Photobucket Wellcome

นิยาย : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 42 - 62

นิยายเรื่อง  : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 42 - 62
นิยายโดย  : An Qi
นิยายแนว  : มโน, เพ้อเจ้อ, ต่างโลก, ย้อนยุค, ผจญภัย, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ  : ริสา เกิดอาการเครียดเพราะตกงาน จึงคิดจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อไปถึงริมแม่น้ำจะฆ่าตัวตายกลับเกิดความกลัวจึงคิดเปลี่ยนใจ แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำคิ้วกระแทกก้อนหินจนสลบแล้วไปฟื้นอีกโลกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ชื่อมี่จื่อ ถูกผู้ที่ช่วยเหลือจากแม่น้ำหลอกพาไปขายในหอนางโลม และได้รับการช่วยเหลือออกมาจนได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิง เพื่อช่วยเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไป

คำเตือน นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดชวนวิจารณญาณมานั่งอ่านด้วยกัน
มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 42 - 62

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 42
(ซอเสียงนรก)

          เมื่อลูกศิษย์รวมถึงศิษย์พี่คนอื่นๆที่มาร่วมชมการสอบ และอาจารย์ทุกคนมาพร้อมกันแล้วที่ลานฝึกกระบี่ อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่เรียกเราออกไปสอบทีละคนด้วยการบังคับกระบี่ด้วยพลังแฝงให้พุ่งไปเสียบทะลุผ่านผลไม้ที่แขวนอยู่และกระบี่ต้องพุ่งไปปักที่จุดกึ่งกลางเป้าด้านหลังที่เตรียมไว้ หลายคนสามารถสอบผ่านทั้งสองอย่าง แต่บางคนก็สามารถสอบผ่านได้อย่างเดียวเช่น ปักกระบี่เข้าเป้าแต่ไม่เสียบผลไม้ หรือบางคนเสียบผลไม้ได้ แต่ปักกระบี่บนเป้าไม่ผ่าน และฉิงซวงก็ทำได้แค่ปักกระบี่บนเป้าได้แค่นั้น เราจึงช่วยกันปลอบใจฉิงซวง และบอกว่าดีกว่าปักไม่ถูกอะไรเลย อีกทั้งไม่ได้มีฉิงซวงที่ทำพลาดคนเดียวสักหน่อย ฉันพูดกับฉิงซวงแบบติดตลกว่าให้รอดูตอนสอบวิชาดนตรีจะมีฉันที่ช่วยให้ทุกคนดูดีขึ้นมาดุจฟ้ากับเหว แล้วฉันก็หัวเราะ จึงทำให้ฉิงซวงมีสีหน้าคลายกังวลลง

          จนถึงฉันที่สอบเป็นคนสุดท้าย ฉันหันไปมองเหยียนเหล่ยและอาจารย์เจ้าสำนักแวบหนึ่ง พวกเขากำลังมองดูฉันด้วยความสนใจ จากนั้นฉันรวบรวมสมาธิและเพ่งใส่พลังแฝงเข้าไปในกระบี่แล้วปล่อยกระบี่ออกไปด้วยความเร็ว พลังแฝงทำให้กระบี่พุ่งหมุนออกไปไม่เหมือนคนอื่นที่กระบี่พุ่งออกไปตรงๆ แต่กระบี่ของฉันพุ่งออกไปด้วยความเร็วและหมุนควงดุจสว่านพุ่งเข้าเสียบทะลุผลสาลี่ที่ห้อยอยู่และหมุนควงพุ่งปักเข้ากลางเป้าทันที มีเสียงฮือฮาจากศิษย์คนอื่นๆที่เข้าชม ฉันจึงหันไปดูปฏิกิริยาของพวกอาจารย์ที่นั่งชมอยู่ว่าจะมีการทักท้วงอะไรหรือไม่กับพลังแฝงของฉัน แต่ก็ไม่มีการทักท้วงใดๆจึงทำให้ฉันโล่งใจว่าพลังแฝงของฉันยังคงปลอดภัยต่อคนอื่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ประกาศว่าฉันสอบผ่าน ทำให้ดีใจและโล่งใจยิ่งนัก ฉันหันไปมองเหยียนเหล่ย อาจารย์เจ้าสำนัก และจินไห่ เห็นเขาทั้งสามยิ้มให้เล็กน้อยแต่แฝงด้วยความพอใจ ฉันจึงโค้งคำนับอาจารย์ทั้งสามและอาจารย์คนอื่นๆที่ให้ความเมตตาและให้โอกาสฉันเข้าสอบ

          เราแสดงความยินดีและปลอบใจกันระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียนหลังการสอบวิชากระบี่เสร็จสิ้น จากนั้นก็เป็นการสอบวิชาอักขระโบราณของศิษย์พี่กันฮวา โดยให้ทุกคนอ่านอักขระโบราณบนกระดาษที่นางเขียนและบอกด้วยว่าเป็นอักขระโบราณของชนเผ่าใด และแต่ละคำจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งบางคนอ่านได้และบางคนอ่านไม่ได้ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งเดือน เมื่อถึงจิ่นเกอต้องอ่านอักขระ เขามีอาการตะกุกตะกัก เอ่อ อ่า แล้วทำท่าครุ่นคิดเพราะอ่านไม่ออก เขาหันมามองหน้าเพื่อนๆแล้วมองหน้าฉัน ฉันจึงแอบขยับปากบอกใบ้เขาว่า "แม่น้ำสีแดง" "ทะเลเหนือ" จิ่นเกอจึงรีบอ่านอักขระตามที่ฉันบอกทันทีว่า เป็นอักขระชนเผ่าทะเลเหนือ อ่านว่าแม่น้ำสีแดง และเป็นช่วงเดียวกันกับที่ศิษย์พี่กันฮวาหันมามองฉันพอดี ฉันจึงรีบพูดเรื่องอื่นกับเฝิ่นลู่เป็นการกลบเกลื่อนไม่ให้ถูกจับได้

             มี่จื่อ  : เฝิ่นลู่! ดาวเหนือ ดาวใต้ดูยังไง อยู่ทางไหน? (ฉันชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าแกล้งถามเฝิ่นลู่)
           เฝิ่นลู่  : เจ้าจะบ้าเหรอ ใครเค้าดูดาวกันตอนกลางวัน!
    หลวนเฉิน  : ต้องมองไปทางนั้นจึงจะเห็นดวงดาว
           เฝิ่นลู่  : หลวนเฉิน เจ้าก็อีกคนเล่นอะไรกันเนี่ย เรากำลังสอบกันอยู่นะ!
            มี่จื่อ  : หุหุ
    หลวนเฉิน  : ขอบใจที่ช่วยจิ่นเกอ หุหุ (หลวนเฉินหัวเราะและกระซิบบอกฉัน)
         กันฮวา  : คนต่อไปเจ้า มี่จื่อ อ่านนี่ซิอ่านว่าอะไร? (กันฮวาให้ฉันอ่านข้อความที่ยาวกว่าคนอื่น จนมองออกว่าตั้งใจกลั่นแกล้งฉัน)
            มี่จื่อ  : ข้าจำได้ว่าเคยมีคนๆหนึ่งท่องกลอนบทนี้ให้ข้าฟัง เป็นกลอนบทหนึ่งชื่อ พรานชมไพร ของชนเผ่าหมีใต้ อ่านว่า....

          "กิเลนทองท่องเดินดง
          หงส์ขาวร่อนบินวนบนนภา
          มังกรเขียวหลบเร้นซ่อนกายา
          เหล่าพยัคฆาคำรามร้องก้องพงไพร"

         กันฮวา  : คนๆนั้นเป็นใคร คนที่เคยท่องบทกลอนนี้ให้เจ้าฟัง?
             มี่จื่อ  : เขาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตข้า ....แล้วข้าสอบผ่านหรือไม่?
         กันฮวา  : เดี๋ยว! ถ้าเจ้าปลดมนต์สกัดกั้นนี้ได้ข้าจะเพิ่มคะแนนพิเศษให้เจ้า

          ศิษย์พี่กันฮวาใช้มนต์สกัดกั้นแบบเดียวกันที่เคยพยายามขัดขวางไม่ให้ฉันกับเพื่อนๆหนีเมื่อครั้งที่เราแอบเข้าไปในเขตเรือนที่พักอาจารย์เพื่อแอบดูเหยียนเหล่ยเล่นกู่เจิง และฉันก็รู้ว่ากันฮวาพยายามจะทดสอบว่าใช่ฉันที่เป็นคนปลดมนต์ของนางในคืนนั้นหรือไม่ ซึ่งฉันเองก็ตอบตกลงรับการทดสอบนั้น เพราะฉันก็ต้องการคะแนนพิเศษมาช่วยดึงคะแนนวิชาดนตรีที่กำลังจะสอบตกในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้านี้ กันฮวาสร้างกำแพงสกัดกั้นให้ฉันปลดมนต์ ฉันมองแวบเดียวก็เห็นแล้วอักขระปลดมนต์ที่ซ่อนอยู่ จึงใช้นิ้วจิ้มที่อักขระตัวนั้นจนกำแพงมนต์หายไปในทันที
               
        กันฮวา  : เจ้าก็คือคนในคืนนั้น! (กันฮวากัดฟันพูดเบาๆเพื่อให้ดูเป็นปกติ แต่แววตาเอาเรื่อง)
            มี่จื่อ  : ใช่! ข้าเอง คืนนั้นข้าแอบเข้าไปฟังกู่เจิง แล้วก็เจอกับศิษย์พี่กันฮวาที่แอบเข้าไปที่นั่นเหมือนกัน เราจึงมีความผิดด้วยกันทั้งคู่ หากศิษย์พี่จะเอาผิดข้า ข้าก็จะไม่ยอมรับโทษคนเดียวหรอก อ้อ! อย่าลืมให้คะแนนพิเศษข้าด้วยล่ะ (ฉันพูดเบาๆและยกมือขึ้นเคารพกันฮวาอย่างไม่เต็มใจนักแล้วเดินกลับมานั่งที่)

