Photobucket Wellcome

นิยาย : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 25 - 41

นิยายเรื่อง  : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 25 - 41
นิยายโดย  : An Qi
นิยายแนว  : มโน, เพ้อเจ้อ, ต่างโลก, ย้อนยุค, ผจญภัย, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ  : ริสา เกิดอาการเครียดเพราะตกงาน จึงคิดจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อไปถึงริมแม่น้ำจะฆ่าตัวตายกลับเกิดความกลัวจึงคิดเปลี่ยนใจ แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำคิ้วกระแทกก้อนหินจนสลบแล้วไปฟื้นอีกโลกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ชื่อมี่จื่อ ถูกผู้ที่ช่วยเหลือจากแม่น้ำหลอกพาไปขายในหอนางโลม และได้รับการช่วยเหลือออกมาจนได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิง เพื่อช่วยเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไป

คำเตือน นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดชวนวิจารณญาณมานั่งอ่านด้วยกัน
มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 25 - 41
มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 25
(พลังหมื่นบุปผาตื่นแล้ว)

          ทุกคนพากันวิ่งมาดูองค์หญิงจินเอ๋อที่ฉันช่วยไว้ไม่ให้ตกสระบัวได้ทันท่วงที เมื่อเห็นว่าองค์หญิงไม่เป็นอะไร พวกเขาจึงรีบเข้ามาดูและถามฉันถึงดอกท้อสีแดงที่พวยพุ่งออกมาจากมือฉันด้วยความประหลาดใจ ฉันตอบพวกเขาว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะขณะนั้นฉันคิดอยู่อย่างเดียวว่าไม่ต้องการให้องค์หญิงตกลงไปในสระบัว จากนั้นก็มีดอกท้อพวยพุ่งออกมาจากมือได้เอง ท่านอ๋องหกจึงบอกให้พระชายาพาองค์หญิงน้อยจินเอ๋อกลับตำหนักไปก่อน เพราะท่านอ๋องหกต้องการพูดคุยเรื่องนี้กับพวกเราต่อในตำหนักท่านอ๋อง พระชายาจึงทูลลากลับตำหนักกับองค์หญิง เราจึงเดินกลับเข้าไปด้านในตำหนักของท่านอ๋องหก พวกเขาเข้ามาดูที่มือฉันแล้วบอกให้ฉันทำให้พวกเขาดูอีกครั้ง ฉันจึงลองทำอีกครั้งโดยการยื่นมือออกไปแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีดอกท้อพวยพุ่งออกมาอีกแล้ว

        อ๋องหก  : ดอกท้อที่ออกมาเมื่อกี้อาจเกิดจากพลังในจิตใจที่มี่จื่อต้องการปกป้องจินเอ๋อก็เป็นได้
        หลี่จวิน  : หรือนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งในเคล็ดวิชาหมื่นบุปผา? ไม่แน่นะ...ถ้ามี่จือได้ฝึกพื้นฐานพลังปรานบางทีนางอาจควบคุมดอกท้อในตัวได้ และบางทีอาจเข้าใจเคล็ดวิชาหมื่นบุปผามากขึ้น
        อ๋องหก  : อาจจะจริงอย่างที่หลี่จวินพูด เหยียนเหล่ยเจ้าควรฝึกพื้นฐานพลังปรานให้มี่จื่อ ดอกท้อในตัวมี่จื่ออาจมีการตอบสนองอะไรได้มากกว่านี้
เหยียนเหล่ย  : ได้ ข้าจะฝึกพลังปรานให้มี่จื่อเอง
             มี่จื่อ  : ข้าจะเก่งวิชายุทธเหมือนคุณชายมั้ย?
เหยียนเหล่ย  : ไม่! แค่ฝึกพื้นฐานพลังปรานเพื่อควบคุมดอกท้อในตัวเจ้าเท่านั้น
             มี่จื่อ  : ข้าอยากฝึกวิชายุทธไว้ป้องกันตัวเอง
เหยียนเหล่ย  : ไม่ได้! เจ้าห้ามฝึกวิชายุทธ
             มี่จื่อ  : ทำไมล่ะ ทำไมข้าฝึกไม่ได้?!
เหยียนเหล่ย  : เจ้ามีข้าอยู่แล้ว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง
        หลี่จวิน  : ชิ! ชิ! มี่จื่อ! นี่ขนาดเจ้ายังไม่มีวิชายุทธ เจ้ายังคลายมนต์ของเหยียนเหล่ยได้อย่างง่ายดายเพื่อช่วยหยางเค่อให้หนีการจับกุม แล้วถ้าเจ้ามีวิชายุทธขึ้นมาจนปีกกล้าขาแข็ง ใครจะควบคุมเจ้าได้ล่ะทีนี้ เหยียนเหล่ยอย่าให้นางเรียนวิชายุทธเด็ดขาด
             ลี่ถัง  : มี่จื่อ มีพวกเราอยู่ด้วย เราจะปกป้องเจ้าเอง อย่าห่วงเลย
             มี่จื่อ  : พูดแบบนี้เหมือนพวกท่านไม่ไว้ใจข้า
        หลี่จวิน  : ก็ไม่ไว้ใจน่ะสิ! ห่างสายตาแค่แป็บเดียวเจ้าก็ใจอ่อนช่วยคลายมนต์สกัดกั้นให้หยางเค่อหนีไปได้ มันน่าจับตัวเจ้าไปนั่งสำนึกผิดในคุกสักเจ็ดวัน
             มี่จื่อ  : คุณชาย...ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ อย่าให้ท่านหลี่จวินจับข้าไปขังคุก (ฉันเดินเข้าไปจับชายแขนเสื้อเหยียนเหล่ยออดอ้อนให้เขาช่วยให้หลี่จวินหยุดดุฉัน)
เหยียนเหล่ย  : หลี่จวินไม่จับเจ้าไปหรอก อยู่กับข้าอย่าดื้อ เชื่อฟังข้า ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้า (เหยียนเหล่ยจับแก้มฉันแล้วพูดอย่างเอ็นดู)
        หลี่จวิน  : เฮ่อ! เหยียนเหล่ย นะ เหยียนเหล่ย เจ้าน่ะถูกเวทมนต์ของมี่จื่อสะกดเข้าให้ซะแล้ว ถูกนางออดอ้อนเข้าหน่อยก็อ่อนระทวย น่าหมั่นใส้!
        อ๋องหก  : เอาน่าๆ! นานๆจะได้เห็นเหยียนเหล่ยดูมีชีวิตชีวาสีหน้ายิ้มแย้มบ้าง ต้องขอบใจมี่จื่อจึงจะถูกที่สามารถทำให้เหยียนเหล่ยแสดงออกทางสีหน้าหลากหลายอารมณ์มากขึ้น ข้าเห็นหน้าน้ำแข็งเขามานานหลายปีจนข้าแทบจะไร้อารมณ์ตามไปด้วยอยู่แล้ว มาๆ ดื่มน้ำชา ฮ่าฮ่า

          ตกบ่ายเราออกจากตำหนักท่านอ๋องหก กลับมาที่จวนฮุ่ยเฉิง เหยียนเหล่ยบอกว่าจะสอนให้ฉันควบคุมดอกท้อที่อยู่ในตัว เขาบอกให้ฉันกำหนดลมหายใจและทำสมาธิเป็นขั้นพื้นฐาน อีกทั้งยังสอนวิชายุทธป้องกันตัวเล็กน้อยให้เพราะฉันรบเร้าจนยอมสอนให้ เหยียนเหล่ยยืนอยู่ด้านหลังจับมือฉันข้างหนึ่งให้จับกระบี่ฝึกวิชากระบี่หยาดพิรุณ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งโอบกอดเอวฉันอย่างนุ่มนวล เขาสอนฉันไปได้สักพัก ก็ต้องหยุดสอนเพราะจู่ๆท่านเสนาบดีขั้นสองต่ง และฮูหยินที่เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าจวนตรงที่ฉันกับเหยียนเหล่ยกำลังฝึกกระบี่ เราจึงหยุดฝึกและหันไปทำความเคารพบุคคลทั้งสอง

เหยียนเหล่ย  : โอ๊ะ! พี่ชาย พี่สะไภ้
             มี่จื่อ  : ท่านเสนาบดีขั้นสอง ฮูหยิน (จากนั้นฉันจึงเดินเลี่ยงไปเตรียมน้ำชา แล้วเดินหลบเข้าไปในนั่งในห้อง)
  เสนาบดีต่ง  : ข้าแวะมาดูความเป็นอยู่ของเจ้า เห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีงานยุ่ง ไปทำคดีมังกรเจ้าสำราญจนพบไข่มุกเบญจมาศด้วยรึ?
เหนียนเหล่ย  : ใช่! ข้าเพิ่งกลับจากไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับท่านอ๋องหก ถวายไข่มุกเบญจมาศ
  เสนาบดีต่ง  : ดี ดีจริงๆ ที่สามารถหาไข่มุกเบญจมาศที่สูญหายไปร้อยกว่าปีกลับคืนราชสำนักได้ เจ้าเก่งจริงๆสมแล้วที่ฮ่องเต้กับท่านอ๋องหกไว้วางใจและโปรดปรานเจ้าขนาดนี้ สมกับเป็นน้องชายของข้า
เหยียนเหล่ย  : ไม่ใช่ผลงานของข้าคนเดียวหรอก หลี่จวิน ลี่ถัง และมี่จื่อก็มีส่วนช่วยในคดีนี้ด้วย แล้วท่านมาพบข้าด้วยตัวเองถึงที่นี่มีอะไรสำคัญที่จะพูดคุยกับข้ารึ?
  เสนาบดีต่ง  : เฮ่อ! ข้าเป็นห่วงเจ้าน่ะสิ เจ้าเองก็ถึงวัยควรแต่งงาน เจ้าควรแต่งภรรยาเข้าบ้านได้แล้ว หากเจ้ายังไม่ได้หมายตาคุณหนูบ้านไหนไว้ ข้าจะช่วยเจ้าเลือกคุณหนูจากบ้านที่มีฐานะชาติตระกูลดีเหมาะสมให้กับเจ้า
เหยียนเหล่ย  : ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน อีกอย่างข้าต้องตามหาตำรามังกรสายลมให้พบเสียก่อน ส่วนเรื่องแต่งงานค่อยคิดภายหลัง
  เสนาบดีต่ง  : ตามหาตำรามังกรสายลมมันเกี่ยวข้องกับการแต่งงานซะที่ไหน เจ้าก็ทำงานของเจ้าไป ส่วนเรื่องแต่งงานข้าจะเป็นคนจัดการให้เจ้าเอง
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะยังไม่แต่งงาน ไว้ข้าอยากแต่งงานเมื่อไหร่ข้าจะบอกท่านเอง (เหยียนเหล่ยพูดแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย)
  เสนาบดีต่ง  : แล้วจะรอถึงอีกเมื่อไหร่เล่า?! เจ้าเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับสาวใช้ของเจ้า ไปไหนมาไหนก็หอบหิ้วนางไปด้วยจนตัวแทบจะติดกัน คนงานบ่าวรับใช้ในบ้านพูดคุยนินทากันสนุกปาก หากเรื่องนี้รู้ออกไปถึงข้างนอกจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อคอยช่วยงานข้าตีความตำราหมื่นบุปผา อีกทั้งฮ่องเต้ยังมอบหมายให้นางช่วยงานข้าตามหาตำรามังกรสายลม นางมีประโยชน์ต่อข้ามากกว่าคนงานคนอื่นๆในบ้าน ใยท่านต้องสนใจคำพูดนินทาสนุกปากของคนงานในบ้านที่หาประโยชน์แบบนางไม่ได้กันเล่า
  เสนาบดีต่ง  : งั้นเจ้าก็แต่งงานแล้วให้ภรรยาของเจ้ามาช่วยงานแทนเพื่อลบคำครหาว่าเจ้าหลงเสน่ห์สาวใช้ในจวน
เหยียนเหล่ย  : ถ้างั้น...ท่านก็หาคุณหนูที่สามารถอ่าน และพูดภาษาโบราณได้ทุกภาษามาให้ข้า แล้วข้าจะยอมแต่งงานด้วย
  เสนาบดีต่ง  : จะมีใครทำเรื่องยากๆแบบนั้นได้กันเล่า?!
เหยียนเหล่ย  : มีสิ! มี่จื่อ สามารถอ่าน และพูดภาษาโบราณได้ทุกภาษา นางอ่านตำราหมื่นบุบผาได้ ตำราหมื่นบุปผาตอบสนองกับนางคนเดียวเท่านั้น และนางคือคนที่ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญได้ จนพบไข่มุกเบจมาศ
     ฮูหยินต่ง  : แหม! นางเก่งจังเลย ข้าเพิ่งรู้ มิน่าล่ะ เหยียนเหล่ยจึงให้มี่จื่อพักอยู่ในจวนกับเจ้า
  เสนาบดีต่ง  : พอๆ แม้ว่าสาวใช้ของเจ้าจะมีความสามารถมากก็ตาม แต่ถึงยังไงเจ้าก็ต้องแต่งงานกับคุณหนูที่มีชาติตระกูลดี เจ้าจะแต่งงานกับสาวใช้ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าไม่ได้
เหยียนเหล่ย  : เอาเป็นว่าข้าจะยังไม่แต่งงานจนกว่าข้าจะตามหาตำรามังกรสายลมพบ
  เสนาบดีต่ง  : เฮ่อ! เจ้านี่มันเอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ หัวดื้อไม่มีใครเกิน ข้าล่ะเหนื่อยใจกับเจ้าจริงๆ ยังไงเจ้าก็ต้องแต่งงาน ข้าจะไม่ตามใจเจ้าอีกแล้ว อ้อ! พรุ่งนี้ขุนนางระดับสูงกรมการท่าเรือจะมาพบปะดื่มน้ำชากับข้า เขาพาลูกสาวมาด้วย เจ้าควรออกมาต้อนรับด้วย

          เสนาบดีต่งที่มีท่าทางหงุดหงิดกับฮูหยินที่มีบุคลิกใจดีเดินออกจากจวนไปแล้ว ฉันที่นั่งดูแผนที่เงียบๆอยู่ในห้องได้ยินการสนทนานั้นทั้งหมด ฉันรู้ตัวเองว่าฉันเป็นเพียงสาวใช้ในจวนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แม้ฉันจะไม่ใช่คนที่นี่และยังมีความคิดที่จะหาทางกลับบ้านที่โลกเก่า แต่นั่นก็ทำให้ฉันใจหายวาบขึ้นมาได้เมื่อรู้ว่าในอนาคตเหยียนเหล่ยจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ฉันจึงคิดปลอบใจตัวเองว่า เหยียนเหล่ยแต่งงานก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เลิกแตะต้องตัวฉันแบบนั้นเสียที และฉันจะไม่อยู่ที่นี่เป็นคนรับ ช้ให้ใครมาดูถูกดูแคลนอีก ต้องหาวิธีกลับบ้านที่โลกเก่าให้ได้ คอยดูนะนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปฉันจะไม่ให้เขาแตะต้องตัวฉันอีกเลย

          พอคิดจบเหยียนเหล่ยก็เดินเข้ามาในห้องนั่งลงข้างๆฉันที่กำลังนั่งดูแผนที่แต่ก็ไม่ได้มีสมาธิในการดูสักเท่าไหร่นัก ฉันจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขาและเขยิบออกห่างไม่ให้เขานั่งใกล้ แต่เหยียนเหล่ยก็ยังเขยิบเข้ามานั่งเบียดฉันเหมือนรู้ว่าฉันไม่พอใจ

เหยียนเหล่ย  : โกรธข้ารึ?
             มี่จื่อ  : ไม่หนิ!
เหยียนเหล่ย  : อาการแบบนี้แหละที่เรียกว่าโกรธ เจ้าคงได้ยินที่พี่ชายของข้าพูดกับข้าหมดแล้วสินะ ตอนนี้เจ้าหึงหวงข้า ข้ารู้ (เหยียนเหล่ยขยับมาโอบกอด)
            มี่จื่อ  : ก็บอกว่าไม่โกรธและไม่ได้หึงอะไรทั้งนั้น!
เหยียนเหล่ย  : ถ้าไม่โกรธไม่หึงหวง เจ้าก็หันมาให้ข้าจูบเจ้าสิ!
            มี่จื่อ  : ไม่! ท่านจะต้องแต่งงานกับคุณหนูที่มีชาติตระกูลดี ท่านห้ามจูบข้า ห้ามแตะต้องตัวข้าอีก เพราะข้าเป็นสาวใช้อย่ามาแตะ
เหยียนเหล่ย  : ก็เพราะสาวใช้อย่างเจ้านั่นแหละ ทำให้ข้าไม่อยากแต่งงานกับใคร ไม่อยากแตะต้องตัวหญิงอื่นนอกจากตัวเจ้า ข้าขาดเจ้าไม่ได้แล้วล่ะรู้มั้ย

          พูดจบเหยียนเหล่ยก็จับหน้าฉันให้หันไปจูบแล้วจับฉันนอนลงกับพื้น ล้วงมือเข้าในกางเกงลูบไล้เนินหว่างขาแหย่นิ้วเข้าด้านในจนฉันมีอารมณ์ เขาถอดกางเกงฉันออกแล้วปลดเชือกกางเกงของตัวเองออก จับขาฉันแยกออกกว้างสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขา ขยับแท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกอยู่หลายครั้งจนฉันทนไม่ไหวร้องครางออกมา "อ๊าาา" เหยียนเหล่ยยิ้มอย่างพอใจที่ได้ยินเสียงครางแบบนั้น เขาจูบพร้อมเด้งก้นกระแทกถี่เร็วขึ้นจนเขาเกร็งตัวเสร็จปล่อยน้ำสีขาวข้นออกมา แล้วโถมตัวกอดนอนทับฉันเพื่อพักเหนื่อยฉันจึงหายโกรธ จากนั้นฉันจึงชวนเหยียนเหล่ยให้ไปฝึกกระบี่ให้ฉันต่อ แต่ฉันกลับไม่มีสมาธิในการฝึกเอาเสียเลย อาจเป็นเพราะคำพูดหวานๆที่เขาพูดกับฉันทำให้ฉันรู้สึกดีจนเกินไปจนเรียกว่าดีใจเลยก็ว่าได้

葛东琪 - 恋人未满中文動態歌詞MV
Not yet lover
Youtube by : WCY Music Studio

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 26
(ฝึกควบคุมพลังหมื่นบุปผา)

          เวลาผ่านไปไม่นานนักอาจารย์เฟยเทียนกับจินไห่เด็กติดตามก็เดินมาหยุดยืนที่หน้าซุ้มประตูทางเข้าจวน ฉันกับเหยียนเหล่ยจึงหยุดการซ้อมอีกครั้งแล้วรีบไปต้อนรับอาจารย์เฟยเทียน ฉันรีบไปยกน้ำชาต้มร้อนๆมารินให้อาจารย์เฟยเทียนดื่ม

เหยียนเหล่ย  : วันนี้อาจารย์มาที่นี่มีธุระอะไรกับข้ารึ หรือมีธุระกับมี่จื่อ?
    เฟยเทียน  : เจ้าคงอยู่กับนังหนูนี่มากเกินไปกระมัง ดูเจ้าเริ่มจะพูดจายอกย้อนข้าเป็น
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่ได้ยอกย้อน แต่ช่วงพักหลังๆท่านจะชอบมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับมี่จื่อมากกว่ามาพบเพื่อพูดคุยกับข้า (เหยียนเหล่ยรินน้ำชาให้อาจารย์เฟยเทียนดื่มอีกถ้วย)
    เฟยเทียน  : ฮึ่ย! ก็ข้าเบื่อจะคุยกับเจ้าแล้วนี่นา ข้าก็อยากจะมีคนคุยด้วยหน้าใหม่ๆบ้าง แต่ครั้งนี้ข้าตั้งใจมาหาเจ้า
เหยียนเหล่ย  : อาจารย์มีอะไรให้ข้ารับใช้รึ?
    เฟยเทียน  : ข้าได้รับเทียบเชิญจากสำนักไป๋หู่ เชิญข้าไปร่วมฉลองรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนใหม่ อาจารย์ชงอวี้ อีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีงานเลี้ยงที่นั่น ข้าจะให้เจ้าเป็นตัวแทนข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าสำนัก
เหยียนเหล่ย  : เหตุใดท่านไม่ไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง?
    เฟยเทียน  : ข้ากำลังจะหลอมศาตราวุธชิ้นใหม่ของข้า ข้าคำนวนวันดูแล้วคงจะเสร็จไม่ทันวันงานฉลอง จะไม่ไปเลยก็ดูจะน่าเกลียดเพราะอาจารย์ชงอวี้เป็นพระญาติห่างๆของฮองเฮา แต่ถึงจะเป็นพระญาติห่างๆของเฮาแต่เขาก็เป็นคนที่มีคนนับหน้าถือตาอยู่ไม่น้อย ข้าจะให้ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองของเจ้าไปแทนพวกเขาก็ยุ่งๆฝึกศิษย์ใหม่กัน มีแต่เจ้าที่ยังว่างอยู่
เหยียนเหล่ย  : อาจารย์...ข้าไม่ได้ว่างงานอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ เพราะพวกท่านไม่อยากไปกันเองต่างหาก จึงโยนหน้าที่นี้มาให้ข้า
    เฟยเทียน  : เจ้าก็รู้งานเลี้ยงแบบนั้นน่าเบื่อจะตาย เอาน่า! ข้าให้เจ้าไปแทนนั่นแหละ อีกอย่างท่านอ๋องหกไปร่วมงานนี้ด้วย เจ้าสนิทกับท่านอ๋องหกไปด้วยกันคงจะน่าเบื่อน้อยหน่อย ส่วนนังหนูมี่จื่อนั่นพาไปฝากไว้ที่สำนักข้าได้ ข้าจะดูแลให้เองตอนที่เจ้าไม่อยู่
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะพามี่จื่อไปด้วย
    เฟยเทียน  : นี่ๆ นังหนูถ้าอยากไปเที่ยวเล่นที่สำนักเฟยอวี่ของข้า เจ้าบอกข้าได้ เอางี้ไว้เจ้ากลับจากงานเลี้ยงข้าจะให้จินไห่มารับ (อาจารย์เฟยเทียนกระซิบบอกฉัน)
            มี่จื่อ  : อื้ม! (ฉันพยักหน้ายิ้มรับคำชวน)
เหยียนเหล่ย  : อะแฮ่ม! อาจารย์กำลังนัดแนะสาวใช้ของข้าให้หนีเที่ยวอยู่นะ
    เฟยเทียน  : ใช่! ข้ากำลังชวนสาวใช้ของเจ้าไปเที่ยวชมที่สำนักของข้า ข้าชอบ ข้าถูกชะตากับนังหนูนี่ เจ้าจะทำไมข้า! ข้าอยากได้นังหนูเป็นลูกศิษย์ และข้าก็ไม่สนใจว่านังหนูจะเป็นสาวใช้หรือเป็นขอทาน หากนังหนูมีพรสวรรค์และมีความสามารถตามที่ข้าต้องการข้าก็ไม่คิดรังเกียจทั้งนั้น หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นอาจารย์ก็อย่าคิดขวางทางข้า!
            มี่จื่อ  : เอ่อ...ท่านทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเพราะข้าเลย
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! ไม่มีอะไรหรอกอย่าห่วง ข้ากับอาจารย์ไม่ได้ทะเลาะกัน ข้ากับอาจารย์คุยกันเสียงดังแบบนี้เป็นประจำ อาจารย์ข้าก็เป็นแบบนี้แหละ อยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ เฮ่อ...เอาล่ะๆ! อาจารย์...ไว้ข้ากลับจากงานเลี้ยง ข้าจะพามี่จื่อไปเที่ยวชมที่สำนักเอง
    เฟยเทียน  : ดี! งั้นเมื่อกี้เจ้าสองคนกำลังฝึกกระบี่กันรึ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ข้ากำลังฝึกมี่จื่อให้ควบคุมพลังปราน เพื่อสามารถควบคุมดอกท้อที่อยู่ในตัวนาง
    เฟยเทียน  : มี่จื่อขยับมาใกล้ๆข้า ให้ข้าดูซิ! อืม...มีพลังปรานแปลกประหลาดอยู่ในตัว
เหยียนเหล่ย  : คงเป็นพลังจากตำราหมื่นบุปผาที่พุ่งเข้าใส่ในตัวนาง
             มี่จื่อ  : ท่านเจ้าสำนักข้าจะตายรึเปล่า?
    เฟยเทียน  : ถ้าเจ้าจะตายก็คงตายตั้งแต่เคล็ดวิชาพุ่งเข้าใส่ตัวเจ้าแล้ว แต่อย่าห่วงถ้าไม่มีใครมาฆ่าเจ้าก็ยังไม่ตายหรอก อืม! ตำราหมื่นบุปผาคงเลือกเจ้าเป็นผู้สืบทอด
เหยียนเหล่ย  : ทำไมตำราหมื่นบุปผาถึงเลือกนางล่ะ
    เฟยเทียน  : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะวิชานี้เป็นวิชาที่แปลกประหลาด ไม่มีใครรู้ที่มาและความจริงที่แน่ชัด จะเรียกว่าเป็นวิชาลึกลับก็ว่าได้ เพราะในโลกจะมีผู้ฝึกวิชานี้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีลูกศิษย์สืบทอดวิชาและไม่มีอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอดวิชา มีเพียงตำราหมื่นบุปผาเล่มเดียวที่ผู้ถูกเลือกเท่านั้นจะอ่านเข้าใจและฝึกได้  อีกทั้งฮูหยินผู้ที่ฝึกวิชานี้ก็ไม่เคยพูดถึงวิชานี้ให้ใครฟัง แต่ผู้คนจะรู้และเห็นวิชานี้ปรากฏออกมาได้เฉพาะเวลาที่ฮูหยินฝึกซ้อมกระบี่กับท่านเจ้าสำนัก หรือใช้พลังหมื่นบุปผาต่อสู้กับศัตรู เพราะกลีบดอกท้อจะเปลี่ยนเป็นใบมีดที่คมกริบพวยพุ่งเป็นพายุหมุนหมื่นบุปผาพุ่งเข้าโจมตีเชือดเฉือนศัตรูให้บาดเจ็บหรือตายได้
            มี่จื่อ  : แต่ข้าเคยเปิดตำราหมื่นบุปผาดูหลายครั้งแล้วข้าก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด แถมยังฝึกอะไรก็ไม่ได้ด้วย กระบวนท่าอะไรสักอย่างก็ไม่มี เห็นมีแต่กิ่งท้อไหวไปมา บางทีตำราหมื่นบุปผาอาจจะอยากเลือกคุณชายเหยียนเหล่ย แต่เพราะข้านั่งขวางทาง ตำราจึงคะเนทิศทางผิดพลาดพุ่งเข้าใส่ตัวข้า แทนที่จะเป็นคุณชาย
    เฟยเทียน  : ตำราเลือกไม่ผิดคนหรอกเพียงแต่เรายังไม่รู้เหตุผลเท่านั้น อย่าเพิ่งด่วนใจร้อนสักวันก็จะรู้เอง เจ้าไม่เคยฝึกวิชายุทธใช่มั้ย งั้นข้าจะช่วยทะลวงจุดปรานให้เจ้า พลังหมื่นบุปผาในตัวเจ้าจะได้เดินสะดวก
            มี่จื่อ  : ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก

          จากนั้นอาจารย์เฟยเทียนจึงสอนให้ฉันกำหนดลมหายใจและมีสมาธิได้มากกว่าที่เหยียนเหล่ยสอน ทำให้ฉันรู้สึกหายใจโล่งสมองโปร่งได้อย่างแปลกประหลาด อาจารย์เฟยเทียนจึงให้ฉันฝึกกระบี่กับเหยียนเหล่ยแล้วให้จินไห่เป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงให้ฟังระหว่างชมการฝึกกระบี่ เสียงขลุ่ยที่จินไห่เป่าช่างไพเราะจับใจทำให้ฉันรู้สึกเพลิดเพลินลื่นไหลกับการฝึกกระบี่ จากความรู้สึกประหม่าจนไม่มีสมาธิที่ได้ฝึกกระบี่กับเหยียนเหล่ยกลับกลายเป็นความสุขลุ่มลึกที่ได้สัมผัสกันและกันขณะฝึก เมื่อถึงช่วงจังหวะหนึ่งที่เหยียนเหล่ยจับฉันหมุนตัว แล้วดึงตัวฉันกลับเข้ามาสวมกอด สองแขนฉันที่โอบกอดเขาแนบแน่นแต่ความรู้สึกฉันกลับรู้สึกหลงไหลลุ่มลึก เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก รู้สึกว่าฉันหลงรักเขามากเหลือเกิน จนสองแขนฉันทั้งสองข้างที่กอดเขานั้นยังไม่แนบแน่นเพียงพอ ทันใดนั้นก็ปรากฏดอกท้อสีแดงพวยพุ่งหมุนออกมา เหมือนพายุหมุนวนอยู่รอบๆตัวเราทั้งคู่ที่กอดกันกลมอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ฉันและทุกคนต่างพากันตกใจและตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนเราหยุดการฝึกกระบี่แล้วเดินกลับไปหาอาจารย์เฟยเทียนที่กำลังนั่งมองอย่างตื่นตะลึง

เหยียนเหล่ย  : โอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น เจ้าควบคุมพลังหมื่นบุปผาได้แล้วรึ?! ข้ารู้สึกถึงความหลงไหล ลึกซึ้ง แนบแน่น ตอนที่ดอกท้อหมุนวนอยู่รอบๆตัวเรา
             มี่จื่อ  : เอ่อ!... ไม่รู้สิ?! มันยากจะอธิบายน่ะ
    เฟยเทียน  : เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นครั้งแรกตอนไหน
            มี่จื่อ  : ตอนที่องค์หญิงจินเอ๋อจะตกสระบัว ตอนนั้นข้าตกใจมากและคิดว่าจะต้องคว้าตัวองค์หญิงไว้ให้ได้แต่กลายเป็นว่ามีพายุดอกท้อพุ่งออกไปรับองค์หญิงแทนมือของข้า
    เฟยเทียน  : แล้วครั้งนี้ล่ะ เจ้าคิดถึงอะไร?
            มี่จื่อ  : เอ่อ...... (ฉันทำหน้าลำบากใจไม่กล้าพูด)
เหยียนเหล่ย  : พูดมาเถอะน่า เราจะได้รู้สาเหตุ
    เฟยเทียน  : ....มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกภายในใจเจ้าใช่มั้ย? (อาจารย์เฟยเทียนช่วยสรุปเพราะเห็นฉันไม่กล้าพูด)
            มี่จื่อ  : เอ่อ..... ใช่! ใช่!
เหยียนเหล่ย  : มิน่า...ข้าถึงรู้สึกได้ถึงความลุ่มหลง ลึกซึ้ง ที่ปะปนอยู่ในพายุหมุนดอกท้อ นั่นคือความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้า นี่เจ้าคิดเรื่องแบบนี้กับข้าขณะฝึกกระบี่ด้วยรึเนี่ย? (เขายิ้มยั่วเย้าฉัน)
            มี่จื่อ  : หยุดพูดเถอะน่า! ข้าลุ่มหลง ลึกซึ้งกับเสียงขลุ่ยของจินไห่ต่างหากเล่า! เสียงขลุ่ยไพเราะจับใจ! (ฉันพูดเฉไฉแก้เขิน)
          จินไห่  : ขอบคุณที่ชื่นชอบเสียงขลุ่ยของข้า
    เฟยเทียน  : นั่นแสดงว่าพลังหมื่นบุปผาจะปรากฏหรือแสดงพลังออกมาตามความรู้สึกของผู้ถูกเลือก จึงเป็นการยากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดหรือเขียนเป็นตัวอักษรได้ มิน่าล่ะ! จึงไม่เคยมีการบันทึกกระบวนท่าฝึกในตำราหรือแม้แต่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด พลังหมื่นบุปผาสามารถโจมตีศัตรูและสามารถแปลเปลี่ยนเป็นพลังสนับสนุนคู่หูให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วย
            มี่จื่อ  : งั้นข้าคงต้องโกรธมากๆงั้นเหรอ พลังหมื่นบุปผาจึงจะปรากฏแปรเปลี่ยนกลีบดอกท้อให้เป็นใบมีดได้น่ะ?
    เฟยเทียน  : อาจต้องเป็นแบบนั้นสำหรับเจ้าในตอนนี้ แต่หากเจ้าฝึกพลังปรานจนควบคุมได้ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้เจ้าโกรธ เจ้าก็สามารถบังคับกลีบดอกท้อให้กลายเป็นใบมีดได้ทันที
            มี่จื่อ  : โห! สุดยอดอ่ะ! ข้าจะฝึกควบคุมพลังปรานให้สำเร็จให้ได้
เหยียนเหล่ย  : เป็นแค่สาวใช้ธรรมดาของข้าก็พอแล้ว หากเจ้าฝึกควบคุมปรานได้สำเร็จอาจารย์คงรีบมาพรากเจ้าไปจากอกข้าโดยเร็วเป็นแน่ (เหยียนเหล่ยกระซิบบอกฉัน)
            มี่จื่อ  : เชอะ! อีกหน่อยท่านแต่งงานก็คงไม่จำเป็นต้องมีข้าแล้วล่ะ
เหยียนเหล่ย  : จำเป็นสิ! เพราะข้าจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่น
    เฟยเทียน  : เอาล่ะๆ! ข้าหิวแล้วกินข้าวกันก่อนเถอะ สาวใช้เพิ่งยกอาหารมาร้อนๆ

          อาจารย์เฟยเทียนและจินไห่จึงอยู่กินอาหารมื้อค่ำด้วยกันที่จวน จากนั้นอาจารย์เฟยเทียนและเหยียนเหล่ยก็นั่งดื่มเหล้าด้วยกันต่อโดยมีจินไห่คอยเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงให้ฟังสร้างความเพลิดเพลิน แต่เหยียนเหล่ยกลับกลั่นแกล้งฉันด้วยการเสนอว่าให้ฉันร้องเพลง แล้วให้จินไห่เป่าขลุ่ยคลอตามเพลงที่ฉันร้อง แต่ฉันบอกปฏิเสธ ถึงฉันจะเป็นคนรักในเสียงเพลงแต่ฉันก็ไม่ชอบร้องเพลงให้คนอื่นฟังเพราะฉันเสียงเพี้ยนและปฏิเสธการร้องคาราโอเกะเสมอที่โลกเก่า เหยียนเหล่ยจึงส่งเงินให้ฉันจำนวนหนึ่งเพื่อจ้างให้ฉันร้องเพลง ฉันจึงตอบตกลงเพราะเห็นแก่เงินจำนวนนั้น จึงบอกจินไห่ให้จับจังหวะเป่าขลุ่ยตามเพลงที่ฉันร้อง

         ♪♫ โอ๊ว เย่ ค่ำคืนเขายืนเดียวดาย
         กอดปืนแนบกายอุ่นใจในลมหนาว
         ท้องฟ้ามีเดือนกับดาว
         ติดตามตัวเขาทุกราตรีกาล โย่ว ♫♪

          ฉันเริ่มร้องเพลงเพื่อชีวิตแต่ร้องเป็นจังหวะฮิบฮอบ แต่จินไห่ก็ยังไม่เริ่มเป่าขลุ่ยสักที ฉันจึงหันไปมองจินไห่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเขา ก็เห็นจินไห่ยืนอึ้ง มึน งง ส่วนเหยียนเหล่ยกับอาจารย์เฟยเทียนกำลังนั่งหัวเราะร่วน

            มี่จื่อ  : อ้าว! จินไห่ทำไมไม่เป่าขลุ่ยล่ะ
          จินไห่  : เอ่อ...ข้าขอโทษ คือเพลงที่เจ้าร้องข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย เป็นบทเพลงที่แปลกมาก ทำให้ข้าจับจังหวะไม่ได้ ข้าไม่แน่ใจว่าเพลงที่เจ้าร้องเป็นบทเพลงที่ยากเกินไป หรือว่าเจ้ากลั่นแกล้งข้าด้วยการร้องเพี้ยนไม่ให้ข้ามีโอกาสจับจังหวะท่วงทำนองได้กันแน่...?
    เฟยเทียน  : ฮ่าฮ่าฮ่า นังหนู! เจ้ามีพรสวรรค์แทบจะทุกด้านเลย เล่นตลกก็ได้ด้วย มา มา ข้าจะเพิ่มรางวัลให้เจ้า! จินไห่เจ้าต้องจำการเล่นตลกแบบนี้ไว้เล่นให้ข้าดูอีก ดี ดี สนุกดีข้าชอบ!
          จินไห่  : เล่นยากเหลือเกินขอรับอาจารย์ ข้าร้องเพลงเสียงเพี้ยนไม่เป็นขอรับ
เหยียนเหล่ย  : ฮ่าฮ่าฮ่า มี่จื่อ เจ้าเนี่ยสุดยอดจริงๆ ขนาดจินไห่สุดยอดนักเป่าขลุ่ยยังต้องยอมแพ้ให้เจ้า
             มี่จื่อ  : ฮ่าฮ่าฮ่า พูดทับถมข้า จนข้ารู้สึกปลาบปลื้มใจ

          คืนนี้อาจารย์เฟยเทียนอยู่นั่งดื่มเหล้ากับเหยียนเหล่ยจนดึก จึงค่อยเดินทางกลับสำนักเฟยอวี่ จากนั้นเหยียนเหล่ยก็คะยั้นคะยอฉันให้ไปอาบน้ำด้วยกัน แล้วเขาก็ดึงฉันเข้าไปในห้องอาบน้ำจับฉันถอดเสื้อผ้าจนหมดแล้วพาลงแช่ในอ่างน้ำถังไม้ใบใหญ่ด้วยกัน ความร้อนของน้ำทำให้ดอกท้อปรากฏขึ้นบนผิวฉัน เหยียนเหล่ยลูบไล้ผิวฉันไปทั่วตัว แล้วจับฉันให้ขยับตัวขึ้นนั่งคร่อมตักสอดใส่แท่งเนื้อแข็งไว้ภายในเนินหว่างขา แล้วจูบสอดใส่ลิ้นนุ่มฉ่ำน้ำเข้าในปากฉันและกวัดแกว่งลิ้นไปทั่วปาก เขาโอบกอดแล้วจับก้นฉันขยับเด้งขึ้นลงเสียดสีกับแท่งเนื้อจนเสียวสะท้าน "อ๊าา อ๊าา" ฉันจูบบดขยี้ริมฝีปากเขาอีกครั้งจนแทบจะกินเข้าไป แล้วขยับเนินหว่างขาบดเบียดแนบแน่นเข้ากับแท่งเนื้อจนมิดสุดโคน ผิวเนื้อที่สัมผัสกันยิ่งทำให้รู้สึกวูบวาบเสียวมากขึ้นจนดอกท้อบนผิวหนังเบ่งบานสีแดงเข้ม เสียงเหยียนเหล่ยร้องคราง "โอววว" อยู่ข้างหูได้ยินแล้วเพลินหูดีเหลือเกิน เขาจับก้นฉันเด้งขย่มแรงขึ้นจนเขาเกร็งตัวเสร็จ แล้วกอดจูบฉันอีกครั้งอย่างพอใจ


          เขานั่งกอดหอมฉันอยู่ในท่านั้นครู่ใหญ่จนน้ำเริ่มคลายร้อน จึงชวนกันขึ้นจากถังไม้อาบน้ำ เหยียนเหล่ยห่มคลุมผ้าให้แล้วอุ้มฉันไปวางบนเตียงนอน เขาบอกให้ฉันนอนบนเตียงกับเขาได้ทุกคืนไม่ต้องลงไปนอนที่พื้นข้างล่างอีก จากนั้นเขาเริ่มคลายผ้าที่ตัวฉันออก กอดจูบลูบไล้อีกครั้งจนฉันมีอารมณ์ลุกขึ้นผลักเขาลงนอนหงายแล้วขึ้นนั่งคร่อมบนหน้าอกเขา ยกก้นขยับให้เนินหว่างขาจ่ออยู่ตรงปาก เขายกหน้าขึ้นจูบที่เนินหว่างขาแลบลิ้นเลียเบาๆ สอดใส่ลิ้นชอนไชเข้าเนินหว่างขา ทั้งดูดทั้งเลียจนฉันขยับร่อนเอวไปมาเพราะความเสียว จากนั้นฉันจึงขยับตัวพลิกกลับหลังหันไปก้มดูดเลียแท่งเนื้อแข็งตัวเต็มที่ เราดูดเลียให้กันและกันจนเขาปล่อยน้ำสีขาวข้นทะลักใส่ปากฉันจนกลืนลงคอ ฉันจึงขยับตัวแล้วจับแท่งเนื้อที่ยังคงแข็งตัวสอดใส่เข้าเนินหว่างขา เด้งก้นขย่มขึ้นลงหลายครั้งจนเราเกร็งตัวเสร็จไปพร้อมกันอีกครั้ง ฉันล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อย เหยียนเหล่ยขยับสอดแขนให้ฉันหนุนนอนแล้วนอนกอดกันหลับไปจนเช้า
หมายเหตุ

*ไป๋หู่ แปลว่า เสือขาว

* ชงอวี้ แปลว่า เกียรติของความฉลาด

韩小沫 清明上河图 KTV
My hero in my dream
Youtube by : Youtube user



My hero in my dream
Youtube by : Music Channel HM

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 27
(เหยียนเหล่ยนัดดูตัว)

          เหยียนเหล่ยตื่นแต่เช้าก่อนฉันทุกวัน จนฉันเริ่มรู้สึกกระดากใจที่เป็นสาวใช้แต่ตื่นนอนทีหลังเจ้านายทุกครั้ง ฉันเดินออกมานอกห้องพบเหยียนเหล่ยกำลังนั่งดื่มน้ำชารอฉันตื่นเพื่อกินอาหารมื้อเช้าพร้อมกัน

เหยียนเหล่ย  : หลังกินอาหารเช้า ข้าจะไปพบพี่ชายข้าที่จวนเสนา เจ้าอยู่ที่นี่ฝึกปรานไปเรื่อยๆค่อยๆเป็นค่อยไปไม่ต้องรีบร้อน
             มี่จื่อ  : ไปคุยเรื่องแต่งงานหรือไง?
เหยียนเหล่ย  : เจ้าหึงหวงรึ? ข้าบอกไปแล้วว่าข้าจะยังไม่แต่งงานหากข้ายังหาตำรามังกรสายลมไม่พบ
             มี่จื่อ  : ถ้าพบตำรามังกรสายลมก็จะแต่งงานงั้นสิ?!
เหยียนเหล่ย  : ใช่ ข้าจะแต่งงานกับเจ้า

          เหยียนเหล่ยหยิบกำไลหยกสีเขียวสดออกมาจากแขนเสื้อ กำไลหยกประดับตกแต่งคาดด้วยริ้วทองที่กำไลสวยงามมาก หยิบมาสวมใส่ข้อมือให้ฉัน และจูบที่หน้าผากเบาๆแต่อบอุ่น เขาไม่ใช่ผู้ชายอ่อนหวานแต่หลายครั้งก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกัน...ฉันคิด

