มั้ยเนี่ย?!
      หมอจง  : ยัง!
          อันฉี  : อาจารย์! แรงเยอะขนาดนี้ยังจะบอกว่ายังไม่หายรึ!
      หมอจง  : อื้ม หายแล้วก็ได้ เฮ่อ!....
          อันฉี  : เรารีบไปกันเถอะ

          ฉันกับหมอจงรีบวิ่งไปที่ลำธารจุดนัดพบ เห็นมีม้าผูกอยู่สองตัวแต่ไม่เห็นเหวินหลาง ครู่เดียวเหวินหลางก็วิ่งมาหา เขารีบถามหมอจงถึงอาการบาดเจ็บที่ถูกธนูยิง แต่เหวินหลางต้องประหลาดใจอีกครั้งเพราะเห็นสีหน้าของหมอจงแค่ซีดเซียวเหมือนคนฟื้นไข้เท่านั้น หมอจงตอบว่า...

      หมอจง  : ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว
เหวินหลาง  : สองครั้งแล้วนะที่ข้าเห็นท่านบาดเจ็บสาหัสแล้วหายได้ในพริบตา เป็นไปได้ยังไง?!
      หมอจง  : ข้าจะอธิบายภายหลัง เจ้าได้รายชื่อมาหรือไม่

          เหวินหลางพยักหน้าแล้วส่งม้วนกระดาษม้วนหนึ่งให้หมอจง หมอจงคลี่ม้วนกระดาษออกดูแล้วพยักหน้าว่าใช่ของที่เขาต้องการ จากนั้นหมอจงบอกให้เรารีบไปจากที่นี่ เขาอุ้มฉันขึ้นม้าตัวเดียวกับเขา ส่วนเหวินหลางขึ้นม้าอีกตัวแล้วควบม้าออกจากบริเวณนั้นห่างออกมาไกลมากพอสมควร เราจึงแวะพักแรมกันในป่า หมอจงก่อกองไฟแล้วให้ฉันนอนอยู่ข้างๆเขา ส่วนเหวินหลางนั่งพิงต้นไม้หลับตาอยู่ใกล้ๆ

      หมอจง  : ข้าเห็นเจ้าใช้เล็บที่แหลมคมตัดหัวธนูขาดง่ายดาย เจ้าทำได้ยังไง เล็บนั่นมาจากไหนข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
          อันฉี  : นั่นคือกงเล็บนิลอสูร พี่รองให้ข้าไว้ใช้ป้องกันตัว ข้านำออกมาใช้เวลาที่จำเป็นเท่านั้น
      หมอจง  : เจ้าใช้ยาอะไรทาแผลที่หลังให้ข้าตอนดึงลูกธนูออกแล้ว แผลที่หลังข้าในตอนนั้นไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นับว่าดีมาก ไม่ต้องทนเจ็บปวดจากบาดแผลทั้งสองแห่ง
          อันฉี  : ใบว่านโซ่โลหิตบดผสมรากไม้ไร้รู้สึก เป็นยาชาทำให้ไม่รู้สึกเจ็บในบาดแผลฉกรรจ์ และเป็นยาห้ามเลือด สมานบาดแผล อ่ะ! ข้าให้อาจารย์เก็บยาไว้ใช้ขวดหนึ่ง อาจารย์ต้องระวังตัวเองให้มากหน่อย แผลเก่ายังไม่ทันจะหายดี ก็ได้แผลใหม่มาตลอด
      หมอจง  : เพราะใครกันเล่า! ก็เพราะเจ้านั่นแหละ ข้าบอกให้เจ้ากระโดดขึ้นกำแพง แล้วทำไมเจ้าไม่กระโดด
          อันฉี  : ข้ากระโดดขึ้นกำแพงสูงไม่เป็น....
      หมอจง  : แต่วันนั้นบนสะพานสูงที่เกาะกระต่ายผีข้าเห็นเจ้ากระโดดลงจากสะพานสูงได้
          อันฉี  : ก็มีวิชากระโดดลงได้ แต่ไม่มีวิชากระโดดขึ้นงัย!
      หมอจง  : ฮ่าฮ่า มีแบบนี้ด้วย เอาล่ะ! นอนเถอะ

          เหวินหลางได้ยินเสียงหมอจงหัวเราะ เขาจึงลืมตาขึ้นมามอง เพราะตั้งแต่ที่เขาเคยติดตามราชครูเฉิงไปที่บ้านหมอจงหลายครั้ง เขาไม่เคยเห็นหมอจงหัวเราะหรือยิ้มสักครั้งเดียว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหมอจงหัวเราะ
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 37
(ลี้ภัยไปเมืองหนิงอัน)

          เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อจะเดินทางกันต่อแล้วจะหาอะไรกินระหว่างทางข้างหน้า ทันไดนั้นฉันก็สัมผัสถึงเฟยเจินอยู่ไม่ไกลจากฉันนัก ฉันจึงส่งเสียงเรียกเฟยเจินเพื่อให้เขารู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ ชั่วอึดใจเฟยเจินในร่างนกอินทรีย์ก็โผบินลงมาจากฟ้าแล้วกลายร่างเป็นมนุษย์เดินตรงมาที่เรา เหวินหลางตกใจเตรียมตั้งท่าต่อสู้ แต่หมอจงห้ามไว้ และบอกเหวินหลางว่าเฟยเจินเป็นพี่ชายของฉัน พอฉันเห็นเฟยเจินจึงรีบวิ่งไปกอดเฟยเจินด้วยความดีใจ เฟยเจินบอกว่าเขากลับไปที่บ้านหมอจงไม่พบใครอยู่ที่นั่นเลยสักคน เขาจึงตามสัญญาณชีพของฉันมาที่นี่ เฟยเจินถามว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ หมอจงบอกว่าที่บ้านมีปัญหาแต่จะอธิบายภายหลังตอนกินอาหารเช้า ออกจากป่านี่ไปจะเจอหมู่บ้านเล็กๆที่นั่นมีร้านขายบะหมี่ให้นักเดินทาง เราจะแวะกินบะหมี่กันที่นั่น เฟยเจินบอกว่าเขาจะบินบนฟ้าดูความปลอดภัยให้จากด้านบน แล้วค่อยคุยกันที่ร้านขายบะหมี่ จนเราเดินทางมาถึงร้านขายบะหมี่ ฉันแนะนำเฟยเจินให้เหวินหลางรู้จัก ส่วนหมอจงก็เล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้เฟยเจินฟัง เฟยเจินจึงหันมาถามฉันว่า...

     เฟยเจิน  : เจ้าต้องการกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียวหรือไม่ ข้าจะพากลับ
          อันฉี  : ยังไม่อยากกลับ เราไปกันต่ออีกหน่อยเถอะนะ อีกอย่าง พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม กักตนอีกตั้งสองเดือนกว่าจะกลับ เราไปผจญภัยกันต่อเถอะนะพี่สี่ นะนะ (ฉันกอดแขนออดอ้อนเฟยเจินให้ตามหมอจงไปเมืองที่อยู่ชายแดน)
     เฟยเจิน  : เฮ่อ! ก็ได้ๆ ชื่อเมืองอะไรรึ
      หมอจง  : เมืองหนิงอัน

          หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ เราออกเดินทางกันต่อ ส่วนเฟยเจินคอยบินตามและเฝ้าระวังความปลอดภัยจากบนท้องฟ้า เราควบม้ากันมาตลอดวันจนมาถึงเมืองหนิงอัน ที่อยู่ชายแดน ดินแดนแห่งนี้มีทั้งป่าเขาสลับทะเลทรายกึ่งอุดมสมบูรณ์กึ่งกันดาร เรามาถึงประตูเมืองเมืองหนิงอันเป็นเวลาค่ำ ทหารเปิดประตูให้เราเข้าไปในเมือง เมืองหนิงอันมีขนาดเล็กน่าจะเรียกว่าป้อมทหารมากกว่า มีประชาชนอาศัยอยู่รวมกับทหารเป็นชุมชนเล็กๆกึ่งหมู่บ้านกึ่งป้อมทหาร เราลงเดินเข้าไปด้านในผู้คนต่างให้ความสนใจคนแปลกหน้า โดยเฉพาะเฟยเจินที่เหล่าสาวๆให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ ทหารกำลังพาเราไปที่อาคารหลังใหญ่ เป็นที่พำนักของเจ้าเมือง หมอจงบอกว่าจะพาไปพบเพื่อนของเขา เราเดินเข้าไปถึงด้านในห้องๆหนึ่งเป็นโถงใหญ่โอ่อ่าพอสมควร มีเด็กหนุ่มชื่อ จิวฝู อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันออกมาต้อนรับ เขาดูคุ้นเคยกับหมอจง และบอกว่าองค์รัชทายาทกำลังเสด็จมา ให้เราดื่มน้ำชารออยู่ที่นี่

 เหวินหลาง  : องค์รัชทายาททำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ไม่ได้อยู่ที่สำนัก หลิ่งซาน หรอกรึ?!
     หมอจง   : องค์รัชทายาทออกจากสำนักหลิ่งซาน เพื่อมาทำลายแผนการของราชครูเฉิงที่คิดก่อการกบฏล้มล้างราชบัลลังก์ แผนการของเราสำเร็จได้เพราะมีองค์รัชทายาทคอยช่วยเหลือ และช่วยวางแผน
 จินหย่งเจิ้ง  : เจ้าพูดชื่นชมข้าเกินไปแล้ว หากไม่มีพวกเจ้าช่วย มีรึแผนการช่วงชิงรายชื่อกบฏของข้าจะสำเร็จได้เร็วขนาดนี้ ต้องเรียกว่าร่วมมือกันจึงจะถูก

          เมื่อฉันหันไปเห็นองค์รัชทายาทก็ต้องตกใจเพราะเขาคือท่านจินหย่งเจิ้น เพื่อนสนิทของหมอจงคนนั้นนั่นเอง ฉันจึงรีบทำความเคารพตามเหวินหลาง หมอจงจึงส่งม้วนกระดาษให้องค์รัชทายาทคลี่กระดาษดู

 เหวินหลาง  : ถวายบังคมองค์รัชทายาท!
          อันฉี  : ถวายบังคมองค์รัชทายาท!
 จินหย่งเจิ้ง  : ลุกขึ้นเถอะ เหวินหลาง เจ้าคงเป็นน้องชายหมอจงสินะ ขอบใจเจ้ามากเพราะได้เจ้าช่วยเราจึงได้รายชื่อพวกกบฏมา อ้อ! เจ้าอีกคนลูกศิษย์ตัวน้อยของหมอจง ขอบใจเจ้ากับพี่ชายรูปงามของเจ้ามากที่ช่วยหมอจงนำดอกยูงรำแพนแดงมารักษาอาการป่วยหนักของเสด็จพ่อของข้า หมอจงเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว ความสามารถของเจ้าช่างน่าทึ่งมาก และข้าก็ได้กลิ่นอายความพิเศษในตัวเจ้ากับพี่ชายน่าทึ่งยิ่งนัก เอาเถอะ! นับเป็นสิ่งดี สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์คนโปรดของหมอจง ข้าเป็นเพื่อนกับหมอจงมาตั้งแต่ครั้งศึกษาวิชาที่สำนักหลิ่งซานด้วยกัน เขาไม่เคยอนุญาตให้หญิงใดเข้าใกล้แต่กลับพาเจ้าติดตามไปด้วยทุกที่น่าแปลกใจจริงๆ
      หมอจง  : ท่านพูดมากเกินไปแล้ว
จินหย่งเจิ้ง  : ฮ่าฮ่า

          ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวย ดูฉลาด และเข้มแข็งแต่งกายทะมัดทะแมงเดินเข้ามาและเอ่ยทักทายหมอจง และคนอื่นๆ หมอจงจึงกล่าวแนะนำ

      หมอจง  : นี่ฟางลี่จู เป็นเจ้าเมืองและเป็นผู้นำทัพที่นี่ และยังเป็นว่าที่คู่หมั้นองค์รัชทายาท
      ฟางลี่จู  : เอ๊ะ! สาวน้อยคนนี้ใช่มั้ยที่เป็นศิษย์หญิงของหมอก้อนหินน่ะ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
          อันฉี  : (ฉันแอบขำที่ได้ยินฉายาหมอก้อนหิน)
      ฟางลี่จู  : เอาล่ะ พวกเจ้าเดินทางกันมาเหนื่อยๆ ไปกินอาหารและพักผ่อนกันก่อนเถอะ

          เราไปพักที่เรือนหมอซึ่งถูกจัดไว้เป็นสถานที่ทำงานของหมอจง เหวินหลางและหมอจงพักอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนฉันพักห้องเดียวกันกับเฟยเจินตามปกติ พอเข้าห้องพักฉันกระโดดกอดเฟยเจินด้วยความคิดถึงแล้วถามเขาว่า

          อันฉี  : กักตนมาเจ็ดวันรู้สึกร่างกายเจ้าจะแข็งแรงขึ้นนะ เนื้อแน่นเชียว! มีอะไรอย่างอื่นคืบหน้าอีกบ้าง แล้วไปกักตนที่ไหน
     เฟยเจิน  : ข้าไปกักตนที่เกาะกระต่ายผี ได้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยปี ตอนนี้ข้ามีพลังเวทย์เป็นแปดร้อยปี
          อันฉี  : ว้าวๆ กักตนแค่เจ็ดวันเองได้พลังเวทย์มาตั้งร้อยปีแน่ะ งั้นคราวหน้ากักตนรวดเดียวสิบสี่วันไปเลย แล้วได้อะไรมาอีก?
     เฟยเจิน  : ขนปีกของข้ากลายเป็นใบมีดเหล็กกล้า
          อันฉี  : แล้วพัดขนนกที่เจ้าให้ข้าจะกลายเป็นใบมีดเหล็กกล้าด้วยมั้ย (ฉันถามด้วยความตื่นเต้น)
     เฟยเจิน  : แน่นอน!
          อันฉี  : สุดยอดเลย! เจินเจินของข้า พรุ่งนี้เราออกไปลองอาวุธกัน
     เฟยเจิน  : อื้ม!
          

          เรานอนกอดกันแล้วพูดคุยถึงเกาะกระต่ายผี เฟยเจินบอกที่นั่นสุขสงบดี เผ่ากระต่ายกับเผ่านกอินทรีย์เลิกทะเลาะกันแล้ว ฉันนอนฟังเรื่องที่เฟยเจินเล่าจนเคลิ้มหลับไป   
หมายเหตุ

*หนิงอัน (เมืองที่อยู่ชายแดนแคว้นจินชาง) หมายถึง ความสงบสุขแห่งสันติภาพ

*ลี่จู (ชื่อเจ้าเมืองหนิงอัน) แปลว่า สวยงามมาก

*จิวฝู (ชื่อแซ่เด็กรับใช้) แปลว่า โชคดี ชะตามงคล

*จิ้นเหอ (ชื่อองครักษ์) แปลว่า แก่นของความซื่อสัตย์

*หลิ่งซาน แปลว่า ภูเขาแห่งสายลม เป็นสำนักที่มีชื่อเสียง มีความเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด สอนศาสตร์วิชาทุกแขนงตามความถนัดของผู้เรียน สำนักจะคัดเลือกเฉพาะนักเรียนที่มีความสามารถระดับสูงและมีพรสวรรค์เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าศึกษาที่นี่ได้ ซึ่งองค์รัชทายาทจินหย่งเจิ้ง และหมอจงหยู เคยศึกษาและเป็นศิษย์ที่สำนักนี้

*ซือซือ  แปลว่า บทกวีแห่งความสุข น่าเลื่อมใส

*ชงหยวน  แปลว่า วงเวียนแห่งความฉลาด

*ฮุ่ยจู (แคว้นหรือดินแดน)  แปลว่า ไข่มุกแห่งปัญญา

*หลี่ผิง (ชื่อองครักษ์) แปลว่า เหตุผล สันติ

เพลง Alluring Smile : Zheng Goufeng
หนึ่งยิ้มครอบครองเมือง
YouTube by : San Ko

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 38
(อันฉีได้รับบาดเจ็บ)


  ตอนเช้าฉันกับเฟยเจินจะออกไปลองอาวุธข้างนอก แต่ก่อนออกไปข้างนอกฉันให้เฟยเจินช่วยเขียนภู่กันส่งจดหมายถึงลุงหมอหวังที่อยู่แคว้นหลวนเซียน บอกว่าฉันติดตามหมอจงมารักษาคนไข้ที่เมืองหนิงอัน ขณะนั้นเหวินหลางเดินออกมาจากห้องและกำลังเดินมาตรงโถงที่เรานั่งอยู่ พร้อมกับฟางลี่จูที่กำลังเดินมาหาฉันทางด้านหน้าเรือน

          อันฉี  : เจ้าเมืองฟาง
             ลี่จู  : แม่นางไป๋
          อันฉี  : เชิญนั่งก่อน อาจารย์ยังไม่ออกมาจากห้องเลย ข้าจะไปเอาน้ำชามาให้
            ลี่จู  : ข้ามาหาเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากเมืองหลวนเซียนเจ้าเคยรักษาพี่เมิ่ง เอ่อหมายถึงท่านอ๋องน่ะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นสหายเก่ากับเขา
          อันฉี  : สุขภาพท่านอ๋องแข็งแรงดี แต่ช่วงที่ข้าจากมา ท่านอ๋องกำลังยุ่งกับการทำงานพอสมควร
            ลี่จู  : ข้าเองก็อยากไปเยี่ยมเยียนเขาเหมือนกัน แต่งานทางนี้ก็มีมากจนไม่อาจปลีกตัวไปที่อื่นได้
          อันฉี  : หากข้าได้พบท่านอ๋องอีกครั้ง ข้าจะบอกเขาเกี่ยวกับท่าน
            ลี่จู  : ได้ยินว่าเจ้าจะออกไปข้างนอกกันรึ
          อันฉี  : ใช่
            ลี่จู  : อย่าออกไปไกลนัก ระมัดระวังโจรป่า มันมักปล้นสะดมและถ้าเจอเด็กสาวหน้าตาดีมันจะจับไปขาย
          อันฉี  : ท่านเคยเจอพวกโจรป่ามั้ย
            ลี่จู  : เคยเจอ และสู้รบกับพวกมันบ่อยๆแต่พวกมันมีมาก ยากจะปราบปรามให้หมดสิ้น เจ้าต้องระวังตัวด้วย
          อันฉี  : ข้าจะระวัง เอ่อ! ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?
            ลี่จู  : ถามมาสิ
          อันฉี  : ทำไมท่านถึงมาเป็นเจ้าเมืองในที่ห่างไกลแบบนี้ล่ะ
            ลี่จู  : พ่อข้าเป็นแม่ทัพ พี่ชายข้าเป็นรองแม่ทัพ พวกเค้าต้องอยู่ปกป้องฮ่องเต้ที่เมืองหลวง ส่วนข้าเป็นหัวหน้ากองทหารภายใต้การบังคับบัญชาของท่านพ่อ ข้าจึงอาสามาปลดเจ้าเมืองโกงกินรีดไถประชาชนเพื่อส่งส่วยให้โจร ข้าจึงต้องเป็นเจ้าเมืองชั่วคราว หากเหตุการณ์ที่นี่สงบข้าจึงจะแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ แล้วค่อยกลับเมืองหลวงจินชาง

          จากนั้นลี่จูเดินกลับออกไป ฉันจึงหันไปหาเฟยเจินที่เขียนจดหมายและส่งจดหมายเสร็จเรียบร้อย เหวินหลางที่นั่งอยู่ใกล้ๆเฟยเจิน บอกว่าจะออกไปด้วย เขาอยากออกไปดูสถานที่ด้านนอกด้วยเหมือนกัน เราจึงขี่ม้าออกไปด้วยกันซึ่งฉันนั่งม้าไปกับเฟยเจิน เราขี่ม้ากันออกมาไกลพอสมควรเพราะต้องการสถานที่โล่งกว้างและห่างไกลผู้คน เรามาหยุดกันตรงสถานที่เป็นทะเลทรายโล่งกว้าง เฟยเจินเรียกกงจักรใบมีดเหล็กออกมาแล้วร่อนออกไปเพื่อทดสอบให้คล่องมือ เขาร่อนกงจักรโจมตีไปที่เนินทราย ทำให้เนินทรายระเบิดฟุ้งกระจาย จนฉันร้อง "โอ๊ย!!!" เพราะทรายเข้าตา ทั้งเฟยเจินและเหวินหลางต่างพากันหัวเราะที่เฟยเจินระเบิดทรายแต่กลายเป็นว่าฉันเจ็บ ฉันไล่ตีเฟยเจินที่เขาหัวเราะ ครู่หนึ่งเหวินหลางบอกว่าได้ยินเสียงม้าวิ่งอยู่ไกลๆ เฟยเจินจึงเปิดดวงตานกอินทรีย์มองหาในระยะไกล เขาบอกว่าเห็นกลุ่มคนผู้ชายขี่ม้าจำนวนแปดคน มีหญิงสาวหนึ่งคนถูกมัดและมีผ้าปิดปากนั่งม้ามาด้วย ดูเหมือนหญิงสาวกำลังร้องไห้

 เหวินหลาง  : พวกโจรแน่ๆ ข้าจะไปช่วยนาง (เหวินหลางกระโดดขึ้นม้าแล้วควบม้าออกไปโดยเร็ว)
     เฟยเจิน  : น้องห้า รออยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปดักทางพวกโจรไวัก่อน
          อันฉี  : เดี๋ยว! ข้าไปด้วย มาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ!

