Photobucket Wellcome

นิยาย : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 63 - 71

นิยายเรื่อง  : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 63 - 71
นิยายโดย  : An Qi
นิยายแนว  : มโน, เพ้อเจ้อ, ต่างโลก, ย้อนยุค, ผจญภัย, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ  : ริสา เกิดอาการเครียดเพราะตกงาน จึงคิดจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อไปถึงริมแม่น้ำจะฆ่าตัวตายกลับเกิดความกลัวจึงคิดเปลี่ยนใจ แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำคิ้วกระแทกก้อนหินจนสลบแล้วไปฟื้นอีกโลกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ชื่อมี่จื่อ ถูกผู้ที่ช่วยเหลือจากแม่น้ำหลอกพาไปขายในหอนางโลม และได้รับการช่วยเหลือออกมาจนได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิง เพื่อช่วยเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไป

คำเตือน นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดชวนวิจารณญาณมานั่งอ่านด้วยกัน
มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 63 - 71
มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 63
(หยางเค่อกลับใจ)

          เริ่มสาย ท่านอ๋องหกและคนอื่นๆทยอยเดินกันมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเหยียนเหล่ยกับฉิงซวง ห้องที่เงียบสงบกลับกลายเป็นคึกคักขึ้นมาทันที ชิงอิ๋งกับซิ่นปิงจึงขอตัวลากลับเพื่อไปดูแลคนในหมู่บ้านเรื่องการซ่อมแซมบ้าน ฉันเห็นคนอยู่กันหลายคน จึงเดินไปบอกเหยียนเหล่ยว่าจะขอไปเยี่ยมหยางเค่อที่พักอยู่อีกเรือนหนึ่ง เพราะฉันมั่นใจว่าคงไม่มีใครไปเยี่ยมหยางเค่อแน่ๆ เพราะเขาเคยเป็นพวกเดียวกันกับคนร้ายที่ลอบวางเพลิงหมู่บ้าน เหยียนเหล่ยกำชับให้ฉันระวังตัว ฉันพยักหน้าแล้วบอกเหยียนเหล่ยว่าฉันเข้าใจและสามารถควบคุมพลังหมื่นบุปผาได้แล้ว ฉันสามารถปกป้องตัวเองและปกป้องเขาได้แล้วอย่าห่วง เหยียนเหล่ยบีบแก้มฉันแล้วบอกให้ฉันรีบไปรีบกลับ ขณะที่ฉันกำลังจะเดินออกจากห้อง หลวนเฉินจึงขอตามไปดูหยางเค่อกับฉันด้วย

    หลวนเฉิน  : ไม่คิดเลยว่าหยางเค่อจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเจ้า
            มี่จื่อ  : หยางเค่อปกป้องข้าเสมอแต่เขาไม่เคยออกมาแสดงตัว เขาเป็นเพื่อนคนแรกและเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าพยายามลบล้างบุญคุณที่เขามีต่อข้า แต่เขาก็กลับมาสร้างหนี้บุญคุณกับข้าได้ทุกครั้ง หยางเค่อเหมือนเป็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของข้า
    หลวนเฉิน  : เพราะหยางเค่อต้องการใช้ประโยชน์จากเจ้าต่างหาก เขาถึงติดตามเจ้าไม่เลิกรา
            มี่จื่อ  : ข้ารู้....หยางเค่อเป็นคนรวยที่เอาแต่ใจ อะไรที่เขาต้องการเขาก็ต้องเอามันมาครอบครองให้ได้ ในตอนแรกเขาต้องการตำราหมื่นบุปผาแต่กลับกลายเป็นข้าที่ได้ครอบครองเคล็ดวิชานั้น มาครั้งนี้เขาต้องการตำรามังกรสายลมเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แต่กลับถูกชงอวี้และเจิ้งไฉหักหลังทำร้ายจนบาดเจ็บเจียนตาย ครั้งนี้ข้าก็หวังว่าเขาจะกลับตัวกลับใจได้สักที

          ฉันกับหลวนเฉินเดินมาถึงเรือนพักที่รักษาหยางเค่อ ที่นี่เงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ เห็นมีเพียงคนทำงานหญิงในครัวเพียงคนเดียวที่กำลังจัดเก็บล้างจานในครัวของเรือนหมอ ฉันเดินเข้าไปในห้องที่หยางเค่อนอนอยู่ไม่มีใครอยู่เลย พบเพียงถาดอาหารและถ้วยยาวางอยู่ข้างฟูกที่นอนจนเย็นชืด และพบหยางเค่อนอนอยู่โดยลำพังบนฟูกนั้น ฉันรีบเดินเข้าไปดูหยางเค่อ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมามองแล้วพูดเสียงแหบเบาไม่มีเรี่ยวแรงว่า... น้ำ...ฉันรีบรินน้ำใส่ถ้วยแล้วประคองเขาลุกนั่งโดยมีหลวนเฉินมาช่วยประคอง ฉันค่อยๆป้อนน้ำให้หยางเค่อดื่ม เขามองฉันแล้วพยายามเอื้อมมือลูบที่แก้ม ฉันจับมือเขาไว้แน่น แล้วบอกหยางเค่อว่า

            มี่จื่อ  : ข้าปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง หิวข้าวหรือเปล่า ขอโทษที่ข้ามาช้า
     หยางเค่อ  : (ส่ายหน้าช้าๆ)
            มี่จื่อ  : ไม่หิวก็ต้องกิน เพราะต้องกินยา ข้าจะไปอุ่นอาหารกับยามาให้ รอก่อนนะไม่นานหรอก หลวนเฉินฝากดูหยางเค่อด้วย ขอบคุณ
    หลวนเฉิน  : อื้ม!

          ฉันยกถาดอาหารและยาเข้าไปในครัวเพื่ออุ่นให้ร้อน พบแม่ครัวที่กำลังง่วนเช็ดถูโต๊ะอยู่ ฉันบอกนางว่าจะขออุ่นอาหารกับยาให้ร้อนให้หยางเค่อกิน แม่ครัวที่มีท่าทางเมินเฉยชี้นิ้วไปที่เตานึ่งเหมือนจะบอกว่าเตาอยู่นั่นให้ฉันทำเอง ฉันจึงหยิบถ้วยข้าวต้มและถ้วยยาวางลงในหม้อนึ่งเพื่ออุ่นให้ร้อน ฉันรู้สึกได้ว่าแม่ครัวคนนี้ไม่อยากจะพูดคุยกับฉัน ฉันจึงไม่คิดตอแยหรือถามอะไรให้แม่ครัวรำคาญใจ และนั่งเงียบๆรอหม้อนึ่งให้ร้อน แต่ดูเหมือนแม่ครัวไม่ค่อยพอใจนักเพราะนางเริ่มหยิบและวางของกระแทกเสียงดังกว่าเดิม แต่ฉันทำเฉยๆไม่ใส่ใจกับสิ่งที่นางกระทำ จนนางอดรนทนไม่ไหวพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า

        แม่ครัว  : คนเลวคนนั้นไม่สมควรได้กินอะไรหรอก พวกมันเผาหมู่บ้านของเราจนวอดวาย ไม่รู้แม่เฒ่าจะรักษาชีวิตมันไว้ทำไม ปล่อยให้ตายไปน่ะดีแล้ว!
            มี่จื่อ  : ข้าเองแหละ! ที่เป็นคนขอร้องแม่เฒ่าให้รักษาหยางเค่อ และหยางเค่อก็ไม่มีส่วนรู้เห็นการเผาหมู่บ้าน
        แม่ครัว  : ตั้งแต่พวกเจ้าเข้ามาในหมู่บ้าน หายนะก็เกิดขึ้นกับหมู่บ้าน เจ้ามันตัวหายนะ ตัวกาลกิณี!!!
        แม่เฒ่า  : หยุดนะ!!! หยุดพูดจาล่วงเกินธิดาหยางเถา!
        แม่ครัว  : นางไม่ใช่ธิดาหยางเถา ไม่มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเลยตั้งแต่นางมาที่นี่ มีแต่ความซวย ดูสิ! เกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านของเราถูกเผาจนวอดวาย ผู้หญิงคนนี้กำลังหลอกลวงแม่เฒ่า!
        แม่เฒ่า  : ข้ารู้ทุกอย่างดีกว่าเจ้า ไม่ต้องมาสอนข้า และต่อไปนี้เจ้าอย่ามาทำงานที่นี่อีก ให้หาแม่ครัวคนใหม่มาทำงานแทนนาง ส่วนนางย้ายให้ไปทำงานในไร่ข้าวโพด ถ้ายังมีปัญหาอีกให้ขับไล่นางออกจากหมู่บ้าน
          ลุงสุ่ย  : ขอรับแม่เฒ่า
        แม่ครัว  : แม่เฒ่า! ข้าขอโทษ! ธิดาหยางเถา อย่าเอาผิดข้าเลยข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ล่วงเกินธิดาหยางเถาอีกแล้ว อย่าส่งข้าไปทำงานในไร่ข้าวโพด
        แม่เฒ่า  : เจ้าก็รู้กฏของหมู่บ้านห้ามล่วงเกินธิดาหยางเถา กับธิดาเหม่ยเตี๋ย ถือเป็นความผิดร้ายแรง ข้าส่งเจ้าไปทำงานที่ไร่ข้าวโพดเพราะข้าปราณีเจ้าที่สุดแล้ว
            มี่จื่อ  : ท่านแม่เฒ่า ข้าไม่ถือโทษโกรธแม่ครัวหรอก ข้าเข้าใจในเหตุผลดีที่นางโกรธแค้นขนาดนั้น ข้าต้องขอโทษทุกคนด้วยหากข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้หมู่บ้านถูกวางเพลิง
        แม่เฒ่า  : มี่จื่อ! ข้าไม่ต้องการคำขอโทษจากเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการจากเจ้าคือทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผลอีกครั้ง จงทำให้ได้ในสิ่งที่เจ้ารับปาก เอาล่ะ! แม่ครัวยกอาหารกับยาไปให้คนเจ็บข้างในได้แล้ว
        แม่ครัว  : ข้าจะไปเดี๋ยวนี้! ขอบคุณแม่เฒ่า ขอบคุณธิดาหยางเถาที่ไม่เอาผิดข้า
        แม่เฒ่า  : เจ้าเด็กโง่! เป็นถึงธิดาหยางเถาแต่กลับปล่อยให้แม่ครัวมาพูดจาล่วงเกินเหยียดหยาม เอาล่ะ! หลังจากนี้เจ้าก็ย้ายเจ้าหนุ่มนั่นไปไว้ในห้องเดียวกันกับพวกพ้องของเจ้าจะได้ดูแลกันทั่วถึง เพราะถ้าไว้ที่เรือนนี้คงจะอดข้าวอดน้ำตายไม่มีใครมาดูแล เจ้าคงจะรู้และเข้าใจความรู้สึกของชาวบ้านดี ว่าเหตุใดจึงไม่มีใครสนใจดูแลเขาหลังการรักษาเสร็จแล้วเมื่อคืน เฮ่อ! ข้าจะแวะไปดูคนเจ็บที่เรือนโน้นสักหน่อย ไปกันเถอะ!
          ลุงส่ย  : ขอรับแม่เฒ่า

          แม่เฒ่ากับลุงสุ่ยเดินไปที่เรือนอีกหลังหนึ่ง ฉันจึงเดินกลับเข้าไปหาหยางเค่อในห้องพบถาดอาหารและถ้วยยาวางไว้ที่โต๊ะ ฉันจึงยกถาดนั้นมาวางข้างๆหยางเค่อที่หลวนเฉินประคองเขาให้นั่งเอนอิงหมอนเพื่อสะดวกในการกินข้าวและยา ฉันหยิบชามข้าวต้มมาเป่าให้คลายร้อนแล้วตักป้อนหยางเค่อทีละคำช้าๆ เขาเอาแต่มองหน้าฉันเหมือนอยากจะพูดแต่ไม่มีแรงที่จะพูด ฉันจึงบอกหยางเค่อว่าจะย้ายเขาไปนอนรวมกันที่เรือนอีกหลังหนึ่ง ฉันจะได้ดูแลเขาไปพร้อมๆกันกับเหยียนเหล่ยและฉิงซวง แต่หลวนเฉินทักขึ้นว่า...

    หลวนเฉิน  : จะดีเหรอย้ายหยางเค่อไปอยู่ที่เรือนนั้น อาจารย์ศิษย์พี่เหยียนเหล่ยจะไม่พอใจเอานะ และคนอื่นๆอีกก็อาจไม่ชอบ ข้าคิดว่าควรบอกพวกเขาก่อนดีไหม? แต่ถ้าพวกเขาไม่อนุญาตข้าจะมาที่นี่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าเอง ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบหยางเค่อนักหรอก แต่เพราะเป็นเจ้าที่ดีกับเขาและเพราะเขาเคยปกป้องเจ้าจากอันตราย ดังนั้น! ข้าก็จะยอมช่วยเหลือเขาสักครั้ง
            มี่จื่อ  : ขอบใจนะหลวนเฉินที่ยอมช่วย
    หลวนเฉิน  : เอ๊ะ! ดูเหมือน...หยางเค่อพยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับเจ้านะ
            มี่จื่อ  : หยางเค่อ จะพูดอะไรรึ?
    หยางเค่อ  : จะ...เจิ้.....
            มี่จื่อ  : จะถามถึงเจิ้งไฉรึ?
    หยางเค่อ  : (พยักหน้าช้าๆ)
            มี่จือ  : เจิ้งไฉมันทำร้ายท่านเกือบตายยังคิดเป็นห่วงมันอีกเรอะ?! ท่านนี่เป็นคนยังไงกันนะเห็นผิดเป็นชอบไม่คิดสำนึก!
    หลวนเฉิน  : หยางเค่อคงหมายถึง...กลัวว่าเจิ้งไฉจะกลับมาทำร้ายเจ้ามากกว่า
            มี่จื่อ  : อ๋อ! เหรอ?...เจิ้งไฉคงเดินเหินเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วล่ะ ข้าตัดเส้นเอ็นและเส้นประสาทสำคัญขาดหมด ส่วนชงอวี้พาเจิ้งไฉหนีรอดไปได้
     หยางเค่อ  : ลูกชาย...
            มี่จื่อ  : ลูกชายอะไร?
    หลวนเฉิน  : หมายถึงเจิ้งไฉเป็นลูกชายของชงอวี้งั้นรึ?
     หยางเค่อ  : (พยักหน้าช้าๆ)
             มี่จื่อ  : มิน่าล่ะ! ชงอวี้ถึงพยายามขัดขวางสุดชีวิตไม่ยอมให้ข้าฆ่าเจิ้งไฉ
    หลวนเฉิน  : ชงอวี้ต้องพยายามกลับมาแก้แค้นเจ้าแน่ๆ ในเมื่อเขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้ทางเดียวที่เขาจะทำคือฆ่าเจ้าเป็นการแก้แค้น และฆ่าแม่เฒ่าเพื่อคลายมนต์เปิดทางออก
            มี่จื่อ  : ถ้าคิดจะฆ่าข้าก็คงไม่ยากอะไรนัก แต่คิดจะฆ่าแม่เฒ่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย มิเช่นนั้นชงอวี้คงไม่ใช้แผนส่งหยางเค่อเข้ามาเพื่อใช้บอกทางเข้าหมู่บ้านด้วยวิธีการอ่านใจ แผนการฉลาดแบบนี้หยางเค่อเป็นคนคิดแผนแน่ๆ
    หลวนเฉิน  : เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย
             มี่จื่อ  : ข้าจะระวัง (ฉันตอบและกำลังจะป้อนข้าวต้มหยางเค่ออีกคำหนึ่ง)
     หยางเค่อ  : พอ....
             มี่จื่อ  : อิ่มแล้วเหรอเพิ่งกินข้าวไปนิดเดียวเอง งั้นดื่มยาก่อนนะค่อยนอนต่อ (ฉันหยิบถ้วยยาที่กำลังอุ่นๆมาป้อนให้หยางเค่อดื่ม) ข้าจะไปตักน้ำมาเช็ดตัวให้
    หลวนเฉิน  : ให้ข้าทำให้ดีกว่าข้าเป็นผู้ชายเช็ดตัวให้หยางเค่อดูจะเหมาะกว่า
             มี่จื่อ  : ขอบใจมากหลวนเฉิน มีเจ้าอยู่ด้วยช่างดีจริงๆ (ฉันเดินออกไปตักน้ำใส่อ่างเพื่อนำมาเช็ดตัวให้หยางเค่อ)

          หลวนเฉินค่อยๆคลายเสื้อของหยางเค่อออก จนเห็นผิวขาวเนียน และมีรอยช้ำมากที่บริเวณหน้าอกจนฉันตกใจ เพราะไม่น่าเชื่อว่าแค่สร้อยประคำของเจิ้งไฉที่ฟาดใส่หยางเค่อเมื่อคืน สามารถทำให้บอบช้ำได้ขนาดนี้ หลวนเฉินใช้ผ้าชุบน้ำค่อยๆเช็ดตามแขนและลำตัวให้หยางเค่อเบาๆ ฉันจึงเดินไปดูที่ตู้ไม้เก็บยาเพื่อมองหายาทาแก้บวมช้ำ จึงอ่านชื่อยาให้หลวนเฉินฟังแล้วได้ยาทามาขวดหนึ่ง ฉันค่อยๆทายาเบาๆที่รอยบวมช้ำบนหน้าอกหยางเค่อ เขากล่าวขอบคุณฉันด้วยเสียงแผ่วเบา ฉันจึงพูดกับหยางเค่ออีกว่า

             มี่จื่อ  : ขอบคุณข้าอย่างเดียวไม่ได้ ท่านต้องกลับตัวกลับใจเป็นคนดีกับเขาเสียที ท่านเคยเป็นพวกเดียวกันกับชงอวี้ที่เผาหมู่บ้านจนวอดวาย แต่คนที่นี่ก็ยังรักษาชีวิตท่านไว้ และในวันที่ท่านเจ็บเจียนตายไม่มีใครเหลียวแล ข้ากับหลวนเฉินยังมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่าน โปรดเห็นแก่สิ่งที่เรากระทำดีต่อท่านด้วยเถอะ เมื่อท่านหายดีแล้วก็ไม่ควรคิดร้ายกลับมาทำลายหมู่บ้านนี้อีก สัญญากับข้าสิ! ว่าท่านจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ทำอาชีพสุจริต
     หยางเค่อ  : (เขาพยักหน้าช้าๆ แล้วเอื้อมมือมาจับมือฉันและกล่าวว่า...) ขอ...โทษ...
             มี่จื่อ  : จงรักษาชีวิตไว้เพื่อแก้ไขความผิดที่ท่านเคยกระทำไว้ ถ้าหายดีแล้วท่านต้องไปขอโทษและทำคุณไถ่โทษให้ชาวบ้านทุกคนด้วย!
     หยางเค่อ  : อื้ม...
             มี่จื่อ  : ท่านนอนพักที่นี่ไปก่อน ข้าจะกลับไปบอกทุกคนที่เรือนโน้นว่าจะย้ายท่านไปรักษาที่เรือนเดียวกัน หลวนเฉินเราไปกันเถอะ!
ทั้งจำทั้งปรับ
Stamp, Youngohm, Karn
Youtube by : 123record

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 64
(ยาวิเศษกาฝากหางหงส์)

          ฉันกับหลวนเฉินเดินกลับไปเรือนที่เหยียนเหล่ยกับฉิงซวงพักรักษาตัวอยู่ แล้วบอกกับทุกคนว่าเจิ้งไฉเป็นบุตรชายของชงอวี้ และหยางเค่อสัญญาว่าเขาจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ขอให้ทุกคนโปรดเห็นแก่มนุษยธรรมให้หยางเค่อได้พักรักษาตัวด้วยกันที่นี่ เพราะฉันต้องการที่จะย้ายหยางเค่อให้มานอนพักรักษาอยู่ในเรือนเดียวกัน ทุกคนจึงโบ้ยไปให้เหยียนเหล่ยตัดสินใจเพราะทั้งสองคนเคยเป็นคู่ปรับกันมาก่อน อีกทั้งเหยียนเหล่ยยังเป็นสามีของฉัน หากเหยียนเหล่ยไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาก็ไม่ว่ากระไรเช่นกัน เหยียนเหล่ยมองจ้องตาฉันครู่หนึ่งแล้วพูดว่า...

เหยียนเหล่ย  : เจ้าห้ามดูแลหยางเค่อดีไปกว่าข้า
            มี่จื่อ  : แน่นอน! ข้าต้องดูแลท่านให้ดีกว่าอยู่แล้ว
เหยียนเหล่ย  : ห้ามใจอ่อนกับหยางเค่อเพราะความสงสาร
            มี่จื่อ  : หยางเค่อเป็นเพื่อนสนิทของข้าอีกคนหนึ่งเท่านั้นสิ่งที่ข้ามีให้เขาคือความหวังดี และความห่วงใยในฐานะเพื่อน เพราะในหัวใจของข้ามีแต่ท่านคนเดียวไม่เคยเปลี่ยน
เหยียนเหล่ย  : ตกลง ข้าอนุญาตให้หยางเค่อมาพักรักษาตัวที่นี่ได้

          ฉันกล่าวขอบคุณเหยียนเหล่ย และกล่าวขอบคุณทุกคนที่อนุญาตให้หยางเค่อมาพักรักษาตัวด้วยกันที่เรือนนี้ ท่านอ๋องหกจึงสั่งให้พวกผู้ชายไปช่วยกันย้ายตัวหยางเค่อมาพักที่เรือนเดียวกัน ประจวบกับจินไห่ที่เพิ่งกลับจากหาสมุนไพร ได้สมุนไพรมาจำนวนหนึ่ง และเขาเริ่มลงมือปรุงยาทันทีโดยมีเฝิ่นลู่และเลี่ยงซูคอยเป็นลูกมือช่วยปรุงยา ฉันจึงปลีกตัวไปปูฟูกนอนให้หยางเค่อ เพียงครู่เดียวหยางเค่อถูกประคองมานอนที่ฟูกที่ฉันปูเตรียมไว้ให้ ฉันจึงปล่อยให้หยางเค่อนอนพักผ่อน เมื่อถึงมื้อกลางวันฉันจะปลุกให้ลุกขึ้นมากินข้าวกินยา จากนั้นฉันไปตักน้ำใส่อ่างแล้วนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดแขน เช็ดตัว และขาให้เหยียนเหล่ยจนเขาพูดค่อนขอดคิดว่าฉันลืมเขาเสียแล้ว ฉันจึงต้องเช็ดตัวให้เขาไปด้วยและง้อจนเขาหยุดน้อยใจ

          สักพักมีชาวบ้านยกอาหารเช้ามาให้เรากิน ชาวบ้านที่ยกอาหารมา บอกว่าโชคดีที่ยุ้งข้าวดับไฟได้ทัน จึงไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก หากดับไฟไม่ทันมิเช่นนั้นเราทุกคนคงแย่ไม่มีข้าวหุงกิน ท่านอ๋องหกกล่าวขอบใจชาวบ้านแล้วพูดกับชาวบ้านว่าหลังกินอาหารเช้าเสร็จจะพาพวกผู้ชายไปช่วยกันซ่อมแซมบ้านให้ชาวบ้าน เราจึงเริ่มลงมือกินอาหารเช้า จากนั้นท่านอ๋องหก หลี่จวิน หลวนเฉิน จิ่นเกอ ช่างอิ่น และองครักษ์พากันออกไปช่วยเหลือชาวบ้านขนย้ายสิ่งของและช่วยซ่อมแซมบ้านหลังที่พอจะซ่อมแซมได้ ส่วนคนที่เหลือคือ ฉัน จินไห่ ลี่ถัง เฝิ่นลู่ และเลี่ยงซู ให้คอยอยู่ดูแลคนบาดเจ็บ 3 คน

          เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน แม่ครัวที่เคยโวยวายใส่ฉันเมื่อตอนเช้า ยกอาหารและยามาให้คนบาดเจ็บทั้ง 3 คนตามปกติ แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ พอดีกับที่ชิงอิ๋งกำลังเดินถือกล่องอาหารที่นางปรุงเองเข้ามาพอดี แม่ครัวหยุดยืนก้มหน้าทำความเคารพชิงอิ๋ง แต่ชิงอิ๋งมองแม่ครัวด้วยแววตาดุแสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วดุแม่ครัวว่า....

           ชิงอิ๋ง  : ท่านพ่อบอกข้าว่าเมื่อเช้าเจ้าบังอาจก้าวร้าวกับธิดาหยางเถารึ?
        แม่ครัว  : ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว ธิดาเหม่ยเตี๋ยได้โปรดอย่าทำโทษข้าเลย
           มี่จื่อ  : อ๋อ...ชิงอิ๋ง เรื่องเมื่อเช้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าไม่ถือโทษแม่ครัวหรอก แม่ครัวเองก็ขอโทษข้าแล้ว ชิงอิ๋งแม่ครัวขอโทษข้าแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ
          ชิงอิ๋ง  : ก็ได้! แม่ครัว เจ้าไปปรุงอาหารมาให้พวกเขากินเดี๋ยวนี้! ต่อไปเจ้าต้องรับผิดชอบปรุงอาหารให้พวกเขากินด้วย ผู้ดูแลคนบาดเจ็บก็ต้องกินอาหารเหมือนกัน เจ้าต้องปรุงอาหารให้พวกเขาให้ครบทั้ง 3 มื้อ อย่าให้ขาดสักมื้อจนกว่าคนบาดเจ็บจะหายดี หากข้ารู้อีกครั้งว่าเจ้าก้าวร้าวกับธิดาหยางเถาอีก ข้าจะเป็นคนลงโทษเจ้าด้วยตัวเอง
        แม่ครัว  : ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปปรุงอาหารมาให้เจ้าค่ะ!
            มี่จื่อ  : ไม่คิดเลยว่าธิดาเหม่ยเตี๋ยจะเป็นคนดุขนาดนี้ น่าเกรงขามชะมัด!
            ลี่ถัง  : สมกับเป็นธิดาเหม่ยเตี๋ย ไม่เหมือนกับเจ้า มี่จื่อ ยังเป็นเด็กวิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งงอแงอยู่เลย ฮ่าฮ่าฮ่า
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้งอแง ข้าแค่เป็นคนอ่อนไหว ฮ่าฮ่า
         เลี่ยงซู  : ข้ากำลังจะไปทำอาหารกลางวันอยู่พอดี ดีเลยที่ชิงอิ๋งมาช่วยจัดการเรื่องให้แม่ครัวมาปรุงอาหารให้
           ชิงอิ๋ง  : มันเป็นหน้าที่ของแม่ครัวที่ต้องเป็นคนปรุงอาหารอยู่แล้ว เอ๊ะ! นี่ใครย้ายคนร้ายมานอนที่เรือนนี้?
            มี่จื่อ  : ข้าเป็นคนย้ายหยางเค่อมาที่เรือนนี้เอง และทุกคนก็อนุญาต เพราะเราไม่สามารถทำใจดำเมินเฉยกับคนที่กำลังนอนเจ็บโดยไม่มีใครใส่ใจดูแล และอีกอย่างหยางเค่อก็เป็นเพื่อนของข้า ข้าทำใจทอดทิ้งเขาไม่ลงหรอก หยางเค่อสัญญากับข้าแล้วว่าจะกลับตัวกลับใจ ถ้าหายเจ็บเมื่อไหร่เขาจะทำคุณไถ่โทษกับชาวบ้านทุกคน
           ชิงอิ๋ง  : ดี ผิดแล้วแก้ไข ส่วนความผิดที่ทำไว้ทางเราจะแยกแยะอย่างยุติธรรม อ่ะนี่! ข้าทำกระเพาะปลาน้ำแดงมาเผื่อฉิงซวงด้วย ขอโทษที่ข้านำมาน้อยไปหน่อย ท่านพ่อกับพี่ซิ่นปิงมาเห็นเข้าพอดี เลยตักแบ่งไปกินกันคนละชาม
         เลี่ยงซู  : แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ พวกข้ากินข้าวกันก็ได้ แต่กระเพาะปลาน้ำแดงนี่หอมน่ากินจังเลย
           เฝิ่นลู่  : ชิงอิ๋งปรุงอาหารอร่อย ข้าได้ชิมปลานึ่งซีอิ๊วที่อาจารย์ศิษย์พี่สี่แบ่งให้กินเมื่อเช้าอร่อยมาก
             ลี่ถัง  : ไปเถอะ! เอาอาหารให้คนเจ็บกิน พวกเขาจะได้กินยา

          ฉันตักแบ่งกระเพาะปลาน้ำแดงใส่ถ้วยได้ 2 ถ้วยแล้วนำไปให้ฉิงซวง 1 ถ้วย ส่วนอีกหนึ่งถ้วยฉันป้อนให้เหยียนเหล่ยกิน ระหว่างที่รอแม่ครัวนำอาหารมื้อกลางวันมาส่ง ลี่ถังขอตัวออกไปเดินตรวจตรารอบๆเรือน เฝิ่นลู่แยกตัวไปช่วยจินไห่ปรุงยาด้านหลังเรือนต่อ เลี่ยงซูคอยดูแลฉิงซวงช่วยป้อนกระเพาะปลา ชิงอิ๋งเห็นหยางเค่อนอนหลับแน่นิ่งบนฟูกยังไม่มีใครไปดู นางจึงถามขึ้นว่า....