          ศิษย์พี่กันฮวาออกอาการโมโหหงุดหงิดที่ถูกฉันขู่กลับเรื่องที่นางแอบเข้าไปฟังเหยียนเหล่ยเล่นกู่เจิงเหมือนกัน นางจำใจต้องประกาศว่าฉันสอบผ่าน และจบเสร็จสิ้นการสอบครบทุกคน ฉันหันไปมองเหยียนเหล่ยอีกครั้งเห็นเขากำลังยิ้ม เพราะเขาคือคนที่เคยอ่านบทกลอนพรานชมไพรให้ฉันฟังนั่นเอง และแล้วก็ถึงชั่วโมงสำคัญการสอบวิชาดนตรี ฉันรับซอเอ้อร์หูมานั่งกอดคอตกแบบคนสิ้นหวังกับชีวิต แต่เพื่อนๆก็ช่วยพูดให้กำลังใจว่ายังดีที่ฉันสอบได้คะแนนดีในวิชาอื่นๆ การสอบสีซอของเพื่อนคนอื่นๆผ่านไปได้ด้วยดี จนมาถึงฉันคนสุดท้ายนั่งสีซอเสียงเพี้ยนมาก จนจินไห่ถึงกับหลุดขำออกมา เมื่อเล่นเพลงเสร็จฉันกำลังจะลุกขึ้นกลับที่นั่งตัวเอง ก็ได้ยินเสียงของอาจารย์เจ้าสำนักพูดขึ้นว่า

    เฟยเทียน  : เดี๋ยวก่อน! ทำไมข้าสัมผัสไม่ได้ถึงพลังแฝงในเสียงซอที่เจ้าเล่น?
            มี่จื่อ  : เรียนอาจารย์เจ้าสำนัก ข้าไม่ได้ใส่พลังแฝงขณะสีซอเอ้อร์หู ข้ากลัวว่าเสียงซอของข้าจะทำให้เพื่อนๆบาดเจ็บ
    เฟยเทียน  : เล่นใหม่ และใส่พลังแฝงของเจ้าเข้าไปด้วยข้าจะฟัง
          จินไห่  : อาจารย์เจ้าสำนักข้าเกรงว่าศิษย์คนอื่นๆจะทนฟังเสียงซอของมี่จื่อไม่ได้
    เฟยเทียน  : เจ้าก็อุดหูให้พวกเขาสิ

          จินไห่บอกให้ฉันสีซอให้เต็มที่ไม่ต้องห่วงศิษย์คนอื่นๆ เขาจะสร้างมนต์ปิดกั้นการได้ยินให้ทุกคนเอง ฉันจึงเริ่มสีซอเสียงนรกตามสไตล์ฉัน เพราะยังไงฉันก็ต้องสอบตกอยู่แล้ว ฉันจึงเริ่มสีซออีกครั้งพร้อมทั้งใส่พลังแฝงเข้าไปด้วยอย่างเต็มที่ เสียงซอเพี้ยนเสียดแทงรูหูจนทุกคนต้องเอามือปิด บางคนถึงกับแน่นหน้าอกเหมือนจะขาดใจ จินไห่จึงสร้างมนต์ปิดกั้นเพื่อให้ศิษย์ใหม่ได้ยินเสียงซอที่แผ่วเบาลง จนพวกเขาเริ่มมีอาการดีขึ้น ส่วนเหล่าศิษย์พี่ระดับสูงต่างเอามืออุดหูกันแน่น จนฉันเริ่มเคลิ้มกับเสียงซอเพี้ยนๆของตัวเองและเริ่มใส่ความรู้สึกท้อแท้หดหู่สิ้นหวังของตัวเองเข้าไปในเสียงซอ ฉันเริ่มจะไม่ได้ยินเสียงของคนอื่นที่เริ่มร้องว่าเจ็บปวดหู จนเหล่าอาจารย์เริ่มยกมือขึ้นมาปิดหู อาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนักบอกให้ฉันหยุดเล่นแต่ฉันไม่ได้ยิน อาจารย์เฟยเทียนจึงหยิบเศษไม้ใกล้ๆปาใส่ฉันเพื่อตัดสายซอเอ้อร์หูที่ฉันกำลังเล่นขาดในทันที ทำให้ฉันต้องหยุดสีซอในทันทีเช่นกัน

    เฟยเทียน  : ข้าบอกให้เจ้าหยุดเล่นไม่ได้ยินรึ?
            มี่จื่อ  : อาจารย์เจ้าสำนัก ข้าขอโทษ คือข้าไม่ได้ยินเสียงที่ท่านบอกให้หยุดจริงๆ ข้าได้ยินแต่เสียงซอที่ตัวเองเล่น
    เฟยเทียน  : เอาล่ะ! จินไห่เจ้าจะว่ายังไงกับการสอบครั้งนี้
          จินไห่  : มี่จื่อสอบไม่ผ่านในด้านเสียงซอที่ขาดความไพเราะและความสุนทรีย์มิได้มีความรื่นหูเลยสักนิด แต่ข้าให้ผ่านในด้านใช้จุดด้อยมากๆของตัวเองเปลี่ยนให้เป็นจุดเด่นจนสามารถสร้างแรงกดดันในด้านลบออกมาได้เป็นอย่างดี คำว่าซอเสียงนรกจึงเหมาะสมที่สุดกับนาง มี่จื่อสอบผ่าน และการสอบวิชาดนตรีก็เสร็จสิ้นแล้ว
    เฟยเทียน  : วันนี้ศิษย์ใหม่ทุกคนมีความตั้งใจกันดีมาก และอยากให้ทุกคนหมั่นฝึกฝนอย่าท้อแท้ว่าไม่เก่ง ไม่ฉลาด หรือทำไม่ได้ ขอให้มีความตั้งใจและรู้จักพลิกแพลงจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น ส่วนที่เป็นจุดเด่นอยู่แล้วก็พัฒนาให้เด่นและดีขึ้นไปอีก ส่วนมี่จื่อเจ้ารู้ตัวเองว่าเล่นดนตรีไม่เป็น จนถึงขั้นแย่ที่สุดในศิษย์รุ่นเจ้า แต่ก็สามารถเปลี่ยนความแย่ที่สุดให้กลายเป็นพลังที่โหดเหี้ยมที่สุดได้ เจ้าทำได้ดีมากเกินคาดกับซอเสียงนรกของเจ้า ถ้าจะให้ดีกว่านี้เจ้าอย่าสีซอในสำนักอีกจะดีกว่า เอาล่ะ! พวกเจ้าไปพักผ่อนกันได้แล้ววันนี้ทำได้ดีกันทุกคน

       เรากลับเรือนที่พักพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เราพูดคุยถึงเหตุการณ์ขำๆในช่วงระหว่างสอบ

         จิ่นเกอ  : ขอบใจเจ้ามากมี่จื่อ ที่ช่วยข้าตอนสอบ ถ้าไม่ได้เจ้าข้าแย่แน่ๆ
           เฝิ่นลู่  : เอ๊! ช่วยอะไรกันตอนไหน?
    หลวนเฉิน  : ตอนที่มี่จื่อมองหาดาวเหนือ ดาวใต้ไง
           เฝิ่นลู่  : ฮ่าฮ่า ข้านี่โง่ชะมัด ตามไม่ทันเจ้าสองคนเลย
         ฉิงซวง  : แต่ไม่น่าเชื่อเสียงซอนรกของมี่จื่อจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ โชคดีจริงๆ
            มี่จื่อ  : ข้าไม่อยากจะคุยหรอกนะ เล่นดนตรีให้ไพเราะมันเล่นง่ายๆใครๆก็ทำได้ แต่เล่นดนตรีเสียงเพี้ยนยังไงให้คนฟังแทบขาดใจตาย มันเล่นยากมีแต่ยอดฝีมือเท่านั้นที่จะทำได้ ฮ่าฮ่า
        ฉิงซวง  : นั่นสิ! ข้าคงเป็นยอดฝีมืออย่างเจ้าไม่ได้ เพราะข้ารู้สึกอายเกินไปที่ต้องเล่นดนตรีเสียงเพี้ยนแบบนั้น ข้าขอยอมแพ้ ฮ่าฮ่า
    หลวนเฉิน  : แต่เจ้าเก่งมากเลยนะ รู้ภาษาชนเผ่าหมีใต้ด้วย แต่ภาษาชนเผ่าหมีใต้ยังไม่มีสอนในระดับเรานี่นา ทำไมศิษย์พี่กันฮวาถึงเอามาใช้ทดสอบมี่จื่อ
          เฝิ่นลู่  : แสดงว่าศิษย์พี่กันฮวา ตั้งใจทำให้มี่จื่อสอบไม่ผ่าน แต่ศิษย์พี่ไม่รู้ว่ามี่จื่อรู้ภาษาชนเผ่าหมีใต้ มี่จื่อยังรู้อีกว่าบทกลอนนั้นชื่อ พรานชมไพร ทำเอาศิษย์พี่กันฮวาเสียหน้าไปเลย
        จิ่นเกอ  : ทำไมเจ้าถึงรู้ภาษาชนเผ่าหมีใต้
            มี่จื่อ  : คงเป็นเพราะข้าอ่านหนังสือเยอะน่ะ ข้าชอบอ่านหนังสือ
      เพ่ยซาน  : แค่อาจารย์เจ้าสำนักเอ่ยชมนิดหน่อยก็ดีใจจนตัวลอย ตำแหน่งสีซอยอดแย่ช่างเหมาะสมกับเจ้านักมี่จื่อ ฮ่าฮ่า เราไปหาอะไรกินกันเถอะ จื่อเถิง เอ่อ...หลวนเฉินไปด้วยกันกับเราสิ
    หลวนเฉิน  : ไม่ล่ะ เดี๋ยวพวกข้าจะไปกินกันทีหลัง
           เฝิ่นลู่  : ฮึ่ม! ถ้าข้าสีซอเสียงนรกได้ล่ะก็ ข้าจะสีซอให้เพ่ยซานขาดใจตายไปเลย คนอะไรปากร้ายนัก! เจ้าก็ปล่อยให้นางพูดจากระแนะกระแหนอยู่ได้
             มี่จื่อ  : ข้าเถียงกับใครไม่เก่ง ช่างปากนางเถอะ! ข้าไม่ได้สนใจคำพูดของนางนักหรอก เก็บเอาไปคิดก็หงุดหงิดใจตัวเองเปล่าๆ เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ข้าเริ่มหิวแล้ว