          ฉันกระโดดขึ้นม้าควบม้าตามพวกเขาไป พอไปถึงก็เห็นเฟยเจินและเหวินหลางกำลังต่อสู้กับโจรเจ็ดคนแต่พวกโจรสู้ไม่ได้เพราะฝีมือยังอ่อนหัด แต่โจรอีกคนหนึ่งคนที่จับตัวหญิงสาวไว้กำลังจะควบม้าหนี ฉันที่ควบม้ามาถึงพอดีจึงใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์ตวาดม้าให้ตกใจ "เจ้าม้าหยุดนะ!!!" ม้าเกิดอาการสะดุ้งตกใจจนเกิดการพยศยกขาหน้าจนหญิงสาวและโจรร่วงตกลงจากหลังม้ามาพร้อมกัน แล้วม้าก็วิ่งหนีไปทันที ฉันรีบกระโดดลงจากม้าแล้วเข้าไปพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น จะพาหญิงสาวแยกออกจากโจร แต่โจรลุกขึ้นมาทันฉันจึงเอาตัวขวางโจรและผลักหญิงสาวออกไปให้พ้นทาง เฟยเจินและเหวินหลางกำลังจะเข้ามาช่วย แต่โจรมีแรงมากกว่า โจรจึงจับฉันเป็นตัวประกัน โจรล็อคคอฉันไว้แล้วใช้มีดจี้ที่คอ โดยมีมือฉันข้างหนึ่งจับอยู่ที่แขนโจรข้างที่ถือมีด

     เฟยเจิน  : น้องห้า!!!
 เหวินหลาง  : แม่นางไป๋!!!
           โจร  : ถอยไป ไม่งั้นนางนี่ตาย!
          อันฉี  : พี่โจรใจเย็นๆ คุยกันก่อนดีมั้ย
 เหวินหลาง  : พี่ชาย เอาตัวข้าไปแทน นางยังเด็กปล่อยนางเถอะ แลกตัวนางกับข้า
           โจร  : ยังเด็กสิดี ขายได้ราคาดี
          อันฉี  : หนอย! ไอ้ชั่ว!!!

          ฉันเรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาที่เล็บมือ แล้วออกแรงกำมือข้างที่จับแขนโจร กงเล็บอสูรที่มีใบมีดคมกริบตัดแขนโจรข้างที่ถือมีดจ่อคอฉันจนขาดในทันที เลือดโจรกระเซ็นถูกหน้าและเสื้อฉันแดงเลอะ โจรล้มลงไปนอนร้องดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวด เหวินหลางและหญิงสาวต่างตกใจที่เห็นฉันตัดแขนโจรขาดอย่างง่ายดาย เฟยเจินเข้ามาช่วยเช็ดเลือดที่เลอะหน้าแล้วถามด้วยความห่วงใย

     เฟยเจิน  : เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
          อันฉี  : มันรัดคอข้าหายใจไม่ออก ข้ากลัว (ฉันออเซาะออดอ้อนเฟยเจิน)
เหวินหลาง  : เจ้าเพิ่งจะตัดแขนโจรขาด ยังมีหน้ามาบอกว่ากลัวอีกรึ?! ครั้งที่สามแล้วนะที่เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ พี่ชายข้าเคยเห็นเจ้าทำเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?!
          อันฉี  : ชู่วววว! นับครั้งไว้ด้วยเหรอ?! อย่าบอกอาจารย์นะ ว่าแต่เจ้าช่วยแก้มัดให้พี่สาวคนนั้นก่อนเถอะ
 เหวินหลาง  : เออ! จริงสิ เจ้าชื่ออะไร มาจากที่ไหน ทำไมถึงถูกพวกโจรจับตัวมาล่ะ (เหวินหลางกำลังแก้มัดให้หญิงสาวที่ถูกจับตัวมา)
   หญิงสาว  : ข้าชื่อ ซือซือ มาจากแคว้นฮุ่ยจู ข้าติดตามพี่ชายมาเที่ยวซื้อของในเมืองนี้ ข้าเดินดูของเพลินไปหน่อยจึงพลัดหลงกันกับพี่ชาย ตอนที่ข้ากำลังเดินตามหาพี่ชาย จู่ๆโจรพวกนี้ก็โผล่มาจับตัวข้า ข้าขอบคุณพวกท่านมากๆที่ช่วยข้าไว้ หากไม่ได้พวกท่านช่วย ป่านนี้ข้าไม่รู้จะเป็นยังไง
          อันฉี  : แล้วได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
        ซือซือ  : เจ็บมากที่ข้อเท้าตอนตกลงจากหลังม้า
     เฟยเจิน  : น้องห้าเป็นหมอ นางจะรักษาให้เจ้า
        ซือซือ  : นี่เจ้าเป็นหมอรึ ไม่อยากเชื่อเลยยังเด็กอยู่แท้ๆ และตอนที่ตัดแขนโจรอีกเยี่ยมไปเลย
 เหวินหลาง  : แม่นางซือซือ ไปพักกับพวกเราก่อนก็แล้วกัน ค่อยคิดการกันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป
          อันฉี  : ไปถึงเรือนหมอค่อยทายาพันข้อเท้าตามปกติ นางแค่ข้อเท้าแพลง
 เหวินหลาง  : แล้วจะเอาไงดีกับโจรนี่
     เฟยเจิน  : ปล่อยไว้อย่างนี้แหละเดี๋ยวมันก็ตาย กงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ของน้องห้ามีพิษนิลอสูรบาดแผลจะไม่สมาน ถ้าน้องห้าไม่รักษาให้ก็ไม่มีใครรักษาได้ เรากลับกันเถอะ

          เหวินหลางอุ้มซือซือขึ้นม้าให้นั่งม้าไปกับเขา ยังไม่ทันไรเราก็ได้ยินเสียงม้าควบมาอย่างเร็ว เฟยเจินบอกว่าเป็นชายหนุ่มสองคนกำลังควบม้ามาทางนี้ ครู่เดียวชายหนุ่มทั้งสองก็มาถึงและหยุดม้าตรงเรา ซือซือ เรียกชายที่มาว่า พี่ชาย แล้วนางก็ลงจากหลังม้าแล้ววิ่งกระเผลกๆไปหาชายคนที่นางเรียกว่าพี่ชาย นางบอกเขาว่าพวกเราช่วยเหลือนางไว้ ชายหนุ่มมาดเข้ม จึงกล่าวขอบคุณและแนะนำตัว

   ชายหนุ่ม  : ข้า ฮุ่ยชงหยวน เป็นพี่ชายของซือซือ
   ผู้ติดตาม  : ข้า หลี่ผิง เป็นผู้ติดตาม
    ชงหยวน  : น้องสาวคนนั้นได้รับบาดเจ็บมีเลือดออกรึ เป็นอะไรมากรึเปล่า?
 เหวินหลาง  : นางไม่เป็นอะไรหรอก นั่นเลือดของโจร (เขาชี้นิ้วไปที่โจรถูกตัดมือนอนแน่นิ่ง) พวกเรากลับเข้าเมืองกันก่อนดีกว่า ซือซือได้รับบาดเจ็บข้อเท้าแพลงต้องรักษาก่อน

          ซือซือจึงขึ้นนั่งม้ากับชงหยวน จากนั้นพวกเราควบม้ากลับเข้าเมือง และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ชงหยวนบอกว่าพวกเขามาหาลู่ทางค้าขายที่เมืองนี้ แต่พลัดหลงกับซือซือ เขาจึงออกตามหาซือซือตามคำบอกเล่าของชาวบ้านและตามมาถึงที่นี่ ลี่จูจึงเชื้อเชิญพวกเขาให้พักด้วยกันที่นี่ ฉันจึงพาซือซือไปทายาที่ข้อเท้าแพลงและพันข้อเท้าไว้สัก 2-3 วันก็จะหายเป็นปกติ ชงหยวนจึงพาซือซือไปพักในห้อง ฉันจึงชวนเฟยเจินไปนั่งเล่นที่โถงปรุงยา เฟยเจินนั่งขัดเช็ดทำความสะอาดอาวุธโดยมีฉันนั่งป้อนองุ่นให้อยู่ข้างๆ สักพักเหวินหลางก็เดินเข้ามานั่งข้างๆฉันแล้วพูดเบาๆคล้ายกระซิบว่า...

เหวินหลาง  : ข้ารู้ว่าเจ้าแสร้งแสดงเป็นสาวน้อยใสซื่อในสายตาพี่ชายข้า แต่เขาไม่เคยเห็นเจ้าเหมือนที่ข้าเห็น หากเจ้าทำดีกับข้า ข้าจะไม่บอกเขาเรื่องที่เจ้าตัดแขนโจรขาดอย่างง่ายดาย อะแฮ่ม! ตอนนี้ข้าอยากดื่มน้ำชา
          อันฉี  : (ฉันจึงพูดเบาๆตอบกลับเหวินหลางว่า...) อ๋อ! เรื่องนั้นถ้าอาจารย์รู้เขาน่าจะดีใจมากกว่า ที่ข้าดูแลตัวเองได้ แต่เรื่องของเจ้านี่ซี๊!... ข้ามีบางอย่างจะบอก คือข้าเป็นเพื่อนกับเฉิงเหม่ยอิง ตอนที่ข้าอยู่ที่จวนราชครู เฉิงเหม่ยอิงยังมาชวนข้าให้ไปพักด้วยกันที่จวนของนางเลย และถ้าข้าได้เจอกับนางอีกครั้ง เราคงมีเรื่องพูดคุยกันเยอะแยะ รวมถึงเรื่องที่ข้ารู้ความลับของเจ้าด้วย เจ้าถั่วเขียว ถ้านางได้ยินชื่อนี้ของเจ้าล่ะก็ นางคงจะขำกลิ้ง ต่อให้เจ้ามีใบหน้าอันหล่อเหลา มาดเข้มสุขุมก็เถอะ ใบหน้าหล่อๆก็มิอาจช่วยกู้หน้าให้เจ้าได้ ดังนั้นเจ้าควรทำดีกับข้าไว้จะดีกว่า (เฟยเจินขำที่ได้ยินชื่อเจ้าถั่วเขียว)
เหวินหลาง  : ฮึ่ม! เจ้ามันนางปีศาจชัดๆ!
          อันฉี  : เจ้ารู้อย่างนี้แล้ว เกรงกลัวข้าไว้บ้างก็ดี แต่เอ๊! หรือข้าจะเขียนจดหมายฝากนกเหยี่ยวไปส่งจดหมายให้เหม่ยอิงตอนนี้เลยดีน๊า อะแฮ่ม! เจ้ารินน้ำชาให้ข้าสิ ฮ่าฮ่าฮ่า
เหวินหลาง  : (เหวินหลางรินน้ำชาให้ฉันแล้วบ่นพึมพำว่า...) นางปีศาจ!

          หมอจงเพิ่งกลับจากพุดคุยกับองค์รัชทายาท เขาก็มานั่งจัดยาฉันจึงลุกขึ้นไปช่วย หมอจงบอกฉันว่าอย่าออกไปข้างนอกไกลๆอีก มันอันตราย ฉันพยักหน้ารับคำว่าจะไม่ออกไปอีก ทันไดนั้นเหวินหลางก็ส่งเสียง "เชอะ!" ขึ้นมาทันที หมอจงจึงพูดขึ้นว่า...

      หมอจง  : เหวินหลางถ้าเจ้าว่างนักก็มาช่วยข้าจัดยาแก้ไข้ให้ชาวบ้านดีกว่า เสร็จแล้วข้าจะได้นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน คืนนี้องค์รัชทายาทพระราชทานงานเลี้ยง ไปร่วมงานกันด้วยล่ะ
          อันฉี  : อาจารย์ไปด้วยหรือเปล่า
      หมอจง  : อื้ม

          จัดยากันเสร็จเราทั้งสี่คนจึงช่วยกันนำยาไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านมียาสามัญลดไข้เก็บไว้ที่บ้าน ฉันสังเกตุเห็นชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก แต่พวกเขาดูมีความสุข คงเป็นเพราะลี่จูเป็นเจ้าเมืองที่ดูแลเอาใจใส่ประชาชนเป็นอย่างดีนั่นเอง

         ตกเย็นเหล่าชาวบัานต่างนำอาหารที่ช่วยกันปรุงออกมาวางรวมกัน และล้มหมู ก่อกองไฟทำหมูย่าง เหล่าชาวบ้านหนุ่มสาวต่างพากันร้องรำทำเพลงเต้นรอบกองไฟ โดยเฉพาะสาวๆดูจะครึกครื้นตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหนุ่มหล่ออาคันตุกะหลายคนให้พวกสาวๆชวนออกไปเต้นรำ ยกเว้นหมอจงที่ยังไงก็ไม่ยอมออกไปเต้นรำกับสาวๆ พวกสาวๆจึงดึงเหวินหลางออกไปเต้นรำแทน ส่วนเฟยเจินจะมีสาวๆรอคิวเต้นด้วยไม่เว้นว่าง แม้แต่ฉันและลี่จูที่เป็นเจ้าเมืองก็ถูกหนุ่มๆเชิญออกไปเต้นรำด้วยเหมือนกัน คืนนี้จึงเป็นคืนที่สนุกสนานกันมากจริงๆ

          หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับเมื่อคืน ทำให้เช้าวันนี้ฉันตื่นสาย เฟยเจินปลุกฉันด้วยการหอมแก้มจนฉันรู้สึกตัวตื่น ฉันจึงพลิกตัวไปกอดเขาแล้วบอกยังง่วงอยู่เลย เฟยเจินจึงจูบซุกไซร้ซอกคอให้ฉันจักจี้ ฉันจึงยอมตื่น แล้วรีบล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปที่โถงปรุงยา ไม่เห็นหมอจงนั่งอยู่ เห็นแต่เหวินหลางนั่งอยู่คนเดียว เขาบอกว่ากำลังรอเฟยเจิน เมื่อวานชักชวนกันไว้ว่าเช้านี้จะออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก ฉันจึงบอกไปว่าเฟยเจินเพิ่งตื่นให้เขารอสักครู่

          ขณะนั้นหมอจงที่กำลังเดินมา ในมือถือพวงผลไม้สีส้มสดผลเล็กๆเท่าผลองุ่น มาวางตรงหน้าฉันแล้วบอกว่า ผลไม้แก้สร่างเมา ฉันเด็ดใส่ปากชิมหนึ่งลูก รสเปรี้ยวมากเหมือนเม็ดมะยมจนรีบคายทิ้ง เหวินหลางนั่งหัวเราะที่เห็นหมอจงแกล้งฉัน ส่วนหมอจงก็แอบขำฉันเบาๆ ฉันจึงหันไปโวยวายที่หมอจงว่า...

          อันฉี  : อาจารย์ ตั้งใจแกล้งข้าเหรอ
      หมอจง  : ก็เจ้าไม่ได้ถามข้าว่ารสชาติเป็นยังไง

          ขณะนั้นเฟยเจินที่กำลังเดินมา และจะออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกกับเหวินหลางฉันจึงเรียกเขาไว้ ในมือถือผลไม้สีส้มสดรสเปรึ้ยว

          อันฉี  : พี่สี่...มากินผลไม้ก่อน ตอนเช้าๆควรกินผลไม้สุขภาพจะดี๊ดี
     เฟยเจิน  : เอ๊ะ! ผลไม้อะไรสีสวยน่ากินจัง (เฟยเจินเห็นเหวินหลางส่งสัญญาณบอกว่าอย่ากิน)
          อันฉี  : พี่สี่...ผลไม้หว๊านหวาน อ้าปากสิข้าจะป้อน (แต่เฟยเจินจับมือฉันไว้ แล้วพูดว่า)
     เฟยเจิน  : ถ้าหวานเจ้าก็กินซะสิ กินให้หมดนี่เลย! (เฟยเจินหยิบผลไม้ใส่ปากฉัน แล้วพูดว่า...) เจ้าน่ะถ้าเรียกข้าพี่สี่เสียงหวานๆมีอยู่สองอย่าง ถ้าไม่อ้อนเอาอะไรสักอย่าง เจ้าก็ต้องแกล้งข้า

          เฟยเจินหยิกแก้มฉันแล้วเดินหัวเราะออกไปกับเหวินหลาง ปล่อยให้ฉันยืนเจ็บใจที่แกล้งเขาไม่สำเร็จ แล้วคายผลไม้รสเปรี้ยว ออกจากปากมาทิ้ง ฉันเดินกลับไปหาหมอจงที่กำลังนั่งคัดสมุนไพร และแกล้งหยอกหมอจงป้อนผลไม้รสเปรี้ยว หมอจงจับมือฉันไว้ไม่ให้แกล้งแล้วหัวเราะ พลันสายตาเขาก็เห็นหางงูสีขาวที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อเลื้อยผลุบหนีไปใต้แขนเสื้อ หมอจงตกใจมากรีบถลกแขนเสื้อฉันเพื่อหางูสีขาว เขากลัวว่างูจะฉกกัดฉัน แต่งูกลับเลื้อยหนีลึกเข้าไปในเสื้อ หมอจงพยายามจะถอดเสื้อฉันเพื่อจับงู แต่ฉันไม่ยอมให้หมอจงถอดเสื้อและพยายามดิ้นหนีจนเสื้อหลุดลุ่ย คอเสื้อเปิดออกกว้าง หมอจงจับฉันนั่งบนตักและจับแขนไม่ให้ดิ้น

      หมอจง  : อย่าดิ้นสิ! เดี๋ยวงูกัดเอาหรอก อยู่เฉยๆ ข้าจะจับงู!
          อันฉี  : อาจารย์อย่า! นั่นไม่ใช่งู ฟังข้าก่อน!
      หมอจง  : เมื่อกี้ข้าเห็นงูจริงๆ
          อันฉี  : อาจารย์อย่า! ฟังข้าก่อน!

          ทันไดนั้นลี่จูและองค์รัชทายาทหย่งเจิ้ง ที่กำลังพาชงหยวนเดินชมสถานที่ เห็นหมอจงกำลังกอดรัดยื้อมือกับฉัน ทุกคนต่างพากันตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เห็น ลี่จูรีบวิ่งเข้ามาดึงหมอจงออกแล้วพยุงฉันให้ลุกขึ้นและต่อว่าหมอจงยกใหญ่

            ลี่จู  : เจ้าหมอก้อนหิน คิดจะทำอะไรห๊ะ เจ้าแกล้งทำเป็นไร้ความรู้สึก แล้วนี่กำลังจะข่มเหงลูกศิษย์ตัวเองรึ ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ
     หย่งเจิ้ง  : เฮ่อ! ไม่คิดว่าเจ้าจะใจร้อนขนาดนี้ แบบนี้มันประเจิดประเจ้อเกินไป
      หมอจง  : ข้าไม่ได้คิดจะข่มเหงนาง! แต่ข้าจะจับงูขาวที่อยู่ในเสื้อของนางต่างหากเล่า
            ลี่จู  : ข้ออ้างของเจ้าล่ะสิ ข้าไม่เห็นมีงูสักตัว (ลี่จูหันมามองฉัน แล้วเหลือบไปเห็นรอยสัญลักษณ์ทางด้านหลัง ลี่จูจึงเปิดคอเสื้อฉันออกดู) แต่เอ๊ะ! นี่รอยอะไรเนี่ยขอข้าดูชัดๆหน่อย
          อันฉี  : งูขาวที่อาจารย์เห็นคือรอยสัญลักษณ์ของพี่ชายข้า

          ฉันเปิดเสื้อให้พวกเขาดูแผ่นหลังที่มีรอยสัญลักษณ์แมงป่องแดงโลหิตและปีกอินทรีย์ทอง ส่วนหัวไหล่ขวาคืออสูรสายฟ้าเสือดำ และที่ต้นแขนมีงูหยกหิมะขาวพันรอบอยู่ ทุกคนและหมอจงรีบเข้ามาดูและบอกว่า...