           ชิงอิ๋ง  : คนๆนั้นตายหรือยัง เห็นนอนแน่นิ่งไม่ขยับตัว
             มี่จื่อ  : อ๋อ! หยางเค่อยังไม่ตาย แต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว
           ชิงอิ๋ง  : ไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว...แล้วจะกินอาหารยังไง
             มี่จี่อ  : เดี๋ยวข้าจะไปป้อนอาหารให้หยางเค่อทีหลัง แต่ตอนนี้ข้าต้องป้อนกระเพาะปลาน้ำแดงให้อาจารย์ศิษย์พี่สี่ก่อน
           ชิงอิ๋ง  : แล้วเขาจะไม่หิวรึ? อาหารกับยาจะเย็นชืดเสียก่อน
            มี่จื่อ  : หยางเค่อรอได้ เขารู้ว่าข้าต้องดูแลอาจารย์ศิษย์พี่สี่กับฉิงซวงก่อน เดิมทีหลวนเฉินจะอยู่ช่วยดูแลหยางเค่อ แต่หลวนเฉินออกไปกับท่านอ๋องหกเพื่อช่วยชาวบ้านซ่อมแซมบ้าน หยางเค่อจึงต้องรอกินข้าวกับยาช้าหน่อย
           ชิงอิ๋ง  : งั้นข้าช่วยป้อนอาหารกับยาให้หยางเค่อเอง
            มี่จื่อ  : เอ่อ...ไม่เป็นไร แค่ทำกระเพาะปลาน้ำแดงมาให้ก็เกรงใจมากแล้ว
           ชิงอิ๋ง  : ไม่ต้องเกรงใจ ข้าว่างอยู่พอดี เจ้าเป็นถึงธิดาหยางเถา แต่ไม่ถือตัวยังมีน้ำใจช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้คนร้าย ข้าได้ยินมาว่าเขาเอาตัวรับประคำเหล็กยอมตายแทนเจ้า เพราะเจ้าเป็นคนมีน้ำใจเพียงนี้ มิน่าเจ้าถึงมีมิตรสหายดีๆอยู่รอบกายหลายคน ช่างน่าอิจฉานัก ข้าเองก็เป็นธิดาเหม่ยเตี๋ยเห็นทีข้าต้องดูเจ้าเป็นตัวอย่าง
         เลี่ยงซู  : มี่จื่อนอกจากจะมีน้ำใจแล้ว นางยังชอบทำตัวเปิ่นๆ และเป็นคนตลกอีกด้วย ชอบสร้างความประหลาดใจให้พวกเราเสมอ
            มี่จื่อ  : เลี่ยงซูเจ้าเหมือนเจ้ากำลังชื่นชมข้า เจ้าอยากได้รางวัลเป็นอะไร?
         เลี่ยงซู  : ข้าอยากป้อนกระเพาะปลาน้ำแดงให้อาจารย์ศิษย์พี่สี่ ข้าในฐานะศิษย์ก็อยากดูแลอาจารย์บ้าง ข้าอยากให้อาจารย์จดจำข้าได้ว่าข้าเคยดูแลอาจารย์ตอนเจ็บป่วย เผื่อความดีของข้าจะช่วยส่งผลให้คะแนนสอบข้าดีขึ้น
            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ ท่านจะว่าอย่างไร?
เหยียรเหล่ย  : ได้สิ! เลี่ยงซูมาป้อนกระเพาะปลาน้ำแดงให้ข้าเพื่อแลกกับคะแนนสอบก็ถือว่าสมเหตุสมผล (เขาหยอกเย้าเลี่ยงซู) ข้าจำลูกศิษย์ที่เรียนกับข้าได้ทุกคน

          เลี่ยงซูดีใจดี๊ด๊ารีบลุกขึ้นมารับถ้วยกระเพาะปลาน้ำแดงจากมือฉัน แล้วให้ฉันมาป้อนกระเพาะปลาให้ฉิงซวงแทน ฉันบอกฉิงซวงว่าขอเวลาสักครู่หนึ่ง ฉันจะไปปลุกและพยุงให้หยางเค่อลุกขึ้นมากินอาหารและยา และจะรีบกลับมาป้อนกระเพาะปลาน้ำแดงให้นางกินต่อ ฉิงซวงพยักหน้ารับรู้แล้วมองตามฉันที่กำลังปลุกหยางเค่อเบาๆ หยางเค่อค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วขยับตัวให้ฉันกับชิงอิ๋งพยุงเขานั่งพิงเอนหลังกับหมอน ฉันแนะนำหยางเค่อว่า...

            มี่จื่อ  : นี่คือชิงอิ๋ง เป็นธิดาเหม่ยเตี๋ย ชิงอิ๋งจะช่วยป้อนข้าวป้อนยาให้ท่าน ทำตัวดีๆอย่าดื้อกับนางฟ้าคนสวยล่ะ (ฉันกำชับหยางเค่อ)
     หยางเค่อ  : (หยางเค่อมองหน้าฉันแล้วมองหน้าชิงอิ๋ง)
           ชิงอิ๋ง  : นี่! เจ้าพูดยกยอข้าเกินไปแล้ว (ชิงอิ๋งยิ้มเขิน)

          ฉันยิ้มให้ชิงอิ๋งแล้วเดินกลับมาหาฉิงซวง ป้อนกระเพาะปลาน้ำแดงให้ฉิงซวงกินต่อจนหมดถ้วย แล้วป้อนยาให้นางดื่ม ขณะนั้นจินไห่เดินเข้ามาในห้องกับเฝิ่นลู่ โดยในมือของเฝิ่นลู่ถือถ้วยยาที่เพิ่งต้มเสร็จร้อนๆเข้ามา แล้วบอกว่ายาสูตรพิเศษต้มเสร็จแล้วใครจะทดลองดื่มก่อน ฉันบอกว่าฉิงซวงเพิ่งดื่มยาไปเมื่อกี้ เลี่ยงซูก็บอกว่าเหยียนเหล่ยเพิ่งดื่มยาไปแล้วเหมือนกัน ส่วนชิงอิ๋งบอกว่าหยางเค่อยังไม่ได้ดื่มยาเพราะเพิ่งกินข้าวเสร็จเมื่อกี้ ชิงอิ๋งจึงลุกขึ้นเดินมาดูถ้วยยาที่เฝิ่นลู่นำมาวางบนโต๊ะ

           ชิงอิ๋ง  : นี่คือยาอะไรรึ? แต่ข้าได้กลิ่นเถากาฝากหางหงส์
          จินไห่  : ใช่! เป็นยาที่มีส่วนผสมของเถากาฝากหางหงส์
           ชิงอิ๋ง  : ไปเอาเถากาฝากหางหงส์มาได้ยังไงกันเนี่ย เก่งชะมัดสามารถเอามาปรุงยาได้ ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครกล้าเข้าไปเอาเพราะทุกคนเกรงกลัวแม่เฒ่า และเกรงกลัวถูกมดกัด
            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่ห้า เรื่องมันเป็นมายังไง?
          จินไห่  : กาฝากหางหงส์ช่วยสมานแผลและอาการบอบช้ำภายใน เป็นต้นกาฝากที่ขึ้นอยู่บนต้นท้อสวรรค์อาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากต้นท้อ แต่ที่บริเวณต้นท้อจะมีมดแดงคอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้าใกล้ต้นท้อ ข้าจึงพูดกับต้นท้อสวรรค์ว่า ข้าต้องการเถากาฝากหางหงส์ไปรักษาคนบาดเจ็บ เพราะหากคนบาดเจ็บอาการไม่ดีขึ้น มี่จื่อคงจะไม่มีสมาธิทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผลอีกครั้งแน่ๆ ข้ายืนมองดูบริเวณโดยรอบก็ไม่เห็นมีมดโผล่ออกมา ข้าจึงรีบเก็บเถากาฝากหางหงส์มาปรุงยานี่แหละ
         เลี่ยงซู  : แสดงว่าต้นท้อสวรรค์เข้าใจที่อาจารย์ศิษย์พี่ห้าพูดคุยด้วย แปลกชะมัดเลย
            มี่จื่อ  : นี่! ถามจริง! ต้นท้อเข้าใจที่ท่านพูดคุยด้วยจริงๆรึ? (ฉันกระซิบถามจินไห่)
           จินไห่  : คงงั้นล่ะมั้ง....!
             มี่จื่อ  : สมมติว่า...ต้นท้อเข้าใจที่ท่านพูด งั้นท่านก็โกหกต้นท้อน่ะสิว่าข้าจะทำให้ต้นท้อออกผลได้อีกครั้ง?
          จินไห่  : อื้ม!
            มี่จื่อ  : หืม! ต้นท้อก็ดันหลงเชื่อด้วยเนี่ยนะ?!
          จินไห่  : งั้นยาถ้วยนี้ให้หยางเค่อทดลองดื่มก่อนถ้าเขาอาการดีขึ้น ตอนเย็นๆข้าจะต้มมาให้อีก แต่ถ้าเขาตายก็ถือเสียว่าสละชีพชดใช้ความผิดที่พาคนชั่วเข้ามาเผาวางเพลิงหมู่บ้าน
           มี่จื่อ  : นี่จะใช้หยางเค่อเป็นหนูทดลองยารึ?!
         จินไห่  : ใช่!

          ชิงอิ๋งบอกว่าวันงานฉลองต้นท้อสวรรค์ถูกเลื่อนออกไปอีกสิบวันเพื่อความพร้อมของทุกคน และนางก็เห็นด้วยกับความคิดของจินไห่ที่จะใช้หยางเค่อเป็นหนูทดลองยา นางจึงรับถ้วยยาจากจินไห่เพื่อป้อนให้หยางเค่อดื่ม แต่หยางเค่อมองหน้าฉันเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ ฉันพยักหน้าบอกให้หยางเค่อดื่มและบอกเขาว่า จินไห่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรและเป็นอาจารย์สอนปรุงยาที่สำนักเฟยอวี่ นี่เป็นยาที่ปรุงขึ้นเพื่อให้หายบอบช้ำภายในเร็วขึ้น ขอให้ไว้ใจเพราะจินไห่เป็นคนมีคุณธรรม ตรงไปตรงมา คงไม่คิดเสียเวลาลอบทำร้ายใส่ยาพิษลงในถ้วยยาทำร้ายเขาลับหลังแน่นอน หยางเค่อจึงยอมดื่มยานั้นแล้วปล่อยให้เขานอนพักต่อ จากนั้นแม่ครัวก็นำอาหารกลางวันมาวางไว้ให้บนโต๊ะ เราจึงหยุดพักดูแลคนเจ็บแล้วมานั่งกินข้าวด้วยกัน หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ ฉันเห็นหยางเค่อค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่งเอนหลัง ฉันกับชิงอิ๋งจึงรีบเข้าไปประคองเขาให้นั่งเอนหลัง แล้วถามหยางเค่อว่า

             มี่จื่อ  : ไม่นอนต่อแล้วเหรอ?
     หยางเค่อ  : อื้ม...
             มี่จื่อ  : หลังจากดื่มยาแล้ว หากอาการเจ็บดีขึ้นกว่าเดิมก็บอกด้วยนะ ข้าอยากรู้ว่าสูตรยารักษาหายเร็วเนี่ยจะเร็วขนาดไหน แต่ดูสีหน้าค่อยยังชั่วแล้ว หน้าซีดน้อยลง
          จินไห่  : ดื่มยาของข้าอีกถ้วยตอนเย็น พรุ่งนี้หยางเค่อก็มีแรงลุกนั่งเองได้แล้ว
             ลี่ถัง  : ออกจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ หยางเค่อ! เจ้าต้องถูกดำเนินคดี ข้าจะจับเจ้าเข้าคุกให้ได้!
           เฝิ่นลู่  : รอหยางเค่อหายก็จับเข้าคุกที่นี่อีกรอบเลยสิ! เพราะยังไงเราก็ออกไปไม่ได้อยู่แล้ว
             ลี่ถัง  : ข้าไม่มีอำนาจตัดสินคดีที่นี่! ข้าถึงได้แต่เดินไปเดินมาไม่รู้จะทำอะไร
             มี่จื่อ  : ถ้าทุกอย่างที่นี่ปกติดีแล้ว ลี่ถังก็หาบ้านเล็กๆสักหลังอยู่แล้วเลี้ยงไก่ ส่วนข้าจะปลูกผักเรามาแลกไข่ไก่กับผักเก็บไว้กินเป็นอาหาร
             ลี่ถัง  : ตกลงจะอยู่ที่นี่จริงๆรึ?
             มี่จื่อ  : ในเมื่อออกไปไม่ได้ ก็อยู่ที่นี่ไปเลยแล้วกัน
          จินไห่  : แล้วข้าจะทำอะไรดีล่ะ อ้อ! ข้าปลูกสมุนไพร และปรุงยาดีกว่า
         เลี่ยงซู  : ข้าจะทอผ้า ปักผ้า
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ...ไม่ต้องปลูกผัก ข้าจะเปิดโรงเรียนสอนหนังสือ (เขาพูดช้าๆเพราะเจ็บในท้อง)
             มี่จื่อ  : ไม่ปลูกผักแล้วเราจะกินอะไร?
เหยียนเหล่ย  : ให้พ่อ-แม่ของเด็กที่ส่งมาเรียนหนังสือจ่ายค่าเรียนเป็นผัก เนื้อสัตว์ และผลไม้
           มี่จื่อ  : แจ๋ว!!!
           เฝิ่นลู่  : เดี๋ยวๆ นี่คิดจะทำแบบนี้กันจริงๆรึนี่?! ไม่เอาน่า! ข้าอยากกลับบ้าน

          ชิงอิ๋งแอบขำกับความคิดทีเล่นทีจริงของเรา และนางมักจะแอบมองฉันอยู่หลายครั้งเวลาที่ฉันหันไปหยอกเย้ากับเหยียนเหล่ยว่าฉันอยากเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนของเขา เขาพยักหน้ารับและมักลูบศรีษะฉันด้วยความเอ็นดูบ่อยๆ ชิงอิ๋งอยู่พูดคุยกับเราจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆก็กลับออกไป เพราะจะแวะไปดูพวกชาวบ้านและจะเตรียมปรุงอาหารมื้อเย็นมาให้คนป่วย

          ช่วงเวลาเย็นท่านอ๋องและคนอื่นๆกลับจากช่วยชาวบ้านซ่อมแซมบ้าน หลี่จวินบอกว่าพวกเขากินอาหารเย็นกับชาวบ้านกันมาเสร็จเรียบร้อย จึงแวะมาดูอาการคนจนเจ็บก่อนกลับไปพักผ่อนที่เรือนพัก หยางเค่อมีอาการดีขึ้นมากตั้งแต่ดื่มยาที่ผสมเถาหางหงส์ของจินไห่ เขาก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้เอง และมีอาการเจ็บหน้าอกน้อยลง หายใจคล่องขึ้นมาก ทำให้ทุกคนโล่งใจว่าขนาดหยางเค่ออาการสาหัสยังสามารถดีขึ้นได้รวดเร็วขนาดนี้ เหยียนเหล่ยกับฉิงซวงก็ต้องหายเจ็บทันวันงานฉลองแน่ๆ จากนั้นชิงอิ๋งก็ถือปิ่นโตอาหารมา 3 กล่อง บอกว่าทำมาเผื่อให้หยางเค่อกินด้วย จิ่นเกอรับหน้าที่ป้อนอาหารให้ฉิงซวงต่อ เพราะเขาอยากดูแลฉิงซวงด้วยตัวเอง และให้เลี่ยงซูได้พักกินอาหารโดยไม่ต้องรีบร้อน

          หลังจากกินอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อย จินไห่ยกถ้วยยามา 3 ถ้วยส่งให้คนเจ็บทั้งสามดื่ม หยางเค่อกล่าวขอบใจจินไห่ที่ช่วยรักษาเขาจนอาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จินไห่ตอบกลับอย่างเย็นชาว่า เป็นเพราะฉันขอร้องเขาจึงจำเป็นต้องช่วยรักษาให้ จินไห่จึงหันไปพูดกับเหยียนเหล่ยที่กำลังยกถ้วยยาขึ้นดื่มว่า หากพรุ่งนี้ลุกขึ้นเดินเหินได้ก็แสดงว่าหายแล้วล่ะ ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งสบายใจมากขึ้น ท่านอ๋องและคนอื่นๆจึงแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน มีเพียง ฉัน เฝิ่นลู่ ลี่ถัง ชิงอิ๋ง และจินไห่ที่ยังอยู่คอยดูแลคนบาดเจ็บ จินไห่จึงหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าบรรเลงเพลงไพเราะเพื่อความผ่อนคลาย พอเริ่มดึกชิงอิ๋งจึงขอตัวลากลับไปนอน

เพลง SRY : F.HERO Ft. Maiyarap
(Prod.By DeejayB)
Youtube : Whattheduck

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 65
(งานฉลองต้นท้อสรรค์)

          เช้าแล้วเฝิ่นลู่ตื่นแต่เช้าอีกเหมือนเคย และได้ยินเสียงฉิงซวงตื่นขึ้นมาตอนเช้าบอกว่า อยากออกไปเดินสูดอากาศยามเช้า นอนมานานรู้สึกเมื่อยเนื้อตัว อยากเดินยืดเส้นยืดสาย ฉันจึงตื่นลุกขึ้นงัวเงียถามฉิงซวงว่าหายดีแล้วหรือ ฉิงซวงตอบว่าอาการดีขึ้นมาก เจ็บภายในน้อยลงและมีเรี่ยวแรงขึ้นจนสามารถลุกเดินได้ช้าๆ แต่ยังวิ่งไม่ได้ ฉันจึงปล่อยให้เฝิ่นลู่กับฉิงซวงออกไปเดินสูดอากาศยามเช้าด้วยกัน ส่วนฉันก็ลุกขึ้นไปช่วยจินไห่เตรียมน้ำต้มยา การรักษาด้วยสูตรยาเร่งด่วนของจินไห่ผ่านไปได้ 3 วัน อาการบาดเจ็บของคนทั้งสามก็เริ่มหายเป็นปกติจนเดินเหินได้สะดวก ชิงอิ๋งที่นำอาหารเช้ามาส่ง และมีโอกาสได้ดูแลใกล้ชิดเหยียยเหล่ยในขณะที่ฉันไปช่วยจินไห่ต้มยา ชิงอิ๋งจึงเอ่ยปากชักชวนเหยียนเหล่ยให้ไปร่วมงานในวันทำพิธีและอย่าพลาดชมนางฟ้อนรำเพราะ 1 ปี จะมีงานฉลองแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เหยียนเหล่ยรับปากว่าจะไม่พลาดเข้าร่วมพิธี และจะไม่พลาดชมชิงอิ๋งฟ้อนรำแน่นอน ทำเอาชิงอิ๋งยิ้มเขินอาย และรีบจัดสำรับอาหารให้เหยียนเหล่ยกิน ลี่ถังที่นั่งอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น จึงแกล้งถามชิงอิ๋งว่า พวกเราไปเข้าร่วมในพิธีด้วยได้หรือไม่ หรืออนุญาตเฉพาะเหยียนเหล่ย ชิงอิ๋งจึงรีบตอบกลับว่าทุกคนไปร่วมในงานพิธีได้ขอเชิญทุกคน

          ส่วนหยางเค่อที่เคยรับปากว่าเมื่อหายเป็นปกติ เขาจะไปขอโทษชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเขาก็ทำตามที่พูดไว้จริง เขาเดินผ่านใครก็ค้อมตัวขอโทษทุกคน เคาะประตูทุกบ้านไปทีละหลังแล้วกล่าวขอโทษเจ้าของบ้านที่เขาเคยสร้างความเดือดร้อนไว้เมื่อครั้งเกิดไฟไหม้ หลายวันผ่านไปเหตุกาณ์ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงเพราะใกล้ถึงวันงานฉลองต้นท้อสวรรค์ที่ทุกคนรอคอย อีกทั้งข่าวของชงอวี้ก็เงียบไปยังไม่มีใครหาตัวเขาพบ ชงอวี้คงแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสของเจิ้งไฉเป็นแน่

          ใกล้ถึงวันฉลองพวกเราไปช่วยชาวบ้านจัดเตรียมสถานที่จัดงาน แม่เฒ่าพาเราเดินลึกเข้าไปที่สวนหลังบ้าน พบต้นท้อหลายต้นออกดอกสวยงาม เมื่อฉันเดินเข้าไปดูใกล้ๆต้นท้อ กิ่งท้อก็สั่นไหวเล็กน้อยทั้งๆที่ไม่มีลมจนฉันประหลาดใจและคิดในใจว่าฉันคงคิดไปเอง หลังจากช่วยชาวบ้านจัดสถานที่จัดงานเสร็จ พวกเราก็กลับไปซ้อมเล่นดนตรีกันต่อเพื่อวันงานจะได้ไม่ผิดพลาดให้ขายหน้า

          จนวันงานฉลองได้มาถึงและเริ่มพิธีขึ้นในตอนเช้า ชาวบ้านทั้งหมดรวมถึงพวกเรามาเข้าร่วมพิธี เป็นพิธีบวงสรวง ฟ้า ดิน ป่า เขา แม่น้ำ และต้นไม้ โดยมีแม่เฒ่า ลุงสุ่ย ซิ่นปิงเป็นผู้นำดำเนินการในพิธี ต่อจากนั้นจึงเป็นระบำบวงสรวงของธิดาเหม่ยเตี๋ย คือชิงอิ๋งขึ้นเวทีด้วยชุดสีชมพูอ่อนหวานบางเบาพริ้วไหว ร่ายรำอ่อนช้อยงดงาม ตลอดเวลาการร่ายรำของชิงอิ๋งมักจะมองมาที่เหยียนเหล่ยและยิ้มเขินอาย เพราะเหยียนเหล่ยมองดูการร่ายรำของชิงอิ๋งอย่างตั้งใจ ขณะที่ชิงอิ๋งกำลังร่ายรำด้วยท่าทางอ่อนช้อย พริ้วไหวงดงาม ก็ปรากฏกลุ่มผีเสื้อกลุ่มใหญ่สีสันสวยงามออกมาบินอยู่รอบๆตัวชิงอิ๋ง ดอกท้อที่ยังไม่บานเริ่มเบ่งบานคลายกลีบออกทันตาดูช่างงดงามตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ชาวบ้านล้วนต่างมีสีหน้าชื่นชมยินดีที่ได้ชมระบำธิดาเหม่ยเตี๋ย เลี่ยงซูสะกิดบอกฉันว่าพิธีนี้เป็นพิธีสำคัญของหมู่บ้าน นางจะเป็นคนตีชิ่งและร้องเพลงไปพร้อมกัน ส่วนฉันให้ร่ายรำให้เต็มที่และไม่ต้องเป็นห่วงกังวลอะไร ให้ร่ายรำท่วงท่าที่นางสอนไว้ และกำชับแกมหัวเราะไม่ให้ฉันเรียกแมลงต่อ แตน ออกมาเด็ดขาดเพราะแมลงของฉันมันไม่น่ารักเหมือนผีเสื้อของชิงอิ๋ง จะไปกัดต่อยชาวบ้านเอาได้ ฉันพยักหน้ารับแล้วหัวเราะ

          พอจบระบำบวงสรวงของธิดาเหม่ยเตี๋ย ลุงสุ่ยประกาศบอกชาวบ้านว่าท่านอ๋องหกและกลุ่มพวกเราจะร่วมเล่นดนตรี และธิดาหยางเถาจะร่ายรำบวงสรวงด้วย ชาวบ้านทุกคนพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความสนอกสนใจ ท่านอ๋องหกนำพวกเราขึ้นเวทีแล้วเข้าประจำตำแหน่งเครื่องดนตรีของตนเอง เราเล่นเพลงพื้นบ้านที่มีจังหวะไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป ฟังแล้วเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน พร้อมกับการร่ายรำที่สนุกสนานจนกิ่งท้อไหวเอนไปมาเหมือนต้องลมเป็นการตอบรับความรู้สึกสนุกสนานนี้ จนมีชาวบ้านบางคนเต้นรำตามจังหวะไปด้วย สร้างความประทับใจให้กับทุกคนไม่น้อย เมื่อฉันร่ายรำบวงสรวงจบ แม่เฒ่าก็ลุกขึ้นทวงสัญญาจากฉัน ทำเอาท่านอ๋องและทุกคนถึงกับหน้าถอดสี เพราะทุกคนรู้ดีว่าการทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผลในทันทีนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งฉันเองก็เคยยอมรับว่าไม่สามารถทำได้ และรับปากแม่เฒ่ามั่วๆไปก่อนเท่านั้น

        แม่เฒ่า  : ธิดาหยางเถา เจ้าคงไม่ลืมคำสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้า ว่าจะทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผล เพื่อแลกกับการรักษาชีวิตของผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้น เขามีชีวิตอยู่ต่อได้เพราะคำสัญญาของเจ้าที่ให้ไว้กับข้า อย่าได้ทำหลงลืม! (แม่เฒ่าชี้นิ้วไปที่หยางเค่อ)
            มี่จื่อ  : แม่เฒ่า! ข้าขอโทษ! ข้ายอมรับว่าตอนนั้น....
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ!! เจ้ายังไม่ได้ลองทำเลย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าทำไม่ได้ (เหยียนเหล่ยทักท้วงฉันเบาๆ)
            มี่จื่อ  : ก็ขนาดธิดาเหม่ยเตี๋ยสายเลือดแท้ของคนในหมู่บ้าน ยังทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผลไม่ได้เลย แล้วข้าเป็นคนนอกหมู่บ้าน ข้าจะทำได้อย่างไรกันเล่า! (ฉันกระซิบบอกเหยียนเหล่ย)
เหยียนเหล่ย  : ลองทำดูก่อนสิ! หากไม่สำเร็จจริงๆค่อยยอมรับผิดนั้น ข้าจะยืนอยู่เคียงข้างเจ้า และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้า
        อ๋องหก  : ลองทำดูก่อนเถอะ ถ้าไม่สำเร็จค่อยว่ากันอีกที
         ฉิงซวง  : พวกเราจะอยู่เคียงข้างเจ้า (คนอื่นๆพยักหน้าให้กำลังใจ)
             มี่จื่อ  : อื้ม! ข้าจะลองทำดู ข้าจะร่ายรำอีกครั้งแต่ครั้งนี้ข้าขอให้อาจารย์ศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ยดีดกู่เจิงให้ข้าอีกครั้ง และขอคนตีกลองหนึ่งคน
    หลวนเฉิน  : ข้าเอง! ข้าจะตีกลอง
        ช่างอิ่น  : แล้วพวกข้าล่ะ? ให้พวกข้าทำอะไร?
            มี่จื่อ  : คอยเป็นกำลังใจให้ข้า
เหยียนเหล่ย  : จะให้เล่นเพลงอะไร?
            มี่จื่อ  : ข้าต้องการเพลงที่ร้อนแรง ดุดัน ขอเพลงออกรบทำศึกสงคราม!
    หลวนเฉิน  : ห๊า!? เพลงออกรบเหรอ เอาก็เอา!
เหยียนเหล่ย  : ความคิดประหลาดนัก

          ฉันให้เวลาเหยียนเหล่ยกับหลวนเฉินปรึกษาทำนองเพลงที่จะเล่นกันก่อน ส่วนฉันเดินไปที่ต้นท้อสวรรค์แล้วโน้มกิ่งท้อลงมาดมกลิ่นดอกท้อ แล้วพูดกับต้นท้อสวรรค์ว่า "หากข้าคือธิดาหยางเถาโดยแท้ จงออกผลให้ปรากฏโดยอัศจรรย์ คืนความสุข ความอุดมสมบูรณ์สู่ดินแดนแห่งนี้ตลอดไปด้วยเถิด" ทันใดนั้นก็เกิดกลิ่นหอมหวานของมวลดอกไม้ลอยหอมคลุ้งไปทั่วบริเวณ จนสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนโดยเฉพาะแม่เฒ่าที่จ้องมองการกระทำของฉันตาไม่กระพริบ ฉันเดินกลับไปหาเหยียนเหล่ยกับหลวนเฉินที่เตรียมตัวพร้อมบรรเลงเพลงออกรบ

          เมื่อฉันส่งสัญญาณว่าฉันพร้อมแล้ว! หลวนเฉินจึงเริ่มตีกลองนำขึ้น และจากนั้นเหยียนเหล่ยเริ่มดีดกู่เจิงด้วยท่วงทำนองเร็ว ร้อนแรงดุดัน ทั้งคู่บรรเลงเพลงรับส่งกันเข้าจังหวะกันดีเหลือเกิน ส่วนฉันร่ายรำด้วยท่วงท่าตามใจสไตล์ฉัน ขณะร่ายรำนั้นฉันมองสบตากับเหยียนเหล่ยจนเกิดความรู้สึกวูบวาบและจินตนาการกำลังพรอดรักเร่าร้อนอยู่ท่ามกลางดงดอกท้อ เหยียนเหล่ยเองคงรู้สึกแบบเดียวกันกับฉันเพราะแววตาที่เขามองฉันมันดูพริ้มยั่วยวนเหลือเกินจนความรู้สึกร้อนวูบวาบถูกปลดปล่อยเหมือนเสร็จกิจรักไปพร้อมกันในจินตนาการนั้น ประจวบกับกลิ่นดอกไม้เริ่มมีกลิ่นหอมแรงขึ้น กลุ่มผึ้งจำนวนหนึ่งบินออกมาจากราวป่าเพราะได้กลิ่นหอมหวานจากเกสรดอกไม้ และบินไปดอมดมดูดน้ำหวานที่ดอกท้อ ทุกคนในบริเวณนั้นร้องฮือฮาด้วยความประหลาดใจ ฉันเห็นแม่เฒ่าเริ่มมีรอยยิ้มอย่างมีความหวังอีกครั้งปรากฏบนใบหน้า

          จากนั้นฉันหันไปมองที่หลวนเฉินแล้วร่ายรำยั่วยวนแต่แฝงความรู้สึกดุดันอยู่รอบๆตัวเขา เพื่อบิ้วท์อารมณ์ให้หลวนเฉินเกิดความรุ่มร้อนวูบวาบ แล้วจินตนาการว่าฉันกำลังลูบไล้ตัวเขาเบาๆ สองมือบีบคลึงหน้าอก แล้วเลื่อนมือลงไปลูบคลำที่แท่งเนื้อแข็งของหลวนเฉิน จูบสอดใส่ลิ้นดูดดื่มจนเขาเคลิบเคลิ้มในจินตนาการนั้น จากนั้นเขาก็รู้สึกตัวตื่นจากจินตนาการของฉัน เพราะการบรรเลงเพลงใกล้จบลงแล้ว ฉันจึงร่ายรำด้วยท่วงท่าสุดท้ายด้วยการหมุนตัวแล้วปล่อยพลังอันเร่าร้อนที่ฉันได้รับจากเหยียนเหล่ยและหลวนเฉิน ให้พลังที่ปล่อยออกมานั้นพุ่งเข้าใส่ต้นท้อสวรรค์ทุกต้นจนกิ่งท้อสั่นไหวจนชาวบ้านหลายคนร้องด้วยความตกใจกลัวว่าต้นท้อจะเกิดความเสียหาย และแล้วการบรรเลงเพลงออกรบและร่ายรำก็จบลง หลวนเฉินถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงนั่งเอามือแตะอกและที่ริมฝีปากตัวเองด้วยความตื่นเต้นกับความรู้สึกเร่าร้อนที่เขาได้รับจากฉันในจินตนาการ

          ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของชาวบ้านหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ต้นท้อสวรรค์ ร้องตะโกนออกมาเสียงดังว่า "ต้นท้อสวรรค์ออกผลอ่อนเล็กๆแล้ว มาดูเร็ว!" ทุกคนรวมถึงแม่เฒ่าต่างเดินไปดูต้นท้อที่ออกผลอ่อนเล็กๆ แล้วทุกคนก็พากันร้องไชโยดีใจที่ได้เห็นต้นท้อสวรรค์ออกผลอีกครั้ง ฉันโผกระโดดกอดคอเหยียนเหล่ยด้วยความดีใจจนลืมตัวแล้วพูดว่า "เย้! ทำสำเร็จแล้ว รอดตายแล้ว ฮ่าฮ่า!" ท่านอ๋องหกและทุกคนพากันดีใจวิ่งโผเข้ามากระโดดโลดเต้นดีใจกับเราด้วย จากนั้นแม่เฒ่าก็ลุกขึ้นประกาศว่า

        แม่เฒ่า  : มี่จื่อ! คือธิดาหยางเถาโดยแท้ แม้มิได้มีสายเลือดของชนเผ่าไม้ดำ แต่นางเป็นผู้ถูกเลือกจากตำราหมื่นบุปผา และนางเป็นผู้ครอบครองพลังหมื่นบุปผาโดยแท้จริง นางคือผู้คืนชีพให้ต้นท้อสวรรค์ และคืนความอุดมสมบูรณ์ให้หมู่บ้านของเราอีกครั้ง ทุกคนในหมู่บ้านจงเชื่อฟัง และให้ความเคารพธิดาหยางเถาเทียบเท่าธิดาเหม่ยเตี๋ย วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกิน ข้ารอวันนี้มายาวนานเหลือเกิน ขอบใจเจ้ามากมี่จื่อ เอาล่ะ! คืนนี้ดื่มกินกันตามสบาย
      ชาวบ้าน  : ไชโย!!!