周杰倫 Jay Chou
(特別演出: 派偉俊)告白氣球
Love Confession
Youtube by : Jay Chou

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 43
(โกงการสอบ)
       
          วันรุ่งขึ้นฉันเริ่มเรียนวิชาดูดวงดาวเป็นครั้งแรกกับอาจารย์ศิษย์พี่สาม ดูภายนอกเขาเป็นผู้ชายใจดี อ่อนโยน พูดจาไพเราะ ยิ้มหวาน ไม่พูดมาก แต่อีกมุมหนึ่งที่ฉันเคยพบเขาตอนเย็นวันนั้นตอนที่กำลังแย่งตำรากับศิษย์พี่กันฮวา เขาดูเป็นผู้ชายเด็ดขาด ตรงไปตรงมา พูดจาไม่ไว้หน้าหากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะดูจากคำพูดที่เขาพูดกับกันฮวาวันนั้นเป็นคำพูดเรียบง่ายแต่ฟังแล้วเจ็บ เขาเดินเข้ามาในห้องเรียนเอ่ยทักทายลูกศิษย์ และหันหน้ามาพูดกับฉันว่า

  ศิษย์พี่สาม  : เมื่อวานข้าได้เห็นเจ้าสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการสอบวิชาดนตรี ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ในวิชาดูดวงดาวของข้า คืนนี้ข้าจะสอบในหัวข้อ "เด็กน้อยหลงทาง" ให้พวกเจ้าแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม เพราะคืนนี้ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไปในป่าแล้วให้พวกเจ้าหาวิธีกลับสำนักให้ได้ กลุ่มไหนกลับถึงสำนักได้ก่อนและทันเวลาที่กำหนดจะได้รับคะแนนเต็ม ส่วนกลุ่มที่กลับถึงสำนักที่หลังจะได้คะแนนเพียงครึ่งเดียว เอาล่ะ! แบ่งกลุ่มได้ เมื่อแบ่งกลุ่มเสร็จแล้วก็มาทบทวนบทเรียนกันต่อเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคืนนี้
           เฝิ่นลู่  : ข้ากับมี่จื่อ และฉิงซวง ต้องอยู่กลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว!
         จิ่นเกอ  : อ้าว?! แล้วเอาข้ากับหลวนเฉินไปไว้ที่ไหน ขาดข้าสองคนได้ไง
            มี่จื่อ  : มาๆ อยู่กลุ่มเดียวกัน
        ช่างอิ่น  : ให้เราสองคนเข้ากลุ่มด้วยสิ!
         เลี่ยงซู  : พอดีกลุ่มของเจียวจ้านคนเยอะแล้ว
         ฉิงซวง  : ทำไมมีแต่คนอยากเข้ากลุ่มนั้น
         เลี่ยงซู  : คงเพราะมีเจียวจ้านกับเพ่ยซานอยู่ในกลุ่ม เขาทั้งสองคนเป็นคนเก่งและดูน่าเชื่อถือ คนอื่นๆเลยอยากเข้ากลุ่มด้วย ขอโทษที่ข้าพูดตรงเกินไปหน่อย แต่ในสายตาข้าพวกเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาหรอก
        ช่างอิ่น  : แต่ข้าว่าเป็นเพราะครอบครัวของพวกเขามีอิทธิพลใหญ่โตในเมืองมากกว่า คนอื่นๆที่ไม่อยากให้มีผลกระทบไม่ดีเกิดขึ้นกับครอบครัวจึงต้องพยายามเข้าหาเพ่ยซานกับเจียวจ้าน แต่ก็มีบางคนอยากมาเข้ากลุ่มกับพวกเจ้า แต่เขาไม่กล้าแยกตัวออกมา แต่ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ข้าอยากแยกออกมาข้าก็มา
    หลวนเฉิน  : เจ้าสองคนมาเข้ากลุ่มกับเราก็ได้พวกเรายินดี

          หลังเลิกเรียนช่วงบ่ายยังพอมีเวลาว่างก่อนสอบวิชาดูดาวตอนกลางคืน เฝิ่นลู่กับฉิงซวงยุให้ฉันไปพบอาจารย์ศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ยเพื่อให้แอบไปสอบถามว่าอาจารย์ศิษย์พี่สามจะออกสอบเกี่ยวกับอะไรเพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวรับมือได้ถูก ฉันบอกว่าทำแบบนั้นเหมือนการไปแอบดูข้อสอบแม้จะไปสอบถามอ้อมๆกับเหยียนเหล่ยก็เถอะ แต่ทุกคนในกลุ่มเห็นด้วยว่าควรไปถามแม้ได้คำตอบมาเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ยกเว้นหลวนเฉินที่เห็นด้วยกันกับฉันว่าทำแบบนั้นเหมือนการทุจริต แต่จิ่นเกอแนะนำว่าให้ฉันนำตำราไปคืนเหยียนเหล่ย และขอคำแนะนำกลับมาเท่านั้นคงไม่ผิดอะไร ฉันจึงยินยอมทำตามเพราะฉันอยากพบเหยียนเหล่ยด้วยความคิดถึงส่วนตัวเหมือนกัน

          ฉันจึงนำตำราเล่มที่อ่านจบแล้วถือไปคืนเหยียนเหล่ยที่เรือนพักอาจารย์ ระหว่างทางเห็นดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆน่ารักจึงเด็ดมาสองดอกแล้วเหน็บใส่ในตำราเดินฮัมเพลงเบาๆมุ่งหน้าไปเรือนพักอาจารย์ แต่เดินมาถึงได้แค่ทางเข้าเขตเรือนที่พักเท่านั้นก็พบอาจารย์ศิษย์พี่สามยืนอยู่และมองมาที่ฉัน ฉันจึงทำความเคารพและเอ่ยทักทายเขา

            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สาม...
  ศิษย์พี่สาม  : เจ้าจะไปไหน
            มี่จื่อ  : ข้านำตำราไปคืนอาจารย์ศิษย์พี่สี่...
  ศิษย์พี่สาม  : ฝากข้าไปคืนก็ได้ เพราะข้าต้องเดินผ่านเรือนของเขาพอดี ส่งตำรานั่นมาสิ! อย่าห่วงข้าส่งตำราถึงมือเขาแน่ นี่ก็ใกล้เย็นแล้วเจ้าเตรียมตัวสอบคืนนี้พร้อมแล้วรึ? (เขามองฉันด้วยสายตาที่เหมือนจะรู้ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่)
            มี่จื่อ  : งั้นขอรบกวนด้วย (ฉันส่งตำราที่เหน็บดอกไม้ไว้สองดอกให้อาจารย์ศิษย์พี่สาม)
   ศิษย์พี่สาม  : ข้ารู้เจ้ามาที่นี่ทำไม...เจ้ามีอะไรอยากจะถามก็ถามข้ามาตรงๆดีกว่า ข้าจะตอบในส่วนที่ข้าตอบได้
             มี่จื่อ  : ข้าอยากสอบผ่านคืนนี้ ต้องทำยังไงจึงจะผ่าน ขอคำแนะนำจากอาจารย์ศิษย์พี่สามด้วย
   ศิษย์พี่สาม  : เจ้าออกจะเป็นคนเก่งและดูฉลาดกว่าคนในรุ่นเดียวกัน คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก แค่มองดูดวงดาวบนฟ้าและเดินตามดวงดาวไปก็กลับถึงสำนักได้แล้ว
            มี่จื่อ  : แต่ข้าไม่รู้วิธีดูดวงดาว และก็ดูแผนที่ไม่เป็น ท่านอย่าพูดประชดประชันว่าข้าเก่งเลย
  ศิษย์พี่สาม  : เจ้าก็เดินตามเพื่อนไปสิ ให้คนที่ดูดวงดาวกับแผนที่เป็นคนเดินนำทาง มันยากตรงไหนกัน เจ้าแค่ทำตามสัญชาติญาณตัวเองและทำสิ่งที่ควรจะทำก็พอ
            มี่จื่อ  : จริงด้วย! ขอบคุณอาจารย์ศิษย์พี่สาม ข้าขอตัวกลับล่ะ
  ศิษย์พี่สาม  : ข้าอยากเห็นเจ้าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการสอบวิชาของข้า หุหุ (เขาพึมพำเบาๆแล้วเดินกลับเข้าไปในเขตเรือนที่พัก)

          ฉันหันหลังเดินกลับเรือนที่พัก เดินไปพลางคิดไปพลางตามที่อาจารย์ศิษย์พี่สามแนะนำ

            มี่จื่อ  : ใช่! สัญชาตญาณข้าบอกว่าต้องเดินตามเพื่อน เพื่อนจะพาข้ากลับถึงสำนักเองแหละ อิอิ (ฉันแอบหัวเราะคนเดียวเบาๆ ทันใดนั้นกันฮวาก็โผล่ออกมาจากข้างทาง)
        กันฮวา  : หึ! เจ้ากำลังจะไปหาอาจารย์ศิษย์พี่สี่สินะ แต่ถูกอาจารย์ศิษย์พี่สามขวางทางไว้
            มี่จื่อ  : ข้าจะไปไหนมาไหนก็เป็นสิทธิ์ของข้า และข้าก็แค่จะเอาตำราไปคืนอาจารย์ศิษย์พี่สี่ แต่อาจารย์ศิษย์พี่สามเอาตำราไปคืนแทนให้แล้ว ว่าแต่ศิษย์พี่กันฮวามีธุระอะไรกับข้า?
        กันฮวา  : ข้าอยากรู้ว่าเจ้ากับอาจารย์ศิษย์พี่สี่มีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ บอกข้ามา!
            มี่จื่อ  : ก็เป็นความสัมพันธ์แบบศิษย์น้องกับศิษย์พี่เท่านั้น! ข้าไปล่ะเพื่อนข้ากำลังรออยู่
        กันฮวา  : เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าจะพูดความจริงกับข้า จู่ๆเจ้าก็เข้ามาในสำนัก แล้วจู่ๆศิษย์พี่สี่ก็กลับมา เจ้าดูสนิทสนมกับศิษย์พี่สี่เกินไป บอกข้ามาเร็วไม่งั้นเจ้าจะไม่ได้ไปสอบคืนนี้ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้!
เหยียนเหล่ย  : ข้าเป็นผู้ปกครองของมี่จี่อ มี่จื่อเป็นเด็กในจวนของข้า เราจึงมีความสนิทสนมกัน ข้าส่งมี่จื่อให้มาเรียนที่นี่เพราะเป็นความต้องการของอาจารย์เจ้าสำนัก ที่ต้องการรับนางเป็นศิษย์ หมดคำถามของเจ้ารึยังกันฮวา?
         กันฮวา  : ศิษย์พี่สี่...ข้าหมดคำถามแล้ว....
เหยียนเหล่ย  : อย่าให้ข้าต้องรายงานอาจารย์เฟยเทียนเจ้าสำนักถึงกิริยาที่ไม่เหมาะสมของเจ้าที่พยายามแย่งตำราของมี่จื่อเมื่อวาน ศิษย์พี่สามเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว รวมถึงตอนนี้ด้วยที่เจ้าข่มขู่มี่จื่อเด็กในการปกครองของข้า เจ้าไปได้แล้ว!
         กันฮวา  : ข้าขอโทษที่ทำกิริยาไม่เหมาะสม ข้าขอลา