             มี่จื่อ  : ว้าว! กำไลหยกของแท้หรือเปล่าเนี่ย ราคาแพงมากมั้ย?
เหยียนเหล่ย  : กำไลหยกของแท้สิ! ข้าให้เจ้าเป็นของแทนใจข้า ไม่ได้ให้เจ้าคิดเอากำไลหยกไปขาย เข้าใจหรือเปล่า?! 
             มี่จื่อ  : เข้าใจแล้วน่า.... ถ้าออกไปข้างนอก แล้วข้าหิวข้าวไม่มีเงินจ่าย ข้าจะทำยังไง ข้าถอดกำไลไปจำนำเพื่อจ่ายค่าข้าวได้หรือเปล่าล่ะ
เหยียนเหล่ย  : ก็บอกที่ร้านให้เขียนบัญชีมาเก็บเงินกับข้าที่จวน

          หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เหยียนเหล่ยจึงเดินไปที่จวนท่านเสนา ฉันจึงฝึกซ้อมรำกระบี่ที่เหยียนเหล่ยสอนฉันไว้เมื่อวาน เวลาผ่านไปได้สักพักฟูหลิวก็เดิน ถือไม้กวาดเข้ามากวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ไม่มากนักตามทางเดินในจวน ฉันจึงหยุดฝึกกระบี่แล้วเดินไปทักทายพูดคุยกับฟูหลิวพร้อมทั้งเอ่ยขอโทษขอโพยเขา

             มี่จื่อ  : พี่ฟูหลิว ข้ามัวแต่ฝึกกระบี่ จนลืมกวาดใบไม้ไปเสียสนิทเลย
          ฟูหลิว  : ข้าบอกแล้วยังไงเล่าเรื่องกวาดใบไม้ให้เป็นหน้าที่ข้า เจ้าคอยดูแลคุณชายอย่างเดียวก็พอ คือ...พอดีข้าเห็นเจ้าออกมาฝึกกระบี่เลยถือโอกาสเข้ามาคุยด้วยแค่นั้นเอง ข้ารบกวนเจ้าหรือเปล่า
            มี่จื่อ  : ไม่รบกวนหรอก คุณชายเพิ่งไปพบท่านเสนาบดีที่จวน ข้าก็เลยไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน เลยฝึกกระบี่แก้ว่าง...
         ฟูหลิว  : เห็นสาวใช้ที่จวนท่านเสนาพูดกันว่าคุณหนูเหมยหลิน ลูกสาวของใต้เท้าเว่ยขุนนางระดับสูงกรมการท่าเรือจะมาเยี่ยมคารวะท่านเสนาบดีด้วยช่วงเช้าวันนี้ คุณชายเหยียนเหล่ยจึงต้องไปต้อนรับด้วยน่ะ
           มี่จื่อ  : อื้ม! ท่านเสนาบดีมาบอกคุณชายเมื่อวานแล้ว
         ฟูหลิว  : ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูเหมยหลิน ทั้งงดงาม เฉลียวฉลาด เก่งศาสตร์วิชาหลายแขนง เก่งทั้งดนตรี ร้องรำ เขียนอักษรภู่กัน เขียนบทกลอน บทกวี วาดภาพ งานเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร ขี่ม้า และเก่งอีกหลายอย่าง เพียบพร้อมสมเป็นกุลสตรี มีแต่ชายหมายปอง ดีจริงข้าก็อยากเห็นว่าคุณหนูเหมยหลินจะงดงามขนาดไหน
           มี่จื่อ  : เราไปแอบดูกันมั้ย?
        ฟูหลิว  : ไม่ดีหรอก ไปแอบดูเป็นมารยาทที่ไม่ดี
           มี่จื่แ  : อืม! ไม่ดู ก็ไม่ดู

          เหยียนเหล่ยหายไปนานครึ่งค่อนวัน ฟูหลิวจึงชวนฉันไปเก็บผลผีผาสุกข้างจวน ผลผีผามีสีเหลืองส้มคล้ายหยดน้ำ ออกผลเป็นพวง 5-10 ผลต่อพวง เปลือกผิวบางมีขนละเอียดนุ่มปกคลุมผิวเปลือก เวลากินต้องลอกผิวเปลือกออก เนื้อมีรสเปรี้ยวอมหวานฉ่ำน้ำ ฉันจึงเด็ดไปด้วยกินไปด้วยเพราะผลผีผามีรสอร่อยหวานเย็น ฉันกับฟูหลิวจึงช่วยกันเก็บมาหลายลูกเพื่อนำกลับมาให้เหยียนเหล่ยกินด้วย เมื่อเก็บผลผีผาได้จำนวนหนึ่ง เราจึงเดินกลับออกมาทางหน้าจวน ก็เห็นเหยียนเหล่ยพาสาวสวยแต่งกายงดงามคนหนึ่งและหญิงรับใช้ติดตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง เดินมาที่หน้าจวน ฉันกับฟูหลิวเห็นจึงหยุดยืนแล้วก้มหน้าทำความเคารพ

    เหมยหลิน  : เอ๊ะ! นั่นผลผีผาเก็บมาจากที่ไหนรึ?
          ฟูหลิว  : ข้าเป็นคนปลูกเองต้นอยู่ข้างๆจวนขอรับ
    เหมยหลิน  : ดีจริง! นอกจากจวนฮุ่ยเฉิงจะสะอาด ร่มรื่น สวยงามแล้วยังมีผลผีผาปลูกไว้กินเองอีก จวนนี้ช่างน่าอยู่เสียจริง หุหุ คุณชายแยกจวนห่างออกมาแบบนี้คงจะเหงาแย่
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่เหงาหรอก ข้าชอบความเงียบสงบ
    เหมยหลิน  : นั่นสิ! ดูเงียบสงบมาก ไม่มีสาวใช้เดินกันขวักไขว่เลย มีคนรับใช้แค่สองคนนี้หรือ?
เหยียนเหล่ย  : นี่คือมี่จื่อคอยช่วยงานข้าเพียงคนเดียวอยู่ในจวน ส่วนนั่นฟูหลิวคนดูแลสวนและขับรถม้า
    เหมยหลิน  : ถ้าเหม่ยหลินจะขอเดินชมภายในจวนท่านจะได้หรือไม่?
เหยียนเหล่ย  : จวนทางฝั่งด้านซ้ายสามารถเดินชมได้ตามสบาย แต่ทางฝั่งด้านขวาเป็นห้องทำงานและห้องนอนไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปจึงไม่สะดวกให้เดินชมต้องขออภัย
    เหมยหลิน  : เอ่อ...เหม่ยหลินเข้าใจ งั้นขอเดินชมจวนทางด้านซ้ายก็พอ
เหยียนเหล่ย  : เอ๊ะ! มี่จื่อ! เก็บผลผีผามาตั้งเยอะ จะกินคนเดียวหมดนี่เลยรึ?! เก็บมาแบ่งข้าด้วยรึเปล่า
            มี่จือ  : ข้าก็ตั้งใจเก็บมาให้ท่านกินด้วยนั่นแหละ ใครจะกินคนเดียวหมดได้เล่า
   เหมยหลิน  : ข้าขอชิมผลผีผาบ้างจะได้หรือไม่? (เหมยหลินมองหน้าฉันแล้วยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่จริงใจนัก)
เหยียนเหล่ย  : ได้สิ! มี่จื่อเจ้าไปเตรียมน้ำชาให้ที เอาผลผีผามาให้คุณหนูเหมยหลินกินด้วย
             มี่จื่อ  : เจ้าค่ะ!

          เหยียนเหล่ยพาคุณหนูเหมยหลินเดินชมจวนทางฝั่งซ้าย ฉันจึงเตรียมน้ำชาวางไว้ให้บนโต๊ะและเดินไปล้างผลผีผาจัดวางใส่จานแล้วนำกลับมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นสาวใช้ก็ยกขนมมาวาง ฉันจึงถือผลผีผาจำนวนหนึ่งเดินตามฟูหลิวไปในสวนข้างๆจวนเพื่อไปนั่งคุยกับฟูหลิวระหว่างที่เขาทำสวน

          ฟูหลิว  : คุณหนูเหมยหลิน สวยงามสมคำล่ำลือจริงๆ ดูเหมาะสมกับคุณชายมาก
             มี่จื่อ  : เฮ่อ..........
          ฟูหลิว  : เอ่อ! ข้าขอโทษข้าปากไม่ดี ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ
             มี่จื่อ  : ไม่เป็นไรหรอก เพราะคุณหนูเหมยหลินดูเหมาะสมกับคุณชายจริงๆ ท่านเสนาบดีคงหมายตาให้คุณหนูแต่งงานกับคุณชายแน่ๆ
          ฟูหลิว  : แต่เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย รอฟังคุณชายก่อนว่าจะตัดสินใจยังไง
            มี่จื่อ  : ช่างเถอะ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ข้าเลิกคาดหวังกับชีวิตของข้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะแกะลูกผีผาให้กินนะ

          ฉันนั่งกินลูกผีผากับฟูหลิวจนเกือบหมด ก็ได้ยินเสียงลี่ถังร้องเรียกทักจากทางหน้าจวน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามมาด้วยอีกหนึ่งคนชื่อซือจิ้ง

             ลี่ถัง  : มี่จื่อ! ไปนั่งทำอะไรตรงนั้นน่ะ
          ฟูหลิว  : ท่านรอง ลี่ถัง
             มี่จือ  : พอดี...คุณชายมีแขก ข้าเลยมานั่งดูพี่ฟูหลิวปลูกต้นไม้
            ลี่ถัง  : คุณชายเหยียนเหล่ยมีแขกเป็นผู้หญิงด้วยเหรอ ใครกันหน้าตาไม่คุ้นเลย
            มี่จื่อ  : คุณหนูเหมยหลิน ลูกสาวใต้เท้าเว่ยขุนนางระดับสูงการท่าเรือ
             ลี่ถัง  : เคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก วันนัดดูตัวกันงั้นสิ?!
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้..... คุณชายคงชอบคุณหนูเหมยหลินมาก ถึงขนาดพามาเยี่ยมชมจวนเผื่อว่าวันข้างหน้าจะได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันในจวนล่ะมั้ง... (ฉันพูดด้วยอาการน้อยใจ)
             ลี่ถัง  : ตั้งแต่ข้ารู้จักกับคุณชายเหยียนเหล่ยมา เขาไม่ใช่คนที่ลุ่มหลงอะไรง่ายๆ มีผู้หญิงหลายคนพยายามเข้าใกล้ แม้เขาจะไม่พูดปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่เคยตอบรับใครยกเว้นเจ้าที่เขาเอ็นดูเจ้ามากๆ และข้าคิดว่าที่คุณชายเหยียนเหล่ยพาคุณหนูเหมยหลินมาที่จวน คงอยากแสดงให้คุณหนูเหมยหลินเห็นมากกว่าว่าเขามีเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าดูอาการแล้วคุณหนูเหมยหลินคงอยากได้คุณชายของเจ้าซะมากกว่า คุณชายทั้งหล่อ ทั้งฉลาด สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งของสำนักเฟยอวี่ ชาติตระกูลดีมีพี่ชายเป็นเสนาบดีขั้นสอง เป็นเพื่อนสนิทกับอ๋องหก แถมยังเป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้อีกต่างหาก ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ตรวจสอบวัตถุโบราณของราชวงศ์ สาวๆที่ได้ยินประวัติต่างฟังกันหูผึ่งอยากได้คุณชายเหยียนเหล่ยเป็นสามีกันทั้งนั้น
             มี่จื่อ  : นั่นสินะ...ใครจะเป็นผู้โชคดีได้ไป ว่าแต่...มีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า?
             ลี่ถัง  : ก็ไม่มีซะทีเดียวหรอก ข้าจะเอาแผนที่โบราณมาให้คุณชายเหยียนเหล่ยดูหน่อย แล้วก็จะมาคัดลอกแผนผังหนึ่งฉบับด้วย พอดีแผนผังทางเดินน้ำฉบับเก่ามันเก่ามากจนลายเส้นมันจางจนแทบจะมองไม่เห็น จะต้องใช้วันพรุ่งนี้ซะด้วยสิ เจ้าพอจะดูแทนให้ได้มั้ย
             มี่จื่อ  : งั้นข้าจะดูให้ก่อนคร่าวๆ พอคุณหนูเหมยหลินกลับไปแล้ว ค่อยให้คุณชายมาตรวจดูให้อีกที
             ลี่ถัง  : ดี!

          ฉันกับลี่ถังและซือจิ้งเจ้าหน้าที่ติดตามจึงเดินไปที่หน้าจวน ลี่ถังจึงเอ่ยทักทายและแนะนำตัวกับเหมยหลิน ลี่ถังหันไปบอกเหยียนเหล่ยว่านำแผนที่โบราณจากสุสานเก่าราชวงศ์มาให้ตรวจสอบเนื่องจากเป็นภาษาโบราณไม่มีใครสามารถอ่านออก และจะคัดลอกแผนที่ใหม่หนึ่งฉบับกลับไปด้วย แต่จะให้ฉันดูแทนให้ก่อนเพราะไม่อยากรบกวนการสนทนาของคนทั้งสอง

เหยียนเหล่ย  : อื้ม! หากมีอะไรติดขัดตรงไหนก็บอกข้าได้ ข้าจะไปช่วยดูให้
    เหมยหลิน  : คุณชายคงมีงานสำคัญ ถ้างั้น...เหมยหลินกลับก่อนก็ได้
เหยียนเหบ่ย  : ไม่เป็นไร ข้าจะให้มี่จื่อทำแทน
    เหมยหลิน  : เอ๊ะ! สาวใช้นั่นทำงานแทนคุณชายได้ด้วยรึ? นางอ่านภาษาโบราณได้ด้วยรึ?
เหยียนเหล่ย  : ได้ และทำงานได้ดีเลยทีเดียว (เหยียนเหล่ยมองตามหลังฉันที่กำลังพาลี่ถังกับซือจิ้งเจ้าหน้าที่ติดตามเดินเข้าไปในห้องแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม)
    เหมยหลิน  : โอ๊ะ! แต่นางเป็นแค่สาวใช้ ทำไมถึงอ่านภาษาโบราณได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เอ่อ... เหมยหลินจะขอเข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่ อยากเห็นว่านางอ่านภาษาโบราณได้อย่างไร?
เหยียนเหล่ย  : เห็นทีจะไม่ได้ ห้องนั้นเข้าได้เฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น
    เหมยหลิน  : แหม... น่าอิจฉาสาวใช้มี่จื่อ ที่ได้รับความไว้วางใจสามารถทำงานอยู่เคียงข้างกายคุณชาย น่าอิจฉาสาวใช้จริงๆ
เหยียนเหล่ย  : อย่าอิจฉามี่จื่อเลย บางครั้งนางต้องอดหลับอดนอนช่วยข้าทำงานจนดึกดื่น มิได้นอนหลับสบายแต่หัวค่ำเหมือนคนอื่น

悬溺 Xuan Ni - 葛东琪 Ge Dong Qi 拼音
It's so funny
Youtube by : Spacerushh Music


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 28
(แผนที่หุบเขาจันทร์ดับ)

          ฉันกับลี่ถังและซือจิ้งลงมือดูแผนที่กันอยู่ในห้อง ซือจิ้งค้นหาแผนผังทางเดินน้ำต้นฉบับที่ชั้นวางแผนที่แล้วเริ่มลงมือคัดลอกใหม่ ลี่ถังหยิบแผนที่โบราณที่ได้จากสุสานเก่าของราชวงศ์ออกมากางให้ฉันดู บนแผนที่เป็นภาพเขียนป่าและภูเขาสูงแห่งหนึ่ง ที่มุมซ้ายบนแผนที่เขียนเป็นภาษาโบราณว่า หุบเขาจันทร์ดับ

             ลี่ถัง  : ห๊า! หุบเขาจันทร์ดับ! ไม่เคยได้ยินชื่อหุบเขานี้มาก่อนเลย แถมยังมีแผนที่อีกด้วย ว่าแต่หุบเขานี้มันอยู่ที่ไหนกัน
           ซือจิ้ง  : หุบเขาจันทร์ดับ! ข้าเคยได้ยินมาว่าหุบเขาจันทร์ดับ เป็นหุบเขาวงกตลึกลับเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย หุบเขาจันทร์ดับจะปรากฏขึ้นเฉพาะในคืนเดือนดับ ไม่คิดว่าจะมีแผนที่นี้อยู่จริง (ซือจิ้งวางมือจากการคัดลอกแผนผังแล้วมานั่งดูแผนที่โบราณด้วยกันด้วยความสนใจ)
             ลี่ถัง  : แล้วมีอะไรอยู่ที่นั่นล่ะ?
           ซือจิ้ง  : สมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ แต่เป็นเพียงคำเล่าลือ เพราะไม่มีใครเคยเห็นหุบเขาจันทร์ดับ หรือแผนที่ฉบับนี้อาจจะเป็นของปลอมที่เขียนขึ้นมาเองก็ได้
             ลี่ถัง  : ใครเป็นคนเขียนแผนที่นี้กันนะ ภาษาที่เขียนในแผนที่เป็นภาษาโบราณที่เจ้ากับข้ายังอ่านกันไม่ออก ต้องเป็นคนชนเผ่าเจ้าของแผนที่เขียนแผนที่นี้ขึ้น หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาชนเผ่า
             มี่จื่อ  : โอ๊ะ! ข้าไม่ได้เป็นคนเขียนแผนที่นี้นะ
             ลี่ถัง  : ฮ่าฮ่า ข้ารู้แล้วว่าไม่ใช่เจ้าหรอก
             มี่จื่อ  : อักษรที่เขียนอยู่บนแผนที่เป็นภาษาของชนเผ่าไม้ดำ ข้าเคยพบและพูดคุยกับคนในชนเผ่าไม้ดำคนหนึ่งเขาชื่อซิ่นปิง ข้าเคยช่วยเขาดูแผนที่บอกทางไปร้านตีเหล็กสกุลจาง ลักษณะลายเส้นอักษรแบบเดียวกันเลย
             ลี่ถัง  : อักษรของชนเผ่าไม้ดำรึนี่?!
             มี่จื่อ  : ข้าจะเอาตำราเปรียบเทียบตัวอักษรโบราณมาเปรียบเทียบให้ดู (ฉันหยิบตำราอักษรโบราณที่เหยียนเหล่ยเขียนบันทึกไว้มาเปิดหน้าที่เป็นอักขระชนเผ่าไม้ดำเพื่อเปรียบเทียบ)
  ลี่ถัง, ซือจิ้ง  : โอ๊ะ! ใช่อักษรของชนเผ่าไม้ดำจริงๆด้วย
             มี่จื่อ  : แล้วได้แผนที่มาจากสุสานเก่ารึ?
             ลี่ถัง  : ใช่ ได้จากสุสานเก่าของราชวงศ์ ฮ่องเต้รับสั่งให้ทางวังหลวงทำการรื้อสุสานเก่าเพื่อบูรณะขึ้นใหม่ แผนที่ฉบับนี้ถูกซ่อนอยู่ใต้ก้อนหินใต้ชั้นวางพระอัฐิองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ย ท่านอ๋องหกจึงรับหน้าที่ตรวจสอบแผนที่ แต่ติดต้อนรับราชอาคันตุกะเดินทางมาศึกษาการวางทางเดินน้ำ ท่านอ๋องหกจึงส่งต่อแผนที่มาให้หลี่จวิน แล้วหลี่จวินก็ส่งต่องานมาให้ข้า เพราะหลี่จวินต้องไปเตรียมพื้นที่ เตรียมคนเพื่อไปช่วยหน่วยองครักษ์อารักขาท่านอ๋องกับราชอาคันตุกะในวันพรุ่งนี้ ว่าแต่แผนที่ของชนเผ่าไม้ดำ ทำไมถึงไปอยู่ในสุสานราชวงศ์ได้ล่ะ มีความเกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ย หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญกันแน่?
             มี่จื่อ  : งั้นข้าขอดูแผนที่อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะเจออะไรบนแผนที่บ้าง
           
          ฉันก้มดูแผนที่ดูทีละจุดทีละส่วน ดูไล่ไปจนถึงบริเวณยอดภูเขา ทันไดนั้นเหมือนสายตาฉันถูกดึงดูดเข้าไปในแผนที่ตรงบริเวณใกล้ยอดเขา ฉันเห็นหน้าผาลางๆปรากฏอยู่บนแผนที่ เป็นหน้าผาที่คุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จนอุทานขึ้นว่า

             มี่จื่อ  : ข้ามองเห็นหน้าผาในแผนที่ คุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน (ฉันชี้จุดที่มองเห็นเป็นหน้าผาให้ลี่ถังกับซือจิ้งดู)
             ลี่ถัง  : ตรงไหนรึ? อืม... มีส่วนคล้ายคลึงกับหน้าผาแต่เลือนลางมาก หากไม่สังเกตุให้ดีๆจะมองไม่เห็นเลย
             มี่จื่อ  : เอ...หน้าผานี้เคยเห็นที่ไหนกันน๊า?... อ๊ะ! นึกออกแล้ว ตำราหมื่นบุปผา! ในตำราหมื่นบุปผา! (ฉันรีบหยิบตำราหมื่นบุปผามาดีดหน้ากระดาษให้ลี่ถังและซือจิ้งดูหน้าผาในตำรา)
             ลี่ถัง  : หน้าผาเหมือนกันเลย
             มี่จื่อ  : ข้าคิดว่าแผนที่หุบเขาจันทร์ดับน่าจะเป็นของจริง
           ซือจิ้ง  : ข้าจะรีบไปตามหัวหน้าหน่วยมาที่นี่ ท่านรองช่วยคัดลอกแผนผังทางเดินน้ำแทนข้าก่อนได้ไหม ข้าจะรีบกลับมา
            ลี่ถัง  : ข้าคัดลอกแผนผังไม่เก่งซะด้วยสิ ข้าไม่ถนัดวาดภาพ ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าตามมาด้วยทำไม
            มี่จื่อ  : ข้าจะช่วยคัดลอกแผนผังให้เอง ท่านรีบไปตามท่านหลี่จวินเถอะ
          ซือจิ้ง  : เจ้าคัดลอกแผนผังเป็นรึ?
            มี่จื่อ  : ตอนข้าอายุสิบห้าปี ข้าเคยเรียนพื้นฐานการเขียนแบบในโรงเรียนที่บ้านเก่าของข้ามานิดหน่อย ถึงข้าจะไม่เก่งแต่ข้าก็ยังไม่เคยเขียนแบบผิดพลาดส่งอาจารย์สักครั้งเลย อีกอย่างแผนผังทางเดินน้ำข้าดูแล้วก็ไม่ยากซับซ้อนสักเท่าไหร่ หากข้าคัดลอกผิดท่านก็กลับมาแก้ไขหรือคัดลอกเอาใหม่ก็แล้วกัน
          ซือจิ้ง  : ก็ได้! งั้นฝากเจ้าด้วย
            ลี่ถัง  : เอ๊ะ! กำไลหยกที่ข้อมือนี่ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าสวมมันมาก่อนเลย ฮั่นแน่! เป็นแค่สาวใช้แต่ทำไมถึงมีกำไลหยกราคาแพงใส่ได้ล่ะ ใครให้มาเหรอ? (ลี่ถังหยอกเย้าฉันจนเขินอาย)
            มี่จื่อ  : คุณชายเหยียนเหล่ยเพิ่งให้กำไลข้าเมื่อเช้า
            ลี่ถัง  : ฮ่าฮ่า คุณชายเหยียนเหล่ยดูภายนอกบุคลิกนิ่งๆแต่จริงๆก็มีมุมหวานๆกับเค้าด้วย น่าอิจฉาเจ้าจริงๆ

          ซือจิ้งเดินออกไปจากห้องเพื่อไปตามหลี่จวินให้มาดูแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ เหยียนเหล่ยที่กำลังนั่งดื่มน้ำชากับคุณหนูเหมยหลิน เห็นซือจิ้งเปิดประตูเดินออกมาจึงถามซือจิ้งว่า

เหยียนเหล่ย  : ตรวจสอบแผนที่ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?
           ซือจิ้ง  : มี่จื่อ บอกว่าเป็นแผนที่ของชนเผ่าไม้ดำ คือแผนที่ทางไปหุบเขาจันทร์ดับ นางตรวจพบหน้าผาในแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ ซึ่งตรงกับหน้าผาในตำราของท่านอ๋องหกด้วย คุณชายเหยียนเหล่ยน่าจะไปตรวจดูให้แน่ใจอีกรอบหนึ่ง แต่มี่จื่อบอกว่าแผนที่หุบเขาจันทร์ดับเป็นฉบับของจริง ข้ากับท่านรองลี่ถังดูแล้วก็เชื่อว่าเป็นฉบับของจริงเช่นกัน
เหยียนเหล่ย  : เจ้ากำลังจะไปไหนรึ?
          ซือจิ้ง  : ข้ากำลังจะไปตามท่านหัวหน้าหน่วยให้มาที่นี่ ท่านหัวหน้าหน่วยสั่งไว้ถ้าเป็นแผนที่สำคัญให้รีบไปตามเขาโดยด่วน! อ้อ...มี่จื่อกำลังช่วยคัดลอกแผนผังทางเดินน้ำให้ข้า พอดีท่านรองลี่ถังไม่ถนัดการวาดภาพ อีกทั้งยังเป็นงานเร่งด่วน จึงขอยืมแรงมี่จื่อให้ช่วยงานคัดลอกแผนผัง ข้าต้องขออภัยคุณชายเหยียนเหล่ยที่ข้าไหว้วานมี่จื่อให้ช่วยงาน
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไร เจ้ารีบไปเถอะ
           ซือจิ้ง  : ขอบคุณ คุณชาย
เหยียนเหล่ย  : มีใครอยู่ตรงนั้นมั้ย? ยกขนม ของว่างกับน้ำชาเข้าไปในห้องทำงานด้วย
    เหมยหลิน  : เอ๊ะ! สาวใช้มี่จื่อเข้าใจภาษาชนเผ่าไม้ดำด้วยรึ?! ข้ารู้มาว่าภาษาชนเผ่าไม้ดำเป็นภาษาโบราณที่ยากที่สุดในทุกภาษา นางเป็นคนชนเผ่ารึ?
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อไม่ใช่คนชนเผ่า เพียงแต่นางสามารถพูด และอ่านภาษาชนเผ่าได้หลายภาษา
    เหมยหลิน  : ภาษาอะไรบ้างรึ?
เหยียนเหล่ย  : ที่ข้ารู้และเคยเห็นมี่จือพูด และอ่าน คือภาษาชนเผ่าไม้ดำ ภาษาชนเผ่าหมีใต้ ภาษาชนเผ่าดาวบูรพา และภาษาชนเผ่าทะเลดำเหนือ และสามารถแก้มนต์ อ่านอักขระมนต์โบราณของสำนักเฟยอวี่ได้ แต่นางเขียนภาษาโบราณได้หรือไม่นั้นข้ายังไม่เคยเห็นนางเขียนหนังสือสักที ส่วนที่นางคัดลอกแบบแผนผังทางเดินน้ำได้ ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่านางทำเป็น (เหยียนเหล่ยยกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงฉัน)
     เหมยหลิน  : สาวใช้มี่จื่อคนนี้มีความสามารถมากจริงๆ จนข้าที่เป็นลูกสาวขุนนางยังรู้สึกทึ่งในความสามารถ ข้าอย่างดีก็ทำได้แค่เย็บปักผ้า เข้าครัวปรุงอาหาร หากเหมยหลินมีสามีคงทำได้เพียงแค่คอยดูแลเอาอกเอาใจ และปรุงอาหารอร่อยๆให้กิน คงทำได้แค่คอยมอบความสุขและความอบอุ่นให้
เหยียนเหล่ย  : ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่ามี่จื่อจะลุกขึ้นมาเข้าครัวปรุงอาหารให้ข้ากิน เพราะข้าเองก็หวาดกลัวว่านางจะเผาครัวข้าจนวอดวายเสียก่อนได้กินอาหารฝีมือนาง ข้าเองก็สามารถยอมรับได้ในแบบที่นางเป็น หากนางเป็นสาวใช้ที่ดีสมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นไม่ได้ ข้าก็ไม่ว่ากระไร เพราะมี่จื่อเองก็ทำงานอย่างอื่นชดเชยให้ข้าจนข้ารู้สึกพอใจอย่างมากเช่นกัน มี่จื่อแบ่งเบางานข้าไปทำได้มากเลยทีเดียว เห็นทีคืนนี้ข้ากับมี่จื่อคงต้องอยู่ทำงานกันจนดึกดื่นอีกแล้ว
    เหมยหลิน  : เหมยหลินก็หวังว่าต่อไปจะได้รับความเมตตาเอ็นดูจากคุณชายบ้าง และหวังว่าจะมีโอกาสได้ดูแลคุณชายอย่างใกล้ชิดมากกว่านี้ เหมยหลินขอตัวกลับก่อน ไม่รบกวน คุณชายจะได้มีเวลาทำงาน
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะเดินไปส่งคุณหนูที่จวนท่านเสนา

Hunnu Guren - Batzorig Vaanchig & Auli
ชาวมองโกล
Youtube by : AuliEtnitranss
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 29
(แบบกังหันลม)

          เหยียนเหล่ยเดินไปส่งเหมยหลินที่จวนท่านเสนาบดีขั้นสอง สักพักเขาเดินกลับมาที่จวนเปิดประตูห้องเดินเข้ามาหาฉันที่กำลังขะมักเขม่นคัดลอกแผนผังทางเดินน้ำให้ซือจิ้ง โดยมีลี่ถังนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

เหยียนเหล่ย  : ข้าอยู่กับเจ้าทุกวันแต่เพิ่งจะรู้วันนี้ว่าเจ้าคัดลอกแบบแผนผังเป็นด้วย เรื่องยากๆเจ้ากลับทำได้ดี แต่เรื่องง่ายๆแค่ร้องเพลงให้ไพเราะเจ้ากลับทำได้แย่ถึงขั้นแย่ที่สุด
             ลี่ถัง  : ฮ่าฮ่า จริงรึ? เจ้าเคยอยู่หอกุ้ยฮวาเป็นแหล่งรวมการร้องรำทำเพลงแท้ๆ แต่เจ้ากลับร้องเพลงไม่เป็นรึ เป็นไปได้ยังไง?
             มี่จื่อ  : ข้าแค่ร้องเพลงเสียงเพี้ยนเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่า

          เหยียนเหล่ยจึงขอดูแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ ลี่ถังจึงชี้ให้เขาดูหน้าผาที่มองเห็นลางๆในแผนที่ แล้วให้เหยียนเหล่ยดูหน้าผาในตำราหมื่นบุปผาเพื่อเปรียบเทียบ เหยียนเหล่ยมีสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมากที่แผนที่หุบเขาจันทร์ดับมีความเกี่ยวข้องกับตำราหมื่นบุปผา เหยียนเหล่ยบอกว่าต้องเข้าวังไปสอบถามเรื่ององค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ยกับอ๋องหก ลี่ถังบอกว่าท่านอ๋องหกติดงานต้อนรับราชอาคันตุกะที่มาศึกษาการก่อสร้างทางเดินน้ำ และคงจะยังไม่ว่างจนถึงวันพรุ่งนี้ คงมีเพียงหลี่จวินที่พอจะปลีกตัวมาพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้ได้

           ไม่นานนักหลี่จวินที่รีบเดินเข้ามาในจวนพร้อมกับซือจิ้ง เขายกน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหาย แล้วถามเหยียนเหล่ยถึงจวนเสนาบดีทำไมจึงมีผู้คนอยู่กันคึกคัก เหยียนเหล่ยบอกว่าเป็นแขกของท่านเสนาบดี หากหลี่จวินชอบมาที่จวนฮุ่ยเฉิงโดยไม่อยากเป็นจุดสนใจก็อ้อมเข้าทางประตูเล็กด้านหลังจวนได้ แต่หลี่จวินปฏิเสธเข้าทางประตูหลังและให้เหตุผลง่ายๆว่า เขาชอบเป็นจุดสนใจ การถูกคนอื่นสนใจคือความภาคภูมิใจของเขา หลี่จวินจึงถูกลี่ถังแอบหยิกที่แขนจนร้องโอดโอย เหยียนเหล่ยจึงบอกให้หลี่จวินมาดูแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ จนหลี่จวินมองหน้าเหยียนเหล่ยอย่างแปลกใจผสมตื่นเต้น

        หลี่จวิน  : แผนที่หุบเขาจันทร์ดับของจริงรึนี่?
เหยียนเหล่ย  : อื้ม! ของจริง
        หลี่จวิน  : เราจะไปที่นั่นกันได้ยังไง?
เหยียนเหล่ย  : นั่นแหละที่เราต้องช่วยกันคิด ว่าหุบเขาจันทร์ดับจะปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ และจะปรากฏขึ้นที่ไหน
        หลี่จวิน  : แล้วนั่นมี่จื่อกำลังเขียนอะไร ดูตั้งอกตั้งใจมาก
          ซือจิ้ง  : มี่จื่อกำลังช่วยข้าคัดลอกแบบแผนผังทางเดินน้ำอยู่ขอรับ ฝีมือดีมาก คัดลอกแบบได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย
        หลี่จวิน  : นี่เจ้าลูกกวางน้อย แบบแผนผังที่เจ้ากำลังคัดลอกอยู่น่ะ มองแบบออกด้วยเรอะ แล้วเข้าใจหรือเปล่าว่านี่คืออะไร (เขาชี้นิ้วที่แบบแผนผัง)
            มี่จื่อ  : นี่คือส่วนข้อต่อ และนี่คือท่อทางเดินน้ำ ดูดน้ำเข้าทางนี้ ไหลออกไปตามท่อนี้ นี่คือสัญลักษณ์บอกขนาดความกว้าง ความยาว และความหนา และนี่คือสัญลักษณ์ การย่อขนาดหนึ่งส่วนต่อสิบส่วน เมื่อก่อสร้างจริงจะก่อสร้างให้มีขนาดใหญ่เป็นสิบส่วน อ่ะนี่! แบบแผนผังคัดลอกเสร็จพอดี
        หลี่จวิน  : โห! เจ้ารู้จริงแฮะ! ฝีมือดีคัดลอกแบบไม่ผิดเลย แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าแบบแผนผังนี้จะเหมาะสมกับดินแดนของราชอาคันตุกะหรือเปล่าเพราะดินแดนที่พวกเขาอยู่เป็นเกาะและมีภูเขาสูง
             มี่จื่อ  : อืม...เกาะจะมีปริมาณลมมากกว่าพื้นที่แผ่นดินใหญ่ที่มีปริมาณลมไม่สม่ำเสมอ สร้างกังหันลมน่าจะดีกว่า กังหันลมใช้การเคลื่อนที่ของลมเปลี่ยนลมให้เป็นพลังงานเพื่อใช้ในการชักหรือสูบน้ำจากที่ต่ำขึ้นที่สูง เพื่อใช้ในการเกษตร และไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน สร้างกังหันลมตรงพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลเหมาะสมที่สุด
        หลี่จวิน  : ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่หน้าตากังหันลมของเจ้าเป็นยังไงเหมือนของเล่นเด็กหรือไม่
            มี่จื่อ  : เหมือนกัน หน้าตาแบบนี้...(ฉันวาดรูปกังหันลมที่ตั้งวางอยู่บนเนินเขาสูงริมทะเล)
        หลี่จวิน  : เอามาดูซิ! ฮ่าฮ่า เจ้าวาดรูปยังกับเด็กเล่นตุ๊กตา เอ้า! เหยียนเหล่ยเจ้าดูซิ ดูแล้วเข้าใจหรือไม่ และที่นางอธิบายเมื่อกี้เข้าใจเหมือนที่ข้าเข้าใจหรือเปล่า
เหยียนเหล่ย  : (เหยียนเหล่ยดูรูปที่ฉันวาดแล้วยิ้ม) ข้าเข้าใจที่มี่จื่ออธิบายให้ฟังเมื่อกี้เป็นวิธีการที่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนแต่ก็เป็นวิธีการน่าจะถูกต้องและได้ผล ส่วนรูปวาดนี่ก็ดูเข้าใจง่าย น่ารัก หุหุ
        หลี่จวิน  : วิธีสร้างล่ะ ขั้นตอนทำยังไง
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้วิธีสร้าง ข้าสร้างไม่เป็น ข้ารู้แค่ที่ข้าพูดไปเมื่อกี้ ความรู้ข้ามีแค่นั้นไม่มีมากไปกว่านี้แล้ว
        หลี่จวิน  : อ้าว! เจ้าไม่รู้วิธีสร้างแล้วข้าจะไปบอกท่านอ๋องต่อได้ยังไงเล่า
เหยียนเหล่ย  : ท่านก็บอกพวกเขาไปตามที่มี่จื่อบอก แล้วยื่นรูปนี้ให้พวกเขาดูเป็นตัวอย่าง และบอกพวกเขาไปว่า ให้ผู้ที่มีความรู้ด้านการคำนวนและการเคลื่อนที่ของลมเป็นผู้คำนวนหาทิศทางลม ให้ออกแบบร่วมกันกับช่างก่อสร้างผู้ที่มีความรู้ด้านโครงสร้างและวัสดุเป็นคนออกแบบก่อสร้าง บอกพวกเขาอีกว่านี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เรากำลังเริ่มทำการศึกษาและหากทำสำเร็จก็จะก่อสร้างกังหันลมในหมู่บ้านตามแนวชายฝั่งทะเล แต่เรามอบภาพกังหันลมให้พวกเขาไปดูเพื่อเป็นตัวอย่างและเป็นแนวทางให้พวกเขาศึกษาต่อยอดการสร้างกังหันลมต่อไป
        หลี่จวิน  : อื้ม งั้นเอาตามนี้ แล้วเจ้าไปงานเลี้ยงฉลองเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักไป๋หู่ด้วยหรือไม่?
เหยียนเหล่ย  : พี่ชายข้าได้รับเทียบเชิญ แต่ข้าต้องไปเป็นตัวแทนของสำนักเฟยอวี่
        หลี่จวิน  : คิดไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องไปเป็นตัวแทนของสำนัก คนสำนักเฟยอวี่มีแต่คนแก่ๆกันหรือไงถึงไม่ชอบไปงานเลี้ยง สงสัยจะเรียนวิชาโบราณกันคร่ำเคร่งจนกลายเป็นคนแก่หัวโบราณกันทั้งสำนัก ยกหน้าที่ไปงานเลี้ยงแบบนี้ให้เจ้าตลอด
เหยียนเหล่ย  : พวกเขาไม่ได้แก่ แค่ชอบความสงบ
        หลี่จวิน  : เราออกเดินทางไปด้วยกันดีกว่า เดินทางด้วยกันจะได้ไม่เหงา
เหยียนเหล่ย  : ตกลง

          หลี่จวิน ลี่ถังและซือจิ้งอยู่นั่งดื่มเหล้ากับเหยียนเหล่ยจนดึก จนฉันเริ่มหาวง่วงนอน เหยียนเหล่ยจึงบอกให้ฉันเข้านอนก่อน ฉันจึงขอตัวลาไปนอน หลี่จวินจึงรีบพูดจาค่อนขอดว่า...

        หลี่จวิน  : แหม! ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย จะรีบนอนไปไหนเล่า ไม่อยู่ดื่มเหล้ากับข้าสักหน่อยเหรอ
             มี่จื่อ  : ไม่ล่ะ! ข้าง่วงนอน นอนดึกทำให้ข้าตื่นสาย พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้า!
        หลี่จวิน  : ปกติเจ้าตื่นสายหรือไง?
            มี่จื่อ  : ข้าตื่นสายทุกวัน นอนตื่นหลังเจ้านาย ข้ารู้สึกละอายใจ...
        หลี่จวิน  : ชิ! นอนตื่นสายเจ้ารู้สึกละอายใจ ทีเจ้าหลอกเอาเงินข้าไปตั้งหลายครั้งไม่เห็นเจ้าเคยรู้สึกละอายใจบ้าง! เจ้ารวยแล้วนี่มีกำไลหยกใส่ คืนเงินข้ามาเลย
            มี่จื่อ  : แหม! ข้ายังเป็นสาวใช้ที่ยากจนอยู่ ส่วนกำไลหยกนี่คุณชายมอบให้ข้า คุณชายสั่งไว้ว่าต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ห้ามนำไปขาย ส่วนเงินของท่านหลี่จวินที่ท่านให้ข้ามา เหตุใดข้าต้องละอายใจ คนกันเองทั้งนั้นไม่ต้องเกรงใจเลย ฮ่าฮ่า งั้นข้ารีบไปนอนดีกว่า ฝันดีนะทุกคน

          ฉันรีบเดินหนีเข้าห้อง เพราะหลี่จวินเริ่มหาเรื่องจะทวงเงินคืนจากฉัน ที่ถูกหลอกให้เล่นเกมส์ทายคำถามกวนประสาท ฉันเดินไปปูฟูกนอนใกล้ๆเตียงของเหยียนเหล่ย คืนนี้ฉันไม่นอนบนเตียงของเหยียนเหล่ยเพราะงอน และหมั่นใส้ที่วันนี้เขาพาผู้หญิงมานั่งดื่มน้ำชาอี๋อ๋อเป็นนานสองนานในจวน แม้เขาจะไม่ได้แสดงที่ท่าว่าชอบคุณหนูเหมยหลิน แต่ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ชอบใจอยู่ดี เพราะท่าทีของคุณหนูเหมยหลิงแสดงออกว่าชอบและพอใจในตัวของเหยียนเหล่ยไม่น้อย คงจริงดั่งคำที่ลี่ถังพูดไว้ ว่าเหยียนเหล่ยมีประวัติดี ชาติตระกูลดี ฐานะดี หล่อเหลา และฉลาดหัวดี สาวๆมีแต่อยากจะตะครุบ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ชอบใจเอาเสียเลย ฉันจึงนอนหลับตาและพยายามเลิกคิดเรื่องหงุดหงิดนั่นจนนอนหลับไป

          กลางดึกรู้สึกว่ามีคนเข้ามานอนเบียดในผ้าห่ม เอื้อมมือโอบกอด และหอมฉันที่แก้มจนรู้สึกตื่น เหยียนเหล่ยกระซิบถามว่าทำไมฉันถึงไม่ขึ้นไปนอนบนเตียง แต่ฉันไม่ตอบแล้วจะพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา แต่เขากอดรัดไว้ไม่ให้พลิกตัวหนี แล้วถามฉันว่า...