          ชาวบ้านต่างพากันมาทักทายฉันและเรียกฉันว่า ธิดาหยางเถา จนฉันรับคำทักทายจากทุกคนแทบไม่ทัน รวมถึงแม่ครัวที่เคยวีนใส่ฉันเมื่อหลายวันก่อน ก็มาขอโทษขอโพยฉันด้วย จากนั้นชาวบ้านก็แยกย้ายกันไปปรุงอาหารและเตรียมเหล้าไว้สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ หลี่จวินจึงชวนเรากลับไปที่เรือนพักจันทราเพื่อดื่มเหล้าดื่มน้ำชาให้ผ่อนคลาย จิ่นเกอเห็นหลวนเฉินยังคงนั่งเหม่อลอย เอามือแตะริมฝีปากแล้วยิ้มคนเดียว จึงเอ่ยทักว่า

         จิ่นเกอ  : หลวนเฉิน เจ้าเป็นอะไร ข้าเห็นเจ้านั่งยิ้มคนเดียวมาได้สักพักแล้ว เกิดอะไรขึ้นรึ?
           เฝิ่นลู่  : เหมือนกำลังฝันหวานอะไรสักอย่าง?
         ช่างอิ่น  : ตั้งแต่เขาตีกลองเมื่อกี้ก็มีอาการแบบนี้ทันทีเลย เอามือแตะริมฝีปากแล้วยิ้มคนเดียว
         ฉิงซวง  : หลวนเฉิน! เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บริมฝีปากงั้นรึ?
    หลวนเฉิน  : ข้าสบายดี และยังไม่อยากตื่นจากความฝันเลย
          จินไห่  : นี่คืออาการคนฝันกลางวัน ต้องให้คนสร้างฝันมาปลุก มี่จือมานี่หน่อย! ปลุกหลวนเฉินให้ตื่นหน่อย
            มี่จื่อ  : หลวนเฉิน! เป็นอะไรรึเปล่า? (ฉันจับแขนเขาบีบเบาๆแล้วยิ้มให้หลวนเฉิน เขามองตาฉันหวานเยิ้มแล้วยิ้มเขินอาย)
    หลวนเฉิน  : เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง เหมือนข้ากำลังทำ....อยู่กลางสนามรบ ข้า...ข้า....
เหยียนเหล่ย  : ฮึ่ม! เจ้าจะได้ทำแค่นั้นแหละ แค่ในจินตนาการ เพราะข้าเห็นว่าเจ้าพยายามช่วยมี่จื่อ และเห็นว่านั่นเป็นการบรรเลงเพลงเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าบังอาจแตะต้องมี่จื่อแบบนั้นอีกแม้กระทั่งในจินตนาการ ข้าก็จะตามเข้าไปฆ่าเจ้า (เหยียนเหล่ยกระซิบข่มขู่หลวนเฉิน)
            มี่จื่อ  : ไปหาอะไรกินกันเถอะน่า ข้าหิวแล้ว! (ฉันบอกหลวนเฉิน และดึงแขนเหยียนเหล่ยให้กลับเรือนจันทราโดยเร็ว)
    หลวนเฉิน  : ทีท่านทำมากกว่าข้าอีก ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับท่านเลย ฮึ่ม! (หลวนเฉินบ่นพึมพำเบาๆ)
        จิ่นเกอ  : เกิดอะไรขึ้นตอนระบำธิดาหยางเถารึ?! เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ! ทำไมเจ้าดูตื่นเต้นและเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน
    หลวนเฉิน  : ไม่มีอะไรหรอกน่า เพลงออกรบมีท่วงทำนองเร็วดุดัน ข้าเลยตื่นเต้น ไปเถอะข้าอยากดื่มเหล้า
         จิ่นเกอ  : เดี๋ยวๆ ออกรบแบบไหนกัน ที่เสร็จศึกแล้วมีอาการเจ็บริมฝีปากแล้วมีอาการเคลิบเคลิ้มแบบเจ้าเนี่ย?! (หลวนเฉินยิ้มแต่ไม่ยอมตอบจิ่นเกอ แล้วเปลี่ยนเรื่องเฉไฉคุยเรื่องอื่นแทน)

          เมื่อกลับถึงเรือนแฝดสุริยันต์จันทรา หลี่จวินเดินมาบ่นฉันว่า แทนที่จะแลกเปลี่ยนให้แม่เฒ่าเปิดทางให้เรากลับบ้าน แต่ฉันดันแลกเปลี่ยนให้หยางเค่อหายบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย หยางเค่อจึงลุกขึ้นขวางแล้วบอกว่ามีอะไรให้มาต่อว่าเขาแทน อย่ามาต่อว่าฉันแล้วจะวางมวยทะเลาะกัน จนหลายคนรีบเข้าห้ามปราม ท่านอ๋องหกจึงลุกขึ้นมาห้ามหลี่จวินและบอกให้ใจเย็นๆ และพูดกับหลี่จวินว่า

        อ๋องหก  : เรายังกลับกันตอนนี้ไม่ได้เพราะเราต้องไปหุบเขาจันทร์ดับ
        หลี่จวิน  : แหม! ก็มันน่าหมั่นใส้นัก ไม่รู้มี่จื่อผูกพันธ์อะไรนักหนากับหยางเค่อ
             มี่จื่อ  : ท่านหลี่จวิน ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านไม่ได้กลับบ้าน แต่หยางเค่อเป็นเพื่อนของข้าคนหนึ่งที่เคยมีพระคุณต่อข้า ข้าจึงทนดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยไม่ได้ อย่าว่าแต่หยางเค่อเลย หากเป็นท่านหลี่จวินตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ทนยืนเฉยไม่ได้เหมือนกัน
        หลี่จวิน  : เชอะ! เพราะข้าต้องอยู่อารักษ์ขาท่านอ๋องหกหรอกนะ ไม่งั้นข้าเอาเรื่องเจ้าไม่เลิกแน่ มี่จื่อ! (หลี่จวินเริ่มมีน้ำเสียงอ่อนลง)
            มี่จื่อ  : ให้ข้ายกน้ำชาขอขมาท่านดีมั้ย โปรดให้อภัยข้า
        หลี่จวิน  : ยะ อย่า! ไม่ต้องเดี๋ยวแม่เฒ่ามาเล่นงานข้า เจ้าเป็นธิดาหยางเถาของที่นี่แล้ว ตำแหน่งสูงส่ง ข้าแตะต้องเจ้าไม่ได้ แต่รอให้กลับออกไปได้ก่อนเถอะ มี่จื่อ! ข้าจะเขกหัวเจ้าสักสิบที คอยดู!
            มี่จื่อ  : งั้นชนแก้วเป็นการขอโทษแล้วกัน

          หลี่จวินยกถ้วยเหล้าดื่มแล้วเลิกบ่นฉัน จากนั้นเราเริ่มพูดคุยกันถึงหุบเขาจันทร์ดับและวิธีการเดินทางไปที่นั่น หยางเค่อขอตามไปด้วย แต่คนอื่นๆบอกไม่ไว้วางใจหยางเค่อ แต่หยางเค่อรับปากและสัญญาว่าเขาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรแล้ว เพราะเขาสัญญากับฉันไว้แล้วว่าจะกลับตัวเสียใหม่ จะเลิกคบคนไม่ดี ต่อไปจะทำงานสุจริต และอยากแก้ตัวด้วยการช่วยทุกคนไปตามหาตำรามังกรสายลม และจะพยายามช่วยหาวิธีให้ทุกคนได้กลับออกไปจากที่นี่ และหากได้ออกไปจากที่นี่เขาจะยอมให้หน่วยสอบสวนดำเนินคดีกับเขาแต่โดยดี ท่านอ๋องหกจึงบอกกับคนอื่นๆว่าให้ลองเชื่อใจหยางเค่อดูสักครั้ง แต่พวกเราก็จะยังคงคอยจับตาดูเขาด้วยเช่นกัน

           จนกระทั่งถึงตอนกลางคืนที่ลานกว้างของหมู่บ้านมีงานเลี้ยง อาหาร และเครื่องดื่ม ชาวบ้านแต่งตัวออกมาร่วมงานด้วยเสื้อผ้าสีสดใส

กษัตริย์ซุนกวน
箏鼓和鳴權御天下
Sun Quan The Emperor
(Guzheng & Drum ver.)
 Youtube by : saberbutterfly




กู่เจิง เพลงจีนพื้นบ้าน
Youtube by : ณัฐณิชา โพธิราช

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 66
(เต้นรำเลือกคู่)

          ท่านอ๋องหก หลี่จวิน และคนอื่นๆออกไปร่วมงานเลี้ยงที่ลานกว้างของหมู่บ้านกันแล้ว ส่วนฉัน เหยียนเหล่ย เลี่ยงซู และหยางเค่อ กำลังเดินตามพวกเขาออกไป บรรยากาศในงานเลี้ยงดูครึกครื้น และดูสนุกสนาน ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของชาวบ้านดังอยู่เป็นระยะๆ ช่างดูแตกต่างไปจากวันก่อนๆที่มีแต่บรรยากาศอึมครึมมืดมน เลี่ยงซูกระซิบถามฉันว่า

         เลี่ยงซู  : มี่จื่อ เจ้าแน่ใจนะว่าผลอ่อนลูกท้อสวรรค์จะโตขึ้นหรือไม่หลุดร่วงไปเสียก่อน
             มี่จื่อ  : ข้าก็กลัวเหมือนกัน แต่ข้าทำให้ต้นท้อออกผลแล้ว ข้าทำตามที่รับปากไว้ หากผลท้อไม่โตหรือหลุดร่วง นั่นไม่ใช่ความผิดของข้า ผิดที่ต้นท้อสวรรค์อ่อนแอเอง
         เลี่ยงซู  : เจ้าทำให้ต้นท้อออกผลทันทีได้ยังไง?
             มี่จื่อ  : ข้าผสมพันธุ์เกสรต้นท้อโดยใช้ผึ้งเป็นพาหะช่วยผสมพันธุ์เกสรดอกไม้ และที่ต้นท้อไม่ยอมออกผลเพราะต้นท้อมันยืนต้นเฉา คล้ายๆคนตรอมใจนั่นแหละ เพราะขาดพลังหมื่นบุปผาคอยหล่อเลี้ยง ข้าจึงใช้เพลงบรรเลงออกรบที่ตื่นเต้น ฮึกเหิม ดุดัน เป็นตัวกระตุ้นให้ต้นท้อตื่นตัว แล้วส่งพลังหมื่นบุปผาที่ร้อนแรงไปหล่อเลี้ยงต้นท้อสวรรค์จนติดผลอ่อนอย่างที่เห็น
         เลี่ยงซู  : งั้นที่หลวนเฉินมีอาการแปลกๆเพราะพลังที่ร้อนแรงแบบนั้นใช่มั้ย?!
            มี่จื่อ  : ชู่ววววว! พูดไม่ได้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! ต่อไปเจ้าห้ามทำอะไรแบบนั้นกับคนอื่นอีก ข้าไม่ชอบ (เหยียนเหล่ยหันมามองค้อนฉัน)
     หยางเค่อ  : มี่จื่อ! ถ้าเจ้าอยู่กับเขาแล้วรู้สึกอึดอัด เปลี่ยนใจกลับมาหาข้าได้ ข้ายังรอเจ้าอยู่ ยังคิดถึงวันที่เราเคยอยู่ด้วยกัน
เหยียนเหล่ย  : เจ้าหยางเค่อ!!! ฮึ่ม!!!
     หยางเค่อ  : ทำไม?! เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้าคนหัวโบราณ!
             มี่จื่อ  : คุณชายหยางเค่อ! หยุดยั่วโมโหกันได้แล้วน่า

          เรานั่งลงที่โต๊ะมีท่านอ๋องหก ลี่ถัง ช่างอิ่น ซิ่นปิง และคนอื่นๆกำลังนั่งดื่มกันอยู่ และมีองครักษ์ 2 คน ที่คอยอารักษ์ขาอยู่ข้างๆท่านอ๋องหก ฉันกล่าวทักทายซิ่นปิงว่าไม่ได้พูดคุยกันหลายวันเลย ซิ่นปิงตอบว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่ในหมู่บ้านเพราะออกไปกับกลุ่มชายฉกรรจ์ตามล่าชงอวี้กับเจิ้งไฉแต่หาตัวคนทั้งสองไม่พบ ซิ่นปิงกล่าวขอบใจฉันที่ทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผล เขาบอกว่าคิดถูกแล้วที่พาฉันมาที่หมู่บ้าน ฉันจึงถามเขาไปอีกว่า ฉันยังเป็นตัวหายนะของเขาอีกหรือไม่ ซิ่นปิงหัวเราะแล้วกล่าวขอโทษฉันที่เคยกล่าววาจารุนแรงไปตอนนั้น เพราะโมโหที่ฉันใช้เล่ห์เหลี่ยมล้วงเอาความลับจากเขา ฉันจึงเอ่ยขอโทษเขากลับที่เคยทำอะไรไม่เหมาะสมกับเขาไปวันนั้น จากนั้นฉันกับเลี่ยงซูเดินไปตักอาหารและเครื่องดื่มมาให้เหยียนเหล่ยกับหยางเค่อ

          ชิงอิ๋งที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้างดงามแต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงสดลวดลายบนผ้ามีสีดำขลิบทองดูหรูหราคมเข้มโดดเด่นยิ่งนัก ชิงอิ๋งเดินเข้ามาหาฉันที่กำลังยืนตักอาหารใส่จานให้เยียนเหล่ย ชิงอิ๋งบอกว่ามีเรื่องอยากพูดคุยกับฉันตามลำพัง ฉันจึงส่งจานอาหารให้เลี่ยงซูฝากไปให้เหยียนเหล่ย แล้วเดินพูดคุยไปกับชิงอิ๋ง

           ชิงอิ๋ง  : น่าอิจฉาเจ้านัก ได้รับพลังหมื่นบุปผาเพราะตำราหมื่นบุปผาเลือกเจ้า ข้าเป็นธิดาเหม่ยเตี๋ยแท้ๆ แต่ตำรากลับไม่เคยเลือกข้า มิหนำซ้ำเจ้ายังได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับอาจารย์เหยียนเหล่ย ช่างน่าอิจฉาเป็นที่สุด
            มี่จื่อ  : แต่อีกไม่นานข้าจะคืนพลังหมื่นบุปผาพร้อมตำราให้กับแม่เฒ่า หลังจากนั้นเจ้าก็จะเป็นผู้สืบทอดพลังหมื่นบุปผาอย่างสมบูรณ์ และข้าจะไม่ใช่ธิดาหยางเถาอีกต่อไป ส่วนอาจารย์เหยียนเหล่ย คือข้ากับเค้า.....
           ชิงอิ๋ง  : ข้ารู้ว่าเจ้ากับเขาเป็นคู่รักกัน แต่คืนนี้เป็นคืนพิเศษ ธิดาเหม่ยเตี๋ยมีสิทธิ์เลือกคู่เต้นรำเป็นใครก็ได้ และผู้ที่ธิดาเหม่ยเตี๋ยเลือกก็ไม่สามารถปฏิเสธ คืนนี้ข้าอยากเต้นรำกับอาจารย์เหยียนเหล่ย แต่กลัวเขาไม่เต็มใจเต้นรำกับข้า
            มี่จื่อ  : อาจารย์เหยียนเหล่ยจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก็ไม่อาจปฏิเสธเจ้าได้อยู่แล้ว เหตุใดเจ้าต้องกังวล (...คนที่ต้องเป็นกังวลคือข้าต่างหาก ฉันคิดในใจ)
          ชิงอิ๋ง  : คือ...ข้ามีความรู้สึกพิเศษและจริงใจต่ออาจารย์เหยียนเหล่ย แต่หากเขาไม่รู้สึกพิเศษอะไรต่อข้า ข้าก็ไม่เสียใจ ข้าเพียงอยากให้เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกของข้าที่มีต่อเขาเท่านั้น ข้ารู้ว่าข้ามาทีหลังเจ้า และมันเป็นเรื่องที่น่าอายและไม่ถูกต้องที่ข้าเปิดเผยเรื่องนี้กับเจ้า แต่ข้าก็อยากได้รับโอกาสนั้น โอกาสที่เขาจะหันมามองข้า นี่! เพราะเป็นเจ้าข้าจึงกล้าที่จะพูดเรื่องนี้ เอ่อ...ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนแปลกๆ มีความคิดแปลกๆ เจ้าดูเป็นคนใจกว้างพอที่จะรับฟังข้า ดูเหมือนเจ้ามาจากสถานที่ที่ผู้คนมีความคิดอิสระเสรี และเจ้าดูเป็นมิตรที่เชื่อใจได้
            มี่จื่อ  : ใช่ ข้ามาจากสถานที่ที่ผู้คนมีความคิดอิสระเสรี กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ แต่เอาเถอะ! ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้พูดแสดงความรู้สึกกับอาจารย์เหยียนเหล่ย หากเขาหลงรักเจ้าจริงๆ ข้าก็จะยอมรับทุกการตัดสินใจของอาจารย์เหยียนเหล่ย และหากเขาต้องการยุติความสัมพันธ์กับข้า ข้าก็จะยอมถอยห่างออกไปเอง
           ชิงอิ๋ง  : ไม่! ข้าไม่ได้ต้องการแย่งเขามาจากเจ้า ข้าเพียงกลัวว่าวันหนึ่งเมื่อพวกเจ้าได้ออกไปจากที่นี่ ข้าคงจะไม่ได้พบเขาอีกและคงจะไม่ได้บอกความในใจ
            มี่จื่อ  : เดี๋ยวก่อน! แสดงว่าพวกข้ามีโอกาสจะได้ออกไปจากที่นี่รึ?!
           ชิงอิ๋ง  : ไม่มีใครรู้ความคิดของแม่เฒ่า ภายนอกแม่เฒ่าดูใจร้าย แต่ความจริงแล้วแม่เฒ่าเป็นคนมีเหตุผลและเป็นคนใจดี
            มี่จื่อ  : นั่นสิ! แม่เฒ่าเคยด่าข้าว่าเป็นคนโง่เขลา แต่พอข้าถูกแม่ครัวว่าร้าย แม่เฒ่าก็เข้ามาช่วยเหลือข้าว่ากล่าวตักเตือนแม่ครัวให้หยุดด่าข้า เอ๊ะ! นี่เราเดินคุยกันมาถึงต้นท้อสวรรค์เลยรึ?! ขอให้ข้าไปดูผลท้ออ่อนสักหน่อย
           ชิงอิ๋ง  : ไปสิ ข้าไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าเจ้าจะทำให้ต้นท้อสวรรค์ที่ไม่เคยออกผลอีกเลยให้กลับมาออกผลได้ในทันทีอีกครั้ง
            มี่จื่อ  : ข้าก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน (ฉันแตะนิ้วที่ผลท้ออ่อน แล้วพูดกับผลท้ออ่อนว่า...) ผลท้อจ๋า โตเร็วๆนะอย่าเพิ่งร่วงไปเสียก่อน ขอร้องล่ะ ข้ายังไม่อยากถูกแม่เฒ่าฆ่าตายที่นี่
           ชิงอิ๋ง  : แม่เฒ่าไม่ฆ่าเจ้าหรอก เจ้านี่ดูเพี้ยนๆพูดกับผลท้ออ่อนเป็นเรื่องเป็นราว เรากลับไปที่งานฉลองกันเถอะ การเต้นรำใกล้จะเริ่มแล้ว

          ฉันกับชิงอิ๋งเดินกลับไปที่ลานกว้างของหมู่บ้านเพื่อรอช่วงเวลาเต้นรำใกล้จะเริ่ม เราเดินกลับมาที่โต๊ะพบทุกคนนั่งกินอาหารและดื่มกันอยู่พร้อมหน้า ชิงอิ๋งเอ่ยทักทายทุกคนและส่งยิ้มหวานให้กับเหยียนเหล่ย จากนั้นชิงอิ๋งจึงเดินไปหาลุงสุ่ยที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกันนัก ลี่ถังและเลี่ยงซูเรียกฉันให้ไปนั่งข้างๆแล้วมองหน้าฉันส่งสายตาเป็นสัญญาณเหมือนจะถามว่าฉันคุยอะไรกับชิงอิ๋ง ฉันจึงแกล้งลี่ถังกับเลี่ยงซูด้วยการยักคิ้วแล้วกลอกตาไปมาส่งสัญญาณกลับไป

            ลี่ถัง  : เจ้าเล่นอะไรเนี่ย ยักคิ้วหลิ่วตาทำไม? ข้าไม่เข้าใจ?!
         เลี่ยงซู  : มี่จื่อ! อย่ากวนประสาทน่า เจ้าคุยอะไรกับชิงอิ๋งงั้นรึ มีเรื่องสำคัญอะไรจึงต้องแยกไปคุยกันที่อื่น
            มี่จื่อ  : ก็ไม่มีอะไร ชิงอิ๋งแค่บอกว่าอยากขออาจารย์เหยียนเหล่ยเต้นรำคืนนี้ ข้าเลยตอบไปว่าถ้าอาจารย์เหยียนเหล่ยยินดีเต้นรำกับนาง ข้าก็ไม่ขัด
         เลี่ยงซู  : เจ้าจะบ้าเหรอ ปล่อยให้อาจารย์เหยียนเหล่ย ออกไปเต้นรำกับชิงอิ๋งไม่ได้นะ
            มี่จื่อ  : ทำไมล่ะ?!
         เลี่ยงซู  : ถ้าธิดาเหม่ยเตี๋ยขอชายใดเต้นรำในคืนงานฉลองต้นท้อสวรรค์ นั่นแสดงว่าธิดาเหม่ยเตี๋ยหมายตาชายผู้นั้น หรือเลือกชายผู้นั้นเป็นคู่ครองในอนาคต และหากชายผู้ที่ถูกเลือกมีใจให้ต่อกันเขาทั้งสองสามารถแต่งงานกันได้เลย เจ้าถูกชิงอิ๋งหลอกขโมยอาจารย์เหยียนเหล่ยแล้วล่ะ!
            มี่จื่อ  : ทำไมเพิ่งมาบอกข้าเล่า ข้านี่โง่ซ้ำซากจริงๆ?!
         เลี่ยงซู  : ข้าก็เพิ่งรู้จากชาวบ้านเมื่อกี้
             ลี่ถัง  : เหยียนเหล่ยคงไม่คิดอะไรกับชิงอิ๋งหรอก เหยียนเหล่ยรักมี่จื่อจะตายไป
     หยางเค่อ  : ใครจะรู้ ชิงอิ๋งเป็นถึงธิดาเหม่ยเตี๋ย นางสวย น่ารัก เก่งจับดาบ เก่งงานครัว ทำอาหารก็อร่อย ข้าเองยังมองดูว่าชิงอิ๋งเป็นหญิงที่น่าสนใจ มีรึที่เหยียนเหล่ยจะไม่ชายตามอง ข้าเห็นเขาสองคนส่งสายตาให้กันบ่อยๆ (หยางเค่อเอียงหน้าหันมาพูดกับฉันเบาๆ)
            ลี่ถัง  : นี่! เจ้าหยุดพูดจายั่วยุให้เขาสองคนผิดใจกันสักที มิเช่นนั้นข้าจะจับเจ้าโยนเข้าคุกไม้ดำอีกรอบ!

          ฉันพูดอะไรไม่ออกได้แต่นั่งนิ่ง และพยายามทำใจให้สงบ แล้วมองไปที่เหยียนเหล่ยที่กำลังพูดคุยอยู่กับหลี่จวิน เหยียนเหล่ยหันกลับมามองที่ฉันแล้วพยักหน้าให้ฉันย้ายที่ไปนั่งข้างๆเขา เลี่ยงซูกับลี่ถังจึงรีบไล่ให้ฉันไปนั่งข้างๆเหยียนเหล่ย เมื่อถึงช่วงเวลาเต้นรำ มีกลุ่มหญิงสาวเดินหัวเราะซุบซิบมากับชิงอิ๋งที่ในมือถือผ้าเช็ดหน้ามาด้วยหนึ่งผืน พวกนางเดินหัวเราะเขินอายตรงมาที่เหยียนเหล่ยนั่งอยู่ ชิงอิ๋งพูดขึ้นว่า

           ชิงอิ๋ง  : อาจารย์เหยียนเหล่ย ออกไปเต้นรำกับข้าสักหนึ่งเพลงจะได้หรือไม่? หากท่านยินดีจะเต้นรำกับข้ากรุณาจับที่ปลายผ้าเช็ดหน้าผืนนี้
เหยียนเหล่ย  : ได้! ข้ายินดีออกไปเต้นรำกับเจ้า!

          เหยียนเหล่ยจับที่ปลายผ้าเช็ดหน้าที่ชิงอิ๋งยื่นให้ แล้วเดินตามออกไปที่ลานกว้างเพื่อเต้นรำกับชิงอิ๋ง เหยียนเหล่ยเต้นรำดูเก้ๆกังๆแต่ก็ดูเขาหัวเราะสนุกสนานอยู่พอสมควร ซิ่นปิงที่ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับเหยียนเหล่ยก็พูดขึ้นว่า ถ้าชิงอิ๋งได้แต่งงานกับเหยียนเหล่ยคงจะดีไม่น้อย เพราะเหยียนเหล่ยดูเป็นผู้ใหญ่ คงดูแลน้องสาวที่เอาแต่ใจของเขาได้เป็นอย่างดี และดูท่าทางชิงอิ๋งจะถูกใจในตัวเหยียนเหล่ยไม่น้อยเลย เฝิ่นลู่จึงตีแขนซิ่นปิงให้หยุดพูด แล้วพูดเบาๆกับซิ่นปิงว่าเหยียนเหล่ยมีฉันเป็นภรรยาอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการเท่านั้น ซิ่นปิงถึงกับอุทานตกใจพูดไม่ออกและหันมามองหน้าฉันที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าฉันรู้สึกไม่สบายใจ ซิ่นปิงรีบกล่าวขอโทษแทนชิงอิ๋งและบอกว่าเขาจะบอกเรื่องนี้ให้ชิงอิ๋งรู้ และทำท่าจะลุกออกไปบอกให้เขาทั้งสองคนหยุดเต้นรำ ฉันจึงบอกซิ่นปิงว่าไม่เป็นไร เพราะเหยียนเหล่ยเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะเป็นคนตัดสินใจเอง หากเหยียนเหล่ยต้องการแต่งงานกับชิงอิ๋ง ฉันก็จะปล่อยเขาไป

         ฉิงซวง  : อาจารย์เหยียนเหล่ยเป็นสามีของเจ้านะ ปล่อยให้ไปกับแต่งงานกับหญิงอื่นง่ายๆได้ยังไง เจ้าบ้าไปแล้วรึ
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้บ้า แต่เมื่อคนรักกันหากหมดสิ้นรักที่มีให้กันแล้ว ยื้อกันไว้มันก็ไม่มีประโยชน์ สู้ต่างคนต่างเดินไปตามทางของตัวเองแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่ใช่มากกว่าจะไม่ดีกว่ารึ
         ฉิงซวง  : ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ผู้หญิงที่เคยมีสามีมาแล้ว จะแต่งงานใหม่อีกครั้งมันยากนะ จะเป็นที่ครหาของชาวบ้าน
     หยางเค่อ  : ข้าจะแต่งงานกับมี่จื่อเอง รับรองชาวบ้านไม่กล้าครหาเจ้า
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อจะแต่งงานกับข้า ข้าจะดูแลมี่จื่อเอง ส่วนเจ้าน่ะต้องถูกดำเนินคดีเข้าคุก
        หลี่จวิน  : ไม่มีใครได้แต่งงานใหม่กับมี่จื่อทั้งนั้น และหยุดใส่ร้ายเพื่อนข้าด้วย เหยียนเหล่ยแค่ออกไปเต้นรำตามธรรมเนียมงานฉลองมิใช่รึ?! เขาไม่เคยพูดว่าจะคบหาหรือแต่งงานกับชิงอิ๋งสักคำ แม้เขาจะตอบรับคำขอเต้นรำ แต่เขาสามารถตอบปฏิเสธคำขอแต่งงานได้มิใช่เหรอ ใช่มั้ยซิ่นปิง?
          ซิ่นปิง  : ใช่ๆ! หากผู้ชายไม่มีใจก็ไม่สามารถบังคับแต่งงาน ต้องทั้งสองฝ่ายมีใจให้กันจึงจะแต่งงานกันได้ ถึงพวกข้าจะเป็นคนป่าแต่เราก็ไม่มีนิสัยป่าเถื่อน
        หลี่จวิน  : ข้าเชื่อว่าเหยียนเหล่ยไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าไปหาหญิงอื่นง่ายๆแน่

          ในขณะที่เรากำลังพูดคุยถกปัญหาคาใจกันอยู่นั้น ลี่ถังก็ทักขึ้นว่า เหยียนเหล่ยกับชิงอิ๋งหายไปไหน ดูเหมือนเขาทั้งสองจะหายออกจากงานเลี้ยงไปด้วยกัน เหลือแต่คู่หนุ่มสาวคนอื่นๆที่กำลังเต้นรำกันสนุกสนาน ซิ่นปิงจึงเรียกชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาแล้วถามว่าเห็นชิงอิ๋งหรือไม่ ชาวบ้านคนนั้นตอบว่าเห็นชิงอิ๋งเดินคุยกับผู้ชายที่เต้นรำด้วยกัน เห็นเดินคุยกันออกไปทางเรือนพักของชิงอิ๋ง ฉิงซวงกับลี่ถังชวนฉันออกไปตามเหยียนเหล่ย แต่ท่านอ๋องหกห้ามไว้แล้วบอกว่า...

        อ๋องหก  : เหยียนเหล่ยโตเป็นผู้ใหญ่แล้วและรู้จักวางตัวว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร ปล่อยให้เหยียนเหล่ยจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเถอะ
        หลี่จวิน  : ใช่! เหยียนเหล่ยไม่ชอบทำอะไรนอกลู่นอกทาง เขาควบคุมตัวเองได้เสมอ แต่! ยกเว้นกับเจ้า มี่จื่อ! เจ้าชอบพาเขาออกนอกลู่นอกทาง คุณชายที่อยู่แต่ในกฏในระเบียบมาเสียคนเสียระเบียบเพราะเจ้านี่แหละ
          จินไห่  : อืม! เห็นทีจะจริง ศิษย์พี่สี่ไม่เคยช่วยศิษย์คนไหนโกงข้อสอบ แต่กลับทำผิดกฏของสำนักช่วยมี่จื่อโกงการสอบเดินป่า จนลำบากข้าต้องไปเพิ่มด่านการสอบให้ยากขึ้นกว่าเดิม
       หลี่จวิน  : ยังมีอีกนะ ตอนที่มี่จื่อดื้อหนีออกจากจวน เหยียนเหล่ยไปแจ้งที่หน่วยสอบสวนให้เจ้าหน้าที่ออกตามจับมี่จื่อไปขังคุกเพื่อให้นางหยุดดื้อ ข้าต้องมาที่หน่วยกลางดึกมานอนเฝ้าดูเขาสองคนทะเลาะกัน พอมี่จื่อย้ายมาอยู่ที่สำนักเฟยอวี่ เหยียนเหล่ยก็เรียกข้ามากลางดึกให้ช่วยเขาเก็บของหนีออกจากจวนมาอยู่กับมี่จื่อที่สำนัก เป็นคุณชายแต่เก็บเสื้อผ้าหนีตามสาวใช้มันมีใครที่ไหนเค้าทำกัน เพราะเจ้ามี่จื่อทำให้เหยียนเหล่ยเพื่อนข้าสติเพี้ยน
          เฝิ่นลู่  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่เห็นมาดขรึมๆแต่ทำเรื่องแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ
            มี่จื่อ  : เห๊!? แทนที่จะพูดให้กำลังใจข้า ทำไมกลับมาพูดว่าข้าแทนล่ะ ข้ายิ่งกลุ้มใจอยู่นะ
             ลี่ถัง  : หลี่จวินแค่จะบอกว่าเหยียนเหล่ยเปลี่ยนไปเพราะเจ้า เจ้าเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาหวั่นไหว และทำอะไรก็ได้เพื่อให้เจ้าอยู่กับเขาจนเขาเหมือนคนบ้า ไว้รอเหยียนเหล่ยกลับมาค่อยถามว่าพูดคุยอะไรกับชิงอิ๋ง อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเหยียนเหล่ยจากสิ่งที่เพิ่งเห็น
       หลี่จวิน  : ใช่! ข้าหมายถึงเช่นนั้นแหละ!
            มี่จื่อ  : อื้ม....