      หมอจง  : ใช่แล้ว! งูขาวตัวนี้แหละที่ข้าเห็น แต่ก่อนหน้านี่มันเคลื่อนไหวได้
          อันฉี  : ก็ข้าพยายามจะอธิบายแต่อาจารย์ไม่ยอมฟัง จะถอดเสื้อข้าออกท่าเดียว
      หมอจง  : ตอนนั้นข้าตกใจ กลัวงูฉกกัดเจ้า!
    ชงหยวน  : เอ๊! รอยสัญลักษณ์นี่คุ้นตา เหมือนเคยพบเห็นที่ไหน แต่นึกไม่ออก
      หมอจง  : ทำไมเจ้ามีรอยสัญลักษณ์พวกนี้ล่ะ
          อันฉี  : นี่คือรอยสัญลักษณ์ของพี่ชายทั้งสี่ เอ่อ...เป็นสัญลักษณ์แทนใจเชื่อมสายสัมพันธ์น่ะ
            ลี่จู  : อืม...เฟยเจินคือสัญลักษณ์อะไรรึ
          อันฉี  : ปีกนกอินทรีย์ทอง
      หมอจง  : งูขาวนี่ล่ะ
          อันฉี  : คือรอยสัญลักษณ์ของพี่ใหญ่ ส่วนนี่เสือดำพี่รอง และแมงป่องแดงพี่สาม
     หย่งเจิ้ง  : เอาเถอะ! งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ลี่จู พอดีข้ามีธุระต้องพูดคุยกับหมอจงหน่อย ฝากเจ้าพาคุณชายชงหยวนชมสถานที่ต่อ อ้อ! อันฉี เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนหมอจง ให้รู้จักอ่อนโยนให้มากกว่านี้ ข้าขอโทษแทนเขาด้วย

          ฉันจึงแต่งตัวให้เรียบร้อย และนั่งคัดสมุนไพรแทนหมอจงต่อ หย่งเจิ้งองค์รัชทายาทพาหมอจงเข้าไปพูดคุยในห้องพักพร้อมกับหยิบตำราออกมาจากตู้หนังสือเล่มหนึ่ง หย่งเจิ้งเปิดหน้าตำราหน้าหนึ่ง แล้วชี้ให้หมอจงดูที่รูปภาพ

     หย่งเจิ้ง  : นี่ไงรอยสัญลักษณ์บนร่างกายไป๋อันฉี ตรงกับรูปภาพในตำนานสี่สัตว์เทพแห่งแคว้นหลวนเซียน เมื่อครั้งที่ข้าพบนางครั้งแรกที่บ้านของเจ้า ข้ารู้สึกถึงเปลวไฟที่ร้อนแรงที่แผ่กระจายออกมาจากตัวนาง และรู้สึกถึงบางอย่างที่พิเศษในตัวของนาง จนเมื่อเจ้าเล่าให้ข้าฟังถึงวีรกรรมของนางและพี่ชายบนเกาะกระต่ายผี ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาคงไม่ได้ดอกยูงรำแพนแดงมาง่ายๆ ข้าจึงสั่งให้คนไปหาหนังสือเกี่ยวกับ แคว้นหลวนเซียนมาให้ข้าอ่าน ซึ่งข้าก็ได้ตำราเล่มนี้มา ในตำรากล่าวไว้ว่า นกอัคคีสวรรค์ หรือนกหงส์ไฟ เทพผู้มอบพรวิเศษให้แคว้นหลวนเซียนปลอดโรคระบาด สามารถควบคุมสี่สัตว์เทพให้ทำตามคำสั่ง และที่สำคัญมากกว่านั้น นกอัคคีสวรรค์มีชีวิตเป็นอมตะ อีกทั้งยังสามารถชุบชีวิตคนตายแล้วฟื้น ในตอนแรกข้ายังไม่แน่ใจ จนเมื่อกี๊ได้เห็นรอยสัญลักษณ์บนตัวนาง ข้าเริ่มจะมั่นใจว่านางอาจจะเป็นนกอัคคีสวรรค์ก็เป็นได้ เจ้าใกล้ชิดกับนางมากที่สุดคิดว่ายังไง
      หมอจง  : ข้ายังไม่แน่ใจ คงต้องรอการพิสูจน์ให้แน่ชัด
     หย่งเจิ้ง  : เจ้าตาถึงจริงๆมิน่าเจ้าถึงยอมแหกกฏตัวเอง รับนางเป็นศิษย์ของเจ้า

      หมอจงนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอกับฉัน มันดูสอดคล้องกันกับที่กล่าวในตำนาน โดยเฉพาะวันที่เขาแอบเห็นฉันดื่มเหล้าเมามายแล้วกลายร่างเป็นนกหงส์ไฟเต้นรำอยู่ในสวน แต่เขาก็มิได้เล่าให้องค์รัชทายาทหย่งเจิ้งฟัง หมอจงจึงกล่าวลาองค์รัชทายาทเพื่อกลับไปทำงานต่อที่เรือนหมอ แล้วกล่าวขอโทษฉันเมื่อเขากลับมาถึง

      หมอจง  : ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าเมื่อกี๊
          อันฉี  : ไม่เป็นไร ต่อไปมีอะไรท่านถามข้าก่อนนะ

          หลังอาหารมื้อค่ำฉันบอกเฟยเจินให้ไปกักตนอีกครั้ง เขาตอบตกลงและจะเดินทางไปพรุ่งนี้เช้า เราจึงเข้านอนกันแต่หัวค่ำ พอรุ่งเช้าเฟยเจินก็โผบินไปกักตนที่เกาะกระต่ายผี ฉันเดินไปที่โถงปรุงยาเพื่อเตรียมน้ำชาไว้ให้หมอจงดื่ม เหวินหลางที่ตื่นเช้าทุกวันเดินมาแล้วถามหาเฟยเจินเพื่อชวนออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก ฉันจึงบอกเขาว่าเฟยเจินไปกักตนเพื่อเพิ่มพลังเวทย์ เหวินหลางถึงกับเอ่ยปากชื่นชมเฟยเจินที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งทั้งๆที่ยังมีอายุน้อย เหวินหลางจึงอยู่ช่วยฉันและหมอจงคัดแยกและตัดสมุนไพร

          ตกบ่าย ขณะที่เรากำลังนั่งพักผ่อน หมอจงและเหวินหลางกำลังนั่งเล่นหมากกระดานด้วยกัน ส่วนฉันกำลังช่วยซือซือเลือกเครื่องประดับเพื่อนำไปเป็นของฝากญาติของนาง ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งมาตามหมอจงให้ไปรักษาคนเจ็บที่หน้าประตูเมือง หมอจงรีบคว้ากระเป๋าเครื่องมือแล้วรีบออกไป พวกเราที่นั่งกันอยู่จึงรีบวิ่งตามหมอจงไป เรามาถึงหน้าประตูเมืองเห็นชายคนหนึ่งมีเลือดเลอะเต็มตัว ชาวบ้านบอกว่าเห็นชายคนนี้นอนบาดเจ็บอยู่ด้านนอกหน้าประตู พวกชาวบ้านจึงพาเข้ามาด้านในเพื่อให้หมอทำแผล แต่หมอจงบอกว่าลักษณะไม่น่าจะใช่คนในเมืองหนิงอัน แล้วจู่ๆเขามานอนอยู่หน้าประตูได้ยังไง ใครเป็นคนพาเขามานอนที่หน้าประตูเมือง? ขณะเดียวกันลี่จู หย่งเจิ้ง ชงหยวน และหลี่ผิง กำลังเดินมาและหยุดตรงที่เรายืน ลี่จูที่หยุดยืนอยู่ข้างๆฉันถามขึ้นว่า...

            ลี่จู  : คนนี้รึที่ทหารมารายงานว่าพบนอนอยู่ที่หน้าประตู
      หมอจง  : ใช่ แต่ดูแปลกๆ ข้าจะตรวจเขาเอง

          หมอจงบอกชาวบ้านให้ช่วยกันพยุงคนเจ็บไปนอนบนแคร่ที่อยู่ใกล้ๆ ขณะที่กำลังพยุงคนเจ็บเดินผ่านหน้าฉันและลี่จู คนเจ็บแปลกหน้าชักมีดพกออกมาแล้วพุ่งตัวจะแทงลี่จูในระยะประชิด ฉันที่ยืนอยู่ข้างๆลี่จูรีบขยับตัวขวางรับมีดจนถูกแทงเข้าที่ท้อง ทุกคนพากันตกใจและตกตะลึง คนร้ายรีบกระโดดข้ามกำแพงหนีออกไป เหวินหลางและหลี่ผิงรีบตามคนร้ายออกๆไปทันที ลี่จูจึงรีบเข้ามาประคองฉันที่ถูกคนร้ายแทงด้วยมีดและมีดยังคงปักอยู่ที่ท้อง แต่ฉันปัดมือลี่จูออกไม่ให้มาแตะต้อง และตวาดขึ้นว่า "อย่าแตะต้องตัวข้า!!!" หมอจงรีบถอดเสื้อคลุมออกแล้วมาห่มคลุมตัวให้ฉันทันที หน้าตาของเขาตื่นตระหนกตกใจมาก เขาประคองฉันไว้แล้วบอกกับทุกคนว่าจะพาฉันกลับไปรักษาที่เรือนหมอ จากนั้นหมอจงรีบอุ้มฉันกลับเรือนหมอแล้วอุ้มเข้าไปในห้องที่ฉันพัก เขาวางฉันนอนบนเตียง ปิดประตูลงกลอนสลัก แล้วเปิดผ้าคลุมออกแล้วใช้ผ้าห่อหุ้มมีดเพื่อไม่ให้สัมผัสถูกเลือดฉันแล้วดึงมีดออก ฉันร้อง "โอ๊ย!!!" ดังลั่นห้อง เจ็บจนน้ำตาไหลร้องไห้เป็นเด็กๆ หมอจงรีบถอดเสื้อของฉันออกจนหมด ฉันให้หมอจงหยิบตลับยาในเข็มขัดเวทย์ เป็นตลับยาใบโซ่โลหิตที่ฉันบดละเอียดเป็นผงไว้สำหรับใช้กับตัวเอง ให้หมอจงโรยบนบาดแผลให้ฉัน หมอจงจึงถามว่า....

      หมอจง  : โรยยาแล้วให้ทำยังไงต่อ!
          อันฉี  : ขอผ้าปิดหน้าอกให้ข้าหน่อย ข้าอาย...
      หมอจง  : ข้าถามถึงการรักษาบาดแผลเจ้าต้องทำยังไงอีก บอกข้ามาเร็ว!
          อันฉี  : ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอให้แผลสมานด้วยตัวของมันเอง อาจารย์ข้าขอน้ำล้างเลือดที่มือหน่อย

      หมอจงหยิบผ้ามาปิดหน้าอกให้ฉัน แล้วเดินออกไปตักน้ำเพื่อให้ฉันล้างมือ พบทุกคนยืนรออยู่หน้าห้องด้วยความเป็นห่วง หลี่ผิงจึงอาสาไปตักน้ำ ซือซือจึงถามขึ้นว่า...

       ซือซือ  : หมอจง ไป๋อันฉีเป็นยังไงบ้าง
     หมอจง  : ข้าทำแผลให้นางแล้ว ต้องรอดูอาการก่อน
            ลี่จู  : ขอให้ข้าเข้าไปดูนางหน่อยได้มั้ย ข้าเป็นห่วงนาง
      หมอจง  : เข้าไม่ได้ ทุกคนต้องรออยู่ข้างนอก เหวินหลางจับตัวคนร้ายได้มั้ย
 เหวินหลาง  : คนร้ายหนีไปได้ มันไวมาก
     หย่งเจิ้ง  : ข้าส่งคนไปสืบแล้ว เราจะรู้ว่ามันเป็นใคร
        หลี่ผิง  : น้ำมาแล้ว!
      หมอจง  : ขอบใจ

          หมอจงรับอ่างน้ำมาให้ฉันล้างมือ ล้างรอยเลือดบริเวณลำตัว หมอจงมองดูบาดแผลที่ท้อง บาดแผลฉกรรจ์ที่เห็นในตอนแรก ตอนนี้บาดแผลกำลังสมานตัว และดีขึ้นกว่าเดิมมาก หมอจงจึงเบาใจว่าฉันจะไม่ตายง่ายๆอย่างที่เคยพูดไว้ จากนั้นเขาจึงยกอ่างน้ำออกไป ก็พบกับทุกคนที่ยังยืนรออยู่หน้าหัอง หลี่ผิงรีบรับอ่างน้ำจากมือหมอจง หมอจงกำชับหลี่ผิงห้ามสัมผัสน้ำเปื้อนเลือดในอ่างเด็ดขาด

            ลี่จู  : นางเป็นยังไงบ้าง?!
      หมอจง  : อันฉีไม่เป็นอะไรแล้ว นางปลอดภัย ทุกคนอย่าห่วง ตอนนี้ยังให้เยี่ยมไม่ได้ต้องให้นางพักผ่อนก่อน
            ลี่จู  : อันฉีเกลียดข้าหรือเปล่า เพราะตอนที่นางถูกแทง นางไม่ยอมให้ข้าแตะต้องตัวนางเลย หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่ยอมให้นางเอาตัวมารับมีดแทนข้า
      หมอจง  : นางไม่ได้เกลียดเจ้า แต่นางปกป้องเจ้า ที่นางไม่ให้เจ้าแตะต้องตัว เพราะเลือดของนางเป็นพิษ หากเจ้าแตะต้องเลือดของนาง เจ้าจะได้รับอันตรายไปด้วย เอาอ่างน้ำนั่นไปเทบนต้นหญ้า พวกเจ้าก็จะเข้าใจเอง
       ซือซือ  : ข้าจะต้มข้าวต้มไว้ให้ไป๋อันฉีนะ
      หมอจง  : อืม

          หมอจงปิดประตูลงสลักแล้วเดินกลับมาหาฉันที่เตียง เขานั่งลงข้างฉันจับมือแล้วพูดว่า

      หมอจง  : ใช้มือของเจ้าส่งพลังรักษาแผลให้หายทันที เหมือนที่เคยรักษาข้าสิ
          อันฉี  : ข้านอนอยู่เฉยๆเดี๋ยวแผลก็หายได้เอง จะให้ข้าใช้พลังงานให้สิ้นเปลืองทำไม
      หมอจง  : จริงด้วย! แผลสมานกันเร็วมาก เยี่ยมจริงๆ ...ต่อไปเจ้าห้ามเอาตัวเองเข้าไปรับคมอาวุธแทนใครอีก ไม่นึกกลัวบ้างหรือไง
          อันฉี  : กลัวสิ เจ็บมากด้วย แต่ตัวข้ามันขยับไปเอง อาจารย์ข้าของีบหลับสักประเดี๋ยว การนอนหลับจะช่วยฟื้นฟูกำลังและช่วยสมานแผลข้าได้เร็วขึ้น
      หมอจง  : ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้านอนหลับเถอะ

          หมอจงล้มตัวลงนอนข้างๆฉัน แล้วจูบที่หน้าผาก เขาเอามือลูบแก้มฉันอย่างอ่อนโยน จนฉันหลับไปสักพักใหญ่ ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งเห็นหมอจงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆอย่างสบายใจ เขาหันมามองฉัน แล้วบอกว่าแผลหายสนิทเป็นปกติแล้ว ซือซือต้มข้าวต้มรอไว้ให้ฉันกิน ฉันจึงบอกหมอจงว่าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อน ฉันจึงเดินไปที่ฉากกั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า หมอจงจึงยืนหันหลังให้เพื่อรอให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ จากนั้นหมอจงจึงเดินไปเปิดประตูห้อง ก็เห็นลี่จู กับซือซือถือชามข้าวต้ม และเหวินหลาง กรูกันเข้ามาในห้อง โดยเฉพาะลี่จูที่กล่าวขอบคุณยกใหญ่ จนฉันเขินได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร พวกเขาต่างดีใจที่เห็นฉันอาการดีขึ้นเหมือนคนปกติ ฉันบอกพวกเขาว่าเพราะมีหมอเทวะรักษาบาดแผลให้จึงหายเร็ว ตกเย็นหย่งเจิ้งและชงหยวนจึงมาเยี่ยม ฉันขอร้องพวกเขาอย่าบอกเรื่องนี้กับเฟยเจินเพราะฉันไม่ต้องการให้เฟยเจินเป็นห่วง หลังอาหารมื้อค่ำพวกเขานั่งดื่มเหล้ากันต่อ แต่ฉันขอตัวไปนอนก่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้เป็นปกติ
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 39
(ศึกโจรป่า)

          เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความกระปี้กระเปร่า พบหมอจงและเหวินหลางนั่งดื่มน้ำชากันอยู่ที่โถงปรุงยา ฉันถามพวกเขาถึงคนร้ายที่องครักษ์จิ้นเหอไปตามสืบ เหวินหลางบอกว่าคนร้ายเป็นพวกโจรป่าที่เคยมีปัญหากับลี่จูมาก่อน พวกโจรป่าส่งคนมาลอบทำร้าย เพราะลี่จูไม่ยอมอ่อนข้อให้กับพวกมัน ต่อไปเราต้องเพิ่มความระมัดระวัง โจรป่าพวกนี้มันร้ายกาจมาก จากเหตุการณ์วันนั้นพวกชาวบ้านที่ออกไปค้าขายนอกเมือง หรือออกไปหาของป่า มักถูกปล้นหรือถูกทำร้ายกลับมาทุกวัน

          วันนี้ช่วงบ่ายเฟยเจินกลับจากการกักตน พร้อมกับซือซือทำของว่างมาให้เรากินที่เรือนหมอ และนั่งคุยกับเราต่อ ซือซือเล่าว่าเห็นมีผู้ชายสามคนเป็นคนของพวกโจรป่ามาขอพบเจ้าเมืองลี่จู เพื่อเรียกเก็บส่วยหากลี่จูไม่ส่งส่วยพวกโจรป่าจะไม่รับประกันความปลอดภัยของชาวเมืองหนิงอัน

      หมอจง  : องค์รัชทายาทก็เพิ่งกลับเมืองหลวงจินชางไปตอนเช้าตรู่เพราะต้องไปปราบกบฏ แล้วลี่จูจัดการเรื่องนี้ยังไง
       ซือซือ  : ลี่จู ไม่ยอมรับข้อตกลงจ่ายส่วย พวกนั้นจึงกลับออกไป
     เฟยเจิน  : พวกมันเป็นโจรกลุ่มเดียวกันกับโจรลักพาตัวหรือเปล่า
      หมอจง  : เป็นไปได้
 เหวินหลาง  : หวังว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่ และหวังว่าเหม่ยอิงที่อยู่จินชางจะปลอดภัย
      หมอจง  : นางปลอดภัย องค์รัชทายาทพาตัวนางไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว

          ไม่นานนักเจ้าเมืองลี่จูก็เรียกประชุมทุกคนรวมทั้งประชาชนในเมืองหนิงอัน ให้ระมัดระวังโจรป่า หากต้องออกไปนอกเมืองอย่าออกไปโดยลำพัง อีกทั้งลี่จูได้ส่งจดหมายไปที่เมืองหลวงจินชาง เพื่อขอกองกำลังทหารมาช่วยปราบโจรป่า พวกเราจึงช่วยกันระแวดระวังกันเป็นพิเศษ แต่ประชาชนและทหารก็มักถูกลอบโจมตีบ่อยๆ หมอจง เหวินหลาง ซือซือ เฟยเจิน และฉันจึงมีงานทำแผลให้ชาวบ้านและทหารกันทุกวัน ส่วนชงหยวนคอยช่วยงานลี่จู

          เช้าวันนี้ดูจะมีเรื่องยุ่งๆเพราะมีทหารลาดตระเวนวิ่งกระหืดกระหืดกระหอบมารายงานเจ้าเมืองลี่จูว่า พบกองกำลังจำนวนหนึ่งประมาณห้าร้อยคนตั้งกองกำลังอยู่ชายป่า อีกทั้งมีชาวบ้านชาย-หญิงคู่หนึ่งวิ่งร้องไห้มาบอกลี่จูว่าลูกชายของเขาอายุห้าขวบและแม่ยายออกไปเก็บผักด้านหลังกำแพงเมืองได้หายตัวไปตั้งแต่เช้า เขาและภรรยาออกตามหาจนทั่วก็ไม่พบ ลี่จูจึงสั่งทหารจำนวนหนึ่งช่วยกันออกตามหาแต่ก็ตามหาไม่พบเช่นกัน จึงสันนิษฐานกันว่าอาจถูกพวกโจรจับตัวไปเพื่อเรียกเงินค่าไถ่

          จนถึงเวลาค่ำพวกโจรป่าเคลื่อนพลล้อมเมืองหนิงอันอีกทั้งมีกองกำลังโจรป่ามาเพิ่มอีกสองร้อยคนรวมเป็นเจ็ดรัอยคน ลี่จูจึงส่งนกพิราบและม้าเร็วออกไปเมืองหลวงเพื่อขอกองกำลังทหารเพิ่มแต่ถูกพวกโจรป่าดักฆ่านกและโจมตีทหารม้าเร็ว จดหมายจึงไม่สามารถส่งถึงเมืองหลวงได้ เฟยเจินจึงเรียกนกเหยี่ยวของเขาออกมาเพื่อให้ไปส่งจดหมายที่เมืองหลวงแทนม้าเร็วและนกพิราบ

            ลี่จู  : นกเหยี่ยวตัวนี้เป็นความหวังสุดท้ายของพวกเรา ขอให้อย่าถูกยิงตกลงมาอีก
     เฟยเจิน  : นกเหยี่ยวของข้าบินสูงเกินกว่าลูกธนูจะสามารถยิงถึงได้ และบินเร็วเกินกว่าลูกธนูจะยิงได้ทัน อย่าห่วงจดหมายถึงมือองค์รัชทายาทแน่นอน

          เฟยเจินปล่อยนกเหยี่ยวฝ่าวงล้อมโจรป่าออกไปได้ไม่ยาก ลี่จูบอกว่าแม้จำนวนทหารในเมืองตอนนี้จะมีอยู่เจ็ดร้อยคนเท่ากันกับโจรป่า แต่ทหารของเมืองหนิงอันที่สามารถออกรบได้จริงๆมีเพียงหกร้อยคน ส่วนอีกหนึ่งหนึ่งร้อยคนเป็นชาวบ้านที่ถูกฝึกให้เป็นทหารและไม่เคยออกรบ จึงเป็นการเสียเปรียบอย่างมาก และหวังว่าพวกโจรจะยังไม่บุกก่อนที่กองกำลังเสริมจะมาถึง คืนนี้พวกเราจึงออกมารวมตัวกันที่ลานหน้าประตูเมืองเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ และในกลางดึกนกเหยี่ยวก็บินกลับมาพร้อมจดหมายตอบกลับจากองค์รัชทายาทหย่งเจิ้งว่า เขากำลังนำกองกำลังเข้าปราบปรามกลุ่มกบฏในเมืองหลวงและได้จัดส่งกองกำลังเสริมจำนวนหนึ่งพันคนออกเดินทางมาที่เมืองหนิงอันแล้ว

          จากนั้นเฟยเจินพานกเหยี่ยวเดินขึ้นไปยืนบนกำแพงเมือง และมองไปยังกองกำลังโจรป่า เขาพูดอะไรบางอย่างกับนกเหยี่ยวแล้วปล่อยให้นกเหยี่ยวบินหายไปในความมืด ส่วนฉันที่ยุ่งทั้งวันกับการจัดเตรียมยาสำหรับทำแผลให้ทหาร จึงไม่ได้ถามว่าเฟยเจินกำลังจะทำอะไร เพราะเฟยเจินโตพอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้ และคืนนี้เฟยเจินดูเหมือนนักรบหนุ่มที่เข้มแข็งองอาจดูหล่อเท่ห์จริงๆ ลี่จูและพวกผู้ชายช่วยกันตรวจดูบริเวณโดยรอบและผลัดเวรยามกันเฝ้าดูศัตรู ฉันและซือซือจึงเข้านอนก่อน เฟยเจินผลัดเปลี่ยนเวรยามช่วงใกล้เช้าจึงมานอนข้างๆฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจมากที่มีเฟยเจินอยู่เคียงข้าง
       