          กันฺฮวาถูกเหยียนเหล่ยดุจนหน้าเสียทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำท่าทางฟึดฟัดโมโหกลับไป เหยียนเหล่ยถือตำราเล่มที่ฉันเสียบดอกไม้ที่นำมาคืนไว้ในมือ แล้วถามฉันว่า

เหยียนเหล่ย  : กันฮวาทำร้ายเจ้าหรือเปล่า?
            มี่จื่อ  : เปล่า แค่ข่มขู่เฉยๆ ท่านออกมาหาข้าเหรอ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ข้าอยากเห็นหน้าเจ้า แล้วก็...ขอบใจสำหรับดอกไม้
             มี่จื่อ  : ท่านบอกศิษย์พี่กันฮวาว่าเป็นผู้ปกครองข้า บอกไปแบบนั้นจะดีเหรอ
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่อยากให้กันฮวาตามตอแยเจ้าอีก หรือจะให้บอกนางไปตามตรงว่าข้าเป็นสามีของเจ้าล่ะ บอกว่าเป็นสามีก็ดีนะ หลวนเฉินจะได้เลิกเกาะแกะเจ้า สนิทสนมกันจนข้าเริ่มจะหึงแล้วนะ
             มี่จื่อ  : ข้ากับหลวนเฉินเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ข้าอยากมาหาท่านทุกวันแต่ก็ทำไม่ได้ กลัวจะถูกมองไม่ดีที่ศิษย์ใหม่กับอาจารย์ศิษย์พี่...เอ่อ...สนิทสนมกันมากเกินไป มีเรื่องแบบนี้ในสำนักจะถูกครหาเอา
เหยียนเหล่ย  : เฮ่อ! ข้าอยากกอดอยากหอมเจ้าจะแย่อยู่แล้ว ศิษย์พี่สามไม่น่ามาขัดขวางไว้เลย
            มี่จื่อ  : ศิษย์พี่สามรู้จริงๆใช่มั้ยว่าข้ามาทำอะไร......
เหยียนเหล่ย  : ใช่! เขารู้ว่าเจ้าจะต้องแอบมาถามข้าเรื่องแนวการสอบคืนนี้ เขาเลยมายืนรอเจ้าให้เจ้าถามเขาด้วยตัวเอง
            มี่จื่อ  : ข้าถามเขาไปแล้ว ถามไปตามตรงว่าข้าอยากสอบให้ผ่านคืนนี้ควรต้องทำยังไง เพราะข้าดูดวงดาวกับอ่านแผนที่ไม่เป็น....
เหยียนเหล่ย  : งั้นข้าจะบอกให้นิดนึงก็ได้ ขากลับจะมีมนต์พรางตาปิดทางออกไว้มองหาดูให้ดีๆแล้วเดินทะลุออกมาก็จะเจอทางออกที่ถูกต้อง
            มี่จื้อ  : มนต์พรางตานี้อยู่ตรงจุดไหนล่ะ บอกจุดสังเกตุด้วยสิ
เหยียนเหล่ย  : ข้าบอกมากกว่านี้ไม่ได้! เจ้ากลับเรือนไปได้แล้ว!
            มี่จื่อ  : บอกจุดสังเกตุหน่อยเถอะนะสามีที่รักของข้า แล้วพรุ่งนี้ข้าจะมากวาดเรือนให้จนกว่าท่านจะพอใจ (ฉันพูดเบาๆพร้อมส่งสายตา แล้วกระตุกปลายแขนเสื้อเขาส่งสัญญาณลับ)
เหยียนเหล่ย  : เจ้าอย่าทำแบบนี้กับข้า... อ่ะ! ก็ได้ๆ ตอนขากลับมนต์พรางตามันอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้นก่อนเข้าดงทุ่งหญ้า ห้ามบอกใครล่ะ! แล้วพรุ่งนี้มากวาดเรือนให้ข้าด้วย ข้าจะรอ!
            มี่จื่อ  : ข้ามาแน่นอน! ขอบคุณอาจารย์ศิษย์พี่สี่ที่แนะนำ รักนะจุ๊บๆ

          ฉันจึงเดินแยกออกมา ส่วนเหยียนเหล่ยเดินยิ้มถือหนังสือกลับเข้าเรือนที่พักเช่นกัน ฉันเดินมาเรื่อยๆตามทางเดินมืดแสงสลัวๆ ก็พบหลวนเฉินที่กำลังเดินมาทางฉัน พอเขาเห็นว่าเป็นฉันก็รีบเดินเข้ามาหา เขาบอกว่าเห็นฉันกลับมาช้าอีกทั้งฟ้าเริ่มมืด และทางเดินก็ไม่สว่างเท่าไรนัก จึงเดินออกมาดูเพราะเป็นห่วง

    หลวนเฉิน  : ทำไมกลับมาช้านักล่ะ ข้าเป็นห่วงเลยเดินออกมารับ อาจารย์ศิษย์พี่สี่คุยนานเหรอ
            มี่จื่อ  : เปล่า แต่ข้าพบอาจารย์ศิษย์พี่สามตรงทางเข้าเรือนที่พักอาจารย์น่ะสิ อาจารย์ศิษย์พี่สามรู้ว่าข้าจะไปแอบถามข้อสอบกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ เขาเลยมายืนรอให้ข้าถามเขาด้วยตัวเอง เขาบอกข้าว่าให้เพื่อนคนที่ดูดวงดาวกับแผนที่เป็นคนนำทางก็จะพบทางออก และบอกให้เราทำตามสัญชาตญาณตัวเองและทำในสิ่งที่ควรทำก็พอ
    หลวนเฉิน  : อาจารย์ศิษย์พี่สามพูดแค่นี้เองเหรอ
            มี่จื่อ  : ใช่! เขายังพูดอีกว่าอยากเห็นข้าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในวิชาสอบของเขา แต่ข้าคิดว่าการสอบก็ไม่น่าจะยากอะไรนี่นา แค่เดินตามแผนที่เดินตามดวงดาวอย่างที่อาจารย์ศิษย์พี่สามบอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทำไมพวกจิ่นเกอถึงได้ดูกังวลกันจัง
    หลวนเฉิน  : เพราะอาจารย์ศิษย์พี่สามเป็นคนแปลกอะไรที่เขาบอกว่าง่ายแต่เบื้องหลังมักจะยาก ส่วนอะไรที่ดูยุ่งยากเขากลับทำให้มันง่ายซะงั้น
            มี่จื่อ  : จริงรึนี่?! งั้นข้ามีรัยจะบอก เก็บไว้เป็นความลับนะเรารู้กันแค่สองคนก็พอ ขากลับจะมีมนต์พรางตาปิดกั้นทางออกระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ตรงทางเข้าดงทุ่งหญ้า เจ้าต้องช่วยข้าดูว่ามันอยู่ตรงไหน และต้องเดินทะลุไปจึงจะเจอทางออกที่ถูกต้อง
    หลวนเฉิน  : ตกลง เราไปเตรียมตัวกันเถอะอีกหนึ่งชั่วยามต้องไปพร้อมกันที่ป่าหลังสำนัก

 井朧 - 想死卻又不敢 就讓悲傷全都凝聚在這一瞬間高音質
Jing Oro - ฉันอยากตาย แต่ไม่กล้าปล่อยให้ความเศร้ากลั่นตัวในช่วงเวลานี้
Youtube by : SpiderMan0622
ดาวน์โหลด mp3
井朧 - 想死卻又不敢 就讓悲傷全都凝聚在這一瞬間高音質
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 44
(ฉิงซวงดวลขลุ่ย)

          เรานั่งคุยและแบ่งหน้าที่กันตามที่เราสามารถทำได้ โดยวางหน้าที่หลักดูดวงดาวเป็นหน้าที่ของจิ่นเกอ คนดูแผนที่คือเฝิ่นลู่กับเลี่ยงซู คนเดินนำหัวขบวนคือหลวนเฉิน ฉันกับฉิงซวงเดินตามในขบวน ส่วนคนเดินปิดท้ายขบวนคือช่างอิ่น เมื่อถึงเวลาเราจึงไปรวมตัวกันที่ป่าหลังสำนัก มีอาจารย์และเหล่าศิษย์พี่ระดับสูงมาร่วมชมการสอบด้วยเหมือนเดิม แต่ไม่พบอาจารย์ศิษย์พี่สาม คงเพราะเขาไปรออยู่ที่จุดนัดพบในป่าเรียบร้อยแล้ว

          เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ส่งสิ่งของบางอย่างให้เราและบอกว่าให้ใช้ตามความเหมาะสม คบไฟให้กลุ่มละ 2 อัน ขลุ่ยกลุ่มละ 1 เลา เชือกสีขาวถูกตัดเป็นเส้นยาวประมาณหนึ่งไม้บรรทัดกลุ่มละ 10 เส้น น้ำผึ้งกลุ่มละ 1 ขวดเล็กๆ แผนที่ 1 ฉบับ เรารับมาโดยฉันถือขวดน้ำผึ้ง ฉิงซวงถือขลุ่ย เฝิ่นลู่ถือแผนที่ ช่างอิ่นกับหลวนเฉินถือคบไฟ และจิ่นเกอถือเชือก เรามีเวลาหนึ่งชั่วยามเข้าไปรับผ้าเช็ดหน้าที่ศิษย์พี่สามในป่าที่จุดนัดพบและนำผ้าเช็ดหน้ากลับออกมาให้ทันหากไม่มีผ้าเช็ดหน้ากลับมาด้วยแสดงว่าเดินไปไม่ถึงจุดนัดพบ เมื่อเข้าใจกติกาเราจึงเริ่มเดินเข้าไปในป่า ทำให้ฉันนึกถึงสมัยเด็กที่ไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารี ต้องเดินทางไกลหลายกิโล ไม่คิดเลยว่าตอนนี้โตแล้วกลับต้องมาทำแบบนั้นอีก เราต้องเดินไปให้พบอาจารย์ศิษย์พี่สามที่รออยู่ด้านในและรับผ้าเช็ดหน้านำกลับมาส่งให้อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ที่รออยู่ด้านนอก

          เราสองกลุ่มต้องเดินแยกออกไปคนละทาง โดยกลุ่มของฉันเดินไปทางขวา กลุ่มของเพ่ยซานเดินไปทางซ้าย ทางเข้าป่าเป็นป่าโปร่งทุกอย่างดูเป็นปกติ เราต่างสงสัยกับสิ่งของที่เราได้รับที่ดูไม่เข้ากันกับการเดินป่าสักเท่าไหร่นักนั่นคือขลุ่ย กับน้ำผึ้ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าไว้ใช้ทำอะไรในการเดินป่า เราจึงสันนิษฐานกันไปเรื่อยเปื่อยถึงความเป็นไปได้ในการใช้มัน

         ฉิงซวง  : อาจารย์ให้ขลุ่ยเราไว้เป่าฟังกันเพลินๆในป่าล่ะมั้ง?
          เลี่ยงซู  : หรืออาจเอาไว้ใช้ตีงู ไว้ใช้เคาะพื้นเพื่อไล่งูก็ได้
             มี่จื่อ  : แล้วน้ำผึ้งนี่ล่ะไว้ใช้ทำอะไร?
           เฝิ่นลู่  : เอาไว้กินแก้หิวล่ะมั้ง?
         จิ่นเกอ  : ขวดเล็กแค่นั้นแก้หิวได้ซะที่ไหน ไม่พอสำหรับเจ็ดคนด้วยซ้ำ แล้วเชือกสั้นๆพวกนี้อีกเอาไว้ผูกอะไร เฮ่อ! ข้าไม่เข้าใจความคิดของอาจารย์เลยจริงๆ
    หลวนเฉิน  : ต้องไว้ใช้ทำอะไรสักอย่างแน่ ไม่งั้นอาจารย์คงไม่ให้มา
       
          เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงดงทุ่งหญ้า แต่เป็นหญ้าที่สูงท่วมหัวมองไปมีแต่ต้นหญ้าเหมือนๆกันไปหมด จนมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้าในระยะไกลเลย เฝิ่นลู่ดูแผนที่แล้วบอกว่าเดินไปตามทางในดงหญ้านี้ เดินไปเรื่อยๆจะพบป่าอีกครั้งเดินผ่านป่าจึงจะถึงจุดนัดพบกับอาจารย์ศิษย์พี่สาม ฉันเห็นดงหญ้าแล้วทำให้นึกหนังเรื่องหนึ่งเป็นหนังสยองขวัญที่เคยดูในอินเตอร์เน็ตที่โลกเดิม เป็นเรื่องเกี่ยวกับดงหญ้าสูงท่วมหัวแบบนี้ แล้วมีสิ่งลึกลับหลอกล่อให้ผู้คนเดินเข้าไปในพงหญ้าจนหลงทางหาทางออกไม่เจอ สิ่งลึกลับนั้นเข้าสิงคนๆหนึ่งให้ไปฆ่าคนอื่นตายไปทีละคน แต่พระเอกทำสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นหญ้าสุดท้ายทุกคนตายกันหมดรวมทั้งพระเอกก็ตาย เพราะสัญลักษณ์ที่พระเอกทำทิ้งไว้ถูกสิ่งลึกลับคลายออกจนหมด ฉันเริ่มรู้สึกระแวงยังไงชอบกล จึงบอกทุกคนว่าเราน่าจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นหญ้าด้วยการรวบปลายยอดหญ้าแล้วขมวดผูกกันเป็นปมขนาดใหญ่ให้เห็นชัดเจนไปตามทางที่เราเดินผ่าน เพื่อให้ง่ายในการมองหาทางออกตอนขากลับออกมา ทุกคนเห็นด้วยจึงช่วยกันผูกขมวดปมยอดหญ้ากลายเป็นของเล่นสนุกสนานของเราไปเลย พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เดินออกมาจากดงหญ้าโดยไม่พบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ

          เมื่อเดินพ้นจากดงหญ้าพวกเราก็พบกับป่าทึบมองเข้าไปด้านในป่ามันมืดมากและน่ากลัว ฉันกับหลวนเฉินพยายามมองหาต้นไม้ใหญ่คู่สองต้นตามที่เหยียนเหล่ยบอก และแล้วเราก็เจอต้นไม้ใหญ่คู่นั้น เราหันมามองหน้าแบบรู้กันแค่สองคน หลวนเฉินจึงขอเชือกที่จิ่นเกอมาหนึ่งเส้น แล้วนำไปผูกที่กิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่นั้นเพื่อทำเป็นสัญลักษณ์ไว้ ฉันกระซิบบอกหลวนเฉินว่ายังไม่มีมนต์อะไรซ่อนไว้ที่ต้นไม้ หลวนเฉินจึงหันไปบอกกับทุกคนว่า

    หลวนเฉิน  : ผูกเชือกที่ต้นไม้ไว้เป็นสัญลักษณ์บอกทาง เพราะป่าข้างหน้าเป็นป่าทึบและมืดมาก ข้าคิดว่าเชือกมีไว้ให้ทำแบบนี้แน่ๆ
         จิ่นเกอ  : อืม! น่าจะใช่ งั้นข้าจะผูกเชือกที่ต้นไม้ตามทางให้เอง
            มี่จื่อ  : เดินจะถึงจุดนัดพบแล้วข้ายังไม่รู้เลยว่าน้ำผึ้งกับขลุ่ยเอาไว้ใช้ทำอะไร?
           เฝิ่นลู่  : เก็บน้ำผึ้งไว้ก่อน เดี๋ยวข้าจะกินเองตอนกลับออกไปแล้ว
         เลี่ยงซู  : รอดูไปก่อน บางทีอาจต้องใช้ตอนขากลับออกไปก็ได้
         ฉิงซวง  : สอบวิชานี้ไม่ยากเลยแฮะ ทั้งสนุก ทั้งได้ออกมาเดินเที่ยวป่าเวลากลางคืนด้วย
            มี่จื่อ  : ถ้าคราวหน้ามีสอบแบบนี้อีกเราพกขนมมากินด้วยดีกว่า
    หลวนเฉิน  : เอาขนมมาเผื่อข้าด้วยนะ
         จิ่นเกอ  : เอาน้ำชาด้วยมั้ยล่ะ จะได้กินขนมกันคล่องคอ เจ้าสามคนคิดว่ามาท่องเที่ยวกันหรือไง! รีบเดินเข้าเถอะ เดี๋ยวก็กลับไม่ทันเวลากันพอดี
    หลวนเฉิน  : ฮ่าฮ่า แบ่งเชือกมา ข้าจะช่วยผูก
        ช่างอิ่น  : ข้ารู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ เหมือนจะดูง่ายเกินไป อาจารย์ศิษย์พี่สามไม่น่าทดสอบอะไรง่ายขนาดนี้
    หลวนเฉิน  : อืม! อาจจะยากตอนขากลับออกไปก็ได้ พวกเราคอยมองหาสัญลักษณ์ที่ทำทิ้งไว้ให้ดีจะได้ช่วยให้เราไม่หลงทาง

          และแล้วเราก็เดินมาถึงจุดนัดพบ อาจารย์ศิษย์พี่สามกำลังนั่งรอเราอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ พวกเราทำความเคารพและรอรับคำสั่งต่อไป

  ศิษย์พี่สาม  : กลุ่มแรกมาถึงตั้งนานแล้วก็กลับออกไปได้สักพัก พวกเจ้ามัวแต่โอ้เอ้ชักช้าให้ข้ารอจนเบื่อ เอาแผนที่มาคืนข้า แล้วรับผ้าเช็ดหน้าไป นำผ้าเช็ดหน้าไปให้ศิษย์พี่ใหญ่
         ฉิงซวง  : ไม่ให้เราดูแผนที่แล้วเหรอ?
   ศิษย์พี่สาม  : ขากลับให้เดินดูดาวกลับออกไป
             มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สาม ข้าขอถามหน่อยน้ำผึ้งกับขลุ่ยเอาไว้ใช้ทำอะไร?
  ศิษย์พี่สาม  : เจ้าแกล้งโง่มาถามข้ารึ?! น้ำผึ้งก็เอาไว้กิน ขลุ่ยก็เอาไว้เป่าน่ะสิ
            มี่จื่อ  : อ่อ...น้ำผึ้งคงไว้กินกันหิว ขลุ่ยไว้เป่าแก้เหงา เป็นของที่มีประโยชน์มากในการเดินป่า (ฉันพูดประชดประชันเขา)
    หลวนเฉิน  : พวกเรารีบกลับออกไปกันเถอะ ขอลาขอรับอาจารย์ศิษย์พี่สาม

          เราเดินห่างออกจากจุดนัดพบกับอาจารย์ศิษย์พี่สามได้ระยะหนึ่ง เลี่ยงซูบอกว่าเมื่อยขาขอนั่งพักสักครู่ ฉิงซวงจึงหยิบขลุ่ยมาเป่าให้เราฟังระหว่างนั่งพัก เราต่างหัวเราะและหยอกล้อกันว่าขลุ่ยเริ่มมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่จู่ๆจิ่นเกอก็พูดขึ้นว่า