          สักพักใหญ่ๆเหยียนเหล่ยก็เดินกลับมาคนเดียวแล้วนั่งลงข้างๆฉัน ซึ่งทุกคนต่างจ้องมองไปที่เขา จนเขาเอ่ยทักขึ้นว่าทำไมทุกคนถึงจ้องมองเขาเหมือนเขาทำอะไรผิด หลี่จวินจึงถามเขาว่า....

        หลี่จวิน  : เจ้าหายไปไหนมา
เหยียนเหล่ย  : ข้ากับชิงอิ๋งไปเดินเล่น และข้าเดินไปส่งชิงอิ๋งที่เรือนพัก ข้าทำอะไรผิดรึ?!
        หลี่จวิน  : ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก แล้วพูดคุยอะไร แบบ แบบเรื่อง....
เหยียนเหล่ย  : ก็พูดคุยเรื่องทั่วไป ถ้าเจ้าอยากรู้มากขนาดนั้นทำไมตอนนั้นเจ้าไม่ตามไปฟังข้ากับชิงอิ๋งคุยกันซะเลยล่ะ
        หลี่จวิน  : ไม่ใช่ข้าที่อยากรู้ แต่มีบางคนอยากรู้มากกว่าข้า (หลี่จวินพยักพะเยิดหน้ามาทางฉัน)
เหยียนเหล่ย  : เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร
             มี่จื่อ  : ทุกเรื่อง! (ฉันทำเสียงเข้มใส่เขา)
เหยียนเหล่ย  : ชิงอิ๋งบอกว่าชอบข้าและอยากแต่งงานกับข้า แต่ข้าตอบนางไปว่าข้ามีเจ้าเป็นภรรยาอยู่แล้ว และจะไม่แต่งภรรยาใหม่ถ้าเจ้าไม่อนุญาต (เหยียนเหล่ยกระซิบบอกข้างๆหูฉัน)
             มี่จื่อ  : ตอบนางไปแบบนั้นจริงๆเหรอ?
เหยียนเหล่ย  : จริง!

          ทุกคนที่รอลุ้นคำตอบพอเห็นฉันเริ่มยิ้มได้ ทุกคนก็โล่งใจและพอจะเดากันได้ว่าเหยียนเหล่ยตอบปฏิเสธไมตรีของชิงอิ๋ง ทุกคนจึงพร้อมใจยกถ้วยเหล้าดื่มด้วยความโล่งอก ยกเว้นหยางเค่อกับหลวนเฉินที่ทำหน้าเสียดายและผิดหวัง เริ่มดึกเราเริ่มทยอยกันกลับเรือนที่พัก เหยียนเหล่ยจูงมือฉันเดินแยกไปทางอื่น เขาบอกว่าอยากเดินเล่นตอนกลางคืนกับฉันสองคน นานแล้วที่เราไม่ได้เดินเล่นด้วยกัน ฉันจึงถามเหยียนเหล่ยอีกครั้งว่า

            มี่จื่อ  : ไม่เสียดายเหรอที่ปฏิเสธไมตรีของชิงอิ๋ง
เหยียนเหล่ย  : ข้าแต่งงานมีภรรยาแล้ว
            มี่จื่อ   : จริงด้วย! ลืมไปเลยว่าท่านมีภรรยา
เหยียนเหล่ย  : หนอย! นี่เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้า?! (เขาเอามือบีบแก้มฉันสองข้างจนปากจู๋) คิดว่าตัวองยังเป็นหญิงโสดอยู่รึไง ฮึ?!
            มี่จื่อ  : มันก็เผลอลืมไม่ได้รึไงเล่า (ฉันจับมือเขามากัดแต่ไม่แรงนัก)
เหยียนเหล่ย  : โอ๊ย!! เจ้าคิดต่อกรกับข้ารึ?! (เหยียนเหล่ยกัดมือฉันคืนเบาๆทำฉันร้องตกใจวิ่งไล่ตีเขา)

          เราหยอกล้อเล่นหัวเราะจนฉันหายกังวลใจเพราะกลัวเหยียนเหล่ยไปตกหลุมรักชิงอิ๋ง พอได้รู้ว่าเหยียนเหล่ยไม่เคยเอาใจออกห่างจากฉันเลย นั่นทำให้ฉันยิ่งรักเขามากขึ้นสุดหัวใจ แล้วคิดอยู่ในใจว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งเขาไปจากฉันง่ายๆอีกแล้ว เราเดินจับมือกันมาถึงเรือนที่พัก ทุกคนแยกย้ายกันไปนอนหมดแล้ว เหลือเพียงองครักษ์ของท่านอ๋องหกที่ยังคงเดินตรวจตรารอบๆเรือนที่พัก

          ฉันกับเหยียนเหล่ยเข้าอาบน้ำด้วยกัน เราผลัดกันขัดถูหลัง เขาจับฉันนั่งบนตักพิงหลังแนบกับหน้าอกแน่นของเขา เหยียนเหล่ยลูบไล้มือผ่านหน้าอกบีบขยำเล่นสนุกมือ แล้วก้มจูบที่ไหล่ มือข้างหนึ่งลูบไล้ลงมาที่เนินหว่างขาที่ฉันอ้าขาออกกว้างรอให้เขาสัมผัส แล้วสอดใส่นิ้วหนึ่งเข้าเนินหว่างขา ขยับนิ้วเข้าออกจนเสียว ฉันหันหน้าไปจูบเขาและบอกรักเขาอีกครั้งหนึ่ง เหยียนเหล่ยตอบกลับฉันว่าเขาเองก็รักฉันเหมือนกัน เขาค่อยๆจับปลายแท่งเนื้อแข็งถูไถกับเนินหว่างขาแล้วสอดเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลัง เขาช่วยจับที่สะโพกฉันให้ขยับขึ้นลงจนเนินหว่างขาเสียดสีกับแท่งเนื้อแข็งใหญ่จนเสียวไปหมด ฉันขยับตัวหันหน้ากลับไปกอดและจูบเขาอย่างดูดดื่มจนแทบจะกินเขาไปทั้งตัวแล้วขยับสะโพกเด้งกระแทกแท่งเนื้อแข็งอีกหลายครั้ง ฉันเบียดตัวแอ่นหน้าอกให้เหยียนเหล่ยดูดเลียหน้าอกและหัวนม พร้อมกับโยกสะโพกให้เนินหว่างขาบดเบียดเสียดสีแท่งเนื้อแข็งเข้าออกจนมิดสุดโคน แล้วเร่งจังหวะกระแทกเร็วถี่ขึ้นจนเราเกร็งตัวเสร็จพร้อมกัน จากนั้นเราก็บรรเลงบทรักเร่าร้อนกันต่อบนเตียงจนหมดแรงแล้วนอนกอดกันหลับไปจนกระทั่งเช้า


เพลง Do You
F.Hero ft. BamBam GOT7

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 67
(ชิงอิ๋งแอบไปหุบเขาจันทร์ดับ)

          เช้านี้ฉันรู้สึกตัวตื่นนอนก่อนเหยียนเหล่ย เขากำลังนอนกอดซบอกฉันหลับไหล ฉันขยับมือลูบไล้เส้นผมเส้นเล็กอ่อนนุ่มของเขาไปมาช้าๆเพื่อไม่ให้เขาตื่น แล้วจูบเบาๆที่หน้าผากเขาด้วยความรักและหลงไหล ทำให้เหยียนเหล่ยรู้สึกตัวตื่นงัวเงียกระชับกอดฉันแน่นขึ้น ฉันจึงนอนกอดเขาอยู่แบบนั้นเพื่อรอเขาตื่น เพียงครู่หนึ่งเขาก็ตื่นเราจึงลุกไปล้างหน้าแล้วช่วยแต่งตัวหวีผมให้กัน เสร็จแล้วจึงออกจากห้องเพื่อไปกินอาหารเช้า พบสาวๆที่ตื่นแต่เช้ามารอกินอาหารเช้าอยู่ก่อนแล้ว ส่วนหนุ่มคนอื่นๆยังไม่มีใครเดินออกมาจากห้องพัก ฉันจึงรินน้ำชาให้เหยียนเหล่ยดื่มไปพลางๆก่อน ลี่ถังจึงเอ่ยถามเหยียนเหล่ยว่า

             ลี่ถัง  : ท่านอ๋องหกบอกว่าวันนี้จะไปคุยกับแม่เฒ่าเรื่องการเดินทางไปหุบเขาจันทร์ดับ
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ต้องนำตำราหมื่นบุปผาไปคืนแม่เฒ่าและไปเอาผลท้อสวรรค์ที่แม่เฒ่าด้วย แต่น่าเสียดายผลท้อสวรรค์มีเพียงลูกเดียว แต่หากจะรอให้ผลท้อลูกใหม่โต อาจจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าผลท้อจะโตจนเก็บได้
             มี่จื่อ  : นำตำราหมื่นบุปผาไปคืนตอนนี้จะดีเหรอ ไม่รอให้กลับจากหุบเขาจันทร์ดับก่อนแล้วค่อยนำไปคืน
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไรหรอก ตำราหมื่นบุปผาตอนนี้เปรียบเสมือนตำราที่ว่างเปล่ามีแต่กิ่งก้านของต้นท้อ เพราะเคล็ดวิชาอยู่ในตัวเจ้าหมดแล้ว ตำราจะมีชีวิตอีกครั้งก็ต่อเมื่อเจ้าคืนพลังกลับคืนให้ตำรา หรือไม่เจ้าก็ตายลงเท่านั้น
             ลี่ถัง  : มี่จื่อ! เจ้าไม่มีวิธีเร่งผลท้อให้โตเร็วๆได้ภายในสองวันบ้างรึ เจ้าเร่งผลท้อให้ออกผลได้ น่าจะเร่งให้ผลท้อโตเร็วได้?!
             มี่จื่อ  : ข้าทำไม่ได้หรอก ข้าจนปัญญาจริงๆ แต่ข้าจะลองไปคุยกับต้นท้อให้นะ
           เฝิ่นลู่  : เราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่
เหยียนเหล่ย  : อีกสองวันในตอนกลางคืน แต่ครั้งนี้พวกเจ้าต้องอยู่รอที่นี่ มี่จื่อด้วย! ไม่ต้องตามไป มันอันตราย จะไปแต่ผู้ชายที่มีพลังยุทธสูงเท่านั้น
             มี่จื่อ  : แต่ข้าเป็นห่วงท่าน ให้ข้าไปด้วยเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง ข้าควบคุมพลังได้แล้ว และข้าก็บังคับกระบี่ได้แล้วด้วย
เหยียนเหล่ย  : อยู่รอที่นี่เถอะ เจ้าไปด้วยทำให้ข้ายิ่งเป็นกังวลกลัวเจ้าจะได้รับอันตราย
         ฉิงซวง  : มี่จื่อ! เราอยู่รอที่นี่เถอะ เจ้าอย่าดื้อรั้นที่จะไปเลย จะทำให้พวกเขาห่วงหน้าพะวงหลังเปล่าๆ ท่านอาจารย์เป็นคนเก่งต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน
            มี่จื่อ  : ก็ได้...
เหยียนเหล่ย  : เจ้าอยู่ที่นี่มองหาสถานที่สร้างโรงเรียนเหมาะๆสวยๆให้ข้า เมื่อข้ากลับมาเราจะสร้างโรงเรียนกัน
           เฝิ่นลู่  : เอาจริงรึ?! โธ่! สรุปเราจะไม่ได้กลับบ้านกันรึนี่?
       
          ไม่นานนักท่านอ๋องหกและคนอื่นๆต่างเดินออกมาจากห้องพักเราจึงเริ่มลงมือกินอาหารเช้าพร้อมกัน หลังจากนั้นท่านอ๋องหก หลี่จวิน เหยียนเหล่ย และจินไห่ พากันเดินไปบ้านของแม่เฒ่าเพื่อไปขอผลท้อสวรรค์ ฉันจึงเดินตามพวกเขาไปด้วยเพราะอยากไปเล่นกระต่ายที่บ้านของแม่เฒ่า

          พวกเขาเดินเข้าไปในบ้านของแม่เฒ่า ฉันจึงแยกตัวไปดูกระต่ายที่กำลังกินหญ้าอยู่หน้าบ้าน ขณะกำลังยื่นหญ้าให้กระต่ายกินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของชิงอิ๋งที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นว่า...

           ชิงอิ๋ง  : เจ้าโกหกข้า! ที่แท้เจ้ากับเขาก็เป็นสามี-ภรรยากัน
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้โกหก ข้า...แค่ไม่ได้บอกใคร
           ชิงอิ๋ง  : เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะปฏิเสธข้า เจ้าอยากเห็นข้าได้รับความอับอายใช่มั้ย?!
             มี่จื่อ  : เปล่า...ไม่ใช่! ข้าก็แค่เข้าใจความรู้สึกของเจ้า ในเมื่อเจ้าขอโอกาสสารภาพรักกับเขา ข้าก็ให้โอกาสนั้นกับเจ้า แล้วเจ้ายังจะมาต่อว่าข้าอีก!
           ชิงอิ๋ง  : ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้ากับเขาเป็นแค่คู่รัก ไม่คิดว่าจะเป็นสามี-ภรรยากัน! เจ้าคิดจะกลั่นแกล้งข้า เจ้าแอบหัวเราะเยาะข้าอยู่ล่ะสิ! ข้ารู้!
             มี่จื่อ  : ข้าไม่เคยมีความคิดจะกลั่นแกล้งเจ้าเลยนะ เมื่อคืนข้ายังคิดหวั่นใจด้วยซ้ำ กลัวว่าเหยียนเหล่ยจะตอบรับรักเจ้า เจ้าคิดว่าข้ามีความสุขนักรึที่เห็นสามีตัวเองเต้นรำเลือกคู่กับหญิงอื่น และได้รับรู้ว่าสามีเพิ่งถูกหญิงอื่นสารภาพรัก ในใจข้าเองก็รุ่มร้อนเป็นไฟ
           ชิงอิ๋ง  : หึ! เจ้ามันคนเสแสร้งว่าจริงใจ แต่ลับหลังเจ้าหัวเราะเยาะข้า! (ชิงอิ๋งผลักไหล่ฉัน)
          ซิ่นปิง  : ชิงอิ๋ง! หยุดนะ! พอได้แล้ว หยุดกระทำเรื่องน่าอายแบบนี้เสียที ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้แม่เฒ่ากับท่านพ่อรับรู้ กลับไปที่เรือนพักของเจ้าได้แล้ว!
           ชิงอิ๋ง  : ฮึ่ม!!! (ชิงอิ๋งหยุดต่อว่าฉันแล้วสะบัดหน้าเดินจากไป)
          ซิ่นปิง  : ข้าขอโทษแทนน้องสาวข้าด้วย
             มี่จื่อ  : ช่างเถอะ! ตอนนี้ชิงอิ๋งก็รู้ความจริงแล้ว เมื่อนางใจเย็นลงคงหยุดอาละวาด นี่เจ้ามาพบแม่เฒ่ารึ?
          ซิ่นปิง  : ใช่! ข้าจะไปหุบเขาจันทร์ดับกับท่านอ๋องหก

          ซิ่นปิงเห็นว่าชิงอิ๋งเดินกลับไปแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในบ้านแม่เฒ่า แล้วปล่อยให้ฉันนั่งเล่นกระต่ายรอพวกเขาพูดคุยกันเสร็จ สักพักใหญ่ๆทุกคนก็เดินกลับออกมา พวกเขาบอกว่าการพูดคุยกับแม่เฒ่าราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร เราจึงเดินกลับเรือนที่พัก แล้วใช้เวลาที่ว่างเตรียมตัวให้พร้อมไปหุบเขาจันทร์ดับ

          จนเวลาผ่านไปสองวันก็ถึงวันคืนเดือนมืด ในคืนนี้กลุ่มคนที่จะไปหุบเขาจันทร์ดับออกมารวมตัวกันที่ท้ายหมู่บ้าน ฉันและกลุ่มเพื่อน รวมทั้งแม่เฒ่า ลุงสุ่ย และกลุ่มชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินตามออกมาส่งกลุ่มคนที่ไปหุบเขาจันทร์ดับ เรารอเวลาให้หุบเขาจันทร์ดับปรากฏขึ้นอีกครั้งในคืนเดือนมืด เมื่อหุบเขาปรากฏเป็นเงาดำทะมึนสูงตระหง่านอยู่บื้องหน้าไกลๆในความมืด เราจึงกล่าวร่ำลากันด้วยความห่วงใยแต่เราก็เชื่อใจกันว่าทุกคนจะกลับมาด้วยความปลอดภัย ฉันสังเกตว่าชิงอิ๋งไม่ได้ออกมาส่งทุกคน คงเพราะชิงอิ๋งอาจจะยังคงโกรธเคืองเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ เมื่อกล่าวร่ำลากันเสร็จกลุ่มท่านอ๋องจึงควบม้ามุ่งหน้าไปหุบเขาจันทร์ดับทันที

          ฉันและกลุ่มเพื่อนจึงแยกย้ายกันกลับไปที่เรือนพัก นั่งดื่มน้ำชาคุยกันเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้านอน สักพักใหญ่ๆก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องเรียกชื่อชิงอิ๋งกันดังโหวกเหวกเหมือนพวกเขากำลังตามหาชิงอิ๋ง เราจึงเดินออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก ก็พบจ้าวหลิววิ่งกระหืดกระหอบมาหาเรา

         จิ่นเกอ  : เกิดอะไรขึ้นรึพี่ชาย แม่นางชิงอิ๋งเป็นอะไร?
       จ้าวหลิว  : ชิงอิ๋งหายตัวไปน่ะสิ หากันทั้งหมู่บ้านแล้วยังไม่เจอเลย!
             มี่จื่อ  : ชิงอิ๋งอยู่ที่บ้านแม่เฒ่าหรือเปล่า ไปหาที่นั่นหรือยัง
       จ้าวหลิว  : ข้าไปหามาแล้วก็ไม่เจอชิงอิ๋งที่นั่น แม่เฒ่าจึงสั่งให้คนตามหา
    หลวนเฉิน  : เราไปช่วยกันหาดีกว่า!

          ฉัน หยางเค่อ และลี่ถัง รีบเดินไปที่บ้านแม่เฒ่า พบแม่เฒ่ากับลุงสุ่ยกำลังยืนรออย่างร้อนใจที่ชิงอิ๋งหายตัวไป จ้าวหลิวที่รู้สึกกระวนกระวายใจวิ่งมารายงานแม่เฒ่าว่า แม่ครัวที่ประจำอยู่ที่เรือนหมอเห็นชิงอิ๋งมาหยิบยารักษาบาดแผลและยาอื่นๆเมื่อตอนเย็น เหมือนกำลังจะเดินทางไปไหนสักแห่ง

         แม่ครัว  : ข้าเห็นธิดาเหม่ยเตี๋ย เข้ามาหยิบยารักษาแผล ยาลดไข้ไปหลายชุด อ้อ! และยาแก้พิษนิลกาลด้วย พอข้าถามนางก็ไม่ตอบอะไร ข้าจึงไม่กล้าถามอีก
       จ้าวหลิว  : ข้าไปดูที่ห้องพักของชิงอิ๋งพบเสื้อผ้าถอดกองอยู่ นางคงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก เพราะกระบี่ของนางก็ไม่อยู่ด้วย
           ลุงสุ่ย  : หรือว่า! ชิงอิ๋งจะแอบออกไปที่หุบเขาจันทร์ดับ?!
         แม่เฒ่า  : นางตามพวกนั้นไปหุบเขาจันทร์ดับแน่นอนไม่ต้องสงสัย! ชิงอิ๋งเจ้าเด็กโง่ข้าห้ามอะไรนางก็ไม่ฟังข้าเลย ข้าจะไปตามนางกลับมา!
           ลุงสุ่ย  : เดี๋ยวแม่เฒ่าท่านจะไปไม่ได้นะ ถ้าท่านไปแล้วหมู่บ้านล่ะ มนต์บังตาต้องคลายออก บุคคลภายนอกจะต้องเห็นหมู่บ้านแน่
         แม่เฒ่า  : แต่ข้าจะปล่อยชิงอิ๋งให้ไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้
             มี่จื่อ  : แม่เฒ่า! ท่านแน่ใจรึว่าชิงอิ๋งตามพวกนั้นไปหุบเขาจันทร์ดับ บางทีนางอาจจะแอบออกไปเที่ยวในเมืองหลวงก็ได้
        แม่เฒ่า  : แน่ใจสิ! เพราะที่หุบเขาจันทร์ดับมีหมอกพิษนิลกาลบางๆปกคลุมอยู่ ทำให้เกิดอาการผื่นคัน และบางคนที่มีอาการแพ้พิษนิลกาลมากๆจะเกิดอาการปวด บวมแดงขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งชิงอิ๋งก็แพ้หมอกพิษนิลกาล นางจึงเอายาแก้พิษไปด้วย
             มี่จือ  : ข้าจะไปตามชิงอิ๋งกลับมาเอง แม่เฒ่าอยู่รอที่นี่เถอะ
       จ้าวหลิว  : ข้าจะนำทางไป

          ฉัน หยางเค่อ และจ้าวหลิว จะไปตามชิงอิ๋งให้กลับมาจึงบอกให้ทุกคนรออยู่ที่นี่ ระหว่างกำลังเดินไปที่คอกม้าเพื่อนำม้าออกมาขี่ หยางเค่อถามจ้าวหลิวว่าทำไมถึงเข้านอก ออกในเรือนพักของชิงอิ๋งได้โดยง่ายและดูจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชิงอิ๋ง จ้าวหลิวตอบว่าเพราะเขากับชิงอิ๋งสนิทสนมและเติบโตมาด้วยกันจนเขารู้ว่าชิงอิ๋งชอบอะไร และไม่ชอบอะไร รู้แม้กระทั่งชิงอิ๋งชอบอาจารย์เหยียนเหล่ย แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แต่เขาก็ไม่อาจห้ามชิงอิ๋งได้ จึงได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆและคอยแสดงความยินดีเมื่อชิงอิ๋งมีความสุข และคอยอยู่เคียงข้างเมื่อชิงอิ๋งมีความทุกข์ หยางเค่อจึงถามจ้าวหลิวต่ออีกว่า...

     หยางเค่อ  : เจ้าคงไม่ได้คิดกับชิงอิ๋งเพียงแค่นางเป็นธิดาเหม่ยเตี๋ยหรือคิดกับนางเพียงแค่เพื่อนสินะ? ดูเหมือนเจ้าจะชอบชิงอิ๋งเกินความเป็นเพื่อนมากกว่า
       จ้าวหลิว  : ใช่! ข้าชอบชิงอิ๋งมาก และชอบชิงอิ๋งเพียงคนเดียว ข้าอยากแต่งงานกับนาง แต่ชิงอิ๋งมองเห็นข้าเป็นเพื่อนสนิทของนางเท่านั้น
     หยางเค่อ  : เจ้าต้องรีบบอกความในใจกับชิงอิ๋งแล้วล่ะ ไม่งั้นเจ้าเหยียนเหล่ยหัวโบราณได้แย่งชิงอิ๋งไปจากเจ้าแน่
       จ้าวหลิว  : ถ้าอาจารย์เหยียนเหล่ยรักชิงอิ๋งจริง ข้าก็จะยอมหลีกทางให้และไม่ขัดขวาง แต่หากเขาคิดจะหลอกลวงให้ชิงอิ๋งช้ำใจล่ะก็! ข้าจะฆ่าเขาทิ้งซะ!
            มี่จื่อ  : เหยียนเหล่ยเป็นสามีของข้า เขาไม่ได้มีใจรักชิงอิ๋งอย่างที่เจ้าเข้าใจ ใครก็ห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด!
      จ้าวหลิว  : ห๊า!!! อาจารย์เหยียนเหล่ยเป็นสามีของเจ้ารึ?! (จ้าวหลิวตกใจที่ได้ยิน)
    หยางเค่อ  : เหยียนเหล่ยน่ะ...ปากเขาบอกว่ารักเจ้า แต่ดูสิ! เขาแอบนัดแนะกับชิงอิ๋งไปหุบเขาจันทร์ดับด้วยกัน
            มี่จื่อ  : ฮึ่ม! ข้าเองก็เริ่มจะหงุดหงิดใจกับเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน! จนข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเชื่อใจใครดี!

          เราเร่งควบม้าไปให้ถึงบริเวณเชิงเขาหุบเขาจันทร์ดับโดยเร็ว จนกระทั่งเราควบม้าวิ่งมาถึงเชิงเขาหุบเขาจันทร์ดับ ฉันก็เริ่มมีอาการคันผิวหน้าและมือยิบๆแต่ไม่มากนัก คงเกิดจากหมอกพิษนิลกาลที่แผ่ปกคลุมไปทั่วหุบเขา เราพบกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนถือคบไฟอยู่ที่บริเวณเชิงเขา จึงพอจะเดาได้ว่าเป็นกลุ่มคนของท่านอ๋องหกกำลังยืนถกเถียงอะไรกันบางอย่างกับชายหนุ่มที่เป็นคนของหมู่บ้านที่ร่วมเดินทางมาด้วย เราลงจากหลังม้าแล้วรีบเดินเข้าไปหาพวกเขา ก็ได้ยินเสียงซิ่นปิงพูดขึ้นว่า

          ซิ่นปิง  : ชิงอิ๋ง! เจ้าไปกับเราด้วยไม่ได้หรอกนะ เชื่อฟังกันบ้างสิ!
           ชิงอิ๋ง  : แต่ข้าเป็นห่วงพี่นี่นา!
     หยางเค่อ  : เป็นห่วงพี่ชาย หรือเป็นห่วงใครกันแน่ ชิงอิ๋งถึงกับปลอมตัวเป็นชายร่วมขบวนมาด้วย หรือว่านัดแนะกับเจ้าอาจารย์หัวโบราณจะไปด้วยกันล่ะ?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่ได้นัดแนะกับชิงอิ๋ง เจ้าอย่าใส่ความข้าให้มี่จื่อเข้าใจข้าผิด!
           ชิงอิ๋ง  : ข้ากับอาจารย์เหยียนเหล่ยไม่ได้นัดแนะกัน แต่ข้าแอบติดตามออกมาเอง คือ...ข้าอยากช่วยและข้า...ก็เป็นห่วงพี่ซิ่นปิง
        อ๋องหก  : ว่าแต่...พวกเจ้ามากันที่นี่ได้ยังไง เกิดเรื่องอะไรที่หมู่บ้านหรือเปล่า? (ท่านอ๋องหันมาถามเรา)
      จ้าวหลิว  : แม่เฒ่ากับลุงสุ่ยให้พวกข้าออกมาตามชิงอิ๋งกลับหมู่บ้าน แม่เฒ่ากับลุงสุ่ยเป็นห่วงชิงอิ๋งมาก
             มี่จื่อ  : ชิงอิ๋งกลับเถอะ พวกคนในหมู่บ้านตามหาเจ้ากันให้จ้าละหวั่น อย่าตามอาจารย์เหยียนเหล่ยไปเลยที่นั่นมันอันตราย แม่เฒ่ากำชับมาให้พาเจ้ากลับหมู่บ้านเดี๋ยวนี้
           ชิงอิ๋ง  : งั้น...เจ้าไม่เป็นห่วงว่าเขา เอ่อ...อาจารย์เหยียนเหล่ยจะได้รับอันตราย เจ้าไม่เป็นห่วงเลยรึ?!
             มี่จื่อ  : ห่วงสิ! ข้าเป็นห่วงอาจารย์เหยียนเหล่ยมากกว่าห่วงตัวเองเสียอีก แต่ข้าต้องเชื่อใจว่าเขาจะกลับมาหาข้าอย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปกับข้า!
           ชิงอิ๋ง  : อย่ามาออกคำสั่ง! ข้าเป็นถึงธิดาเหม่ยเตี๋ย ข้าต้องการจะไปหุบเขาจันทร์ดับข้าก็จะไป เจ้าไม่ใช่เจ้าชีวิตข้าไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่ง
            มี่จื่อ  : เจ้าจะดื้อรั้นไปเพื่ออะไร? เพื่อให้อาจารย์เหยียนเหล่ยหันมาสนใจเจ้างั้นรึ?! สิ่งที่เจ้ากำลังทำมันเปล่าประโยชน์ เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ
           ชิงอิ๋ง  : ชีวิตเป็นของข้า ข้าไม่กลัวตาย ข้าจะตัดสินใจเองว่าเปล่าประโยชน์หรือไม่ เจ้าน่ะถอยไป แล้วรีบกลับหมู่บ้านไปซะ! (ชิงอิ๋งผลักไหล่ฉัน)
     หยางเค่อ  : มี่จื่อ! ปล่อยชิงอิ๋งไปเถอะน่า นางอยากตายเคียงคู่กับเจ้าเหยียนเหล่ยหัวโบราณ ดีเสียอีกเราสองคนจะได้อยู่ครอบครองหมู่บ้าน ที่หมู่บ้านน่ะมีทรัพยากรแร่ที่มีค่ามากมาย ถ้าเราเก็บเอาออกไปขายในเมืองหลวงรับรองว่าเรารวยเป็นเศรษฐีแน่ๆ ถ้ามีเจ้าเป็นธิดาหยางเถาเพียงคนเดียวดีจะตายไปไม่มีชิงอิ๋งมาคอยขัด และทุกคนในหมู่บ้านต้องยอมก้มหัวให้เจ้าอยู่แล้ว (หยางเค่อพูดจบก็ขยับไหล่เขาให้มากระทบกับไหล่ฉันเหมือนส่งบทให้ฉันพูดต่อ)
             มี่จื่อ  : เออ! จริงด้วย! ชิงอิ๋งเจ้าตายไปซะก็ดี ข้าจะได้ไม่มีคู่แข่งคู่เปรียบเทียบ ทั้งสมบัติและของทุกอย่างของเจ้าจะกลายเป็นของข้า ครอบครัวที่แสนดีของเจ้าก็จะกลายเป็นครอบครัวของข้า ในเมื่อเจ้าไม่อยากอยู่ดูแลพวกเขาแล้ว ข้าจะดูแลต่อให้เอง (ฉันพูดกับชิงอิ๋งด้วยสีหน้าเย็นชาไม่ใยดี)
           ชิงอิ๋ง  : เจ้าสองคนช่างมีความคิดที่ชั่วช้ายิ่งนัก ไม่รู้ว่าอาจารย์เหยียนเหล่ยรักคนอย่างเจ้าไปได้อย่างไรมี่จื่อ?!
            มี่จื่อ  : ตอนนี้ข้าก็ยังรักศิษย์พี่เหยียนเหล่ยมาก แต่หากเขาต้องตาย ข้าก็จะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ ตอนมีชีวิตเจ้ามิอาจเคียงคู่เขาได้ ข้าก็จะยอมให้เจ้าเคียงคู่เขาตอนนอนในหลุมก็แล้วกัน อีกอย่างคนอย่างข้าไม่เศร้าใจอะไรนานนัก ชีวิตข้าเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
           ชิงอิ๋ง  : มี่จื่อ! นี่เจ้า!!! วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเจ้า (ชิงอิ๋งง้างมือจะตบหน้าฉัน แต่ฉันเรียกเชือกดอกท้อพุ่งออกมาพันข้อมือชิงอิ๋งให้เงื้อมมือค้างไว้ไม่ให้ตบ)
            มี่จื่อ  : ชิงอิ๋ง! ตอนนี้พลังของเจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้าจะเจ็บตัวเปล่าๆ ทางที่ดีกลับไปที่หมู่บ้านกับข้าจะดีกว่า ต่อให้ตอนนี้เจ้าตายไปต่อหน้าศิษย์พี่เหยียนเหล่ยเขาก็แค่รู้สึกเสียใจที่เจ้าตาย แต่ไม่นานเขาก็จะลืม แต่แม่เฒ่า ลุงสุ่ย ซิ่นปิงพี่ชายของเจ้าและคนในหมู่บ้าน คนที่รักเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจพวกเขาต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลืมเจ้า กว่าจะคลายความเสียใจต้องใช้เวลานาน 1 ปีรึ? หรือ 10 ปีกันล่ะ? หรือต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเจ้า ลองคิดดูให้ดีว่าสมควรแล้วรึที่เจ้าจะเสียสละชีวิตเพื่อให้ได้ตายเคียงคู่ชายที่เขาไม่เคยมีเจ้าอยู่ในหัวใจ
           ชิงอิ๋ง  : ข้า....ข้า....
             มี่จื่อ  : รักคนที่เขารักเจ้าจะดีกว่า จ้าวหลิวคือคนที่รักเจ้าจนหมดหัวใจ เขาหลงรักเจ้าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาคือคนที่รู้ใจเจ้ามากที่สุด และเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด
       จ้าวหลิว  : เอ่อ...ชิงอิ๋ง ข้ารักเจ้าจริงๆนะ แต่ข้าไม่กล้าบอกกับเจ้า ข้ากลัวว่าถ้าเจ้ารู้แล้วอาจจะไม่ยอมรับเพราะเจ้ามองข้าเป็นเพื่อนมาตลอด แต่ถ้าเจ้าจะยอมให้โอกาสข้าได้พิสูจน์ตัวเอง ข้าก็จะดีใจมากๆและข้าก็ต้องการโอกาสนั้น กลับหมู่บ้านไปกับข้าเถอะ แม่เฒ่า ลุงสุ่ย และทุกคนในหมู่บ้านเป็นห่วงเจ้ามากเลย
           ชิงอิ๋ง  : จ้าวหลิว...หลงรักข้ามาตลอดจริงรึนี่? (ชิงอิ๋งพูดพึมพำเบาๆกับตัวเอง)
        หลี่จวิน  : เอาล่ะ! ชิงอิ๋งเจ้ากลับไปเถอะ พวกเรารู้ว่าเจ้าอยากช่วย แต่ที่นี่อันตรายมาก เจ้าจะไม่ปลอดภัย