เหยียนเหล่ย  : เจ้าโกรธข้าเรื่องคุณหนูเหมยหลินรึ?!
             มี่จื่อ  : ข้าควรยิ้มแย้มดีใจหรือไงล่ะ?
เหยียนเหล่ย  : เจ้าหึงหวงข้านี่เองถึงไม่ยอมไปนอนบนเตียงกับข้า แต่ไม่เป็นไร ข้านอนตรงนี้กับเจ้าก็ได้
             มี่จื่อ  : เตียงของท่านก็มี ไปนอนบนเตียงของท่านสิ จะมานอนเบียดกันกับข้าตรงนี้ทำไม?!
เหยียนเหล่ย  : งั้นไปนอนบนเตียงก็ได้ (เขาลุกขึ้นและอุ้มฉันไปนอนบนเตียงด้วย)

          เขากอดจูบฉันและถอดเสื้อผ้าฉันออกอีกเหมือนทุกคืน จูบซอกคอแล้วดูดเบาๆ สองมือบีบขยำหน้าอกเล่นแล้วดูดกัดเบาๆคล้ายหมั่นเขี้ยว สองขาฉันแยกออกกว้างและมีอารมณ์จนเนินหว่างขาเริ่มเปียกแฉะ เหยียนเหล่ยจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่และดันจนมิดเด้งโยกก้นกระแทกช้าและเร็วสลับกันไปเรื่อยๆ แล้วเริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นถี่ๆ "อ๊ากกก!" เขาเสร็จสมแล้วล้มตัวลงนอนกอดลูบศรีษะลูบหลังฉันเบาๆคล้ายกำลังกล่อมนอนให้ฉันคลายโกรธและหลับลงไปอีกครั้ง
หมายเหตุ

*เหมยหลิน แปลว่า ดอกกุหลาบ และป่าไม้

*ซือจิ้ง แปลว่า ความสุข และความสงบ

葛東琪 - 二十三號病床動態歌詞
YouTube by : Time Music

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 30
(พี่น้องพบหน้าเยี่ยมเยียน)

          ฉันงัวเงียตื่นนอนในตอนเช้าแต่สายนิดหน่อย เหยียนเหล่ยตื่นนอนก่อนฉันเหมือนเคย ฉันจึงรีบไปล้างหน้าแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง พบเหยียนเหล่ยกำลังนั่งดื่มน้ำชากับคุณหนูเหมยหลินอยู่ในห้องรับแขก ฉันจึงรีบกล่าวขอโทษคนทั้งสองที่โผล่เข้าไปขัดจังหวะการสนทนา

             มี่จื่อ  : ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าคุณหนูเหมยหลินจะมาแต่เช้า
    เหมยหลิน  : พรวดพราดเข้ามา ดูเจ้าจะได้รับการอบรมเรื่องมารยาทน้อยไปหน่อย คุณชายเหยียนเหล่ยมีงานมากคงไม่มีเวลาอบรมเจ้า วันนี้เจ้าไปหาข้าสิ ข้าจะช่วยสอนเรื่องมารยาทให้
เหยียนเหล่ย  : ขอบใจ คุณหนูเหมยหลินที่จะสอนเรื่องมารยาทให้มี่จื่อ แต่มี่จื่อเป็นคนของข้า ข้าจะสอนสั่งนางเอง ไม่ต้องรบกวนคุณหนู
   เหมยหลิน  : ไม่รบกวนเลย เหมยหลินเต็มใจช่วยคุณชายอบรมมารยาทสาวใช้ จะได้ไม่อับอายผู้คน
เหยียนเหล่ย  : นางเป็นคนในจวนของข้า ข้าจะอบรมสั่งสอนนางเอง
    เหมยหลิน  : อะ เอ่อ...เมื่อวาน เหมยหลินเห็นคุณชายทำงานจนดึก กลัวคุณชายจะป่วยเอาได้ จึงตุ๋นไก่ดำใส่สมุนไพรมาให้คุณชายทานเพื่อบำรุงสุขภาพ
เหยียนเหล่ย  : เมื่อวานมี่จื่อทำงานแทนข้า จนข้าแทบจะไม่ได้ทำงานเลยต่างหาก แต่ก็ขอบใจ คุณหนูเหมยหลินเป็นแขกแท้ๆอย่าได้ลำบากเลย
   เหมยหลิน  : ไม่ลำบากเลย คุณชายไม่ต้องเกรงใจ เหมยหลินยินดีและเต็มใจทำให้คุณชายอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อวานท่านเสนาบดีชักชวนเหมยหลินอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวันเพื่อให้อยู่ท่องเที่ยวด้วย
เหยียนเหล่ย  : เมืองนี้มีสถานที่น่าเที่ยวชมอยู่หลายที่ ขอให้คุณหนูเหมยหลินเที่ยวให้สนุก
    เหมยหลิน  : ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชายพอจะมีเวลาพาข้าเที่ยวชมสถานทีสวยๆในเมืองได้หรือไม่
เหยียนเหล่ย  : ต้องขออภัย ข้าไม่ว่างเพราะช่วงเช้าต้องตรวจสอบงานของเมื่อวาน ส่วนช่วงบ่ายข้าจะต้องไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหกในพระราชวัง
   เหมยหลิน  : อะ เอ่อ... ไม่เป็นไรค่อยเป็นวันหลังก็ได้... งั้นขอกลับก่อน เอ่อ...ไก่ตุ๋นกำลังร้อนๆรีบกินก่อนที่จะเย็น ข้าขอตัว

          เหมยหลินกำลังเดินออกไปจากจวนฮุ่ยเฉิง เหยียนเหล่ยหันมาเรียกฉันที่นั่งจ๋องฟังเขาสองคนพูดคุยกัน ฉันขยับตัวไปนั่งข้างๆ เขาเลื่อนขยับชามไก่ตุ๋นมาวางตรงข้างหน้าฉัน แล้วบอกให้ฉันกินไก่ตุ๋นในนั้น

            มี่จื่อ  : คุณหนูเหมยหลินทำมาให้ท่านกิน ข้าไม่กินหรอก! เดี๋ยวนางจะมาต่อว่าข้าอีก ว่าข้าไม่มีมารยาทกินไก่ที่นางตุ๋นมาเพื่อท่าน
เหยียนเหล่ย  : ใช่! นางทำมาให้ข้า ไก่ตุ๋นชามนี้ก็ต้องเป็นของข้า ข้าจะกินหรือไม่กินก็เป็นสิทธิ์ของข้า แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า อยากให้เจ้ากินเพื่อบำรุงสุขภาพ ดังนั้นข้าจะให้เจ้ากิน และขณะที่เจ้ากินก็ควรนึกถึงความห่วงใยของข้าที่มีต่อเจ้าด้วย รีบกินสิกำลังร้อนๆ
            มี่จื่อ  : ท่านกำลังฉกฉวยความดีความชอบของผู้อื่นไม่คิดละอายใจบ้างเลยรึ?
เหยียนเหล่ย  : แค่น้ำไก่ตุ๋นชามเดียวใยข้าต้องรู้สึกละอายใจ เจ้าสิควรต้องละอายใจ ที่ไม่เคยปรนนิบัติพัดวีข้าจริงๆจังๆเลยสักครั้ง
            มี่จื่อ  : ก็ได้ๆแล้วข้าจะทำให้ ว่าแต่...ข้าไร้มารยาทงามตามที่คุณหนูเหมยหลินพูดว่าข้าจริงรึ? (ฉันใช้ช้อนตักน้ำไก่ตุ๋นแกล้งซดน้ำแกงให้เสียงดัง ซู้ดดดดด อ่าาาา)
เหยียนเหล่ย  : เจ้าไร้มารยาทงามจริงๆนั่นแหละ ซดน้ำแกงเสียงดังได้ยินไปถึงประตูหน้าจวนท่านเสนาบดีแล้ว ฮ่าฮ่า (เหยียนเหล่ยเห็นฉันแกล้งซดน้ำแกงเสียงดังแล้วขำ)
            มี่จื่อ  : ท่านจะส่งข้าไปอบรมมารยาทกับคุณหนูเหมยหลินหรือเปล่า?
เหยียนเหล่ย  : ไม่หรอก ข้าจะอบรมมารยาทให้เจ้าเอง จะฝึกให้เป็นพิเศษเลย (เหยียนเหล่ยจับคางฉันเขย่าเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว)
            มี่จื่อ  : อืม...ไก่ตุ๋นอร่อยดีท่านลองชิมสิ (ฉันตักน้ำไก่ตุ๋นป้อนใส่ปากให้เหยียนเหล่ยซด)
เหยียนเหล่ย  : ซู้ดดดดดดดดดดด
             มี่จื่อ  : ฮ่าฮ่าฮ่า เสียงซดน้ำแกงของท่านดังจนได้ยินไปถึงท้ายตลาดโน่นแหนะ
เหยียนเหล่ย  : ฮ่าฮ่าฮ่า

          หลังกินอาหารเช้าเสร็จเหยียนเหล่ยเข้าห้องเพื่อค้นหาแผนที่เปรียบเทียบเส้นทางเพื่อหาทางไปหุบเขาจันทร์ดับ ฉันจึงยกน้ำชาและขนมเข้าไปให้เขาในห้องทำงาน และปล่อยใหัเขาทำงานต่อไปเงียบๆ ส่วนฉันก็นั่งฝึกควบคุมพลังปรานอยู่ที่ชานบ้านจนเริ่มชินและเริ่มจะควบคุมได้มากขึ้นกว่าเดิม จนสามารถบังคับทิศทางของลมหมุนดอกท้อได้

          ฉันฝึกควบคุมพลังปรานไปได้สักพักใหญ่ๆ ฟูหลิวก็พาชาย-หญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในจวน เขาทั้งสองคือหย่งหลุนกับซูเจินที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนฉัน ฉันดีใจที่ได้พบเขาทั้งสองคน จึงเดินเข้าไปในห้องบอกเหยียนเหล่ยว่าหย่งหลุนกับซูเจินมาพบฉัน เหยียนเหล่ยจึงเดินตามออกมาทักทาย แล้วบอกว่าพูดคุยกันตามสบาย ฉันจึงชวนหย่งหลุนกับซูเจินไปนั่งพูดคุยกันที่ศาลาในสวน จะได้ไม่ส่งเสียงดังรบกวนเหยียนเหล่ยในห้อง ฟูหลิวจึงอาสาไปช่วยฉันยกขนมกับน้ำชามาวางที่ศาลาในสวน และจะไปเก็บผลผีผามาให้เรากิน

             มี่จื่อ  : ดีใจจังเลยที่พี่ทั้งสองมาเยี่ยมเยียนข้าที่นี่ ข้ากะไว้ว่าวันมะรืนจะไปหาพี่ที่หออยู่พอดี
     หย่งหลุน  : ก็ซูเจินน่ะสิ! คะยั้นคะยอให้ข้าพานางมาหาเจ้า เพราะนางรอวันมะรืนไม่ไหว
           ซูเจิน  : ก็ข้าเป็นห่วงมี่จื่อนี่นา ข้าอยากมาดูด้วยตาของตัวเองว่าเจ้าอยู่ที่นี่สุขสบายดีจริงหรือเปล่า
            มี่จื่อ  : ข้าสบายดี
           ซูเจิน  : ได้รู้ได้เห็นว่าเจ้าสุขสบายดี ข้าก็พอใจแล้วล่ะ ข้าซื้อขนมมาฝากเจ้าด้วยนะ ร้านอร่อยที่สุดในตลาดเลย
     หย่งหลุน  : จวนท่านเสนาบดีใหญ่โตมาก ผู้คนมากมาย ดีที่ข้าเจอฟูหลิวเดินถือไม้กวาดผ่านหน้าประตูทางเข้าพอดี เขาจึงพาข้าเข้ามา แต่ให้ข้าเข้าทางประตูด้านหน้าคงจะไม่เหมาะ คราวหน้าถ้าข้าจะมาหาเจ้าอีกให้ข้าเข้าทางประตูด้านหลังจะดีกว่า
            มี่จื่อ  : ได้ งั้นต่อไปพี่เข้าออกทางประตูเล็กด้านหลังก็ได้
     หย่งหลุน  : ข้ามีอะไรจะบอก ข่าวดีลองทายดูสิ
            มี่จื่อ  : ห๊า! พี่ซูเจินท้องกับพี่หย่งหลุน
     หย่งหลุน  : เฮ๊ย! ไม่ใช่! ไม่ใช่เรื่องนั้น! ข้าจะบอกว่า ข้ากับซูเจินเก็บสะสมเงินใกล้ครบจำนวนที่สามารถไถ่ตัวซูเจินออกหอกุ้ยฮวาได้แล้ว ต้องขอบใจเจ้ามากๆมี่จื่อ ที่คอยช่วยส่งเงินไปให้เราอยู่เรื่อยๆ
           ซูเจิน  : เถ้าแก่บอกว่าหากข้าไถ่ตัวเองได้แล้ว แต่ยังไม่มีที่จะไป ก็สามารถอยู่ช่วยงานเถ้าแก่ดูแลหอไปก่อนก็ได้โดยไม่ต้องรับแขก แต่ข้าอยากออกไปอยู่ข้างนอกหอมากกว่า อยากมีบ้านหลังเล็กๆให้พวกเราได้อยู่ด้วยกัน
     หย่งหลุน  : ข้ายังพอมีเงินเหลือสำหรับปลูกกระท่อมหลังเล็กๆ มีทุนอีกนิดหน่อยซื้อเป็ด ไก่มาเลี้ยง ซื้อพืชพันธุ์ผักสวนครัวมาปลูกไว้ขายในตลาด เราไปอยู่ด้วยกันนะถ้าเจ้าไม่รังเกียจอยู่กระท่อมหลังเล็กๆ
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รังเกียจ แต่ข้ายังมีงานสำคัญต้องทำให้สำเร็จเสียก่อน ไม่งั้นข้าตายแน่ๆ
           ซูเจิน  : เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ารึ
            มี่จื่อ  : ข้าทำภาพเขียนภู่กันของฮ่องเต้ขาด จึงต้องช่วยคุณชายเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไปให้พบเป็นการชดใช้หนี้สินจำนวนมหาศาลที่ข้าก่อขึ้น
           ซูเจิน  : งั้นเอาเงินที่ข้าไป ข้าจะกลับไปที่หอเอาเงินทั้งหมดของข้ามาให้เจ้า
     หย่งหลุน  : เงินของข้าด้วยเอาไปสิ
            มี่จื่อ  : พี่ทั้งสองเก็บเงินไว้เถอะ แล้วทำตามความตั้งใจที่พี่ทั้งสองคนอยากจะทำ เงินแค่นั้นไม่เพียงพอไถ่ตัวข้าหรอก อีกอย่างเงินไม่สำคัญสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาต้องการตำราโบราณที่สูญหายไปให้กลับคืนมามากกว่า อีกอย่างข้าอยากอยู่ช่วยคุณชายด้วย พี่ๆอย่าห่วงเลยข้าอยู่ที่นี่ไม่ลำบากหรอก คุณชายเหยียนเหล่ยดีกับข้ามาก
           ซูเจิน  : ข้าเห็นแล้วล่ะ ว่าคุณชายเหยียนเหล่ยดีกับเจ้า เจ้าช่างโชคดีมากจริงๆ
          ฟูหลิว  : ผลผีผามาแล้ว! ข้าล้างจนสะอาดเลยนะ เชิญๆทุกคนกินกัน
            มี่จื่อ  : พี่ฟูหลิว ข้าขอแนะนำนี่พี่หย่งหลุน กับพี่ซูเจิน
         ฟูหลิว  : ข้าจำทั้งสองคนได้ จำคืนฆาตกรรมที่หอกุ้ยฮวาได้
     หย่งหลุน  : ต้องขอบใจเจ้ามากที่คืนนั้นพาข้าเข้ามาพบมี่จื่อในจวนจึงไปช่วยซูเจินได้ทันเวลา
           ซูเจิน  : ขอบคุณมากๆ
          ฟูหลิว  : ไม่เป็นไรๆ นับว่าเราชะตาต้องกันทำให้คืนนั้นข้าอยากออกไปเดินเล่นหน้าประตูจวนท่านเสนา แถมวันนี้ข้าไปเบิกไม้กวาดด้ามใหม่ที่จวนท่านเสนาและเกิดนึกอยากเดินไปดูต้นไม้แถวหน้าประตูจวนท่านเสนาอีก นับว่าเราชะตาต้องกันจริงๆ
             มี่จื่อ  : พี่ฟูหลิวกินขนมด้วยกันสิ
          ฟูหลิว  : จะดีเหรอ ให้ข้านั่งกินขนมกับเจ้าด้วยดูจะไม่เหมาะ เดี๋ยวคุณชายออกมาเห็นจะเคืองข้าเอาได้
             มี่จื่อ  : ไม่เหมาะตรงไหนล่ะ?! พี่เป็นคนงาน ข้าเป็นสาวใช้ ทำไมจะนั่งกินขนมด้วยกันไม่ได้ นั่งลงกินขนมด้วยกันเลย มาเร็วๆ นั่งๆ
          ฟูหลิว  : แต่เจ้าไม่เห็นเหมือนสาวใช้เลยสักนิด แค่เอาเสื้อผ้าของสาวใช้มาใส่เท่านั้นเอง ทำงานบ้านก็ไม่เป็น ขนาดจับไม้กวาดยังดูเก้ๆกังๆ อีกทั้งยังนอนตื่นทีหลังคุณชายเหยียนเหล่ยทุกวัน งานบ้านง่ายๆทำไม่เป็น แต่งานยากๆของคุณชายเจ้ากลับทำแทนได้สบาย จนข้าเองก็สับสนไม่รู้จะปฏิบัติตัวกับเจ้ายังไง
     หย่งหลุน  : ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าให้มี่จื่อเข้าครัวจุดเตาฟืนเด็ดขาด มิเช่นนั้นไฟอาจไหม้วอดบ้านทั้งหลังได้
         ฟูหลิว  : จริงรึ?! มิน่าล่ะคุณชายถึงไม่ยอมใช้ให้เจ้าทำงานบ้าน ทำงานครัว
            มี่จื่อ  : โธ่! พวกท่านอย่าแฉเรื่องของข้าอีกเลยน่า พอเถอะๆ

          เราสี่คนพูดคุยหยอกล้อกันสนุกสนานและกินขนมที่ซูเจินซื้อมาฝาก จากนั้นซูเจินจึงอาสาเข้าครัวจวนฮุ่ยเฉินทำอาหารกลางวันให้เรากินแล้วตักแบ่งใส่จานให้ฉันยกไปให้เหยียนเหล่ยกินในห้องทำงาน เหยียนเหล่ยเอ่ยปากชมว่าซูเจินปรุงอาหารมีรสชาติอร่อย และหลังกินอาหารกลางวันเสร็จสักพักใหญ่ๆ เหยียนเหล่ยก็เดินออกมาจากห้อง และเดินทางไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหกที่ตำหนัก

          จากนั้นหย่งหลุนกับซูเจินจึงขอตัวกลับหอกุ้ยฮวา โดยทั้งคู่เดินออกไปทางประตูหลังจวนฮุ่ยเฉิง และไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบเดินตามหลังหย่งหลุนกับซูเจินไปด้วย ฉันจึงฝึกควบคุมลมพายุหมุนดอกท้อต่อ ส่วนฟูหลิวกวาดเศษใบไม้หน้าจวนอยู่เป็นเพื่อนฉันระหว่างรอเหยียนเหล่ยกลับจากตำหนักอ๋องหก

The HU - Yuve Yuve Yu
Youtube by : The Hu

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 31
(เหยียนเหล่ยยอมรับการหมั้นหมาย)

....ที่จวนเสนาบดีขั้นสอง ห้องพักเหมยหลิน....
          เหมยหลิน กำลังรอสาวใช้คนสนิทชื่อ อิงเถา กลับมารายงานข่าวจากข้างนอก ไม่นานนักสาวใช้คนสนิทก็กลับมาจากข้างนอก และรายงานข่าวที่ไปสืบได้มาว่า

    เหมยหลิน  : ได้เรื่องอะไรมาบ้าง
          อิงเถา  : คนที่มาพบมี่จื่อวันนี้ ผู้ชายชื่อหย่งหลุนทำงานดูแลคอกม้าที่หอคณิกากุ้ยฮวา ส่วนผู้หญิงชื่อซูเจิน เป็นหญิงคณิกาในหอกุ้ยฮวา และที่สำคัญมี่จื่อเคยทำงานอยู่ในหอคณิกา
    เหมยหลิน  : เจ้าแน่ใจรึ?!
          อิงเถา  : แน่ใจเจ้าค่ะ ข้าให้เงินนิดหน่อยกับคนที่ทำงานอยู่ในนั้น พอเห็นเงินก็ตาโตรีบรับเงิน และบอกว่ามี่จื่อเคยเป็นหญิงคณิกาอยู่ในหอเพียงไม่กี่วัน ก็ถูกคุณชายหานหยางเค่อลูกชายเศรษฐีค้าอัญมณีไถ่ตัวออกไปจากหอกุ้ยฮวา ส่วนที่มี่จื่อมาอยู่กับคุณชายเหยียนเหล่ยได้ยังไงนั้น พวกสาวใช้ที่จวนฮุ่ยเฉิงกว่าจะยอมบอกได้ต้องจ่ายเงินให้มากหน่อย พวกนางจึงยอมบอกว่ามี่จื่อเพิ่งเข้ามาอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงได้ไม่นาน วันแรกที่นางมาเป็นวันงานเลี้ยงฉลองวันเกิดท่านเสนาบดีขั้นสอง และในวันเดียวกันนั้นที่จวนฮุ่ยเฉิงก็ถูกคนร้ายเข้าไปไปรื้อทำลายข้าวของโบราณแตกหักเสียหายเต็มห้อง แล้วก็พบมี่จื่อในห้องนั้นสภาพเสื้อผ้าฉีกขาดแต่สวมเสื้อคลุมของคุณชายเหยียนเหล่ยนั่งอยู่ในห้อง ส่วนคุณชายเหยียนเหล่ยก็อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหมือนกัน นับจากวันนั้นมี่จื่อก็อยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงมาตลอด เอ่อ! คุณหนู...บางทีคุณชายเหยียนเหล่ยกับมี่จื่ออาจจะเป็น.....
    เหมยหลิน  : ไม่ต้องพูดแล้ว! คิดว่าข้าจะยอมแพ้ให้กับสาวใช้งั้นรึ?! นางเป็นแค่สาวใช้ที่เคยเป็นหญิงคณิกาชั้นต่ำ นางจะมีอะไรดีกว่าข้า
          อิงเถา  : คุณหนูเหมยหลินของอิงเถาดีกว่าอยู่แล้ว ทั้งหน้าตา การศึกษา และชาติตระกูล นังเด็กรับใช้นั่นเทียบไม่ได้เลยสักนิด
    เหมยหลิน  : ข้าจะบอกท่านพ่อให้ไปพูดคุยกับท่านเสนาบดีขั้นสอง ว่าข้าตอบตกลงหมั้นหมายกับคุณชายเหยียนเหล่ย
          อิงเถา  : ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ ที่คุณหนูกำลังจะหมั้นหมายกับคุณชายเหยียนเหล่ยเร็วๆนี้ ช่างเหมาะสมกันดีเหลือเกิน

.....ที่จวนเสนาบดีขั้นสอง.....
          เหยียนเหล่ยที่เพิ่งกลับจากเข้าเฝ้าท่านอ๋องหก กำลังเดินผ่านเข้าประตูทางด้านหน้าจวนเสนาบดีเพื่อกลับจวนฮุ่ยเฉิง พบสาวใช้ที่กำลังดักรอเหยียนเหล่ยอยู่ที่หน้าประตู แล้วบอกกับเหยียนเหล่ยว่าท่านเสนาบดีกำลังรอพบเขาอยู่ในจวน เมื่อเขาเดินเข้าไปภายในจวนก็พบฮูหยินกับ เสนาบดีผู้พี่ชายกำลังนั่งรอเขาอยู่ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก เหยียนเหล่ยจึงกล่าวทักทายฮูหยิน และถามเสนาบดีผู้พี่ชายว่า...

เหยียนเหล่ย  : ท่านพี่มีอะไรจะพูดคุยกับข้างั้นรึ?
       เสนาบดี  : มีสิ! ข้าจะบอกเจ้าว่า...ข้าได้พูดคุยกับพ่อของเหมยหลินแล้ว จะให้เจ้าหมั้นหมายกับเหมยหลินไว้ก่อน และเมื่อกลับจากงานฉลองสำนักไป๋หู่ค่อยเข้าพิธีแต่งงาน เรื่องจัดพิธีงานแต่งงานข้าจะเป็นคนจัดการให้เอง
เหยียนเหล่ย  : ข้าบอกแล้วยังไงเล่า ว่าข้าจะยังไม่แต่งงานจนกว่าจะหาตำรามังกรสายลมพบเสียก่อน
       เสนาบดี  : ก็ไม่เห็นจะเป็นไร หมั้นหมายกันไว้ก่อน ข้าไม่ได้ให้เจ้าแต่งงานวันนี้หรือพรุ่งนี้สักหน่อย
เหยียนเหล่ย  : แต่ข้าไม่ได้รักเหมยหลิน!
       เสนาบดี  : แต่งงานไปเดี๋ยวก็รักกันเองล่ะน่า
เหยียนเหล่ย  : แต่ข้ามีคนที่ข้ารักและจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว ข้าจะไม่แต่งงานกับเหมยหลิน
       เสนาบดี  : แต่เจ้าต้องแต่งงานกับเหมยหลิน เหมยหลินเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุด
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่....
       เสนาบดี  : ถ้าไม่ใช่มี่จื่อเด็กสาวใช้ของเจ้าน่ะรึ?! หึ! ไม่มีทาง! ข้าไม่ยอมรับผู้หญิงคณิกาชั้นต่ำ แบบนั้นมาเข้าร่วมวงศ์ตระกูลกับข้าหรอก! ไล่นางออกไปจากจวนอย่าให้นางมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับข้า
เหยียนเหล่ย  : ห้ามไล่มี่จื่อออกไปเด็ดขาด มี่จื่อต้องอยู่กับข้า!
       เสนาบดี  : นางเคยเป็นหญิงคณิกา นางจะทำให้เราเสื่อมเสียเกียรติ
เหยียนเหล่ย  : แต่มี่จื่อเป็นภรรยาของข้า!
      เสนาบดี  : ก็เพราะแบบนี้ยังไงเล่า เจ้าถึงต้องรีบแต่งงานกับเหมยหลิน แล้วรีบๆไล่เด็กสาวใช้นั่นออกจากจวนไปซะ
เหนียนเหล่ย  : ไม่! มี่จือจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และข้าจะแต่งงานกับมี่จื่อเพราะนางเป็นภรรยาของข้า
       เสนาบดี  : นี่เจ้า!!!
          ฮูหยิน  : ใจเย็นๆกันก่อนเถอะ มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่า ท่านพี่ฟังเหยียนเหล่ยเค้าหน่อยเถอะ เด็กมี่จือนั่นเท่าที่ข้าเห็นกิริยาท่าทางแม้จะดูกระโดกกระเดกไม่สมเป็นกุลสตรี แต่นางก็ดูจริงใจและน่ารักดี ดูไม่เหมือนเป็นหญิงคณิกาเลยสักนิด แถมยังฉลาดสามารถไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญได้จนพบไข่มุกเบญจมาศ เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้อยู่ไม่น้อย ท่านพี่อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจขับไล่นางไปเลย อีกอย่างตั้งแต่มี่จื่อมาอยู่ที่นี่เหยียนเหล่ยก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ข้าเองก็ยังรู้สึกเอ็นดูนางเหมือนกัน
       เสนาบดี  : เพราะเขามีเจ้าคอยให้ท้าย เขาถึงทำอะไรตามใจตัวเอง จนแทบจะมองไม่เห็นหัวข้าอยู่แล้ว!
          ฮูหยิน  : หากท่านพี่ไล่เด็กมี่จื่อไปแล้วใครจะช่วยงานเหยียนเหล่ยล่ะ ท่านพี่ก็รู้ว่างานของเหยียนเหล่ยยากขนาดไหน มีแต่ภาษาโบราณยากๆทั้งนั้น มีเพียงมี่จื่อที่สามารถเข้าใจและช่วยเบาแรงให้เหยียนเหล่ยได้ เอ่อ...ท่านพี่...อนุญาตให้เหยียนเหล่ยแต่งมี่จื่อเป็นภรรยารองก็ได้นี่นา
      เสนาบดี  : ก็ได้! ถ้าเจ้ายอมแต่งงานกับเหมยหลิน ข้าจะยินยอมให้เจ้าแต่งมี่จื่อเป็นภรรยารองของเจ้า ถ้าเจ้าไม่ยอมแต่งงานกับเหมยหลินข้าจะขอตายต่อหน้าเจ้านี่แหละ!
         ฮูหยิน  : ท่านพี่!

          เหยียนเหล่ยเดินกลับจวนฮุ่ยเฉิงด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก พอเขาเห็นฉันนั่งเล่นอยู่หน้าจวนจึงปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ เหยียนเหล่ยเดินมานั่งลงข้างๆฉันที่กำลังรินน้ำชาให้เขาดื่มแก้เหนื่อย เขาซักถามฉันว่าทำอะไรบ้างตอนที่เขาไม่อยู่ ฉันจึงบอกว่าอยู่บ้านตามปกติและฝึกควบคุมพลังปราน พลันสายตาฉันเหลือบไปเห็นที่ปลายแขนเสื้อของเหยียนเหล่ยมีด้ายขาดชายแขนเสื้อคลุมเริ่มหลุดรุ่ยออกมา ฉันจึงบอกให้เหยียนเหล่ยถอดเสื้อคลุมออกเพื่อจะนำมาเย็บให้

             มี่จื่อ  : คุณชายทำงานหนักเกินไปรึ จนชายแขนเสื้อคลุมด้ายขาดชายหลุดรุ่ยออกมา ข้าจะเย็บให้ ถอดเสื้อคลุมออกมาสิ
เหยียนเหล่ย  : เจ้าเย็บผ้าเป็นด้วยรึ ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่เป็นงานกุลสตรีเลยเสียอีก?
             มี่จื่อ  : แม้ข้าจะทำอาหารไม่เป็น ข้ากวาดเช็ดถูบ้านไม่ค่อยสะอาดก็จริง แต่ข้าเย็บผ้าเป็น ฝีมือการเย็บผ้าของข้าไม่เป็นที่สองรองใครแน่นอน!
เหยียนเหล่ย  : งั้นเราเข้าไปเย็บผ้าข้างในห้องกันเถอะ

          เหยียนเหล่ยดึงแขนฉันเข้าไปในห้องพาไปนั่งบนเตียง แล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกและตัวในออก จากนั้นเขาจะถอดกางเกง จนฉันรีบร้องทักว่าจะเย็บแค่เสื้อคลุมเท่านั้น ไม่ต้องถอดเสื้อถอดกางเกงออกหมดก็ได้ แต่เหยียนเหล่ยไม่สนใจเรื่องการเย็บซ่อมแซมเสื้อคลุม แต่เขากลับถอดกางเกงฉันออกแล้วจับขาฉันแยกออกกว้าง จับแท่งเนื้อแข็งถูไถส่วนปลายกับเนินหว่างขาจนเริ่มมีน้ำลื่นไหล เขาดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาจนสุดเด้งก้นโยกช้าๆแต่ดันจนลึก แล้วก้มจูบแลกลิ้น เขาดูดลิ้นฉันเข้าปากอย่างดูดดื่ม แล้วเด้งก้นเร่งจังหวะกระแทกแรงและเร็วขึ้นจนเขาเสร็จ แล้วโถมตัวลงนอนกอดหอมฉันอยู่บนเตียง

เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ ข้ารักเจ้า เจ้ารักข้าหรือไม่?
             มี่จื่อ  : อื้ม! (ฉันพยักหน้าเขินอาย)
เหยียนเหล่ย  : พูดให้ข้าได้ยินสิ ว่าเจ้ารักข้า
             มี่จื่อ  : ข้ารักท่าน
เหยียนเหล่ย  : หากมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ขอให้เจ้าเชื่อใจข้า อดทนเพื่อข้าและอยู่กับข้าอย่าจากข้าไปไหน สัญญากับข้าสิ!
             มี่จื่อ  : เกิดอะไรขึ้น บอกข้ามาเถอะ?
เหยียนเหล่ย  : เอ่อ...พี่ชายของข้าตอบตกลงกับพ่อของเหมยหลินให้ข้าหมั้นหมายกับเหมยหลิน และต้องเข้าพิธีแต่งงานหลังกลับจากงานฉลองเจ้าสำนักไป๋หู่ แต่ข้าตอบปฏิเสธพี่ชายข้าไปแล้วว่าข้าจะไม่แต่งงานกับเหมยหลิน มี่จื่อข้ารักเจ้า ข้าจะแต่งงานกับเจ้า แต่พี่ชายข้าก็ไม่ฟังและไม่ยินยอม แต่ถ้าหากข้ายอมแต่งงานกับเหมยหลิน เขาก็จะยินยอมให้ข้าแต่งเจ้าเป็นภรรยารองของข้าได้
            มี่จือ  : ไม่! ข้าจะไม่เป็นภรรยารองให้ใครทั้งนั้น ข้าไม่ใช่คนใจกว้างที่สามารถแบ่งปันสามีกับใคร ถ้าหากท่านมีข้าเพียงคนเดียวไม่ได้ ข้าก็จะไม่อดทนอยู่ดูท่านพรอดรักกับเหมยหลินหรอก (ฉันบีบแก้มเหยียนเหล่ยมองจ้องตาเขา)
เหยียนเหล่ย  : เจ้าฟังข้าพูดให้ดี ข้าไม่ได้รักเหมยหลิน เจ้าต้องเชื่อใจข้า! ห้ามไปจากข้า และข้าจะพยายามแก้ไขเรื่องนี้ (เหยียนเหล่ยบีบแก้มฉันและมองจ้องตาฉันกลับ)

          ฉันเองก็อยากจะเชื่อใจเพราะเหยียนเหล่ยเป็นคนไม่พูดโกหก แต่หัวใจของเขาเป็นเพียงก้อนเนื้อ ไม่ใช่ก้อนหิน หากถูกเหมยหลินเอาอกเอาใจบ่อยๆคงใจอ่อนหลงรักนางสักวันเป็นแน่ ผู้ชายยังไงก็ต้องรู้สึกอ่อนไหวเมื่อมีคนมาเอาอกเอาใจ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเจ็บแปล๊บๆในหัวใจ ฉันจึงขยับตัวจะลุกขึ้นจากเตียง แต่เหยียนเหล่ยกอดกระชับแขนให้แน่นขึ้นไม่ยอมปล่อยให้ฉันลุกจากเตียง แล้วจูบฉันอีกครั้ง แยกขาฉันออกกว้างสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาอีกครั้ง และเริ่มขยับเด้งก้นโยกแท่งเนื้อเข้าออกช้าๆอีกครั้ง...

          คืนนี้เหยียนเหล่ยง้อฉันด้วยการทำรักกับฉันอยู่หลายครั้งจนฉันอ่อนเพลียไม่มีแรงแง่งอนเขาอีก แล้วนอนกอดเขาซบอกอุ่นๆภายใต้ผ้าห่มหลับไหลไปด้วยกันตลอดทั้งคืน

          รุ่งเช้าตื่นมาพบเหมยหลินกำลังนั่งดื่มน้ำชากับเหยียนเหล่ย นางบอกว่านำปลานึ่งซีอิ๊วที่นางตั้งใจทำมาให้เหยียนเหล่ยชิม จากนั้นเหมยหลินก็ชักชวนและคะยั้นคะยอเหยียนเหล่ยให้พาไปเดินดูของสวยงามในตลาดโดยอ้างว่าอยากไปหาซื้อของกลับไปฝากญาติที่บ้าน เหยียนเหล่ยยากจะปฏิเสธจึงต้องรับปากจะพานางไปเดินซื้อของในตลาดภายหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เหมยหลินจึงรีบกลับห้องพักเพื่อเตรียมตัวออกไปเที่ยวตลาด เหยียนเหล่ยกำชับให้ฉันอยู่แต่ในจวนห้ามออกไปข้างนอกในช่วงที่เขาไม่อยู่ ฉันจึงพยักหน้ารับปากอย่างไม่เต็มใจนัก ช่วงสายๆเขาทั้งสองคนจึงออกไปเที่ยวตลาดด้วยกัน ส่วนฉันก็อยู่เฝ้าจวนหาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย

          ฉันจึงหยิบตำรามนต์โบราณของเหยียนเหล่ยมานั่งอ่านเล่นๆในสวนข้างๆจวน อ่านตำราได้สักพักใหญ่ๆ ก็มีเม็ดสนเม็ดหนึ่งตกลงมาตรงหน้าฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นจากตำรามองหาที่มาของเม็ดสนว่าตกลงมาได้อย่างไร เพราะในจวนฮุ่ยเฉิงไม่มีต้นสนปลูกไว้เลยสักต้น แต่ก็หาที่มาของเม็ดสนไม่เจอ จึงเดามั่วๆเอาว่าอาจจะเป็นนกหรือกระรอกเก็บเม็ดสนมาแล้วทำหลุดมือตกลงมาใส่ฉันพอดี ฉันจึงวางเม็ดสนไว้บนโต๊ะแล้วก้มหน้าอ่านตำราต่อ แต่แล้วก็มีเม็ดสนตกลงมาใส่ฉันอีกหนึ่งเม็ดเหมือนจงใจ ฉันจึงรีบลุกขึ้นยืนมองหาแล้วตะโกนถามว่าใคร แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่มีเม็ดสนอีกหนึ่งเม็ดปามาถูกที่ศรีษะฉันเหมือนจงใจกลั่นแกล้ง ฉันจึงตัดสินใจหยิบตำราแล้วจะรีบวิ่งกลับเข้าไปตั้งหลักในห้อง เพราะที่หน้าประตูห้องมีมนต์ปิดผนึกที่เหยียนเหล่ยทำไว้ หากฉันหรือเหยียนเหล่ยไม่เปิดประตูให้ก็ไม่มีใครเข้าได้ ในห้องจึงเป็นที่หลบภัยชั้นดีของฉัน แต่ฉันก็วิ่งเข้าห้องไม่ทันเสียแล้ว เพราะมีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคามายืนดักทางฉันไว้ เขาคือหยางเค่อ

             มี่จือ  : คุณชายหยางเค่อ!
     หยางเค่อ  : ใช่! ข้าเอง ดูหน้าเจ้าสิ! ทำไมทำหน้าตกใจขนาดนั้น ใบหน้าข้ามันน่ากลัวนักรึไง?
             มี่จื่อ  : ท่านมาทำอะไร?
     หยางเค่อ  : ก็มาหาเจ้าน่ะสิ ข้ามีอะไรจะถามเจ้าหน่อย
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น อย่ามาถามอะไรข้าเลย
     หยางเค่อ  : ยังไม่ทันจะได้ถามเลย รีบบอกไม่รู้แสดงว่าต้องรู้อะไรดีๆมาแน่ๆ บอกข้ามาวันนั้นหน่วยสอบสวนเอาแผนที่อะไรมาให้เจ้าดู มันเป็นแผนที่อะไร
            มี่จื่อ  : ไม่ ข้าไม่รู้ (ฉันรีบผละหนีจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องแต่หยางเค่อคว้าตัวฉันไว้ทัน)
     หยางเค่อ  : เดี๋ยวก่อนสิจะรีบหนีไปไหน! ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอกน่า อย่ากลัวข้า
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้กลัว แต่ข้าไม่รู้
     หยางเค่อ  : แล้วจะหนีข้าทำไม?!
             มี่จื่อ  : เพราะข้ามีคดีติดตัวเยอะแล้ว ข้าไม่อยากถูกเพิ่มคดีสมคบคิดขโมยกับท่านอีก ข้ารับโทษเพิ่มอีกไม่ไหว ครั้งที่แล้วข้าช่วยปล่อยท่านหนี จนตอนนี้ข้ายังถูกท่านหลี่จวินเพ่งเล็งข้าอีก ต่อไปอย่ามาหาข้าอีกนะ
     หยางเค่อ  : เจ้าบอกข้ามาก่อนสิแผนที่นั่นคือแผนที่อะไร
             มี่จื่อ  : ก็บอกว่าไม่รู้!

          ขณะนั้นฉันรู้สึกแปลกๆเหมือนมีอีกความคิดหนึ่งเกิดขึ้นอยู่ในหัวจนรู้สึกสับสน คล้ายมีคนกำลังพูดอยู่ในหัวของฉัน เสียงในหัวถามคำถามหนึ่งอยู่ตลอดเวลาว่า "เป็นแผนที่อะไร?" แล้วมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคา คาดเดาว่าคงมากับหยางเค่อ เขาเป็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปกติสีดำทึมๆ แต่กลับดูพิลึกขัดสายตาคือเขาคล้องสร้อยประคำเส้นโตเม็ดเขื่องไว้ที่คอคล้ายพระแต่ไม่ใช่พระ เขาจ้องมองฉันอย่างจริงจังไม่ละสายตา จนฉันอดที่จะคิดนินทาเขาในใจไม่ได้ว่า...