         จิ่นเกอ  : เอ๊ะ! เมื่อกี้ฟ้ายังโปร่งอยู่เลย จู่ๆเมฆมาจากไหนไม่รู้ เคลื่อนมาบังดวงดาวหายไปหมด มองไม่เห็นดาวสักดวง แผนที่อาจารย์ศิษย์พี่สามก็เอาคืนไปแล้วด้วย
           เฝิ่นลู่  : ข้าจำทางได้เดินตรงไปตามเชือกที่ผูกไว้กับกิ่งไม้ จะเจอต้นไม้ใหญ่แล้วก็เจอพงหญ้า
        ช่างอิ่น  : ดีนะที่เราทำสัญลักษณ์ไว้ไม่งั้นคงหลงทางแน่
         เลี่ยงซู  : งั้นเราไปต่อกันเถอะ
    หลวนเฉิน  : หรือการทดสอบเริ่มจากตรงนี้?
        ช่างอิ่น  : เป็นไปได้! เพราะอาจารย์ศิษย์พี่สามเอาแผนที่คืน และจู่ๆดวงดาวก็หายไปมันแปลกมาก ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ เดินระวังกันด้วยนะทุกคน
            มี่จื่อ  : กลุ่มของเพ่ยซานจะทำเครื่องหมายบนต้นไม้เหมือนเรามั้ยนะ? ป่านนี้พวกเขาเดินไปถึงไหนกันแล้วไม่ได้ยินเสียงเลย
    หลวนเฉิน  : ไม่รู้สิ พวกนั้นคงทำเหมือนกันกับเรา อีกทั้งยังเดินไปถึงจุดนัดพบกับอาจารย์ศิษย์พี่สามก่อนเราเสียอีก ป่านนี้คงเดินถึงดงทุ่งหญ้าแล้วมั้ง
            มี่จื่อ  : งั้นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คงมีไว้ให้เราซับน้ำตาเพราะเดินออกไปทีหลังกลุ่มนั้นแน่ๆ มันช่างมีประโยชน์จริงๆ
          เฝิ่นลู่  : งั้นซับน้ำตาเจ้าก่อนเลยมี่จื่อ พูดแช่งข้าให้แพ้เหรอ นี่แน่ะๆ (เฝิ่นลู่ตีแขนฉันแต่ไม่แรงนัก)
        ช่างอิ่น  : อยู่กลุ่มพวกเจ้าก็ดีเหมือนกันนะ ผ่อนคลายกันดี ฮ่าฮ่าฮ่า

          เราเดินกันมาเรื่อยๆตามเชือกที่ผูกไว้กับต้นไม้ แต่ก็เดินไม่ถึงต้นไม้ใหญ่สองต้นนั้นสักทีจนเราเริ่มเหนื่อยและเมื่อยขา เลี่ยงซูบอกว่าเหมือนเราเดินวนกลับมาที่เดิม นางบอกว่านางจำได้เพราะนางลองหักกิ่งไม้ไว้ใกล้ๆเชือก นี่เป็นรอบที่สองที่เราเดินวนกลับมาตรงนี้ หลวนเฉินจึงแกะเชือกที่ผูกกิ่งไม้ไว้ตอนแรกออกมา แล้วหักกิ่งไม้เป็นท่อนสั้นๆสามท่อนรวบมัดเชือกไว้แล้วนำไปผูกห้อยต่องแต่งกับต้นไม้ เขาบอกว่าจะลองเดินกันอีกรอบหนึ่งถ้ากลับมาเจอกิ่งไม้ที่ห้อยไว้นี้อีก แสดงว่าการสอบที่แท้จริงเริ่มขึ้นแล้ว เราจึงออกเดินกันอีกรอบและกลับมาเจอกิ่งไม้สามท่อนที่ผูกห้อยไว้อีกครั้ง

         ฉิงซวง  : เดินมาสามรอบแล้วก็กลับมาที่เดิม จะทำยังไงดีล่ะ
    หลวนเฉิน  : มีมนต์พรางตาซ่อนอยู่ตรงไหนซักที่แน่ๆ คงไม่ได้มีแค่ตรงต้นไม้ต้นใหญ่ที่เดียวแน่
            มี่จื่อ  : ขอข้าดูก่อน ขอเวลาดูแป๊บนึง

          ฉันพยายามรวบรวมสมาธิเพ่งสายตามองหามนต์พรางตาที่เหยียนเหล่ยบอกฉันไม่หมด ขณะกำลังมองหามนต์พรางตาอยู่นั้น เราทุกคนก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักจากการเดินเหยียบกิ่งไม้และเสียงคำรามของเสือ ทำเอาฉันตกใจกลัวจนเสียสมาธิ เราพยายามมองหาตัวเสือที่คำรามอยู่ในความมืด เสือโคร่งตัวใหญ่โผล่ออกมาจากเงามืดแยกเขี้ยวคำรามแล้วพุ่งกระโจนเข้าใส่จนไม่ทันตั้งตัว ฉันที่วิ่งหนีออกมาทางเดียวกับเลี่ยงซูต่างร้องกันเสียงดังลั่นป่า เพราะป่าที่มืดมากจนมองแทบไม่เห็นทาง ทำให้เลี่ยงซูวิ่งวิ่งหกล้มพร้อมกับเสือโคร่งที่วิ่งตามมาและกำลังจะกระโจนใส่เลี่ยงซูที่ล้มอยู่ ฉันจึงปาขวดน้ำผึ้งโดนหัวเสืออย่างจังทำให้มันหยุดชะงักและหันมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน ฉันจึงร้องด่าเสือโคร่งให้มันหันมาสนใจฉันแทน

            มี่จื่อ  : ไอ้เหมียว เอ็งโผล่มาจากไหนฟะ?! พี่อยู่ทางนี้มาเล่นกับพี่มา!

          เหมือนจะได้ผลเพราะเสือโคร่งหันมาแยกเขี้ยวใส่ฉันและกระโจนเข้าหาฉันทันที ฉันจึงปล่อยพลังลมพายุหมุนออกไปกระแทกใส่เสือโคร่งจนมันล้มกระเด็นถอยหลังไป แต่มันยังไม่เลิกรามันยังคงหันมาตั้งท่าจะสู้ต่อ ทันไดนั้นเฝิ่นลู่หยิบก้อนหินปาใส่เสือโคร่ง และคนอื่นๆที่ตั้งหลักได้ช่วยกันปาก้อนหินใส่เสือโคร่งด้วย หลวนเฉินกับช่างอิ่นรีบวิ่งเข้ามาเอาคบไฟหวดใส่เสือเพื่อไล่ให้เสือหนีไปทางอื่น เสือเห็นไฟและเห็นเรารวมตัวกันได้อีกครั้งเสือจึงตัดสินใจหนีไป

           เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ เป็นอะไรหรือเปล่า
             มี่จื่อ  : ไม่เป็นไรหรอก ไปดูเลี่ยงซูเถอะเมื่อกี้นางหกล้ม
         ฉิงซวง  : เลี่ยงซูถูกหินบาดมือมีเลือดออกด้วย!
         เลี่ยงซู  : ไม่เป็นไร แผลไม่ลึกมากเท่าไหร่ แค่เลือดออก เดี๋ยวเลือดก็หยุดเอง
            มี่จื่อ  : เอ้านี่ผ้าเช็ดหน้าใช้ให้เป็นประโยชน์ พันมือไว้ซะ
        เลี่ยงซู  : นั่นผ้าเช็ดหน้าของอาจารย์ศิษย์พี่สาม อย่าใช้พันมือเลย เราต้องเอาไปคืนเดี๋ยวจะเลอะเลือด
            มี่จื่อ  : เลี่ยงซู! มือของเจ้าเลือดออกมันสำคัญกว่าผ้าเช็ดหน้าเสียอีก พันมือเจ้าไว้ ข้าจะรับผิดชอบเองว่าข้าเป็นคนพันมือให้เจ้า จำไว้ข้าเห็นมือเจ้าสำคัญกว่าผ้าเช็ดหน้า ของทุกอย่างในมือเราขณะนี้ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะถ้าเราต้องไปติดอยู่ในป่าจริงๆเราก็ไม่มีทางเลือกมากนัก และเรื่องมากไม่ได้
         เลี่ยงซู  : มี่จื่อ ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า
         จิ่นเกอ  : เสือโคร่งตัวเมื่อกี้มาได้ยังไง ทำไมมีอยู่ในป่าหลังสำนักด้วย?!
           เฝิ่นลู่  : นี่ขวดน้ำผึ้งนี่นา ตกอยู่ตรงนี้น้ำผึ้งหกหมดแล้ว
             มี่จื่อ  : ข้าปาขวดน้ำผึ้งใส่หัวเสือมันเลยหยุดชะงักไม่กระโจนใส่เลี่ยงซู ขวดน้ำผึ้งมีประโยชน์ก็ตรงนี้แหละใช้ปาหัวเสือโคร่ง ฮ่าฮ่า
         ฉิงซวง  : เรารีบหาทางออกกันเถอะ เดี๋ยวเสือโคร่งกลับมาอีกจะยุ่ง
     หลวนเฉิง  : เราต้องช่วยกันมองหามนต์พรางตาแล้วล่ะ มันต้องซ่อนอยู่ตรงไหนสักที่ในบริเวณนี้
         ช่างอิ่น  : เดี๋ยว! ทุกคนเงียบเสียงก่อน ข้าได้ยินเสียงขลุ่ย
          ฉิงซวง  : ข้ายังไม่ได้เป่า!
          จิ่นเกอ  : ใช่! เสียงขลุ่ยจริงด้วย เสียงไพเราะนุ่มนวลชวนง่วงนอนเหลือเกิน
          ฉิงซวง  : นี่เป็นเพลงกล่อมเด็กนี่นา ทุกคนอย่าหลับนะ!