          เราเกลี้ยกล่อมชิงอิ๋งอยู่ครู่หนึ่งนางจึงยอมและจะกลับไปที่หมู่บ้านกับจ้าวหลิว ในขณะที่ฉันกำลังจะขึ้นขี่ม้า เหยียนเหล่ยเดินเข้ามาดึงแขนฉันไว้ เขามีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนักเหมือนออกอาการหึงหวง แล้วบอกให้ฉันเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับด้วยกันกับเขา ฉันจึงบอกกับเหยียนเหล่ยว่า

             มี่จื่อ  : เมื่อกี้ข้าแสร้งพูดให้ชิงอิ๋งโกรธเพื่อให้นางยอมกลับหมู่บ้าน
เหยียนเหล่ย  : แต่เจ้าเสแสร้งได้เหมือนจริงเกินกว่าจะคิดว่าเป็นการแสดง จนข้ารู้สึกหวั่นใจว่าคำพูดที่เสียดแทงใจข้านั้นมันอาจจะออกมาจากใจจริงๆของเจ้า หยางเค่อฉลาดแกมโกงหากมีเจ้าร่วมมือด้วย หยางเค่อก็จะเหมือนเสือติดปีก หมู่บ้านนี้คงจะไม่สงบสุขอีกต่อไปและคงล่มจมคามือเจ้ากับหยางเค่อเป็นแน่
             มี่จื่อ  : ก็บอกว่าเมื่อกี้เป็นการแสดง ข้าไม่ทำแบบนั้นจริงๆหรอกน่า หยางเค่อก็สัญญาแล้วว่าจะกลับตัวเป็นคนดี
     หยางเค่อ  : ข้าสัญญากับมี่จื่อ ข้าไม่ได้สัญญากับเจ้า (เขาหันหน้ามาพูดกับเหยียนเหล่ยด้วยท่าทางยียวน)
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! เจ้าต้องไปกับข้า ให้เจ้าตายไปพร้อมกันกับข้ายังดีกว่าจะปล่อยให้เจ้าร่วมมือทำชั่วกับหยางเค่อ
        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ยเจ้าอย่าห่วง ถ้าเจ้าตายก่อนมี่จื่อ ข้าจะจับมี่จื่อฝังลงหลุมเดียวกันกับเจ้า

          ทันใดนั้นชงอวี้กระโดดโผล่ออกมาจากเงามืดเราไม่รู้ว่าเขาแอบอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาพุ่งเป้าเข้าโจมตีฉันทันที

Clozee - koto
Youtube by : MrSuicideSheep

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 68
(โพรงกระต่าย)

          ชงอวี้ดูเหมือนจะมาเพียงคนเดียว เจิ้งไฉไม่ได้มาด้วย อาจจะยังบาดเจ็บอยู่ หรืออาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อดักโจมตีเรา ชงอวี้ซัดฝ่ามือยูไลร้อยหัตถ์ใส่ฉัน แต่เหยียนเหล่ยสร้างมนต์สกัดกั้นบังการโจมตีให้ฉันได้ทัน แต่ด้วยความรุนแรงของพลังฝ่ามือยูไลร้อยหัตถ์ทำให้ ฉัน เหยียนเหล่ย หยางเค่อ และหลี่จวินที่ยืนอยู่ด้วยกันกระเด็นหงายหลังออกไป เรายังไม่ทันได้ตั้งตัว ชงอวี้หันไปคว้าจับตัวชิงอิ๋ง ที่ยังมีพละกำลังอ่อนด้อยกระโดดหนีหายเข้าไปในเงามืดมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับ

          เราจึงรีบวิ่งตามเข้าไปแต่ก็ตามไม่ทันและมองไม่เห็นว่ากระโดดหนีหายไปทางไหน พวกเราทั้งหมดจึงตัดสินใจออกตามหาชิงอิ๋งที่ถูกชงอวี้จับตัวไป เราวิ่งตามมาถึงทางแยกสองทางแล้วหยุดเพราะไม่รู้ว่าจะต้องวิ่งตามไปทางไหน จ้าวหลิวบอกว่าเห็นของสิ่งหนึ่งตกอยู่ เขาวิ่งไปหยิบดูแล้วบอกว่านี่คือสร้อยข้อมือของชิงอิ๋งทำตกไว้ ชงอวี้คงพาชิงอิ๋งหนีไปทางนี้แน่ๆ แต่ซิ่นปิงทักว่าชงอวี้มีชิงอิ๋งมาด้วยไม่น่าจะวิ่งหนีไปได้เร็ว

          หยางเค่อจึงพูดเบาๆว่าให้กลุ่มใหญ่วิ่งไปตามทางที่สร้อยข้อมือตกอยู่ วิ่งไปได้สักระยะให้วิ่งย้อนกลับมา แต่หลบอยู่ตามพุ่มไม้ข้างไหล่ทางรอฟังสัญญาณ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีแค่จ้าวหลิวกับซิ่นปิง ให้ทำเป็นวิ่งไปอีกทางแต่ให้หลบอยู่แถวบริเวณนี้ เราจึงทำตามที่หยางเค่อบอก ซึ่งได้ผลตามที่หยางเค่อคาดการณ์เอาไว้ ชงอวี้ฉุดกระชากชิงอิ๋งออกมาจากหลังเนินดินที่หลบซ่อน แล้วจะพาชิงอิ๋งวิ่งไปทางที่จ้าวหลิวกับซิ่นปิงหลบซ่อนอยู่ แต่หลี่จวินรีบกระโดดออกจากที่หลบซ่อนปล่อยกระบี่บินพุ่งออกไปสกัดทางหนีของชงอวี้ จินไห่รีบเข้าช่วยต่อสู้กับชงอวี้ ทำให้ชิงอิ๋งหลุดจากการถูกชงอวี้จับตัว ซิ่นปิงกับจ้าวหลิวรีบเข้าไปรับตัวชิงอิ๋งให้รีบถอยออกห่างจากระยะการต่อสู้ ช่วงจังหวะหนึ่งที่การต่อสู้หยุดชะงักต่างถอยมาตั้งหลัก หลี่จวินจึงพูดขึ้นว่า...

        หลี่จวิน  : ชงอวี้! ยอมมอบตัวซะดีๆ อย่าให้ข้าต้องออกแรงตามจับ
           ชงอวี้  : พวกเจ้าคิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆรึ?! ไม่มีทาง! ข้าจะฆ่านางเด็กมี่จื่อนั่น มันทำลายแผนการของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าจะแก้แค้นให้ลูกชายของข้า
        หลี่จวิน  : อ้อ! เจิ้งไฉลูกชายของเจ้าสบายดีรึ อาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้างล่ะ ตายแล้วหรือยัง?
           ชงอวี้  : เจิ้งไฉตายแล้ว เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เป็นเพราะนังตัวดีนั่นมันฆ่าเขา (ชงอวี้ชี้หน้าฉันด้วยท่าทางเคียดแค้น) ข้าจะฆ่าเจ้าเอาเลือดไปราดที่หลุมศพลูกชายข้า

          จากนั้นชงอวี้ชักกระบี่มุ่งหมายเข้าทำร้ายฉันแต่จินไห่ หลี่จวิน และซิ่นปิงร่วมเข้าต่อสู้กับชงอวี้ จนชงอวี้ต้องล่าถอยหนีไปก่อนเพราะเสียเปรียบที่จำนวนคน เมื่อชงอวี้หนีไปแล้วเราจึงหันไปดูชิงอิ๋งเห็นนางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเสือคำรามดังก้องไปทั่วหุบเขาแต่ไม่รู้ที่มาที่แน่ชัดว่าเสียงคำรามนั่นดังมาจากทางไหน ท่านอ๋องหกจึงตัดสินใจให้ชิงอิ๋งและจ้าวหลิวเดินทางเข้าไปในหุบเขาด้วยกันเพราะหากจะให้เดินย้อนกลับไปส่งที่ปากทางออก ท่านอ๋องเกรงว่าจะเสียเวลาเพราะเราวิ่งตามชงอวี้เข้ามาไกลอยู่พอสมควร แต่หากจะปล่อยให้คนทั้งสองเดินกลับออกไปกันแค่สองคนก็เกรงว่าจะเป็นอันตรายมากกว่า เพราะทั้งสองคนพลังยุทธยังไม่แข็งแกร่งมากนัก หากเจอชงอวี้หรือเสือดำดักทำร้ายระหว่างทางกลับคงรับมือกันไม่ไหวแน่ ชิงอิ๋งจึงกล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วย ซิ่นปิงจึงเดินเข้ามาถามหยางเค่อว่า

          ซิ่นปิง  : เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชงอวี้หลบซ่อนตัวอยู่แถวนี้
     หยางเค่อ  : เพราะก่อนหน้านี้ที่พื้นดินไม่มีร่องรอยการเดินหรือวิ่งผ่านไป อีกทั้งที่หุบเขานี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ จึงดูร่องรอยเท้าบนพื้นดินไม่ยาก ส่วนสร้อยข้อมือที่ตกอยู่ชงอวี้คงถอดออกจากข้อมือชิงอิ๋งแล้วโยนทิ้งไว้เพื่อหลอกให้เราวิ่งไปผิดทาง
           ชิงอิ๋ง  : ถูกต้องแล้ว! ชงอวี้ถอดสร้อยข้อมือจากมือข้าโยนไปตรงทางแยกนั่น แล้วพาข้าไปหลบที่หลังเนินดิน
          ซิ่นปิง  : หยางเค่อฉลาดจริงๆรู้ทันแผนการ
     หยางเค่อ  : เพราะข้าเป็นพ่อค้า ข้าจึงต้องรู้ให้เท่าทันผู้อื่นมิเช่นนั้นการค้าของข้าก็จะเสียเปรียบ ยิ่งเป็นพ่อค้าวัตถุโบราณอย่างข้าด้วยแล้วต้องเจอกับอันตรายมากมายระหว่างเดินทางค้นหาวัตถุโบราณ ข้าจึงต้องรู้ให้เท่าทันผู้อื่นมากขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
เหยียนเหล่ย  : ใช้ความเฉลียวฉลาดไปในทางที่ผิด ก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนชั่ว
     หยางเค่อ  : หนอย! เจ้าคนหัวโบราณ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีเก่ากับเจ้าเลยนะ! ที่เจ้าใช้อุบายสกปรกแย่งมี่จื่อของข้าไป ถ้าเจ้าไม่ขโมยนางไปจากข้า ป่านนี้ข้ากับมี่จื่อคงแต่งงานกันจนมีลูกเต้าให้เลี้ยงหลายคน ข้าก็คงไม่ต้องรับงานของชงอวี้แล้วมาลำบากอยู่ที่นี่กับเจ้าหรอก เจ้าเองก็ไม่ต่างอะไรกับหัวขโมย!
เหยียนเหล่ย  : หยางเค่อ!!! (เหยียนเหล่ยกับหยางเค่อตั้งท่าจะต่อยตีกัน)
        อ๋องหก  : พอๆ! เฮ่อ! เจ้าสองคนอยู่ห่างๆกันหน่อยเถอะ อยู่ใกล้กันทีไรทะเลาะกันทุกที แต่ข้าก็เข้าใจว่าทำไมหยางเค่อจึงต้องการมี่จื่อนัก เพราะมี่จื่อสามารถติดปีกให้เสือร้ายอย่างหยางเค่อบินได้จริงๆ โชคดีที่มี่จื่อเลือกไม่ยอมทำงานผิดกฏหมายกับหยางเค่อ มิเช่นนั้นหลี่จวิน กับลี่ถังและคนในหน่วยสอบสวนคงไล่ตามจับกันหัวปั่น เอาล่ะ! เรารีบเดินทางกันต่อ ส่วนชงอวี้ปล่อยมันไปก่อน เรารีบไปตามหาตำรามังกรสายลมกับกระบี่และรีบกลับกันออกไปก่อนสว่างดีกว่า
           ซิ่งปิง  : ใช่แล้ว! เราต้องกลับออกไปจากที่นี่ก่อนสว่างมิเช่นนั้นเราจะติดอยู่ในนี้กับเสือนิลภูเขาจนกว่าจะถึงวันจันทร์ดับอีกครั้งหนึ่ง หุบเขาจึงจะปรากฏ แต่เราคงจะไม่รอดคมเขี้ยวเสือนิลภูเขาจนถึงวันจันทร์ดับอีกครั้งแน่
เหยียนเหล่ย  : เรารีบไปกันเถอะ!
            มี่จื่อ  : นี่ๆ คุณชายหยางเค่อ ถ้าเราออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เรามาแลกจอกเป็นพี่น้องกันเถอะ (ฉันกระซิบบอกหยางเค่อ)
     หยางเค่อ  : แล้วทำไมข้าต้องเป็นพี่น้องกับเจ้าด้วยเล่า ข้าไม่อยากเป็นพี่น้องกับเจ้าสักหน่อย แต่ข้าอยากเป็นสามีของเจ้ามากกว่า (เขากระซิบตอบ)
             มี่จื่อ  : ข้ามีสามีแล้วจะมีซ้ำซ้อนอีกคนไม่ได้ แต่ท่านควรมีข้าเป็นน้องสาวไว้คอยควบคุมไม่ให้ท่านหลงผิดไปคบหาพวกคนไม่ดีอีก ถ้าท่านดื้อข้าจะจับท่านมัดไว้กับเสาแล้วเฆี่ยนให้เนื้อลาย
     หยางเค่อ  : อื้ม! ข้าชอบความรุนแรงมันช่างเร้าใจ ข้าชอบเจ้าตรงนี้แหละ!
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! เจ้าไม่สมควรเป็นพี่น้องกับหยางเค่อ และข้าก็ไม่ยอมรับเขาให้เป็นพี่ชายของเจ้า หยางเค่อควรถูกควบคุมด้วยโซ่ตรวนอยู่ในคุกมากกว่า (เหยียนเหล่ยพูดแทรกเข้ามา)
    หยางเค่อ  : โอ๊ะ!! ข้าคิดว่าเป็นพี่ชายก็ดีเหมือนกัน เจ้าคนหัวโบราณจะได้ยกน้ำชามาเคารพข้าในฐานะพี่ชายของภรรยา ฮ่าฮ่า
เหยียนเหล่ย  : ฮึ่ม! ข้าไม่มีทางยอมรับเจ้าให้เป็นพี่ชายของภรรยาข้าแน่นอน! (เขาหันไปโต้เถียงกับหยางเค่อ แล้วหันกลับมาบีบแก้มฉันจนปากจู๋แล้วยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆว่า...) มี่จื่อ! ข้ารู้ว่าเจ้าอยากปกป้องหยางเค่อ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านที่ยังโกรธเกลียดมาทำร้ายเขา แต่เจ้าควรคิดถึงความรู้สึกของข้าด้วยว่าข้าไม่อยากนับญาติกับหยางเค่อ ต่อไปคิดจะทำอะไรควรปรึกษาข้าที่เป็นสามีของเจ้าก่อน!
           มี่จื่อ  : ข้าขอโทษ...

          เหยียนเหล่ยและหยางเค่อ ยังคงถกเถียงกันเหมือนเด็ก แต่มีฉันอยู่ระหว่างกลางคอยห้ามปราม จากนั้นเรารีบออกเดินทางกันต่อโดยไม่สนใจไล่ตามชงอวี้ที่หลบหนีไปได้ แต่เรายังคงระแวดระวังภัยจากชงอวี้ที่อาจจะแอบติดตามเรามาด้วยและระวังภัยจากเสือนิลภูเขาที่หลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในหุบเขานี้ ท่านอ๋องหกล้วงหยิบแผนที่ที่เก็บไว้ในเสื้อออกมาคลี่ดูแล้วชี้นิ้วลงบนแผนที่ ท่านอ๋องหกบอกกับซิ่นปิงว่าจะให้ซิ่นปิงนำทางไปที่บริเวณหน้าผาที่มองเห็นลางๆในแผนที่ ซึ่งเป็นหน้าผาจุดเดียวกันที่เคยเห็นในตำราหมื่นบุปผา ซิ่นปิงกับจ้าวหลิวจึงช่วยกันนำทางเราไปเพราะเขาสองคนเคยแอบเข้ามาที่นี่เพราะอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนหนุ่ม แต่พวกเขาเข้าไปได้ไม่ไกลมากนักเพราะเกรงกลัวเสือนิลภูเขา ชิงอิ๋งเห็นฉันเกามือเกาแขนจนเป็นรอยเกาสีแดงเพราะเกิดจากการระคายเคืองหมอกพิษนิลกาลที่ปกคลุมบางๆไปทั่วภูเขา ชิงอิ๋งจึงส่งยาแก้พิษมาให้ฉันทาผิวแก้อาการผื่นคัน

          ซิ่นปิงและจ้าวหลิว นำทางเราเดินขึ้นไปบนเขา ที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นรกทึบ อีกทั้งหนทางเริ่มเดินลำบากมากขึ้น เราได้ยินเสียงเสือคำรามแว่วดังมาเป็นระยะๆทำเอาฉันสะดุ้งตกใจกลัว เหยียนเหล่ยจึงเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้แล้วบอกว่าให้ฉันอยู่ใกล้ๆเขา ยิ่งเราเดินลึกเข้าไปในหุบเขามากเท่าไหร่ หมอกพิษก็เริ่มจะลงหนาขึ้นจนเราต้องฉีกเศษผ้ามาปิดจมูกกันพิษ เราเดินฝ่าหมอกพิษที่ลงหนามาได้ระยะหนึ่ง เราก็พบกับกำแพงหินประหลาดสีดำสูงมากประมาณตึกสามชั้น ท่านอ๋องหกจึงดูในแผนที่แล้วบอกว่าเราต้องเดินผ่านแนวกำแพงนี้ออกไป แต่ดูในแผนที่แล้วแนวกำแพงหินนี้ดูวกวนดุจเขาวงกตขนาดกว้างใหญ่ เราต้องพยายามเดินเกาะกลุ่มกันไว้อย่าให้หลง จินไห่จึงแตะและเคาะที่กำแพงหินและแนบหูฟังอะไรบางอย่างที่กำแพง จินไห่หันมาบอกว่ากำแพงหินนี้มีความแข็งแรงมาก และมีความยาวมากไม่รู้จุดสิ้นสุดหากจะใช้กำลังทำลายกำแพงหินนี้คงจะยากและคงจะเหนื่อยสิ้นเปลืองแรงกำลังกันน่าดู ท่านอ๋องหกจึงบอกกับทุกคนว่าเราจะปีนกำแพงขึ้นไปด้านบนแล้วเดินบนกำแพงน่าจะเจอทางออกแล้วกระโดดก้าวข้ามกำแพงไปน่าจะถึงทางออกได้เร็วกว่าเดิน ส่วนคนไหนที่กระโดดขึ้นไม่ไหวก็ให้คนอื่นที่แข็งแรงช่วยพากระโดดขึ้นไป และกล่าวย้ำอีกครั้งว่าให้ทุกคนระมัดระวังตัวด้วย แต่จู่ๆก็มีเสียงร้องทักของซิ่นปิงร้องขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วมือไปที่กำแพงทางด้านขวามือ

          ซิ่นปิง  : ข้าเห็นกำแพงทางขวามือเคลื่อนที่ไปอีกทางหนึ่ง
        หลี่จวิน  : ถ้าอย่างั้น! เส้นทางก็เปลี่ยนน่ะสิ?!
        อ๋องหก  : ใช่! ตอนนี้เราดูเส้นทางในแผนที่ไม่ได้แล้วจนกว่าจะพบทางออก
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋อง! กระหม่อมจะปีนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นทางด้านบน

          จากนั้นหลี่จวินรีบกระโดดปีนขึ้นกำแพงขึ้นไปด้านบน เขาตะโกนลงมาบอกว่ากำแพงนี้มีความลื่นมาก และกำแพงตั้งวางเป็นแนวเขาวงกตกว้างใหญ่ เขาเห็นกำแพงสามารถเคลื่อนที่เปลี่ยนเส้นทางด้วยตัวเองเพื่อทำให้เราหลงทาง ซึ่งทุกคนกำลังตั้งท่าจะกระโดดปีนขึ้นกำแพงไปด้านบน เหยียนเหล่ยจึงขยับตัวเข้าโอบกอดเอวฉันเพื่อจะพาฉันกระโดดปีนขึ้นกำแพงไปด้วยกัน เพราะเขารู้ว่าฉันกระโดดปีนขึ้นไปเองไม่ได้แน่ๆ

          ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงดังตุ๊บ! บนกำแพงและได้ยินเสียงหลี่จวินร้อง เฮ่ย!!! ด้วยเสียงอันดัง เขากระโดดตัวลอยถอยหลังหลบสิ่งที่กระโจนใส่เขาทันที สิ่งนั้นคือเสือดำทมึนตัวใหญ่มาก มีดวงตาสีเหลืองสดส่องประกาย เขี้ยวยาวแหลมคม มันขู่คำรามใส่หลี่จวินด้วยเสียงอันดังน่าเกรงขาม จนฉันตกใจกระโดดหลบข้างหลังเหยียนเหล่ย ซิ่นปิงร้องเตือนทุกคนว่านั่นคือเสือนิลภูเขา เสียงเตือนยังไม่ทันขาดคำ เสือนิลภูเขาตัวนั้นกระโดดเข้าโจมตีหลี่จวินทันที หลี่จวินชักกระบี่ออกจากฝักตั้งรับกงเล็บแหลมยาวที่เสือนิลภูเขาพุ่งเข้าตะปบ แต่ดูท่าเสือนิลภูเขาจะแข็งแรงมากจนหลี่จวินต้านแรงไม่ไหวพลัดตกลงมาจากกำแพงสูงลงมายืนตั้งหลักอยู่ที่พื้นด้านล่าง เสือนิลภูเขาหันมาขู่คำรามเสียงดังเกรี้ยวกราด แล้วพุ่งกระโจนลงมาจากกำแพงเข้าตะปบโจมตีทุกคนที่อยู่ตรงหน้า เราทั้งตั้งรับและพยายามบุกเข้าโจมตีพร้อมกันก็ไม่สามารถทำอะไรเสือนิลภูเขาตัวนี้ได้ อาวุธและกระบี่ไม่อาจฟันเข้าเนื้อหนังของมันได้ เราทั้งสู้ทั้งหลบกงเล็บและเขี้ยวของมันกันชุลมุนจนกำแพงที่ตั้งอยู่โดยรอบล้มพังไปหลายแห่ง

          ชิงอิ๋งจึงร้องตะโกนบอกท่านอ๋องหกว่า ให้โยนลูกท้อสวรรค์ให้เสือนิลภูเขากิน เพื่อถ่วงเวลาให้เรารีบออกไปจากที่นี่ ท่านอ๋องหกได้ยินดังนั้นจึงนึกได้ และรีบล้วงหยิบลูกท้อสวรรค์ออกมาจากเสื้อ ท่านอ๋องหกส่งเสียงเรียกเสือดำให้หันมาสนใจเขา แล้วโยนลูกท้อสวรรค์ให้เสือนิลภูเขากินทันที แต่ทันใดนั้นชงอวี้ที่กระโดดออกมาจากที่ซ่อนรีบคว้าลูกท้อสวรรค์เอาไว้ แล้วกระโดดหนีขึ้นกำแพง ชงอวี้จัดการโยนลูกท้อสวรรค์ให้เสือนิลภูเขากิน แล้วออกคำสั่งให้เสือนิลภูเขาฆ่าเราให้หมดทุกคน ซึ่งเสือนิลภูเขาเชื่อฟังคำสั่งนั้นทันที จากนั้นชงอวี้อาศัยจังหวะช่วงที่เรากำลังชุลมุนต่อสู้กับเสือนิลภูเขา ชงอวี้ซัดฝ่ามือใส่ท่านอ๋องหกแล้วฉกฉวยเอาแผนที่ไปได้ แล้วรีบกระโดดหนีหายออกไปจากเขาวงกตทันที จินไห่รีบเข้าพยุงท่านอ๋องหกแล้วพากระโดดหลบกงเล็บที่เสือดำกระโจนเข้าใส่ ฉันเห็นเสือนิลภูเขาเชื่อฟังคำสั่งของชงอวี่แล้วพุ่งเป้ามาโจมตีแต่พวกเรา จึงเกิดมีอารมณ์โมโหด่าทอเสือดำว่า "ไอ้เสือดำไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วถ้าข้าจับเจ้าได้ล่ะก็ จะเสียบไม้ย่างกินจะแทะยันกระดูกเลย!" เสือดำเหมือนจะเข้าใจที่ฉันพูดมันหันมาแยกเขี้ยวใส่ฉันเหมือนโกรธที่ฉันจะจับมันย่างกิน แล้วเดินตรงปรี่เข้ามาโจมตีฉันทันที เราจึงรีบกระโดดหลบหนีกันไปคนละทิศละทาง

          เหยียนเหล่ยพอตั้งหลักได้รีบเข้ามาช่วยฉันให้หลบพ้นการถูกเสือตะปบ เราขยับถอยหลังหนีไปเรื่อยๆจนฉันกับเหยียนเหล่ยพลาดตกลงไปในหลุมด้วยกัน ซึ่งเป็นโพรงหลุมลึก เหยียนเหล่ยสามารถจับรากไม้บนปากหลุมไว้ได้ แต่มืออีกข้างหนึ่งจับฉันไว้ได้ทัน ฉันจึงยังไม่ลื่นไถลร่วงลึกลงไปในหลุม จินไห่และคนอื่นๆรีบเข้ามาสกัดกั้นเสือดำไม่ให้เข้ามาทำร้ายฉันกับเหยียนเหล่ยกำลังเกาะรากไม้ห้อยอยู่ที่ปากหลุม หยางเค่อและชิงอิ๋งเห็นดังนั้นรีบพุ่งตัวเข้าจับที่ข้อมือเหยียนเหล่ยไว้และพยายามดึงเราขึ้นจากหลุม แต่ด้วยความลื่นของปากหลุม หยางเค่อกับชิงอิ๋งจึงพลัดตกลงหลุมลงมาด้วย เราทั้ง 4 คนร้องกันเสียงหลงแล้วลื่นไถลตกลงไปสู่เบื้องล่าง หลุมนี้มีความลึกอยู่พอสมควรโดยการคาดคะเนจากการลื่นไถลลงมาระยะหนึ่ง เราทั้ง 4 คนร่วงตกลงมาบนกองทราย จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก มีเพียงฉันที่เจ็บและจุกนิดหน่อยเพราะถูกสามคนหล่นทับ เพียงครู่เดียวเราก็ได้ยินเสียงคนร้องเสียงดังโหวกเหวกมาจากปากหลุมที่เราลื่นไถลลงมา เหยียนเหล่ยรีบบอกทุกคนให้หลบและจับฉันหลบให้พ้นทางแทบไม่ทันจนเกือบโดนคนที่ตามมาด้านบนร่วงหล่นทับ เพราะซิ่นปิงกับจ้าวหลิวก็ตกลงมาด้วยเหมือนกัน และตามมาติดๆด้วยจินไห่ ท่านอ๋องหก หลี่จวิน และองครักษ์อีกสองคนที่ร่วงลงมานอนกองรวมกันที่พื้น ทำเอาฉันแปลกใจถามพวกเขาว่าทำไมถึงร่วงตามลงมาในหลุมพร้อมกันได้

            มี่จื่อ  : พวกท่านร่วงลงมาได้ยังไงกันเนี่ย ร่วงลงมากันครบเลย?!
         ซิ่นปิง  : ข้ากับจ้าวหลิวพยายามจับขาชิงอิ๋ง แต่ปากหลุมมันลื่นมากจึงร่วงตกลงมา
          จินไห่  : ข้าพยายามคว้าจับตัวจ้าวหลิวแต่ลื่นพลัดตกลงมาเหมือนกัน
        อ๋องหก  : แต่ข้ากระโดดตามลงมาเอง ข้าหนีเสือนิลภูเขา
        หลี่จวิน  : ส่วนข้ากับองครักษ์ทั้งสองคนกระโดดตามท่านอ๋องลงมา ว่าแต่ที่นี่มันคือที่ไหนกันล่ะเนี่ย ทำไมมีโพรงอะไรแบบนี้อยู่ใต้ดินด้วย
เหยียนเหล่ย  : ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นโพรงกระต่ายล่ะมั้ง? จู่ๆเราก็พลัดตกลงมา แล้วเสือนิลภูเขาตามลงด้วยหรือเปล่า?
  องครักษ์  : เสือนิลภูเขาไม่ได้ตามลงมาเพราะตัวมันใหญ่เกินไป ลอดผ่านโพรงเข้ามาไม่ได้
          จินไห่  : เราจะเอายังไงต่อดีล่ะ จะปีนย้อนกลับขึ้นไป หรือจะเดินไปข้างหน้าหาทางออกอื่น?
     หยางเค่อ  : ข้าคนหนึ่งล่ะที่ไม่ขอปีนย้อนกลับขึ้นไป ไอ้เสือดำนั่นน่ากลัวจะตายมันจ้องจะเล่นงานแต่พวกเรา ฆ่าก็ไม่ตายสักที ข้าเสนอให้เดินหาทางออกอื่นดีกว่า
          ชิงอิ๋ง  : แล้วถ้าไม่เจอทางออก มิยิ่งหลงทางกันไปใหญ่รึ แผนที่ชงอวี้ก็ขโมยไปแล้ว
    หยางเค่อ  : ในเมื่อมีทางเข้าได้ก็ต้องมีทางออกได้สิ! สำคัญอยู่ที่ว่ามันจะออกไปโผล่ที่ใด
            มี่จื่อ  : ว่าแต่! ทำไมเจ้าเสือดำนั่นถึงเชื่อฟังคำสั่งของชงอวี้ไปได้ล่ะ มันไม่ได้จะฆ่าทุกคนที่เข้ามาในหุบเขาหรอกรึ?!
          ซิ่นปิง  : เพราะชงอวี้แย่งลูกท้อสวรรค์โยนให้เสือดำกิน มันจึงเชื่อฟังคนที่ให้อาหาร แต่จะเชื่อฟังแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อลูกท้อสวรรค์หมดฤทธิ์เสือดำจะกลับมาดุเหมือนเดิมแล้วไล่ล่าชงอวี้เหมือนที่ไล่ล่าพวกเรา ว่าแต่ตอนนี้เราจะทำยังไงกันต่อไป?
        อ๋องหก  : อืม...ข้าคิดว่าเราน่าจะหาทางออกทางอื่นดีกว่า เพราะหากปีนกลับขึ้นไปทางเดิมก็ลื่นเหลือเกิน อีกทั้งยังมีเสือนิลภูเขารออยู่ที่ปากโพรงอีก ดูท่าทางเราจะรอดยาก
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋องพอจะจำเส้นทางในแผนที่ได้หรือไม่ มีสถานที่แบบนี้เขียนในแผนที่หรือไม่?
        อ่องหก  : ในแผนที่ไม่มีเขียนถึงโพรงใต้ดิน
เหยียนเหล่ย  : เราเดินไปตามทางเดินในโพรงนี้ไปเรื่อยๆแล้วกันอาจจะเจอทางออก
        หลี่จวิน  : เป็นเพราะเจ้านั่นแหละมี่จื่อ! เจ้าบอกจะจับเสือดำย่างกิน เห็นมั้ยเสือดำมันโกรธจนไม่ยอมไปไหน เดินวนเวียนรอขย้ำอยู่ข้างบนน่ะ มันน่าเขกหัวเจ้านัก! (หลี่จวินทำท่าจะเขกหัวฉัน)
            มี่จือ  : ข้าขอโทษที่ข้าปากเสีย! ใครจะไปรู้ว่าเสือดำจะฟังภาษาคนรู้เรื่องอ่ะ
          จินไห่  : ช่างมันเถอะอย่าโทษตัวเอง! ข้าก็คิดเหมือนเจ้า ถ้าเจ้าจับเสีอดำย่างกินได้จริง ข้าก็คิดจะลองกินเนื้อเสือดำด้วยสักชิ้นหนึ่ง หุหุ เอาล่ะ! เรารีบไปกันเถอะ อย่ามัวเสียเวลากันอยู่เลย
            มี่จื่อ  : โอ๊ะ! นั่นข้าพูดด้วยความโมโห แต่นี่ท่านอาจารย์จินไห่คิดจะกินเสือดำจริงๆหรือเนี่ย?! ท่านนี่ไม่ธรรมดาเลย

          เราเอาผ้าปิดจมูกออกและเริ่มเดินออกจากจุดที่เราร่วงตกลงมา เราเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆและเริ่มสงสัยกันว่าเหตุใดจึงมีสถานแบบนี้เกิดขึ้นในใต้ดิน มันเหมือนกับเป็นถ้ำใต้ดินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และดูเหมือนกับเป็นทางลับที่ถูกขุดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์เพื่อใช้หลบเลี่ยงอะไรบางอย่างจากด้านบนผืนดิน ท่านอ๋องหกกล่าวว่า...