          เราตื่นนอนกันแต่เช้ามืด มีทหารวิ่งมารายงานลี่จูว่ามีกองกำลังโจรป่ามาเสริมทัพเพิ่มอีกสามร้อยคน ตอนนี้กองกำลังโจรป่ามีทั้งหมดหนึ่งพันคนแล้ว! ลี่จูแปลกใจมากที่จำนวนโจรป่ามีมากมายขนาดนี้ ลี่จูและชงหยวนสงสัยว่าต้องมีคนให้การสนับสนุนกองกำลังโจรป่าอยู่แน่ๆถึงเพิ่มจำนวนขึ้นรวดเร็วนัก และจู่ๆทหารคนหนึ่งวิ่งลงมาจากกำแพงด้วยสีหน้าตื่นตระหนกมารายงานลี่จูว่า

        ทหาร  : เรียนท่านเจ้าเมือง ตอนนี้มีนกอินทรีย์สีดำตัวใหญ่จำนวนแปดตัว และนกเหยี่ยวตัวใหญ่หนึ่งตัวบินมาเกาะอยู่ที่กำแพงเมือง แปลกประหลาดและน่ากลัวมากจนพวกข้าไม่กล้าไล่นก
            ลี่จู  : เกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้นกันเนี่ย?!
     เฟยเจิน  : นกพวกนั้นเป็นนกของข้าเอง นกอินทรีย์จะไม่ทำร้ายเจ้าหากเจ้าไม่ทำร้ายพวกนกนั่น
      หมอจง  : เมื่อคืนเจ้าให้นกเหยี่ยวบินไปเรียกนกอินทรีย์ดำจากเกาะกระต่ายผีมาช่วยพวกเรารึ?
     เฟยเจิน  : ใช่
             ลี่จู  : นกอินทรีย์ดำจะช่วยอะไรได้ เรียกให้มาตายเปล่าๆ แต่ก็ขอบใจเจ้ามากที่พยายามช่วยเรา
      หมอจง  : ลี่จู อย่าเพิ่งสบประมาทนกอินทรีย์ดำพวกนี้มาจากเกาะกระต่ายผี มิใช่นกอินทรีย์ธรรมดา อีกประเดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นเองว่านกอินทรีย์ดำช่วยอะไรได้

          ขณะเดียวกันมีนกพิราบตัวหนึ่งบินตุปัดตุเป๋เข้ามาในเมือง เหวินหลางจับนกพิราบตัวนั้นได้ นกพิราบตัวนั้นถูกยิงบาดเจ็บเลือดชุ่มเต็มตัว ที่ขามีกระดาษผูกติดมาใบหนึ่ง เหวินหลางแกะกระดาษออกดูข้างในเขียนว่า "อันฉี ฝ่าบาทประชวรหนักขอให้มาเมืองหลวนเซียนโดยด่วน จากหมอหวังจิวซื่อ" เหวินหลางรีบส่งจดหมายให้หมอจงอ่านทันที

 เหวินหลาง  : จดหมายถึงอันฉี (เขาทำหน้าแปลกใจ)
      หมอจง  : ข้าเอาไปให้นางเอง

          ฉันกำลังช่วยซือซือ, จิวฝูและชาวบ้านจัดเตรียมอาหารเช้า เห็นเหวินหลางและหมอจงอุ้มนกพิราบตัวหนึ่งเดินมาหาฉัน

          อันฉี  : อ้าว! อาจารย์ไปเอานกพิราบบาดเจ็บมาจากไหนเนี่ย มา ข้าทำแผลให้นกเอง น่าสงสารจังเลย
      หมอจง  : นกพิราบพยายามบินฝ่าดงธนูเพื่อมาหาเจ้า นี่! จดหมายของเจ้า

          ฉันรับจดหมายมาอ่านแล้วตกใจ แต่ก็พยายามตั้งสติรักษานกพิราบให้หายเจ็บในทันทีแล้วส่งนกพิราบคืนให้หมอจง จากนั้นฉันก็วิ่งขึ้นไปหาเฟยเจินที่ยืนอยู่ข้างๆนกอินทรียย์ดำบนกำแพง หมอจงจึงส่งนกพิราบให้เหวินหลางแล้ววิ่งตามฉันขึ้นไปบนกำแพง ส่วนเหวินหลางที่รับนกพิราบไว้แล้วมองดูนกที่หายเป็นปกติด้วยความประหลาดใจ จึงรีบวางนกพิราบให้เกาะบนคานไม้และวิ่งตามฉันกับหมอจงขึ้นไปบนกำแพงเช่นกัน ฉันจึงปรึกษาเฟยเจินว่าจะทำยังไงดี ฉันต้องการออกไปจากที่นี่เพื่อไปดูอาการฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง ที่แคว้นหลวนเซียน แต่ที่นี่สถานการณ์ก็ย่ำแย่ทิ้งไปไม่ได้เช่นกัน เฟยเจินจึงอกว่าถ้าฉันต้องการไป เขาจะพาฉันบินออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย หมอจงที่ได้ยินฉันกับเฟยเจินปรึกษากัน เขาจึงพูดขึ้นว่า

      หมอจง  : อันฉีเจ้ารีบไปเถอะ ฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลงรอเจ้าอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ข้าเสร็จธุระที่นี่ข้าจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวนเซียน
          อันฉี  : อาจารย์อย่าโกหกข้าเลย ทหารเจ็ดร้อยคนจะสู้กับโจรป่าโหดเหี้ยมหนึ่งพันคนได้ยังไง ทหารกองเสริมก็ยังมาไม่ถึง อาจารย์...สมมติว่าถ้าเรารอดออกไปได้ ท่านจะไปช่วยข้ารักษาฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลงหรือเปล่า?
     หมอจง  : แน่นอน! ข้าจะไปกับเจ้า!
เหวินหลาง  : ข้าไปด้วย!

          ทันไดนั้น โจรป่าสองคนขี่ม้าลากเกวียนที่มีคนนอนอยู่ในเกวียนสองคนเข้ามาใกล้ๆกำแพงเมือง คนหนึ่งเป็นหญิงแก่ และคนหนึ่งเป็นเด็ก โจรป่าบอกว่าทุกคนในเมืองหนิงอันจะต้องตายเหมือนหญิงแก่และเด็กที่นอนตายอยู่ในเกวียนนี้ ทันไดนั้นคู่สามี-ภรรยาที่ตามหาลูกชายกับแม่เมื่อวาน รีบวิ่งขึ้นมาดูบนกำแพงต่างร้องไห้ลั่นพร้อมกับบอกว่านั่นคือลูกชายกับแม่ของเขา ทุกคนที่ยืนอยู่บนกำแพงต่างโกรธแค้นโจรป่าที่ฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กและคนแก่ ลี่จูที่ทนไม่ไหวจึงยิงธนูใส่โจรตายไปหนึ่งคน ส่วนอีกคนหนึ่งควบม้ากลับเข้ากองได้ ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มเปิดฉากยิงธนูใส่กัน ฉันเองได้เห็นดังนั้นก็โกรธแค้นแทนเช่นกัน เราต่างก้มหลบธนูโดยมีนกอินทรีย์ดำกางปีกกันธนูไว้ให้บนกำแพงเมือง ฉันจึงหันไปพูดกับเฟยเจินว่า

          อันฉี  : เจินเจิน เราต้องลุยกับพวกมันสักตั้ง
     เฟยเจิน  : ดี ข้ากำลังอยากลองอาวุธใหม่อยู่พอดี
      หมอจง  : เจ้าคิดจะทำอะไร?!
          อันฉี  : ข้าต้องการออกไปจากที่นี่เร็วๆน่ะสิ!
      หมอจง  : เจ้าสู้พวกมันไม่ได้หรอก
          อันฉี  : สู้ไม่ได้ข้าก็จะสู้
 เหวินหลาง  : นางสู้ได้ข้าเคยเห็นนางตัดแขนโจรขาดง่ายดาย ข้าจะออกไปสู้ด้วย!
      หมอจง  : ได้ สู้กันสักตั้ง!
          อันฉี  : เฟยเจินเจ้าจัดการไอ้พวกหัวหน้านั่งม้าแต่งตัวเยอะๆก่อนเลยนะ ส่วนพวกนกอินทรีย์ดำให้จัดการพวกโจรยิงธนูก่อนมันน่ารำคาญมาก ส่วนอาจารย์และเหวินหลางอย่าเข้าใกล้อาวุธของข้ามันมีพิษรุนแรง
      หมอจง  : เจ้ามีอาวุธอื่นนอกจากแซ่กับกงเล็บด้วยรึ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเลย
          อันฉี  : มี อาจารย์จะได้เห็นวันนี้แหละ!

          ฉันหยิบตลับทาคิ้วออกมาจากกระเป๋าเวทย์แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางป้ายครีม แล้วมาป้ายที่หน้าโดยวางนิ้วที่ใต้ตาแล้วลากเป็นเส้นตรงลงมาผ่านแก้มสองเส้น ทำแบบเดียวกันทั้งสองข้าง และฉันทำให้เฟยเจินด้วย เหวินหลางจึงถามว่า

 เหวินหลาง  : ทาหน้าเป็นสีดำทำไม
          อันฉี  : จรรยาบรรณหมอ ข้าไม่อาจเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงได้ขณะกำลังจะฆ่าคน
      หมอจง  : ข้าก็เป็นหมอ ทาให้ข้าด้วยสิ
 เหวินหลาง  : เอ้า! ทาก็ทา

          จากนั้นเราลุกขึ้นยืน ลูกธนูหลายพันดอกถูกระดมยิงขึ้นมาเป็นห่าฝน เฟยเจินโบกมือเรียกลมพายุให้พัดโบกลูกธนูจนเปลี่ยนทิศทางไม่สามารถพุ่งเข้าใส่พวกเราที่ยืนอยู่บนกำแพง ทุกคนที่ยืนอยู่บนกำแพงต่างพากันประหลาดใจกับสิ่งที่เฟยเจินทำ และมีสีหน้าที่มีความหวังขึ้น ฉันหยิบหูครอบฟังเพลงมาครอบที่หู แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดฟังเพลงโปรด "TOKIO FUNKA" แล้วจะกระโดดลงกำแพง หมอจงจับแขนฉันแล้วถามว่า

      หมอจง  : นี่คืออะไร?!
          อันฉี  : ข้ากำลังฟังบทกวีเพื่อกลบเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของมนุษย์ การเข่นฆ่ามนุษย์มันยากยิ่งกว่าเข่นฆ่าปีศาจ เสียงร้องของมนุษย์มันทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจ...

          ฉันหันไปพยักหน้าให้กับเฟยเจิน แล้วเราก็กระโดดลงจากกำแพงพร้อมกันและตามติดมาด้วยหมอจงกับเหวินหลาง โดยมีนกอินทรีย์ดำบินขนาบข้างฉันและเฟยเจินข้างละสี่ตัวและหนึ่งนกเหยี่ยว ลี่จูตกใจกับการกระทำของเราและไม่คิดว่าเราจะเปิดฉากบุกแบบบ้าระห่ำขนาดนี้ ลี่จูสั่งทหารในเมืองออกสู้รบทันที ลี่จูกับชงหยวนและหลี่ผิงรีบกระโดดกำแพงตามเรามา และพวกเขาต่างพากันตกใจอีกครั้งที่เห็นนกอินทรีย์ดำทั้งแปดตัวพ่นไฟใส่โจรป่าที่กำลังยิงธนูใส่เมือง พวกโจรป่าจำนวนมากถูกไฟเผาตายทั้งเป็น ส่วนนกเหยี่ยวไล่จิกตี จิกตาจนตาบอดแล้วใช้ขาจับโจรป่าบินขึ้นฟ้าและปล่อยโจรป่าตกพื้นลงมาตาย ส่วนฉันปล่อยกงจักรคู่ใบมีดเหล็กอาบด้วยพิษฝุ่นสุริยะร่อนใส่โจรป่าตายเป็นจำนวนมากและเรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาแล้วสลัดกงเล็บอาบยาพิษนิลอสูรใส่โจรป่าตายหลายคนในทันที อีกทั้งเรียกดาบแซ่ซาบิมารุอาบพิษโลหิตวารีออกมาฟาดฟันโจรป่าไม่ขาดระยะ ส่วนเฟยเจินที่ร่อนกงจักรใบมีดอาบพิษฝุ่นสุริยะขนาดใหญ่เข้าใส่โจรถูกเชือดเฉือนแขนขาขาด จากนั้นเขาพ่นเปลวไฟอันร้อนแรงใส่กลุ่มโจรป่าแตกฮือหนีตายกันจ้าละหวั่น พร้อมทั้งปามีดบินสุริยะแข็งแกร่งและคมกริบพุ่งทะลุร่างโจรป่าทีเดียวสิบคนรวดล้มตายไปจำนวนมาก

          สนามรบเริ่มกลายเป็นสนามเลือดและทะเลเพลิง ฉันเรียกแซ่อสรพิษออกมาฟาดและสะบัดพิษน้ำค้างเกล็ดเงินใส่ เหล่าโจรป่าที่ถูกพิษร้อนแรงดุจน้ำกรดต่างล้มลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นจนขาดใจตาย และมีหลายครั้งที่ฉันพลาดถูกโจรฟันจนได้รับบาดเจ็บเลือดออก ฉันจึงสลัดเลือดพิษใส่โจรป่าผิวหนังไหม้เหี่ยวแห้งตายทันที หมอจงและเหวินหลางจะผลัดกันเข้ามาช่วยฉัน แต่เพราะร่างกายที่ฟื้นฟูได้รวดเร็วผิดธรรมชาติแผลจึงสมานกันเป็นปกติ อีกทั้งฉันยังคงเดินหน้าเข้าเข่นฆ่าโจรอย่างบ้าคลั่ง จนพวกโจรที่เห็นฉันต่างตกใจหวาดกลัวเหมือนเห็นผีเห็นตัวประหลาดและเริ่มล่าถอย เหล่าทหารของเมืองหนิงอันที่เคยหมดหวังเพราะจำนวนคนที่น้อยกว่าและเสียเปรียบจนใจฝ่อในตอนแรก พอเห็นพวกเราทั้งเจ็ดคนและแปดนกอินทรีย์ดำกับอีกหนึ่งนกเหยี่ยวต่อสู้บุกทะลวงฆ่าโจรป่าล้มตายไปจำนวนมากเกินกว่าที่คาดคิด เหล่าทหารก็เริ่มมีความหวังและฮึกเหิมพุ่งเข้าต่อสู้กับโจรป่าอย่างเต็มกำลัง เฟยเจินเข่นฆ่าหัวหน้าโจรตายไปเกือบหมด พวกโจรจึงเริ่มขวัญเสียและเริ่มล่าถอยเพราะจำนวนโจรป่าเริ่มลดจำนวนลงจนเห็นได้ชัด ในที่สุดโจรป่าจึงสั่งถอยกองกำลังและหนีหายเข้าไปในป่า เหล่าทหารและผู้คนในเมืองต่างร่วมกันโห่ร้องไชโยด้วยความดีใจที่เราสามารถชนะศึกโจรป่าได้

          ฉันดึงหูครอบฟังเพลงลงมาคล้องที่คอแล้วนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อย หมอจงรีบวิ่งเข้ามาหาฉันแล้วถอดเสื้อคลุมห่มคลุมตัวให้ฉันเพื่อไม่ให้ใครมาสัมผัสเลือด เฟยเจินรีบเข้ามาอุ้มฉันกลับเข้าเมือง ฉันบอกเฟยเจินว่าต้องรีบไปเมืองหลวนเซียนไปช่วยฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง เฟยเจินตอบกลับว่าจะพาฉันไปเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน หากไปทั้งเนื้อตัวเปื้อนเลือดผู้คนจะตกใจ ส่วนลี่จูวิ่งเข้ามาดูฉันและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงพร้อมกล่าวขอบใจที่ช่วยต่อสู้เพื่อชาวเมืองหนิงอัน ฉันตอบกลับว่าฉันไม่เป็นอะไร อย่าห่วง

          เฟยเจินพาฉันเข้าไปในห้องแล้ววางลงบนเตียง นำอ่างน้ำมาวางเพื่อเช็ดตัว เขาค่อยๆถอดเสื้อผ้าฉันออกจนเปลือยเปล่า แล้วนำผ้าชุบน้ำเช็ดเลือดโจรที่เลอะตัวฉันออก เขาเช็ดตัวให้ฉันอย่างเบามือและอ่อนโยน ฉันถามเฟยเจินด้วยใบหน้าสับสนปนเศร้าว่า...

          อันฉี  : เราทำถูกต้องแล้วหรือไม่ ที่เราฆ่าโจรป่าตายไปจำนวนมาก เพื่อปกป้องผู้คนอีกหลายคนในเมืองหนิงอัน เราทำถูกต้องแล้วใช่มั้ย?
     เฟยเจิน  : ใช่ เราทำถูกต้องแล้ว พวกโจรป่าเป็นคนชั่วช้า เราต้องปกป้องผู้คนในเมือง

           ฉันโผกอดเฟยเจินด้วยความสับสนและไม่สบายใจ เขากอดและปลอบประโลมฉันอย่างอ่อนโยน ใช้ผ้าในมือเช็ดที่ใบหน้าเบาๆ ค่อยๆลูบไล้ผ้าลงมาที่คอและไหล่ จากนั้นเลื่อนลงมาเช็ดที่เนินอก ฉันเอื้อมมือจับที่ใบหน้าเขามองตาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขอบคุณที่เขาคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ เฟยเจินยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและพูดว่า "ข้าเป็นของเจ้าและจะอยู่กับเจ้าตลอดไป" ฉันโอบกอดเฟยเจินแน่นด้วยความรักและตื้นตันใจ เฟยเจินหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาช่วยสวมใส่ให้ จากนั้นเราจึงเดินออกมาจากห้อง พบหมอจงและเหวินหลางที่กำลังรออยู่ เฟยเจินจึงเรียกนกอินทรีย์ดำตัวหนึ่งมาให้เหวินหลางขี่ และนกอินทรีย์ดำตัวอื่นๆให้บินกลับไปที่เกาะกระต่ายผี ส่วนหมอจงให้ขึ้นขี่เฟยเจินที่เป็นนกอินทรีย์ทองเพื่อคอยประคองฉันขณะหลับฟื้นฟูร่างกายระหว่างเดินทาง

         เฟยเจินพาเราโบยบินออกจากเมืองหนิงอัน ทั้งหมอจงและเหวินหลางพากันตื่นเต้นที่ได้ขึ้นขี่หลังนกอินทรีย์ยักษ์โบยบินบนท้องฟ้า ฉันเอนหลังหลับอยู่ในอ้อมอกของหมอจง อ้อมอกเขาที่แสนอบอุ่นทำให้ฉันหลับสบายและรู้สึกปลอดภัย หมอจงกอดและแอบหอมหน้าผากฉันในบางครั้ง ลมหายใจอุ่นๆที่สัมผัสถูกใบหน้าทำให้ฉันรู้สึกดีและโอบกอดหมอจงแน่นขึ้นเพื่อให้เขารู้ว่าฉันรู้สึกถึงจูบอุ่นๆที่เขาจูบลงบนหน้าผากฉันด้วยความห่วงใย จนฉันมีเรี่ยวแรงกลับคืนปกติ
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 40
(ชุบชีวิตฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง)

          ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองหลวนเซียนช่วงเวลาเย็น ฉันหยิบป้ายหยกที่เก็บไว้นำออกมาห้อยที่เข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงิน เพื่อสามารถผ่านประตูวังได้โดยไร้ปัญหา แต่สีหน้าของทุกคนในวังกลับดูหม่นหมองโศกเศร้า ทหารที่เฝ้าหน้าประตูวังเมื่อเห็นฉันต่างพากันดีใจแล้วคุกเข่าขอร้องฉันให้ช่วยฮ่องเต้ด้วย ฉันจึงบอกให้ทหารรีบนำทางฉันไป ทหารพาเราวิ่งตรงไปที่ตำหนักของฮ่องเต้ พบท่านอ๋องอยู่ในอาการโศกเศร้า ฮองเฮากำลังนั่งร้องไห้ หมอหวังเห็นฉันจึงรีบเดินเข้ามาหาด้วยน้ำตานองหน้าแล้วพูดว่า...

    หมอหวัง  : เจ้ามาสายเกินไป! ฝ่าบาท...

          ฉันใจหายวูบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินหมอหวังพูดคำว่า "เจ้ามาสายเกินไป!" ฉันรีบวิ่งเข้าไปในห้องบรรทมรวมทั้งทุกคนที่วิ่งตามเข้ามา เห็นฮ่องเต้นอนอยู่บนเตียงผิวหน้าซีดเซียวริมฝีปากเริ่มเขียว ฉันเข้าไปนั่งข้างเตียงแล้วจับมือฮ่องเต้ที่เริ่มเย็น หมอจงรีบเข้ามาจับชีพจรครู่หนึ่งแล้วส่ายศรีษะเป็นการบอกว่าไม่มีสัญญาณชีพจร ทำให้ฉันร้องไห้โฮออกมา

          อันฉี  : ฝ่าบาท!!! ฝ่าบาท!!!
      ฮองเฮา  : ฝ่าบาทรอเจ้า เรียกหาแต่เจ้า แต่เจ้าก็ไม่มา เจ้ามาตอนนี้ก็สายไปแล้ว!!!
       หมอจง  : เราถูกโจรป่าเจ็ดพันคนล้อมเมือง เรารีบฝ่าออกมาโดยเร็วที่สุดแล้ว
      ฮองเฮา  : เจ้าเป็นใคร?!
    หมอหวัง  : เรียนฮองเฮา...ผู้นี้คือหมอเทวะ จงหยู จากแคว้นจินชางพะย่ะค่ะ
     ฮองเฮา  : มีทั้งหมอเทวดา และหมอเทวะอยู่ที่นี่ตั้งสองคน พวกเจ้ามาถึงตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร!