             มี่จื่อ  : .....คนอะไรคล้องสร้อยประคำอย่างกับพระแต่ไม่ใช่พระ แฟชั่นขัดตาขัดใจเหลือเกิน ไม่ได้ส่องกระจกก่อนออกจากบ้านหรือไงนะ เมียไม่ทักบ้างรึไงว่าแต่งตัวให้ดูดีต้องแต่งกันยังไง ตลกชะมัด! ถอดสร้อยออกจะดูดีกว่านี้เยอะ ..... (ฉันคิดนินทาเขาในใจ)
          เจิ้งไฉ  : เจ้าเด็กไร้มารยาท! คิดนินทาเรื่องการแต่งกายของข้า (เขาเงื้อมมือจะตบหน้าฉัน)
     หยางเค่อ  : อย่าทำร้ายมี่จื่อ! ตกลงกันแล้วไงห้ามทำร้ายนางเด็ดขาด (หยางเค่อจับมือชายแปลกหน้าไว้ไม่ให้ตบหน้าฉัน) เจ้าอ่านความคิดนางเร็วๆเข้าเถอะ ก่อนที่ใครจะมาเห็น
          เจิ้งไฉ  : ชิ! ข้ารู้แล้ว! มันคือแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ หุบเขานั่นมันมีอยู่จริง
              มี่จื่อ  : เฮ่ย!!! รู้ความคิดข้าได้ยังไง?!
           เจิ้งไฉ  : ความคิดของเจ้าบางครั้งแปลกประหลาดดูสับสนยิ่งนักจนยากจะควบคุม แต่มีพลังแฝงบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
      หยางเค่อ  : มี่จื่อ เจ้ารู้ทางไปหุบเขาจันทร์ดับใช่มั้ย?
              มี่จื่อ  : ไม่ ข้าไม่รู้
           เจิ้งไฉ  : นางไม่รู้ (เจิ้งไฉอ่านความคิดฉันแล้วหันไปบอกหยางเค่อ)

          ทันไดนั้นก็ได้ยินเสียงลี่ถังกับฟูหลิวร้องเรียกฉัน เพราะเห็นหยางเค่อกับเจิ้งไฉยืนอยู่กับฉัน ลี่ถังจึงรีบวิ่งเข้ามาหาเพื่อจะช่วยเหลือ หยางเค่อรีบหอมแก้มฉันหนึ่งฟอดแล้วพูดว่า "ข้าคิดถึงเจ้านะ" แล้วหยางเค่อก็กระโดดข้ามกำแพงหนีหายไปพร้อมกับเฉิ้งไฉทันที

           ฟูหลิว  : มี่จื่อ! เจ้าเป็นอะไรมั้ย พวกนั้นเป็นใคร มันทำร้ายเจ้าหรือเปล่า?
              ลี่ถัง  : พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่ แล้วเหยียนเหล่ยล่ะไปไหน ไม่อยู่รึ?!
             มี่จื่อ  : คุณชายไม่อยู่ พาคุณหนูเหมยหลินไปซื้อของที่ตลาด และข้าก็ไม่เป็นอะไรพวกนั้นไม่ได้ทำร้ายข้า แต่หยางเค่อรู้เรื่องแผนที่หุบเขาจันทร์ดับแล้ว มีคนหนึ่งที่อ่านความคิดข้าได้ คนที่มากับหยางเค่อสามารถอ่านความคิดข้าได้
             ลี่ถัง  : ถ้าข้าจำไม่ผิด คนๆนั้นคือเจิ้งไฉ ผู้ใช้วิชาอ่านใจคน เจิ้งไฉเป็นผู้สำเร็จวิชาอ่านใจคนและมีพรสวรรค์สามารถอ่านใจคนได้อย่างถูกต้องแม่นยำเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในหัวเราเลยล่ะ แสดงว่าหยางเค่อคงคอยตามเจ้าอยู่ถึงได้ให้เจิ้งไฉมาอ่านใจเจ้า แล้วเค้าถามอะไรเจ้าอีก?
             มี่จื่อ  : ถามถึงทางไปหุบเขาจันทร์ดับ แต่ข้าไม่รู้ทางไปจริงๆ พวกเขาจึงไม่ได้คำตอบ จะทำยังไงดีหยางเค่อรู้เรื่องแผนที่แล้ว
             ลี่ถัง  : ไม่เป็นไรนะ แผนที่นั่นอยู่กับท่านอ๋องหกแล้ว ท่านอ๋องนำไปเก็บไว้ในห้องลับที่ปลอดภัยแล้ว อีกอย่างหุบเขาจันทร์ดับมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลย ว่าแต่เจ้าเถอะเป็นอย่างไรบ้างเรื่อง...เหยียนเหล่ยกับเหมยหลิน
            มี่จื่อ  : ท่านเสนาบดีขั้นสองจะให้คุณชายหมั้นกับเหมยหลินเร็วๆนี้ และจะแต่งงานหลังกลับจากงานฉลองสำนักไป๋หู่
            ลี่ถัง  : เหยียนเหล่ยทำกับเจ้าแบบนี้ได้ยังไง มันไม่ถูกต้อง เพราะหลี่จวินได้รับเทียบเชิญงานหมั้น ข้าจึงมาหาเจ้าเพราะเรื่องนี้แหละ น่าโมโหนักอย่าไปยอมนะ เจ้ามาก่อนผู้หญิงคนนั้นอยู่ๆจะมาชุบมือเปิบได้ยังไง
            มี่จื่อ  : ท่านเสนาบดีขั้นสองไม่ยอมรับข้า เพราะข้าเป็นสาวใช้และเคยอยู่หอนางโลมมาก่อน แต่ช่างเถอะ! ข้าเข้าใจสถานะของข้าดี
            ลี่ถัง  : ข้าเห็นใจเจ้าจริงๆ เป็นข้าก็ทำใจไม่ได้หรอกหากคนที่ข้ารักไปแต่งงานกับหญิงอื่น แล้วต่อไปเจ้าจะทำยังไง
            มี่จื่อ  : ข้ามีความคิดว่าจะรีบหาตำรามังกรสายลมให้เจอโดยเร็วเมื่อฮ่องเต้อภัยโทษให้ข้าแล้ว จากนั้นข้าจะไปอาศัยอยู่กับพี่ชายและพี่สะไภ้นอกเมือง
             ลี่ถัง  : เจ้าทำใจไปจากเหยียนเหล่ยได้รึ?
             มี่จื่อ  : ไม่ได้ก็ต้องได้ (ฉันเริ่มมีน้ำตาซึม) เอ่อ...ข้าอยากไปที่หอกุ้ยฮวา ข้ออยากไปพูดคุยกับพี่หย่งหลุนและพี่ซูเจิน
             ลี่ถัง  : ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง
          ฟูหลิว  : ข้าจะไปเป็นเพื่อนด้วย
             ลี่ถัง  : ฟูหลิว เจ้าอยู่ที่นี่แหละ เหยียนเหล่ยกลับมาเจ้าจะได้บอกว่ามี่จื่ออยู่ที่ไหน เขาจะได้ไม่เป็นห่วง
             มี่จื่อ  : เขาไม่ห่วงหรอก (ฉันพูดประชดประชันด้วยความน้อยใจ) ไปกันเถอะ

          ฉันกับลี่ถังมาถึงหอกุ้ยฮวา เราเข้าไปนั่งดื่มเหล้าในห้องพักของซูเจิน พูดคุยปรับทุกข์กันตามประสาผู้หญิงที่เข้าอกเข้าใจกันดี ฉันดื่มเหล้าเข้าไปมากจนเริ่มเมาเดินไม่ไหว ตกดึกเหยียนเหล่ยยังไม่เห็นฉันกลับไปที่จวนจึงออกมาตามฉันที่หอกุ้ยฮวา ฉันจึงให้หย่งหลุนไปบอกเหยียนเหล่ยว่าจะไม่กลับไปกับเขา และจะนอนพักค้างคืนกับซูเจิน ลี่ถังจึงขอตัวกลับเพราะเมาเหล้าเช่นกัน แต่ก่อนกลับลี่ถังไปต่อว่าเหยียนเหล่ยที่ยอมหมั้นหมายกับเหมยหลิน และต่อว่าที่พาเหมยหลินไปเดินเที่ยวในตลาด ปล่อยให้ฉันอยู่ที่จวนโดยลำพังจนหยางเค่อบุกเข้ามาในจวนเข้าถึงตัวฉันได้ ลี่ถังยังพูดยั่วอารมณ์เหยียนเหล่ยให้โมโหว่าหยางเค่อขโมยหอมแก้มหนึ่งฟอด และหยางเค่อยังบอกอีกว่าคิดถึงฉันมากๆ ก่อนที่จะหลบหนีไป จากนั้นลี่ถังก็ขึ้นม้าขี่กลับบ้านด้วยอาการมึนเมา ทิ้งให้เหยียนเหล่ยยืนโมโหอยู่คนเดียวด้านล่าง

Wolf Totem : The HU
Youtube by : The HU
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 32
(มี่จื่อหนีออกจากจวน)

          เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆก็ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกของเถ้าแก่มาเคาะประตูอยู่หน้าห้องซูเจิน เสียงเถ้าแก่เคาะเรียกให้ซูเจินรีบเปิดประตูห้อง พบซือจิ้งกับเจ้าหน้าที่หน่วยสอบสวนอีกสองคนมายืนอยู่หน้าห้อง เถ้าแก่และเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนเข้ามายืนมองฉันที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ในห้อง เถ้าแก่ถามขึ้นว่า

         เถ้าแก่  : เจ้าเด็กแสบคนนี้ไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ คนจากหน่วยสอบสวนมาตามจับเจ้าน่ะ
            มี่จื่อ  : อ้าว...ซือจิ้งมาเที่ยวที่นี่ด้วยเหรอ ห้องนี้งดรับแขกต้องไปห้องอื่นแล้วล่ะ หรือจะมาดื่มด้วยกันกับข้าก็ได้ ลี่ถังเพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง (ฉันพูดด้วยอาการมึนเมา)
           ซือจิ้ง  : พาตัวนางไป! (เจ้าหน้าที่อีกสองคนเข้ามาจับฉันให้ลุกขึ้นและจะพาตัวฉันออกไป)
            มี่จื่อ  : เดี๋ยวๆ มาจับข้าทำไมเนี่ย จะพาข้าไปไหน ข้าทำอะไรผิด?!
           ซูเจิน  : นั่นสิ! เกิดอะไรขึ้น?
          ซือจิ้ง  : คุณชายเหยียนเหล่ยแจ้งความให้มาจับตัวเจ้านักโทษหลบหนีคดีลักขโมยและทุบทำลายของโบราณที่จวนฮุ่ยเฉิงและฉีกทำลายภาพเขียนภู่กันของฮ่องเต้
         เถ้าแก่  : อุ๊ยตาย! เจ้านี่มันเด็กเปรตของแท้ ถึงขั้นฉีกทำลายภาพเขียนภู่กันของฮ่องเต้เชียวรึ อย่างนี้ใครจะกล้าออกหน้าไปช่วยไถ่ตัวเจ้าออกจากคุกกันได้เล่า!
            มี่จื่อ  : ข้าแค่มาดื่มเหล้าที่นี่ หนีคดีที่ไหนกัน เหยียนเหล่ยเขาบ้าหรือไงถึงกับแจ้งจับข้าไปขังคุก บ้าไปแล้วแน่ๆ!
          ซือจิ้ง  : ข้าทำตามหน้าที่ อย่าโกรธเคืองข้าเลย เอาล่ะ! พาตัวนางไป อ้อ...ส่วนคนอื่นๆไม่ต้องตามไป ดึกแล้วห้ามเยี่ยมห้ามไถ่ตัว
            มี่จื่อ  : ...เอาจริงหรือเนี่ย?!

          ฉันถูกเจ้าหน้าที่สองคนหิ้วปีกไปขังคุกที่หน่วยสอบสวน ฉันร้องโวยวายลั่นคุกอยู่สักพักก็ไม่มีใครสนใจ มีเพียงซือจิ้งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆห้องที่ฉันถูกขัง เขาบอกว่าจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนฉันคืนนี้และบอกให้ฉันหยุดโวยวายและนอนได้แล้ว ฉันจึงล้มตัวลงนอนเพราะเมาเหล้า แล้วคิดว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว นอนหลับให้สร่างเมาเสียก่อน พรุ่งนี้หย่งหลุนกับซูเจินคงมาไถ่ตัวฉันออกไป ช่วงกลางดึกฉันรู้สึกหลับๆตื่นๆได้ยินเสียงเหยียนเหล่ยพูดคุยกับซือจิ้งว่าให้ซือจิ้งกลับไปนอนพักผ่อน เขาจะอยู่คอยดูฉันเอง แต่ฉันไม่ได้ลุกขึ้นลืมตามามองว่าใช่เหยียนเหล่ยจริงหรือไม่แล้วนอนหลับต่อไปจนกระทั่งเช้า ฉันได้ยินเสียงลี่ถังมาปลุกมาให้ฉันตื่น ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาเห็นลี่ถังกำลังนั่งมองฉันอยู่นอกลูกกรง และเห็นเหยียนเหล่ยกับหลี่จวินนั่งอยู่ที่โต๊ะ เหยียนเหล่ยยกน้ำชาขึ้นดื่มด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามบุคลิกของเขา แล้วหันมามองฉันด้วยสายตาเย็นชา ลี่ถังขยับจับลูกกรงแล้วพูดกับฉันว่า

             ลี่ถัง  : ข้าเพิ่งรู้ว่าเมื่อคืนเจ้าถูกพามาที่นี่ ไม่ยังงั้นเมื่อคืนข้าก็มาช่วยเจ้าแล้ว เจ้าเป็นยังไงบ้าง
             มี่จื่อ  : ข้าปวดตัวไปหมดเลย เขาจับข้ามาขังไว้ที่นี่เมื่อคืน เขากล่าวหาว่าข้าหนีคดี เขาบ้าไปแล้ว! ลี่ถังปล่อยข้าออกไปที
             ลี่ถัง  : นี่! ทำกันเกินไปแล้วนะแบบนี้น่ะ ทำไมต้องจับนางมาขังไว้ด้วยเล่า รีบปล่อยมี่จื่อออกมาเดี๋ยวนี้!
        หลี่จวิน  : ลี่ถังเราออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ ปล่อยให้เขาสองคนตกลงกันเอง
            ลี่ถัง  : แต่เขารับหมั้นกับผู้หญิงคนอื่น แล้วนี่ยังจับมี่จื่อมาขังคุกอีก ทำกันเกินไปแล้ว!
       หลี่จวิน  : เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว ข้าก็เห็นใจและเข้าใจทั้งสองฝ่าย เราปล่อยให้เขาสองคนตกลงกันเองเถอะน่า เราออกไปรอข้างนอก (หลี่จวินดึงลี่ถังออกไปข้างนอกปล่อยให้ฉันอยู่กับเหยียนเหล่ยสองคน)
            มี่จื่อ  : ปล่อยข้าออกไปนะ จับข้ามาขังคุกทำไม ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด
เหยียนเหล่ย  : ไม่ได้ทำอะไรผิดงั้นรึ?! เจ้าสัญญากับข้าว่าจะไม่ไปจากข้า แต่เมื่อคืนเจ้าทิ้งข้าไปอยู่ที่หอกุ้ยฮวา ข้าไปตามเจ้ากลับแต่เจ้าไม่ยอมกลับ มิหนำซ้ำเจ้ายังปล่อยให้เจ้าหยางเค่อหอมแก้ม! เจ้าทำกับข้าแบบนี้ได้ยังไงกัน?! (เหยียนเหล่ยลุกเดินมาพูดคุยกับฉันด้วยความโมโห)
             มี่จื่อ  : ทีท่านล่ะ! รับหมั้นกับคุณหนูเหมยหลินง่ายดาย พากันออกไปเที่ยวตลาดหน้าระรื่น จนหยางเค่อพาคนบุกเข้ามาในจวน ท่านไม่ได้อยู่ปกป้องข้า ยังจะมาโทษว่าข้าผิดอีกเรอะ?! ท่านใช้อำนาจมารังแกใส่ความข้า ข้าจะไม่กลับไปให้ท่านรังแกข้าอีกแล้ว!
เหยียนเหล่ย  : ฮึ! ยังคิดจะเถียงอีก เจ้ายังไม่สำนึกสินะ งั้นอยู่ในนี้ต่อไปจนกว่าจะสำนึกได้
             มี่จื่อ  : ปล่อยข้าออกไป!

          เหยียนเหล่ยเดินกลับไปนั่งดื่มน้ำชาที่โต๊ะตามเดิมโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของฉัน จนกระทั่งฉันอ่อนแรงหยุดร้องโวยวายเพราะหิวข้าวหิวน้ำ ไม่นานนักมีเจ้าหน้าที่นำอาหารเช้าเข้ามา แต่เหยียนเหล่ยบอกเจ้าหน้าที่ว่าให้วางอาหารไว้บนโต๊ะไม่ต้องให้ฉันกินจนกว่าฉันจะยอมสำนึกผิด ฉันจึงทำท่าทางเพิกเฉยไม่สนใจแล้วนั่งหันหลังพิงลูกกรงเงียบๆ เหยียนเหล่ยจึงยกถ้วยข้าวที่มีกับข้าวโปะอยู่ด้านบนข้าว เดินถือมานั่งหน้าลูกกรงใกล้กับที่ฉันนั่งอยู่ แล้วคีบข้าวในถ้วยกินหนึ่งคำเพื่อยั่วให้ฉันหิวมากขึ้น แต่ฉันยังคงแกล้งไม่สนใจเขา

เหยียนเหล่ย  : หิวใช่มั้ยล่ะ แค่เจ้ายอมสำนึกผิดข้าจะให้เจ้าได้กินข้าวกินน้ำ และจะปล่อยเจ้าออกมา
             มี่จื่อ  : ได้ ข้ายอมรับผิดเองก็ได้ ข้าสำนึกผิดแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ
เหยียนเหล่ย  : พูดมา! ว่าจะไม่หนีข้าไปไหนอีก
            มี่จื่อ  : อืม! ข้าจะไม่หนี แต่ข้าจะกลับไปอยู่ที่หอกุ้ยฮวา หากมีงานท่านก็ให้คนมาตามข้า ข้าจะไปทำงานให้
เหยียนเหล่ย  : งั้นเจ้าก็เน่าตายอยู่ในคุกต่อไปเถอะ!
             มี่จื่อ  : เดี๋ยวๆ! ตกลงๆ! ข้ายอมแล้วข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะกลับไปกับท่าน
เหยียนเหล่ย  : ดี รู้ตัวเองผิดก็ดีแล้ว ต่อไปห้ามหนีข้าไปไหนอีก เข้าใจมั้ย?!
            มี่จื่อ  : เข้าใจแล้ว ปล่อยข้าออกไปเถอะ
เหยียนเหล่ย  : กุญแจอยู่ที่หลี่จวิน รอให้หลี่จวินมาไขกุญแจประตูให้ ตอนนี้เจ้ากินข้าวรอไปก่อน อ้าปากข้าจะป้อน
             มี่จื่อ  : ส่งถ้วยข้าวมาเดี๋ยวข้ากินเอง
เหยียนเหล่ย  : อ้าปาก!

          เหยียนเหล่ยบอกให้ฉันอ้าปากเพื่อป้อนข้าวให้ฉันกิน ฉันจึงต้องยอมตามใจเพื่อให้เขายอมปล่อยฉันออกจากห้องขัง ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเหยียนเหล่ยที่ดูมาดนิ่งๆ เวลาโมโหเขาจะบ้าได้ถึงขั้นไปแจ้งหน่วยสอบสวนให้ไปตามจับฉันมาขังคุก เหยียนเหล่ยมองหน้าฉันแล้วเอ่ยขอโทษที่เขาปล่อยให้ฉันอยู่ที่จวนคนเดียว จนหยางเค่อบุกเข้าจวนถึงตัวฉันได้ และเขาเองก็รู้สึกโกรธตัวเองเช่นกันที่ไม่ได้อยู่กับฉันด้วยในตอนนั้น และที่เขาให้คนจับฉันมาขังคุกเพราะโมโหที่ฉันทิ้งเขาไปอยู่ที่หอกุ้ยฮวา

          สักพักใหญ่ๆฉันกินอาหารเช้าที่เหยียนเหล่ยป้อนจนอิ่ม หลี่จวินและลี่ถังก็เดินกลับเข้ามาไขกุญแจประตูห้องขังให้ฉันออกมา หลี่จวินบ่นฉันว่า...

        หลี่จวิน  : อย่าหนีเที่ยวอีก มันเดือดร้อนต้องให้คนที่หน่วยสอบสวนไปตามจับเจ้ามาขังคุก
             มี่จื่อ  : ข้าแค่ไปดื่มเหล้าที่หอกุ้ยฮวา
        หลี่จวิน  : เจ้ายังมีคดีเก่าติดตัว และยังอยู่ในความดูแลของเหยียนเหล่ย จะไปไหนมาไหนต้องให้เขารับรู้และยินยอมอนุญาตก่อนเข้าใจมั้ย ไม่งั้นเจ้าอาจต้องกลับมานอนที่นี่อีกรอบ ทะเลาะกันง๊องแง๊งแบบนี้บ่อยๆมันเปลืองข้าวที่นี่รู้มั้ย
             มี่จื่อ  : ...อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันน๊า มีที่นอน มีคนคอยเฝ้า มีข้าว มีน้ำให้กินครบสามมื้อ แถมไม่ต้องทำงานด้วย
        หลี่จวิน  : เจ้านี่มันความคิดไร้สำนึกผิดจริงๆ
เหยียนเหล่ย  : กลับกันได้แล้ว ข้าง่วงนอนไม่ได้นอนทั้งคืน (เหยียนเหล่ยเร่งให้ฉันกลับจวนไปกับเขา)
             มี่จื่อ  : ข้าขอลากลับก่อน แล้วจะมาใช้บริการใหม่ (ฉันโค้งคำนับกล่าวลาทุกคนที่หน่วยสอบสวน)

          เวลาสายฉันเดินทางกลับมาถึงจวนฮุ่ยเฉิงกับเหยียนเหล่ย เมื่อมาถึงจวนเหยียนเหล่ยดึงฉันให้ไปอาบน้ำด้วยกันกับเขาเพื่อให้ฉันขัดหลังให้ จากนั้นเขานำเสื้อผ้าชุดใหม่สีขาวมาให้ฉันสวมใส่ เขาบอกว่าเห็นชุดสวยดีเหมาะกับฉันจึงตั้งใจซื้อมาจากตลาดเมื่อวานนี้ ฉันจึงกล่าวขอบคุณเขา เมื่อแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย เหยียนเหล่ยเรียกให้ฉันไปนั่งรินน้ำชาและคอยบีบนวดให้เขา สักพักเหมยหลินที่ในมือเดินถือชามน้ำแกงกำลังเดินตรงเข้ามาที่จวนกับสาวใช้คนสนิท เหมยหลินบอกว่าเมื่อคืนไม่เห็นเหยียนเหล่ยกลับมานอนที่จวน จึงคิดว่าคงติดทำงานที่ข้างนอกจวน นางจึงต้มน้ำแกงใส่สมุนไพรมาให้ แล้วมองเหล่มาที่ฉันบอกด้วยสายตาว่าให้ฉันออกไปห่างๆอย่าอยู่เกะกะสายตา ฉันจึงขยับตัวจะถอยออกไป แต่เหยียนเหล่ยจับแขนฉันไว้ แล้วพูดขึ้นว่า...

เหยียนเหล่ย  : จะไปไหน ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าหยุดนวดสักหน่อย นวดต่อ!
             มี่จื่อ  : เจ้านายพูดคุยกัน ข้านั่งอยู่กลัวจะเสียมารยาท
เหยียนเหล่ย  : ข้าสั่งให้เจ้านวดต่อ!
    เหมยหลิน  : เอ่อ...ข้าช่วยนวดให้ได้ ยามท่านพ่อปวดเมื่อยข้านวดให้ท่านพ่อบ่อยๆ
เหยียนเหล่ย  : ขอบคุณ คุณหนูเหมยหลิน แต่มี่จื่อจะนวดให้ข้าเอง
             มี่จื่อ  : งั้นข้าจะไปยกขนมมาให้กินกับน้ำชา (ฉันลุกขึ้นไปในครัวเพื่อจัดขนมมาให้)
    เหมยหลิน  : เอ๊ะ! ชุดนั่นที่นางใส่!
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ข้าซื้อมาเมื่อวานที่ตลาด ซื้อให้มี่จื่อใส่ มีอะไรรึ?
    เหมยหลิน  : มะ ไม่มีอะไร ชุดนั่นสวยดี
เหยียนเหล่ย  : ใช่ สวย สวยมากสีขาวเหมาะกับมี่จื่อ และสีขาวเป็นสีที่ข้าชอบที่สุด
    เหมยหลิน  : ข้าไม่รบกวนแล้ว ท่านอย่าลืมกินน้ำแกงกำลังร้อนๆ

          เหมยหลินเดินหน้าหงิกออกไปจากจวนโดยมี อิงเถา สาวใช้คนสนิทเดินตามอยู่ไม่ห่าง อิงเถาสาวใช้ถามเหมยหลินถึงชุดสีขาวที่ฉันสวมใส่ว่าใช่ชุดที่เหยียนเหล่ยซื้อจากร้านขายเสื้อผ้าชื่อดังในตลาดหรือไม่ เหตุใดฉันถึงสวมใส่เสื้อผ้าชุดนั้น

    เหมยหลิน  : ใช่! ชุดนั่นที่นังเด็กสาวใช้สวมใส่ เหยียนเหล่ยซื้อจากร้านนั่นข้าจำได้ ข้าคิดว่าเขาจะซื้อให้ข้าใส่เสียอีก ไม่คิดว่าเขาจะให้นังเด็กสาวใช้นั่นใส่!
          อิงเถา  : คุณหนู... จะให้ข้าไปตบสั่งสอนนังเด็กไม่เจียมตัวนั่นมั้ย ที่บังอาจมาแย่งเสื้อผ้าชุดนั้นของคุณหนูไป จะให้ข้าไปเอาชุดนั้นกลับมา หรือจะให้ทำชุดสวยๆนั่นกลายเป็นผ้าขี้ริ้วดีเจ้าคะ?
    เหมยหลิน  : อย่าเพิ่งใจร้อน รอให้ข้าหมั้นหมายกับคุณชายเหยียนเหล่ยเสียก่อน ข้าไม่ปล่อยนางไว้ให้อยู่รกหูรกตาข้าแน่ อิงเถา...เรื่องคุณชายหยางเค่อที่ให้ไปสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง
          อิงเถา  : ข้ารู้มาว่าคุณชายหยางเค่อมักจะไปพบเศรษฐีเฉาที่บ้าน ข้าจะไปดักรอแล้วนัดวันกับเขาให้มาพบคุณหนูเจ้าค่ะ
    เหมยหลิน  : ดี คอยดูนะ! นังเด็กนั่นมาจากที่ไหน ข้าจะส่งนางกลับไปที่เดิม

          เหยียนเหล่ยส่งชามน้ำแกงที่เหมยหลินปรุงมาให้ เขาเลื่อนมาตรงหน้าฉันแล้วบอกให้ฉันกิน แต่ฉันบอกเขาด้วยอาการแง่งอนว่าฉันไม่อยากกิน เหยียนเหล่ยจึงบอกให้ฉันเข้าครัวปรุงอาหารเขาอยากกินอาหารที่ฉันปรุง ฉันจึงบอกเขาว่าฉันทำอาหารไม่เก่งและจุดเตาฟืนไม่เป็น เหยียนเหล่ยจึงพาฉันเข้าครัวและช่วยจุดเตาฟืนให้ ฉันจึงแกล้งนำเขม่าดำมาทาแต้มไฝบนริมฝีปากเหยียนเหล่ยเป็นที่ตลกขบขัน จากนั้นเหยียนเหล่ยจึงอยู่ช่วยฉันทำอาหารง่ายๆคือไข่เจียว และปลาทอด แต่เพราะไฟในเตาแรงเกินไปไข่เจียวจึงไหม้ดำ แต่โชคดีที่ปลาทอดยังพอกินได้ เราจึงกินปลาทอดเป็นอาหารมื้อนั้น

          หลังกินอาหารเสร็จสักพักใหญ่ๆ เหยียนเหล่ยชวนฉันไปนอนพักผ่อนด้วยกันในห้อง ฉันยอมตามเขาไปแต่โดยดี ฉันนอนลงบนเตียงหนุนแขนและโอบกอดลูบแก้มเขาแผ่วเบา เหยียนเหล่ยจูบลงบนหน้าผากแล้วเลื่อนลงมาจูบริมฝีปากสอดใส่ลิ้นกวัดแกว่งไปทั่วในปากฉัน เราช่วยกันถอดเสื้อผ้าของกันและกันออกจนร่างกายเปลือยเปล่า จากนั้นฉันลุกขึ้นนั่งคร่อมบนตัวเหยียนเหล่ยจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาแล้วโยกก้น เด้งก้นขึ้นลงจนเสียวร้อง "อ๊าาา อ๊าาา" เหยียนเหล่ยเด้งก้นช่วยกระแทกกระทั้นจนฉันเสร็จเกร็งตัวไปก่อนเขา เหยียนเหล่ยจึงพลิกตัวขึ้นจับฉันนอนหงายแล้วกระแทกแท่งเนื้อแข็งรัวเร็วจนเขาเสร็จปล่อยน้ำอุ่นๆออกมา แล้วโถมตัวกอดซบกับหน้าอกฉันเพื่อพักเหนื่อยครู่หนึ่ง แล้วขยับตัวลงนอนข้างๆกอดฉันไว้ในอ้อมแขน จนเรานอนหลับไปพร้อมกันเพราะความง่วง

          จนเวลาผ่านไปสองวัน เหยียนเหล่ยก็เข้าพิธีหมั้นหมายกับเหมยหลิน ส่วนฉันต้องเก็บตัวอยู่ในจวนฮุ่ยเฉิงตามคำสั่งของเหยียนเหล่ยที่ไม่ยอมให้ฉันออกมาเดินเล่นข้างนอกห้องช่วงที่เขาไม่อยู่ เพราะกลัวว่าหยางเค่อจะแอบมาพบกับฉันอีก
หมายเหตุ

*อิงเถา แปลว่า เชอร์รี่

*เจิ้งไฉ  แปลว่า ตำรวจ และพรสวรรค์

Kdrew - Yesterday


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 33
(เหยียนเหล่ยเข้าพิธีหมั้นหมาย)
          
          วันนี้มีผู้คนจำนวนมากมาร่วมแสดงความยินดีกับการหมั้นหมายของเหยียนเหล่ยกับเหมยหลิน รวมทั้งท่านอ๋องหก และหลี่จวินก็มาร่วมงานนี้ด้วย ลี่ถังเดินมาหาฉันที่จวนฮุ่ยเฉิง บอกว่าไม่ได้มาแสดงความยินดีกับการหมั้นหมาย แต่มาอยู่เป็นเพื่อนและอยากอยู่ปลอบใจฉันมากกว่า นางยังคงเป็นเพื่อนฉันและไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้ แต่ก็ยากจะยับยั้งไว้ได้เพราะท่านเสนาบดีขั้นสองเป็นคนจัดการทั้งหมด ลี่ถังยังเล่าอีกว่าท่านเสนาบดีเคยข่มขู่เหยียนเหล่ยหากไม่ยินยอมหมั้นหมายท่านเสนาบดีขู่จะฆ่าตัวตาย เหยียนเหล่ยจึงจำใจต้องยอมทำตาม และหลังจากแต่งงานกับเหมยหลินแล้ว เหยียนเหล่ยจึงจะแต่งงานกับฉันให้ฉันเป็นภรรยารองของเขาให้เร็วที่สุด

              มี่จื่อ  : จะแต่งข้าเป็นภรรยารองงั้นรึ ได้ฟังแล้วข้าไม่รู้สึกภูมิใจเลยสักนิด
              ลี่ถัง  : แต่ข้ารู้สึกได้ว่าเหยียนเหล่ยรักเจ้ามากเลยนะ เขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่การกระทำของเขาชัดเจนว่าเขารักเจ้า แต่น่าเสียดายที่พี่ชายของเขาไม่ยอมรับ จึงเกิดเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ แต่ข้ายอมรับนับถือเจ้าเลยนะ ในสถานการณ์แบบนี้เจ้าเข้มแข็งมากสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี หากเป็นข้าคงอาระวาดบ้านแตกไปแล้ว
              มี่จื่อ  : เพราะเจ็บกว่านี้ข้าก็เคยเจอมาแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ที่บ้านเก่า ข้าเคยเจอคนที่ข้ารักพากิ๊กมานอนในห้อง ข้าเปิดประตูเข้าไปเห็นพอดี
              ลี่ถัง  : กิ๊ก??? คืออะไร?
              มี่จื่อ  : ก็คือ...หญิงชู้ คนรักของข้าแอบพาหญิงอื่นมานอนในห้อง เราจึงเลิกรากันไปแบบถาวร
              ลี่ถัง  : ไม่อยากจะเชื่อ เจ้าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วย อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ
              มี่จื่อ  : สำหรับข้า ขอเพียงแค่คนที่ข้ารัก รักข้าเพียงคนเดียวและซื่อสัตย์ต่อข้าไม่ทอดทิ้ง เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว ความรักขึ้นอยู่กับคนสองคนเท่านั้นหากมีใจมั่นคงแน่วแน่ต่อกันเข้าใจกันและกัน แค่ปลูกกระท่อมหลังเล็กๆอยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว แต่หากคนสองคนมีความรักเพียงฉาบฉวยหรือแค่ลุ่มหลงต่อกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ต่อให้จัดพิธีแต่งงานใหญ่โตเพียงใด แขกเหรื่อมาร่วมอวยพร มียศฐาบรรดาศักดิ์ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็มิอาจรั้งให้ความรักยืนยาวมีความสุขได้
              ลี่ถัง  : เจ้าพูดมาเหมือนคนใช้ชีวิตโชกโชนมานานเลยนะ แต่ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ตามความเป็นจริงแล้วพ่อ-แม่ ก็อยากให้บุตร-หลาน ได้อยู่ในตระกูลใหญ่โตเพื่อเป็นหน้าเป็นตานั่นแหละ
              มี่จื่อ  : อืม...ข้าเข้าใจ ท่านเสนาบดีก็คงคิดแบบนั้น คงอยากเห็นคุณชายเหยียนเหล่ยได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสม

          หลังเสร็จพิธีหมั้นหมายเหยียนเหล่ย อ๋องหก และหลี่จวินกำลังเดินเข้ามาที่จวนฮุ่ยเฉิง เห็นฉันกับลี่ถังกำลังนั่งดื่มน้ำชาและพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ฉันจึงลุกขึ้นไปจัดเตรียมน้ำชาให้พวกเขาดื่ม

              ลี่ถัง  : พวกท่านไม่ได้อยู่กินเลี้ยงหลังพิธีหมั้นกันรึ?
         หลี่จวิน  : ไม่หรอก ข้ากับท่านอ๋องมาร่วมพิธีเพราะเหยียนเหล่ยเป็นเพื่อนสนิทของเรา ใช่ว่าข้ากับท่านอ๋องจะเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย เหยียนเหล่ยรักใครอยู่พวกเรารู้กันดี แต่เอาเถอะ! ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วยกเหล้ามาดื่มกันสักหน่อยก็ดี ตอนอยู่ในพิธีข้าอึดอัดจะแย่ นี่! สาวใช้ไปยกเหล้ามาสิ! (หลี่จวินหันมาเรียกฉันด้วยน้ำเสียงยียวน)
         อ๋องหก  : ถ้ามี่จื่อได้เป็นฮูหยินน้อยเมื่อไหร่ เจ้าจะเรียกใช้นางแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ
         หลี่จวิน  : นั่นสิ! แล้วใครจะช่วยกระหม่อมคัดลอกแผนผังล่ะ ลายเส้นของนางถูกต้องคมชัดดีจริงๆ
              มี่จื่อ  : ข้ายังช่วยคัดลอกแผนผังให้ได้ แต่คิดเงินค่าทำงานด้วย
         หลี่จวิน  : เจ้านี่! สารพัดหาวิธีไถเงินข้า
         อ๋องหก  : ฮ่าฮ่า เออนี่! มี่จื่อขอบใจเจ้ามากที่วันนั้นเจ้าแนะนำและเขียนแบบกังหันลมไปให้ข้า ข้าบอกและมอบแบบกังหันลมนั่นให้อาคันตุกะที่มาดูวิธีสร้างทางเดินน้ำ พวกเขานำแบบกังหันลมไปศึกษาวิธีสร้างต่อจนสำเร็จ และก่อสร้างกังหันลมไว้ใช้งานได้ดีมาก พวกเขาส่งจดหมายและของบรรณาการมาให้เป็นการขอบคุณ ทำให้เรามีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันแน่นแฟ้นขึ้น ขอบใจเจ้ามากๆมี่จื่อ
         หลี่จวิน  : พวกเขาเก่งกันมากๆเลยนะ แค่ดูรูปวาดกังหันลมที่เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบวาด ก็สามารถเข้าใจและนำไปสร้างให้ใช้งานได้จริง พวกเขาสามารถเข้าใจกันได้ยังไงนะ ข้า งง จริงๆ
เหยียนเหล่ย  : ดีล่ะ! พวกท่านอยู่กันพร้อมหน้ากันที่นี่งั้นช่วยเป็นพยานการหมั้นหมายให้ข้ากับมี่จื่อด้วย
        หลี่จวิน  : นี่เจ้าจะหมั้นหมายพร้อมกันทั้งสองคนในวันเดียวกันเลยรึ?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าสวมกำไลข้อมือหมั้นหมายกับมี่จื่อไว้ก่อนแล้วแต่ยังไม่มีพยาน วันนี้ข้าอยากให้พวกท่านเป็นพยานให้ข้า
        อ๋องหก  : ได้! แม้จะไม่ถูกต้องตามประเพณีนัก แต่ข้าเห็นใจและเข้าใจเจ้า ที่เจ้ากับมี่จื่อรักใคร่กันมาก่อน ดังนั้นข้าจะเป็นพยานการหมั้นหมายของเจ้ากับมี่จื่อให้
        หลี่จวิน  : ในเมื่อท่านอ๋องหกยินดีเป็นพยานให้แบบนี้ มีหรือที่ข้าจะปฏิเสธการเป็นพยานหมั้นหมายให้เพื่อนรักของข้า
            ลี่ถัง  : ต้องอย่างนี้สิ ดีจริงๆ ข้ามองไว้ไม่ผิด เหยียนเหล่ยรักมี่จื่อมากจริงๆ ข้าจะรีบไปตามมี่จื่อในครัว

          ฟูหลิวกำลังช่วยฉันเตรียมเหล้า และเตรียมของแกล้มอยู่ในครัว ลี่ถังเข้ามาเร่งฉันและช่วยยกของแกล้มออกมาพร้อมกัน ลี่ถังบอกให้ฉันนั่งลงข้างๆเหยียนเหล่ย แล้วยกน้ำชาให้ท่านอ๋องดื่ม จากนั้นให้หันมาเคารพกันและกัน จนฉันเกิดอาการ งง ว่าให้ฉันกับเหยียนเหล่ยทำแบบนี้ทำไม จากนั้นเหยียนเหล่ยหยิบแหวนหยกสีเขียวสวยสดคาดทองเข้าชุดกันกับกำไลข้อมือที่ฉันสวมใส่ออกมาคู่หนึ่งส่งให้ฉันเก็บไว้ เหยียนเหล่ยบอกว่าเป็นการหมั้นหมายโดยมีท่านอ๋องและทุกคนในที่นี้เป็นพยานให้ ฉันรู้สึกเขินมากและดีใจที่เหยียนเหล่ยยังไม่ทอดทิ้งฉัน ฉันจึงหยิบแหวนมาใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง และหยิบแหวนอีกวงหนึ่งใส่นิ้วนางข้างขวาให้เหยียนเหล่ย ฉันบอกเขาว่าให้เราใส่ไว้เป็นคู่กันเหมือนแหวนสองวงนี้ แล้วโผกอดเขาด้วยความสุขใจ ทุกคนในที่นี้จึงยกเหล้าดื่มเป็นพยานให้กับเราทั้งคู่

          มีหลายครั้งที่ท่านเสนาบดีให้คนมาตามเหยียนเหล่ยไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในจวนเสนาบดี แต่เหยียนเหล่ยไม่ยอมไป และยังคงนั่งดื่มอยู่กับท่านอ๋อง หลี่จวิน และลี่ถังในจวนฮุ่ยเฉิงจนดึกถึงค่อยกลับ เหยียนเหล่ยเดินจูงมือฉันเข้าไปในห้อง เขาจับมือฉันขึ้นมาจูบ โอบกอดและหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ เขาบอกว่าค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยที่ฉันเข้าใจเขาสักที ฉันกอดและจูบเขาที่ริมฝีปาก มือฉันข้างหนึ่งเลื่อนลงไปลูบคลำที่แท่งเนื้อแข็งกำลังแข็งตัวสู้มือ เหยียนเหล่ยยิ้มและพูดว่า

เหยียนเหล่ย  : ข้ารักเจ้ามาก และข้าก็ขาดเจ้าไม่ได้รู้บ้างหรือไม่
             มี่จื่อ  : ข้ารู้ ข้าสัมผัสได้ (ฉันขยับมือลูบคลำแท่งเนื้อแข็งไปมา)
เหยียนเหล่ย  : เจ้ารู้วิธีจัดการความรักของข้า...อ้าาา ทำเลยสิ อย่ารอช้า

          ฉันจัดการถอดเสื้อผ้าเขาออกแล้วดูดเลียหัวนมของเหยียนเหล่ยจนแข็ง ค่อยๆย่อตัวเลื่อนลงมาจูบหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อแน่น ฉันจับแท่งเนื้อแข็งกำมือลูบไล้รูดขึ้นรูดลง แลบลิ้นเลียปลายแท่งเนื้อและดูดเข้าปาก ขยับปากดูดเข้าออกจนเหยียนเหล่ยเคลิบเคล้มเสียวร้องครางออกมาเบาๆ เขาเอื้อมมือสองข้างมาจับศรีษะฉัน เขาเด้งกันโยกขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกในปากฉันและดันจนลึกจนฉันหายใจแทบไม่ทัน เหยียนเหล่ยจับฉันให้ลุกขึ้นยืนแล้วจับฉันพลิกตัวกลับหันหลังโก้งโค้งมือสองข้างพิงกับผนังห้อง เขาดันแท่งเนื้อแข็งใส่เข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังขยับโยกช้าๆ แล้วเอื้อมมือมาทางด้านหน้าลูบคลำเนินหว่างขาแล้วแหย่นิ้วขยี้ปุ่มเสียว เขาเร่งจังหวะกระแทกแท่งเนื้อเร็วขึ้นจนมีน้ำอุ่นๆไหลออกมา ฉันพลิกตัวหันกลับมาจูบแล้วพาเขาไปนอนบนเตียง ขึ้นนั่งคร่อมทับบนตัวแล้วจับแท่งเนื้อแข็งถูไถกับเนินหว่างขาจนเปียกลื่นแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาค่อยๆดันจนสุดโคนแล้วขยับโยกเนินถูไถกับเนินของเขาจนเสียว จากนั้นฉันเริ่มขย่มแท่งเนื้แแข็งขึ้นลงเบาๆ เหยียนเหล่ยมองดูดอกท้อสีแดงสดปรากฏบนตัวฉันด้วยความตื่นตาแล้วเอื้อมมือสองข้างมาจับมือกับฉันเพื่อช่วยให้ฉันทรงตัวได้ แล้วจากนั้นฉันเริ่มขย่มแรงขึ้น เร็วขึ้น และเริ่มร้องครางเสียงดังขึ้น เหยียนเหล่ยจึงดึงตัวฉันลงไปกอดทั้งที่ฉันยังนั่งคร่อมแท่งนี้แข็งอยู่ เขาเอื้อมมือจับก้นฉันขยับขึ้นลง พร้อมกับเด้งแท่งเนื้อแข็งกระแทกรับ ฉันร้องครวญครางอยู่ข้างๆหูเขา ยิ่งฉันร้องครวญครางเขายิ่งกระแทกแรงขึ้น กอดรัดตัวฉันแน่นขึ้น แล้วกระแทกเร็วขึ้นอีกจนเราเกร็งตัวเสร็จไปพร้อมกัน "อ๊ากกกก"

          ฉันยังคงนอนคร่อมหมดแรงอยู่บนตัวเหยียนเหล่ยสักพักจึงขยับตัวลงนอนหนุนแขนข้างๆ เหยียนเหล่ยพลิกตัวมาหอมและกอดฉันแน่นด้วยความพึงพอใจ เขาพูดเบาๆว่าแค่นี้ยังไม่พอเพราะเขาต้องการแสดงความรักอีกครั้งหนึ่ง พูดจบเขาเริ่มจูบและบีบขยำหน้าอก และลูบคลำเนินหว่างขาแล้วแหย่นิ้วเข้าข้างในขยับเข้าออกจนเนินหว่างขาเปียกแฉะ จากนั้นเขาแยกขาฉันออกกว้างและก้มหน้าลงไปดูดเลียเนินหว่างขาจนได้ยินเสียงเขาดูดเลียดูเอร็ดอร่อยนัก จนฉันเสียวยกสะโพกแอ่นตัวบิดไปมา เขาดูดเลียจนพอใจ แล้วจับขาฉันยกขึ้นพาดบ่า ขาถูกยกให้สูงขึ้นและอ้าออกกว้างขึ้น เขาสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขากระแทกกระทั้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงเปลี่ยนท่าจับขาฉันสองข้างชิดกันวางพาดบ่าเขาข้างหนึ่งเด้งก้นกระแทก และจับฉันพลิกตัวนอนคว่ำยกก้นฉันให้สูงขึ้นกางขาออกแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังกระแทกแท่งแข็งเข้าออกแรงๆและเร็วอยู่ครู่หนึ่ง จนเขาร้อง "อ๊ากกก" ปล่อยน้ำสีขาวข้นออกมา เขาล้มตัวนอนหงายหมดแรงกอดฉันในอ้อมแขน แล้วเราก็นอนกอดกันหลับไป

No Reason : Ryan.B

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 34
(ทดสอบเหมยหลิน)

          เช้านี้เหยียนเหล่ยตื่นสายพร้อมกันกับฉัน เขาดูผ่อนคลายไม่เร่งรีบตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน เหยียนเหล่ยบอกว่าวันนี้ให้เป็นวันพักผ่อนหย่อนใจ ฉันจึงชักชวนเหยียนเหล่ยให้พาฉันไปไหว้พระที่วัดใกล้บ้าน หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ เหยียนเหล่ยพยักหน้าตกลง เราจึงลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าแล้วเดินออกมานั่งจิบน้ำชาด้วยกันที่หน้าจวน มองดูฟูหลิวรดน้ำพรวนดินต้นไม้และพูดคุยหยอกเย้ากันดุจคู่รัก และพูดคุยกันถึงการเตรียมตัวไปร่วมงานฉลองสำนักไป๋หู่

          ขณะเดียวกันเหมยหลินก็เดินหิ้วปิ่นโตอาหารเข้ามาที่จวนกับอิงเถาสาวใช้คนสนิทเหมือนเคย เหมยหลินดูมีสีหน้ายิ้มระรื่นเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์หงุดหงิดที่เหยียนเหล่ยไม่ยอมไว้หน้าไปร่วมฉลองงานเลี้ยงหมั้นหมายเมื่อคืน เหมยหลินวางปิ่นโตสองชั้นลงตรงหน้าเหยียนเหล่ย ฉันจึงขยับถอยออกมานั่งทางด้านหลังเหยียนเหล่ย และนั่งมองเหมยหลินเปิดฝาปิ่นโตออกและบอกว่า...