        อ๋องหก  : หากสถานที่นี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็มีโอกาสพบเจอกับทางตัน แต่หากเกิดจากฝีมือมนุษย์ แน่นอนว่าต้องพบเจอทางออก คนที่จะกระทำแบบนี้ได้ต้องเป็นผู้มีพลังยุทธสูง แต่เป็นใครกันล่ะที่กระทำแบบนี้ได้
        หลี่จวิน  : ถ้าเป็นองค์ชายสี่ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่องค์ชายสี่ขุดอุโมงค์ใต้ดินไว้หลบเลี่ยงเสือดำ?
        อ๋องหก  : อาจเป็นไปได้ เพราะองค์ชายสี่เป็นผู้มีวรยุทธสูงและฝักไฝ่เป็นชาวยุทธมากกว่าเป็นราชวงศ์
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋องได้รับสายเลือดจากบรรพบุรุษแบบนี้นี่เอง ท่านอ๋องจึงนิยมชมชอบวิถีชาวยุทธ
          ซิ่นปิง  : เอ๊ะ! ข้าสัมผัสได้ถึงลมโชยมาอ่อนๆ ต้องมีทางออกอยู่ข้างหน้าแน่ๆ เรารีบเดินไปกันเถอะ

ไม่ว่าง - OG-ANIC ft. MONA
Youtube by : OG-ANIC

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 69
(ภาพเขียนบนผนังถ้ำ)

          เรารีบเดินไปตามทางที่ซิ่นปิงเดินนำเราไป จนกระทั่งซิ่นปิงเอ่ยขึ้นมาอีกว่าเขาได้กลิ่นคล้ายกลิ่นน้ำทะเล พวกเราจึงพากันหัวเราะว่าซิ่นปิ่งจมูกเพี้ยนไปแล้ว เรากำลังอยู่บนภูเขาและตอนนี้เราก็อยู่ในโพรงใต้ดินจะมีทะเลได้อย่างไร แต่ซิ่นปิงยังคงยืนยันว่าเขาได้กลิ่นน้ำทะเลจริงๆ แล้วเขาก็ชี้ให้ดูที่พื้นดินที่เป็นดินปนทราย เขาบอกด้วยความมั่นใจว่าต้องมีทะเลอยู่ข้างหน้าแน่นอน เราเดินกันไปได้ไม่นานนักก็ได้กลิ่นของน้ำทะเลและได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ทำเอาเราทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น เรารีบเร่งฝีเท้าจนเกือบจะวิ่งเพื่อให้ถึงปลายทาง ในที่สุดเราก็เดินมาถึงปลายทางทำเอาเราตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันคือปากถ้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลที่ปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ

        หลี่จวิน  : โอ๊ะนี่มันที่ไหนกันเนี่ย!!! นี่มันบนภูเขามิใช่รึ เหตุใดจึงมีทะเลอยู่บนภูเขา?! หรือว่าเรากำลังเดินย้อนกลับออกจากภูเขากันแน่?
          ซิ่นปิง  : เรายังอยู่บนภูเขา เพราะหมอกพิษนิลกาลมีอยู่บนหุบเขาจันทร์ดับเท่านั้น
        อ๋องหก  : ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีทะเลอยู่บนภูเขาแบบนี้ได้ ช่างแปลกประหลาดนัก
           ชิงอิ๋ง  : ดูเม็ดทรายนี่สิ สีขาวละเอียดนุ่มมือ
             มี่จื่อ  : ถ้าไม่มีเจ้าเสือดำยักษ์คอยไล่ขย้ำ ที่นี่คงได้เป็นชายหาดสวรรค์สถานที่ท่องเที่ยวแสนสงบเป็นแน่ ข้าคนหนึ่งล่ะที่จะมาเที่ยวชมธรรมขาติที่นี่แน่นอน เนอะ! ท่านสนใจมาค้างคืนป่ะ (ฉันหันไปถามเหยียนเหล่ยเบาๆ)
เหยียนเหล่ย  : ถ้ามีเจ้ามากับข้าด้วย ข้าก็ไม่ปฎิเสธอยู่แล้ว (เขาตอบกลับเบาๆ)
     หยางเค่อ  : เชอะ! อย่าเพิ่งฝันหวานว่าจะเป็นหาดสวรรค์ ลองแตะดูสิน้ำทะเลเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ถ้าลงไปว่ายน้ำเล่นได้หนาวตายแน่!
        หลี่จวิน  : นี่มันใช่เวลาให้เจ้าสองคนมาทำหวานใส่กันรึ?! มาช่วยกันคิดสิว่าจะเอายังไงต่อ ดูสิ! ถึงมันจะไม่ใช่ทางตันแต่ก็เหมือนทางตันอยู่ดี ข้างหน้าเป็นทะเลที่จะออกไปโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ เรือหรือแพสักลำก็ไม่มี ถ้าจะเดินย้อนกลับก็มีเสือดำรออยู่
       จ้าวหลิว  : บางทีเสือดำมันอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ เราจะลองเดินย้อนกลับไปดีหรือไม่?
        อ๋องหก  : ไม่! ถ้าเดินย้อนกลับไปเท่ากับเริ่มต้นใหม่ ข้าอยากไปต่อให้สุด ข้าเชื่อว่าทางนี้ต้องเป็นทางลับไปที่หน้าผาจันทร์ดับ ทุกคนช่วยกันมองหาอะไรก็ได้ที่ดูแปลกตา เผื่อจะเจอที่ซ่อนเรือหรือทางลับให้เดินไปต่อ เพราะข้าคิดว่าโพรงใต้ดินนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำประโยชน์อะไรสักอย่างมากกว่าเป็นทางมาเที่ยวชมทะล

          เราช่วยกันเดินสำรวจบริเวณนั้นโดยทั่ว แล้วองครักษ์คนหนึ่งก็ร้องบอกว่าเขาเจอภาพเขียนประหลาดบนผนังถ้ำ พวกเราจึงรีบเดินไปดู มันเป็นภาพเขียนสีจากยางไม้สีแดงที่เขียนบนผนังถ้ำ แต่ถูกเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมรกจนเราไม่เห็นภาพเขียนนี้ในตอนแรก องครักษ์ทั้งสองช่วยกันถกเถาวัลย์ที่ขึ้นรกบดบังภาพเขียนออกจนมองเห็นภาพเขียนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ภาพเขียนจำนวนสามภาพเป็นสีแดงที่ถูกทาสีโดยการขีดเขียนยุกยิกซ้ำๆกันจนมองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร แต่ที่สังเกตุเห็นได้อย่างหนึ่งคือมีการลงสีเข้ม สีอ่อนซ้ำๆไปตลอดทั้งภาพ ทำเอาเราถึงกับงงงวยไม่เข้าใจว่าคนเขียนภาพพวกนี้ต้องการสื่อถึงอะไร

          จินไห่  : ภาพเขียนอะไรกันนี่ หาได้มีความงดงามไม่
     หยางเค่อ  : อาจเป็นพวกมือบอนมาเขียนเล่นล่ะมั้ง
เหยียนเหล่ย  : เอ๊ะ! มีสัญลักษณ์บางอย่างถูกแกะสลักลงบนหินข้างใต้ภาพเขียนด้วย ดูสิ!
            มี่จื่อ  : ท่านตาดีชะมัด รอยแกะสลักนี่ดูเหมือนงู แต่ตัวเล็กยึกยือแบบนี้เหมือนใส้เดือนเลย
        หลี่จวิน  : เหมือนแม่น้ำมากกว่า
        อ๋องหก  : ขอให้ข้าดูใกล้ๆหน่อยว่าเป็นสัญลักษณ์อะไรกันแน่ โอ๊ะ!!! ใช่แล้ว! นี่คือสัญลักษณ์มังกร ต้องเป็นองค์ชายสี่ทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้แน่ๆ
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋องหกแน่ใจได้ยังไงว่านี่คือมังกรที่องค์ชายสี่แกะสลักทิ้งไว้
        อ๋องหก  : จากบันทึกประวัติของราชวงศ์ ที่ข้าเคยอ่าน องค์ชายสี่เป็นผู้ชื่นชอบมังกรมาก และมักเขียนสัญลักษณ์มังกรขนาดเล็กไว้ใต้ภาพที่เขียนเสมอ และในแผนที่ที่ชงอวี้ขโมยไปก็มีสัญลักษณ์มังกรแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
        หลี่จวิน  : มี่จื่อ! เจ้านอกจากจะปากเสียแล้วยังสายตาเสียอีก เห็นมังกรเป็นงูเป็นใส้เดือนไปได้ เจ้าลบหลู่ราชวงศ์ ต้องจับไปตัดลิ้น ควักลูกตา
             มี่จื่อ  : ท่านอ๋อง! ข้าขออภัย! ข้าไม่ได้ตั้งใจลบหลู่ราชวงศ์จริงๆ ข้าสายตาไม่ดี ข้าปากเสีย ข้าขอโทษ!
        อ๋องหก  : หลี่จวินแกล้งขู่เจ้าให้กลัว ข้าไม่ถือโทษเอาผิดเจ้าหรอก เจ้าไม่รู้ย่อมไม่ผิด เอาล่ะ! เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าองค์ชายสี่เขียนภาพสามภาพนี้ขึ้นมาทำไม ต้องการจะบอกอะไร ใครมองออกบ้างว่าเป็นภาพอะไร
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่เคยเห็นภาพเขียนแบบนี้มาก่อน เป็นภาพเขียนประเภทใดกัน ไม่มีอะไรอย่างอื่นในภาพนอกจากรอยขีดเขียนไปมาซ้ำๆกัน
     หยางเค่อ  : ข้าเดินทางค้าขายของโบราณมาหลายที่ก็ไม่เคยเห็นภาพเขียนแบบนี้เหมือนกัน บอกตามตรงไม่มีความงดงามเลยสักนิด ควรเรียกว่าภาพขีดๆมากกว่า
        หลี่จวิน  : หยางเค่อเจ้าพูดมากเกินไปแล้วนะ!!!
        อ๋องหก  : เอาล่ะๆ อย่าทะเลาะกัน ที่หยางเค่อพูดมาก็ถูก เป็นภาพเขียนที่ไม่งดงามจริงๆ หรือนี่อาจจะเป็นเพียงภาพเขียนที่องค์ชายสี่เขียนขึ้นมาเล่นๆขณะอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ งั้นมองหาอะไรอย่างอื่นเผื่อเจออะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้

          ฉัน เหยียนเหล่ย หยางเค่อ และท่านอ๋องหก ยังคงยืนมองภาพเขียนบนผนัง ส่วนคนอื่นๆแยกย้ายกันไปมองหาสิ่งผิดปกติตามพื้น ผนัง ก้อนหิน จนทั่วก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติอีกนอกจากภาพเขียนสามภาพนี้ จากนั้นเราจึงมายืนรวมตัวกันมองดูภาพเขียนบนผนังถ้ำ จนหยางเค่อบ่นขึ้นว่า...

     หยางเค่อ  : ข้ามองภาพขีดเขียนนี่จนปวดตาก็มองไม่ออกสักทีว่าเป็นภาพอะไร เขาจะเขียนภาพให้เป็นรูปเป็นร่างดีๆไม่ได้รึไง?!
          จินไห่  : องค์ชายสี่คงต้องแอบซ่อนอะไรสักอย่างที่สำคัญไว้ในภาพเขียนนี่เป็นแน่
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! ที่หมู่บ้านของเจ้าเคยมีภาพเขียนแบบนี้หรือไม่
            มี่จื่อ  : มี แต่เป็นภาพเขียนสมัยใหม่ คล้ายๆกันแบบนี้แหละ ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่จะเน้นลายเส้นตวัดไปตวัดมาและสีที่แสดงถึงอารมณ์ของผู้วาด แต่ข้าเข้าไม่ถึงอารมณ์ของศิลปินนักหรอกจึงมักไม่ค่อยเข้าใจ
        อ๋องหก  : จริงรึ! ไม่น่าเชื่อว่าการเขียนภาพแบบนี้จะมีอยู่ที่หมู่บ้านของเจ้า แล้วภาพแบบนี้แสดงออกถึงอารมณ์แบบไหน เจ้าพอจะมองออกหรือไม่
            มี่จื่อ  : หึ! ข้ามองไม่ออก (ฉันส่ายหัว)
          ชิงอิ๋ง  : ที่หมู่บ้านของเจ้าเป็นยังไงรึ ข้าเองก็อยากรู้ แม่เฒ่าเคยบอกว่าเห็นเจ้ายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนหลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ปะปนกัน ดูวุ่นวายและมีบ้านเรือนรูปทรงแปลกประหลาดมากและทุกอย่างก็ไม่เหมือนกับที่นี่
            มี่จื่อ  : เอ่อ...มันอธิบายยากน่ะ
        อ๋องหก  : มีใครพกเหล้าติดตัวมาด้วยหรือไม่
        หลี่จวิน  : ไม่มีใครพกเหล้าติดตัวมาด้วย พวกกระหม่อมไม่คิดว่าท่านอ๋องอยากจะดื่ม เพราะเห็นว่าเรามาทำงานกัน
        อ๋องหก  : ไม่! ข้าไม่ได้อยากดื่ม (อ๋องหกพยักเพยิดหน้ามองมาทางฉัน)
        หลี่จวิน  : เอ๊ะ! จริงด้วยสิ! มี่จื่อเวลาที่เหล้าไม่เข้าปากก็กลายเป็นเด็กสมองทึบ
เหยียนเหล่ย  : ข้าลืมเสียสนิท ต่อไปข้าต้องพกเหล้าติดตัวไว้ซะแล้ว!
      องครักษ์  : เราไม่คิดว่าแม่นางมี่จื่อจะมากับเราด้วย จึงไม่ได้พกเหล้าติดตัวมา ขออภัยท่านอ๋อง
          จินไห่  : แต่ข้าพกเหล้าติดตัวมาด้วย ข้าพกไว้ให้ท่านอาจารย์เฟยเทียนดื่มเวลาออกนอกสำนักเสมอ จึงเคยชินต้องพกเหล้าติดตัวไว้ตลอด เอาเหล้าไปสิ (จินไห่ยื่นเหล้าขนาดเล็กให้ฉัน)
            มี่จื่อ  : ไม่! ข้าไม่ดื่ม เดี๋ยวถ้าข้าเมาแล้วดันเจอเจ้าเสือดำอีกข้าจะวิ่งหนีไม่ทัน ไม่เอา! ไม่ดื่ม!
        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ยจะอุ้มเจ้าหนีเสือดำเองแหละน่า ดื่มเหล้าแค่ขวดเดียวเองทำเป็นกลัวไปได้ รีบๆดื่มเข้าไปเถอะน่าเจ้าเด็กสมองทึ่ม (หลี่จวินคะยั้นคะยอให้ฉันดื่ม)
           ชิงอิ๋ง  : เดี๋ยวๆ ทำไมต้องบังคับให้มี่จื่อดื่มเหล้าด้วยล่ะ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ใยจึงต้องบังคับให้มี่จื่อดื่มเหล้า ข้างงไปหมดแล้ว พวกท่านคิดจะทำอะไรกัน?
          จินไห่ : มี่จื่อเวลาเมาเหล้าจนขาดสติ นางจะมีสมองที่ชาญฉลาด มีสายตาที่เห็นอะไรในแบบที่เรามองไม่เห็น
           ชิงอิ๋ง  : จริงรึ มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยรึ?
            มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้ฉลาดเฉพาะแค่เวลาเมา! ตอนที่ข้าไม่เมาข้าก็ฉลาด ข้าไม่ได้สมองทึบอย่างที่ท่านหลี่จวินเรียกข้าเมื่อกี้หรอก มา! ข้าจะแสดงความฉลาดให้พวกท่านเห็นโดยที่เหล้าไม่ต้องเข้าปากข้าสักหยด ฮึ่ม!

          ฉันเริ่มไม่สบอารมณ์ที่พวกเขาคิดว่าฉันฉลาดเฉพาะเวลาที่ฉันเมาขาดสติ แต่ความจริงแล้วที่ฉันไม่อยากดื่มเหล้า เป็นเพราะฉันเกิดอาการกลัวเสือดำขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงเหยียนเหล่ยก็ต้องปกป้องฉันจากเสือดำอย่างแน่นอน แต่ฉันยังคงหวาดกลัวอยู่ดี ทุกคนจ้องมองมาที่ฉัน และฝากความหวังไว้ที่ฉันว่าจะต้องแก้ปริศนาภาพขีดเขียนบนผนังถ้ำได้ จนทำให้ฉันเกิดความรู้สึกกดดัน ฉันยืนจ้องมองภาพเขียนบนผนังถ้ำอยู่ครู่หนึ่งและบ่นพึมพำเบาๆว่า...

             มี่จื่อ  : จะเขียนภาพให้มันมองออกง่ายๆหน่อยไม่ได้หรือไงกัน คิดว่าข้าจะต้องมองทุกอย่างออกได้ง่ายๆงั้นรึ ข้าไม่ใช่นักทายปริศนาหาสมบัตินะ ท่านคิดจะทดสอบอะไรข้ากันแน่? (ฉันบ่นพึมพำถึงองค์ชายสี่กับตัวเองเบาๆ)
เหยียนเหล่ย  : ให้ข้าช่วยเจ้า เจ้าเอ่ยอะไรออกมาก็ได้ที่สงสัย เผื่อข้าจะช่วยเจ้าให้คิดออกได้บ้าง แต่ที่เจ้าบ่นพึมพำเมื่อกี้ข้าก็ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่จะทดสอบอะไรเจ้า (เหยียนเหล่ยพูดกับฉันเบาๆว่าเขาได้ยิน)
            มี่จื่อ  : ข้าขอโทษ ข้าแค่บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อลดความกดดันในตัวเองน่ะ
        อ๋องหก  : พวกข้าจะช่วยเจ้าคิดอีกแรง พูดบ่นออกมาเถอะ ข้าจะไม่ถือสาเอาความ ข้าจะถือว่าเป็นการพูดบ่นเพื่อไขปริศนาภาพเขียน
            มี่จื่อ  : งั้นขอเวลาให้ข้าดูภาพเขียนนี้อีกสักครู่ ภาพขีดเขียนซ้ำๆแบบนี้มันดูคุ้นตายังไงพิกล
        อ๋องหก  : แค่เจ้าบอกว่าคุ้นตา ก็ทำให้ข้าเริ่มมีความหวังแล้วล่ะ ทุกคนช่วยเงียบๆกันสักครู่ มี่จื่อจะได้มีสมาธิ
            มี่จื่อ  : ขีดๆเขียนๆภาพซ้ำๆกันแบบนี้ มีสีเข้ม สีอ่อนเป็นบางจุดตลอดทั้งภาพ มันน่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในจุดสีเข้มสีอ่อนนี่แหละ เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็น....? โอ๊ะ! อย่าบอกนะว่าในยุคนี้มีภาพสามมิติแล้วอ่ะ องค์ชายสี่รู้จักภาพสามมิติด้วยงั้นรึ?! หรือมนุษย์ต่างดาวมาทำไว้กันแน่?!

          ฉันพูดพึมพำคนเดียว แต่ทุกคนทำหน้างุนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพึมพำ จากนั้นฉันมองภาพเขียนบนผนังภาพแรกอีกครั้งแต่ครั้งนี้ฉันปรับสายตาให้มองเป็นภาพสามมิติเหมือนที่ฉันเคยมองภาพสามมิติเล่นในโลกที่ฉันจากมา ฉันใช้เวลาเพียงแค่นับ 1-5 ในใจเท่านั้นก็สามารถปรับจุดโฟกัสสายตาได้ และสามารถมองเห็นภาพอีกภาพหนึ่งที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในรอยขีดเขียนนั้น มันนูนลอยขึ้นมา

             มี่จื่อ  : นั่นไง! มันเป็นภาพสามมิติจริงๆด้วย! โอ้โฮ! ของเล่นถนัดข้าเลย!
เหยียนเหล่ย  : เจ้ามองเห็นแล้วเรอะ?! มองเห็นอะไร?
             มี่จื่อ  : ข้าเห็นนกหนึ่งตัว
        อ๋องหก  : นกงั้นเหรอ? ทุกคนมองหาดูซิมีนกอยู่บริเวณนี้มั้ย?
      องครักษ์  : ท่านอ๋อง! กระหม่อมเห็นรังนกที่รังสานจากเศษหญ้ารังหนึ่งอยู่บนก้อนหินใกล้กับเพดานถ้ำ กระหม่อมเห็นว่าเป็นรังนก จึงคิดว่านกมันคงบินเข้ามาทำรังในถ้ำ และคิดว่าคงไม่มีความสำคัญอะไรจึงมิได้ปีนขึ้นไปดู แต่กระหม่อมจะกลับไปดูอีกครั้งเผื่อว่าจะมีนกอยู่ในรัง
        อ๋องหก  : ไหน อยู่ตรงไหน พาข้าไปดูเร็ว! (องครักษ์พาทุกคนเดินไปดูรังนก)
      องครักษ์  : รังนกอยู่ตรงนั้น กระหม่อมจะปีนขึ้นไปดู (องครักษ์รีบปีนขึ้นไปบนก้อนหินเพดานถ้ำ เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนเขาร้องตะโกนบอกว่า...) ท่านอ๋อง! กระหม่อมไม่พบนกสักตัวมีเพียงรังเปล่า แต่เอ๊ะ! มีซอกอะไรไม่รู้อยู่ตรงนี้ด้วย

          องครักษ์พบซอกหินเป็นซอกลึกแนวยาว เขาก้มหน้ามองดูในซอกหินนั้นแล้วร้องตะโกนบอกว่าพบอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายในลักษณะคล้ายไม้ขนาดยาว องครักษ์อีกคนหนึ่งจึงรีบปีนขึ้นไปช่วยดู เขาทั้งสองคนล้วงมือเข้าไปในซอกหินแล้วช่วยกันดึงไม้ขนาดยาวนั้นออกมา ปรากฏว่ามันเป็นไม้พายขนาดเขื่องสีดำสองอันใช้สำหรับพายเรือที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในซอกหิน องครักษ์ทั้งสองจึงช่วยกันนำไม้พายนั้นลงมาจากซอกหินด้านบน

       จ้าวหลิว  : ไม้พายทั้งสองอันนั้นทำจากไม้ดำของหมู่บ้านเรานี่นา
          ซิ่นปิง  : ใช่! ไม้ดำเป็นไม้ที่แข็งแรงทนทานจึงทำให้ไม้พายทั้งสองอันยังไม่ผุกร่อนแตกหัก แต่มีข้อเสียอย่างเดียวคือไม่ทนไฟ
        หลี่จวิน  : มีไม้พายแสดงว่าต้องมีเรือน่ะสิ!
        อ๋องหก  : ใช่! เราต้องดูภาพปริศนาที่สองและสามอาจบอกที่ซ่อนของเรือ มี่จื่อ! เจ้าเก่งมาก ถ้ารอดออกไปได้และข้าได้กลับวัง ข้าจะทูลเสด็จพ่อพระราชทานรางวัลให้เจ้าอย่างงาม
            มี่จื่อ  : ไม่อยากได้รางวัล แต่ขอการอภัยโทษที่ข้าทำลายภาพเขียนหงส์ดำระบำน้ำได้หรือไม่
        อ๋องหก  : ได้! ข้าจะทูลขออภัยโทษกับเสด็จพ่อให้เจ้าด้วยตัวข้าเองเลย
            มี่จื่อ  : ขอบพระทัยท่านอ๋อง ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าองค์ชายสี่จะเฉลียวฉลาดขนาดนี้ ซุกซ่อนสิ่งของได้ซับซ้อนมาก ถ้าไม่นึกเอะใจถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆเราก็จะมองข้ามมันไปและคงหาของที่ซ่อนไม่เจอ
        อ๋องหก  : หากองค์ชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าคงเป็นคู่ปรับคนสำคัญที่แก้ปริศนารูปภาพของเขาได้แน่ๆ ฮ่าฮ่า เอาล่ะ! เรารีบไปดูภาพเขียนที่สองและสามกันต่อเถอะ! ข้ารู้สึกสนุกและตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
        หลี่จวิน  : ครั้งนี้ต้องขอบใจเหยียนเหล่ย เพราะเหยียนเหล่ยเกิดอาการหึงหวงมี่จื่อแท้ๆจึงลากนางติดตามมาด้วย มิเช่นนั้นเราคงแก้ปริศนารูปภาพกันไม่ได้
           ชิงอิ๋ง  : ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมตำราหมื่นบุปผาถึงเลือกเจ้าให้เป็นผู้สืบทอดพลังทั้งๆที่เจ้าไม่ใช่คนในชนเผ่าไม้ดำ แต่เป็นเพราะเจ้าภายนอกดูซื่อ จริงใจ แต่ภายในเจ้ากลับซ่อนความฉลาดล้ำเอาไว้ ตำราหมื่นบุปผาคงล่วงรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเจ้า จึงมอบพลังเพื่อให้เจ้ากลับมาตามหาตำรามังกรสายลมนี่เอง สายตาของเจ้ามองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นจริงๆ
เหยียนเหล่ย  : ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามากมี่จื่อ กลับไปข้าจะให้รางวัล แล้วภาพที่สองล่ะเห็นอะไร?
             มี่จื่อ  : ข้าเห็นหอย เอ่อ...หอยวางเรียงติดกันหลายตัวคล้ายๆหอยนางรม
        อ๋องหก  : ทุกคนช่วยกันหาหอยเร็ว! (ทุกคนแยกย้ายมองหาหอยภายในถ้ำ)
     หยางเค่อ  : พวกเจ้าจะบ้ากันเรอะ หาหอยต้องออกไปหาที่ชายหาด มาหาอะไรในถ้ำกันเล่า มี่จื่อ! เจ้าดูภาพที่สามต่อเลยจะได้ไม่เสียเวลา ส่วนเรื่องหาสิ่งของพวกข้าจะจัดการเอง

          พวกเขานึกขึ้นได้ตามที่หยางเค่อทักแล้วรีบวิ่งออกไปที่ชายหาด ฉันมองดูภาพที่สามเสร็จก็หันไปบอกท่านอ๋องหกว่าฉันเห็นภาพกระบวยตักน้ำในภาพเขียนที่สาม ชิงอิ๋งจึงมาช่วยฉันกับท่านอ๋องหกหากระบวยตักน้ำภายในถ้ำ เวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานท่านอ๋องหกว่าพบแพไม้ดำหนึ่งแพอยู่ใต้ก้อนหินขนาดใหญ่และมีก้อนหินขนาดเล็กหลายก้อนวางทับถมกันอยู่ที่ริมชายหาด อีกทั้งที่ก้อนหินเหล่านั้นยังมีหอยและเพรียงจำนวนมากอาศัยเกาะอยู่ที่ก้อนหิน ช่วยพรางตาให้มองไม่เห็นแพได้เป็นอย่างดี หากเป็นคนทั่วไปมาที่นี่คงไม่มีใครมายุ่งกับก้อนหินที่มีหอยและเพรียงเกาะอาศัยอยู่จำนวนมากเพราะกลัวคมกาบหอยกับเพรียงบาดมือบาดเท้า