          ฉันเปิดดวงตาปีศาจตรวจสอบร่างกายฮ่องเต้ พบฮ่องเต้ได้รับพิษจากพืชชนิดหนึ่งที่ไม่มีในแคว้นหลวนเซียน และมีรอยบาดแผลบริเวณชายโครงคล้ายถูกของมีคม ฉันจึงเปิดเสื้อของฮ่องเต้ออกดูแล้วเอ่ยถามว่า...

          อันฉี  : เหตุใดที่ชายโครงของฮ่องเต้ถึงได้มีรอยเหมือนถูกมีดแทง!
    ท่านอ๋อง  : พระชายาใช้มีดพกแทงฮ่องเต้ นางมีอาการเสียสตินับแต่ครรภ์ตกเลือดคราวนั้น นางใช้มีดอาบยาพิษแทงฮ่องเต้ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จมาเยี่ยมอาการป่วยของนาง ข้าไม่รู้ว่านางแอบซ่อนมีดไว้ใต้หมอน เป็นความผิดของข้าเอง ที่เผลอปล่อยให้นางเข้าใกล้พี่ชายข้า หากเปลี่ยนกันได้ข้าจะขอเป็นผู้รับคมมีดนั้นเอง (ท่านอ๋องเล่าด้วยน้ำตานองหน้า)
          อันฉี  : แล้วตอนนี้พระชายาของท่านอยู่ที่ใด?!
    ท่านอ๋อง  : นางถูกจองจำอยู่ในคุกหลวง รอการตัดสินโทษภายหลังราชพิธีศพฮ่องเต้
          อันฉี  : ข้าจะไม่ก้าวก่ายการตัดสินคดีของท่าน แต่! หากครั้งต่อไปพระชายาเหม่ยหลันบังอาจแตะต้องฝ่าบาทอีกครั้ง ข้าจะฉีกเนื้อนางออกเป็นชิ้นๆ ข้าจะไม่ไว้ชีวิตนางอีกเป็นครั้งที่สอง!!!
     ท่านอ๋อง  : ข้าเข้าใจ อย่าห่วง นางจะไม่มีวันได้เข้าใกล้พี่ชายข้าอีก
     หมอหวัง  : เจ้าพูดเยี่ยงนี้หมายความว่าเจ้าสามารถทำให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นได้งั้นรึ?! (หมอหวังถามด้วยความตื่นเต้นและมีความหวังทำให้ทุกคนตื่นเต้นและมีความหวังไปด้วย)
          อันฉี  : ข้ายังไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่าข้ายังไม่พร้อมให้ฝ่าบาทจากข้าไปตอนนี้!
    หมอหวัง  : แต่...ฝ่าบาทสวรรคตไปเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว
      หมอจง  : ฝ่าบาทสวรรคตไปเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว เราจะใช้วิธีนวดหัวใจและแบ่งลมหายใจเพื่อยื้อชีวิต ข้าว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว
          อันฉี  : ในเมื่อใช้วิธียื้อชีวิตไม่ได้ผล ข้าก็จะใช้วิธียื้อวิญญาณ!
หมอจง,หมอหวัง  : (ต่างมองหน้ากันด้วยความฉงน)
     ฮองเฮา  : อันฉี ได้โปรดช่วยฝ่าบาทด้วย ให้ข้าคุกเข่าขอร้องเจ้าข้าก็ยอม ได้โปรดช่วยฝ่าบาทด้วย! (ฮองเฮาที่มีน้ำตานองหน้ารีบคุกเข่าขอร้องฉัน)
          อันฉี  : (ฉันรีบพยุงฮองเฮาลุกขึ้นแล้วบอกกับฮองเฮาว่า...) ฮองเฮาอย่าทำแบบนี้เพคะ!!! ฮองเฮาต้องฟังหม่อมฉันและทำตามที่หม่อมฉันบอกอย่างเคร่งครัด ฮองเฮาต้องกลับไปรอที่ตำหนัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือได้ยินเสียงอะไรจากที่นี่ก็ตาม ห้ามมาแอบดูหรืออยู่ใกล้ๆตำหนักนี้โดยเด็ดขาด เพราะขณะทำการยื้อวิญญาณฝ่าบาท ที่นี่จะกลายเป็นสถานที่อันตรายมากต่อพระองค์และพระโอรสในครรภ์ โปรดถนอมสุขภาพเพื่อฝ่าบาทและพระโอรสด้วยเพคะ
     ฮองเฮา  : โอรสงั้นรึ?! ในครรภ์ของข้าเป็นโอรสงั้นรึ?!
          อันฉี  : เพคะ หม่อมฉันเห็นพระโอรสองค์น้อยน่ารักในครรภ์ของฮองเฮา แต่ตอนนี้พระโอรสกำลังอ่อนแอเพราะฮองเฮาไม่ถนอมพระวรกาย
     ฮองเฮา  : ได้! ข้าจะกลับไปรอที่ตำหนัก เมื่อฝ่าบาทฟื้นเจ้าต้องรีบส่งข่าวให้ข้ารู้ทันที สัญญากับข้าสิ!
          อันฉี  : หม่อมฉันสัญญา
    ท่านอ๋อง  : จิ้นฝาน! จัดทหารคุ้มกันรอบตำหนักฮองเฮา ให้คนคอยดูและต้มยาบำรุงให้ฮองเฮาด้วย
      จิ้นฝาน  : พะย่ะค่ะ!
    ท่านอ๋อง  : อันฉี ข้าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง บอกข้ามาได้เลย
          อันฉี  : ท่านอ๋องต้องจัดทหารคุ้มกันอยู่รอบนอกตำหนักห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในตำหนักโดยเด็ดขาด และสั่งให้คนต้มน้ำเก็กฮวยรอไว้ให้ข้าดื่มคลายร้อนภายหลังการรักษา อาจารย์และหมอหวังจะอยู่ช่วยข้าในห้องบรรทมฝ่าบาท เฟยเจินและเหวินหลางจัดเตรียมน้ำเย็นรอไว้เช็ดตัวให้ข้ากับฝ่าบาท อ้อ! หมอหวังรบกวนท่านนำยานี่ใส่แผลให้ฝ่าบาทก่อน สักครู่ข้าจะตามไปใช้พลังสมานแผลให้ฝ่าบาท
     เฟยเจิน  : น้องห้า...นี่มันเสี่ยงอันตรายกับเจ้าเกินไปอย่าทำแบบนี้เลย
          อันฉี  : ข้าอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมข้าถึงถูกส่งมาที่โลกนี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของข้า (ฉันเอื้อมมือไปจับแก้มเฟยแล้วจูบที่หน้าผากให้เขาเชื่อมั่นในตัวฉัน)
 เหวินหลาง  : ไป๋อันฉี ข้าจะเป็นกำลังใจให้เจ้าอีกคน
          อันฉี  : ขอบคุณท่านมาก

          จากนั้นเราทุกคนต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ฉันเดินตามหมอจงเข้าไปในห้องบรรทมห้องเต้ เห็นหมอหวังใส่ยาที่บาดแผลชายโครงให้ฮ่องเต้เสร็จเรียบร้อยและกำลังยืนรอฉันไปสมานแผล ฉันวางมือที่บาดแผลส่งพลังสมานบาดแผลจนหายสนิท หมอจงและหมอหวังช่วยกันพยุงฮ่องเต้ให้ลุกนั่ง หมอจงเริ่มกดจุดไล่พิษทางด้านหลังจากเอวขึ้นมาที่ต้นคอ จากนั้นฉันขึ้นนั่งคร่อมฮ่องเต้แล้วประกบริมฝีปากดูดพิษออกทางปาก บ้วนพิษสีน้ำตาลเข้มลงในกระโถนประมาณ 3-4 ครั้งจนน้ำลายที่บ้วนออกมากลายเป็นสีขาว ฉันหันหน้าไปบอกหมอจงและหมอหวัง ว่าถ้าหากร่างกายฉันและฮ่องเต้มีความร้อนสูงขึ้น เขาทั้งสองคนต้องถอยออกห่างอย่าเข้าใกล้ และให้รอจนกว่าฉันจะเรียกจึงค่อยเข้าใกล้ฉัน

          จากนั้นฉันเรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ออกมาแล้วใช้ใบมีดกรีดลงบนริมฝีปากตัวเองจนมีเลือดไหลออกมา ฉันกอดฮ่องเต้ไว้แน่นแล้วประกบริมฝีปากจูบกับฮ่องเต้ในร่างไร้วิญญาณ เมื่อเลือดพิษจากริมฝีปากฉันไหลเข้าปากฮ่องเต้ ร่างกายฮ่องเต้และฉันเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนขึ้นจนมีไอร้อนออกมาจากร่างกาย หมอจงและหมอหวังต้องถอยออกห่าง ฉันยังคงจูบฮ่องเต้อยู่แบบนั้น จนร่างกายฮ่องเต้เริ่มกระตุก ร่างกายของเราร้อนขึ้นเหมือนอยู่ในกองเพลิง ฉันจูบและกอดฮ่องเต้แน่น แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่ทีท่าว่าจะฟื้น ชั่ววูบหนึ่งที่สติฉันหลุดลอยอยู่ในความร้อนแรงดุจกองเพลิงนั้น

          ........ฉันกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งใหญ่โตโอ่อ่าสวยงามเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ อากาศเย็นสบาย เบื้องหน้าฉันมีชายแก่บุคลิกน่าเกรงขาม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีทองหรูหราเครื่องประดับเต็มกาย นั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองเปล่งประกายวิบวับ ความรู้สึกของฉันบอกว่าชายแก่คนนี้คือ เง็กเซียนฮ่องเต้ ฉันเงยหน้ามองเขาแล้วอุทานขึ้นว่า........

          อันฉี  : เง็กเซียนฮ่องเต้!
   เง็กเซียน  : เจ้ากำลังจะฝืนชะตาฟ้าอีกแล้วงั้นรึ?!
          อันฉี  : ทูลเง็กเซียนฮ่องเต้ ขอได้โปรดอนุญาตให้ข้าช่วยเขา
   เง็กเซียน  : ฝืนชะตาฟ้ามีโทษเช่นไรเจ้าน่าจะรู้ดี!
          อันฉี  : ข้ารู้ แต่ฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลงเป็นคนดีมีคุณธรรม เหตุใดสวรรค์จึงให้เขามีชะตาชีวิตสั้นนัก กำหนดให้มีชีวิตอยู่ได้แค่สามสิบปี แต่ปีศาจเยือกแข็งมิเคยทำคุณประโยชน์ให้กับผู้ใด เหตุใดสวรรค์จึงปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นพันๆปี มันช่างไม่ยุติธรรม! หากสวรรค์ไม่ต้องการให้ข้าช่วยชีวิตฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง ท่านก็ควรส่งข้ากลับไปที่โลกของข้าเถิด เพราะข้าไม่มีกำลังใจที่จะช่วยเหลือผู้ใดและมิอาจเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อใครอีกแล้ว!
   เง็กเซียน  : นี่เจ้า! คิดจะต่อรองกับข้างั้นรึ?!
          อันฉี  : ข้ามิได้ต่อรอง แต่ข้ามิอาจทนเห็นคนดีต้องสูญสิ้นดุจใบไม้ร่วง แต่คนชั่วยังคงยืนหยัดอยู่ดุจขุนเขา ขอองค์เง็กเซียนให้นกอัคคีสวรรค์ปฏิบัติภารกิจด้วยตัวเองเถิด ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาข้ายังมิอาจตัดใจพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักได้โดยฉับพลัน
   เง็กเซียน  : ได้! ข้าจะอนุโลมให้เจ้าสักครั้ง แต่จงรู้ไว้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย ได้มาสิ่งหนึ่งเจ้าก็ต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งไป หากเจ้ายอมสละอายุขัยสามสิบห้าปีของเจ้าให้กับเมิ่งหลวนหลง เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกจนถึงอายุหกสิบห้าปี
          อันฉี  : ข้ายินดีสละอายุขัยสามสิบห้าปีของข้าให้กับฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง
   เง็กเซียน  : เจ้าแน่ใจแล้วรึ? เจ้าไม่เสียดายอายุขัยสามสิบห้าปีของเจ้างั้นรึ?
          อันฉี  : เหตุใดข้าตัองเสียดาย ตอนที่ข้าอยู่ที่โลกเก่า ข้าได้อุทิศร่างกายและอวัยวะให้กับสถานพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อข้าตายพวกเขาจะนำอวัยวะข้าไปต่อชีวิตให้กับคนอื่นที่ข้าไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้า ข้ายังไม่เคยคิดเสียดาย แต่กับบุคคลอันเป็นที่รักแค่อายุขัยสามสิบห้าปีของข้าใยข้าจะมอบให้ไม่ได้ ข้าเต็มใจมอบให้เขา
   เง็กเซียน  : ดี! ในเมี่อเจ้ามุ่งมั่นที่จะเสียสละอายุขัยให้เมิ่งหลวนหลง เจ้าก็จงไปได้แล้ว!
          อันฉี  : ขอบคุณเง็กเซียนฮ่องเต้

          ฉันก้มหัวคำนับเง็กเซียนกับพื้น และในขณะเดียวกันเง็กเซียนชี้นิ้วชี้มาที่ฉัน ปรากฏแสงเจิดจ้าสีขาวจนแสบตาออกมาจากปลายนิ้วชี้นั้น ทำให้ฉันได้สติเพราะบังเกิดสายฟ้าผ่าทะลุหลังคาดัง "เปรี้ยง!!!" ลงมาที่ตัวฉันกำลังกอดฮ่องเมิ่งหลวนหลงจนเกิดประกายเพลิงเป็นปีกนกอัคคีสวรรค์กางปีกสยายเพลิงพวยพุ่งวูบหนึ่งแล้วสลายหายไปในอากาศ จนฉันหมดแรงล้มลง เฟยเจินและเหวินหลางรีบเข้ามาประคองฉันแล้วรีบใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแขนและคอให้ฉันคลายร้อน ฉันจึงร้องเรียกหมอจงที่กำลังยืนเอามืออุดหูและมองดูเหตุการณ์อย่างตื่นตะลึง บอกให้หมอจงรีบเข้ามาผายปอดแบ่งลมหายใจให้ฮ่องเต้ หมอจงรีบกระทำตามที่ฉันบอกทันที ส่วนหมอหวังรีบเข้ามาตรวจชีพจรฮ่องเต้กลับคืนมาแล้ว หมอจงผายปอดเพียงครู่เดียวฮ่องเต้ก็กลับมาหายใจ เริ่มขยับตัวและรู้สึกตัว เหวินหลางจึงรีบเข้าไปเช็ดตัวคลายร้อนให้ฮ่องเต้

          จากนั้นหมอหวังจึงรีบวิ่งออกไปรายงานท่านอ๋องที่ยืนรออยู่ด้านนอกว่าฮ่องเต้ฟื้นแล้ว และสั่งทหารคนหนึ่งให้วิ่งไปรายงานฮองเฮาเช่นกัน ท่านอ๋องที่รีบวิ่งเข้ามาในตำหนักแล้วนั่งลงข้างเตียง ท่านอ๋องดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นฮ่องเต้ฟื้น และไม่นานนักฮองเฮาที่รีบเสด็จมาที่ตำหนักและลงนั่งบนเตียงข้างๆฮ่องเต้แล้วจับมือฮ่องเต้ด้วยความดีใจ

          ตอนนี้ฮ่องเต้ฟื้นคืนชีพแล้วแต่ยังคงอ่อนแอเหมือนคนป่วยไข้ รวมทั้งฉันด้วยที่นั่งหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดเฟยเจิน หมอจงและหมอหวังรีบเข้ามาสอบถามถึงอาการฉัน

      หมอจง  : เจ้าถูกฟ้าผ่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าตกใจมาก กลัวเจ้าจะเป็นอะไร
          อันฉี  : ข้าไม่เป็นอะไร แค่หมดแรงเท่านั้น
    หมอหวัง  : เหตุใดจึงมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ล่ะ
          อันฉี  : ชายแก่ที่อยู่บนฟ้า ส่งสายฟ้าลงมาผ่าที่ตัวข้าเพื่อส่งผ่านกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจฮ่องเต้ให้กลับมาเต้นอีกครั้ง
      ฮองเฮา  : ขอบใจเจ้ามากอันฉี ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย ฝ่าบาททรงปลอดภัยแล้วใช่มั้ย
          อันฉี  : ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว อย่ากังวลเพคะ
    หมอหวัง  : อันฉี เจ้าเหนื่อยมากแล้วไปพักผ่อนก่อนเถอะนะ ข้าจะให้คนต้มยาบำรุงไปให้ ทางนี้ข้าจะดูแลต่อเอง
      หมอจง  : ข้าจะอยู่ที่นี่ช่วยหมอหวังอีกคน เจ้าไปพักผ่อนเถอะ

          เฟยเจินอุ้มฉันเดินตามทหารที่พาไปส่งที่ตำหนักเหลียนฮวาหรือตำหนักดอกบัวพร้อมด้วยเหวินหลางที่เดินตามมาด้วยกัน ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นเราก็ได้ยินเสียงเหล่าทหารร้องไชโย โห่ร้องด้วยความดีใจ คงเพราะรู้ข่าวที่ฮ่องเต้ฟื้นคืนชีพกันแล้ว เหวินหลางกล่าวขึ้นว่า...

เหวินหลาง  : เหม่ยอิงกล่าวไว้ไม่ผิด พวกเจ้ามาจากตระกูลใหญ่จริงๆ ใหญ่กว่าที่ข้าคาดคิดไว้เสียอีก
     เฟยเจิน  : พวกข้ามิได้เกี่ยวข้องอันไดกับตระกูลของฮ่องเต้ น้องห้าเป็นแค่หมอรักษาฮ่องเต้เท่านั้น อย่าเข้าใจผิด
เหวินหลาง  : มหัศจรรย์จริงๆ ข้าไม่เคยเห็นอะไรพิศดารแบบนี้มาก่อน นางชุบชีวิตคนตายแล้วฟื้น ดินแดนนี้ช่างโชคดีเหลือเกิน
     เฟยเจิน  : การฝืนชะตาฟ้าเป็นเรื่องผิดกฏสวรรค์ น้องห้าต้องแลกด้วยอายุขัยตัวเองสามสิบห้าปี เพื่อให้องค์เง็กเซียนยินยอมให้นางสามารถชุบชีวิตฮ่องเต้กลับฟื้นคืนได้ มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอก
 เหวินหลาง  : เจ้ารู้ได้ยังไง
     เฟยเจิน  : ข้าเป็นพี่ชายของนาง เราสามารถสื่อถึงกัน
 เหวินหลาง  : พวกเจ้าเป็นใครกันแน่เนี่ย?! หรือพวกเจ้าเป็นเซียนมาจากสวรรค์?!
          อันฉี  : พวกเราเป็นสหายของท่าน
 เหวินหลาง  : แน่นอน พวกเจ้าเป็นสหายของข้า ข้าถึงได้ตามมาช่วยด้วยอีกคน เอ่อ! เราพักที่ตำหนักนั่นรึ สวยงามโอ่อ่าจริงๆ คืนนี้จะนอนให้เต็มอิ่มสักหน่อย

          เรามาถึงตำหนักเหลียนฮวา เหล่านางกำนัลนำอาหารและเหล้าเข้ามาวางที่โต๊ะอาหารตรงชานชมดอกบัว เหวินหลางจึงนั่งดื่มเหล้ารอเฟยเจินเช็ดตัวให้ฉัน เฟยเจินวางฉันลงบนเตียงนอนแล้วถอดเสื้อผ้าฉันออก จากนั้นนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้อีกครั้ง ฉันเอ่ยขอโทษเฟยเจินที่ทำให้เขาต้องเป็นกังวลเสมอ เฟยเจินเอามือลูบศรีษะฉันเบาๆแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร แค่เจ้าปลอดภัยข้าก็พอใจแล้ว" เฟยเจินจึงใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้แล้วเดินออกไปเอาน้ำเก็กฮวยที่นางกำนัลยกมาให้ฉันดื่ม เขายิ้มและจูบฉันที่ริมฝีปากครั้งหนึ่ง บอกให้ฉันนอนพักผ่อน จากนั้นเฟยเจินจึงเดินออกไปนั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเหวินหลาง

เหวินหลาง  : อันฉีจะเป็นอะไรหรือไม่ ที่ถูกลดอายุขัยสามสิบห้าปี นางต้องมีอายุที่สั้นลง นางเป็นหญิงที่เสียสละตัวเองยิ่งนัก ข้านับถือน้ำใจของนางจริงๆ
     เฟยเจิน  : น้องห้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ อย่าห่วง นางมีอายุยืนยาวกว่าเจ้ามากนัก
 เหวินหลาง  : ข้าดีใจที่ได้เป็นสหายกับเจ้า เจ้าในสนามรบน่ากลัวมากรับมือยากจริงๆ ข้าไม่เคยร่วมรบที่ไหนแล้วเสียเปรียบด้วยจำนวนคนน้อยขนาดนั้นแต่กลับพลิกเป็นฝ่ายชนะได้ น่าทึ่งจริงๆ
     เฟยเจิน  : ข้าต่อสู้ชนะมนุษย์โดยง่าย เพราะข้ามิได้ถูกกำหนดมาให้ต่อสู้กับมนุษย์
 เหวินหลาง  : เจ้าถูกกำหนดมาให้ต่อสู้กับอะไรรึ?
     เฟยเจิน  : ปีศาจเยือกแข็ง ส่วนมนุษย์พวกนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของข้า
 เหวินหลาง  : รวมถึงอันฉีด้วยรึที่มนุษย์มิใช่คู่ต่อสู้ของนาง
     เฟยเจิน  : อื้ม!
 เหวินหลาง  : งั้นเมื่อก่อนที่ข้าเคยทะเลาะกับนาง แต่นางไม่ลงมือกับข้า เพราะข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของนางล่ะสิ! โชคดีที่ตอนนี้ข้ามิได้เป็นศัตรูกับนาง (เขายกเหล้าดื่มด้วยสีหน้าหวาดหวั่น)

          เฟยเจินมีอายุน้อยกว่าเหวินหลางเพียงไม่กี่ปี แต่ทั้งสองกลับพูดคุยกันถูกคอ เหวินหลางถามเฟยเจินถึงเรื่องที่เราไปผจญภัยกับหมอจงบนเกาะกระต่ายผีด้วยความสนใจ เฟยเจินจึงเล่าให้เขาฟัง ทั้งสองดื่มเหล้าและพูดคุยกันสนุกสนานตามประสาคนหนุ่มไฟแรงที่สนใจในเรื่องเดียวกัน

          สักพักใหญ่เฟยเจินกลับเข้ามานอนกลางดึก เขาสอดแขนให้ฉันหนุนนอน กอดและหอมเบาๆที่แก้ม ฉันจูบเขากลับที่ริมฝีปากเบียดตัวแนบชิดอกซุกตัวนอนในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นในคืนนั้น

         ฉันตื่นนอนแต่เช้าก่อนเฟยเจินด้วยร่างกายที่ฟื้นฟูเต็มที่ ฉันขยับกอดและหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง เฟยเจินขยับตัวกระชับแขนกอดรัดฉันแน่นยกขาพาดก่ายเหมือนเป็นหมอนข้าง แล้วซุกไซ้หอมซอกคอฉัน

     เฟยเจิน  : อื้ม ข้าได้กลิ่นเด็กน้อย
          อันฉี  : ข้าไม่ใช่เด็กน้อย
     เฟยเจิน  : เนื้อเนียน นุ่มนิ่ม หอมน่ากิน (เฟยเจินซุกไซร้หอมจนฉันจักจี้)
          อันฉี  : เจินเจิน ลุกขึ้นได้แล้วไปล้างหน้า ข้าหิวข้าว หลังจากนั้นข้าจะไปเยี่ยมฮ่องเต้

          ฉันแกล้งเขากลับด้วยการหอมซุกไซร้ซอกคอจนเขาจักจี้ และแกล้งจับตัวเขาพลิกตัวไปมา เราหยอกเล่นกันบนเตียงครู่หนึ่ง เฟยเจินจึงยอมลุกขึ้นไปล้างหน้าและไปกินอาหารเช้าด้วยกัน ส่วนเหวินหลางที่กำลังตื่นนอนเพราะได้ยินเสียงเราเล่นกัน เหวินหลางจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าและมานั่งกินอาหารเช้าพร้อมกัน ฉันบอกเฟยเจินว่าฉันอาจอยู่ที่ตำหนักของฮ่องเต้เป็นเวลานานไม่ต้องรอฉันกลับมากินอาหารกลางวัน เฟยเจินจึงเอ่ยชวนเหวินหลางไปยืดเส้นยืดสายที่ลานฝึกทหาร เหวินหลางตอบตกลง และเอ่ยทักฉันว่า

 เหวินหลาง  : หน้าตาเจ้าดูสดใส ไม่เหมือนคนเพิ่งถูกฟ้าผ่าเลย
          อันฉี  : คงเป็นเพราะข้านอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาจึงรู้สึกสดชื่น ข้าไปตำหนักฮ่องเต้ล่ะนะ

          ฉันรีบเดินแกมวิ่งไปตำหนักหมู่ตันที่พำนักของฮ่องเต้ พบหมอหวังและหมอจงกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ ฉันจึงเอ่ยทักทายเขาทั้งสองคน หมอหวังบอกว่าฮ่องเต้ยังไม่ตื่นบรรทมแต่อาการดีขึ้นแล้ว เมื่อคืนฮ่องเต้รู้สึกตัวตื่นมากลางดึกเรียกหาแต่ฉัน ฉันจึงบอกเขาทั้งสองว่าจะอยู่ดูแลฮ่องเต้ต่อให้เอง ให้เขาทั้งสองกลับไปพักผ่อน หมอหวังจึงกลับไปที่จวนหมอหลวง ส่วนหมอจงขอพูดคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวในสวนดอกโบตั๋น ฉันจึงเดินตามหมอจงไปในสวน

          อันฉี  : อาจารย์มีอะไรจะคุยกับข้าเหรอ?
      หมอจง  : เมื่อคืนเจ้าถูกฟ้าผ่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า? (หมอจงขยับเข้ามาดูเนื้อตัวฉันเพื่อหารอยบาดแผลถูกฟ้าผ่า)
          อันฉี  : ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อคืนนอนหลับเต็มอิ่มร่างกายฟื้นฟูเต็มที่
      หมอจง  : ดี! สีหน้าเจ้าดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

          หมอจงมองหน้าฉันแล้วเอื้อมมือมาลูบไล้สัมผัสแก้มฉันแผ่วเบา แล้วพูดต่ออีกว่า

      หมอจง  : เจ้าพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือยัง
          อันฉี  : หากข้าบอกความจริงเกี่ยวกับตัวข้า ข้ากลัวอาจารย์จะไม่เชื่อ และจะหวาดกลัวข้า
      หมอจง  : แม้เจ้าจะเป็นศิษย์ของข้าได้ไม่นาน แต่ข้าก็เชื่อในตัวเจ้ามาโดยตลอด การกระทำที่ผ่านมาของข้ามิอาจทำให้เจ้าเชื่อใจในตัวข้าได้บ้างเลยรึ
          อันฉี  : ข้าเชื่อในตัวอาจารย์ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรข้าจะตอบท่านตามความจริง
      หมอจง  : เมื่อคืนข้าเห็นปีกนกหงษ์ไฟในตัวเจ้า รวมทั้งคืนนั้นที่เจ้าดื่มเหล้าเมามายเดินเล่นในสวนที่บ้านของข้าด้วย ข้าอยากได้ยินคำตอบจากปากของเจ้าเอง มิได้ต้องการฟังคำตอบจากปากผู้อื่น เจ้าคือนกอัคคีสวรรค์ในตำนานของแคว้นหลวนเซียนใช่หรือไม่?
          อันฉี  : ใช่ ข้ามีดวงจิตของนกอัคคีสวรรค์ส่วนหนึ่งอยู่ในกายข้า อีกสองส่วนข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา นกอัคคีสวรรค์มีร่างกายที่อ่อนแอ จึงอาศัยร่างกายข้าเพื่อทำภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ชดใช้ความผิดที่เคยฝืนชะตาฟ้าชุบชีวิตมนุษย์ผู้หนึ่ง และสาปแช่งมนุษย์ให้ล้มตายด้วยโรคระบาดในครั้งอดีตกาล
      หมอจง  : แล้วครั้งนี้ก็ชุบชีวิตฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง เจ้าฝืนชะตาฟ้าอีกครั้งน่ะสิ
          อันฉี  : ใช่ แต่ข้าได้มอบอายุขัยสามสิบห้าปีของข้าให้กับฮ่องเต้ องค์เง็กเซียนจึงยินยอมให้ข้าชุบชีวิตฮ่องเต้ให้ฟื้นคืนอีกครั้ง
     หมอจง  : ใยเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้ ยอมมอบอายุขัยสามสิบห้าปีของตัวเองให้กับฮ่องเต้ อายุของเจ้าจะสั้นลงเจ้ารู้บ้างมั้ย?!
          อันฉี  : ข้ารู้ แต่ข้ากับฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง เรามีชะตากรรมร่วมกันจากกาลก่อน
      หมอจง  : ข้าจะมอบอายุขัยของข้าให้กับเจ้า เจ้าบอกเง็กเซียนสิ ว่าข้าจะมอบอายุขัยของข้าให้กับเจ้า
          อันฉี  : อาจารย์...นกอัคคีสวรรค์จะตายได้ก็ต่อเมื่อถูกฟ้าผ่าหรือร้องขอฟ้าผ่าจากสวรรค์ ให้เพลิงสวรรค์เผาผลาญร่างจนตายสลายกลายเป็นเถ้า และจะเกิดใหม่อีกครั้งเป็นนกหนุ่มสาว นี่คือเหตุผลที่ร่างกายข้าฟื้นฟูได้รวดเร็วแม้ถูกพิษหรือถูกคมอาวุธฟาดฟันทั่วร่าง
      หมอจง  : งั้นที่เจ้าถูกฟ้าผ่าเมื่อคืน! เจ้าก็...?!
          อันฉี  : ใช่! ข้าตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง

          หมอจงโผตัวเข้ากอดฉันแน่นด้วยความดีใจ เขาหอมแก้มฉันฟอดหนึ่งและกอดแน่นอีกครั้ง ที่รู้ว่าฉันปลอดภัยและจะไม่ตายง่ายๆ หมอจงถามฉันอีกว่า

      หมอจง  : สี่สัตว์เทพในตำนานคือพี่ชายทั้งสี่ของเจ้าใช่มั้ย
          อันฉี  : ใช่ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามไปกักตนเพื่อเพิ่มพลังเวทย์
      หมอจง  : เพื่อต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็งใช่มั้ย หมอหวังเล่าให้ข้าฟังแล้วเมื่อคืน หากเจ้ามีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยจงบอกข้า อย่าได้เกรงใจ จงรู้ไว้ข้ายืนอยู่ข้างเจ้าเสมอ
          อันฉี  : ข้าต้องการให้อาจารย์ช่วยข้าปรุงยาพิษเพื่อกำจัดปีศาจเยือกแข็ง แต่ตอนนี้ต้องรอให้ฮ่องเต้อาการดีขึ้นก่อน
      หมอจง  : ได้ ข้าจะช่วยเจ้า
          อันฉี  : ขอบคุณอาจารย์
      หมอจง  : เจ้าไปดูแลฮ่องเต้เถอะ ตอนเย็นข้าจะมาผลัดเปลี่ยนกับเจ้าเอง

          หมอจงเอื้อมมือมาลูบไล้แก้มฉันแผ่วเบาอ่อนโยนแล้วเดินออกไปจากสวนดอกโบตั๋นเพื่อกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักดอกบัว ฉันจึงเดินเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้ และเดินตรงไปที่เตียงบรรทมฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้ยังไม่ตื่นนอน ผิวหน้าที่ขาวซีดริมฝีปากเขียวที่ฉันเห็นเมื่อคืนตอนนี้มีเลือดฝาดริมฝีปากเป็นสีชมพู ฉันจึงเอื้อมมือไปจับชีพจรที่ข้อมือฮ่องเต้เบาๆเพื่อความแน่ใจว่าฮ่องเต้ไม่เป็นอะไร จึงทำให้ฮ่องเต้รู้สึกตัวตื่นนอน เมื่อฮ่องเต้ลืมตามองเห็นฉันก็ดีใจเป็นอย่างมากแล้วดึงฉันที่นั่งอยู่ข้างเตียงเข้าไปกอดไว้แน่น

       ฮ่องเต้  : ข้าดีใจมากที่เจ้ากลับมาหาข้า ข้ากลัวว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีก ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน
          อันฉี  : หม่อมฉันก็คิดถึงฝ่าบาทมากเพคะ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันกลับมาช้า

          ฉันเริ่มมีน้ำตาไหลเพราะความคิดถึงฮ่องเต้ และรู้สึกผิดที่กลับมาช้าจนฮ่องเต้เสียชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่งเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ฉันกอดฮ่องเต้ร้องไห้ซบอก ฮ่องเต้ปลอบประโลมให้ฉันหยุดร้องไห้ ฉันจึงบอกฮ่องเต้จะนำน้ำล้างหน้ามาให้ แล้วช่วยฮ่องเต้เช็ดหน้า ฉันจึงสั่งให้นางกำนัลไปต้มโจ๊กมาถวายฮ่องเต้

          อันฉี  : ให้หม่อมฉันเช็ดตัวให้นะเพคะ
       ฮ่องเต้  : ดี ข้าอยากให้เจ้าอยู่ดูแลข้าตลอดไป
          อันฉี  : ฝ่าบาท...

           ฉันเดินไปเปลี่ยนน้ำในอ่างเพื่อนำมาเช็ดตัวให้ฮ่องเต้ แล้วค่อยๆถอดเสื้อฮ่องเต้ออกเช็ดตัวแผ่วเบา ฮ่องเต้ลูบมือไปที่ชายโครงที่เคยถูกมีดแทงแล้วพูดขึ้นว่า

       ฮ่องเต้  : ท่านไป๋พี่ชายเจ้าเคยเตือนข้าไว้แล้ว อย่าเข้าใกล้พระชายา เพราะข้าชะล่าใจเองจึงถูกนางทำร้ายเอาได้ เจ้าชุบชีวิตข้าขอบใจเจ้ามากจริงๆ ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว
          อันฉี  : ต่อไปจะไม่มีใครมาทำร้ายฝ่าบาทได้อีก ฝ่าบาทจะมีอายุถึงหกสิบห้าปี แล้วสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา เมื่อฝ่าบาทหายดีแล้วให้ทำพิธีขอบคุณสวรรค์ เพราะสวรรค์ยอมเปิดทาง หม่อมฉันจึงสามารถชุบชีวิตฝ่าบาทจนฟื้นได้เพคะ
       ฮ่องเต้  : ได้ เมื่อข้าหายดีแล้วข้าจะทำพิธีขอบคุณสวรรค์
          อันฉี  : เช็ดตัวเสร็จแล้วให้หม่อมฉันป้อนยาบำรุงให้ฝ่าบาทนะเพคะ
       ฮ่องเต้  : อื้ม เจ้าอยู่กับข้าทั้งวันเลยนะ
          อันฉี  : เพคะ

          ฉันเดินไปหยิบถ้วยยาที่ผู้ช่วยหมอจากจวนหมอหลวงนำมารอให้ฮ่องเต้ดื่มก่อนกินอาหารเช้า ป้อนยาให้ฮ่องเต้ดื่มช้าๆ แล้วรอเวลาสักพักจึงค่อยให้ฮ่องเต้กินอาหารเช้า ระหว่างนั้นฮองเฮาที่กำลังเสด็จมาเยี่ยมฮ่องเต้ ฉันจึงขอตัวออกมารอที่ด้านนอกห้องบรรทม แล้วปล่อยให้ฮองเฮากับฮ่องเต้ได้พูดคุยกันตามลำพัง

          สักพักฉันเห็นท่านอ๋องที่กำลังเดินตรงมาที่นี่ ฉันจึงค้อมตัวทำความเคารพ แล้วทูลท่านอ๋องว่าฮองเฮาอยู่ด้านในตำหนักกับฮ่องเต้ ท่านอ๋องจึงหยุดพูดคุยกับฉันครู่หนึ่ง

    ท่านอ๋อง  : เจ้าเพิ่งเดินทางมาจากเมืองหนิงอันรึ?
          อันฉี  : เพคะ ข้าได้พบท่านเจ้าเมืองฟางลี่จู นางบอกว่าเป็นสหายกับท่านอ๋อง อยากมาเยี่ยมเยียนท่านแต่งานที่เมืองหนิงอันก็มีมากเกินกว่าจะปล่อยวางได้
    ท่านอ๋อง  : ใช่ นางเป็นสหายกับข้า หมอจงบอกว่าพวกเจ้าฝ่าวงล้อมโจรป่าที่บุกล้อมเมืองหนิงอัน แล้วลี่จูเป็นอย่างไรบ้าง?
          อันฉี  : นางปลอดภัยดี แต่สถานการณ์ที่นั่นยังคงน่าเป็นห่วง ลี่จูเป็นเจ้าเมืองที่ดีมากๆ ประชาชนในเมืองหนิงอันล้วนรักนางกันทุกคน ลี่จู คือหญิงคนนั้นที่ท่านรักและไม่เคยลืมไปจากใจใช่หรือไม่?
    ท่านอ๋อง  : ใช่ บางทีข้าอาจจะไม่สามารถลืมนางได้เลยทั้งชีวิต
          อันฉี  : วันเวลาจะเยียวยาหัวใจท่าน ขอเพียงท่านเปิดใจ บางทีโลกสีชมพูอาจปรากฏขึ้นตรงหน้าท่านอีกครั้งก็ได้
    ท่านอ๋อง  : มันคืออะไรโลกสีชมพูที่เจ้าพูดถึง
          อันฉี  : เมื่อท่านมีความรักโลกทั้งใบจะกลายเป็นสีชมพู
    ท่านอ๋อง  : เจ้านี่คงจะไม่เข้าใจที่ข้าพูด
          อันฉี  : เข้าใจสิ ข้าเข้าใจที่ท่านพูด เอางี้หากท่านอ๋องมีเวลาท่านน่าจะไปเยี่ยมเยียนลี่จูสักครั้ง บางทีปมเชือกที่ผูกมัดแน่นในใจท่านอาจจะคลายออกจนรู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้างก็ได้
    ท่านอ๋อง  : เจ้าหมายความว่ายังไง
          อันฉี  : ไม่มีความหมายอะไร...แค่แนะนำท่านไปเยี่ยมเยียนลี่จูเท่านั้น
    ท่านอ๋อง  : ข้าจะคิดดูอีกที ข้าไปเยี่ยมฮ่องเต้ล่ะ

          ฉันจึงเดินตามท่านอ๋องเข้าไปในตำหนักเพื่อเตรียมตัวป้อนโจ๊กให้ฮ่องเต้ พบฮองเฮากำลังป้อนโจ๊กให้ฮ่องเต้ ฉันจึงเดินกลับออกมาคอยด้านนอก สักพักหนึ่งท่านอ๋องและฮองเฮาที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเดินออกมาและกำลังจะกลับ ฉันจึงค้อมตัวเคารพเขาทั้งสอง จากนั้นฉันจึงเดินกลับเข้าไปด้านในเพื่อดูแลฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้นั่งเอนหลังอยู่บนเตียง แล้วเรียกฉันเข้าไปนั่งข้างๆแล้วกอด

       ฮ่องเต้  : ฮองเฮาบอกข้าว่า ข้าได้โอรสทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้า
          อันฉี  : เพราะหม่อมฉันคิดว่าให้ฮองเฮาบอกฝ่าบาทด้วยพระองค์เองดีกว่า
       ฮ่องเต้  : ขอบใจเจ้ามาก เจ้าช่วยข้าไว้มากมายเหลือเกิน จนข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้ายังไงหมด บอกข้าสิเจ้าอยากได้อะไร
          อันฉี  : ขอเป็นเหล้ารสชาติดีส่งไปที่บ้านหม่อมฉันที่ป่าอัคคี และขอรางวัลเล็กน้อยให้หมอจงกับเหวินหลางด้วย และก็มื้อกลางวันนี้ขอกินบะหมี่เป็ดย่างชามโตๆเพคะ
       ฮ่องเต้  : ขอรางวัลแค่นี้เองรึ? ได้ ข้าจะส่งรางวัลไปให้ จะสั่งแม่ครัวปรุงบะหมี่ให้เจ้าสิบชามเลย
          อันฉี  : ชามเดียวก็พอเพคะ

          ฮ่องเต้จูบที่หน้าผากแล้วเลื่อนลงมาจูบที่ริมฝีปาก ฉันจูบรับดูดดื่มด้วยความคิดถึงและห่วงใยเขาเป็นที่สุด จากนั้นจึงชวนฮ่องเต้ไปเดินชมดอกโบตั๋นในสวนเพื่อให้ฮ่องเต้ได้ยืดเส้นยืดสายจากการนอนเป็นเวลานาน ฉันใช้เวลาทั้งวันอยู่กับฮ่องเต้ ช่วงเวลาเย็นหมอหวังมาเปลี่ยนเพื่อให้ฉันกลับไปพักผ่อน หมอหวังบอกว่าเขาจะอยู่ดูแลฮ่องเต้ช่วงเวลากลางคืนเอง ให้ฉันและหมอจงพักผ่อนหากมีเรื่องด่วนเขาจะให้คนไปตามที่ตำหนัก ฉันจึงกล่าวลาฮ่องเต้และหมอหวังกลับตำหนักดอกบัว
                 
หมายเหตุ

*หนึ่งชั่วยาม  เท่ากับ สองชั่วโมง

*พิษฝุ่นสุริยะ พิษทำลายระบบประสาท ร่างกายอ่อนแรง เป็นอัมพาตเฉียบพลัน

TOKIO FUNKA
YouTube by : Kyounosuke official


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 41
(กลับป่าไผ่เขียว)

          ระหว่างทางเดินกลับฉันพบหมอจงที่กำลังเดินมาจากตำหนักดอกบัวเพื่อไปช่วยหมอหวังดูแลฮ่องเต้ ฉันจึงบอกเขาว่าไม่ต้องไปแล้วและให้กลับตำหนักไปกินอาหารเย็นและพักผ่อน เราจึงเดินกลับไปด้วยกัน พบเฟยเจินออกมายืนคอยฉันที่หน้าตำหนักเพื่อรอกินอาหารเย็นพร้อมกัน เหวินหลางที่นั่งรออยู่ด้านในพอเห็นฉันจึงเดินเข้ามาบอกว่า วันนี้มีขันทีนำหีบเครื่องประดับและหีบผ้าหลายหีบที่ฮองเฮาประทานให้เป็นของรางวัลที่ได้โอรส และมีแม่ครัวที่ชื่อเพ่ยจีมาขอพบฉันแต่เพราะฉันไม่อยู่ แม่ครัวเพ่ยจีจึงฝากเสี่ยวหลงเปาที่นางตั้งใจทำมาฝากไว้ให้ฉันกิน