    เหมยหลิน  : นี่คือไก่อบสมุนไพร กับปลาสามรส เมื่อวานท่านคงเหนื่อย ข้าจึงปรุงอาหารมาให้ท่านกิน
เหยียนเหล่ย  : ขอบคุณ คุณหนูเหมยหลิน ไม่เห็นต้องลำบาก ไม่นานก็จะมีคนยกอาหารมาให้ข้า
   เหมยหลิน  : เรียกข้าเหมยหลินเถอะ เราสองคนหมั้นหมายกันแล้วไม่ใช่คนอื่นไกล อีกอย่างข้าเห็นว่าบางวันท่านต้องไปทำงานข้างนอกอาจจะเหนื่อย จึงปักผ้าเช็ดหน้ามาให้ท่านไว้ใช้ หวังว่าท่านจะรับไว้และใช้ผ้าเช็ดหน้านี้
เหยียนเหล่ย  : ขอบใจ (เหยียนเหล่ยรับผ้าเช็ดหน้าไว้แล้ววางไว้บนตักของตัวเอง)
    เหมยหลิน  : ทำไมเมื่อคืนท่านไม่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองงานหมั้นของเรา?
เหยียนเหล่ย  : เมื่อคืนท่านอ๋องหกเสด็จมาที่จวนฮุ่ยเฉิง ข้าจึงอยู่รับรองท่านอ๋องหกที่นี่ ขออภัยที่เมื่อคืนไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยง
    เหมยหลิน  : เอ๊ะ! ข้าเพิ่งสังเกตุเห็นแหวนหยกที่ท่านใส่สวยงามเหลือเกิน วันก่อนๆไม่เคยเห็นใส่แหวนหยก
เหยียนเหล่ย  : เป็นแหวนที่ข้าสั่งทำขึ้นมา หากเจ้าชอบข้าจะสั่งให้ช่างแกะสลักให้เจ้าวงหนึ่ง
   เหมยหลิน  : ข้าชอบ ของที่ได้รับจากท่าน ข้าล้วนชอบทั้งนั้น เอ่อ...เมื่อวานข้าได้ยินท่านเสนาบดีพูดถึงต้องไปงานฉลองสำนักไป๋หู่ ท่านเดินทางไปด้วยหรือไม่ ข้าติดตามไปด้วยได้หรือไม่?
เหยียนเหล่ย  : ข้าไปด้วย แต่ไปเป็นตัวแทนศิษย์ของสำนักเฟยอวี่ ต้องเป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่จึงจะติดตามข้าไปได้
    เหมยหลิน  : งั้นข้าจะไปขอร้องให้ท่านเสนาบดีพาข้าไปด้วย ข้าจะได้ตามไปดูแลท่านได้
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไร มี่จื่อจะไปกับข้าด้วย นางจะดูแลข้าเอง
   เหมยหลิน  : อะไร?! ข้าเป็นคู่หมั้นของท่านแต่ข้าไปกับท่านไม่ได้ แต่นาง!! นางเป็นเพียงสาวใช้ทำไมไปกับท่านได้ ไหนบอกว่าต้องเป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่จึงจะติดตามท่านไปได้
เหยียนเหล่ย  : ใช่! มี่จื่อไปได้เพราะมี่จื่อเป็นว่าที่ลูกศิษย์พิเศษของอาจารย์เฟยเทียนผู้เป็นเจ้าสำนักเฟยอวี่ และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ติดตามข้า เพื่อเตรียมพร้อมเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก
    เหมยหลิน  : นางเป็นแค่สาวใช้ เหตุใดจึงจะได้เป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่ล่ะ นางมีความสามารถใดกัน งั้นรับข้าเป็นศิษย์ด้วยสิ! ข้ามีทุกอย่าง ข้ามีความเพรียบพร้อมกว่านางทุกด้านทั้งชาติตระกูล ฐานะและความรู้สูงกว่านางมากนัก
เหยียนเหล่ย  : งั้นเจ้าลองไปเปิดประตูห้องทางด้านขวาออกสิ ถ้าเจ้าสามารถเปิดประตูออกได้ เจ้าก็มีสิทธิ์เข้าสำนักเฟยอวี่
    เหมยหลิน  : แค่เปิดประตูเองรึ ไม่เห็นจะยาก

          เหมยหลินเดินไปยืนที่หน้าประตูห้องทางด้านขวามือตามที่เหยียนเหล่ยบอก นางมองดูประตูที่ปิดไว้สนิทแต่ไม่ได้ถูกคล้องโซ่หรือใส่กุญแจแต่อย่างใด เหมยหลินจึงเอื้อมมือไปเลื่อนบานประตูเพื่อเปิดมันออก แต่บานประตูกลับไม่ขยับเปิดเลยแม้แต่น้อย เหมยหลินออกแรงขยับประตูมากขึ้นแต่บานประตูก็ยังคงปิดสนิทไม่ขยับเขยื้อนออกแต่อย่างใด จนนางเริ่มหงุดหงิดแล้วหันมาต่อว่าเหยียนเหล่ยว่า...

   เหมยหลิน  : บานประตูถูกลงกลอนสลักไว้ด้านในทำไมต้องกลั่นแกล้งให้ข้าเปิดประตูด้วย
เหยียนเหล่ย  : บานประตูไม่ได้ลงกลอนสลักแต่อย่างใด แต่บานประตูถูกปิดผนึกด้วยมนต์โบราณ เจ้ามองเห็นอักขระมนต์หรือไม่?
    เหมยหลิน  : ไม่เห็นมีอะไรเลย
เหยียนเหล่ย  : หากเจ้ามองไม่เห็นอักขระมนต์ เจ้าก็จะคลายมนต์ปิดผนึกประตูไม่ได้ เจ้าลองพูดคำว่า "ดอกท้อแดงเบ่งบานยามดอมดม" เป็นคำคลายมนต์ปิดผนึกประตู ดูสิว่าจะเปิดประตูได้หรือไม่
    เหมยหลิน  : "ดอกท้อแดงเบ่งบานยามดอมดม" (เหมยหลินพูดคำคลายผนึก แต่บานประตูยังไม่ขยับเปิดออกแต่ยังคงปิดสนิทตามเดิม) ข้าพูดแล้วแต่ประตูยังไม่เปิดออก ท่านโกหกข้า ท่านเห็นข้าเป็นตัวตลกงั้นรึ?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่ได้โกหก เพราะบานประตูจะเปิดออกเฉพาะผู้ที่มองเห็นอักขระมนต์ และพูดประโยคคลายมนต์ได้ถูกต้องเท่านั้น อ่ะ! มี่จื่อเจ้าไปเปิดประตูหน่อยซิ
            มี่จื่อ  : "ดอกท้อแดงเบ่งบานยามดอมดม" (ฉันเอื้อมมือขยับเปิดบานประตูออกได้ เปิดค้างไว้เพียงครู่หนึ่งแล้วรีบปิดบานประตูไว้ตามเดิม)
    เหมยหลิน  : เจ้ามองเห็นอักขระมนต์งั้นรึ?!
             มี่จื่อ  : ใช่!
          อิงเถา  : จะเป็นไปได้ยังไงที่สาวใช้ชั้นต่ำอย่างนางจะสามารถมองเห็นอักขระมนต์ แต่คุณหนูเหมยหลินกลับมองไม่เห็น นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ
    เหมยหลิน  : อิงเถา อย่าเสียมารยาท!
          อิงเถา  : ข้าขอโทษเจ้าค่ะคุณหนู
เหยียนเหล่ย  : อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียกมี่จื่อว่าสาวใช้ชั้นต่ำอีก เพราะสำหรับข้ามี่จื่อมีค่าและมีประโยชน์มากกว่าเจ้านัก ต่อไปเจ้าอย่าได้ย่างเท้าเข้ามาในจวนของข้าอีก ออกไป!
         อิงเถา  : ข้าขอโทษเจ้าค่ะๆๆ ข้าผิดไปแล้ว
   เหมยหลิน  : ข้าขอโทษแทนสาวใช้ของข้าด้วย เพราะอิงเถารักและห่วงใยข้ามากเมื่อนางเห็นความไม่ยุติธรรม นางจึงพลั้งปากพูดออกไป ข้าจะอบรมนางเอง
เหยียนเหล่ย  : เจ้าคิดว่าข้าไม่ยุติธรรมงั้นรึ งั้นเจ้าลองแก้มนต์กักขังนี่ดูซิ เจ้าจะแก้ได้มั้ย?!


          เหยียนเหล่ยทำมนต์กักขังแบบง่าย กักขังอิงเถาไว้ในนั้น ทำให้อิงเถาถูกขังแต่ไม่สามารถมีเสียงร้องตะโกนออกมาได้ อิงเถาพยายามส่งเสียกเรียกให้เหมยหลินช่วยแต่เหมยหลินก็ไม่สามารถช่วยได้และไม่ได้ยินเสียงเรียกนั้น เหมยหลินรู้สึกแปลกประหลาดใจมากเพราะสามารถมองเห็นอักขระมนต์ที่เหยียนเหล่ยทำขึ้นกักขังอิงเถาแต่กลับไม่ได้ยินเสียง แต่สามารถสัมผัสได้ถึงม่านพลังที่กั้นไว้ระหว่างนางกับอิงเถา เหมยหลินจึงหันมาถามเหยียนเหล่ยว่า...


    เหมยหลิน  : เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าแตะตัวอิงเถาไม่ได้ เสียงก็ไม่ได้ยิน และนี่คืออะไร?!
เหยียนเหล่ย  : ข้ากักขังนางไว้ในมนต์กักขังของข้า มนต์กักขังนั่นเป็นมนต์ง่ายๆขั้นพื้นฐานสำหรับพวกศิษย์เด็กๆใช้ฝึกสร้างและแก้มนต์กัน เหมยหลินเจ้าลองแก้มนต์นั่นเพื่อช่วยสาวใช้ของเจ้าออกมาสิ ข้าจะบอกคำใบ้ให้ว่ามีอักขระโบราณเพียงตัวเดียวที่แตกต่างจากอักขระโบราณตัวอื่น ข้าให้โอกาสเจ้าตอบได้สามครั้ง ถ้าเจ้าหาเจอข้าจะพาเจ้าไปงานฉลองสำนักไป๋หู่ด้วย


          เหมยหลินพยายามมองหาอักขระโบราณตามที่เหยียนเหล่ยบอกคำใบ้ นางมองหาอยู่เพียงครู่หนึ่งก็หันหน้ามาบอกเหยียนเหล่ยถึงอักขระตัวที่นางเจอ แต่คำตอบคือผิด นางจึงพยายามมองหาอักขระที่ถูกต้องใหม่อีกครั้ง แต่ทั้งสามครั้งคำตอบที่ได้ผิดทั้งหมด เหยียนเหล่ยจึงบอกให้ฉันเป็นผู้แก้มนต์นั่น ฉันจึงมองหาและบอกตัวอักขระโบราณคำแก้มนต์ที่ซ่อนอยู่จนมนต์กักขังหายวับไปในอากาศจนอิงเถาสามารถขยับและส่งเสียงได้ตามปกติ เหยียนเหล่ยจึงพูดกับเหมยหลินว่า...


เหยียนเหล่ย  : นี่เป็นเพียงมนต์กักขังระดับง่ายๆ ที่สายตาของเจ้าและคนทั่วไปสามารถมองเห็น แต่เจ้าก็ยังมองไม่เห็นอักขระคำแก้มนต์อยู่ดี ส่วนที่บานประตูนั่นข้าใช้มนต์ปิดผนึกขั้นสูงเพื่อป้องกันคนเข้าไปขโมยของในห้องนั้น แต่จะมีเพียงผู้ฝึกฝนมนต์ขั้นสูงและผู้ที่รู้ภาษาโบราณขั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นและอ่านมนต์ขั้นสูงออก และมี่จื่อก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางสามารถอ่านมนต์ขั้นสูงนั้นออก ในขณะที่เจ้ามองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่าผู้ใดสมควรได้ไปสำนักไป๋หู่กับข้าและใครเหมาะสมเป็นศิษย์สำนักเฟยอวี่ เอาล่ะ! เหมยหลินหากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ข้าจะกินอาหารเช้า
    เหมยหลิน  : ข้าเป็นคู่หมั้นหมายของท่าน แต่ท่านกลับไม่ไว้หน้าข้า ทำให้ข้าได้รับความอับอายต่อหน้าคนรับใช้ในจวน ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ข้าก็ได้ยินแต่คำนินทาที่พวกเด็กรับใช้นินทากันสนุกปาก เรื่องความสัมพันธ์เกินเลยของท่านกับสาวใช้มี่จื่อ
เหยียนเหล่ย  : ใช่แล้ว ที่เจ้าได้ยินมาถูกต้องแล้ว
    เหมยหลิน  : แต่ท่านหมั้นหมายกับข้าแล้ว!
เหยียนเหล่ย  : ข้าหมั้นหมายกับเจ้าเพราะเสนาบดีพี่ชายของข้าบังคับให้ข้ารับหมั้นหมายกับเจ้า แต่ข้าไม่ได้รักเจ้า เพราะหญิงที่ข้ารักคือมี่จื่อคนเดียวเท่านั้น
    เหมยหลิน  : แต่! นางเคยเป็นหญิงคณิกา นางเคยอยู่หอนางโลม นางผ่านมือชายมาแล้วไม่รู้กี่คน ใยท่านจึงไปลุ่มหลงงมงายกับนางอยู่ได้
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อยังไม่เคยผ่านมือชาย และข้าคือชายคนแรกของนาง เจ้าควรกลับไปได้แล้ว!


          เหยียนเหล่ยทำสีหน้าเฉยเมยไม่สนใจเหมยหลินที่กำลังหน้าเสียเพราะเหยียนเหล่ยยอมรับตามตรงว่าเขารักฉัน ทำให้นางรู้สึกเสียหน้าและโกรธมาก เหยียนเหล่ยจึงหันมาบอกให้ฉันรินน้ำชาและเตรียมตัวกินอาหารเช้า เขายังบอกอีกว่าช่วงสายๆจะพาฉันออกไปตลาดหาซื้อของใช้จำเป็นสำหรับการเดินทางไปงานฉลองของสำนักไป๋หู่

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 35
(ซื้อแหวนหยกให้เหมยหลิน)

          เหยียนเหล่ยจึงพาฉันออกไปที่ตลาดเดินหาซื้อของ เขาพาฉันเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่งเป็นร้านขนาดใหญ่ เจ้าของร้านรีบออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น

   
 เจ้าของร้าน  : คุณชาย, วันนี้ท่านสนใจเครื่องประดับแบบไหนขอรับ โอ๊ะ! นี่คงเป็นภรรยาของท่าน แหมหน้าตาน่ารัก จื้มลิ้ม เหมาะสมกันกับคุณชายเหลือเกิน ดีจังที่วันนี้ท่านพาภรรยามาเลือกเครื่องประดับด้วยกัน ท่านนี่รักภรรยาจริงๆ
เหยียนเหล่ย  : อื้ม! วันนี้ข้าอยากได้แหวนหยกสักวงหนึ่ง
 เจ้าของร้าน  : เอ๊ะ! ครั้งก่อนเพิ่งสั่งทำแหวนหยกคู่ไป ครั้งนี้สั่งทำอีกคู่หรือขอรับ?
เหยียนเหล่ย  : ไม่ แต่ข้าต้องการแหวนแค่วงเดียว
 เจ้าของร้าน  : ให้ภรรยาท่านสวมใส่รึ?
เหยียนเหล่ย  : เปล่า! ข้าซื้อฝากญาติ แกะสลักเป็นลวดลายอะไรก็ได้ที่ท่านเห็นว่าสวยงาม ข้าจะซื้อฝากญาติผู้หญิง
             มี่จื่อ  : ท่านสั่งทำแหวนให้เหมยหลินเหรอ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่ เพราะข้ารับปากนางไว้ว่าจะซื้อแหวนให้นางวงหนึ่ง เจ้าอย่าห่วงข้าไม่ได้คิดมีใจให้เหมยหลิน
             มี่จื่อ  : ซื้อแหวนให้ แล้วถ้านางคิดว่าท่านมีใจให้นางล่ะ?
เหยียนเหล่ย  : ก็แค่ของฝาก แค่แหวนวงเดียวไม่ใช่แหวนคู่เหมือนที่ข้ากับเจ้าใส่คู่กันสักหน่อย (เหยียนเหล่ยบีบจมูกหยอกเย้าฉัน)
 เจ้าของร้าน  : คุณชาย, วันนี้เพิ่งมีปิ่นปักผมลวดลายสวยงามมาใหม่ ท่านสนใจจะซื้อให้ฮูหยินน้อยปักผมสักชิ้นไหมขอรับ ปิ่นปักผมดูเหมาะกับฮูหยินน้อยมาก (เจ้าของร้านหยิบปิ่นปักผมออกมาให้เหยียนเหล่ยดู)
เหยียนเหล่ย  : ดีสวยงามมาก เหมาะกับฮูหยินของข้าจริงๆ ตกลงข้าซื้อปิ่นปักผมนี้ (เหยียนเหล่ยหยิบปิ่นมาปักผมให้ฉัน)
 เจ้าของร้าน  : เชิญท่านทั้งสองไปเดินเที่ยวกันก่อน อีกครึ่งชั่วยามค่อยกลับมารับแหวนขอรับ
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ เราไปวัดไหว้พระขอลูกชายกันเถอะ
             มี่จื่อ  : ท่านทำเองก็ได้ ไม่ต้องถึงมือพระเจ้าหรอก มา! เอียงหูมาใกล้ๆข้าจะบอกให้ว่าต้องทำยังไง (ฉันกระซิบที่หูเหยียนเหล่ย บอกเขาว่า...เรื่องบนเตียงให้ดันลึกๆ)
เหยียนเหล่ย  : จริงรึ?! งั้นเรากลับไปทำกันตอนนี้เลย!
             มี่จื่อ  : อย่าใจร้อนสิ! ค่อยทำคืนนี้ก็ได้ แล้วถ้าเกิดพลาดได้ลูกสาวล่ะ?
เหยียนเหล่ย  : ได้ลูกสาวข้าก็รัก เพราะลูกสาวของเราจะต้องเป็นเด็กที่น่ารัก และฉลาดเหมือนเจ้า ส่วนลูกชายจะต้องเก่ง และกล้าหาญเหมือนข้า
             มี่จื่อ  : ต้องหล่อเหมือนท่านด้วย งั้นตอนนี้เราไปวัดไหว้พระกันก็ดีเหมือนกันนะ ชาติหน้าเราจะได้เกิดมาเจอกันอีก แต่ชาติหน้าท่านต้องไปเกิดในยุคของข้าบ้างนะ ศตวรรษที่ 21
เหยียนเหล่ย  : มันเป็นยังไงศตวรรษที่ 21?
            มี่จื่อ  : ก็...เป็นยุคสมัยที่บ้านเรือนก่อสร้างด้วยปูนแข็งแรงขึ้นมีลักษณะคล้ายอยู่ในกล่อง บางกล่องสูงเสียดฟ้า มนุษย์บางกลุ่มสามารถเดินทางออกไปสำรวจดวงดาวนอกโลก ส่วนคนธรรมดาสามารถเดินทางบนท้องฟ้าด้วยนกเหล็กยักษ์ เป็นยุคสมัยที่ในเมืองมีอากาศเป็นพิษ และมีโรคระบาดร้ายแรงไปทั่วโลก ผู้คนล้มตายเดือดร้อนและอดอยาก
เหยียนเหล่ย  : งั้นกลับมาเกิดในยุคสมัยของข้าน่าจะดีกว่านะ เจ้านี่! พูดจาหลอกจนข้าหวาดกลัว มันมีซะที่ไหนกันศตวรรษที่ 21 อะไรนั่นน่ะ! ข้าไม่รู้จักไม่เคยได้ยินสักครั้ง เอาเป็นว่าไปไหว้พระขอพรให้เราเจอกันและรักกันทุกชาติ
            มี่จื่อ  : ทุกชาติเลยเหรอ ท่านไม่เบื่อหน้าข้าบ้างหรือไง?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่เบื่อหน้าเจ้าหรอก มีแต่คิดถึงหากไม่ได้เห็นหน้าเจ้า
            มี่จื่อ  : หืมมม...ปากหวาน


          ฉันกับเหยียนเหล่ยใช้เวลาไหว้พระอยู่ในวัดสักพักใหญ่ๆ จึงออกจากวัดและเดินดูข้าวของสวยงามตามร้านค้าต่างๆในตลาดช่างเพลิดเพลินและมีความสุขยิ่งนักจนเย็น เราจึงไปรับแหวนหยกที่ร้านขายเครื่องประดับอัญมณี จากนั้นจึงเดินทางกลับจวนฮุ่ยเฉิง เหยียนเหล่ยบอกให้ฉันกลับไปรอที่จวนก่อน เพราะเขาจะไปพบกับฮูหยินต่งพี่สะไภ้ เพื่อฝากแหวนหยกที่เพิ่งซื้อมาฝากให้กับเหมยหลิน เขาเดินหายเข้าไปในจวนท่านเสนาบดีสักพักใหญ่ๆ จากนั้นจึงเดินกลับจวนฮุ่ยเฉิง ซึ่งฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เขาอาบเรียบร้อยแล้ว


          เหยียนเหล่ยดึงแขนฉันให้ลงไปแช่น้ำอุ่นด้วยกันในถังใหญ่ แล้วจับฉันนั่งบนตักที่แท่งเนื้อแข็งกำลังแข็งตัวเมื่อสัมผัสกับก้นของฉันที่กำลังนั่งลงบนตักเขา เหยียนเหล่ยเอื้อมมือมาบีบคลึงเล่นหน้าอกและก้มจูบที่ต้นคอฉันด้านหลัง มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปลูบคลำและใช้นิ้วกลางสอดใส่เข้าในเนินหว่างขา ขยับนิ้วเข้าออกและเขี่ยขยี้ไปมา จนฉันเสียวจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เนินหว่างขาขย่มขึ้นลงอยู่หลายครั้งจนฉันเสร็จเกร็งไปทั้งตัว เหยียนเหล่ยที่ยังไม่เสร็จจึงจับฉันลุกขึ้นยืนจับขอบถังไม้ยืนแยกขาออกเล็กน้อยแล้วเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังเร็วๆอยู่หลายครั้งจนเขาเกร็งตัวเสร็จ เราจึงช่วยกันอาบน้ำขัดถูหลังให้กันและกัน


          จากนั้นเหยียนเหล่ยมานั่งดื่มชาที่ชานหน้าบ้าน เขาบอกว่าพรุ่งนี้เขากับเหมยหลินจะต้องนำเทียบเชิญงานแต่งงานไปมอบให้กับขุนนางบางท่านเพื่อเชิญมางานแต่งงาน และกำชับให้ฉันอยู่แต่ในจวนเหมือนเดิม ฉันพยักหน้ารับคำแต่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวด เหยียนเหล่ยเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกของฉัน เขาดึงฉันเข้าไปกอด จับมือฉันมาหอมและพูดกับฉันว่า เขาแค่เข้าพิธีแต่งงานกับเหมยหลินเท่านั้น แต่เขาจะยังคงอยู่กับฉันทั้งตัวและหัวใจ และจากนั้นเขาจะเข้าพิธีแต่งงานกับฉันโดยเร็วที่สุด และจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉันเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดแต่การแต่งภรรยาสองคนให้อยู่ในบ้านเดียวกันนั่นก็เป็นเรื่องที่ฉันยากจะยอมรับได้อยู่ดี ภายในใจคิดว่า ทั้งๆที่ฉันมาก่อนแท้ๆแต่ฉันกลับได้เป็นภรรยารอง โชคชะตายังคงเล่นตลกกับฉันไม่เลิกราสักที พอเริ่มดึกฉันจึงชวนเหยียนเหล่ยเข้านอนและทำกิจกรรมร้อนๆบนเตียงอีกครั้งหนึ่งก่อนหลับไปพร้อมกัน

九張機 (網劇雙世寵妃主題曲)
บทเพลงแห่งรักนิรันดร์
Youtube by : EHPMusicChannel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 36
(มี่จื่อถูกขับไล่ออกจากจวนฮุ่ยเฉิง)

          รุ่งเช้าเหยียนเหล่ยตื่นแต่เช้าเพื่อไปแจกเทียบเชิญงานแต่งงานพร้อมกับเหมยหลิน หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งมายืนรออยู่หน้าจวน เพื่อรอพบเหยียนเหล่ย หญิงรับใช้บอกกับเหยียนเหล่ยว่า...

     หญิงรับใช้  : คุณหนูเหมยหลินเช้านี้มีอาการวิงเวียนศรีษะเพราะพักผ่อนน้อย จึงไม่สามารถไปแจกเทียบเชิญงานแต่งงานด้วยได้ และคุณหนูได้รับแหวนหยกที่คุณชายฝากไปให้แล้ว สวยงามมาก จึงฝากมากล่าวขอบคุณเจ้าค่ะ
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไร ข้าไปแจกเทียบเชิญคนเดียวก็ได้ ฝากบอกให้นางพักผ่อนมากๆ
    หญิงรับใช้  : เจ้าค่ะ


          จากนั้นเหยียนเหล่ยจึงเดินเข้าไปที่จวนท่านเสนาบดี เพื่อไปพบท่านเสนาบดีก่อนที่จะออกไปข้างนอก ฉันจึงกลับเข้าไปในห้องอ่านตำราโบราณไปเรื่อยเปื่อยตามคำสั่งของเหยียนเหล่ยที่กำชับให้ฉันอยู่แต่ในห้อง จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงช่วงบ่ายฉันก็ได้ยินเสียงดังเอะอะของฟูหลิวกำลังทุ่มเถียงกับอิงเถาดังมาจากหน้าจวน ฉันจึงเดินออกมาดูพบอิงเถามาพร้อมกับสาวใช้อื่นอีกสองคนยืนทุ่มเถียงกับฟูหลิวที่กำลังกางแขนกั้นเหมือนไม่ยอมให้พวกนางเข้ามาจวนด้านใน ฉันจึงเดินออกไปหาฟูหลิวและถามฟูหลิวว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนสาวใช้ทั้งสามคนต่างหันมามองจ้องฉันด้วยแววตาและท่าทางไม่เป็นมิตร


            มี่จื่อ  : มีอะไรกันเหรอพี่ฟูหลิว เสียงดังเอะอะกันเชียว?
          ฟูหลิว  : คุณชายสั่งข้าไว้ห้ามใครเข้ามาในจวนตอนที่คุณชายไม่อยู่ โดยเฉพาะเจ้า อิงเถา เมื่อวานคุณชายสั่งห้ามเจ้าเข้ามาเหยียบที่นี่จะขัดคำสั่งคุณชายรึ?!
         อิงเถา  : เชอะ! ที่นี่มีหญิงสกปรกอยู่ข้าก็ไม่ได้อยากมาเหยียบที่นี่นักหรอก แต่คำสั่งท่านเสนาบดีให้ข้ามาพานางไป เจ้าจะขัดคำสั่งท่านเสนาบดีรึ?! เอ้า! ลากตัวนางไป
           มี่จื่อ  : เดี๋ยวๆ! มาจับตัวข้าไปทำไม ข้าทำอะไรผิด?
        อิงเถา  : เจ้าแอบเข้าไปขโมยของในห้องพักของคุณหนูเหมยหลิน
           มี่จื่อ  : พวกเจ้าใส่ความข้า ข้ายังไม่เคยเข้าไปในห้องพักของคุณหนูเหมยหลินเลยสักครั้ง ข้าไม่ได้ขโมยของๆใคร


          อิงเถาบอกให้สาวใช้อีกสองคนที่มาด้วยกันเข้ามารุมจับฉันแล้วฉุดกระชากลากแขนฉันให้ไปที่จวนท่านเสนาบดี ส่วนฟูหลิวที่พยายามห้ามสาวใช้ทั้งสามคนไม่ให้ฉุดกระชากลากแขนฉันเหมือนเป็นนักโทษ ก็มิอาจห้ามได้เพราะอิงเถาอ้างคำสั่งท่านเสนาบดีว่าให้ลากตัวฉันไป ฟูหลิวจึงทำได้แต่เดินตามไปด้วยความร้อนใจและห่วงใย ฉันถูกลากตัวมาที่จวนท่านเสนาบดี พบท่านเสนาบดีขั้นสองต่ง ฮูหยินต่ง และเหมยหลินหญิงสาวที่กำลังยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดรอฉันอยู่ในห้องโถงภายในจวน


          อิงเถา  : ข้าจับตัวคนขโมยของมาได้แล้วเจ้าค่ะ
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้ขโมยของๆใคร! ปล่อยข้า!
          อิงเถา  : เจ้าขโมยแหวนหยกของสำคัญของคุณหนูเหมยหลินไปยังคิดจะโกหกอีกรึ!
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าไม่เคยขโมยของๆใคร
   เสนาบดีต่ง  : เจ้ามันเลี้ยงไม่เชื่อง บังอาจคิดขโมยของ ไล่นางออกไปให้พ้นจากจวนของข้า!
      ฮูหยินต่ง  : ทุกคนใจเย็นๆก่อน มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้ ยังไงมี่จื่อก็เป็นคนของเหยียนเหล่ยรอให้เหยียนเหล่ยกลับมาก่อนดีกว่า
    เหมยหลิน  : ไม่เข้าใจผิดหรอก นางนั่นแหละที่ขโมยแหวนของข้าไป นางอิจฉาที่คุณชายเหยียนเหล่ยซื้อแหวนหยกให้ข้า นางคือขโมย อิงเถาค้นตัวนาง!


          เหมยหลินสั่งให้อิงเถาและสาวใช้คนอื่นๆให้ช่วยกันจับและค้นตัวฉัน ส่วนท่านเสนาบดีกำลังยืนดูสาวใช้ช่วยกันค้นตัวฉันและบ่นพึมพำว่าฉันเลี้ยงไม่เชื่องเสียแรงที่เหยียนเหล่ยเก็บมาชุบเลี้ยง อิงเถาที่พยายามค้นตัวฉัน นางล้วงมือลงไปในเสื้อฉัน แล้วหยิบแหวนหยกของเหมยหลินเป็นแหวนหยกวงที่เหยียนเหล่ยเพิ่งซื้อให้นาง ทำเอาฉันตกใจมาก ว่าเหตุใดแหวนหยกวงนั้นจึงมาอยู่ในเสื้อฉันและฉันก็รู้ได้ทันทีว่าอิงเถากับเหมยหลินวางแผนใส่ความ ท่านเสนาบดีโกรธมากและเชื่อเหมยหลินกับอิงเถาที่พยายามใส่ความฉัน แต่ฮูหยินต่งมีเพียงอาการและสีหน้าตกใจดูเหมือนยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งแทนเพราะเจอหลักฐานในเสื้อฉัน


          อิงเถา  : นี่ไงแหวนของคุณหนูเหมยหลินซ่อนอยู่ในเสื้อของเจ้ายังจะมาโกหกปากแข็ง
            มี่จื่อ  : อิงเถาเจ้านั่นแหละที่โกหก เจ้าใส่ความข้า เจ้ากำแหวนไว้ในมือก่อนอยู่แล้ว แล้วทำมาเป็นค้นตัวข้าว่าเจอแหวนซ่อนอยู่
    เหมยหลิน  : ทำไมเจ้าขโมยแหวนของสำคัญมากของข้า
  เสนาบดีต่ง  : จงสารภาพมาเดี๋ยวนี้!
          ฟูหลิว  : นายท่าน! ข้าเป็นพยานได้ มี่จื่อยังไม่เคยเดินออกจากจวนไปที่ห้องพักคุณหนูเหมยหลินเลย ข้าเป็นพยานได้
          อิงเถา  : เจ้ารู้ได้ยังไงว่านางไม่เคยเดินไป เจ้าเฝ้านางไว้ทั้งวันทั้งคืนรึ?!
          ฟูหลิว  : ข้ารู้เพราะปกติคุณชายจะพามี่จื่อไปไหนมาไหนด้วยตลอดจะไม่ยอมให้นางห่างกายหรืออยู่ไกลสายตา แต่หากคุณชายมีเหตุจำเป็นที่พามี่จื่อไปด้วยไม่ได้อย่างเช่นวันนี้ คุณชายจะกำชับมี่จื่อให้อยู่แต่ในจวนรอจนกว่าคุณชายจะกลับมา และคุณชายจะสั่งข้าไว้ทุกครั้งให้ข้าคอยเฝ้าดูแลความปลอดภัยให้นางอยู่รอบๆจวน
          อิงเถา  : นายท่าน! เพราะมี่จื่ออิจฉาคุณหนูเหมยหลินต่างหาก ที่คุณชายเหยียนเหล่ยซื้อแหวนหยกให้คุณหนู นางอิจฉาริษยาเพราะคุณชายรักคุณหนูเจ้าค่ะ นางคงอยากได้แหวนวงนี้มากจึงแอบขโมยไป และให้ฟูหลิวช่วยปกปิดความผิด สองคนนี้ต้องร่วมมือกันแน่ๆ
             มี่จื่อ  : แหวนวงนั้นของคุณหนูเจ้า ทำไมข้าจะต้องอยากได้ ในเมื่อข้ากับคุณชายไปซื้อแหวนวงนั้นมาด้วยกันแล้วนำมาให้คุณหนูของเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องขโมยของๆใคร แค่ข้าเอ่ยปากว่าอยากได้คุณชายก็จะรีบหามาให้ข้าทันที
    เหมยหลิน  : หนอย! นอกจากจะไม่สำนึกแล้ว ยังมาพูดจาอวดดี (เหมยหลินตบหน้าฉันหนึ่งฉาดอย่างแรงจนทุกคนพากันตกใจ)
             มี่จื่อ  : หึ! เหมยหลิน! ข้าพูดแทงใจดำเจ้าล่ะสิ! คุณชายซื้อแหวนให้เจ้าเพราะรักเจ้างั้นรึ? เจ้าโกหกตัวเองหรือเปล่า? เพราะเมื่อวานข้าได้ยินเจ้าคะยั้นคะยอให้คุณชายซื้อแหวนให้นี่นา อีกอย่างลวดลายแกะสลักบนแหวนนั่นคุณชายก็ไม่ได้เป็นคนเลือก แต่เป็นลวดลายที่เจ้าของร้านแก่ๆคนหนึ่งเลือกให้เจ้า และให้ช่างแกะสลักลวดลายลงไป แหวนนั่นคงเป็นแหวนที่สำคัญสำหรับเจ้า แต่มันไม่สำคัญสำหรับข้า
    เหมยหลิน  : เจ้า!!!


        เหมยหลินง้างมือจะตบหน้าฉันอีกครั้ง ฉันจึงใช้มือข้างซ้ายปัดมือมือเหมยหลินออกไม่ให้ตบ แล้วใช้มือขวาที่กำมือไว้ชกเข้าไปที่ใบหน้าของเหมยหลินเต็มแรงเพื่อตอบโต้ ทำให้เหมยหลินเซล้มลงไปนั่งกับพื้น ทุกคนต่างพาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อิงเถารีบเข้าไปประคองเหมยหลิน ส่วนสาวใช้คนอื่นๆรีบกรูกันเข้ามาจับฉัน เหมยหลินร้องโวยวายที่ถูกฉันตบคืนและจะเอาเรื่องฉันให้ได้


         ทันไดนั้นเหมยหลินก็เห็นแหวนหยกและกำไลที่เหยียนเหล่ยมอบให้กับฉันที่สวมใส่อยู่ในมือ เหมยหลินโวยวายบอกทุกคนว่าฉันขโมยแหวนและกำไลหยกของเหยียนเหล่ย เพื่อจะนำไปขายและออกไปใช้ชีวิตอยู่กินกับฟูหลิวที่อื่น ทำให้ท่านเสนาบดีออกอาการโมโหมากและเอ่ยปากขับไล่ฉันออกจากจวนทันที


   เหมยหลิน  : แหวนหยกวงนี้ ข้าจำได้เป็นแหวนหยกของคุณชายเหยียนเหล่ย เจ้าขโมยทั้งแหวนและกำไลหยกเชียวรึ ปิ่นปักผมนี่ก็ด้วย!
             มี่จื่อ  : ของพวกนี้เป็นของข้าคุณชายให้ข้า และสวมใส่ให้ข้าเองกับมือ ถ้าไม่เชื่อก็รอถามคุณชายได้เลย!
    เหมยหลิน  : อิงเถา! สั่งสอนนางและถอดของพวกนั้นออกมา อย่าให้นางเอาไปได้เด็ดขาด


          อิงเถาและสาวใช้คนอื่นๆเข้ามารุมจับฉัน และพยายามถอดแหวน กำไล และดึงปิ่นปักผมฉันออก ฟูหลิวที่ยืนอยู่ทนไม่ไหวจึงรีบเข้าช่วยฉันปัดป้องสาวใช้ไม่ให้เอาของสำคัญของฉันไป และได้ยินเสียงฮูหยินต่งร้องห้ามปรามให้พวกสาวใช้หยุดทุบตีฉัน แต่ไม่มีใครหยุดและยังคงยื้อยุดฉุกกระชากชุลมุนกันอยู่อย่างนั่นจนพวกสาวใช้เริ่มทุบตีฉันกับฟูหลิว ส่วนฟูหลิวเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่ทำร้ายผู้หญิงจึงทำได้เพียงการช่วยเอาตัวบังและปัดป้องไม่ให้พวกสาวใช้ทุบตี แต่สาวใช้เข้ามารุมกันหลายคนจนแย่งถอดเอาแหวน กำไล และปิ่นปักผมไปได้ ทำให้ฉันเกิดความโมโหมากจนรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัวที่ถูกรุมทำร้ายและถูกแย่งเอาของรักของหวงไป ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกรุนแรงอยากฆ่าพวกนางทิ้งซะให้หมด



          ในขณะที่ยังชุลมุนทุบตีกันอยู่ ฉันยกมือขึ้นปัดป้อง ทันใดนั้นเกิดลมหมุนรอบตัวฉัน ปรากฎดอกท้อสีแดงพวยพุ่งออกมาจากมือฉัน ดอกท้อพุ่งเข้าโจมตีอิงเถากับพวกสาวใช้ที่รุมทำร้ายฉัน ทำให้พวกนางถึงกับกรีดร้องเพราะได้รับบาดเจ็บเลือดออกซึมเป็นรอยเล็กๆบนใบหน้าและแขนคล้ายรอยถูกมีดบาดถากๆพอมีเลือดซึมแต่ไม่ลึก เพราะครั้งนี้ลมหมุนดอกท้อกลับไม่ใช่ลมหมุนธรรมดา แต่กลีบดอกท้อกลับมีความคมคล้ายกับมีด แต่ยังไม่รุนแรงถึงขั้นฆ่าพวกสาวใช้ให้ตาย เพียงแต่แค่ทำร้ายเป็นรอยบาดถากๆแค่บาดเจ็บเท่านั้น พวกสาวใช้และทุกคนถึงกับตกตะลึงถอยกรูออกห่างอย่างหวาดกลัว ต่างร้องโวยวายว่าฉันจะฆ่าพวกนาง ท่านเสนาบดีจึงเรียกคนงานชายฉกรรจ์หลายคนในจวนให้มาช่วยกันล้อมจับฉันกับฟูหลิว คนงานชายฉกรรจ์หลายคนถืออาวุธบางคนถือดาบ บางคนถือไม้วิ่งมาล้อมและกรูกันเข้ามาพร้อมกันเพื่อจับฉันตามคำสั่งท่านเสนาบดี


          ทันใดนั้นเกิดพลังบางอย่างพุ่งเข้าปะทะกับคนงานชายฉกรรจ์จนทั้งหมดล้มกระเด็นหงายหลังนอนลงกับพื้นเหมือนพวกเขาถูกผลักอย่างแรงจนล้มหงายหลัง ซึ่งฉันเองไม่ได้เป็นคนทำหรือปล่อยพลังแบบนั้นแต่อย่างใด และแล้วก็ได้เสียงหนึ่งดังขึ้นเป็นเสียงของชายชราตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "พวกเจ้ากำลังจะทำอะไรกับว่าที่ลูกศิษย์ของข้า?!" เสียงนั้นคือเสียงของอาจารย์เฟยเทียน เจ้าสำนักเฟยอวี่ ผู้ที่ปล่อยพลังช่วยปกป้องฉันเมื่อกี้ อาจารย์เฟยเทียนกำลังเดินเข้ามาและตามหลังมาด้วยจินไห่ ศิษย์ผู้ติดตาม จินไห่เห็นฉันกับฟูหลิวนั่งอยู่กับพื้นจึงเดินเข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้นยืนและเขาคอยยืนกันไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายฉันอีก


    เหมยหลิน  : ตาแก่! เจ้าเป็นใคร? กล้าดียังไงเข้ามาแส่เรื่องของเรา เรากำลังจับคนร้าย
    เฟยเทียน  : เจ้าต่างหากกล้าดียังไงมาเรียกข้าว่าตาแก่ และใครคือคนร้าย? ข้าเห็นแต่พวกเจ้ากำลังรุมทำร้ายว่าที่ลูกศิษย์ของข้า
             มี่จื่อ  : ท่านเจ้าสำนักขอบคุณที่ช่วยข้า!
       เสนาบดี  : เหมยหลิน! นี่คืออาจารย์เฟยเทียน เจ้าสำนักเฟยอวี่ และเป็นอาจารย์ของเหยียนเหล่ย รีบขอโทษอาจารย์เร็ว!
    เหมยหลิน  : อาจารย์เฟยเทียน เมื่อกี้ข้าเสียมารยาท ขออภัย
     เฟยเทียน  : เหยียนเหล่ยหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้มี่จื่อถูกรุมทุบตีเช่นนี้
       เสนาบดี  : เหยียนเหล่ยนำเทียบเชิญงานแต่งงานไปมอบให้เหล่าขุนนาง ว่าแต่...ท่านอาจารย์มีธุระอะไรที่นี่รึ?
     เฟยเทียน  : ข้ามาดูว่ามี่จื่อ ว่าที่ลูกศิษย์ของข้าเตรียมตัวพร้อมไปงานฉลองสำนักไป๋หู่อีกสองสัปดาห์หน้าเรียบร้อยดีหรือเปล่า ก็ทันได้เห็นพวกเจ้ากำลังรุมทุบตีนาง!
       เสนาบดี  : พอดีพวกเรากำลังจับตัวสาวใช้ขโมยของในจวน ขอท่านอาจารย์อย่าได้เข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้เลย
    เฟยเทียน  : ขโมยงั้นรึ?! มี่จื่อขโมยอะไร?
      เสนาบดี  : นางขโมยแหวนหยกของเหมยหลิน คู่หมั้นหมายของเหยียนเหล่ย
    เฟยเทียน  : เจ้าคิดว่ามี่จื่อขโมยแหวนหยกนั่นจริงๆงั้นรึ?! เหยียนอวี้! หากมี่จื่อคิดจะเป็นขโมยละก็...นางขโมยของโบราณในจวนฮุ่ยเฉิงไปไม่ดีกว่ารึ ของโบราณในจวนฮุ่ยเฉิงมีค่ามีราคาแพงกว่าแหวนหยกนั่นหลายเท่านัก ขนาดแจกันใบเล็กๆเพียงใบเดียวยังมีค่าราคาแพงกว่าแหวนหยกของว่าที่น้องสะไภ้เจ้าเสียอีก คงมีแต่โจรโง่เท่านั้นที่นอนอยู่ในกองของโบราณล้ำค่าทุกคืน แต่เลือกมาขโมยแหวนหยกราคาถูก
       เสนาบดี  : แต่นางขโมยของในจวนจริงๆ นางยังขโมยแหวน กำไล และปิ่นปักผม แค่นั้นยังไม่พอนางยังทำร้ายสาวใช้พวกนั้นจนได้รับบาดเจ็บ
   เหมยหลิน  : ใช่แล้ว! มี่จื่อคิดจะฆ่าสาวใช้ของข้า
    เฟยเทียน  : พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กน้อยอมมือที่จะมองไม่ออกว่าใครมุ่งหมายทำร้ายใครกันแน่ ข้าเห็นพวกเจ้าชายหญิงตั้งหลายคนต่างเข้ามารุมทุบตีมี่จื่อมิใช่หรอกรึ หากมี่จื่อจะตอบโต้กลับคืนพวกเจ้าบ้างก็สมเหตุผล ข้าจะบอกให้ว่าหากมี่จื่อคิดจะฆ่าพวกเจ้าจริงๆล่ะก็...พวกเจ้าคงตายกันหมดไม่มีโอกาสได้มายืนลอยหน้าลอยตาพูดกับข้าเช่นนี้ได้หรอก เพราะจิตสังหารของนางยังไม่แรงพอพวกเจ้าจึงแค่ได้รับบาดเจ็บกันเท่านั้น
      เสนาบดี  : ท่านอาจารย์หมายความว่ายังไง แล้วดอกท้อเมื่อกี้คืออะไร นางทำได้ยังไง?
    เฟยเทียน  : เพราะมี่จื่อเป็นผู้สืบทอดวิชาหมื่นบุปผา ของสำนักเฟิงเจี๋ย และหากยังหาผู้สืบทอดวิชากระบี่มังกรสายลมของอาจารย์เฟิงหย่าไม่พบ มี่จื่อจะกลายเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ยแทนทันที
            มี่จื่อ  : ห๊า!!! ข้าเนี่ยนะ?!
   เหมยหลิน  : ห๊า!!! นางน่ะรึ?!
      เสนาบดี  : แต่สำนักเฟิงเจี๋ยปิดสำนักไปนานแล้ว เหล่าลูกศิษย์ต่างแยกย้ายหายหน้าไปกันหมด แม้จะเป็นผู้สืบทอดวิชาหมื่นบุปผา แต่ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาสักคน จะเรียกว่านางเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร
    เฟยเทียน  : ใช่! เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเฟิงเจี๋ยหายหน้าหายตากันไปหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพราะยังมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่ยังยึดมั่นอยู่กับสำนักเฟิงเจี๋ยและต้องการฟื้นฟูสำนักให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน หากพวกเขารู้ว่ามีผู้สืบทอดวิชาหมื่นบุปผาเกิดขึ้นแล้ว รับรองเลยว่าพวกเขาต้องออกตามหาตัวผู้สืบทอดกันอย่างแน่นอน และยังมีท่านอ๋องหกอีกคนหนึ่งที่เลื่อมใสในตัวเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย และยินดีช่วยฟื้นฟูสำนัก ดังนั้นการฟื้นฟูสำนักเฟิงเจี๋ยอีกครั้งคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
      เสนาบดี  : แต่ข้าไม่มีทางยอมรับว่านางเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ยเด็ดขาด
    เฟยเทียน  : เจ้าจะยอมรับได้หรือไม่ได้นั้น ไม่ได้มีความสำคัญใด หากทุกสำนักให้การยอมรับมี่จื่อ เจ้าก็มิอาจขัดขวาง เอาล่ะวันนี้ข้าจะพามี่จื่อไปอยู่ที่สำนักเฟยอวี่ของข้า มี่จื่อจะเป็นลูกศิษย์ของข้า และหากใครทำร้ายทุบตีนางอีกเท่ากับทำร้ายลูกศิษย์ของข้า ส่วนเจ้าหนุ่มนั่นจะตามไปด้วยก็ได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าไปอยู่ที่สำนักของข้า
          ฟูหลิว  : ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก แต่ข้าจะอยู่รอคุณชายเหยียนเหล่ยกลับมา และจะรายงานเรื่องนี้ให้คุณชายทราบ
            มี่จื่อ  : ท่านเจ้าสำนัก พวกเขาเอาแหวน กำไล กับปิ่นปักผมของข้าไป ข้าอยากได้คืนเพราะคุณชายเหยียนเหล่ยมอบให้กับข้า
    เฟยเทียน  : อย่าห่วง! หากของพวกนั้นเป็นของเจ้า เหยียนเหล่ยจะทวงของพวกนั้นคืนให้เจ้าเอง ถึงข้าจะไปทวงของให้เจ้าตอนนี้ พวกเขาคงไม่ยอมคืนให้ง่ายๆหรอก ของพวกนั้นให้เหยียนเหล่ยซื้อให้เจ้าใหม่ก็ได้ ตอนนี้เจ้าห่วงตัวเองก่อนดีกว่า เอาล่ะ! เรื่องวันนี้ขอให้ยุติเพียงเท่านี้ หากใครยังข้องใจอยู่อีกก็ตามไปร้องเรียนที่สำนักเฟยอวี่ได้ทุกเมื่อ เรื่องของลูกศิษย์ก็คือเรื่องของสำนักด้วย
          จินไห่  : มี่จื่อ เดินไหวหรือเปล่า มา! ข้าจะประคองเจ้าไป
            มี่จื่อ  : ไหว...ขอบคุณที่ช่วยนะ
   เหมยหลิน  : เดี๋ยว! นางยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นางเป็นขโมย จะต้อง...
      เสนาบดี  : เหมยหลิน!! พอได้แล้ว ปล่อยนางไป!
   เหมยหลิน  : แต่ว่า!....
      เสนาบดี  : อาจารย์เฟยเทียนออกหน้าให้มี่จื่อขนาดนี้ เจ้าเองก็แตะต้องนางไม่ได้อีกแล้ว เชิญอาจารย์เฟยเทียนพานางไปเถอะ!
    เฟยเทียน  : เมื่อเหยียนเหล่ยกลับมาให้ไปพบข้าที่สำนักด้วย! (อาจารย์เฟยเทียนพาฉันเดินออกจากจวน)
   เหมยหลิน  : ท่านเสนาบดี! ทำไมท่านต้องยอมเขาด้วย?! ท่านปล่อยให้พวกเขาพานางไปได้ยังไง?!
       เสนาบดี  : เจ้ารู้มั้ยใครเป็นผู้หนุนหลังสำนักเฟยอวี่ เขาคนนั้นคือฮ่องเต้ ถ้าอาจารย์เฟยเทียนเอาเรื่องนี้ไปทูลฮ่องเต้ว่าเรารุมทำร้ายลูกศิษย์ของสำนักเฟยอวี่แค่นี้นี่ก็แย่พอแล้ว และถ้ามี่จื่อเป็นผู้สืบทอดวิชาหมื่นบุปผาตามที่อาจารย์เฟยเทียนบอกจริงๆล่ะก็ คนที่จะเดือดร้อนหนักคือข้ากับพ่อของเจ้า จะถูกลงโทษหนักเพราะทำร้ายเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้าได้แหวนคืนแล้วก็หยุดเอาเรื่องเอาราวเถอะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยและปวดหัว ฮูหยินพาข้าไปพักผ่อนหน่อย
     ฮูหยินต่ง  : ไปเถอะข้าจะหายาให้ท่านกิน


          จินไห่ประคองฉันเดินออกจากจวน โดยมีฟูหลิวอาสาขับรถม้าพาเราไปส่งที่สำนักเฟยอวี่ ฉันนั่งร้องไห้อยู่ในรถม้ามาตลอดทาง เพราะรู้สึกเจ็บใจที่ถูกใส่ความ อีกทั้งรู้สึกน้อยใจเหยียนเหล่ยที่ไปแจกเทียบเชิญงานแต่งงานปล่อยให้ฉันถูกรุมรังแก ส่วนอาจารย์เฟยเทียนและจินไห่ที่นั่งอยู่ในรถม้าด้วยได้แต่ปลอบใจฉันว่า ต่อไปจะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกฉันได้ และถ้าหากถูกรังแก สำนักเฟยอวี่จะออกหน้าปกป้องฉันเอง จากนั้นเขาทั้งสองจึงปล่อยให้ฉันนั่งร้องไห้จนกว่าฉันจะสบายใจ


          เรานั่งรถม้ามาถึงสำนักเฟยอวี่ ฉันจึงหยุดร้องไห้และมองไปรอบๆ ที่นี่มีอาณาบริเวณกว้างขวางอาคารใหญ่โต ลูกศิษย์ในสำนักมีจำนวนมากทุกคนโค้งคำนับอาจารย์เฟยเทียนและทักทายว่า "อาจารย์เจ้าสำนัก" และทักทายจินไห่ว่า "อาจารย์จินไห่" ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ใส่ชุดสีขาวรูปแบบเดียวกันทั้งหมด และมีบางคนใส่ชุดสีเทาอยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก และยังมีคนใส่ชุดคลุมสีดำแบบเดียวกับจินไห่อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น จินไห่บอกว่าศิษย์ที่ใส่ชุดสีขาวคือพวกศิษย์ใหม่และศิษย์เก่าที่กำลังศึกษาวิชาด้านต่างๆในสำนัก และศิษย์ที่ใส่ชุดสีเทาคือศิษย์ที่มีวิชาระดับสูงคอยเป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนวิชาให้ศิษย์ใหม่ ส่วนคนที่ใส่ชุดคลุมสีดำคือศิษย์พี่ที่มีวิชาความรู้ขั้นสูงสุดและยังเป็นอาจารย์สอนวิชาให้พวกศิษย์ใหม่ด้วย


             มี่จื่อ  : จินไห่ เจ้าใส่ชุดคลุมสีดำ งั้นเจ้าก็เป็นอาจารย์ด้วยน่ะสิ?! สอนวิชาอะไร?
           จินไห่  : ข้าสอนวิชาดนตรี และการปรุงยา
             มี่จื่อ  : สุดยอดเลยอายุยังน้อยแต่ได้เป็นอาจารย์แล้วอนาคตไกล แล้วที่นี่มีสอนวิชากระบี่หรือพวกวิชาการต่อสู้มั้ย?
          จินไห่  : มีสิ! ศิษย์พี่ใหญ่สอนวิชากระบี่และการต่อสู้ ศิษย์พี่รองสอนวิชาพลังธรรมชาติ ศิษย์พี่สามสอนวิชาดูดวงดาวและการทำแผนที่ ศิษย์พี่สี่สอนวิชาภาษาอักขระโบราณและมนต์ยันต์โบราณ แต่ศิษย์พี่สี่ออกไปอยู่นอกสำนักเพื่อช่วยงานท่านอ๋องหกและหน่วยสอบสวนของวังหลวง เราจึงให้ศิษย์รุ่นรองลงไปสอนวิชานี้แทนศิษย์พี่สี่ และศิษย์พี่สี่คนนั้นก็คือ ศิษย์พี่เหยียนเหล่ย ส่วนข้าคือศิษย์คนที่ห้า
             มี่จื่อ  : มิน่าล่ะ! เขาถึงได้เก่งกาจนัก
     เฟยเทียน  : พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้ายกน้ำชาให้ข้าปฏิญาณตัวเป็นศิษย์
           จินไห่  : เจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ด้วย หุหุ
             มี่จื่อ  : ข้าอยู่ที่นี่คงจะดีกว่าอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิง คงจะไม่มีใครมารังแกข้าอีก
            จินไห่ : ถ้ามีใครรังแกเจ้าให้มาบอกข้า ข้าจะจัดการคนพวกนั้นให้เจ้าเอง
    เฟยเทียน  : จินไห่ พามี่จื่อไปที่ห้องพัก ให้นางพักที่ห้องเดี่ยวที่เรือนสำหรับลูกศิษย์ใหม่
          จินไห่  : ทำไมถึงให้ไปพักรวมกับลูกศิษย์ใหม่ ทำไมไม่ให้ไปพักเรือนศิษย์ระดับสูงล่ะขอรับ
    เฟยเทียน  : ต้องทำตามขั้นตอน หากข้ามขี้นตอนจะเกิดการต่อต้านนางจากศิษย์คนอื่นๆ ต้องทำให้พวกเขายอมรับความสามารถของมี่จื่อเสียก่อน จึงจะสามารถผลักดันให้เป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ยได้ ข้อโต้แย้งและคำครหาจะได้ลดน้อยลง
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้อยากเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย ข้าชอบความเงียบสงบ!
    เฟยเทียน  : ถ้าไม่อยากเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย ก็อย่าเปิดเผยให้ใครรู้ว่าเจ้ามีพลังวิชาหมื่นบุปผาอยู่ในตัว หรือไม่ก็ต้องหาตำราวิชามังกรสายลมให้พบ และมอบตำรานั้นให้ศิษย์สำนักเฟิงเจี๋ยสืบทอดวิชานั้นและขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป แต่ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนใจอยากเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย เจ้าก็ต้องฝึกฝนวิชาให้มากกว่าคนอื่น และต้องฝึกพลังหมื่นบุปผาให้สำเร็จ เพราะภายภาคหน้าเจ้าจะต้องเจอบททดสอบความสามารถของเจ้าอีกมากมายเพื่อให้คนอื่นยอมรับในตัวเจ้าให้ได้
          จินไห่  : ที่แน่ๆจะต้องมีคนมาท้าประลองวิชากับเจ้าไม่จบไม่สิ้น มันเป็นวิถีของชาวยุทธหากใครสำเร็จสุดยอดวิชาใดก็ตาม มักจะมีคนจำนวนหนึ่งมาขอลองวิชาด้วยเสมอ
            มี่จื่อ  : ข้าเข้าใจ แต่ข้าไม่อยากเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย


          จินไห่พาฉันไปพักที่อาคารหลังหนึ่ง เป็นอาคารขนาดกลางสำหรับลูกศิษย์ที่เป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนพักอยู่ที่นี่ เพราะลูกศิษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายจึงต้องแยกห้องพักชายหญิง อีกทั้งเวลานี้มืดแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันเข้าห้องพักผ่อน จินไห่บอกว่าจะนำเสื้อผ้าของสำนักมาให้ฉันเปลี่ยน และจะนำอาหารมาให้กิน ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งรอจินไห่ในห้อง ไม่นานนักจินไห่เดินกลับมาพร้อมด้วยเสื้อผ้า อาหารและยาทาแก้ฟกช้ำ จินไห่บอกให้ฉันทายาและนอนพักผ่อน ฉันจึงทำตามที่เขาบอกเพราะรู้สึกเจ็บระบมเนื้อตัวที่ถูกรุมทุบตี และแสบตาจากการร้องไห้ ฉันจึงเข้านอนแต่หัวค่ำและนอนร้องไห้เพราะคิดถึงเหยียนเหล่ย

醉月-慕寒/柏鹿酥麻男声醉入骨髓动态Lyric/特效一首超好
Drunk Moon
Youtube by : User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 37
(มี่จื่อถูกขับไล่ออกจากห้องเรียน)

....ที่จวนเสนาบดีขั้นสอง....
          เหยียนเหล่ยเพิ่งกลับจากแจกเทียบเชิญงานแต่งงานในช่วงค่ำ เขารีบเดินกลับจวนฮุ่ยเฉิงเพราะเป็นห่วงฉัน ก็พบฟูหลิวที่ดักรอเหยียนเหล่ยอยู่หน้าจวนด้วยความกระวนกระวายใจ ฟูหลิวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เหยียนเหล่ยฟัง ทำให้เหยียนเหล่ยเกิดความโมโหและเดินย้อนกลับไปที่จวนเสนาบดีและเกิดการทุ่มเถียงกันขึ้นในจวน


เหยียนเหล่ย  : ทำไมท่านต้องใส่ความมี่จื่อว่าเป็นขโมย
       เสนาบดี  : ข้าไม่ได้ใส่ความ แต่เพราะนางขโมยแหวนหยกของเหมยหลิน และแหวนหยกของเจ้าไป
เหยียนเหล่ย  : คืนของพวกนั้นมาให้ข้า มี่จื่อไม่ได้ขโมยของแต่อย่างใด เพราะข้าเป็นคนให้มี่จื่อภรรยาของข้าใส่ ส่วนแหวนของเหมยหลินข้ากับมี่จื่อไปซื้อมาด้วยกันตามคำที่นางบอกกับท่าน และข้าจะไปรับมี่จื่อกลับมา
       เสนาบดี  : นางทำร้ายเหมยหลินและคนในจวนจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าห้ามรับนางกลับมาเด็ดขาด เจ้าเป็นคู่หมั้นหมายของเหมยหลินควรไปอยู่ดูแลเหมยหลินจึงจะถูก เจ้าควรทำหน้าที่คู่หมั้นหมายให้ดีก่อนเถอะ


          เหยียนเหล่ยรับแหวนหยก กำไล และปิ่นปักผมของฉันที่ท่านเสนาบดียึดไป จากนั้นเขาเดินออกจากจวนท่านเสนาบดีโดยไม่พูดจาตอบโต้อะไรทั้งสิ้นแล้วเดินหายเงียบออกไปจากจวน

....ที่สำนักเฟยอวี่....
          ตอนเช้าฉันตื่นนอนเพราะได้ยินเสียงของเด็กสาวพูดคุยกันอยู่หน้าเรือนเกี่ยวกับฉัน เด็กสาวพวกนั้นพูดคุยกันว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงอาจารย์จินไห่พาผู้หญิงคนหนึ่งมาพักที่นี่ คงมีความสนิทสนมกันมาก อาจารย์จินไห่จึงมาส่งถึงที่ห้องพักด้วยตัวเอง แถมยังได้พักอยู่ห้องเดี่ยวคนเดียวอีกด้วย พวกเด็กสาวพูดถึงจินไห่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและสนใจใคร่รู้ คงเพราะจินไห่อยู่ในวัยหนุ่มอายุใกล้เคียงกับพวกเด็กสาว จึงได้รับความสนใจจากพวกเด็กสาวเป็นพิเศษ จากนั้นเด็กสาวเหล่านั้นจึงรีบออกจากเรือนเพื่อไปเรียน สักพักเมื่อฉันแต่งตัวเสร็จจึงเดินออกห้องพักเพื่อไปพบเจ้าสำนักเฟยเทียน ก็พบกับเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาที่เรือน เด็กสาวคนนั้นมีหน้าตาสดใส น่ารัก ตากลมโต พอนางเห็นฉันก็ทำหน้าตกใจแล้วถามฉันด้วยความสงสัยว่า...


           เฝิ่นลู่  : เอ๊ะ!? นี่เจ้าคือคนที่อาจารย์จินไห่พามาพักที่ห้องนั้นเมื่อคืนใช่มั้ย?
             มี่จื่อ  : ใช่
           เฝิ่นลู่  : ข้าชื่อเฝิ่นลู่ เจ้าชื่ออะไร?
             มี่จื่อ  : ข้าชื่อมี่จื่อ
           เฝิ่นลู่  : เจ้าเพิ่งมาใหม่รึ? ทำไมถึงมาเข้าเรียนกลางคันได้ล่ะ ไม่ต้องสอบก่อนเข้าเรียนเหมือนพวกข้ารึ? แล้วเจ้ารู้จักสนิทสนมกับอาจารย์จินไห่เหรอ เมื่อคืนข้าได้ยินเสียงอาจารย์จินไห่มาส่งเจ้าที่นี่ น่าแปลกใจจัง?!
          จินไห่  : ข้าเองก็แปลกใจว่าตอนนี้สายแล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่ไม่รีบไปเข้าเรียน
           เฝิ่นลู่  : อุ๊ย! อาจารย์จินไห่! ข้าลืมตำราจึงกลับมาเอาตำรา ได้พบกับมี่จื่อพอดี
          จินไห่  : อืม! ต่อไปมี่จื่อจะมาเป็นเพื่อนร่วมเรียนกับพวกเจ้า นางมีเหตุขัดข้องบางอย่างทางบ้านทำให้ต้องมาเข้าเรียนกลางคัน มี่จื่อเข้ารับการทดสอบก่อนเข้าเรียนกับท่านเจ้าสำนักโดยตรงและทดสอบผ่าน และที่ข้ามาส่งมี่จื่อที่นี่เมื่อคืน เพราะข้ากับมี่จื่อเคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนเจ้ารีบไปหยิบตำราและรีบไปเข้าเรียนได้แล้ว!


         เฝิ่นลู่รีบเข้าไปหยิบตำราในห้องออกมาแล้วรีบวิ่งกลับไปเข้าห้องเรียน ฉันจึงเดินตามจินไห่ไปที่เรือนท่านเจ้าสำนัก และระหว่างทางฉันจึงพูดแซวจินไห่ว่า....


            มี่จื่อ  : เจ้าวางมาดอาจารย์เคร่งขรึมหล่อมาก ลูกศิษย์จะมีสมาธิกับตำราเรียนได้ยังไง
          จินไห่  : ต่อไปเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ และอย่าหยอกเย้าข้าแบบนี้ต่อหน้าลูกศิษย์เด็ดขาด พวกเขาจะไม่เกรงกลัวข้า
            มี่จื่อ  : งั้นลับหลังก็หยอกเล่นได้ใช่ป่ะ? (ฉันส่งยิ้มยั่วเย้าจินไห่)
          จินไห่  : รีบไปพบท่านอาจารย์เฟยเทียนเถอะ (จินไห่อมยิ้มแล้วเร่งให้ฉันไปพบอาจารย์เจ้าสำนัก)
             มี่จื่อ  : เมื่อคืนคุณชายเหยียนเหล่ยมาพบอาจารย์เฟยเทียนหรือไม่?
          จินไห่  : ศิษย์พี่สี่มาเมื่อคืน เขาต้องการไปพบเจ้าด้วย แต่เห็นว่าเจ้าหลับไปแล้วอีกทั้งเมื่อคืนก็ดึกมาก ศิษย์พี่สี่จึงขอแบ่งยาทาแก้ฟกช้ำจากข้าและกลับไปก่อน และยังฝากบอกไว้อีกว่าให้เจ้าดูแลรักษาตัวเองให้ดี ศิษย์พี่สี่จะมาพบเจ้าอีกในวันหลัง
            มี่จื่อ  : เขาคงเอายาไปให้เหมยหลิน หึ! ก็ยังดีที่เขายังมีใจถามไถ่ถึงข้า แล้วเขาฝากแหวน กำไล กับปิ่นปักผมของข้าไว้หรือเปล่า
          จินไห่  : เปล่า (จินไห่ส่ายหน้า)


          ฉันเดินหน้าเศร้าเดินตามจินไห่ไปเงียบๆจนถึงเรือนของอาจารย์เฟยเทียน กำลังนั่งรอฉันอยู่และบอกให้ฉันยกน้ำชาให้อาจารย์เฟยเทียนดื่ม ก้มคำนับด้วยพิธีการที่เรียบง่าย จากนั้นจินไห่จึงเดินนำฉันไปที่ห้องเรียนที่ลูกศิษย์ใหม่กำลังนั่งเรียนวิชาพลังธรรมชาติกับอาจารย์ศิษย์พี่รอง จินไห่แนะนำฉันกับศิษย์พี่รองและลูกศิษย์ในชั้นเรียนซึ่งเป็นห้องเรียนเดียวกันกับเฝิ่นลู่ที่กำลังแอบยกมือขึ้นทักทายฉัน และมีพวกเด็กสาวในเรือนพักเดียวกันร่วมชั้นอยู่ด้วย ศิษย์พี่รองชี้นิ้วไปที่โต๊ะด้านหลังที่ว่างอยู่และบอกให้ฉันไปนั่งตรงนั้น ซึ่งข้างๆกันเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีกำลังจ้องมองฉันและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากนั้นจินไห่จึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้เพื่ออยู่ดูการเรียนของฉันเพื่อนำไปรายงานให้อาจารย์เจ้าสำนักทราบ


   ศิษย์พี่รอง  : ตั้งแต่วันนี้มี่จื่อจะมาเข้าเรียนกับเรา ส่วนใครที่ข้องใจคิดว่ามี่จื่อเข้ามาเรียนที่นี่โดยไม่ได้ผ่านการทดสอบมาก่อน ข้าจะบอกไว้ให้รู้เลยว่ามี่จื่อได้รับการทดสอบความสามารถกับอาจารย์เจ้าสำนักด้วยตัวเองและผ่านการทดสอบแล้ว
     เจียวจ้าน  : อาจารย์เจ้าสำนักทดสอบอะไรมี่จื่อขอรับ อาจารย์ศิษย์พี่รอง?
   ศิษย์พี่รอง  : อาจารย์เจ้าสำนักทดสอบให้มี่จื่อปลดมนต์กักขังห้าธาตุได้สำเร็จ
ลูกศิษย์คนอื่นๆ  : โห! เป็นไปได้ยังไง? ไม่อยากจะเชื่อ นั่นเป็นมนต์ขั้นสูงเชียวนะ?! (เหล่าลูกศิษย์ต่างซุบซิบกัน)
   ศิษย์พี่รอง  : เอาล่ะ! พวกเจ้าก็ต้องพยายามเรียนและฝึกวิชาจะได้สอบผ่านได้เป็นศิษย์วิชาระดับสูง เรามาเริ่มเรียนกันต่อดีกว่า
    หลวนเฉิน  : นี่! ข้าชื่อหลวนเฉิน ยินดีที่ได้เป็นเพื่อนกัน พอดีคนที่นั่งข้างข้าตรงนี้เขาป่วยไม่สามารถมาเรียนต่อได้โต๊ะนี้เลยว่าง ได้เจ้ามานั่งแทนก็ดีเหมือนกัน เราเรียนกันมาได้หนึ่งเดือนแล้ว เจ้าตามไม่ทันตรงไหนถามข้าได้
        จิ่นเกอ  : ข้าชื่อจิ่นเกอ ยินดีที่ได้เป็นเพื่อน
            มี่จื่อ  : อื้ม! เช่นกัน
   ศิษย์พี่รอง  : เมื่อวานเราเรียนวิชายืมพลังธรรมชาติจากลม วันนี้ข้าจะให้ทุกคนลองฝึกเรียกลมให้พัดต้นไม้ในกระถางที่วางตรงหน้านี้ให้สั่นไหว ใครจะลองก่อนเป็นคนแรก
     เจียวจ้าน  : ข้า! (เจียวจ้านสามารถเรียกลมให้พัดต้นไม้ในกระถางสั่นไหวไปมาจนใบไม้บางใบปลิวร่วงลงพื้น)
   ศิษย์พี่รอง  : คนต่อไป!
      เพ่ยซาน  : ข้า! (เพ่ยซานสามารถเรียกลมให้พัดต้นไม้ในกระถางสั่นไหวไปมาได้)
     เจียวจ้าน  : อาจารย์ศิษย์พี่รอง ให้มี่จื่อลองทำให้พวกเราดูหน่อย ข้าอยากเห็นความสามารถของนาง
   ศิษย์พี่รอง  : เอ้า! มี่จื่อลองทำดูซิ


          ฉันไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเรียนเรื่องอะไรกัน แต่ดูแล้วคงคล้ายๆกับที่อาจารย์เจ้าสำนักเคยสอนให้ฉันควบคุมพลังพายุหมุนดอกท้อในตัว ฉันจึงคิดว่าแค่ปล่อยพายุหมุนดอกท้อออกไปพัดใส่กระถางต้นไม้ให้สั่นไหวก็น่าจะทำได้ไม่ยาก ฉันจึงปล่อยพลังพายุหมุนออกไป แต่ด้วยจิตใจที่ขาดสมาธิผสมความโศกเศร้าเคล้าความแค้นใจ ทำให้ควบคุมพลังพายุหมุนผิดพลาด เผลอปล่อยพลังที่รุนแรงออกไปทำให้กลีบดอกท้อจำนวนหนึ่งปะปนออกมากับพายุหมุนวนเข้าปะทะต้นไม้ในกระถางสั่นไหวแรง คมกลีบดอกท้อปลิวตัดและเฉือนใบไม้ขาดครึ่งร่วงลงไปกองที่พื้นจำนวนหนึ่ง ลูกศิษย์คนอื่นๆทุกคนต่างพากันตื่นเต้นประหลาดใจที่เห็นฉันสามารถปล่อยพลังพายุหมุนออกมา ทำให้ศิษย์พี่รองรีบเดินไปหยิบดูใบไม้ที่ถูกตัดขาดร่วงอยู่บนพื้น และรีบเดินเข้ามาหาฉันขมวดคิ้วดุว่าฉันยกใหญ่ จนฉันตกใจหน้าเสีย


   ศิษย์พี่รอง  : มี่จื่อ! เจ้าทำอะไร? พลังที่เจ้าปล่อยออกมาเมื่อกี้สามารถฆ่าเพื่อนเจ้าให้ตายได้ เจ้ามีอารมณ์ขุ่นมัวเกินไปจนไม่สามารถควบคุมพลังแฝงในตัวได้ ต่อไปอย่ามาเข้าชั้นเรียนของข้าอีกจนกว่าเจ้าจะควบคุมพลังแฝงนั้นได้
             มี่จื่อ  : ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!
           จินไห่  : ศิษย์พี่รอง โปรดใจเย็นก่อน ข้าขออภัยแทนมี่จื่อ
   ศิษย์พี่รอง  : จินไห่! เจ้าใช้ดนตรีบำบัดจิตใจที่ขุ่นมัวของนางให้มีสมาธิมากกว่านี้จะดีกว่า เพราะพลังแฝงนั้นเป็นอันตรายเกินไปต่อผู้อื่นหากนางควบคุมไม่ได้ ถ้านางควบคุมได้จนไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นข้าก็ยินดีรับนางให้กลับมาเรียนกับข้า
          จินไห่  : ขอบคุณศิษย์พี่รอง ข้าขอตัวลา, มี่จื่อ! ไปกับข้า!


          ฉันลุกขึ้นเดินตามจินไห่ออกจากห้องเรียน พร้อมด้วยสายตาของเพื่อนร่วมเรียนที่จับจ้องมองฉันด้วยความสนใจและตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันเดินตามจินไห่ไปเรื่อยๆ จนต้องเอ่ยถามเขาว่าจะพาฉันเดินไปที่ไหน จินไห่ตอบว่าจะพาไปชมวิวสวยๆเพื่อสงบจิตใจ อยู่ทางด้านหลังเรือนพักของอาจารย์เจ้าสำนัก ที่นั่นเงียบสงบบรรยากาศดีไม่ค่อยมีใครไปที่นั่น และเขามักไปนั่งเล่นดนตรีที่นั่นเป็นประจำ


          จินไห่พาฉันเดินออกมาทางด้านหลังเรือนพักของอาจารย์เจ้าสำนัก ตรงนี้เหมือนจุดชมวิวบนเนินสูงอยู่ริมแม่น้ำสายยาว มองไปอีกฝั่งเป็นป่ามีภูเขาสูงสวยงามตามที่จินไห่บอกจริงๆ ฉันนั่งลงบนเนินสูงมองลงไปที่แม่น้ำกำลังไหลไปที่ไหนสักแห่ง จินไห่หยิบขลุ่ยออกมาเป่าเป็นบทเพลงช้าๆที่แสนไพเราะจับใจ ชวนให้คิดถึงใครสักคนหนึ่งที่จากไปไกลแสนไกล บทเพลงขลุ่ยทำให้ฉันคิดถึงเหยียนเหล่ย คิดถึงบ้าน ฉันบ่นพึมพำกับจินไห่ที่กำลังเป่าขลุ่ยว่า "โลกนี้มันช่างโหดร้าย ข้าอยู่ที่ไหนข้าก็ถูกขับไล่ ข้าไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตนี้อีกแล้ว"


          เสียงขลุ่ยที่ไพเราะนุ่มนวลเริ่มทำให้จิตใจฉันสงบขึ้นมาบ้าง และนั่งมองเหม่อลงไปที่แม่น้ำ พลันสายตาก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้นในน้ำ ฉันพยายามเพ่งสายตามองอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นน้ำวนเกิดขึ้นในแม่น้ำ จึงเรียกจินไห่ให้มาดูน้ำวนนั่น ฉันพยายามเพ่งสายตามองอีกครั้งก็เห็นภาพบ้านที่โลกเก่าที่ฉันจากมา จึงชี้ให้จินไห่ดูแต่จินไห่กลับบอกว่าเขามองเห็นแค่น้ำวนเท่านั้นไม่เห็นมีภาพบ้านอะไรในน้ำวนสักนิด และเตือนให้ฉันระวังตกลงไปในแม่น้ำ แต่คำเตือนนั้นเอ่ยเตือนช้าไปเสียแล้ว
หมายเหตุ

*เฝิ่นลู่  แปลว่า หยกสีชมพู

*เจียวจ้าน  แปลว่า การสรรเสริญที่อ่อนโยน

*หลวนเฉิน  แปลว่า ต้นไม้ชนิดหนึ่ง และรุ่งอรุณ

*จิ่นเกอ  แปลว่า นกพิราบ และความหนักแน่น

*เพ่ยซาน  แปลว่า การชื่นชมเลื่อมใส สิ่งมีค่า ปะการัง

绿野仙踪
Chinese Twilight
YouTube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 38
(ตัดสินใจกระโดดแม่น้ำ)

          ฉันพุ่งตัวกระโดดลงไปในแม่น้ำไม่สนใจเสียงเตือนของจินไห่ เสียงของจินไห่ร้องเรียกฉันเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่อตัวฉันตกลงในแม่น้ำจึงพยายามตะกุยตะกายว่ายน้ำเข้าไปในน้ำวนเพราะคิดว่าในนั้นจะเป็นทางกลับบ้าน ทันไดนั้นก็ได้ยินเสียงตู้มเหมือนมีคนกระโดดน้ำตามฉันลงมา เขาฉุดกระชากดึงฉันไม่ให้ว่ายน้ำเข้าไปในน้ำวน ฉันหันไปมองเพราะคิดว่าเขาคือจินไห่ แต่เขาไม่ใช่จินไห่ เขาคือเหยียนเหล่ย ฉันพยายามสะบัดมือให้เขาปล่อยแต่เหยียนเหล่ยกลับเข้ากอดรัดฉันแน่นขึ้นและลากฉันกลับเข้าฝั่ง แต่ฉันยังคงได้ยินเสียงคนร้องเอะอะจากแม่น้ำอีกเสียงหนึ่ง เหยียนเหล่ยอุ้มฉันขึ้นจากแม่น้ำมาวางบนฝั่ง เขาถามและมองหาว่าฉันได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ฉันส่ายหน้าแล้วตวาดเขาด้วยน้ำตานองหน้า...


            มี่จื่อ  : ดึงข้าขึ้นจากน้ำทำไม ข้าจะกลับบ้าน!
เหยียนเหล่ย  : เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?! มันมีบ้านอยู่ในน้ำที่ไหนกัน ว่ายเข้าไปในน้ำวนอยากตายรึไง?! (เหยียนเหล่ยตวาดฉันกลับ)
             มี่จื่อ  : เรื่องของข้า ข้าตายก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว
เหยียนเหล่ย  : เจ้าพูดแบบนี้ได้ยังไง?! ข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าต้องสนใจเจ้าอยู่แล้ว อย่าทำแบบนี้อีกนะ อยู่กับข้า อย่าทิ้งข้าไป ข้ารักเจ้า (เขากอดฉันแน่น)
             มี่จื่อ  : เพราะท่านนั่นแหละ ท่านกำลังจะทิ้งข้าไปแต่งงานกับเหมยหลิน พวกเขารังแกทุบตีข้า ใส่ความว่าข้าขโมยแหวนของนาง ท่านรู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?!
เหยียนเหล่ย  : ข้ารู้ ข้าถึงมาหาเจ้าที่นี่ไง ข้าขอโทษเวลาที่เจ้าลำบากข้ากลับไม่เคยอยู่ปกป้องเจ้า ตอนนี้ข้ามาแล้ว ข้าอยู่ที่นี่กับเจ้าแล้ว ข้าอยู่นี่...
             มี่จื่อ  : ฮือๆๆๆ ข้าคิดถึงท่านมากๆเลย (ฉันทุบเขา 2-3 ทีแล้วกอดเขาแน่นซบหน้าร้องไห้)
เหยียนเหล่ย  : ข้าก็คิดถึงเจ้า
        หลี่จวิน  : ให้ตายสิ! เจ้าบ้านี่ว่ายน้ำไม่เป็น แล้วกระโดดลงน้ำไปทำไมเนี่ย?! เหนื่อยข้าต้องลงไปช่วยเจ้าขึ้นมาอีก! (เสียงหลี่จวินบ่นจินไห่โหวกเหวกดังลั่น)
          จินไห่  : ก็...ข้าตกใจ! ข้าเป็นห่วงมี่จื่อจะจมน้ำ ข้าลืมไปว่าข้าว่ายน้ำไม่เป็น ขอบคุณท่านหลี่จวินที่ช่วย
        หลี่จวิน  : แทนที่เจ้าจะช่วยแบ่งเบากลับกลายเป็นเพิ่มภาระให้ซะงั้น! แล้วเจ้าสองคนล่ะได้รับบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า?
เหยียนเหล่ย  : เราไม่เป็นอะไร
        หลี่จวิน  : มี่จื่อ! เจ้าอย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ ทำอะไรคิดถึงจิตใจเหยียนเหล่ยบ้างเซ่! เหยียนเหล่ยมันจะเป็นบ้าตายเพราะเจ้า
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายสักหน่อย!
        หลี่จวิน  : งั้นคงว่างมากเลยมากระโดดน้ำเล่นงั้นสิ?! (เขาประชดประชัน) เจ้าอีกคนจินไห่ ว่ายน้ำไม่เป็นก็อย่ากระโดดน้ำลงไปช่วยใครจะจมน้ำตายเองเปล่าๆ ไปกันเถอะ ข้าเริ่มหนาวแล้ว


          เหยียนเหล่ยพยุงฉันให้ลุกขึ้นแล้วเดินกอดฉันกลับไปที่เรือนอาจารย์เจ้าสำนัก พบลี่ถังนั่งดื่มน้ำชารออยู่กับอาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนัก และมีฟูหลิวคอยรินน้ำชาให้อยู่ข้างๆ พวกเขาต่างตกใจที่เห็นเราเดินกลับมาด้วยเสื้อผ้าและเนื้อตัวเปียกปอน ลี่ถังและฟูหลิวรีบวิ่งมาดูและถามไถ่ด้วยความตื่นตระหนกสงสัย


             ลี่ถัง  : เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเนื้อตัวเปียกปอนขนาดนี้ล่ะ ตกน้ำที่ไหนกันมาเนี่ย?
        หลี่จวิน  : ลี่ถัง...ข้าหนาวจังเลย ช่วยกอดข้าให้อบอุ่นหน่อยสิ
             ลี่ถัง  : ท่านนี่! อย่ามัวแต่ล้อเล่น รีบบอกข้ามาสิเกิดอะไรขึ้น?!
             มี่จื่อ  : เอ่อ...ข้าไม่ระวังพลาดตกลงไปในแม่น้ำ พวกเขากระโดดลงไปช่วยข้า
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อเจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ (เหยียนเหล่ยจะพาฉันไปเรือนที่พัก)
          จินไห่  : ศิษย์พี่สี่ นั่นเป็นเรือนที่พักศิษย์หญิง ผู้ชายเข้าไปยุ่มย่ามที่นั่นจะดูไม่เหมาะ
เหยียนเหล่ย  : นั่นสิ! ข้าลืมไป (เหยียนเหล่ยมองหน้าฉันแล้วลูบไล้ที่มือส่งสายตาทำหน้าเสียดาย)
            ลี่ถัง  : ข้าไปเป็นเพื่อนมี่จื่อเอง
    เฟยเทียน  : พวกเจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนเถอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันหรอก


          ฉันกับลี่ถังเดินแยกออกไปตามทางเดินไปที่พัก ลี่ถังถามฉันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จวนเสนาบดีขั้นสองจนฉันต้องย้ายมาอยู่ที่สำนักเฟยอวี่ ฉันจึงเล่าให้ลี่ถังฟังทั้งหมด ซึ่งนางเองก็รู้สึกโกรธแทนฉันเหมือนกัน


             ลี่ถัง  : ใส่ความกันชัดๆ ผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจนัก ท่านเสนาบดีนี่ก็กระไรเห็นผิดเป็นชอบ คิดเห็นเออออไปกับเหมยหลินด้วย เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ๆกลับช่วยยัยคุณหนูนั่นรังแกเจ้า น่าเจ็บใจจริงเชียว โชคดีที่อาจารย์เฟยเทียนช่วยเจ้าไว้ได้ทัน
             มี่จื่อ  : ช่างพวกเขาเถอะ! ตอนนี้ข้าก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาคงตามมารังแกข้าไม่ได้อีกแล้ว
             ลี่ถัง  : ดีเลยสิ! เจ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่แล้ว ต่อไปคนพวกนั้นก็จะต้องเกรงใจเจ้า แล้วถ้าเจ้าสอบเลื่อนชั้นขึ้นเป็นศิษย์ระดับสูงคนพวกนั้นยิ่งต้องเกรงใจ แล้วถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ล่ะก็...คนพวกนั้นจะไม่กล้ามีปากเสียงกับเจ้าเลย
            มี่จื่อ  : อนาคตข้าเพิ่งจะดับวูบไป เพราะอาจารย์ศิษย์พี่รองเพิ่งไล่ข้าออกจากห้องเรียนเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเพราะข้ามีจิตใจขุ่นมัว เขาสั่งห้ามข้าเข้าเรียนกับเขาจนกว่าข้าจะควบคุมพลังหมื่นบุปผาในตัวเองได้เสียก่อน อาจารย์ศิษย์พี่รองกลัวข้าพลั้งมือฆ่าเพื่อนร่วมชั้นเรียน จินไห่จึงพาข้าไปนั่งชมแม่น้ำพักผ่อนสมอง แล้วตกน้ำกลับมาเนี่ย
             ลี่ถัง  : อืม! เขาพูดถูกแล้วล่ะหากผู้มีพลังแฝงไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ ก็อาจเป็นภัยต่อผู้อื่นและที่ร้ายไปกว่านั้นบางคนพลังแฝงย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองจนเป็นบ้า บางรายถูกกำจัดเพราะเป็นภัยต่อผู้อื่น และบางรายเสียชีวิตเองเพราะทนพิษพลังแฝงตีกลับไม่ไหวก็มี
            มี่จื่อ  : ข้าเห็นฤทธิ์ของพลังหมื่นบุปผาเมื่อวานมันพุ่งเข้าทำร้ายกลุ่มสาวใช้ที่รุมทุบตีข้า พวกนางได้รับบาดแผลตื้นๆคล้ายถูกมีดบาดเลือดไหลซึมหลายแห่ง โชคดีที่บาดแผลไม่ลึก ไม่งั้นข้าคงมีคดีติดตัวเพิ่มอีกแน่ พลังแฝงนั่นน่ากลัวชะมัดเลย
             ลี่ถัง  : คุณชายเหยียนเหล่ยมาหาเจ้าแล้ว เขาขนเสื้อผ้าข้าวของย้ายมาอยู่ที่นี่กับเจ้า จิตใจเจ้าจะได้เลิกขุ่นมัว และเจ้าต้องฝึกควบคุมพลังแฝงให้ได้โดยเร็วเพราะข้าไม่อยากเห็นเจ้าไปกินนอนในคุกที่หน่วยของข้าอีก ฮ่าฮ่า
            มี่จื่อ  : จริงเหรอ? คุณชายย้ายมาอยู่ที่นี่กับข้า
            ลี่ถัง  : จริงสิ! เมื่อคืนคุณชายเหยียนเหล่ยไปหาหลี่จวินที่หน่วยสอบสวน เขาบอกว่านอนไม่หลับคิดถึงเจ้ามาก เดินวนไปวนมาทั้งคืนจนหลี่จวินรำคาญและพูดว่า "ถ้าคิดถึงขนาดนี้ทำไมไม่ย้ายไปอยู่กับมี่จื่อที่สำนักเฟยอวี่ซะเลยล่ะ ยังไงเจ้าก็เป็นศิษย์พี่ของสำนักอยู่แล้ว!" พูดแค่นั้นแหละเหยียนเหล่ยก็ลากพวกข้าให้มาช่วยกันขนของมาที่นี่ เหมือนคู่รักแอบหนีตามกันมาเลยนะเนี่ย
            มี่จื่อ  : เขายังคงรักข้าจริงๆด้วย (ฉันยิ้มจนแก้มแทบปริที่รู้ว่าเหยียนเหล่ยตามมาอยู่กับฉันที่นี่)
            ลี่ถัง  : เด็กโง่! เลิกคิดมากได้แล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ


          ระหว่างทางเดินกลับที่พักเราพบกับหลวนเฉิน และจิ่นเกอ ที่เดินผ่านมาพอดี เขาทั้งสองจึงรีบเดินเข้ามาหาและพูดคุยกับฉัน


    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ! ไปตกน้ำที่ไหนมาเนี่ย?!
            มี่จื่อ  : จินไห่ เอ๊ย! อาจารย์จินไห่ พาข้าไปชมแม่น้ำทางด้านหลังเรือนที่พักอาจารย์เจ้าสำนัก ข้าไม่ระวังเลยพลัดตกน้ำ
    หลวนเฉิน  : แม่น้ำทางด้านหลังเรือนที่พักอาจารย์เจ้าสำนักพวกข้ายังไม่เคยเข้าไปถึงด้านในนั้นเลย เพราะบริเวณนั้นเป็นสถานที่สงบของอาจารย์จินไห่มักไปบรรเลงเพลงขลุ่ยที่นั่น พวกข้าเคยได้ยินแต่เสียงเพลงขลุ่ยที่อาจารย์เป่าเท่านั้น
         จิ่นเกอ  : เอ๊ะ! พี่สาวคนสวยท่านนี้ดูคุ้นๆ นี่เครื่องแบบของหน่วยสอบสวนนี่นา หรือว่า....
            มี่จื่อ  : นี่คือรองหัวหน้าหน่วยสอบสวน ลี่ถัง
         จิ่นเกอ  : เป็นรองหัวหน้าหน่วยสอบสวน ลี่ถัง จริงๆด้วย เพิ่งได้เจอตัวจริงสวยสมคำล่ำลือว่าทั้งสวยและเก่ง ข้าไฝ่ฝันอยากเข้าหน่วยสอบสวนมานานแล้ว
            ลี่ถัง  : ถ้าเจ้าเรียนจบจากที่นี่ และสามารถสอบได้ที่หน่วยสอบสวน ข้าก็ยินดีต้อนรับ
        จิ่นเกอ  : มี่จื่อเจ้านี่ไม่เบาเลย สนิทสนมกับอาจารย์จินไห่ แถมยังรู้จักกับลี่ถังรองหัวหน้าหน่วยสอบสวนอีกด้วย น่าอิจฉาจริงๆ!
    หลวนเฉิน  : เรากำลังจะไปเรียนวิชาอักขระโบราณ มี่จื่อเจ้าจะไปด้วยกันหรือเปล่า เจ้าถูกห้ามเข้าเรียนแค่วิชาของอาจารย์ศิษย์พี่รอง แต่วิชาของอาจารย์ท่านอื่นเขาไม่ได้ห้ามสักหน่อย ไปเรียนด้วยกันสิ
         จิ่นเกอ  : ถ้าเจ้าไม่ไประวังจะเรียนตามพวกข้าไม่ทันเอานะ
             มี่จื่อ  : เจ้าไปเรียนกันก่อนเถอะ พอดีวันนี้ข้ามีธุระต้องทำ พรุ่งนี้ข้าค่อยไปเรียน


          ฉันกับลี่ถังจึงเดินแยกไปที่ห้องพักจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ และเดินกลับไปเรือนที่พักของอาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนัก พบจินไห่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยกำลังนั่งดีดกู่เจิงให้อาจารย์เฟยเทียนฟัง ฉันจึงไปนั่งข้างๆจินไห่ตั้งใจฟังเขาดีดกู่เจิงอันไพเราะ พอเขาเล่นจบเพลง ฉันจึงกระซิบบอกจินไห่ว่าวิชาดนตรีที่เขาสอนช่วยเหลือให้ฉันผ่านวิชาของเขาด้วยได้ไหม


    เฟยเทียน  : ต่อหน้าข้าเจ้ากล้าขอให้จินไห่ช่วยให้เจ้าผ่านวิชาดนตรีเชียวรึ?! เจ้าทำอะไรอุกอาจเกินไปแล้ว
             มี่จื่อ  : ท่านอาจารย์เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ว่าข้าเล่นดนตรีไม่เป็นเลยสักชิ้น ขับร้องเพลงก็เพี้ยน ถ้าอาจารย์จินไห่ไม่เมตตา ข้าต้องสอบตกแน่ๆ
    เฟยเทียน  : ศิษย์ของสำนักเฟยอวี่จำเป็นต้องเรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนง แล้วหยิบเอาความถนัดที่สุดมาเป็นจุดเด่นของตัวเอง
             มี่จื่อ  : จุดเด่นของข้าคือร้องเพลงเสียงเพี้ยน จนสามารถทำลายระบบประสาท ทำลายหู ทำลายความสุขทางอารมณ์ และทำให้เกิดอาการจิตตก
    เฟยเทียน  : นั่นแหละ ใช้มันให้เป็นประโยชน์
        หลี่จวิน  : ข้าเคยได้ยินแต่ใช้ความไพเราะของดนตรีแทนอาวุธที่แข็งแกร่งจนสามาถฆ่าคนได้ แต่นี่เจ้าจะใช้ดนตรีห่วยเสียงเพี้ยนเป็นอาวุธฆ่าคนงั้นรึ คิดได้ยังไงโหดร้ายเหลือเกิน ต้องขาดใจตายอย่างทรมานด้วยเสียงดนตรีเพี้ยนๆของเจ้า (หลี่จวินพูดแทรกเข้ามา พร้อมกับเหยียนเหล่ยที่เดินตามมาทางด้านหลัง)
          จินไห่  : มี่จื่อเจ้าลองเลือกเครื่องดนตรีสักชิ้นที่เจ้าชอบ ข้าจะสอนวิธีเล่นให้เจ้า
เหยียนเหล่ย  : เล่นกู่เจิงมั้ย หรือผีผาฉินก็ได้ข้าจะสอนเจ้าเอง
            มี่จื่อ  : อืม...ข้าชอบกลอง ตีกลอง
        หลี่จวิน  : กลองสำหรับผู้ชายเค้าตีกัน
            มี่จื่อ  : ข้าคิดว่าข้าอยากตีกลอง
    เฟยเทียน  : ทำในสิ่งที่เจ้าถนัดเถอะ
          ฟูหลิว  : มี่จื่อ เมื่อวานหย่งหลุนมาหาเจ้าที่จวนฮุ่ยเฉิง เขาฝากบอกข้ามาว่า เขากับซูเจินออกจากหอกุ้ยฮวาไปปลูกกระท่อมอยู่ที่นอกเมือง ฝากแผนที่มาให้เจ้าด้วย
            มี่จื่อ  : ดีจัง พวกเขาออกไปสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว ขอบคุณมากพี่ฟูหลิว
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ ไปกับข้าสักประเดี๋ยวข้ามีอะไรจะให้


          ฉันเดินตามเหยียนเหล่ยเข้าไปในห้องพักของเขา ภายในห้องพักมีข้าวของบางชิ้นที่คุ้นตานำมาจากจวนฮุ่ยเฉิง เช่นอุปกรณ์เครื่องเขียน ถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยบนโต๊ะเขียนหนังสือ เหยียนเหล่ยเดินไปที่โต๊ะเปิดหีบเล็กๆหยิบแหวน กำไล และปิ่นปักผมออกมา เขาบอกว่า...


เหยียนเหล่ย  : ขอโทษแทนพี่ชายของข้าที่เข้าใจผิดยึดเอาของๆเจ้าไป ข้าบอกพวกเขาแล้วว่าเจ้าไม่ใช่ขโมย
            มี่จื่อ  : ได้คืนกลับมาแล้วก็ไม่เป็นไร เมื่อคืนท่านมาขอยาที่จินไห่ไปให้ใคร?
เหยียนเหล่ย  : ข้าขอยาไปให้เหมยหลิน นางถูกเจ้าชกจนแก้มบวม พี่ชายข้าขอร้องให้ข้าอยู่ดูแลนาง แต่ข้าคิดถึงเจ้ามากและไม่อยากอยู่ห่างจากเจ้า จึงมาขอยาที่จินไห่ เพราะยาของจินไห่ใช้แล้วหายเจ็บปวดเร็ว เพื่อที่ข้าจะได้รีบมาหาเจ้าได้เร็วๆ เจ้าอย่าน้อยใจคิดว่าข้าไม่ห่วงใย เพราะข้าห่วงใยเจ้ามากกว่าใคร ส่งมือมาข้าจะสวมแหวนให้ ส่วนกำไลกับปิ่นปักผมเก็บไว้ที่ข้าก่อน เพราะอยู่ที่นี่ไม่เหมาะสวมเครื่องประดับมากเกินไป จะไม่สะดวกในการฝึกวิชา เราสวมแค่แหวนคู่ของเราก็พอ
             มี่จื่อ  : ท่านย้ายมาอยู่ที่นี่ท่านเสนาบดีจะไม่โกรธเอาเหรอ
เหยียนเหล่ย  : โกรธก็ช่างเขา เพราะเดิมทีข้าก็อยู่ที่สำนักเฟยอวี่มาตั้งแต่เด็กจนที่นี่กลายเป็นบ้านของข้า และข้าเพิ่งย้ายไปอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงเมื่อสามปีก่อนเพราะท่านอ๋องหกบอกว่าสำนักเฟยอวี่อยู่ไกลและไม่สะดวกในการพูดคุยงานหรือพบปะสังสรรค์ ข้าจึงย้ายไปอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงเพื่อสะดวกต่อการทำงานเท่านั้นเอง เมื่อก่อนข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า
             มี่จื่อ  : ข้าก็เหมือนกัน


          เหยียนเหล่ยขยับเข้าสวมกอด จับคางฉันเชิดขึ้นแล้วจูบประกบริมฝีปากแน่นดูดเหมือนคนหิวกระหาย เอื้อมมือบีบขยำก้น ขยับเบียดแท่งเนื้อแข็งแนบชิดเนินหว่างขา ฉันพยายามผลักเขาออกและบอกว่าที่นี่ไม่ใช่จวนฮุ่ยเฉิงไม่เหมาะจะทำแบบนี้ แต่เหยียนเหล่ยไม่ยอมหยุด แต่กลับดันฉันให้ยืนพิงติดผนังห้องและถอดกางเกงฉันออก เขายกขาฉันขึ้นข้างหนึ่งแล้วจับแท่งเนื้อแข็งดันใส่เข้าเนินหว่างขาดันเข้าจนสุด แล้วขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆแต่เน้นดันเข้าออกสุดโคนจนฉันเสียวหลุดเสียงร้องครางออกมา เหยียนเหล่ยรีบประกบปากจูบฉันไม่ให้ร้อง เขาเริ่มกระแทกแท่งเนื้อแข็งเร็วแรงจนฉันเกร็งตัวเสร็จ เขายังคงกระแทกแท่งเนื้อแข็งเร็วแรงอยู่ครู่หนึ่งจนเขาเกร็งตัวเสร็จปล่อยน้ำสีขาวข้นอุ่นๆออกมา เขารีบนำผ้ามาเช็ดเนินหว่างขาให้ฉันและจูบหอมฉันอีกฟอดใหญ่เป็นการทิ้งท้าย จากนั้นจึงชักชวนกันเดินออกมาจากห้องพัก ลี่ถังเห็นฉันเดินยิ้มออกมาจากห้องจึงถามไถ่ฉันว่า


             ลี่ถัง  : ปรับความเข้าใจกันดีแล้วใช่มั้ย
             มี่จื่อ  : อื้ม! ข้าได้แหวนคืนมาแล้ว
     เฟยเทียน  : ดูท่าทางเจ้าจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ตัวแปรที่ทำให้เจ้าอารมณ์ดีขึ้นคงเป็นเหยียนเหล่ยสินะ ไหนลองยืมพลังธรรมชาติลมให้ข้าดูหน่อย ถ้าควบคุมได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไปเข้าเรียน

古装男子群像那盏茶 他们眉目如画为你把眉画
ชาถ้วยนั้น
Youtube by : Feel The Beat


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 39
(เสียงกู่เจิงร่ำเรียกหา)

          ฉันทำตามที่อาจารย์เฟยเทียนเคยสอนสั่งจนสามารถควบคุมพลังแฝงในตัวได้อีกครั้ง สามารถยืมพลังธรรมชาติลมได้โดยไม่มีดอกท้อปะปนออกมาแต่ยังคงรูปแบบลมพายุหมุนแรงเหมือนเดิม อาจารย์เฟยเทียนกล่าวว่าฝึกไปเรื่อยๆก็จะสามารถควบคุมความเบาหรือแรงได้เอง จากนั้นฉันให้จินไห่สอนฉันตีกลอง เพราะฉันกลัวว่าวันเข้าเรียนวิชาดนตรีจะถูกหัวเราะเยาะเพราะฉันเล่นดนตรีไม่เป็น จินไห่จึงสอนเพียงพื้นฐานให้ฉันก่อน และจากนั้นก็เริ่มฝึกกระบี่ขั้นพื้นฐานกับเหยียนเหล่ยเพื่อเตรียมพร้อมเข้าเรียนในวันพรุ่งนี้ พอถึงเวลาเย็นหลังกินอาหารเย็นด้วยกันเสร็จ หลี่จวินกับลี่ถังจึงขอตัวลากลับหน่วยสอบสวน ส่วนฉันยังคงอยู่พูดคุยออดอ้อนเหยียนเหล่ยต่อที่ห้องพักของเขาอีกสักพักให้หายงอนหายคิดถึง พอฟ้าเริ่มมืดฉันจึงเดินกลับห้องพัก เหยียนเหล่ยอาสาเดินมาส่งแต่ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากเพิ่มอาจถูกเขม่นเพ่งเล็งจนเกิดปัญหาขึ้นมาอีก ฉันบอกเขาว่าสามารถเดินกลับไปคนเดียวได้ เมื่อกลับมาถึงเรือนที่พักก็พบกลุ่มเด็กสาวนั่งคุยกันอยู่หน้าเรือน เฝิ่นลู่เห็นฉันกำลังจะเดินเข้าห้องพักจึงร้องเรียกไว้และเดินมาหาฉัน


           เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ! แวะคุยกับพวกเราก่อนสิ มาทางนี้จะแนะนำเพื่อนคนอื่นๆให้รู้จัก นี่เพ่ยซาน คนนี้จื่อเถิง และนี่ฉิงซวง
            มี่จื่อ  : ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน
        ฉิงซวง  : ทำไมเจ้าได้พักในห้องเดี่ยวคนเดียว แต่พวกข้าต้องพักห้องคู่
         จื่อเถิง  : หรือเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้า ที่พลังปรานของเจ้าเป็นภัยต่อผู้อื่นจึงถูกแยกพักห้องเดี่ยว
        ฉิงซวง  : จริงด้วย เมื่อเช้าข้าเห็นใบไม้ถูกตัดขาดครึ่ง ตอนที่อาจารย์ศิษย์พี่รองไล่เจ้าออกจากชั้นเรียนข้าตกใจแทบแย่
            มี่จื่อ  : เอ่อ...ข้าไปฝึกควบคุมมาแล้ว และตอนนี้ก็ควบคุมได้แล้ว พรุ่งนี้จะกลับไปเรียน
     เพ่ยซาน  : งั้นทำให้ดูหน่อยว่าควบคุมได้จริง
           มี่จื่อ  : ได้! (ฉันเรียกลมพัดให้ทุกคนดู)
          เฝิ่นลู่  : ทำไมถึงเรียกลมหมุนได้ล่ะ พวกข้าเรียกได้แค่ลมพัดธรรมดาเอง
        จื่อเถิง  : ขนาดเพ่ยซานที่ว่าเก่ง ยังเรียกได้ลมพัดแรงธรรมดาเหมือนกัน
            มี่จื่อ  : แต่ข้าก็เรียกลมพัดธรรมดาไม่ได้ แปลกมั้ยล่ะ
          เฝิ่นลู่  : ฮ่าฮ่า นั่นสิ แล้วตอนกินอาหารเย็นเจ้าไปกินที่ไหนไม่เห็นมากินกับพวกเรา
            มี่จื่อ  : ข้ากินอาหารเย็นกับอาจารย์จินไห่น่ะ พอดีว่าฝึกควบคุมพลัง กับฝึกตีกลองกันทั้งวันจึงอาศัยกินข้าวกับอาจารย์ไปด้วยเลย
          เฝิ่นลู่  : มิน่าล่ะ! ถึงได้ยินเสียงตีกลองดังมาจากเรือนที่พักอาจารย์
         ฉิงซวง  : แหม! น่าอิจฉาจังเลยได้ใกล้ชิดกับอาจารย์จินไห่ด้วย เจ้ากับอาจารย์จินไห่มีความสัมพันธ์แบบไหนกัน เป็นคู่รักกันรึ ดูสนิทสนมกันมาก ถ้าเจ้าไปเรียนตีกลองที่เรือนพักอาจารย์อีกพาข้าไปด้วยสิ ข้าอยากเห็นห้องพักของอาจารย์จินไห่
             มี่จื่อ  : เป็นเพื่อน! เอ่อ! เคยเป็นเพื่อนบ้านกัน เอ่อ...ข้าขอตัวไปนอนพักสักหน่อย ตีกลองมาทั้งวันรู้สึกปวดแขน


          ฉันรีบชิ่งหนีสาวๆที่เริ่มถามเรื่องฉันกับจินไห่ ฉันไม่อยากให้พวกนางรู้เรื่องราวซับซ้อนยุ่งยากของฉันมากนัก ฉันจึงรีบเข้าห้องพักปิดประตูเงียบอยู่แต่ในห้อง นอนมองแหวนหยกที่เหยียนเหล่ยสวมใส่ให้ แล้วนึกถึงรสจูบหวานฉ่ำลิ้นที่เขาเคยบรรจงจูบจนแทบจะกลืนกินฉันไปทั้งตัว ฉันยอมรับว่าฉันรักเหยียนเหล่ยและมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา แต่อีกใจหนึ่งฉันก็อยากกลับบ้านเพราะคิดถึงการใช้ชีวิตอิสระและเทคโนโลยีที่ทันสมัย นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพักก็ได้ยินเสียงกู่เจิงดังมาจากทางเรือนพักอาจารย์ จินไห่คงเล่นกู่เจิงแน่ๆบทเพลงช่างไพเราะเหลือเกิน ทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงเหยียนเหล่ยขึ้นมาอีกแล้ว จนอยากวิ่งออกจากห้องไปนอนกอดเขาเหมือนคืนก่อนๆ ฉันจึงเปิดประตูห้องเพื่อออกมายืนฟังเสียงกู่เจิงให้ชัดๆ ก็พบฉิงซวงกับเฝิ่นลู่ที่ยืนฟังอยู่ก่อนแล้ว


         ฉิงซวง  : เสียงกู่เจิงไพเราะมากจนเจ้าก็เดินออกมาฟังเหมือนกันเหรอ
             มี่จื่อ  : ใช่ อาจารย์จินไห่คงเป็นคนเล่น
         ฉิงซวง  : ไม่น่าจะใช่ ท่วงทำนองและอารมณ์เปลี่ยนไป เหมือนกำลังมีความรัก ความคิดถึงและหลงไหล เขากำลังเรียกหาให้คนรักไปอยู่ข้างกาย...
             มี่จื่อ  : โห! แค่ฟังก็รู้เลยเหรอว่าไม่ใช่อาจารย์จินไห่ รู้ถึงอารมณ์คนเล่นอีกด้วย สุดยอด!
           เฝิ่นลู่  : ก็ฉิงซวงน่ะคลั่งไคล้อาจารย์จินไห่มาก รู้จักทุกเพลงที่อาจารย์จินไห่เล่น นางออกมานั่งฟังทุกวัน จึงรู้ว่าเพลงนี้ผู้บรรเลงไม่ใช่อาจารย์จินไห่ นอกจากอาจารย์จินไห่แล้ว อาจารย์ท่านอื่นๆก็ยังเล่นไม่ไพเราะขนาดนี้ อยากรู้จังใครกันนะบรรเลงเพลงนี้
        ฉิงซวง  : ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ทำไมเราไม่ไปแอบดูกันล่ะ เรามีผู้นำทางเข้าไปที่เรือนพักอาจารย์อยู่ตรงนี้แล้ว? (ฉิงซวงมองมาที่ฉัน)
           เฝิ่นลู่  : ข้าก็อยากเข้าไปดูสักครั้ง สถานที่ต้องห้ามมักน่าสนใจเสมอ
             มี่จื่อ  : เฝิ่นลู่หน้าตาเจ้าน่ารักบ้องแบ๊ว ไม่น่าเชื่อว่าจะชอบทำเรื่องสุ่มเสี่ยงท้าทาย
           เฝิ่นลู่  : เจ้าก็เหมือนกันล่ะน่า เจ้าก็น่ารักดูเงียบๆเรียบร้อย แต่ความจริงท่าทางของเจ้าดูมีความลับบางอย่างปิดบังซ่อนอยู่ เจ้าเลือกเอาจะพาเราไปที่เรือนพักอาจารย์หรือว่าจะให้ข้าสืบเรื่องของเจ้าแทน
            มี่จื่อ  : ก็ได้ๆ ไปแอบดูไกลๆพอนะ
        จิ่นเกอ  : อะแฮ่ม! มืดค่ำแล้วสาวๆกำลังจะไปไหน ท่าทางลับๆล่อ (จิ่นเกอเดินผ่านมากับหลวนเฉิน)
         ฉิงซวง  : เราจะไปแอบดูว่าใครกำลังเล่นกู่เจิง
     หลวนเฉิน  : ให้ข้าไปด้วยคนสิ ข้าอยากเข้าไปดูด้วยเหมือนกัน
         จิ่นเกอ  : ทางเดินมันมืดข้าสองคนไปด้วยจะดีกว่านะ
           เฝิ่นลู่  : แอบเดินกันไปเงียบๆนะทุกคน


          ฉันพาพวกเขาแอบย่องเข้าไปในเขตพื้นที่เรือนพักอาจารย์ พาเดินแอบไปตามเงามืดและหลบตามสุมทุมพุ่มไม้ ทันไดนั้นก็ปรากฏยันต์โบราณลอยอยู่เหนือหลังคาเรือนพักอาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนัก ปรากฏอยู่แวบหนึ่งแล้วหายไป จิ่นเกอถึงกับอุทานถามขึ้นว่า


         จิ่นเกอ  : เมื่อกี้อะไรน่ะพวกเจ้าทันได้เห็นกันหรือเปล่า
     หลวนเฉิน  : เห็นสิ! น่าจะเป็นยันต์แต่ไม่รู้ยันต์อะไร
             มี่จื่อ  : นั่นยันต์ห้าธาตุ อย่าเข้าไปใกล้อันตรายถึงตายได้เลยนะ
           เฝิ่นลู่  : แล้วทำไมอาจารย์เจ้าสำนักจึงปล่อยยันต์ออกมาล่ะ
             มี่จื่อ  : คงกำลังเพิ่มลูกเล่นใหม่ลงไปในยันต์ เพราะข้าเห็นมีน้ำแข็ง หรือไม่ก็คงกำลังตรวจสอบช่องโหว่ของยันต์
         ฉิงซวง  : ทำไมเจ้าถึงรู้?!
            มี่จื่อ  : เพราะข้าเคยถูกทดสอบด้วยยันต์นั้นมาก่อน และบอกไว้เลยยันต์นี้อันตรายถึงตาย
    หลวนเฉิน  : เพราะแบบนี้ล่ะมั้งเขตพื้นที่เรือนพักอาจารย์จึงห้ามพวกลูกศิษย์เข้ามาหากไม่ได้รับอนุญาตเพราะอาจถูกลูกหลงเวลาอาจารย์ทดสอบวิชา เจ้าเก่งชะมัดที่สามารถปลดมนต์ของอาจารย์เจ้าสำนักได้
           เฝิ่นลู่  : นั่น! เสียงกู่เจิงดังมาจากศาลาริมน้ำ
         ฉิงซวง  : ไปดูกันเร็ว มาทางนี้


          เราทั้งห้าคนค่อยๆย่องเกาะหลังตามกันไป และคลานไปแอบหลังพุ่มไม้ที่สามารถมองเห็นศาลาริมน้ำได้ถนัด มองลอดช่องผ่านพุ่มไม้เห็นชายใส่ชุดขาวคุ้นๆตา ฉันถึงกับสะดุ้งเพราะชายที่กำลังเล่นกู่เจิงที่แสนไพเราะลุ่มหลงเขาคือเหยียนเหล่ยนั่นเอง เขากำลังคิดถึงฉันมากล่ะสิ ฉันคิดในใจแล้วแอบยิ้มออกมา หลวนเฉินเบียดตัวแล้วแทรกหน้าเข้ามาใกล้หน้าฉันจนแก้มแทบจะชนกัน พร้อมกับพูดกระซิบเบาๆว่าขอให้เขาดูหน่อยใครกันเล่นกู่เจิง แล้วเขาหันหน้ามาพูดกระซิบกับฉันอีกครั้งจนจมูกเขาเกือบจะถูกแก้ม ฉันจึงขยับหน้าออกและคิดในใจว่าหลวนเฉินตั้งใจทำหรือไม่ทันระวังกันแน่ แต่ฉันเห็นเขายังคงทำปกติและไม่ได้ใส่ใจจึงคิดว่าเขาคงไม่ทันระวังจริงๆ


    หลวนเฉิน  : นั่นใครน่ะ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?
         ฉิงซวง  : หล่อมาก เล่นกู่เจิงก็เก่ง
           เฝิ่นลู่  : อาจจะเป็นอาจารย์คนใหม่ก็ได้
         จิ่นเกอ  : มาสอนวิชาอะไรล่ะ?
             มี่จื่อ  : เรากลับกันได้แล้วล่ะ เดี๋ยวถูกจับได้ขึ้นมาจะแย่ กลับกันเถอะ!


          เราค่อยๆขยับตัวถอยห่างออกจากตรงนั้น คลานแอบไปตามทางที่เราเข้ามา ทันไดนั้นเราต้องสะดุ้งตกใจเพราะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องทักขึ้นมาว่า "ใครน่ะ หยุดนะ!" เราจึงรีบวิ่งหลบกันพัลวัลเพื่อหนีแต่ปรากฏกำแพงมนต์สกัดกั้นขั้นสูงขวางหน้าไม่ให้หนี พวกเขาทั้งสี่คนทำอะไรกันไม่ถูกเพราะเพิ่งเข้ามาเรียนได้หนึ่งเดือนจึงยังคลายมนต์ขั้นสูงไม่ได้ ฉันจึงรีบคลายมนต์สกัดกั้นให้หายไป หลวนเฉินรีบดึงมือฉันแล้วพากันวิ่งหน้าตั้งหนีออกมาจนพ้นเขตพื้นที่เรือนพักของอาจารย์ จิ่นเกอที่วิ่งอยู่ด้านหลัง ร้องบอกให้เราหยุดวิ่งเพราะไม่มีใครตามมาแล้ว เราจึงหยุดวิ่งแล้วนั่งลงเหนื่อยหอบ จิ่นเกอเดินเข้ามาหาฉันแล้วถามฉันว่า


         จิ่นเกอ  : มี่จื่อเจ้าคลายมนต์ขั้นสูงในเวลาอันรวดเร็วได้ยังไง
            มี่จื่อ  : ข้าเห็นจุดคลายมนต์ ก็แค่นั้น
         ฉิงซวง  : เห็นยังไงทำไมเร็วนัก
            มี่จื่อ  : อักขระมันจะมีแสงเด่นนูนขึ้นมา
    หลวนเฉิน  : แต่ข้ากลับมองไม่เห็นความแตกต่างเลย
           เฝิ่นลู่  : สนุก ตื่นเต้นมาก คืนนี้ข้าคงนอนหลับสบาย ฮ่าฮ่า
             มี่จื่อ  : ข้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ถูกจับได้ขึ้นมาไม่คุ้มกันเลย ถ้าอยากรู้ว่าใครเล่นดนตรีอีก คราวหน้าข้าจะถามอาจารย์จินไห่ให้แล้วกัน เฮ่อ! วิ่งเหนื่อยเป็นบ้า! ว่าแต่คนที่เจอเราเป็นใคร เสียงเป็นผู้หญิง
        ฉิงซวง  : เสียงศิษย์พี่กันฮวา ผู้สอนวิชาอักขระโบราณ
          เฝิ่นลู่  : ใช่! เสียงศิษย์พี่กันฮวา ข้าจำเสียงได้ อีกทั้งยังใช้มนต์สกัดกั้นขั้นสูง ต้องเป็นนางไม่ผิดแน่
        จิ่นเกอ  : เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ผู้หญิงสวยแต่ดุชะมัด นี่! หลวนเฉินเจ้าวิ่งเร็วไม่รอข้าเลย ดึงมือมี่จื่อวิ่งนำหน้ามาก่อน เจ้าทิ้งข้า!
    หลวนเฉิน  : ข้าไม่รู้ตอนนั้นมันชุลมุน ข้าคว้ามือใครได้ก็ดึงมือวิ่งมา ฮ่าฮ่า
         ฉิงซวง  : จิ่นเกอเจ้าขาสั้นวิ่งช้าเองยังจะโทษคนอื่นอีก
         จิ่นเกอ  : เจ้าว่าข้าเตี้ยเหรอ?!
         ฉิงซวง  : ข้าไม่ได้ว่าเจ้าเตี้ย แค่บอกว่าเจ้าขาสั้น ฮ่าฮ่า
           เฝิ่นลู่  : พรุ่งนี้เราต้องเรียนวิชาอักขระโบราณด้วย หวังว่าศิษย์พี่กันฮวาจะไม่รู้ว่าเป็นพวกเรานะ
    หลวนเฉิน  : พรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ พวกเจ้ากลับห้องพักเถอะ ข้าจะเดินไปส่ง


          หลวนเฉินกับจิ่นเกอเดินมาส่งเราที่ห้องพัก พบเพ่ยซานยืนอยู่หน้าเรือนที่พักกับจื่อเถิง ทั้งสองถามเราว่าไปไหนกันมา เฝิ่นลู่ตอบว่าเราไปเดินเล่นกันมา จากนั้นหลวนเฉินหันมากำชับให้ฉันไปเรียนวันพรุ่งนี้ด้วยกันแล้วหลวนเฉินกับจิ่นเกอก็เดินแยกกลับไปที่พักของตนเอง ทำให้เพ่ยซานดูหงุดหงิดไม่สบอารมณ์นัก เราจึงแยกย้ายกันกลับเข้าห้อง ส่วนฉันก็นอนฟังเสียงกู่เจิงและจินตนาการว่ามีเหยียนเหล่ยนอนอยู่ข้างๆและหลับไปจนกระทั่งเช้า

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 40
(เรียนสีซอ)

          เช้านี้ฉันเดินไปที่ห้องเรียนพร้อมกับเฝิ่นลู่ และฉิงซวง ส่วนเพ่ยซานกับจื่อเถิงไปที่ห้องเรียนก่อนแล้ว ฉันนั่งลงตรงที่นั่งด้านหลังข้างๆหลวนเฉิง และทักทายเขากับจิ่นเกอตามปกติ ไม่นานนักก็มีสาวสวยหน้าคม คิ้วโก่ง ผมยาวมากถึงก้นชุดสีเทา เดินเข้ามาพร้อมกับชายชุดขาวเสื้อคลุมดำคนหนึ่ง ทำเอาฉันตะลึงตกใจพร้อมกับเสียงฮือฮาตื่นเต้นของเด็กสาวในห้อง เพราะชายคนนั้นคือเหยียนเหล่ย ศิษย์พี่กันฮวาแนะนำกับทุกคนว่า...


        กันฮวา  : ท่านนี้คืออาจารย์ศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ย เคยสอนวิชาอักขระโบราณและมนต์โบราณขั้นสูงในสำนักเฟยอวี่ แต่อาจารย์ศิษย์พี่สี่ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อสะดวกในการช่วยงานให้วังหลวงและหน่วยสอบสวน แต่ตอนนี้อาจารย์ศิษย์พี่สี่กลับมาพำนักที่สำนักและจะกลับมาสอนอีกครั้งในช่วงระหว่างที่พำนักอยู่ที่นี่ พวกเจ้าต้องตั้งใจเรียนเพราะอาจารย์ศิษย์พี่สี่เก่งมาก
     หลวนเฉิน  : นี่คือคนที่เล่นกู่เจิงเมื่อคืนนี่นา ที่แท้เป็นอาจารย์ศิษย์พี่สี่ ข้าได้ยินมาว่าเขาเก่งมาก จนวังหลวงเชิญให้ไปช่วยงาน และยังเป็นเพื่อนสนิทกับท่านอ๋องหก และหัวหน้าหน่วยสอบสวนด้วย ล่าสุดสร้างผลงานไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญได้ ข่าวยังลือกันอีกว่าอาจารย์มีสาวใช้คนสนิทคนหนึ่งคอยช่วยไขปริศนาด้วย ลือกันว่าสาวใช้คนนั้นเป็นคนชี้จุดให้พบไข่มุกเบญจมาศ ข้าอยากเห็นสาวใช้คนนั้นจังเลย หน้าตาจะเป็นยังไงนะ?
         จิ่นเกอ  : แต่เมื่อวานข้าเห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งใส่ชุดเหมือนคนรับใช้เดินเข้าเดินออกขนของในเขตเรือนพักอาจารย์ นั่นอาจเป็นคนรับใช้ของอาจารย์ศิษย์พี่สี่ก็ได้ ข้ายังรู้อีกว่าอาจารย์ศิษย์พี่สี่มีพี่ชายเป็นเสนาบดีขั้นสอง เป็นลูกคุณหนูเชียวนา
     หลวนเฉิน  : งั้นข่าวลือมาผิดงั้นรึ คนสนิทไม่ใช่สาวใช้ แต่เป็นคนรับใช้ผู้ชาย!
              มี่จื่อ  : ชู่วววว...เริ่มเรียนกันแล้ว

          หลวนเฉินกระซิบกระซาบกับฉัน และบอกว่าวันนี้เขาลืมหยิบตำรามา จะขอดูตำราเล่มเดียวกันกับฉัน และขยับโต๊ะเข้ามาใกล้ๆ ฉันจึงแบ่งตำราให้เขาดูด้วย แต่สายตาฉันกำลังจับจ้องที่เหยียนเหล่ยก็พบว่าเขามองมาทางฉันเหมือนกันและพูดกับลูกศิษย์ในห้องว่า...

เหยียนเหล่ย  : ข้าก็หวังว่าจะถ่ายทอดวิชาความรู้และความสามารถที่ข้ามีให้ลูกศิษย์ได้มากที่สุด แต่วันนี้ข้าจะขอดูการเรียนของพวกเจ้าก่อน เพื่อจะดูว่าใครมีพื้นฐานความรู้มากน้อยเพียงใด
        กันฮวา  : เอาล่ะ! ข้าจะทบทวนการปลดมนต์จากที่เรียนไปเมื่อวันก่อน ให้ออกมาปลดมนต์ทีละคน ข้าจะให้คะแนนพิเศษกับคนที่ปลดมนต์ได้ในวันนี้ (กันฮวาสร้างมนต์สกัดกั้นแบบเดียวกันกับเมื่อคืน)
     เจียวจ้าน  : ศิษย์พี่แต่นี่เป็นมนต์ขั้นสูง พวกเรายังเรียนไม่ถึงขั้นนั้น
        กันฮวา  : วันหนึ่งพวกเจ้าก็ต้องเรียน ข้าจึงอยากให้พวกเจ้าได้เห็นและทำความคุ้นเคยจะได้กระตือรือร้นไฝ่เรียน เอ้า! เริ่มได้

          ลูกศิษย์ถูกเรียกออกไปคลายมนต์ทีละคน แต่ทุกคนล้วนคลายมนต์ไม่ได้ จิ่นเกอหันมากระซิบกระซาบว่า ฉันต้องได้คะแนนพิเศษแน่ๆเพราะเขาเห็นฉันคลายมนต์สกัดกั้นได้เมื่อคืนเป็นมนต์แบบเดียวกันเลย แต่หลวนเฉินหันมามองหน้าสบตากับฉันและส่งสัญญาณส่ายหน้าเล็กน้อย ฉันพยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับเสียงเบาๆว่า "อืม" เป็นสัญญาณว่ารู้กัน กันฮวามองดูศิษย์ในห้องทุกคนเพื่อจับผิด แต่ทุกคนดูไม่มีอะไรผิดปกติเพราะพวกเขาไม่รู้มนต์ขึ้นสูงจริงๆ พอถึงฉันต้องออกไปคลายมนต์ฉันเหลือบมองไปที่เหยียนเหล่ย เขามองตามฉันตลอดตั้งแต่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ฉันหลบตาเขาแล้วหันไปมองที่กำแพงมนต์สกัดกั้น ฉันสามารถมองเห็นอักขระปลดผนึกตั้งแต่นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว แต่ฉันแกล้งมองผ่านอักขระปลดมนต์แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วทำเป็นครุ่นคิดเกาหัวว่าหาอักขระปลดผนึกไม่เจอ จากนั้นก็แกล้งจิ้มนิ้วผิดๆที่อักขระตัวอื่นแทน จนกันฮวาถามฉันด้วยคำถามเหยียดหยันดูแคลน แม้กระทั่งเหยียนเหล่ยก็มองฉันด้วยสีหน้าแปลกใจแต่ไม่ได้พูดหรือถามอะไร...

        กันฮวา  : ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบปลดมนต์กักขังห้าธาตุได้ แต่นี่แค่มนต์สกัดกั้นธรรมดาเจ้ากลับปลดมนต์ไม่ได้รึ หรือนั่นเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้าง หรือเป็นความบังเอิญที่เจ้าทำได้
             มี่จื่อ  : เอ่อ...คือ...
           เฝิ่นลู่  : ศิษย์พี่กันฮวา วันนี้มี่จือไม่ค่อยสบายเห็นเมื่อเช้าบ่นๆว่าปวดหัว
      เพ่ยซาน  : เมื่อคืนยังเห็นดีๆอยู่เลย มืดค่ำยังออกไปเดินเล่นได้ เช้ามาก็บอกว่าไม่สบายป่วยง่ายจัง เหมือนแกล้งป่วย (เพ่ยซานพูดแขวะฉัน)
         จื่อเถิง  : ใช่ๆ เมื่อคืนยังเห็นเป็นปกติดี
         ฉิงซวง  : ก็เดินเล่นในสวนหลังเรือนที่พักมีน้ำค้างลงมี่จื่อก็เลยไม่สบายน่ะสิ!
            มี่จื่อ  : ใช่ๆ! ข้าปวดหัวตุ๊บๆคิดอะไรไม่ออกเลย
        กันฮวา  : เมื่อคืนเจ้าไปเดินเล่นกับใคร ไปกันกี่คน?!
เหยียนเหล่ย  : เอ๊ะ! มีลูกศิษย์ไม่สบายปวดหัวรึ? ไหนให้ข้าดูซิ! (เหยียนเหล่ยเดินเข้ามาขัดจังหวะและเอามือแตะที่หน้าผากฉันเพื่อวัดไข้) แต่ไม่มีไข้นี่นา
            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ข้าปวดหัวตุ๊บๆ (ฉันแอบกระตุกชายเสื้อเหยียนเหล่ยส่งสัญญาณให้เขาช่วย)
เหยียนเหล่ย  : งั้นตามข้าไปเอายาที่จินไห่
         กันฮวา  : ศิษย์พี่สี่นางแค่ปวดหัว ข้ามียาเดี๋ยวข้าไปเอามาให้
เหยียนเหล่ย  : ไม่ต้อง! เจ้าสอนลูกศิษย์ต่อไปเถอะ ข้านั่งว่างอยู่จะพานางไปเอง มี่จื่อตามข้ามา

          เฝิ่นลู่ ฉิงซวง หลวนเฉิน จิ่นเกอ และฉันแอบถอนหายใจโล่งที่ฉันสามารถหลบเลี่ยงกันฮวาออกมาได้ ฉันเดินตามหลังเหยียนเหล่ยออกจากห้องเรียน และพูดคุยเบาๆให้ดูเป็นปกติ

            มี่จื่อ  : ขอบคุณ คุณชายที่พาข้าไปเอายา
เหยียนเหล่ย  : เรียกข้าว่าอาจารย์!
             มี่จื่อ  : อาจารย์....
เหยียนเหล่ย  : กลุ่มเด็กซนที่แอบเข้าไปในเขตที่พักอาจารย์เมื่อคืนคือกลุ่มพวกเจ้าล่ะสิ?
             มี่จื่อ  : ใช่...ก็ไม่ได้เข้าไปทำเรื่องไม่ดีหรอก แค่อยากเข้าไปดูว่าใครเล่นกู่เจิงไพเราะเหลือเกิน แต่พอเห็นแล้วว่าเป็นท่าน พวกเราก็รีบกลับกันออกมา แต่โชคไม่ดีเจอศิษย์พี่กันฮวา
เหยียนเหล่ย  : จินไห่บอกข้าว่าเห็นกลุ่มเด็กห้าคนแอบเข้ามามีเจ้าอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยกำลังถูกกันฮวาไล่ตามจับ จินไห่จึงช่วยเรียกกันฮวาไว้ไม่ให้ไล่ตามพวกเจ้าและปล่อยพวกเจ้าไป ไม่ตามไปเอาเรื่องเพราะเห็นแก่ข้า เจ้าเป็นหัวโจกพาพวกเขาแอบเข้าไป หากได้รับอันตรายจากการทดสอบวิชาของพวกอาจารย์จะทำยังไง เจ้ารับผิดชอบชีวิตแทนพวกนั้นไหวเรอะ?! เพิ่งมาได้วันเดียวก็เริ่มหาเรื่องให้ข้าปวดหัว ข้าควรต้องกินยาแก้ปวดหัวมากกว่าเจ้าซะอีก!
            มี่จื่อ  : ข้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่แอบเข้ามายามวิกาลอีก ท่านจะลงโทษข้าก็ได้ข้ายอมถูกท่านลงโทษ
เหยียนเหล่ย  : เข้าไปในห้อง!