          เรารีบวิ่งออกไปดูแพไม้ดำ ที่พวกหลี่จวินช่วยกันลากขึ้นมาวางบนชายหาด มันเป็นแพขนาดไม่ใหญ่มากนัก เราจึงมั่นใจว่าองค์ชายสี่สร้างแพขึ้นมาเพื่อใช้ออกทะเลเป็นแน่

        หลี่จวิน  : แพมีขนาดเล็กเกินไปคงลงแพกันได้ไม่หมด
          ซิ่นปิง  : ข้ากับจ้าวหลิวจะไปหาไม้มาต่อเติมให้แพมีขนาดใหญ่ขึ้นให้ลงแพได้หมดทุกคน
        หลี่จวิน  : ดี! ฝากเจ้าจัดการด้วย
      องครักษ์  : เราสองคนจะไปช่วยด้วยอีกแรง แพจะได้เสร็จเร็วๆ
เหยียนเหล่ย  : ภาพที่สามคืออะไรรึมี่จื่อ
             มี่จือ  : กระบวยตักน้ำ แต่ข้าและท่านอ๋องหกกับชิงอิ๋ง ยังหากระบวยตักน้ำไม่เจอ
เหยียนเหล่ย  : หาจนทั่วหรือยัง เราไปช่วยกันหาอีกรอบเถอะ

          เรากลับเข้าไปในถ้ำช่วยกันหากระบวยตักน้ำจนทั่วก็หากระบวยตักน้ำหรือแม้กระทั่งขันสักใบก็ยังหาไม่เจอ ท่านอ๋องหกจึงบอกให้ฉันกลับไปดูรูปภาพอีกครั้งแล้วอธิบายถึงรูปภาพที่เห็นให้ทุกคนฟัง เพราะบางทีฉันอาจจะมองผิดไปก็ได้ ฉันจึงอธิบายพร้อมกับหยิบไม้มาวาดรูปลงบนพื้นทรายให้ทุกคนดู

        หลี่จวิน  : นี่คือกระบวยตักน้ำของเจ้ารึ?! มันเหมือนกระบวยตักน้ำตรงไหน กระบวยตักน้ำที่บ้านเจ้าเป็นสี่เหลี่ยมโย้เย้แบบนี้รึ?
             มี่จื่อ  : ก็เห็นภาพแบบนี้จริงๆ องค์ชายสี่คงกลัวเราหิวน้ำจึงให้เราพกกระบวยไว้ตักน้ำดื่มระหว่างทางล่ะมั้ง?
เหยียนเหล่ย  : เดี๋ยว! หรือกระบวยตักน้ำจะหมายถึงดาวเหนือ ดูลักษณะการลากเส้นของกระบวยตักน้ำสิ! เหมือนกลุ่มดาวกระบวยตักน้ำ ส่วนที่ปลายด้ามกระบวยจะเป็นตำแหน่งของดาวเหนือ นี่อาจจะเป็นการบอกใบ้ให้เรามุ่งหน้าไปทางเหนือ
          จินไห่  : ข้าเห็นด้วยตามที่ศิษย์พี่สี่กล่าว คงไม่ใช่ให้เราพกกระบวยไปตักน้ำกินหรอก ลากเส้นลักษณะแบบนี้หมายถึงกลุ่มดาวกระบวยตักน้ำแน่นอน
        หลี่จวิน  : นี่พวกเจ้ามองออกกันได้ยังไงเนี่ย?! อ๋อ! พวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันจึงอ่านลายเส้นกันออก
        อ๋องหก  : เหยียนเหล่ยกล่าวถูกต้องแล้วล่ะ องค์ชายสี่คงสร้างแพไว้เดินทางไปทางทิศเหนือไม่ผิดแน่ รอแพต่อเติมเสร็จเราจะออกทะเลกันทันที
           ชิงอิ๋ง  : มี่จื่อ! เจ้ามองเห็นภาพเขียนที่ซ่อนอยู่ในรอยขีดเขียนออกได้ยังไง บอกข้าหน่อยสิ ข้าอยากมองเห็นบ้าง
     หยางเค่อ  : สอนข้าด้วยสิ ข้าก็อยากเห็น
             มี่จื่อ  : มาสิ! ข้าจะสอนให้ วิธีการมันไม่ยากและก็ไม่ง่าย ทุกคนสามารถฝึกได้ แต่ก็ไม่ไช่จะทำกันได้ทุกคน
        อ๋องหก  : ดี! ข้าก็อยากเห็นเหมือนที่เจ้าและองค์ชายสี่เห็นว่าเป็นอย่างไร

          ฉันสอนวิธีดูภาพสามมิติให้กับพวกเขา โดยวาดรูปสี่เหลี่ยมลงบนพื้นทราย แล้วทำจุดสองจุดตรงกลางสี่เหลี่ยม จ้องมองที่ตรงกลางระหว่างสองจุดนี้จนสายตาพร่ามัวแล้วเคลื่อนรวมสองจุดนี้ให้รวมเป็นจุดเดียวกัน เมื่อฝึกทำได้แล้วค่อยไปมองแบบเดียวกันที่ภาพบนผนังถ้ำ ก็จะเห็นภาพที่ซุกซ่อนอยู่ภายในรอยขีดเขียน พวกเขาทำตามที่ฉันบอกโดยเหยียนเหล่ยทำได้ก่อนเป็นคนแรก และคนอื่นๆก็ทำได้ตามมา เหยียนเหล่ยตื่นเต้นและประหลาดใจที่ได้เห็นภาพสามมิติเป็นครั้งแรก เขาหันมามองหน้าฉันแล้วพูดว่า...

เหยียนเหล่ย  : ในที่สุดข้าก็ได้เห็นเหมือนกับที่เจ้าเห็น มันแปลกประหลาดยิ่งนัก เหมือนเอาสิ่งของไปวางไว้ในภาพ เหมือนจะจับต้องได้ น่าประหลาดจริงๆ
             มี่จื่อ  : แต่ที่ข้าประหลาดใจที่สุดก็คือองค์ชายสี่รู้วิธีการเขียนภาพแบบนี้ได้อย่างไร?
        อ๋องหก  : ภาพกระบวยตักน้ำเป็นภาพของกลุ่มดาวเหนือตามที่เหยียนเหล่ยคาดการณ์มิผิด บางทีนี่อาจเป็นเส้นทางลับหลบเลี่ยงเสือดำ องค์ชายสี่จึงไม่ได้เขียนเส้นทางลับนี้ลงในแผนที่ แต่เขียนภาพปริศนาทิ้งไว้บนผนังถ้ำให้ผู้ที่สามารถไขปริศนาได้เท่านั้นที่สามารถเดินทางไปต่อ ช่างเป็นบุคคลที่เยี่ยมยุทธและฉลาดปราชญ์เปรื่องยิ่งนัก น่าเสียดายที่องค์ชายสี่อายุสั้นไปหน่อยและไม่ฝักไฝ่ในยศตำแหน่ง มิเช่นนั้นเขาอาจเป็นผู้ได้นั่งบัลลังค์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์รุ่ยเป็นแน่ เอาล่ะ! เราไปช่วยซิ่นปิงต่อเติมแพกันเถอะ จะได้เดินทางกันต่อ

Rosenfeld - Like U!
Youtube by : MrSuicideSheep

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 70
(การจากไปของหยางเค่อ)

          เราออกไปช่วยซิ่นปิงต่อแพจนเสร็จ จากนั้นเรารีบขึ้นแพและถ่อแพออกจากฝั่ง โดยซิ่นปิงกับจ้าวหลิวอาสาถ่อแพ เพราะเขาทั้งสองคนมีความชำนาญเรื่องการพายเรือมากกว่าพวกเราคนที่มาจากเมืองหลวง  เราถ่อแพออกจากฝั่งมาไกลได้สักระยะหนึ่ง ซิ่นปิงก็พูดขึ้นมาว่า...

          ซิ่นปิง  : ทะเลนี้ดูแปลกๆคลื่นลมสงบเกินไปจนไม่น่าไว้ใจ
        หลี่จวิน  : นั่นสิ! หวังว่าจะไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นกลางทะเล
             มี่จื่อ  : น้ำทะเลก็เย็นมากทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูหนาว หมดกันเกาะสรรค์ของข้า (ฉันเอามือแตะน้ำเพื่อสัมผัสความเย็น และหันไปสะกิดแขนเหยียนเหล่ย) แต่ตอนนี้ข้าหิวข้าว
เหยียนเหล่ย  : พอขึ้นฝั่งแล้วข้าจะหาอะไรให้เจ้ากิน อดทนหน่อยนะ (เหยียนเหล่ยลูบศรีษะฉันเบาๆ)
       จ้าวหลิว  : แม่เฒ่าเคยเล่าว่าในทะเลเย็นจะมีปลาดาบสีน้ำเงิน คอยดักทำร้ายผู้ที่พยายามข้ามทะเลเย็น ปากของมันแหลมคมดุจดาบ สามารถแทงและเชือดเฉือนมนุษย์ให้ตายได้หากไม่ระวัง แต่ถ้าเราจับมันได้ก็ให้ตัดหัวมันทิ้งแล้วกินเนื้อเพราะปลาดาบสีน้ำเงินเนื้อมีรสชาติอร่อย
          จินไห่  : ดี! ข้าจะจับปลาให้เจ้ากินเองมี่จือ ข้าก็เริ่มจะหิวเหมือนกัน

          ทันไดนั้นน้ำในทะเลจากที่เรียบสงบกลับเริ่มเกิดคลื่นเล็กๆและเริ่มมีคลื่นแรงขึ้นเรื่อยๆจนแพโคลงเคลง หลี่จวินร้องบอกให้เราหาที่จับแน่นๆ ทันใดนั้นมีฝูงปลาสีขาวที่มีปากปลายแหลมยาวสีน้ำเงินกระโดดพุ่งตัวขึ้นจากน้ำลักษณะคล้ายมันตกใจที่มีแพลอยผ่านมา แต่ความจริงแล้วปลาทุกตัวพยายามพุ่งตัวเข้าหาเพื่อทำร้ายพวกเราที่อยู่บนแพมากกว่า ทุกคนชักดาบออกมาฟาดฟันปลากันชุลมุนไปหมด ท่านอ๋องหกร้องบอกให้ซิ่นปิงกับจ้าวหลิวรีบถ่อแพหนีโดยเร็ว พวกเราจะคอยคุ้มกันให้ ฉันจึงเรียกหมื่นบุปผาออกมาเชือดเฉือนปลาตายไปจำนวนมาก เรารับมือกับฝูงปลาดาบสีน้ำเงินอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งซิ่นปิงกับจ้าวหลิวสามารถถ่อแพพาเราออกห่างจากฝูงปลามาได้และปลาก็หยุดตามเรามา ทุกคนมองดูรอบๆแพมีปลาดาบสีน้ำเงินนอนตายเกลื่อนอยู่ทั่วแพ จินไห่หยิบปลามาตัวหนึ่งแล้วตัดหัวที่มีปากยาวแหลมคมออก

          จินไห่  : ดูสิ! เพราะน้ำที่เย็นจัด ปลาจึงไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด หรือเพราะปลามันไม่มีเลือดกันแน่? (จินไห่จัดการแร่เนื้อปลาออกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วจะหยิบเนื้อปลาใส่ปาก)
            มี่จื่อ  : เดี๋ยว! แน่ใจนะว่าปลากินได้
      จ้าวหลิว  : แม่เฒ่าคงไม่พูดโกหกหรอก และแม่เฒ่าก็ไม่ชอบพูดโกหกด้วย ส่งเนื้อปลามาสิข้าจะกินให้ดู
         จินไห่  : ข้าดมดูแล้ว ในเนื้อปลาไม่มีพิษ (จินไห่หยิบเนื้อปลาใส่ปากเคี้ยว) อื้ม! เนื้อปลาอร่อยมาก เจ้าลองกินดูสิ!
            มี่จื่อ  : ไม่! ข้ากินปลาดิบไม่เป็น
          จินไห่  : เราอยู่ในป่าเขา ลอยแพอยู่กลางทะเล เลือกมากไม่ได้
เหยียนเหล่ย  : ให้ข้าลองชิมสักชิ้นซิ (เหยียนเหล่ยหยิบเนื้อปลาใส่ปากเคี้ยวกิน) อื้ม! อร่อยมาก มี่จื่อลองกินสิ ถ้าเจ้าไม่กินรองท้องไว้ก่อนตอนนี้ ถ้าขึ้นฝั่งได้แล้วอาจไม่เจอของที่สามารถกินได้ เจ้าจะหิวจนไม่มีแรงวิ่งหนีเสือดำนะ
            มี่จื่อ  : เออ! จริงด้วย! ข้าจะลองกินดูนะ ถ้าข้ากินไม่ได้ข้าจะอดทนหิวเอา (ฉันหยิบเนื้อปลาที่เหยียนเหล่ยส่งให้แล้วใส่ปากเคี้ยว รสชาติมันเหมือนเนื้อปลาแซลมอน) เห๊! อร่อยจริงๆด้วยไม่คาวเลย แบบนี้ข้ากินได้

          เราจึงลงมือจัดการแร่เนื้อปลาที่อยู่บนแพและแจกจ่ายเนื้อปลาแบ่งกันกินจนอิ่ม จากนั้นเหยียนเหล่ยกับจินไห่จึงลุกขึ้นไปผลัดเปลี่ยนถ่อแพ เพื่อให้ซิ่นปิงกับจ้าวหลิวได้พักกินปลา และพักแขนที่เมื่อยล้าเพราะเขาทั้งสองถ่อแพมาเป็นเวลานานและออกแรงไปเยอะเพื่อถ่อแพหนีฝูงปลาดาบสีน้ำเงิน ฉันจึงนั่งหันหน้าออกไปทางทะเลและนั่งมองดูน้ำทะเลกับหยางเค่อเผื่อว่าจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาอีก ชิงอิ๋งที่นั่งห่างฉันออกไปจึงขยับตัวมานั่งข้างๆฉันและเอ่ยถามฉันว่า...

           ชิงอิ๋ง  : มี่จื่อ! ที่เจ้าพูดกับข้า ว่าเจ้ากับหยางเค่อจะร่วมมือกันยึดหมู่บ้านไม้ดำ เจ้าพูดจริงหรือเปล่า?
             มี่จื่อ  : ไม่จริงหรอก ข้ากับหยางเค่อแกล้งพูดแบบนั้นเพื่อให้เจ้ากลับหมู่บ้านไปกับข้า เจ้ายังคงกังวลใจเรื่องที่ข้าพูดอยู่งั้นเหรอ?
           ชิงอิ๋ง  : เอ่อ...จะว่ายังงั้นก็ได้ ในตอนแรกข้าแค่โมโหที่เจ้ากล้าพูดจาข่มขู่ข้าเพราะเจ้ามีพลังหมื่นบุปผา แต่พอข้าได้เห็นเจ้าสามารถไขปริศนาภาพวาดบนผนังได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ข้าเริ่มรู้สึกได้ว่าเจ้ากับหยางเค่อหากร่วมมือกันจริงก็จะเป็นตัวอันตรายกับหมู่บ้านของข้า เจ้ามีทั้งพลังหมื่นบุปผาที่แข็งแกร่งและมีสติปัญญาเป็นเลิศ อีกทั้งหยางเค่อเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้านไม่กี่วัน แต่เขากลับรู้ว่าหมู่บ้านของข้านั้นมีทรัพยากรแร่ธาตุอัญมณีที่มีค่า และสามารถสร้างเงินเข้ากระเป๋าให้เขาได้มากมาย เขาช่างสมกับเป็นพ่อค้าจริงๆ หากเจ้าร่วมมือกับหยางเค่อเขาคงจะเป็นเสือติดปีกโดยแท้
            มี่จื่อ  : เจ้าเยินยอข้าเกินไป ข้ามิได้ฉลาดเกินใครหรอก เพียงแต่ปริศนาที่ข้าเจอแต่ละครั้งบังเอิญมันตรงกับความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่ข้าเคยทำมาก่อน และข้าคงไขปริศนาไม่สำเร็จหากไม่มีพวกเจ้าคอยช่วย ข้าไม่ได้เก่งกาจอะไร ข้าเป็นเพียงผู้เปิดประตูปริศนาได้ ส่วนเจ้าและคนอื่นๆเป็นผู้ค้นหาคำตอบได้จากประตูที่ข้าเปิด ดังนั้นการมองเห็นภาพปริศนาบนผนังถ้ำอย่างเดียวของข้าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากไม่มีเจ้าและคนอื่นๆคอยช่วยคิดและค้นหาคำตอบนั้น ข้าอาจจะไขปริศนายากๆได้ แต่ข้ากลับจุดเตาฟืนง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้แต่ข้ากลับทำไม่เป็น และหากข้าต้องไปอยู่ในที่ที่มีแค่เตาฟืนกับหม้อหุงข้าว แต่ข้าก่อไฟและหุงข้าวไม่เป็น ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงโง่คนหนึ่ง
     หยางเค่อ  : มี่จื่อของข้า เจ้าพูดจาได้ดี ไม่เคยคิดเอาดีเข้าตัวอยู่ฝ่ายเดียว ข้ารักเจ้าตรงนี้แหละ!
เหยียนเหล่ย  : หยางเค่อเจ้าไม่มีสิทธิ์มารักมี่จื่อ จำไว้! (เหยียนเหล่ยทิ้งไม้พายแล้วแทรกตัวมานั่งลงระหว่างฉันกับหยางเค่อ)
           จินไห่  : อ้าว?! ศิษย์พี่สี่ ทิ้งไม้พายไปเฉยเลย มาช่วยข้าพายก่อนสิ!
       องครักษ์  : ข้าช่วยพายเอง ท่านไปนั่งพักเถอะ (องครักษ์ทั้งสองอาสารับช่วงถ่อแพต่อ)

          เมื่อซิ่นปิงกับจ้าวหลิวพักกินปลาและพักแขนจนหายจากอาการเมื่อยล้า เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นมาช่วยกันถ่อแพต่อ มุ่งหน้าไปทางทิศที่ดาวเหนือปรากฎอยู่จนกระทั่งมองเห็นฝั่งและผาสูงตั้งอยู่ไกลๆ เขาทั้งสองจึงเร่งความเร็วถ่อแพให้ถึงฝั่งโดยเร็ว จนในที่สุดเราก็มาถึงฝั่งและได้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย

     หยางเค่อ  : หรือที่นี่จะเป็นด้านหลังของหุบเขา?
        อ๋องหก  : น่าจะใช่ด้านหลังของหุบเขา ทางลับที่ช่วยให้เราไม่ต้องเดินหลงในเขาวงกต และไม่ต้องเจอกับเสือดำ หวังเพียงว่าเสือดำจะไม่ตามมาเจอกับเราที่นี่
        หลี่จวิน  : เจ้าชงอวี้ จะเดินทางมาถึงที่นี่หรือยังนะ?
        อ๋องหก  : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างชงอวี้ที่มีแผนที่กับเราที่ไม่มีแผนที่ใครจะไปถึงหน้าผาจันทร์ดับก่อนกัน เรารีบไปกันเถอะ!

          เรารีบรุดเดินทางมุ่งหน้าไปยังหน้าผาสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก ต้นไม้ที่ขึ้นรกทึบตลอดทางทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะในป่าแห่งนี้มีพืชกินเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่ด้วย และอาจมีเสือดำนิลภูเขาหรือสัตว์ร้ายอื่นซ่อนตัวอยู่เพื่อรอโจมตี จนในที่สุดเราก็เดินมาถึงจุดที่มองเห็นหน้าผาสูงมากซึ่งเป็นหน้าผาตั้งฉากกับพื้นดิน เราแอบซุ่มดูลาดเลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเสือนิลภูเขาไม่ได้ดักรอเราอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครหลี่จวินจึงออกไปดูคนเดียวอีกรอบหนึ่งก่อน แล้วส่งสัญญาณว่าปลอดเสือปลอดคน เราจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนและรีบเดินเข้าไปใกล้ๆเชิงผา ที่บริเวณนั้นพบต้นท้อที่กำลังออกดอกยืนต้นเดียวดายอยู่เพียงต้นเดียว ทำให้เราประหลาดใจ ว่าเหตุใดต้นท้อจึงมาขึ้นอยู่ตรงนี้เพียงต้นเดียว

           ชิงอิ๋ง  : แปลกจังเหตุใดจึงมีต้นท้อขึ้นที่นี่อยู่เพียงต้นเดียว ดอกท้อเบ่งบานเต็มต้นแต่กลีบดอกกลับไม่สดใส ดูเฉาๆ
        อ๋องหก  : ต้องเป็นที่นี่แน่นอน องค์ชายสี่คงจะปลูกต้นท้อไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นหน้าผานี้ที่เก็บซ่อนตำรามังกรสายลม แต่ข้ายังมองไม่เห็นถ้ำหรือโพรงอะไรเลยบนหน้าผา มี่จื่อเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่ามีโพรงหรือถ้ำที่ใช้ซ่อนตำราน่ะ
             มี่จื่อ  : ข้าก็มองไม่เห็นเหมือนกัน ข้าจำได้ว่าเคยเห็นโพรงหรือถ้ำนี่แหละในตำราหมื่นบุปผาตรงบริเวณนั้น (ฉันชี้นิ้วไปที่ริมหน้าผาใกล้ๆส่วนปลายยอด) แต่ตอนนี้ที่หน้าผานั้นมันไม่มีโพรง หรือว่าข้าจะตาฝาดก็ไม่รู้
เหยียนเหล่ย  : เจ้าตาไม่ฝาดหรอก ข้าเองก็เห็นโพรงนั่นแบบที่เจ้าเห็นเหมือนกัน แต่มาที่นี่มันกลับไม่มี
        หลี่จวิน  : หรือเราจะมาผิดที่ มันอาจไม่ใช่หน้าผานี้ก็ได้
        อ๋องหก  : เรามาไม่ผิดหรอก เพียงแต่เรายังมองไม่เห็นที่ซ่อนตำราเท่านั้น หรืออาจมีปริศนาอะไรที่ต้องไขอีกละมั้ง ทุกคนลองหาดูให้ทั่วบริเวณ
        หลี่จวิน  : กระหม่อมจะลองปีนขึ้นไปดูที่หน้าผานั่นเผื่อจะเจอที่ซ่อนตำรา
        อ๋องหก  : อื้ม!

       ทุกคนแยกย้ายกันหาสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงถึงที่ซ่อนตำรามังกรสายลม เราหาดูกันจนทั่ว ก็ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ จึงกลับมายืนรวมตัวกันอยู่ที่ข้างต้นท้อ ไม่นานนักหลี่จวินก็กลับมารายงานกับท่านอ๋องหกว่าเขาก็ไม่พบสิ่งใดที่หน้าผาเหมือนกัน ท่านอ๋องจึงบอกให้พวกเราค้นหาสิ่งผิดปกติกันอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายไปค้นหาสิ่งผิดปกติอีกครั้งพวกเขาก็เห็นฉันที่หยุดยืนมองต้นท้อด้วยความสงสัย จึงพูดขึ้นมาคนเดียวกับต้นท้อว่า...

            มี่จื่อ  : ต้นท้อ...ตำรามังกรสายลมอยู่ที่ไหนช่วยบอกที ตำราหมื่นบุปผาทำให้ข้าเห็นที่ซ่อนตำรามังกรสายลม แต่พอมาที่นี่จริงๆกลับไม่พบที่ซ่อน มีอะไรบังตาอยู่หรือไง ทำให้เห็นทีสิ!
เหยียนเหล่ย  : ข้าหวังว่าต้นท้อต้นนี้จะเข้าใจและตอบคำถามเจ้า เหมือนที่ต้นท้อสวรรค์ในหมู่บ้านไม้ดำเข้าใจเจ้า (เหยียนเหล่ยพูดปลอบใจฉัน)
            มี่จื่อ  : ข้าเห็นต้นท้อต้นนี้แล้วรู้สึกเศร้าใจยังไงก็ไม่รู้ มันบอกไม่ถูก เหมือนต้นท้อกำลังรออะไรสักอย่างอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่อาจพานพบกันได้
           ชิงอิ๋ง  : คงเป็นเพราะเจ้ามีพลังหมื่นบุปผา จึงสามารถสัมผัสความรู้สึกของต้นท้อได้
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ก็นั่งรออยู่ตรงนี้เถอะ ทำใจให้สบายอย่าวิตกกังวลเลย
             มี่จื่อ  : ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เป็นอะไร... แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน! หรือข้าต้องมองผ่านสายตาของต้นท้อ? (ฉันเห็นกิ่งท้อสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลมที่พัดมาเบาๆ)

          ฉันพูดกับกิ่งท้อที่กำลังสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลม ทำให้ฉันนึกถึงภาพที่ฉันเห็นกิ่งท้อในตำราหมื่นบุปผาขยับไหวไปมาจนเห็นที่ซ่อนตำรามังกรสายลม ฉันจึงขยับตัวมายืนหลังกิ่งท้อแล้วมองผ่านกิ่งท้อที่กำลังสั่นไหว มองไปที่หน้าผาสูงชันตามแบบที่เคยมองเห็นในตำราหมื่นบุปผา แล้วฉันก็เห็นโพรงขนาดเล็กที่ถูกเจาะลึกเข้าไปในผาหิน และเห็นของบางอย่างที่ดูคล้ายกับสันของตำราวางซ่อนอยู่ในโพรงหินนั่น ฉันจึงร้องบอกทุกคนด้วยความดีใจว่าฉันพบโพรงนั้นแล้ว เหยียนเหล่ยรีบยื่นหน้าเข้าแนบชิดกับฉันแล้วมองผ่านกิ่งท้อตามแบบที่ฉันทำ พอเขาเห็นโพรงในช่องหิน เขาดีใจจนหันหน้ามาหอมแก้มฉันฟอดใหญ่แล้วกอดรัดฉันไว้แน่นเป็นการให้รางวัล จากนั้นอ๋องหกและทุกคนจึงรีบมามองดูหน้าผาสูงผ่านกิ่งท้อและทุกคนก็เห็นโพรงนั้นเช่นกัน ทำให้ทุกคนออกอาการดีใจ โดยเฉพาะท่านอ๋องที่ออกอาการตื่นเต้นดีใจมากกว่าใคร จนท่านอ๋องก็เดินเข้ามากอดฉันแล้วกล่าวขอบใจฉันซ้ำๆอยู่หลายคำอย่างลืมตัว จากนั้นท่านอ๋องสั่งให้หลี่จวินจดจำตำแหน่งโพรงแล้วให้รีบปีนขึ้นไปดูว่าในโพรงนั้นมีตำรามังกรสายลมอยู่หรือไม่

          หลี่จวินใช้พลังยุทธตัวเบารีบปีนขึ้นไปบนหน้าผาด้วยความรวดเร็ว เขาหยุดอยู่ตรงจุดที่เขาจดจำไว้แล้ว แล้วล้วงมือเข้าไปในโพรงหิน สิ่งของที่เขาหยิบออกมาคล้ายกับตำราเล่มหนึ่ง แต่ทันไดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามของเสือเสียงดังสนั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือน หลี่จวินที่มือข้างหนึ่งจับตำรา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเกาะอยู่ที่หน้าผา ก็พลาดพลัดตกลงมา ฉันจึงรีบพุ่งตัวออกไปและปล่อยเชือกดอกท้อพุ่งออกไปรับหลี่จวิน แต่ก็ถูกเสือดำพุ่งตัวจะเข้าตะปบ โชคดีที่เหยียนเหล่ยใช้มนต์สกัดกั้นเสือดำไว้ได้ทัน และจินไห่เข้ามาช่วยรับฉันกับหลี่จวินไว้ได้ก่อนตกถึงพื้น ส่วนคนอื่นๆก็ช่วยกันโจมตีใส่เสือดำนิลภูเขา แต่ดูเหมือนอาวุธจะไม่ระคายผิวเสือดำเลยสักนิด เสือดำนิลภูเขาพุ่งเป้าโจมตีหลี่จวินที่กำลังถือตำรามังกรสายลมอยู่ในมือ ท่านอ๋องหกจึงบอกให้หลี่จวินโยนตำรามาให้เขา จากนั้นท่านอ๋องหกก็วิ่งหนีเสือดำไปรอบๆ แล้วโยนตำรามังกรสายลมสลับให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน เพื่อให้เสือดำงุนงง แต่เสือดำนิลภูเขากลับยิ่งโมโหระเบิดพลังบางอย่างสีดำที่รุนแรงแผ่กระจายออกมาเป็นวงกว้างจนเราทุกคนหลบไม่ทันโดนพลังสีดำนั้นพุ่งเข้ากระแทกอย่างรวดเร็วจนทุกคนล้มหงายหลังลงไปนอนจุกอยู่กับพื้น เสือดำนิลภูเขาเดินหน้าแยกเขี้ยวขู่เข้าไปหาซิ่นปิงที่กำลังนอนจุกอยู่ที่พื้นเพราะเขาถือตำราอยู่ ฉันที่ยังจุกท้องแต่พยายามหยิบก้อนหินปาใส่เสือดำแล้วด่าเสือดำว่า...