          เสียงขลุ่ยถูกเป่าอยู่ไม่ไกลนัก แต่ทำให้พวกเรารู้สึกง่วงอยากนอนมาก ฉิงซวงพยายามเขย่าตัวพวกเราไม่ให้ง่วงนอน แต่ฉิงซวงเองก็มีอาการง่วงนอนอยู่ไม่น้อย ฉันจึงพยายามบอกฉิงซวงให้เป่าขลุ่ยเป็นเพลงครึกครื้นเพื่อให้พวกเราตื่นตัวกระฉับกระเฉง ฉันจึงเริ่มปรบมือเป็นจังหวะนำก่อนเพื่อให้เกิดการตื่นตัว ฉิงซวงจึงเป่าขลุ่ยเป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมเล่นกันในหมู่บ้าน แต่ฉันบอกให้ฉิงซวงเร่งจังหวะเป่าขลุ่ยให้เร็วขึ้นกว่านี้อีก

            มี่จื่อ  : เป่าให้จังหวะเร็วขึ้นอีก จะหลับอยู่แล้ว! เร็วเข้าทุกคนช่วยกันเคาะไม้ ช่วยกันปรบมือหน่อย เอ้อ เอ้อ โยว่ โย่ว!
         จิ่นเกอ  : ฉิงซวง พยายามเข้า ข้าจะลุกขึ้นเต้นแก้ง่วง!

          ทุกคนพยายามฝืนอาการง่วงนอนและค่อยๆลุกขึ้นนั่งช่วยกันเคาะจังหวะช่วยกันปรบมือ จนทุกคนเริ่มจะหายง่วงนอนและเริ่มตื่นตัวสนุกสนาน ส่วนฉันกับเฝิ่นลู่ และเลี่ยงซู ก็ลุกขึ้นเต้นรำกับจิ่นเกอ เพื่อให้หายง่วง หลวนเฉินพูดว่าเสียงขลุ่ยเพลงกล่อมเด็กที่ได้ยินช่างเหมือนกับที่อาจารย์จินไห่เคยเป่า และทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเสียงขลุ่ยของอาจารย์จินไห่แน่นอน และทุกคนชี้นิ้วไปทิศทางที่มาของเสียง

   หลวนเฉิน  : ฉิงซวงคงจะมีแรงเป่าขลุ่ยได้ไม่นาน ต้องหมดแรงก่อนแน่ๆ ฉิงซวงต้านพลังของอาจารย์จินไห่ไม่ไหวหรอก
        ช่างอิ่น  : แล้วจะทำยังไงให้อาจารย์จินไห่หยุดเป่าขลุ่ยล่ะ ซ่อนตัวอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
            มี่จือ  : ข้าจะลองทำวิธีนี้ดูเผื่อจะหยุดอาจารย์จินไห่ได้ ฉิงซวงขอเพลงมันส์ๆหน่อย! หนอย!!! จินไห่จะดูถูกข้าเกินไปแล้ว เป่าเพลงกล่อมเด็กให้ข้าหลับเรอะ?! รู้ไว้ซะว่าข้าโตเป็นสาวแล้ววววว!!!

          สิ้นเสียงตะโกนฉันส่งพลังแฝงลมพายุหมุนไปกับเสียงเป่าขลุ่ยของฉิงซวง ลมพายุหมุนถูกส่งไปหาจินไห่ที่นั่งเป่าขลุ่ยเอนหลังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในป่าไม่ไกลนัก ลมพายุหมุนพัดกระทบถูกขลุ่ยของจินไห่ด้วยความแรงทำให้ขลุ่ยถูกพัดตกจากมือ เหมือนถูกปัดด้วยมือที่มองไม่เห็น จินไห่ถึงกับหัวเราะร่วน "ฮ่าฮ่าฮ่า มี่จื่อเจ้าตะโกนอะไรออกมาเนี่ย?!"

          จินไห่หยุดเป่าขลุ่ยเพราะขลุ่ยถูกปัดตกจากมือ พวกเราถึงกับนั่งทรุดตัวลงกับพื้นเพราะเหนื่อยกับการเต้นรำ และปรบมือเข้าจังหวะให้หายง่วง ฉิงซวงเองก็นั่งลงกับพื้นเหนื่อยหอบจากการเป่าขลุ่ยและร่วมเต้นรำด้วยกัน

         ฉิงซวง  : เจ้าทำอะไรกับอาจารย์จินไห่ ข้ารู้สึกได้ถึงพลังแฝงที่รุนแรงที่เจ้าส่งผ่านมาให้ข้า
             มี่จื่อ  : ข้าส่งพลังแฝงสนับสนุนเจ้าไปปัดขลุ่ยของจินไห่ให้ตกลงพื้น เขาจึงหยุดเป่าขลุ่ย
           เฝิ่นลู่  : ที่เจ้าตะโกนเมื่อกี้มันตลกมาก ไม่คิดว่าเจ้าจะตะโกนแบบนั้นออกไป "ข้าโตเป็นสาวแล้ว!" ฮ่าฮ่าฮ่า ตั้งใจจะบอกอะไรใครหรือเปล่า? หรือจะบอกหลวนเฉินให้รู้ว่าเจ้าโตเป็นสาวแล้ว
   หลวนเฉิน  : อื้ม! ข้าได้ยินชัดเจน ฮ่าฮ่า
            มี่จื่อ  : ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าแค่โมโหที่อาจารย์จินไห่พยายามขัดขวางไม่ให้เรากลับทันเวลาแค่นั้นเอง
        ฉิงซวง  : ไม่อยากเชื่อเลยข้าได้เป่าขลุ่ยดวลกับอาจารย์จินไห่ด้วย พลังของเขารุนแรงมากยากต้านทานได้จริงๆ ข้าไม่เคยเป่าขลุ่ยแล้วเหนื่อยแบบนี้มาก่อน
            มี่จื่อ  : อื้ม! เจ้าอาจหาญนัก! กล้าลุกขึ้นมาดวลขลุ่ยกับอาจารย์จินไห่ (ฉันยกนิ้วโป้งชื่นชมฉิงซวง)
         จิ่นเกอ  : เอ๊ะ! นั่นใช่ทางออกหรือเปล่า มันซ่อนอยู่ตรงนี้เอง เราเดินผ่านไปผ่านมาตั้งสามรอบ รีบไปเร็ว เวลาเหลือน้อยลงแล้วเดี๋ยวกลับไม่ทัน

劉旭陽 - 我已經愛上你(正式版)我已愛上你我騙不了自己動
Liu Xuyang - ฉันตกหลุมรักคุณแล้ว ฉันหลอกตัวเองไม่ได้
Youtube by : EHP Music Channel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 45
(เพื่อนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง)

          เรารีบลุกขึ้นเดินไปตามทางออกที่เพิ่งเปิดเผยออกมา เรารีบเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อให้พ้นป่าทึบไปโดยเร็วเพราะเวลาเหลือน้อยลงมาทุกที ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ขอความช่วยเหลือดังมาจากป่าอีกฟากหนึ่งไม่ไกลนัก

         เลี่ยงซู  : เสียงใครร้องไห้น่ะ ได้ยินกันหรือเปล่า
            มี่จื่อ  : ผีหรือเปล่า น่ากลัวอ่า...บรื๋อออออ
         จิ่นเกอ  : เสียงคน! ไปดูกันเร็วเสียงใครมาร้องไห้ในป่าแบบนี้
        ช่างอิ่น  : ใคร? เสียงใครอยู่ตรงนั้น?
        หงหลิว  : ข้าเอง หงหลิว ช่วยข้าด้วย! ข้าเจ็บขา
        เลี่ยงซู  : หงหลิว ทำไมเจ้ามาอยู่ตรงนี้คนเดียว แล้วกลุ่มของเจ้าล่ะ เจียวจ้าน เพ่ยซานอยู่ที่ไหน
       หงหลิว  : พวกเขาไปกันหมดแล้ว พวกเขาทิ้งข้าให้เดินตามไปข้างหลัง เพราะข้าเจ็บขาจึงเดินตามพวกเขาไม่ทัน ข้าได้ยินเสียงพวกเจ้าข้าเลยรีบเดินตามมา
          เฝิ่นลู่  : พวกนั้นใจร้ายกันจังทิ้งเจ้าไว้คนเดียวแบบนี้ แล้วทำไมเจ็บขาล่ะ
        หงหลิว  : จู่ๆก็มีเสือโคร่งออกมาวิ่งไล่เรา ข้าวิ่งหนีแล้วพลัดตกโขดหินจนขาเจ็บ เพ่ยซานบอกว่าข้าเป็นตัวถ่วงนางให้คบไฟข้าไว้อันหนึ่งแล้วให้เดินตามไป พวกเขาเดินกันเร็วมากจนข้าตามไม่ทัน แล้วข้าก็ทำคบไฟตกน้ำ ข้าต้องเดินคนเดียวในความมืด ฮือๆๆๆ ข้ากลัวมากๆเลย พอข้าได้ยินเสียงพวกเจ้า ข้าก็รีบเดินจากฟากโน้นเพื่อมาให้ทันพวกเจ้า พาข้ากลับไปกับพวกเจ้าด้วยนะ ข้าขอร้อง อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว ข้ากลัว ฮือๆๆๆ
            มี่จื่อ  : หงหลิว เราจะพาเจ้ากลับไปด้วย เราจะกลับไปด้วยกัน ข้าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลุกเดินไหวมั้ย มา ข้าจะช่วยพยุงเจ้าเดิน
        ฉิงซวง  : มี่จื่อ ให้ข้าพยุงหงหลิวเดินดีกว่า เจ้าคอยมองหามนต์พรางตา อาจมีซ่อนอยู่ตรงอื่นอีก
         เลี่ยงซู  : มา! ข้าช่วยพยุงเจ้า
        หงหลิว  : ขอบใจมากนะทุกคน เลี่ยงซูมือเจ็บรึ? ผ้าที่พันมือนั่น...ผ้าเช็ดหน้าของอาจารย์ศิษย์พี่สามนี่นา
        เลี่ยงซู  : ใช่! มี่จื่อบอกว่ามือข้าสำคัญกว่าผ้าเช็ดหน้าของอาจารย์ศิษย์พี่สาม ใช้ของที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ อยู่ในป่าเราเลือกมากไม่ได้
         จิ่นเกอ  : เรารีบเดินกันหน่อยเถอะ บางทีอาจตามพวกนั้นทัน
          เฝิ่นลู่  : หงหลิวขาเจ็บจะให้รีบยังไงก็คงไม่ทันหรอก
            มี่จื่อ  : เอางี้...พวกเจ้ารีบเดินกันไปก่อน รีบไปให้ทัน ข้าจะพาหงหลิวเดินตามไปทีหลัง
    หลวนเฉิน  : ไม่ได้หรอก มาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ งั้นให้พวกเขารีบเดินไปกันก่อน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้ากับหงหลิวเอง
            มี่จือ  : หลวนเฉิน เจ้าต้องไปกับพวกเขา เจ้าต้องพาพวกเขาผ่านมนต์พรางตาออกไปให้ได้
         จิ่นเกอ  : ไม่ต้องเถียงกัน เดินไปพร้อมกันนี่แหละ ไปไม่ทันก็ช่างเถอะข้าก็ไม่ได้อยากไปงานฉลองสำนักไป๋หู่สักเท่าไหร่นักหรอกถ้าไม่มีพวกเจ้าไปด้วยมันก็ไม่สนุก แต่ถ้าใครอยากเดินนำหน้าไปก่อนก็บอกมาได้เลย ข้าจะแบ่งคบไฟให้อันหนึ่ง
        ช่างอิ่น  : เราจะเดินไปด้วยกัน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตกลงมั้ยทุกคน
         จิ่นเกอ  : ดี! เอ้าเดินระวังทางกันด้วยนะ มันมืด
        หงหลิว  : ข้าขอโทษนะ ที่ทำให้พวกเจ้าต้องเดินช้าลงเพราะข้า
             มี่จื่อ  : หงหลิว เจ้าอย่าคิดมาก ชีวิตของเจ้าสำคัญกว่างานฉลองสำนักไป๋หู่มากนัก
    หลวนเฉิน  : เอ๊ะ!!! ทุกคนได้ยินเสียงแมลงบินมั้ย ข้าได้ยินเสียงเหมือนแมลงบินเป็นฝูง กำลังบินมาทางนี้
        ช่างอิ่น  : เสียงเหมือนผึ้ง หมอบเร็ว
          เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ น้ำผึ้งล่ะ! มีน้ำผึ้งเหลืออีกมั้ย เอาออกมาวางล่อผึ้งเร็ว?
            มี่จื่อ  : ไม่มีแล้ว ข้าปาใส่หัวเสือหกหมดแล้ว
          เฝิ่นลู่   : หลบเร็วมันบินมาอีกแล้ว ต้องหนีลงไปหลบในน้ำ
             มี่จื่อ  : ฟากนี้มันมีน้ำซะที่ไหนเล่า! โอ๊ะ! นึกออกแล้ว! ข้ามีดอกไม้ข้าจะล่อมันไปเอง พวกเจ้ารีบวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าโน่นเลย วิ่งทะลุผ่านไปเลยมันเป็นมนต์พรางตา ไปเร็ว หลวนเฉินพาพวกเขาวิ่งไป!!!