          เหยียนเหล่ยให้ฉันเดินเข้าไปในห้องพักของเขาแล้วพาฉันไปที่เตียงนอน เขาโถมตัวกอดหอมและจูบฉันอย่างหื่นกระหาย พร่ำบอกว่าคิดถึงและบอกว่าเมื่อคืนเขาเล่นกู่เจิงให้ฉันฟัง เพราะทนความเหงาและคิดถึงไม่ไหว จึงต้องฝากไปกับเสียงกู่เจิง ฉันจึงบอกเขาว่าฉันเองก็ทนไม่ไหว เหมือนถูกเรียกหาด้วยเสียงกู่เจิงจึงยอมแหกกฏแอบเข้ามาที่นี่ตามเสียงกู่เจิง เหยียนเหล่ยจึงถอดกางฉันออกแล้วเลื่อนหน้าลงไปจูบหอมเนินหว่างขาแล้วยกขาฉันขึ้นแยกขาอ้าออกกว้างแล้วสอดใส่ลิ้นเลียและดูดกินน้ำที่เปียกแฉะเยิ้ม จากนั้นจับแท่งเนื้อแข็งถูไถกับเนินหว่างขาแล้วค่อยๆดันเข้าไปจนมิด เขาเริ่มโยกและกระแทกกระทั้นเร็วแรงเพื่อแข่งกับเวลาไม่ให้เป็นพิรุธ ฉันยกก้นเด้งรับแรงกระแทกจนเสียวไปหมด เขากระแทกบดเบียดแท่งเนื้อแข็งถี่เร็วอยู่หลายครั้งจนเราเสร็จพร้อมกัน จูบแลกลิ้นดูดดื่มครู่หนึ่งทิ้งท้าย แล้วรีบแต่งตัวให้เป็นปกติ เหยียนเหล่ยเดินไปหยิบตำราเล่มหนึ่งมาให้ฉัน เป็นตำราอักขระโบราณของเขา เขาบอกว่าให้อ่านตำราของเขาจะละเอียดกว่าตำราทั่วไป แล้วพาฉันออกมานั่งอ่านตำราหน้าเรือนที่พัก เหยียนเหล่ยบอกว่าให้รอเวลาเข้าเรียนวิชาต่อไปเพราะฉันปวดหัวเพิ่งกินยาเข้าไปจึงต้องพักสักครู่ หากยังไม่หายจะต้องกินยาซ้ำอีกครั้ง เขาพูดไปยิ้มไปและมองฉันด้วยสายตาเชิญชวน ซึ่งฉันเองยังคงต้องการเขาอีกครั้งหนึ่ง ฉันจึงหันมองซ้ายมองขวาไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ จึงบอกเหยียนเหล่ยว่าฉันยังไม่หายปวดหัวเลย เหยียนเหล่ยลุกขึ้นเดินเข้าห้อง โดยมีฉันเดินตามหลังเข้าไป เขารีบคว้าเอวฉันเข้ามาโอบกอด จูบแลกลิ้นและอุ้มฉันเข้าเอวพาไปนอนบนเตียงรีบถอดกางเกงออกแล้วเริ่มบรรเลงบทรักเร่าร้อนกันอีกครั้งหนึ่ง

          จากนั้นฉันกับเหยียนเหล่ยก็ออกมานั่งอ่านตำราที่หน้าเรือน เพื่อรอเวลาไปเข้าเรียนวิชาดนตรีของจินไห่ ก็พบจินไห่กำลังเดินกลับมาจากทางด้านหลังเรือนที่พัก ฉันจึงลุกขึ้นเดินไปหาจินไห่และกล่าวขอบคุณเขาที่ช่วยไว้เมื่อคืน

           จินไห่  : กลางค่ำกลางคืนเจ้ากับเพื่อนๆไม่ควรแอบเข้ามาที่นี่ โชคดีเมื่อคืนศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ทดสอบกระบี่ มิเช่นนั่นพวกเจ้าคงถูกกระบี่บินไล่แทงไปแล้ว
             มี่จื่อ  : ข้าขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว
          จินไห่  : เจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะไม่เรียนรึ? ศิษย์พี่สี่ต้องสอนวิชาอักขระโบราณเวลานี้มิใช่รึ?
เหยียนเหล่ย  : กันฮวาพยายามเอาเรื่องมี่จื่อที่แอบเข้ามาที่นี่เมื่อคืน ข้าจึงพามาหลบเพื่อให้กันฮวายุติ
          จินไห่  : งั้นรอไปเข้าเรียนพร้อมกันกับข้าแล้วกัน ขอข้าไปหยิบเอ้อร์หูก่อน
            มี่จื่อ  : เอ้อร์หู?
เหยียนเหล่ย  : เอ้อร์หู คือซอสองสาย เจ้าเคยเล่นหรือไม่
            มี่จื่อ  : ไม่เคย!
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะบอกวิธีเล่น

          เหยียนเหล่ยรับเอ้อร์หูจากจินไห่มาสีให้ฉันดูเป็นตัวอย่างเสียงซอที่เขาสีนั้นไพเราะปนเศร้า เขาบอกให้ฉันขยับมานั่งข้างหน้าแล้วจับมือฉันสีซอเอ้อร์หู จากนั้นเขาปล่อยมือให้ฉันลองสีซอด้วยตัวเองคนเดียว แต่เสียงซอที่ฉันสีกลับเพี้ยนสะเทือนแก้วหู จนเหยียนเหล่ยถึงกับหลับตาขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือมาจับมือฉันให้หยุดสีซอ

เหยียนเหล่ย  : เป็นเสียงซอที่ฟังแล้วทรมานหูยิ่งนัก หากเจ้าใส่พลังแฝงเข้าไป คงทำให้คนฟังตายอย่างทรมานดุจได้ยินเสียงจากนรก
          จินไห่  : ศิษย์พี่สี่ทำไมแนะนำนางแบบนั้นเล่า
เหยียนเหล่ย  : เพราะข้าดูแล้วมี่จื่อคงเอาดีทางด้านดนตรีไม่ได้ ไม่มีปมเด่นให้สนับสนุนงั้นก็เปลี่ยนปมด้อยให้กลายเป็นปมเด่นแทน
            มี่จื่อ  : ศิษย์พี่สี่ให้กำลังใจข้าดีเหลือเกิน
          จินไห่  : ได้เวลาเรียนแล้ว มี่จื่อเราไปกันเถอะ
เหยียนเหล่ย  : ตั้งใจเรียนนะมี่จื่อที่รักของข้า (เขาพูดกับฉันเบาๆ)
            มี่จื่อ  : อื้ม (ฉันพยักหน้า)

          ฉันกับจินไห่เดินกลับเข้าห้องเรียนไปด้วยกัน ทำให้ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนจ้องมองด้วยความสนใจ และกลายเป็นที่อิจฉาของสาวๆที่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดอาจารย์หนุ่ม จนฉิงซวงแซวฉันว่า ก่อนหน้านี้หายออกไปกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ย แล้วกลับเข้ามากับอาจารย์จินไห่ ทำยังไงถึงจะมีโอกาสแบบนี้บ้าง ฉันจึงตอบกลับไปว่าบังเอิญเจอกันระหว่างทาง พอฉันเข้านั่งประจำที่โต๊ะ หลวนเฉินจึงถามว่า

   หลวนเฉิน  : เจ้าหายไปไหนมาตั้งนาน 
            มี่จื่อ  : เพื่อหลบหน้าศิษย์พี่กันฮวาจึงสารภาพผิดกับอาจารย์เหยียนเหล่ยเรื่องที่แอบเข้าไปในเขตที่พักอาจารย์เมื่อคืน และขอนั่งอ่านตำราอยู่ที่เรือนที่พักอาจารย์เหยียนเหล่ย
   หลวนเฉิน  : นี่ตำราคืนให้เจ้า
           มี่จื่อ  : เจ้าเก็บเล่มนั้นไว้เถอะ ข้ามีตำราอีกเล่มหนึ่งอาจารย์เหยียนเหล่ยให้มา
   หลวนเฉิน  : ไหนขอดูหน่อย! โอ้โห! มีจดบันทึกรายละเอียดอื่นนอกตำราไว้ด้วย เอ๊ะ! แล้วนี่อาจารย์เขียนอักขระอะไรไว้เนี่ยรูปร่างแปลกๆอ่านไม่ออก
            มี่จื่อ  : นี่อักขระชนเผ่าดาวบูรพา อ่านว่าขนแกะทองคำ
    หลวนเฉิน  : หมายถึงอะไร? ทำไมเจ้าอ่านออกได้ล่ะ?
            มี่จื่อ  : อาจารย์คงถอดอักขระได้จากอะไรสักอย่างแต่ไม่มีกระดาษจด จึงจดบนตำราแทน ข้าคิดว่ายังงั้นนะ
          จินไห่  : เจ้าสองคนคุยกันเสร็จรึยัง พร้อมจะเรียนกับข้าได้รึยัง มี่จื่อเจ้าควรให้ความสนใจกับวิชาที่อ่อนด้อยให้มากหน่อยจะดีกว่า
            มี่จื่อ  : ค่ะอาจารย์...
        จิ่นเกอ  : เขาอายุใกล้เคียงกับพวกเราแท้ๆแต่วางมาดน่าดู ถ้าเขาไม่ใช่อาจารย์ล่ะก็ ข้าไม่ยอมให้เขามาข่มข้าแน่นอน (เขากระซิบกระซาบ)
        ฉิงซวง  : เชอะ! อีกร้อยปีเจ้าก็ยังไม่เก่งเท่าอาจารย์จินไห่หรอก! เขาทั้งเก่งทั้งหล่อ!

          จินไห่ให้ทุกคนหัดเล่นซอเอ้อร์หู ซึ่งทุกคนส่วนใหญ่จะเล่นได้แม้จะไม่เก่งมากนักแต่ดูเหมือนพวกเขาจะมีพื้นฐานการศึกษามาดีทุกคน ยกเว้นฉันที่ชอบฟังเพลงและดนตรีแต่ไม่เคยมีพื้นฐานการเล่นเครื่องดนตรีมาก่อนเลยสักชิ้น เสียงซอของฉันยังคงเพี้ยนจนเพื่อนๆพากันหัวเราะเห็นฉันเป็นตัวตลก

      เพ่ยซาน  : ดูก็รู้ว่าเจ้าไม่เคยเรียนดนตรีมาก่อนเลย เจ้าก็แค่คลายมนต์กักขังห้าธาตุได้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆข้าไม่เห็นเจ้าจะทำอะไรเป็น กลับแย่ยิ่งกว่าสาวใช้ที่บ้านข้าเสียอีก
        ฉิงซวง  : แต่เมื่อคืนมี่จื่อคลาย...
          เฝิ่นลู่  : พอเถอะน่าฉิงซวง อย่าเถียงกันอีกเลย เราไปช่วยสอนมี่จื่อให้สีซอได้ดีกว่า ยังมีประโยชน์มากกว่ามาเถียงกัน
         จื่อเถิง  : สอนไปก็เสียเวลาเปล่า นางไม่มีพื้นฐานดนตรีเลยสักนิด เชื่อข้าเถอะเสียเวลาเปล่า
    หลวนเฉิน  : เสียเวลาเปล่าแค่ไหนเราก็จะสอนมี่จื่อให้เป็นให้ได้!

          จินไห่บอกว่าเราสามารถผสมผสานเสียงดนตรีเข้ากับพลังธรรมชาติและพลังปรานในตัว สามารถแปลเปลี่ยนเสียงดนตรีให้เป็นพลังบำบัด และในขณะเดียวกันก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นพลังโจมตีที่แข็งแกร่งได้ จินไห่จึงสีซอเพลงช้าแสดงพลังบำบัดให้รู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนท่วงทำนองให้เร็วและหนักแน่นขึ้นจนรู้สึกถึงพลังที่ส่งออกมาจนทำให้อ่างบัวที่วางประดับอยู่มุมห้องแตกกระจายบนพื้นเปียกน้ำ ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงกับพลังที่เห็น

     เจียวจ้าน  : อาจารย์จินไห่ ข้าได้ยินมาว่าเพลงขลุ่ยกักขังวิญญาณของท่านสามารถปลิดชีพศัตรูโดยปราศจากบาดแผลและรอยเลือด ท่านแสดงวิชาขลุ่ยกักวิญญานให้พวกเราได้เห็นสักครั้งจะได้หรือไม่
          จินไห่  : ไม่ได้หรอก เพราะข้าไม่มีคนที่อยากจะฆ่าอยู่ที่นี่ และไม่มีใครที่นี่เป็นศัตรูของข้า เอาล่ะ! พวกเจ้าฝึกซ้อมกันไป พรุ่งนี้ข้าจะสอบสีซอเออร์หู
             มี่จื่อ  : เดี๋ยว! ทำไมสอบเร็วนักล่ะ ข้าเพิ่งเรียนได้วันเดียวเอง!
          จินไห่  : แต่พวกเขาเรียนได้หนึ่งเดือนแล้ว เจ้ามาเข้าเรียนช้าเอง ดังนั้นเจ้าต้องพยายามตามให้ทันคนอื่นให้ได้ ไม่ใช่ให้คนทั้งห้องมารอเจ้าเพียงคนเดียว
            มี่จื่อ  : แต่เพิ่งเรียนกันได้เดือนเดียวก็สอบแล้ว สอบเร็วเกินไปหน่อยรึเปล่า?
          จินไห่  : เราสอบเร็วและสอบบ่อยเพื่อให้พวกเจ้ากระตือรือล้นไม่ขี้เกียจและหมั่นฝึกฝนวิชาอยู่เสมอ หากใครไม่ผ่านการสอบบ่อยครั้งหรือผลการสอบต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกนำมาพิจารณาตัดสิทธิ์การเรียนในระดับต่อไป หรือถูกให้ออกจากสำนักนั่นเอง เข้าใจหรือไม่?
            มี่จื่อ  : เข้าใจแล้ว... เห็นหน้าใสๆแต่ใจร้ายชะมัด (ฉันบ่นพึมพำเบาๆ)
          จินไห่  : มี่จื่อ! ข้าได้ยินที่เจ้าบ่นพึมพำ เจ้าไปเก็บกวาดอ่างบัวที่แตกและเช็ดพื้นให้แห้ง เป็นการทำโทษที่บ่นลับหลังอาจารย์
            มี่จื่อ  : ค่ะอาจารย์...(ฉันก้มหน้าห่อเหี่ยว)
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าเก็บกวาดอ่างบัว

          หลังจากช่วยกันเก็บกวาดอ่างบัวเสร็จฉันก็มานั่งฝึกสีซอเอ้อร์หูโดยมีฉิงซวง เฝิ่นลู่ หลวนเฉิน และจิ่นเกอคอยช่วยสอนฉันสีซอที่สอนเท่าไหร่ก็ยังไม่เป็นสักที จนกลายเป็นความตลกปนฮากับเสียงซอเพี้ยนๆของฉัน จนถึงช่วงบ่ายต้องเรียนวิชากระบี่และการต่อสู้กับอาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นวิชาที่ฉันอยากเรียนและชอบและอยากใช้วิชานี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อควบคุมพลังหมื่นบุปผาให้ควบคุมง่ายขึ้นอีกด้วย อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่พาเราไปที่ลานฝึกซ้อม ให้ซ้อมใช้กระบี่ไม้ ด้วยความชอบส่วนตัวและเคยมีพื้นฐานมาก่อนเล็กน้อยทำให้ฉันสามารถเรียนกระบี่และการต่อสู้ได้ดีพอสมควร สามารถกู้หน้าคืนให้ตัวเองได้บ้างจากที่เสียหน้าในวิชาดนตรี

           อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่สอนทุกคนให้บังคับกระบี่ด้วยพลังปรานเพื่อเพิ่มพลังให้กับกระบี่ ในขณะที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่นั้น อาจารย์เจ้าสำนักและอาจารย์ศิษย์พี่คนอื่นๆรวมทั้งเหยียนเหล่ย จินไห่ และกันฮวาที่ติดตามมาด้วย เดินมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเรา จากนั้นอาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าอาจารย์เจ้าสำนักมาชมการฝึกวิชาของลูกศิษย์ใหม่ และยังบอกอีกว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีงานฉลองของสำนักไป๋หู่ จะมีเหล่าขุนนาง ชาวยุทธ และเจ้าสำนักทุกสำนักจะไปร่วมงานยกเว้นอาจารย์เฟยเทียนจะส่งศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ยและฉันไปเป็นตัวแทนของสำนักเฟยอวี่ แต่อาจารย์เจ้าสำนักเห็นว่าลูกศิษย์ใหม่ควรมีประสบการณ์ได้พบเหล่าชาวยุทธ เพื่อสะสมประสบการณ์ จะได้มีความกระตือรือร้นและฝึกฝนฝีมืออยู่เสมอ โดยจะคัดเลือกศิษย์ใหม่ฝีมือดีอีกห้าคนให้ติดตามไปด้วย โดยจะดูผลการสอบโดยรวมจากการสอบแต่ละวิชาภายในสองสัปดาห์นี้ และอาจารย์เจ้าสำนักจะมาดูการสอบด้วยตัวเองด้วย ทำให้ลูกศิษย์บางคนเกิดความไม่พอใจที่ฉันได้รับคัดเลือกโดยไม่ต้องสอบคัดเลือกเหมือนศิษย์คนอื่นๆ

     เจียวจ้าน  : ทำไมมี่จื่อได้สิทธิ์ไปโดยไม่ต้องสอบคนเดียว แล้วทำไมพวกเราไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
      เพ่ยซาน  : ใช่! นางเป็นใครเหตุใดนางจึงได้รับอภิสิทธิ์พิเศษมากกว่าคนอื่น แค่นางผ่านการทดสอบคลายมนต์กักขังห้าธาตุได้ บางทีที่นางทำได้อาจเป็นเรื่องบังเอิญ และจากที่ข้าได้เรียนวิชาอื่นๆกับนางมาตั้งแต่เมื่อวาน นางก็ไม่ได้เรียนดีไปกว่าพวกเราสักเท่าไหร่ ข้าว่าดูแย่กว่าด้วยซ้ำ แม้กระทั่งการเล่นเครื่องดนตรีนางยังเล่นไม่ได้เลย!
          จื่อเถิง  : ใช่! แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับพวกเรา
  ศิษย์พี่ใหญ่  : นี่พวกเจ้ากล้า...!
     เฟยเทียน  : เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่ยุติธรรม ข้าจะให้มี่จื่อสอบคัดเลือกด้วย เจ้าจะว่ายังไงมี่จื่อ เจ้าจะพิสูจน์ตัวเองเพื่อลบคำครหาที่ศิษย์คนอื่นๆกล่าวหาว่าข้าไม่ยุติธรรมหรือไม่?!
            มี่จื่อ  : ข้าจะสอบ (ฉันมองสบตากับเหยียนเหล่ย เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญานว่าเขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉัน)
    เฟยเทียน  : ดี! สำนักเราเริ่มมีบรรยากาศคึกคัก ข้าชอบ เริ่มสอบแข่งขันตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
 ศิษย์พี่ใหญ่  : พรุ่งนี้ข้าจะทำการสอบ การควบคุมกระบี่ ขอให้ทุกคนฝึกซ้อมกันให้ดี พรุ่งนี้อาจารย์เจ้าสำนักจะมาชมการสอบด้วย

          อาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนัก และศิษย์พี่คนอื่นๆเดินกลับออกไปจากลานฝึก เพื่อปล่อยให้พวกเราไม่เกิดอาการเกร็งและได้ฝึกซ้อมกันเต็มที่ เรื่องวิชาการต่อสู้และกระบี่ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อยแค่กลัวพลาดเท่านั้น แต่เรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลมากที่สุดคือวิชาดนตรี ซึ่งฉันเองยังไม่รู้จะสีซอยังไงให้เสียงไพเราะไม่เพี้ยนมันยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก ฉันจึงนั่งลงพัก และครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี

           เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ ทำไมทำหน้ายังงั้นล่ะ บังคับกระบี่ไม่ได้รึ?
             มี่จื่อ  : เปล่า... ข้ากังวลเรื่องสีซอเอ้อร์หูพรุ่งนี้ ข้ายอมรับว่าข้าทำไม่ได้ ข้าเล่นไม่เป็น ข้าทำให้อาจารย์เจ้าสำนักถูกคำครหาเพราะรับข้ามาเป็นศิษย์
        ฉิงซวง  : หลังเลิกเรียนข้าจะสอนให้เจ้าสีซอ
        จิ่นเกอ  : ถ้าเจ้าสอบไม่ผ่านวิชาดนตรี เจ้าก็ต้องสอบวิชาอื่นให้ผ่านอาจช่วยพยุงคะแนนสอบให้เจ้าได้
    หลวนเฉิน  : ยังมีวิชาพลังธรรมชาติอีกวิชาหนึ่งที่เจ้าถูกสั่งห้ามเข้าเรียน ถ้าเจ้าไม่ได้สอบวิชานี้ด้วยคะแนนจะแย่เอานะ
            มี่จื่อ  : หลังเลิกเรียนข้าจะไปพบอาจารย์ศิษย์พี่รองเพื่อขอโอกาสเข้าเรียนอีกครั้งเพราะข้าควบคุมพลังแฝงในตัวได้แล้ว
    หลวนเฉิน  : เราจะไปกับเจ้าด้วยไปช่วยกันขอร้องให้เจ้าได้เข้าเรียน
            มี่จื่อ  : ขอบใจทุกคนที่ช่วย

          หลังเลิกเรียนเราทั้งห้าคนไปขอเข้าพบอาจารย์ศิษย์พี่รองที่ห้องพัก ระหว่างทางต้องเดินผ่านเรือนที่พักของเหยียนเหล่ยเห็นฟูหลิวยืนกวาดพื้นอยู่หน้าเรือน ฉันจึงโบกมือทักทายเขาโดยอ้างว่ารู้จักกับฟูหลิวตอนที่มาหลบศิษย์พี่กันฮวา เมื่อเดินมาถึงเรือนที่พักอาจารย์ศิษย์พี่รอง เราทั้งห้าคนช่วยกันขอร้องให้อาจารย์ศิษย์พี่รองยอมอนุญาตให้ฉันได้กลับเข้าเรียนวิชาพลังธรรมชาติอีกครั้งเพราะฉันสามารถควบคุมพลังแฝงได้แล้ว อาจารย์ศิษย์พี่รองจึงให้ฉันทดสอบยืมพลังธรรมชาติลมให้เขาดูอีกครั้ง ฉันจึงเรียกลมพายุหมุนให้พัดเศษใบไม้ที่หล่นเกลื่อนอยู่หน้าเรือนให้พัดหายไปจนหมดดูสะอาดตา เพื่อให้อาจารย์ศิษย์พี่รองเห็นว่าฉันสามารถควบคุมพลังแฝงให้ปลอดภัยได้และมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ทำให้อาจารย์ศิษย์พี่รองรู้สึกพอใจ และยินยอมให้ฉันกลับเข้าเรียนและสามารถเข้าสอบแข่งขันได้

          จากนั้นเราจึงเดินออกจากเรือนอาจารย์ศิษย์พี่รองเพื่อกลับไปฝึกสีซอเอ้อร์หู ช่วงที่เดินกลับออกมาก็ยังเห็นฟูหลิวกวาดพื้นอยู่แต่ดูเหมือนจะกวาดไปบ่นไป อีกทั้งยังมีเหยียนเหล่ยยืนนิ่งกอดอกอยู่หน้าเรือน เราทั้งห้าคนจึงหันหน้าไปทำความเคารพเหยียนเหล่ยและจะเดินออกไปจากเขตพื้นที่ แต่เหยียนเหล่ยกลับกวักมือเรียก เราทั้งห้าคนจึงเดินเข้าไปหาเขาที่เรือน ก็เห็นใบไม้ร่วงเกลื่อนเต็มหน้าเรือนพร้อมเสียงฟูหลิวที่บ่นว่า

          ฟูหลิว  : อะไรกันเนี่ย ข้าเพิ่งกวาดหน้าเรือนจนสะอาด อยู่ๆลมหมุนอะไรก็ไม่รู้พัดเศษใบไม้ใบหญ้ามาตกที่นี่เต็มไปหมดเลย
            มี่จื่อ  : โอ๊ะโอ!!
เหยียนเหล่ย  : ฝีมือเจ้าใช่มั้ย? เห็นเรือนข้าเป็นที่ทิ้งขยะงั้นรึ?! (เหยียนเหล่ยถามและมองหน้าฉัน)
            มี่จื่อ  : แหม! ไม่คิดว่าลมจะพัดให้ขยะมาตกที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ
          เฝิ่นลู่  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ พวกเราไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวพวกเราจะเก็บกวาดให้เดี๋ยวนี้แหละ
เหยียนเหล่ย  : พวกเจ้าเข้ามาทำอะไรกันที่นี่
    หลวนเฉิน  : เรามาพบอาจารย์ศิษย์พี่รอง มาขอร้องให้มี่จื่อได้กลับเข้าเรียนอีกครั้ง
            มี่จื่อ  : ตอนนี้จะกลับไปฝึกสีซอ
เหยียนเหล่ย  : ไปฝึกที่ด้านหลังเรือนตรงริมแม่น้ำสิ เงียบหน่อย จะได้มีสมาธิ วันนี้ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าไปฝึกได้แต่ต้องกลับออกไปก่อนมืด

          หลวนเฉินกับจิ่นเกอ อาสาวิ่งออกไปเอาซอเอ้อร์หูมาให้เรา เหยียนเหล่ยจึงพาพวกเราสาวๆไปนั่งรออยู่ที่ริมแม่น้ำ ไม่นานนักหลวนเฉินกับจิ่นเกอก็ถือซอมาให้ครบทุกคนและเริ่มลงมือฝึกซ้อมกันทันทีโดยมีเหยียนเหล่ยนั่งจิบชาที่ฟูหลิวยกมาให้ดื่ม และคอยดูเราฝึกซ้อมและให้คำปรึกษา เหยียนเหล่ยบอกเราสีซอให้เขาฟังทีละคน แม้จะสีซอกระท่อนกระแท่นกันสักหน่อยแต่ก็พอผ่านไปได้ จนถึงฉันที่ต้องสีซอให้เขาฟัง ซึ่งยังสีไม่จบเพลงเหยียนเหล่ยก็บอกให้ฉันหยุด

เหยียนเหล่ย  : เสียงซอของเจ้าทำให้การดื่มชาของข้าไม่คล่องคอ หากจินไห่ให้เจ้าสอบผ่านแน่นอนว่าทั้งสำนักคงถูกครหาว่าไม่ยุติธรรมอย่างแท้จริง
        ฉิงซวง  : มี่จือ อย่าเพิ่งท้อแท้
            มี่จื่อ  : นี่ข้ายังไม่ได้ใส่พลังแฝงลงในบทเพลงเลยนะ
เหยียนเหล่ย  : งั้นลองทำดูซิ

          ฉันจึงพยายามทำใจให้สงบและเพ่งพลังปรานไปที่ซอและกำหนดอารมณ์ไปที่เสียงซอที่สีออกมา เสียงซอที่เพี้ยนบาดหู จนน้ำชาในถ้วยเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้ทุกคนต้องเอามืออุดหู ฉิงซวงถึงกับร้องกรี๊ดออกมา ฉันตกใจเสียงกรี๊ดของฉิงซวงจึงรีบหยุดสีซอทันที แล้วรีบลุกขึ้นไปดูฉิงซวงที่กำลังนั่งคุดคู้เอามืออุดหูแน่น ส่วนคนอื่นๆก็ดูเหนื่อยอ่อนแรงอย่างแปลกประหลาด

             มี่จื่อ  : เกิดอะไรขึ้น ฉิงซวงเจ้ากรี๊ดทำไม
         ฉิงซวง  : เสียงซอของเจ้าทำให้ข้าปวดหู และเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ข้าไม่อยากได้ยินเสียงซอแบบนั้นอีกแล้ว
           เฝิ่นลู่  : ข้าก็รู้สึกเหมือนมันจะขาดใจ
         จิ่นเกอ  : พลังแฝงของเจ้าน่ากลัวเหลือเกิน ข้าเข้าใจแล้วทำไมอาจารย์ศิษย์พี่รองถึงไล่เจ้าออกจากห้องเรียนวันนั้น
            มี่จื่อ  : งั้นข้าจะไม่เพิ่มพลังแฝงตอนสีซอ
    หลวนเฉิน  : แต่เจ้าจะต้องสอบตกวิชานี้นะ
            มี่จื่อ  : สอบตกไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปเอาคะแนนเพิ่มกับวิชาอื่นแทน
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อตัดสินใจถูกต้องแล้ว สอบตกดีกว่าต้องทำให้เพื่อนบาดเจ็บหรือตาย
        ฉิงซวง  : มี่จื่อ! ข้าขอโทษ แต่ข้าหวาดกลัวเสียงซอนั่นจริงๆทนไม่ไหวจนกรีดร้องออกมา
           มี่จื่อ  : ไม่เป็นไรนะข้าไม่โกรธหรอก แค่ข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้ากรี๊ดเพราะคลั่งใคล้เสียงซอของข้าเสียอีก ตอนนั้นข้ารู้สึกหลงตัวเองไปเลย ฮ่าฮ่า
         จิ่นเกอ  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ จะออกสอบอะไร ท่านบอกเราหน่อยได้มั้ย พวกเราจะได้เตรียมตัวถูก
เหยียนเหล่ย  : กันฮวา จะเป็นคนออกข้อสอบ เพราะข้ายังไม่ได้เข้าสอนพวกเจ้าเลย ก็คงจะออกสอบเรื่องที่พวกเจ้าเคยเรียนไปแล้วนั่นแหละ เอาล่ะ! นี่ก็เย็นแล้วพวกเจ้ากลับกันไปได้แล้ว ส่วนมี่จื่อไปกับข้าก่อนข้ามีของจะให้

          ฉันเดินตามเหยียนเหล่ยไปที่เรือนพักของเขา ส่วนหลวนเฉิน จิ่นเกอ เฝิ่นลู่ และฉิงซวงเดินกลับออกไปก่อน ฉันเดินเข้าไปในห้องแล้วโผกอดเหยียนเหล่ยกอดเขาด้วยความเป็นห่วงกลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บจากเสียงซอเอ้อร์หูนรกของฉัน เขาตอบว่าไม่เป็นอะไร เขาใช้มนต์ปิดกั้นเสียง แล้วจูบฉันอย่างอ่อนโยน เขายังบอกอีกว่าอย่ากังวลถ้าสอบตกวิชาดนตรี แต่วิชาอื่นให้ฉันพยายามทำให้ดีที่สุดก็พอ ถ้าฉันไม่ได้ไปงานฉลองสำนักไป๋หู่เขาก็ไม่ไปเหมือนกันเพราะจะให้จินไห่ไปแทนโทษฐานให้ฉันสอบตก ฉันขำที่เหยียนเหล่ยพูดติดตลก แล้วเลื่อนมือลงไปลูบคลำแท่งเนื้อที่กำลังแข็งสู้มือ แล้วบอกเขาว่าฉันต้องการเขามากตอนนี้ เหยียนเหล่ยจึงไม่รอช้ารีบถลกกางเกงฉันลง แล้วยกขาฉันขึ้นข้างหนึ่ง สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาแล้วกระแทกกระทั้นอยู่หลายครั้งจนฉันเสร็จเกร็งตัวก่อนเขา เหยียนเหล่ยจับฉันหันหลังให้หน้าเข้าหากำแพงแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลัง เขาเริ่มกระแทกแท่งเนื้อแข็งเร็วและแรงขึ้นจนเขาเสร็จเกร็งตัวปล่อยน้ำอุ่นๆออกมา จากนั้นเหยียนเหล่ยส่งตำราให้ฉันเล่มหนึ่งให้เดินถือออกมาจากเรือน แล้วเร่งให้ฉันรีบกลับเพราะฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว

音闕詩聽 - 驚蟄 (feat.王梓鈺)動態歌詞
ตกใจ
Youtube by : Youtube User


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 41
(ศิษย์พี่สามปรากฎตัว)

          ฉันเดินกอดตำราที่เหยียนเหล่ยให้มาอย่างอารมณ์ดี และกำลังจะเดินพ้นเขตเรือนพักอาจารย์ ก็พบกับกันฮวา ที่จู่ๆก็โผล่ออกมาทางด้านหลังจนฉันตกใจ

         กันฮวา  : เจ้าเข้าไปทำอะไรที่เรือนอาจารย์ศิษย์พี่สี่?
             มี่จื่อ  : เข้าไปเอาตำรา อาจารย์ศิษย์พี่สี่บอกให้ข้าเข้าไปเอาตำรามนต์โบราณ
         กันฮวา  : ส่งมาให้ข้าดูซิ? (กันฮวาหยิบตำราจากมือฉันไปเปิดดู) เจ้ากลับเรือนที่พักไปได้แล้ว
            มี่จื่อ  : เอ่อ...ข้าขอตำราคืนด้วย
        กันฮวา  : ตำรานี่เป็นตำราวิชาขั้นสูง ยังไม่ถึงขั้นที่เจ้าจะต้องอ่าน ข้าจะเก็บเอาไว้ก่อนเมื่อถึงเวลาข้าจะคืนให้เจ้าเอง
            มี่จื่อ  : แต่อาจารย์ศิษย์พี่สี่ให้ตำรานั้นกับข้า ท่านไม่มีสิทธิ์เอาตำราของข้าไป
        กันฮวา  : กลับไปที่เรือนพักของเจ้าได้แล้ว!
            มี่จื่อ  : เอาคืนมาไม่งั้นข้าจะไม่เกรงใจ!
  ศิษย์พี่สาม  : เจ้าสองคนกำลังทุ่มเถียงอะไรกัน เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ ไม่รู้รึว่ากฏของสำนักห้ามเถียงศิษย์พี่
            มี่จื่อ  : แต่ศิษย์พี่กันฮวาเอาตำราของข้าไป ที่นี่มีกฏห้ามเถียงศิษย์พี่ แล้วศิษย์พี่แย่งเอาตำราของศิษย์น้องไป ถือเป็นกฏที่ถูกต้องที่ศิษย์พี่ควรกระทำได้ด้วยหรือไง?
        กันฮวา  : เป็นตำราขั้นสูง อ่านไปนางก็ไม่เข้าใจ ข้าจึงจะเก็บตำราเอาไว้ก่อนเพื่อให้นางสนใจวิชาที่นางจะต้องสอบในวันพรุ่งนี้ค่ะอาจารย์ศิษย์พี่สาม
  ศิษย์พี่สาม  : ตำราอะไรเอามาให้ข้าดูซิ (เขาหยิบตำราที่กันฮวายื่นให้แล้วเปิดตำราดู) อืมมม...นี่คงเป็นตำราของเหยียนเหล่ยล่ะสิ กันฮวาเจ้าอ่านข้อความนี้ซิ เหยียนเหล่ยเขียนว่าอะไร
        กันฮวา  : เอ่อ....ข้าอ่านไม่ออก แต่คิดว่าน่าจะเป็นภาษาชนเผ่าไม้ดำ
   ศิษย์พี่สาม  : ใช่! เป็นภาษาชนเผ่าไม้ดำ งั้นเจ้าตัวเล็กอ่านซิ อ่านออกมั้ย? (เขาหันมาถามฉัน)
             มี่จื่อ  : อ่านว่า "ลูกธนูสองดอกพร้อมขึ้นคันศร"
   ศิษย์พี่สาม  : อืม! อ่านได้ถูกต้องแล้วเจ้าตัวเล็ก ตำรานี่เป็นของเจ้าเอาคืนไป ส่วนเจ้ากันฮวา! ห้ามแย่งเอาตำราจากเจ้าตัวเล็กอีก เพราะตำรานั่นเจ้าอ่านไปก็ไม่เข้าใจหรอก คนที่ควรฝึกฝนวิชาให้มากขึ้นคือเจ้าต่างหากกันฮวา เอาล่ะ! กลับเรือนที่พักกันไปได้แล้ว เฮ่อ...ตั้งแต่เขากลับมาเด็กสาวก็พากันนอนไม่หลับ เฮ่อ...(เขาบ่นพึมพำเบาๆแล้วเดินเข้าไปในเขตเรือนพักอาจารย์ไป)

          ฉันทำความเคารพอาจารย์ศิษย์พี่สาม กับศิษย์พี่กันฮวา และเดินกอดตำราแยกเดินจากไปทันทีโดยไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับศิษย์พี่กันฮวาอีก ตลอดทางเดินกลับฉันคิดถึงคำพูดของอาจารย์ศิษย์พี่สามที่เขาบ่นพึมพำว่า "ตั้งแต่เขากลับมาเด็กสาวก็พากันนอนไม่หลับ" อาจารย์ศิษย์พี่สามหมายถึงใครกันนะ?! หรือหมายถึงกันฮวาชอบเหยียนเหล่ย "โธ่เว๊ย!!! อีตานี่เสน่ห์มันแรงจริงๆ หนีจากที่จวนมาได้คนนึงยังมาเจอมารผจญที่นี่อี๊ก หว่านเสน่ห์ไปทั่วเลยรึไงเนี่ย?!" ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความหัวเสีย จนเดินมาถึงเรือนที่พักก็ยังเห็นเพื่อนทั้งสี่คนนั่งรอกันอยู่ที่หน้าเรือน

           เฝิ่นลู่  : ไหนขอดูหน่อยอาจารย์ศิษย์พี่สี่ให้อะไรมา
             มี่จื่อ  : ที่ยังนั่งกันอยู่เพราะจะรอดูว่าอาจารย์ศิษย์พี่สี่ให้อะไรน่ะเหรอ? เขาให้ตำราข้ามาอ่านน่ะ
          เฝิ่นลู่  : แค่ให้ตำรามาเล่มเดียว ทำไมถึงกลับมาช้านักล่ะ พฤติกรรมน่าสงสัย?!
            มี่จื่อ  : ข้าเจอกับศิษย์พี่กันฮวาน่ะสิ นางจะยึดตำราเล่มนี้ของข้า โชคดีอาจารย์ศิษย์พี่สามมาเห็นเข้าจึงช่วยคืนตำราให้ข้า
         จิ่นเกอ  : แล้วทำไมศิษย์พี่กันฮวาต้องยึดเอาตำราของเจ้าไปด้วยล่ะ นี่แค่ตำราเรียนไม่ใช่ตำราเรื่องอย่างว่า...สักหน่อย
    หลวนเฉิน  : จิ่นเกอ! พูดอะไรระวังหน่อยพวกนางเป็นผู้หญิง
         ฉิงซวง  : ก็เพราะศิษย์พี่กันฮวาหลงรักอาจารย์ศิษย์พี่สี่น่ะสิ แต่อาจารย์ศิษย์พี่สี่ไม่เคยสนใจ แม้กระทั่งวันที่กลับมาก็ยังไม่มีท่าทางจะสนใจศิษย์พี่กันฮวาสักนิด
          เฝิ่นลู่  : ทำไมเจ้าถึงได้รู้ดีเรื่องของพวกเขานัก
        ฉิงซวง  : เพราะข้าได้ยินมาว่าในบรรดาอาจารย์ศิษย์พี่ทั้งหมดมีอาจารย์ศิษย์พี่สี่กับอาจารย์ศิษย์พี่ห้าที่หล่อเหลา เก่ง และมีอายุน้อยที่สุดน่ะสิ โดยเฉพาะอาจารย์ศิษย์พี่ห้าจินไห่ เป็นผู้ชายแบบที่ข้าชอบที่สุด
         จิ่นเกอ  : เจ้าไม่ชอบผู้ชายแบบข้าบ้างรึฉิงซวง
         ฉิงซวง  : เชอะ! ข้าไม่ชอบผู้ชายกะล่อนอย่างเจ้า แต่ถ้าเป็นหลวนเฉินข้าก็จะรับไว้พิจารณา ฮะฮ่า
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อแล้วเจ้าชอบผู้ชายแบบไหน?
            มี่จื่อ  : เอ่อ....
      เพ่ยซาน  : นั่งจับกลุ่มคุยกันเรื่องไร้สาระ ซอเอ้อร์หูเล่นกันได้แล้วเหรอ ซอเสียงเพี้ยนระวังจะสอบไม่ผ่าน
         ฉิงซวง  : เพ่ยซานถ้าเจ้าให้กำลังใจใครไม่เป็นก็อย่าพูดเลยดีกว่า
          เฝิ่นลู่  : นั่นสิ! เจ้าพูดแบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลย
      เพ่ยซาน  : ถ้าเจ้าชอบคนน่ารักก็ย้ายห้องไปนอนกับนางเลยสิ! เพราะข้าเองก็อยากพักอยู่คนเดียวเหมือนกัน! นี่ก็มืดแล้ว หลวนเฉินเจ้าก็ควรกลับเรือนที่พักไปได้แล้วนะ ไม่รู้ติดใจอะไรผู้หญิงหน้าพิลึกกันนักหนา! (เพ่ยซานบ่นทิ้งท้ายแล้วเดินเข้าห้องไป)
           เฝิ่นลู่  : เชอะ! คิดว่าข้าอยากพักห้องเดียวกับนางนักรึไง?! ตั้งแต่ข้ารู้จักกับนาง ข้าไม่เคยเห็นนางพอใจอะไรเลยสักอย่าง อ้อ! แต่ข้าเห็นนางแอบมองหลวนเฉินบ่อยๆ บางทีนางอาจจะพอใจหลวนเฉินก็ได้
    หลวนเฉิน  : แต่ข้าไม่เคยคิดอะไรกับเพ่ยซานเกินความเป็นเพื่อนเลยนะ! ข้ากลับก่อนดีกว่า จิ่นเกอกลับกันเถอะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะทุกคน
             มี่จื่อ  : เฝิ่นลู่ เจ้ามาพักห้องเดียวกับข้าก็ได้นะ ยังมีเตียงว่างอีกที่หนึ่ง
           เฝิ่นลู่  : ดี! งั้นข้าย้ายห้องไปพักห้องเดียวกับเจ้า นี่! ฉิงซวงไปคุยกันต่อในห้องเถอะ ข้าอยากฟังเรื่องศิษย์พี่กันฮวา เรื่องของชาวบ้านเนี่ยข้าสนใจจริงๆ ฮ่าฮ่า

          ตอนเช้าเรารู้สึกตื่นเต้นกันมากเพราะวันนี้เป็นวันสอบวิชากระบี่ วิชาอักขระโบราณ และวิชาดนตรี ทุกคนดูตื่นเต้นและบางคนดูประหม่า แต่ฉันกลับรู้สึกท้อแท้และพยายามทำใจยอมรับผลการสอบตกวิชาดนตรีไว้ล่วงหน้า
หมายเหตุ

*จื่อเถิง แปลว่า ดอกวิสเทอเรีย

*ฉิงซวง  แปลว่า เกล็ดน้ำค้างในวันฟ้าใส

*กันฮวา  แปลว่า ดอกไม้และความหวาน

*กู่เจิง (กู่ฉิน หรือพิณ คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายใช้มือดีด เป็นเครื่องดนตรีนิยมในหมู่ชนชั้นสูงและผู้มีการศึกษา

*เอ้อร์หู คือซอสองสาย


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤


No comments:

Post a Comment