          อันฉี  : ว้าว! กำลังนึกอยากกินอยู่พอดี
 เหวินหลาง  : เจ้ามีแม่ครัวส่วนตัวด้วยรึ?
          อันฉี  : ไม่ใช่! แต่เพราะข้าเคยช่วยรักษาบาดแผลให้นาง นางจึงทำอาหารมาให้ข้ากิน
      หมอจง  : เจ้าสามารถกำหนดให้ตั้งครรภ์ลูกชายได้ด้วยรึ?
          อันฉี  : ถ้าอาจารย์สนใจ ข้าจะบอกวิธีให้
      หมอจง  : ข้าสนใจ
          อันฉี  : ขั้นตอนแรกนับวันรอบเดือนของฝ่ายหญิง ขั้นตอนที่สองกินอาหารปรับสภาพภายใน และขั้นตอนที่สาม....... (ฉันกระซิบบอกท่วงท่าให้ได้ลูกชายคร่าวๆที่ข้างหูหมอจง)
      หมอจง  : จริงรึ?! (หมอจงทำตาโต เคอะเขิน)
          อันฉี  : ข้าจะบอกวิธีให้ท่านคืนนี้
 เหวินหลาง  : นี่! บอกข้าด้วยสิ!
          อันฉี  : ข้าคิดค่าบอกราคาแพง มีเงินจ่ายให้ข้ามั้ยล่ะ?
 เหวินหลาง  : เจ้านี่งกเสียจริง!
      หมอจง  : เหวินหลาง ไว้รอให้เจ้าแต่งงานเสียก่อน ข้าจะเป็นคนบอกวิธีเจ้าเอง
     เฟยเจิน  : น้องห้า ของรางวัลที่ฮองเฮานำมาให้ เจ้าจะเลือกไปฝากฟางหรูหรือไม่
          อันฉี  : ข้าจะเลือกผ้าลวดลายสวยๆ กับเครื่องประดับไปฝากนางสักหน่อย เราไปดูกันเถอะ นี่! พี่ชายเหวินหลางไปดูด้วยกันสิ เผื่อท่านอยากได้เครื่องประดับสักชิ้นไปฝากเฉิงเหม่ยอิง (ฉันกระซิบบอกเหวินหลางให้ไปดูเครื่องประดับด้วยกัน)

          เหวินหลางเดินตามฉันและเฟยเจินไปเลือกของฝากด้วยกัน หมอจงจึงเรียกนางกำนัลให้ยกอาหารเข้ามา และหลังจากเรากินอาหารมื้อเย็นเสร็จได้สักพัก เหวินหลางและเฟยเจินจึงนั่งดื่มเหล้าและพุดคุยกันต่อ ส่วนฉันและหมอจงแยกตัวออกมาแล้วเดินเข้าไปในห้องพักหมอจงเพื่อบอกท่วงท่าให้ได้ลูกชาย ฉันอธิบายและทำท่าทางประกอบกับหมอจง เขามีอาการเขินและพูดว่า

    หหมอจง  : ข้าจะบอกวิธีแบบนี้กับคนไข้ได้ยังไงกัน
          อันฉี  : แค่บอกเป็นคำพูด ท่านไม่ต้องแสดงให้คนไข้ดูหรอก หรือท่านจะจดจำไว้ใช้กับภรรยาของท่านก็ได้

          หมอจงสบตากับฉันครู่หนึ่งแต่ไม่พูดอะไร แล้วลูบศรีษะฉันเบาๆ จากนั้นเราจึงเดินออกมาจากห้อง แล้วไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกันกับเฟยเจินและเหวินหลาง เช้าวันรุ่งขึ้นฉันไปดูแลฮ่องเต้ที่ตำหนักหมู่ตันตามปกติ ฮ่องเต้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมากจนเกือบเป็นปกติ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเจ็ดวันฮ่องเต้ก็หายเป็นปกติและกำหนดวันอีกสามวันข้างหน้าเป็นวันตัดสินคดีพระชายาลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เฟยเจินจึงชักชวนฉันกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว เพราะเขาเบื่อการใช้ชีวิตอยู่ในวัง หมอจงจึงเอ่ยปากขอไปเที่ยวชมป่าอัคคีด้วย เหวินหลางที่ชื่นชอบการผจญภัยและพูดคุยถูกคอกับเฟยเจินจึงขอตามไปด้วย เฟยเจินและฉันเห็นว่าหมอจงและเหวินหลางสามารถไว้ใจได้ อีกทั้งพี่ชายทั้งสามก็ยังไม่กลับจากการกักตนจึงตกลงใจพาหมอจงและเหวินหลางไปพักด้วยกันที่บ้านป่าไผ่เขียวที่อัคคี ฉันจึงไปหาฮ่องเต้เพื่อกล่าวลากลับบ้านที่ป่าอัคคี

          เฟยเจินเรียกนกเหยี่ยวนีโอออกมาเพื่อบินไปบอกให้หลี่เฉียง งูเห่าดำยักษ์ มารับหมอจงและเหวินหลางไปที่ป่าอัคคี โดยเราจะไปรออยู่ที่ชายป่าอัคคีทางใต้แนวเขตติดกับเมือง เราขี่ม้าออกจากวังมาถึงชายป่าจึงลงจากม้าและปล่อยม้าให้วิ่งกลับวัง พบเหวินอี้ขี่แมงมุมยักษ์มารอเราอยู่แล้วที่ชายป่า เหวินอี้เห็นฉันและเฟยเจินจึงรีบลงจากหลังแมงมุมยักษ์แล้ววิ่งมาหาเราพร้อมกล่าวทักทาย หมอจงและเหวินหลางเห็นแมงมุมยักษ์จึงเกิดความตกใจกลัวเพราะไม่เคยเห็นแมงมุมตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เฟยเจินจึงบอกเขาทั้งสองคนว่านี่คือลูกสมุนของพี่สามเป็นแมงมุมปีศาจ สามารถขยายตัวให้มีขนาดใหญ่เพื่อต่อสู้กับศัตรูได้ และสามารถย่อขนาดให้มีขนาดเล็กเท่าแมงมุมปกติเพื่อหลบซ่อนตัวได้ หมอจงและเหวินหลางจึงคลายความหวาดกลัวลง เมื่อเห็นฉันพูดคุยกับเหวินอี้อย่างสนิทสนมเป็นกันเอง

          อันฉี  : อ้าว! เหวินอี้ ทำไมเป็นเจ้ามารับล่ะ
       เหวินอี้  : พอดีข้าจะออกมาหาปลาและผักที่ลำธารใกล้ๆบริเวณนี้ จึงอาสามารอรับพวกท่าน ส่วนหลี่เฉียงพอรู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะกลับบ้านจึงรีบออกไปล่าหมูป่าและกระต่ายเพื่อนำมาให้ฟางหรูปรุงอาหารให้ท่านกิน
          อันฉี  : อาจารย์นี่คือเหวินอี้ เป็นคนปลูกสมุนไพรที่บ้านในป่าไผ่เขียว เหวินอี้ปลูกพืชและสมุนไพรเก่งมาก พืชและสมุนไพรที่เหวินอี้ปลูกจะเติบโตเร็ว มีคุณภาพดี สวยสดไร้แมลงกัดแทะ
       เหวินอี้  : (เหวินอี้ยกมือขึ้นเคารพหมอจงและเหวินหลาง)
 เหวินหลาง  : เจ้าปล่อยม้ากลับไปหมดแล้วเราจะไปบ้านของเจ้ากันยังไง?
     เฟยเจิน  : ท่านทั้งสองต้องขึ้นขี่หลังแมงมุมยักษ์ไปกับเหวินอี้ น้องห้าจะไปกับข้า เราต้องเดินทางไปกันอีกไกลมุ่งหน้าขึ้นไปป่าทางเหนือ
 เหวินหลาง  : ขี่ม้าไปไม่ได้รึ?
     เฟยเจิน  : ไม่ได้ เพราะในป่าอัคคีมีสัตว์ร้ายและปีศาจ ม้าของมนุษย์จะถูกสัตว์ร้ายและปีศาจจับกินโดยง่าย
      หมอจง  : ป่าอัคคีที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นป่าต้องห้าม หรือป่าปีศาจคือที่นี่สินะ?
     เฟยเจิน  : ใช่
 เหวินหลาง  : น่าสนุกจริงๆ ข้าตัดสินใจถูกต้องแล้วที่มากับเจ้า (เหวินหลางหันไปพูดกับเฟยเจิน)

          หมอจงและเหวินหลางปีนขึ้นหลังแมงมุมยักษ์นั่งไปกับเหวินอี้ ฉันขึ้นหลังเฟยเจินนกอินทรีย์ทองโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และช่วยระวังภัยให้พวกเขาที่ขี่แมงมุมวิ่งอยู่ที่พื้นดินด้านล่าง ฉันมองไปรอบๆป่าแล้วรู้สึกคิดถึงบ้านเหลือเกิน เราใช้เวลาสักพักก็มาถึงบ้านที่ป่าไผ่เขียว พบฟางหรูและสองลิงน้อย ไมเคิลกับแอปเปิ้ล กำลังรอต้อนรับเราอยู่หน้าบ้าน สองลิงน้อยวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยความดีใจ ฟางหรูยกน้ำชามาให้เราดื่มและของว่างกินรองท้องก่อนกินอาหารกลางวัน เหวินอี้จึงนำปลาเข้าเก็บในครัว ฉันจึงแนะนำฟางหรูกับหมอจงและเหวินหลางให้รู้จัก หมอจงจึงถามขึ้นว่า

      หมอจง  : มีผู้คนอื่นๆอาศัยอยู่ในป่าอัคคีอีกหรือไม่
          อันฉี  : ไม่มี แต่ท่านอยู่ภายในเขตบ้านจะปลอดภัยจากสัตว์ร้ายและปีศาจ เพราะพี่ใหญ่กางเขตป้องกันไว้ เชิญพวกท่านดื่มน้ำชาและกินของว่างรองท้องกันก่อน ข้าขอตัวเอาของฝากให้พี่ฟางหรู กับสองลิงน้อยก่อน
 เหวินหลาง  : ลิงน้อยสองตัวนั่นเป็นปีศาจด้วยหรือไม่?
     เฟยเจิน  : ใช่ แต่เป็นปีศาจพลังเวทย์ต่ำไม่ดุร้าย ลิงน้อยสองตัวนั้นเป็นลูกสมุนของน้องห้า
 เหวินหลาง  : อืม ดูก็รู้ว่าคงเป็นลิงของนางแน่นอน เพราะไม่มีลิงที่ไหนใส่กำไลหยก

          ฉันหยิบปิ่นปักผม และต่างหูที่ประดับด้วยเม็ดพลอยสวยงามเข้าชุดกัน และหยิบผ้าพับสีสวยสดใส และผ้าพับสีพื้นเข้มๆสำหรับตัดเสื้อผ้าผู้ชายยื่นให้ฟางหรู หยิบผ้าพันคอออกมาพันคอให้สองลิงน้อยตัวละผืนเพื่อคลายหนาวยามอากาศเย็น อีกทั้งแบ่งลูกพลับให้ตัวละสองผล ลิงน้อยทั้งสองแสดงอาการดีใจที่ได้ของฝาก ฉันจึงเดินกลับมาหาหมอจง ฉันชักชวนหมอจงไปดูแปลงปลูกสมุนไพรที่เหวินอี้ดูแลอยู่ เหวินอี้ที่กำลังเดินออกมาจากในครัวจึงอาสาเดินนำพาเราไปที่แปลงสมุนไพร

      หมอจง  : สมุนไพรพวกนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
          อันฉี  : สมุนไพรพวกนี้เป็นสมุนไพรที่มีอยู่ในป่าอัคคีเท่านั้น เช่นสมุนไพรแปลงนี้คือชาร่ำสุรา ไว้ชงดื่มหลังจากดื่มเหล้ามาหนักๆและช่วยบรรเทาอาการมึนเมาภายหลังการรักษาผู้เลิกเสพติดเหล้า ส่วนแปลงนี้คือว่านโซ่โลหิต ยาห้ามเลือดสมานบาดแผล และดอกไม้สวยๆแปลงนั้นคือดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศโดยการสูดดมกลิ่นมากๆ ส่วนกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาตามลมจะช่วยให้ผ่อนคลาย จึงต้องครอบด้วยตาข่ายป้องกันการสูดดมกลิ่นโดยตรง ใช้รักษาในผู้ที่มีบุตรยาก พี่เหวินอี้แล้วหญ้าพริกที่ข้าส่งมาให้ล่ะลงแปลงปลูกหรือยัง?
       เหวินอี้  : ข้าปลูกแล้วแต่ยังไม่โตสักเท่าไหร่เพิ่งงอกเป็นต้นอ่อน ท่านกำชับว่าเป็นหญ้าอันตรายข้าจึงนำไปแยกปลูกไว้ทางหลังบ้าน เชิญทางนี้
      หมอจง  : เหวินอี้สมุนไพรที่เจ้าปลูกเจริญงอกงามดี สวยงามทุกแปลง เมื่อนำมาปรุงเป็นยาจะได้ยาคุณภาพดีตามไปด้วย เจ้าปลูกพืชและสมุนไพรเก่งตามคำชื่นชมของอันฉีจริงๆ
       เหวินอี้  : ขอบคุณท่านทั้งสองที่กล่าวชื่นชมข้า
          อันฉี  : อาจารย์แปลงนี้เป็นหญ้าพริก มีสรรพคุณเผ็ดร้อน ลดเย็น แก้หวัด ลดเสมหะ ฆ่าเซลล์เนื้อร้าย ขยายเส้นโลหิต ป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เป็นหญ้าที่พบเจอบนเกาะกระต่ายผี
      หมอจง  : เป็นหญ้าที่เกือบทำให้ข้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้านำมันมาปลูกทำไม?
          อันฉี  : ข้าจะนำมาปรุงเป็นยาพิษเพื่อเคลือบคมอาวุธให้ทหารเมืองหลวนเซียนสามารถฆ่าสุนัขเยือกแข็งให้ตายได้ในดาบเดียว
      หมอจง  : พวกปีศาจเยือกแข็งมันร้ายกาจมากเลยรึ?!
          อันฉี  : ใช่! พี่ใหญ่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะปีศาจเยือกแข็ง และพวกมันจะกลับมาอีกมันต้องการฆ่าข้ากับฮ่องเต้
      หมอจง  : เหตุใดปีศาจเยือกแข็งจึงต้องการฆ่าเจ้า?!
          อันฉี  : เพราะนกอัคคีสวรรค์เคยสาปแช่ง ปีศาจเยือกแข็งต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคร้ายนานนับพันปี ข้ามีดวงจิตนกอัคคีสวรรค์อยู่ในกาย ปีศาจเยือกแข็งจึงต้องการฆ่าข้า
      หมอจง  : ข้าจะช่วยเจ้าปรุงยา ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้า
          อันฉี  : ข้าขอขอบคุณอาจารย์มาก ข้ามีดอกหญ้าพริกเก็บไว้นิดหน่อย อยากให้อาจารย์ช่วยข้าปรุงยาพิษภายหลังกินอาหารกลางวัน
      หมอจง  : ได้สิ
          อันฉี  : ต้องรบกวนอาจารย์แล้ว

          เราเดินอ้อมออกมาทางสระบัวหน้าบ้าน เหวินอี้จึงขอแยกตัวไปช่วยฟางหรูยกอาหารในครัว หมอจงมองดูดอกบัวในสระด้วยความสนใจ ดอกบัวมีสีน้ำเงินเข้มสด เกสรรอบนอกขนาดยาวมีสีเหลืองสด ปลายเกสรมีสีน้ำเงิน เกสรรอบในมีขนาดสั้นกว่ามีสีเหลือง และตรงกลางเกสรด้านในสุดมีสีน้ำเงิน หมอจงถามถึงดอกบัวสีน้ำเงินสวยแปลกตาว่าเป็นบัวชนิดใด ฉันตอบว่า...

          อันฉี  : นั่นคือ บัวมายาสีน้ำเงิน มีกลิ่นหอมหวานละมุนชุ่มฉ่ำของน้ำเหมือนน้ำหวาน สรรพคุณรักษาอาการหืดหอบ รักษาระบบทางเดินทางหายใจ ทำให้หายใจได้ลึกและสะดวก กลิ่นหอมของดอกบัวช่วยให้ผ่อนคลาย คลายปวดเมื่อย เคลิบเคลิ้มมีความสุข ข้าตั้งใจจะสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยนวดคลายปวดเมื่อยถวายฮ่องเต้ หากอาจารย์มองดอกบัวมายาเวลากลางวันจะเหมือนดอกบัวทั่วไป แต่ตอนกลางคืนดอกบัวมายาจะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามที่เกสรเหมือนเปลวไฟสีน้ำเงิน เพื่อล่อแมลงมาตอมที่เกสรแล้วจับแมลงกินเป็นอาหาร
      หมอจง  : ดอกบัวกินแมลงได้ด้วยรึ แปลกจริง?!
          อันฉี  : อาจารย์รอดูคืนนี้สิ ดอกบัวมายายามราตรีสวยงามมาก และข้ากำลังมีความคิดจะปรุงน้ำอบพิษไว้สำหรับป้องกันตัวข้าเอง แต่ข้าต้องรอให้พี่ใหญ่กลับจากกักตนเสียก่อนแล้วให้พี่ใหญ่ไปจับผีเสื้ออัญมณีพิษมาให้ข้า
      หมอจง  : แต่เจ้าก็มีอาวุธติดกายที่ร้ายกาจอยู่แล้วนี่นา
          อันฉี  : อาวุธของข้ามีพิษร้ายแรงเกินไป หากนำออกมาใช้คนที่ถูกคมอาวุธของข้า โอกาสเสียชีวิตสูง และมีโอกาสรอดตายน้อยมาก ข้าจึงอยากปรุงยาพิษที่มีพิษอ่อนลงมาหน่อย แค่ทำให้ศัตรูบาดเจ็บหรือเป็นอัมพาตก็พอ
      หมอจง  : พรุ่งนี้ไปจับผีเสื้อกับข้า ข้าจะช่วยเจ้า
          อันฉี  : เราไปจับกันเองไม่ได้หรอก เพราะผีเสื้ออัญมณีพิษอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงมีอากาศหนาวเย็นจัดและสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในน้ำแข็งหรือหิมะ เป็นผีเสื้อมีขนาดใหญ่เท่าหนึ่งฝ่ามือ ปีกโปร่งใสเหมือนแก้ว ที่โคนปีกและลำตัวมีสีฟ้าเหมือนถูกพ่นสีเอาไว้แล้วโรยด้วยผงกากเพชรวิบวับ แม้จะเป็นผีเสื้อที่สวยงาม แต่ก็มีพิษร้ายแรงอยู่พอสมควร พิษจะอยู่ที่ผงกากเพชรสีฟ้าประกายวิบวับ เพราะผีเสื้อมันกินใบต้นหมอกหิมะเป็นอาหาร ส่วนต้นหมอกหิมะก็มีพิษทำลายประสาททำให้เกิดภาพหลอน ใจสั่น ปวดศรีษะ คลื่นใส้ อาเจียร ร่างกายชา เป็นอัมพาตหมดสติ ข้าจะนำผงกากเพชรของผีเสื้อมาผสมกับน้ำอบดอกบัวมายาสีน้ำเงิน
     หมอจง  : อื้ม เป็นน้ำอบที่หอมหวานงดงามแต่แฝงไปด้วยยาพิษร้าย แต่ข้าสนใจน้ำมันหอมระเหยดอกบัวมายานวดคลายปวด เจ้าสกัดให้ข้าขวดหนึ่งด้วยได้หรือไม่
          อันฉี  : สำหรับอาจารย์ข้าจะคิดราคาไม่แพง
      หมอจง  : ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้านะ....
          อันฉี  : ฮะฮ่า ข้าล้อเล่น สำหรับอาจารย์ข้าจะสกัดให้หลายๆขวดเลย
      หมอจง  : ในป่าไผ่นั่นมีอะไร สามารถออกไปเดินชมได้หรือไม่?
          อันฉี  : สามารถเดินชมได้ ในป่าไผ่มีสมุนไพร และมีเหล่างูลูกสมุนของพี่ใหญ่คอยปกป้องและระวังภัยไม่ให้ปีศาจและสัตว์ร้ายเข้ามาภายในป่าไผ่ได้ หลังกินอาหารกลางวันข้าจะพาท่านไป

          เหวินอี้เดินมาตามเรากลับเข้าบ้านเพื่อกินอาหารกลางวันที่เขาและฟางหรูจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งอาจารย์และเหวินหลางต่างชื่นชมฝีมือการปรุงอาหารของฟางหรูว่ามีรสชาติอร่อยมาก หลังกินอาหารกลางวันเสร็จฉันชวนเหวินหลางและเฟยเจินไปเดินเล่นในป่าไผ่เขียวด้วยกัน เราเดินเข้าป่าไผ่เขียวได้ครู่หนึ่ง เฟยเจินก็เรียกให้หยางกวางและหลี่เฉียงที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาพบ เฟยเจินบอกหยางกวางและหลี่เฉียงว่าหมอจงเป็นอาจารย์ของฉัน และเหวินหลางเป็นเพื่อนของเรา อย่าทำร้ายและดูแลความปลอดภัยเขาทั้งสองคนด้วย หยางกวางและหลี่เฉียงกล่าวรับทราบ และหายกลับเข้าไปในหมู่ต้นไผ่ เหวินหลางดูจะตื่นเต้นกับกองทัพทหารงูจำนวนมากที่แฝงกายอยู่ทั่วป่าไผ่ แต่หมอจงดูจะผ่อนคลายกับบรรยากาศเงียบสงบสวยงามของป่าไผ่ เราเดินชมและพูดคุยกันจนเวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ หมอจงจึงชวนฉันกลับบ้านไปปรุงยาหญ้าพริก

          เหวินหลางชักชวนเฟยเจินให้พาออกไปดูป่าอัคคีด้านนอก ฉันกับหมอจงจึงแยกกลับบ้านเพียงสองคน เมื่อกลับถึงบ้านฉันหยิบหม้อต้มยาราชันออกมาวาง และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเวทย์หยิบดอกหญ้าพริกออกมาดอกหนึ่งแล้วเคาะละอองเกสรสีส้มใส่ลงในหม้อยาราชัน หมอจงใช้นิ้วจุ่มน้ำมาหยดใส่เพียงเล็กน้อยแล้วคนด้วยช้อนเงินให้เข้ากัน ฉันกำลังจะใช้ปลายนิ้วจุ่มชิมพิษ แต่หมอจงจับมือฉันไว้แล้วถามว่า

      หมอจง  : เจ้าจะเป็นอันตรายหรือไม่
          อันฉี  : ไม่เป็นอะไร ข้าทนร้อนทนไฟ ข้าจะทดลองชิมยาพิษนี่เอง (ฉันใช้ปลายนิ้วจุ่มแล้วชิมพิษแล้วถึงกับตาโตซี้ดปากสะบัดหน้าด้วยความเผ็ด)
      หมอจง  : เป็นอย่างไรบ้าง?
          อันฉี  :  มันเผ็ดร้อนมากๆเหมือนถูกไฟเผา แต่ยังไม่พอ ข้าอยากได้ยาพิษที่เผ็ดร้อนมากกว่านี้ ต้องร้อนจนน้ำแข็งละลาย
      หมอจง  : ไฟสามารถละลายน้ำแข็ง แต่จะใช้อะไรแทนไฟได้ล่ะ?
          อันฉี  :  จริงด้วย! ข้านึกออกแล้ว ข้ามีไฟ! (ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเวทย์หยิบผลอัคคีออกมา)
      หมอจง  : นี่คือ?!
          อันฉี  : นี่คือผลอัคคี ผลไม้พิษแรงที่สุดในป่านี้ เป็นอาหารของนกอัคคีสวรรค์
      หมอจง  : ข้าจำได้ เจ้าเคยป้อนให้ข้ากินครั้งหนึ่งมันร้อนแรงเหมือนถูกไฟเผาอยู่ในนรก เจ้าลองบีบผลอัคคีให้มีน้ำแล้วหยดลงไปในหม้อยาสักหยดดูซิ จะเป็นยังไง
          อันฉี  : อื้ม!