            มี่จื่อ  : ไอ้ดำ ทางนี้เฟ้ย! ข้าจะถลกหนังแกเอาไปทำเบาะรองนั่ง เขี้ยวของแกจะเอาผูกปลายไม้ทำเป็นไม้เกาหลัง ลูกตาของแกจะเอาไปทำเป็นลูกแก้วให้พวกเด็กๆโยนเล่น

         เสือดำนิลภูเขาหันมาคำรามแยกเขี้ยวใส่ฉันครั้งหนึ่งคล้ายจะบอกว่าฉันจะเป็นรายต่อไป เพราะเสือนิลภูเขายังคงเดินหน้าไปหาซิ่นปิง ที่กำลังพยายามลุกขึ้นหนีแต่เสือดำตะปบกงเล็บไปที่แขนของซิ่นปิงข้างที่ถือตำรา จนซิ่นปิงร้องออกมาดังลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่เสือดำยังไม่ทันจะได้ทำอะไรซิ่นปิงไปมากกว่านี้ ชงอวี้ที่จู่ๆโผล่ออกมาจากที่ไหนไม่รู้ในสภาพดูโทรมและสะบักสะบอม ชงอวี้คงโดนค่ายกลในหุบเขาเล่นงานมาตลอดทาง และคงถูกเสือนิลภูเขาไล่ล่าหลังจากลูกท้อสวรรค์ที่เสือดำกินเข้าไปหมดฤทธิ์ ชงอวี้ใช้โซ่เส้นเล็กพุ่งออกมาเกี่ยวพันตำราแย่งชิงไปจากมือซิ่นปิง เสือดำจึงผละจากซิ่นปิงแล้วหันไปมองตามโซ่ที่พุ่งมาแย่งชิงตำราไป เสือดำขู่คำรามอีกครั้งอย่างหัวเสีย แล้วตั้งท่าจะเข้าเล่นงานชงอวี้ เราจึงอาศัยจังหวะที่เสือดำพุ่งเข้าโจมตีชงอวี้ แล้วถอยออกมาตั้งหลัก จากนั้นเราจึงรอจังหวะเข้าแย่งชิงตำรากับชงอวี้และเสือดำต่างฝ่ายต่างบุกและรับมือกันชุลมุนไปหมด ช่วงหนึ่งที่หยางเค่อสามารถแย่งชิงตำราจากชงอวี้มาได้ แต่หยางเค่อพลาดถูกเสือดำตะปบเข้าอย่างจังกลางหน้าอกจนเป็นแผลเหวอะเลือดไหลเป็นทางยาวบนหน้าอก และถูกชงอวี้ซัดฝ่ามือยูไลซ้ำเข้าอย่างจังจนร่างหยางเค่อกระเด็นไปกระแทกเข้ากับหน้าผาแล้วร่วงตกลงมาที่พื้นดิน ชงอวี้ที่ไม่รอช้าพุ่งตัวใช้ดาบแทงหยางเค่อซ้ำอีกครั้งแล้วแย่งเอาตำรากลับคืนไป

          เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วมาก และทุกคนก็ต้องรับมือกับเสือดำที่แข็งแกร่งและไม่มีทีท่าจะอ่อนกำลังลงเลย ขณะนั้นฉันกับจินไห่ที่รีบผละจากการรับมือกับเสือดำรีบเข้าไปดูหยางเค่อที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หยางเค่อพยายามลืมตามองหน้าฉัน แต่ดูเขาบาดเจ็บสาหัสเกินไปที่จะขยับตัว จินไห่ตรวจดูอาการหยางเค่ออย่างรวดเร็วแล้วบอกว่า หยางเค่ออาจจะไม่รอด จนฉันใจแป้วจับมือหยางเค่อบีบแล้วร้องเรียกหยางเค่อให้อดทน ฉันทวงสัญญาที่เขารับปากว่าจะรักษาชีวิตตัวเองไว้เพื่อชดใช้ความผิดที่เคยกระทำมา ฉันทวงสัญญากับเขาว่ารับปากจะแลกจอกเหล้าเป็นพี่น้องกับฉัน หยางเค่อพยายามยิ้มให้แล้วพูดเบาๆว่า "ขอโทษ" แล้วหยางเค่อก็หลับตาแน่นิ่งไป จินไห่แตะที่ชีพจรหยางเค่อแล้วบอกกับฉันว่าหยางเค่อชีพจรหยุดเต้น หยางเค่อตายแล้ว นั่นทำให้ฉันหัวใจสลายร้องไห้ให้กับการตายของหยางเค่อแทบขาดใจ เหยียนเหล่ยที่ผละจากเสือดำมาได้ รีบเข้ามาดูแล้วโผกอดฉันที่ร้องไห้กอดศพหยางเค่อ แม้เหยียนเหล่ยจะไม่พูดจาอะไรแต่ฉันสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากอ้อมกอดของเขา จินไห่จึงยืนคุ้มกันฉันที่ไม่สามารถครองสติได้เพราะการตายของหยางเค่อ

          ขณะนั้นคนอื่นๆเริ่มถอยหนีและปล่อยให้ชงอวี้ต่อสู้กับเสือดำไปก่อน พวกเขากลับมายืนรวมตัวกันตรงที่ฉันกับเหยียนเหล่ยและจินไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆศพหยางเค่อ ทุกคนตกใจที่เห็นหยางเค่อตาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพยายามช่วยปลอบใจและบอกให้ฉันทำใจเท่านั้น ฉันที่หัวใจสลายได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ซบอกเหยียนเหล่ยจนไม่สามารถครองสติและไม่สามารถพูดคุยกับใครได้

        หลี่จวิน  : เจ้าเสือดำนั่นมันดุเหลือเกิน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนข้าเริ่มจะรับมือไม่ไหว ส่วนเจ้าชงอวี้ได้ตำราไปเหมือนพละกำลังมันจะเพิ่มขึ้น
      องครักษ์  : พวกเรามีคนมากกว่าก็จริง แต่กลับเสียเปรียบ เจ้าเสือดำไม่ยอมตายแถมจะดุมากขึ้นกว่าเดิม ชงอวี้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น แต่พวกเรากลับเริ่มอ่อนกำลังลงมันยากที่จะรับมือจริงๆ
        อ๋องหก  : เราอาจต้องถอยหนีกันก่อน
        หลี่จวิน  : แล้วตำรามังกรสายลมล่ะท่านอ๋อง ตำราอยู่ตรงหน้าเราแล้วนะ
        อ๋องหก  : ข้าก็เสียดาย อยากได้ตำราคืนจะแย่ แต่เจ้าดูสิ! หยางเค่อก็ตายแล้ว มี่จื่อก็เสียใจจนครองสติไม่อยู่ ชงอวี้ก็มีพละกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเหมือนจะได้รับพลังแฝงจากตำรามังกรสายลม อีกทั้งเสือดำก็โมโหดุร้ายขึ้นกว่าเดิมไม่มีใครยอมใครเลย จนเราเริ่มเสียเปรียบสู้ไม่ได้ หากฝืนอยู่ต่อฝ่ายเราคงต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่ รักษาชีวิตคนของเราไว้ก่อน
        หลี่จวิน  : ทะ ท่านอ๋อง ดูนั่น!!!
        อ๋องหก  : แย่ล่ะสิ!!!

          ชงอวี้อาศัยช่วงจังหวะหนึ่งที่หลบการโจมตีของเสือดำได้ แล้วรีบเปิดตำรามังกรสายลมเพื่อดูดพลังจากมังกร ทันไดนั้นท้องฟ้าก็เริ่มแปรปรวนมีลมพัดแรง และเริ่มมีสายฟ้าแลบแปรบปราบปรากฎบนฟ้า เสือดำพุ่งตัวกระโดดเข้าโจมตีชงอวี้ที่กำลังดูดพลังมังกรสายลมในตำรา แต่เสือดำถูกพลังมังกรตีกลับจนกระเด็นถอยห่างออกมา แล้วเสือดำก็หันกลับมามองเราและจะกระโดดพุ่งมาโจมตีพวกเราที่ยืนดูกันอยู่ทันที

Reno Oppo : Ryan B
Let me show you a big move
Youtube by : YOYOROCK

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 71
(พลังจากการสูญเสีย)

          จินไห่บอกให้ทุกคนอุดหู เพราะเขาตัดสินใจจะเป่าขลุ่ยบทเพลงกักขังวิญญาณ เหยียนเหล่ยจึงเอามือมาช่วยปิดหูให้ฉันที่เอาแต่ซบอกเขาร้องไห้ฟูมฟาย เสียงขลุ่ยของจินไห่กระตุ้นให้ฉันรู้สึกโกรธแค้น และคิดที่จะแก้แค้นคืนให้หยางเค่อ ฉันเงยหน้าขึ้นจากอกของเหยียนเหล่ยที่เปียกชุ่มไปด้วยคราบน้ำตา แล้วจับมือของเหยียนเหล่ยที่กำลังปิดหูให้ฉันออก ฉันขยับตัวออกมายืนข้างๆจินไห่ที่กำลังเป่าขลุ่ยกักขังวิญญาณสุดกำลังเพื่อเล่นงานเสือดำ ที่กำลังขู่คำรามแยกเขี้ยวต้านพลังของจินไห่อย่างสุดกำลังเช่นกัน แต่เพราะเสือดำแข็งแกร่ง ตัวใหญ่ และได้รับพลังธรรมชาติจากหุบเขาจันทร์ดับ ทำให้เสือดำแข็งแกร่งมากพอที่จะต้านพลังบทเพลงกักขังวิญญาณได้

          เสือดำเริ่มย่างเท้าเข้ามาหาเราและทำท่าจะกระโจนพุ่งเข้าใส่ ฉันเรียกพลังหมื่นบุปผาที่เกิดจากความโกรธแค้น และความรู้สึกที่หัวใจสลาย เป็นพลังแฝงส่งเข้าไปในบทเพลงกักขังวิญญาณของจินไห่ทำให้เกิดพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้น เข้าปะทะกับเสือดำอย่างจังจนเสือดำกระเด็นหงายหลังลงไปนอนเพราะได้รับบาดเจ็บ ทุกคนพากันดีใจที่สามารถทำให้เสือดำบาดเจ็บได้ เสือดำลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้วคำรามระเบิดอารมณ์โมโหสุดขีด พุ่งกระโจนใส่เราอีกครั้งทันที เหยียนเหล่ยรีบชักกระบี่หยาดพิรุณพุ่งเข้าหาเสือดำ ฉันจึงส่งพลังแฝงหมื่นบุปผาไปสนับสนุนพลังให้กับกระบี่ของเขา เหยียนเหล่ยพุ่งม้วนตัวกลับหลังแล้วปักกระบี่แทงลงบนหลังเสือดำจนเกือบมิดด้าม ทำให้เสือดำร้องคำรามด้วยเสียงอันดังเพราะเจ็บปวดจากคมกระบี่ เสือดำนิลภูเขาล้มลงนอนตายกับพื้นทันที จากนั้นร่างเสือดำนิลภูเขาก็ค่อยๆสลายไปกลายเป็นควันสีดำลอยหายไปในอากาศ

          จินไห่จึงหยุดเป่าขลุ่ย เขาเซถอยหลังนิดหนึ่งเพราะใช้พลังไปมากกับการต้านพลังกับเสือดำ ซิ่นปิงรีบเข้าพยุงจินไห่ให้นั่งลงพักกับพื้น เหยียนเหล่ยเดินเข้ามาหาฉันเพื่อจะสอบถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ฉันมิได้สนใจจะตอบคำถามของเหยียนเหล่ยแต่อย่างใด เพราะสายตาฉันตอนนี้กำลังจับจ้องอยู่ที่ชงอวี้ที่กำลังจะเรียกมังกรสายลมออกมาจากตำรา ชิงอิ๋งที่เฝ้ามองดูฉันที่เริ่มมีกิริยาแข็งกร้าว และผิดปกติที่เมินเฉยตอบคำถามเหยียนเหล่ย ชิงอิ๋งเรียกชื่อฉันและจะเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่เพื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่เหยียนเหล่ยห้ามชิงอิ๋งไว้ และบอกกับชิงอิ๋งว่า...

เหยียนเหล่ย  : ปล่อยมี่จื่อไปก่อน ตอนนี้นางกำลังขาดสติเพราะนางยังทำใจไม่ได้ที่หยางเค่อตาย
           ชิงอิ๋ง  : มี่จื่อจะเป็นอะไรมั้ย ท่าทางนางดูแปลกไปจากเดิมมาก ไม่เหมือนกับเมื่อกี้ที่เอาแต่ร้องไห้
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อเวลาที่ขาดสติจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ นางจะเปลี่ยนเป็นคนละคนและก้าวร้าว ปล่อยให้มี่จื่อเป็นแบบนี้ไปก่อน เพราะหากมี่จื่อยังคงเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย จะยิ่งทำให้นางมีอันตรายมากยิ่งกว่าเพราะปกป้องดูแลตัวเองไม่ได้

          ในขณะเดียวกัน ชงอวี้ที่เรียกมังกรสายลมออกมาจากตำราได้แล้ว เราสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งที่เขาได้รับจากมังกรสายลม ตอนนี้มังกรสายลมสีขาวงดงามจับตาออกมาจากตำราแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะกลับลงมายืนอยู่ทางด้านหลังของชงอวี้อย่างน่าเกรงขาม

           ชงอวี้  : เจ้าพวกโง่! ขอบใจที่ช่วยข้าหาตำรามังกรสายลม ข้าจะตอบแทนค่าเหนื่อยให้พวกเจ้าทุกคนด้วยความตาย ฮ่าฮ่าฮ่า!
        หลี่จวิน  : ชงอวี้! เจ้าคนชั่ว! คืนตำรามังกรสายลมมาให้ท่านอ๋องหกเดี๋ยวนี้!
           ชงอวี้  : ใครจะโง่คืนให้เจ้า ตอนนี้ข้าได้รับพลังจากมังกรสายลม มันทำให้ข้ารู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่มังกรมอบให้ข้าจนอยากจะถล่มที่นี่ให้แหลกคามือ ข้าจะเป็นผู้นำของทุกสำนักให้ทุกเจ้าสำนักมาก้มหัวสยบต่อหน้าข้า รวมถึงเฟยเทียนอาจารย์เจ้าสำนักของเจ้าด้วยนังตัวดี! (ชงอวี้ชี้นิ้วมาทางฉันอย่างหมายหัว)
            มี่จื่อ  : ไอ้เแก่! แก่แล้วแต่กลับไม่คิดเข้าวัดสวดมนต์ถือศีลให้ลูกหลานเคารพนับถือ กลับขยันทำชั่วจนเจิ้งไฉลูกชายคนเดียวของเจ้าก็ตายไปแล้วยังไม่คิดสำนึกอีก อย่าคิดว่าเจ้าได้รับพลังมังกรแล้วข้าจะล้มเจ้าไม่ได้ ขนาดเสือดำที่ว่าแน่ข้ายังส่งมันกลับคืนสู่หุบเขาไปแล้ว! เจ้าฆ่าหยางเค่อว่าที่พี่ชายของข้า เขากำลังกลับตัวกลับใจเป็นคนดีแต่เจ้ากลับพรากโอกาสนั้นไปจากเขา เจ้าพรากเขาไปจากข้า อีกอย่างเจ้าอย่าได้หวังสูงเป็นผู้นำของทุกสำนัก เจ้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน เพราะข้าจะส่งเจ้าไปลงนรก!
           ชงอวี้  : นังเด็กปากกล้า คิดว่าพลังหมื่นบุปผาของเจ้าจะสู้ข้าได้รึ ถึงยังไงพลังของข้าก็เหนือกว่าพวกเจ้าหลายเท่านัก!
            มี่จื่อ  : พลังของเจ้าจะเหนือกว่ากี่เท่าข้าก็ไม่เกี่ยง เข้ามาได้เลย ตาแก่น่ารำคาญ!

          ชงอวี้โมโหจนเลือดขึ้นหน้าที่ฉันโต้เถียงเขาอย่างไร้ความเกรงกลัวและไร้สัมมาคารวะ ความโกรธของเขานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านสีหน้าของมังกรที่ส่งเสียงคำรามด้วยความหัวเสีย ชงอวี้ปล่อยพลังฝ่ามือยูไลพันหัตถ์ซัดใส่พวกเราแบบไม่ยั้งมือ จนเราเกือบต้านรับพลังฝ่ามือแทบไม่ทัน ชงอวี้เพิ่มพลังแฝงของมังกรสายลมแฝงมาพร้อมกับพลังฝ่ามือยูไลพันหัตถ์ที่มีพลังรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหยียนเหล่ยจึงสร้างมนต์สกัดกั้นต้านพลังฝ่ามือนั้นแต่ก็ยากจะต้านทานเพราะพลังแฝงจากมังกรสายลมนั้นแข็งแกร่งมาก ฉันจึงส่งพลังหมื่นบุปผาแฝงไปเสริมพลังให้มนต์สกัดกั้นแข็งแกร่งจนสามารถต้านทานฝ่ามือยูไลพันหัตถ์ไว้ได้ ชงอวี้จึงปล่อยมังกรสายลมให้ออกมาเล่นงานเรา มังกรสายลมปล่อยลมพายุที่รุนแรงออกมาจากปากพ่นใส่เรา แต่ติดที่มนต์สกัดกั้นที่เหยียนเหล่ยและฉันต้านกันไว้ จินไห่จึงเข้ามาช่วยปล่อยพลังแฝงต้านพลังลมพายุมังกรด้วยอีกคนหนึ่ง และคนอื่นๆก็รีบเข้าช่วยกันต้านลมพายุอย่างสุดกำลัง มังกรสายลมเห็นว่าเราต้านลมพายุกันไหว จึงพ่นไอเย็นดุจน้ำแข็งใส่เราจนเกิดความเย็นไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนเริ่มอ่อนแรงและหนาว

        อ๋องหก  : เราคงต้านได้อีกไม่นาน ใครมีวิธีทำให้มังกรหยุดพ่นไอเย็นได้มั้ย?!
        หลี่จวิน  : มังกรตัวนี้มันร้ายยิ่งกว่าเสือดำเสียอีก
           ชิงอิ๋ง  : ข้าจะต้านไม่ไหวแล้ว
          ซิ่นปิง  : ชิงอิ๋งอดทนไว้นะ พวกเราต้องทำได้
       จ้าวหลิว  : ชิงอิ๋ง! ข้ารักเจ้า ถ้าเรารอดออกไปได้ข้าจะขอเจ้าแต่งงาน
          ซิ่นปิง  : จ้าวหลิว! ข้าฝากดูแลชิงอิ๋งด้วย ข้าอยากให้เจ้าพาชิงอิ๋งหนีไป ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่ต้านมังกรกับชงอวี้ไว้เอง
           ชิงอิ๋ง  : พี่ใหญ่! ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะไม่ทิ้งพี่ไว้แล้วหนีไปคนเดียวหรอก
เหยียนเหล่ย  : เอาล่ะ! ทุกคนเลย! รีบหนีไปข้าจะยื้อพวกมันไว้ที่นี่เอง พวกเจ้าทุกคนรีบไปตอนนี้เลย พามี่จื่อหนีออกไป ข้าฝากดูแลมี่จื่อด้วย รีบไปสิเร็วๆ!
             มี่จื่อ  : ท่านหยุดความคิดที่จะทิ้งข้าไปอีกคน! เพราะข้าจะไม่ยอมสูญเสียใครไปอีกแล้ว!!! ทุกคนจงทำตามข้า จงปล่อยพลังแฝงไปที่อาวุธของตน ข้าจะบังคับให้อาวุธพวกนั้นไปเล่นงานมังกรให้มันหยุดพ่นไอเย็น

          ฉันขยับตัวออกมายืนข้างหน้าทุกคน แล้ววาดมือไปในอากาศเรียกลมพายุหมุนรุนแรงให้พัดต้านไอเย็นมังกร และวาดมือขึ้นในอากาศอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียกกระบี่จากทุกคนให้ลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วปล่อยพลังหมื่นบุปผาแฝงไปกับกระบี่เหล่านั้น ฉันบังคับกระบี่ทุกเล่มให้พุ่งไปเล่นงานมังกรจนมังกรหยุดชะงักพ่นไอเย็นก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และกระโดดลอยขึ้นฟ้าเพื่อหลบการโจมตีของกระบี่ ชงอวี้เห็นมังกรสายลมถูกกระบี่ไล่โจมตี เขาจึงเพิ่มพลังยูไลพันหัตถ์ทองคำพุ่งเข้าโจมตีฉัน แต่ฉันเรียกพลังแฝงบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวออกมา แล้วเอ่ยเรียก "กระบี่มังกรสายลมจงเข่นฆ่า"

          ทันใดนั้นปรากฎกระบี่สีเงินเกลี้ยงเกลาเงาวับเล่มยาวพุ่งออกมาจากโพรงเดียวกันกับที่ซ่อนตำรามังกรสายลม กระบี่มังกรสายลมพุ่งไปด้วยความเร็วพริบตาหมายเสียบเข้าหัวใจของชงอวี้ แต่ชงอวี้กลับหลบกระบี่ได้ทัน กระบี่มังกรสายลมจึงเสียบทะลุเข้าหัวไหล่ของชงอวี้แทน จากนั้นกระบี่มังกรสายลมก็พุ่งบินวกกลับมาเข้ามือเหยียนเหล่ยพอดิบพอดี เหยียนเหล่ยตกตะลึงยืนมองกระบี่ รวมทั้งชงอวี้ที่ได้รับบาดเจ็บต่างตกตะลึงที่ได้เห็นกระบี่มังกรสายลมอีกครั้ง

          ทันทีที่กระบี่มังกรสายลมปรากฎขึ้น กระบี่ของทุกคนก็บินกลับคืนสู่ฝัก มังกรสายลมที่อยู่บนฟ้าก็พุ่งตัวลงมามองจ้องหน้ากับฉัน แต่ความจริงแล้วมังกรสายลมมองจ้องพลังวิญญาณของฟางเหนียนฮูหยิน ที่แฝงอยู่ในตัวฉัน ฉันเอื้อมมือสัมผัสที่ใบหน้าของมังกรสายลมอย่างอ่อนโยน แต่ฉันกลับไม่รู้สึกตัวที่กระทำแบบนั้น

         ฟางเหนียน  : ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้ง คิดถึงเหลือเกิน จงกลับมาอยู่เคียงข้างข้า!

          พอจบคำพูดนั้น มังกรสายลมก็สลายกลายเป็นละอองสีเงินวิบวับพุ่งเข้าไปอยู่ในตัวกระบี่ที่เหยียนเหล่ยถืออยู่ ฉันที่อยู่ในภวังค์ไม่รู้สึกตัว จับแขนเหยียนเหล่ยที่ถือกระบี่มังกรสายลม ให้ร่ายรำเคล็ดวิชามังกรคู่บัลลังค์ แล้วปล่อยพลังแฝงเสริมพลังให้เหยียนเหล่ยขณะร่ายรำด้วยกัน แล้วเราก็พุ่งตัวเข้าหาชงอวี้โจมตีเขาทันทีจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ชงอวี้ทำได้แต่ตั้งรับเพราะเขาไม่มีพลังแฝงของมังกรสายลมอีกแล้ว อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระบี่มังกรสายลมแทงทะลุหัวไหล่ก่อนหน้านี้ และในที่สุดชงอวี้ก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีอย่างรุนแรงของเราได้ ชงอวี้พลาดถูกเหยียนเหล่ยใช้กระบี่เชือดที่คอ และแทงซ้ำที่หัวใจจนเขาล้มลงนอนบนพื้นสิ้นใจตายในทันที

          และทันทีที่ชงอวี้ตาย พลังหมื่นบุปผาที่อยู่ในตัวฉันก็พุ่งออกจากร่างกลับไปเข้าที่ต้นท้อที่ยืนต้นออกดอกเดียวดายต้นนั้นที่เชิงผา ส่วนฉันก็รู้สึกหมดแรงล้มลงกับพื้นเหมือนเพิ่งผ่านการออกกำลังกายหนักๆมาสักสิบชั่วโมง เหยียนเหล่ยรีบทิ้งกระบี่ลงกับพื้นแล้วมาประคองกอดฉันที่ล้มนอนหมดแรงอยู่ พร้อมๆกับทุกคนที่วิ่งกรูกันมาดูฉันด้วยความห่วงใย

เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! เป็นยังไงบ้าง?
             มี่จื่อ  : ข้าเหนื่อยจังเลย ไม่มีแรง ชงอวี้มันตายหรือยัง?
เหยียนเหล่ย  : ชงอวี้ตายแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว เราจะกลับไปที่หมู่บ้านกัน
             มี่จื่อ  : แต่หยางเค่อ.....ฮือๆๆๆๆ (ฉันเริ่มร้องไห้ฟูมฟายซบอกเหยียนเหล่ยอีกครั้ง)
           ซิ่นปิง  : มี่จื่อ...ข้าจะนำศพหยางเค่อกลับไปที่หมู่บ้าน และจะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ ในฐานะให้เป็นคนของหมู่บ้านคนหนึ่ง และเขาจะถูกพูดถึงความเสียสละอันทรงเกียรติเพื่อหมู่บ้านไม้ดำ
เหยียนเหล่ย  : ข้าขอบคุณแทนมี่จื่อในเรื่องที่จะช่วยทำศพให้หยางเค่อ มี่จื่อใช้พลังงานไปเยอะตอนต่อสู้กับมังกรและชงอวี้ จึงหมดเรี่ยวแรงเดินและไม่มีแรงพูดคุยกับใคร ต้องขออภัยด้วย
          ซิ่นปิง  : ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋องนี่กระบี่มังกรสายลม กับตำรา แล้วจะเอายังไงกันดี พลังหมื่นบุปผากลับเข้าไปอยู่ในต้นท้อแล้ว ถ้าแม่เฒ่าทวงพลังหมื่นบุปผาจะบอกนางว่ายังไงดีล่ะ
        อ๋องหก  : ก็บอกแม่เฒ่าไปตามตรงว่าพลังหมื่นบุปผาอยู่ในต้นท้อ เรามิอาจเรียกพลังนั้นออกมาได้อีก แม่เฒ่าเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพลังหมื่นบุปผาจะเป็นผู้เลือกผู้สืบทอดด้วยตัวเอง แต่พลังหมื่นบุปผากลับคืนสู่ต้นท้อไม่ได้อยู่กับมี่จื่ออีกแล้ว นั่นแสดงว่าพลังหมื่นบุปผาอาจจะยังไม่พอใจใครนอกจากมี่จื่อ แต่พลังหมื่นบุปผาคงต้องการอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้อย่างสงบ จึงปล่อยมี่จื่อให้กลับออกไปจากหุบเขาจันทร์ดับ
      องครักษ์  : ท่านอ๋องเราควรรีบกลับออกไปจากหุบเขานี้ เพราะเวลาใกล้เช้าแล้ว
        อ๋องหก  : อื้ม! แต่ข้าขอฝังกระบี่กับตำรามังกรสายลมไว้ที่ใต้ต้นท้อก่อน
        หลี่จวิน  : อ้าว?! ท่านอ๋องไม่นำกลับไปด้วยรึ อุตส่าห์ดั้นด้นเสี่ยงชีวิตมาถึงที่นี่
        อ๋องหก  : ข้าเห็นฮูหยินฟางเหนียน ที่รอคอยได้พบเจอกับท่านอาจารย์เฟิงหย่ามานานแสนนาน จนในที่สุดเขาทั้งสองก็ได้พบกัน ข้าเห็นความรักของเขาทั้งสองที่มีต่อกัน ข้าก็มิอาจทำใจดำแยกพวกเขาได้อีกครั้งหรอก หากนำกระบี่และตำรามังกรสายลมกลับไป ก็จะเกิดการเข่นฆ่าเพื่อแย่งกระบี่กับตำรากันอีก อีกอย่างสำนักเฟิงเจี๋ยก็ปิดสำนักไปนานแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดให้ข้าต้องไปรื้อฟื้นขึ้นมาอีก แม้ข้าจะชื่นชมเคล็ดวิชาของสำนักเฟิงเจี๋ย แต่ผู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับข้ามาตลอดก็คือศิษย์จากสำนักเฟยอวี่ และข้าก็มีสหายเป็นศิษย์สำนักเฟยอวี่ตั้งสามคน
        หลี่จวิน  : หากท่านอ๋องคิดเช่นนี้ กระหม่อมก็ไม่ขัด ว่าแต่...เสือดำนิลภูเขาตายแล้ว ต่อไปใครจะคอยปกป้องหุบเขานี้ล่ะ
          ซิ่นปิง  : เสือดำตัวนี้ตายไป หุบเขาจันทร์ดับก็จะสร้างเสือดำนิลภูเขาจากความมืดตัวใหม่ขึ้นมาแทนเพื่อปกป้องหุบเขา เสือดำนิลภูเขาจึงถูกกล่าวขานว่าฆ่าไม่ตาย
        หลี่จวิน  : อืม...เข้าใจแล้ว เป็นเช่นนี้นี่เอง

          เหยียนเหล่ยอุ้มฉันกลับมาที่ต้นท้อเพื่อรอท่านอ๋องและคนอื่นๆที่กำลังช่วยกันขุดหลุมฝังกระบี่กับตำรามังกรสายลมของท่านอาจารย์เฟิงหย่าให้อยู่เคียงคู่กับพลังหมื่นบุปผาของฟางเหนียน หรือฮูหยินเฟิง ให้ทั้งสองอยู่เคียงคู่กันอย่างสงบสุขในหุบเขาจันทร์ดับ จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันทำแคร่ไม้ไผ่เพื่อใช้วางศพหยางเค่อแล้วช่วยกันแบกกลับออกจากหุบเขาจันทร์ดับ ส่วนเหยียนเหล่ยก็แบกฉันขึ้นขี่หลังเพราะฉันไม่มีเรี่ยวแรงเดิน และยังคงซบหน้าร้องไห้กับหลังของเขา

เหยียนเหล่ย  : เจ้าจะร้องไห้จนหลังข้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เจ้าร้องไห้จนตาบวมทั้งสองข้าง ข้าก็เป็นกังวลกลัวว่าเจ้าจะล้มป่วย
            มี่จื่อ  : อื้ม! ข้าจะพยายามทำใจให้ได้ (ฉันพูดกับเหยียนเหล่ยเบาๆแล้วกระชับแขนกอดเขาให้แน่นขึ้น)

          เราออกมาจากหุบเขาจันทร์ดับได้ทันเวลาก่อนที่ฟ้าจะสว่าง ที่เชิงเขาเราพบแม่เฒ่า ลุงสุ่ย ลี่ถัง หลวนเฉิน และคนอื่นๆมายืนรวมกลุ่มกันอยู่ที่เชิงเขา ทุกคนพากันดีใจและหมดห่วงที่เห็นเราปลอดภัยกลับมา แต่ก็สลดใจในเวลาเดียวกันที่เห็นศพหยางเค่อถูกหามมาบนแคร่ไม้ไผ่ ชิงอิ๋งโผวิ่งเข้ากอดแม่เฒ่าแล้วรีบเอ่ยขอโทษแม่เฒ่าและขอโทษต่อทุกคนที่นางแอบไปหุบเขาจันทร์ดับ ทำให้ทุกคนเป็นห่วง แต่ทุกคนก็ให้อภัยไม่มีใครเอาผิดหรือเอาความชิงอิ๋ง

        อ๋องหก  : ทุกคนมาทำอะไรกันที่นี่
            ลี่ถัง  : เราเห็นมี่จื่อออกมาตามชิงอิ๋ง และหายไปนานก็ยังไม่กลับมาที่หมู่บ้าน เราจึงออกมาตามเพราะคิดว่าคงต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ และหากพวกท่านยังไม่กลับกันออกมา ข้าก็จะเข้าไปตามหาพวกท่านในหุบเขาจันทร์ดับ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมี่จื่อและหยางเค่อ
        อ๋องหก  : ชงอวี้ตามเราเข้าไปในหุบเขา ชงอวี้ฆ่าหยางเค่อเพราะหยางเค่อพยายามช่วยเราแย่งตำรามังกรสายลมจากชงอวี้ ส่วนมี่จื่อนั้นเสียใจมากและยังทำใจไม่ได้กับการตายของหยางเค่อ
            ลี่ถัง  : มี่จื่อผูกพันธ์กับหยางเค่อมาก นางถึงได้เสียใจมากขนาดนี้ น่าเห็นใจนัก ว่าแต่...ท่านอ๋องได้ตำรามังกรสายลมกลับออกมาด้วยใช่มั้ย?
        อ๋องหก  : เอ่อ...เรื่องนี้ไว้ข้าจะพูดคุยพร้อมกันทีเดียวเมื่อกลับถึงหมู่บ้าน
          ลุงสุ่ย  : ในเมื่อกลับออกมากันได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว เรากลับเข้าหมู่บ้านกันก่อนส่วนเรื่องอื่นค่อยพูดคุยกันเมื่อถึงหมู่บ้าน อีกอย่างมี่จื่อคงต้องการการพักผ่อนเป็นอย่างมาก อยู่ในหุบเขาคงลำบากกันน่าดู

          ทุกคนกลับเข้าหมู่บ้านไม้ดำด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ เพราะเรารู้สึกถึงความสูญเสียมากกว่ามีชัยชนะ

愛情的宣言 - 李丹彤李惠超未來也許很遠但你可以靠我的
บอกรัก - Li Dantong Li Huichao
อนาคตอาจอยู่ไกล
แต่คุณสามารถพึ่งพาฉันได้
Youtube by : 9420 Music Bar

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

⬅ (ย้อนกลับ) มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 42 - 62

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤




No comments:

Post a Comment