          ฉันหยดน้ำผลอัคคีใส่ในหม้อยาหนึ่งหยด ทันใดนั้นเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้บนตัวยา ฉันและหมอจงสะดุ้งตกใจ แล้วหัวเราะให้กัน

      หมอจง  : ไฟแบบนี้หรือเปล่าที่เจ้าอยากได้!
          อันฉี  : ว้าว! ไฟแรงเกินคาด (ฉันใช้ปากเป่าไฟให้ดับ) ข้าจะชิมล่ะนะ

          ฉันใช้ปลายนิ้วจุ่มชิมพิษนิ้วสัมผัสได้ถึงความร้อน และทันทีที่พิษสัมผัสถูกลิ้นฉันถึงกับร้องจ๊ากเพราะความเผ็ดร้อนเหมือนกินได้พริกสดเผ็ดร้อนสักสิบกระปุกจนฉันหน้าแดง อ้าปากแลบลิ้น รีบคว้าน้ำชายกดื่มทั้งกา ฟางหรูและเหวินอี้ได้ยินเสียงฉันร้องจึงรีบวิ่งมาดูและถามด้วยความตกใจ

       เหวินอี้  : เกิดอะไรขึ้น?!
          อันฉี  : เผ็ด ขอน้ำ น้ำ!
      ฟางหรู  : ข้าจะไปเอาน้ำมาให้!
      หมอจง  : เดี๋ยวก่อน มีน้ำผึ้งมั้ย?
      ฟางหรู  : มี!
      หมอจง  : เอาน้ำผึ้งมาด้วย
       เหวินอี้  : เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ อันฉีเป็นอะไรหรือเปล่า?!
      หมอจง  : เราปรุงยาพิษกัน อันฉีทดลองชิมยาพิษด้วยตัวเองจึงเกิดอาการเผ็ดร้อนอย่างที่เห็น
          อันฉี  : อึ้ม! ข้าแค่ชิมยาพิษ!!
      ฟางหรู  : น้ำกับน้ำผึ้งมาแล้ว!
      หมอจง  : อันฉี กินน้ำผึ้งนี่ก่อน ช่วยคลายความเผ็ด

          หมอจงเทน้ำผึ้งใส่ช้อนแล้วป้อนใส่ปากฉันสองช้อน ความเผ็ดร้อนจึงคลายลง จากนั้นจึงกล่าวขอโทษเหวินอี้และฟางหรูที่ทำให้ตกใจ และบอกเขาทั้งสองว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ฟางหรูและเหวินอี้จึงอาสาจะอยู่ช่วยเป็นลูกมือ แต่ฉันตอบปฏิเสธเพราะฉันกำลังปรุงยาพิษชนิดร้ายแรงเขาทั้งสองอยู่ใกล้ๆจะเป็นอันตราย เหวินอี้และฟางหรูจึงพยักหน้ารับด้วยอาการหวั่นใจกลัวว่าฉันจะเป็นอันตรายจากยาพิษ แต่ก็เชื่อฟังตามที่ฉันบอกจึงแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ หมอจงถามฉันว่า...

      หมอจง  : เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดตรงไหนหรือไม่
          อันฉี  : ไม่ แต่ก่อนหน้านี้รู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟเผาอยู่ในนรก
      หมอจง  : ยาพิษที่ปรุงนี่ ปรุงได้ถูกต้องแล้วสามารถนำไปใช้ได้เพราะดวงตาของมังกรส่องประกายแวววาว และยายังคงสภาพเป็นสีแดงคือสีเดิมของยา แต่หากยาที่ปรุงในหม้อต้มยาราชันเปลี่ยนเป็นสีดำนั่นแสดงว่าปรุงยาผิดพลาดมิอาจนำมาใช้ได้
          อันฉี  : ข้าจะตั้งชื่อยาพิษนี้ว่า ยาพิษพริกนรก
      หมอจง  : เราลองทดสอบกับเนื้อสัตว์ดูดีกว่า
          อันฉี  : อาจารย์รอข้าสักประเดี๋ยว ข้าจะไปขอเนื้อปลากับเนื้อหมูป่าที่พี่ฟางหรูมาทดสอบ

          ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาฟางหรูในครัวขอเนื้อปลาและเนื้อหมูป่า แล้ววิ่งกลับมาหาหมอจงที่กำลังนั่งรออยู่ หมอจงใช้ช้อนเงินตักยาพิษพริกนรกหยดลงบนเนื้อปลาและเนื้อหมูป่าเกิดการเผาไหม้จนเกรียมส่งกลิ่นเหม็นไหม้ ฉันดีใจมากที่สามารถปรุงยาพิษเพื่อฆ่าสุนัขเยือกแข็งได้สำเร็จ แต่ดอกหญ้าพริกที่ปลูกอยู่ที่แปลงหลังบ้านยังไม่โตพอที่จะใช้ปรุงยา จึงต้องรอให้เฟยเจินกลับมาจากข้างนอกก่อนฉันจะให้เฟยเจินไปเก็บดอกหญ้าพริกที่เกาะกระต่ายผี

          หลังอาหารค่ำเรานั่งดื่มเหล้าชื่นชมดอกบัวมายาสีน้ำเงินที่กำลังส่องแสงอวดความงามยามค่ำคืน ตกดึกเราจึงแยกย้ายกันเข้านอน ฉันยกเตียงให้หมอจงนอนเพราะเขาเป็นอาจารย์จึงไม่เหมาะที่จะให้เขานอนที่พื้น ส่วนฉันจะปูฟูกนอนที่พื้นกับเฟยเจิน แต่หมอจงปฏิเสธที่จะนอนเตียงเพราะฉันเป็นหญิงจึงไม่เหมาะที่จะให้ฉันนอนที่พื้นเช่นกัน เราจึงตกลงใจที่จะปูฟูกนอนด้วยกันสี่คนที่พื้น โดยเรียงจากฉัน เฟยเจิน เหวินหลาง และหมอจง

          รุ่งเช้าเสร็จจากกินอาหารเช้า เฟยเจินเตรียมตัวไปเกาะกระต่ายผีเพื่อเก็บดอกหญ้าพริก เหวินหลางขอติดตามเฟยเจินไปที่เกาะกระต่ายผีด้วย เขาอยากไปเห็นเกาะกระต่ายผีและอยากไปผจญภัย เนื่องจากเขาต้องคอยทำงานและติดตามราชครูเฉิงตั้งแต่เด็กจึงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจตัวเองนัก ฉันจึงบอกให้เขาสองคนระมัดระวังเวลาเก็บดอกหญ้าพริก อีกทั้งฟางหรูได้เตรียมน้ำและอาหารไว้ให้เขาทั้งสองคนไว้กินระหว่างทาง จากนั้นเฟยเจินพาเหวินหลางบินออกไป

          ระหว่างรอเวลาเฟยเจินและเหวินหลางไปเก็บดอกหญ้าพริกที่เกาะกระต่ายผี ฉันและหมอจงที่รออยู่ที่บ้านจึงช่วยกันสกัดน้ำมันหอมระเหยดอกบัวมายาสีน้ำเงินเพื่อเป็นยานวดคลายปวดเมื่อยล้า การปรุงยาครั้งนี้ช่างสนุกสนานเพลิดเพลินกว่าทุกครั้ง เพราะมีหมอจงมาช่วยคิดช่วยปรุงจึงสำเร็จโดยง่ายในคราเดียว ตกค่ำเฟยเจินและเหวินหลางจึงกลับมาถึงบ้าน ฟางหรูเก็บอาหารมื้อเย็นไว้ให้ทั้งสองคนจึงรีบอุ่นให้ร้อนแล้วยกมาให้ทั้งสองคนกิน เหวินหลางท่าทางดูสนุกและตื่นเต้นที่ไปเกาะกระต่ายผี ส่วนเฟยเจินเองก็ดูสนุกอยู่ด้วยไม่น้อย ฉันเองก็ดีใจแทนเฟยเจินที่ตอนนี้เขามีเพื่อนแล้ว คืนนี้เรานั่งดื่มเหล้าและคุยกันสักพักใหญ่แล้วเข้านอน
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 42
(ข่าวร้ายจากเมืองหนิงอัน)

          หมอจงตื่นนอนแต่เช้าเหมือนเดิมทุกวัน เขาเดินไปดูและพูดคุยกับเหวินอี้ที่กำลังดูแลแปลงพืชผักและสมุนไพร ดูเหมือนเขาจะสนใจพืชพิษในป่านี้เป็นพิเศษคงเพราะวิชาพิษเป็นวิชาถนัดของเขา ฉันตื่นนอนพร้อมเฟยเจินเพราะเขาขยับตัว เราจึงลุกไปล้างหน้าแล้วไปนั่งดื่มน้ำชาที่ฟางหรูวางเตรียมไว้ให้ ส่วนเหวินหลางตื่นนอนสายคงเหนื่อยจากการไปเกาะกระต่ายผีเมื่อวาน

          หลังกินอาหารเช้าเสร็จหมอจงจะช่วยฉันปรุงยาพิษพริกนรก แต่ฉันบอกหมอจงว่าจะปรุงยาเองโดยลำพังเพราะเกรงละอองหญ้าพริกจะปลิวเข้าตาเขา ฉันทำโดยลำพังจะสะดวกกว่า หมอจงจึงออกไปเดินเล่นที่ป่าไผ่เขียว ฉันจึงบอกให้สองลิงน้อยออกไปด้วยกับหมอจงเพื่อช่วยนำทางและคอยระวังภัย ส่วนเฟยเจินเรียกนกเหยี่ยวนีโอมาดูแลเช็ดขนทำความสะอาด เหวินหลางฝึกกระบี่อยู่ที่ลานบ้าน ฉันจึงเริ่มปรุงยาพริกนรกอีกครั้ง จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ หยางกวางหัวหน้าทหารงู นำนกพิราบที่จับได้ตัวหนึ่งมาให้เฟยเจิน เหวินหลางรีบเดินเข้ามาดูเฟยเจินแกะกระดาษที่ผูกติดมากับขานกแล้วคลี่ออกอ่าน เฟยเจินบอกอะไรสักอย่างกับหยางกวาง จากนั้นหยางกวางก็รีบเดินเข้าไปในป่าไผ่เขียว เฟยเจินรีบนำกระดาษแผ่นนั้นเดินมาให้ฉันอ่าน ในกระดาษเขียนว่า "มีข่าวด่วนจากเมืองหนิงอัน เชิญเข้าพบท่านอ๋องด่วน จากองครักษ์จิ้นฝาน" ฉันตกใจมากเพราะกังวลกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นที่เมืองหนิงอัน หมอจงที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากป่าไผ่เขียวเพราะเฟยเจินสั่งหยางกวางให้ไปตามหมอจงกลับมา ฉันส่งกระดาษให้หมอจงอ่าน

      หมอจง  : ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นที่เมืองหนิงอันแน่ๆ
          อันฉี  : ทำไมเมืองหนิงอันส่งจดหมายไปที่พระราชวังล่ะ ทำไมไม่ส่งจดหมายมาที่นี่
      หมอจง  : เพราะตอนที่รักษาฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลงอยู่ในวัง ข้าบอกลี่จูหากมีอะไรให้รีบส่งข่าวถึงข้า และตอนมาที่นี่ข้ายังไม่ได้ส่งข่าวถึงนาง นางจึงไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ นางจึงส่งจดหมายไปที่พระราชวัง
     เฟยเจิน  : คงเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ ท่านอ๋องจึงไม่ส่งต่อจดหมายมาที่นี่ แต่เขียนจดหมายบอกให้เราไปพบ
 เหวินหลาง  : เรารีบไปพบท่านอ๋องกันเถอะ จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
          อันฉี  : ขอข้าไปเอายาที่เตรียมไว้ก่อน

          ฉันและหมอจงรีบไปเก็บยาที่เตรียมไว้ใส่ห่อผ้า เรารีบเดินไปหาเฟยเจินกับเหวินหลางที่เตรียมตัวเสร็จแล้วกำลังยืนรออยู่ และหลี่เฉียงงูเห่ายักษ์ที่ออกจากป่าไผ่เขียวเพื่อรอไปส่งเราที่พระราชวัง เราออกเดินทางไปพระราชวัง ทันทีที่ถึงพระราชวัง เฟยเจินบอกให้หลี่เฉียงอยู่รอก่อน จากนั้นเรารีบเดินไปที่ตำหนักดอกกล้วยไม้ เพื่อเข้าเฝ้าท่านอ๋อง พบท่านอ๋องกำลังนั่งรอเราอยู่แล้ว เรารีบทำความเคารพ

      หมอจง  : ท่านอ๋อง เมืองหนิงอันส่งข่าวมาว่าอย่างไรบ้าง?
   ท่านอ๋อง  : (ท่านอ๋องยื่นจดหมายให้หมอจงอ่าน แล้วหันมาบอกฉันกับเฟยเจินและเหวินหลางว่า...) ในจดหมายเขียนว่า โจรป่าร่วมมือกับแคว้นซูเซียวกำลังเคลื่อนพลสามพันคนเข้าปิดล้อมเมืองหนิงอัน และกองกำลังอีกสองหมื่นห้าพันคนเข้าล้อมเมืองจินชาง แต่ที่เมืองจินชางไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่เพราะมีแม่ทัพฝีมือดี และกองกำลังทหารป้องกันแน่นหนา แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเมืองหนิงอัน เพราะเมืองจินชางมีทหารไม่เพียงพอแบ่งไปช่วยเมืองหนิงอัน ที่เสียเปรียบด้านกองกำลังทหารเป็นอย่างมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือองค์รัชทายาทจินหย่งเจิ้งตรวจราชการอยู่ที่เมืองหนิงอันด้วย
เหวินหลาง  : เราต้องรีบไปช่วยพวกเขา
      หมอจง  : แต่ข้าต้องขอรบกวนให้เฟยเจินไปส่งข้าที่เมืองหนิงอันจะได้หรือไม่ หากขี่ม้าไปคงไปไม่ทันเป็นแน่
          อันฉี  : อาจารย์ท่านอย่าไปเลยนะ เอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆอยู่ด้วยกันที่นี่เถอะ
      หมอจง  : พวกเขาเป็นเพื่อนของข้า ข้าทิ้งพวกเขาไม่ได้ ข้าจะปล่อยให้แคว้นซูเซียวเข้ายึดบ้านครองเมืองง่ายๆไม่ได้หรอก
     เฟยเจิน  : ข้าจะไปส่งพวกท่านเอง!
          อันฉี  : ข้าจะไปส่งท่านด้วย
    ท่านอ๋อง  : ข้าไปด้วย!
          อันฉี  : ท่านอ๋อง! ท่านจะไปทำอะไร?! ที่นั่นกำลังจะทำสงครามกัน เมืองหนิงอันกำลังจะกลายเป็นสนามรบ ที่นั่นไม่ใช่ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ให้ท่านไปเดินเล่นสวยๆหรอกนะ!
 เหวินหลาง  : อันฉี! นั่นท่านอ๋องของเจ้านะ พูดอะไรระวังหน่อย!
          อันฉี  : ท่านอ๋องข้าขออภัย ข้ารู้ว่าท่านอยากพบลี่จูมาก แต่นี่มันใช่เวลาต้องไปพบกันมั้ยเนี่ย?!
    ท่านอ๋อง  : ข้ารู้! แต่เวลานี้แหละที่ข้ายิ่งต้องไป
          อันฉี  : แล้วเรื่องคดีของพระชายาล่ะ หากท่านไปแล้วใครจะอยู่ช่วยงานฝ่าบาท
    ท่านอ๋อง  : เรื่องคดีของพระชายา ฮ่องเต้จะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยพระองค์เอง ส่วนเรื่องการทหารข้ามีขุนนางและแม่ทัพที่ไว้วางใจได้สามารถช่วยงานฮ่องเต้
          อันฉี  : ท่านอ๋องข้ารู้ว่าท่านเคยนำทัพออกรบท่านไม่เกรงกลัวศัตรู แต่ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ท่านต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง แต่หากท่านอ๋องยืนกรานที่จะไป ท่านก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านข้าก็มิอาจรับผิดชอบได้
    ท่านอ๋อง  : ข้าจะระมัดระวัง
     เฟยเจิน  : ข้าจะส่งข่าวถึงนกอินทรีย์ดำที่เกาะกระต่ายผีให้ไปช่วยที่เมืองหนิงอันด้วยอีกแรง
          อันฉี  : งั้นข้าจะเอายานวดดอกบัวมายาและยาพริกนรกไปถวายฮ่องเต้ก่อน  ข้าจะรีบกลับมา
     เฟยเจิน  : อื้ม

          ฉันรีบวิ่งไปตำหนักของฮ่องเต้ถวายยานวดดอกบัวมายาและยาพิษพริกนรกให้ฮ่องเต้เก็บไว้ แล้วบอกเหตุผลที่ต้องรีบร้อนเดินทางไปเมืองหนิงอันก่อนกล่าวทูลลาฮ่องเต้ แล้วรีบวิ่งกลับไปที่ตำหนักท่านอ๋อง พบทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมและรอฉันอยู่ ฉันจึงให้หมอจง เหวินหลาง และองครักษ์จิ้นฝาน ไปกับหลี่เฉียงงูเห่าดำยักษ์ ส่วนท่านอ๋องไปกับฉันและเฟยเจิน จากนั้นเราจึงออกเดินทางกันทันที เรารีบเร่งเดินทางจนมาถึงเมืองหนิงอัน แต่เราแอบกันอยู่รอบนอก เฟยเจินจึงส่งหลี่เฉียงงูเห่าดำไปดูลาดเลาที่สนามรบ ไม่นานนักหลี่เฉียงก็กลับมารายงานว่า...

    หลี่เฉียง  : ที่สนามรบมีกองกำลังทหารกองทัพใหญ่ กำลังระดมยิงธนูใส่เมือง ส่วนในเมืองมีการป้องกันแต่มองดูก็รู้ว่าเสียเปรียบอย่างมาก คงต้านได้อีกไม่นาน
      หมอจง  : ข้าต้องไปแล้ว ขอบคุณพวกท่านที่มาส่ง
     เฟยเจิน  : เดี๋ยวก่อน! หมอจง เหวินหลางไปกับข้า ขึ้นหลังข้าเร็ว ข้าจะไปช่วยท่าน น้องห้ารออยู่ที่นี่ หลี่เฉียงคุ้มครองนางด้วย!
    หลี่เฉียง  : ไว้วางใจข้าเถอะ ปกป้องท่านอันฉีเป็นหน้าที่ของข้า

เพลง 出山 花粥 ft.王勝男
YouTube by : Yo Yo Rock



■■■■■■■■■■■■■■■■■

(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 43 - 58 (จบแล้ว) ➡

⬅ (ยัอนกลับ) หมอหญิงปีศาจ Ep 16 - 25

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤




No comments:

Post a Comment