          ช่างอิ่นอุ้มหงหลิวขึ้นขี่หลังแล้วพาวิ่งหนีผึ้งไปพร้อมกับทุกคนที่กำลังวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ ยกเว้นหลวนเฉินที่ยังอยู่กับฉัน เขาบอกว่าให้จิ่นเกอพาทุกคนไปแล้ว เขาจะอยู่ช่วยฉันเขาทิ้งฉันให้อยู่สู้กับผึ้งคนเดียวไม่ได้ ฉันจึงบอกเขาว่าถ้าล่อผึ้งไปทางอื่นได้แล้วให้รีบวิ่งทันที เขาพยักหน้า พอผึ้งบินวนกลับมาฉันจึงปล่อยพลังหมื่นบุปผาออกมาโดยควบคุมไม่ให้ดอกท้อมีคมมีด แต่ให้เป็นเพียงดอกท้อที่หอมหวานล่อผึ้งเท่านั้น เพราะฉันไม่ต้องการฆ่าผึ้ง เพราะผึ้งมีประโยชน์ต่อการช่วยผสมเกสรพืชพันธุ์ พายุดอกท้อถูกปล่อยให้พัดลอยล่อผึ้งไปทางอื่น โชคดีตรงที่ฉันยืนอยู่กับหลวนเฉินมันมืดไม่มีคบไฟ หลวนเฉินจึงไม่เห็นดอกท้อแต่เขาได้กลิ่นหอมของมัน ฉันจึงรีบบอกให้เขาวิ่งทันที หลวนเฉินคว้าดึงมือฉันให้วิ่งไปพร้อมกันกับเขา เรารีบวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้วยความเร็วก็พบพวกจิ่นเกอยืนหอบรอฉันกับหลวนเฉินอยู่ตรงนั้น หลวนเฉินถามจิ่นเกอว่า...

    หลวนเฉิน  : ยืนรออะไรกันทำไมไม่เดินเข้าไปล่ะ
         จิ่นเกอ  : มันเป็นทางตัน เจ้าดูสิก้อนหินก้อนเบ้อเริ่ม
            มีจื่อ  : ไม่ตัน! ตามข้ามา โอ๊ยเหนื่อย! (ฉันบอกพวกเขาด้วยเสียงเหนื่อยหอบ)

          ฉันพาพวกเขาเดินทะลุมนต์พรางตาออกมาเจอกับดงทุ่งหญ้าสูงท่วมหัว จนเราร้องเฮ! กอดคอกันดีใจเพราะออกมาถูกทางแล้ว เรารีบเดินเข้าดงทุ่งหญ้ามองหาสัญลักษณ์ขมวดปมยอดหญ้าที่เราทำกันไว้ โชคดีที่ปมยังไม่คลายออกจึงทำให้เราเดินออกมากันตามปกติไม่ต้องเหนื่อยทดสอบอะไรอีก จนกระทั่งเราเดินออกมาถึงจุดเริ่มต้นโดยพยุงหงหลิวออกมาด้วยกัน และเป็นไปตามคาดเรากลับออกมาทีหลังกลุ่มของเพ่ยซานกับเจียวจ้าน หลวนเฉินแกะผ้าเช็ดหน้าที่มือเลี่ยงซูและมีรอยเลือดเลอะติดอยู่ส่งให้อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่เป็นการเสร็จภารกิจ หลวนเฉินกล่าวกับอาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ว่า....

    หลวนเฉิน  : เลี่ยงซูถูกหินบาดที่มือจึงจำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยซับเลือด
 ศิษย์พี่ใหญ่  : ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ ทำได้ถูกต้องแล้ว
         ฉิงซวง  : อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าขอเก็บขลุ่ยไว้ได้หรือไม่ มันเป็นความภาคภูมิใจของข้าที่ได้เป่าขลุ่ยร่วมกับอาจารย์จินไห่
 ศิษย์พี่ใหญ่  : เอาไปสิ เพลงพื้นบ้านที่เจ้าเป่าขลุ่ยฟังแล้วเพลิดเพลินคึกคักมากจนอยากลุกขึ้นเต้นตามไปด้วย
         ฉิงซวง  : ท่านได้ยินเสียงขลุ่ยที่ข้าเป่าด้วยเหรอ?
  ศิษย์พี่ใหญ่  : ข้าและทุกคนที่อยู่ตรงนี้ดูการสอบของพวกเจ้าทุกคนผ่านกระจกส่องฟ้าของอาจารย์เจ้าสำนัก จึงรู้ว่าพวกเจ้าทุกคนทำอะไรกันบ้างในป่านั้น
      เพ่ยซาน  : ทำไมกลุ่มของพวกเราไม่ได้เจอกับอาจารย์จินไห่เลย
  ศิษย์พี่สาม  : ก็เพราะพวกเจ้าไม่ได้เจอกับจินไห่น่ะสิ! จึงสามารถออกจากป่าได้ก่อน ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคงยังนอนหลับไหลไม่ตื่นอยู่ในป่าแน่นอนเพราะเสียงขลุ่ยของจินไห่จะกล่อมให้เจ้าหลับในป่า ส่วนพวกของหลวนเฉินกับเจ้าตัวเล็กนั่นแอบโกงการสอบนิดหน่อยจึงถูกข้าเพิ่มด่านทดสอบที่ยากขึ้นไปอีกแต่พวกเขาก็ผ่านด่านออกมาได้ช้าทีหลังกลุ่มของเพ่ยซานแค่แป๊บเดียวเอง น่าสนใจๆ
       เพ่ยซาน  : พวกเขาขี้โกงการสอบ สมควรแล้วที่ต้องถูกลงโทษ ไม่สิ! สมควรไล่ออกจากสำนัก
   ศิษย์พี่สาม  : งั้นเจ้าก็ต้องถูกไล่ออกจากสำนักไปด้วย เพราะกันฮวาแอบบอกวิธีผ่านด่านทุกด่านให้เจ้ารู้
      เพ่ยซาน  : อาจารย์ศิษย์พี่สาม! คือว่า...ข้า...
   ศิษย์พี่สาม  : เอาล่ะ! ข้าจะสรุปคะแนนสอบ กลุ่มของเจียวจ้านทดสอบผ่านทุกด่าน ด้วยการเป่าขลุ่ยให้เสือโคร่งของศิษย์พี่ใหญ่หลับ ให้ฝูงผึ้งของศิษย์พี่รองกินน้ำผึ้ง คลายมนต์พรางตาของศิษย์น้องสี่ได้และกลับมาทันเวลา แต่พวกเจ้าทิ้งเพื่อนที่บาดเจ็บไว้ข้างหลังเพียงเพราะต้องการชัยชนะช่างแล้งน้ำใจยิ่งนักนั่นคือสิ่งที่ข้าไม่ต้องการเห็น ข้าให้กลุ่มของเจียวจ้านผ่านได้รับคะแนนครึ่งคะแนน ส่วนกลุ่มของหลวนเฉินทดสอบผ่านทุกด่านเช่นกัน แม้จะใช้อุปกรณ์ไม่ตรงจุดประสงค์แต่ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์จนผ่านมาได้ เช่น การปาขวดน้ำผึ้งใส่หัวเสือโคร่ง หลอกล่อฝูงผึ้งด้วยดอกท้อ และคลายมนต์พรางตาได้อย่างง่ายดายเพราะแอบถามข้อสอบด่านพรางตาจากศิษย์น้องสี่เหยียนเหล่ย ข้าจึงส่งศิษย์น้องห้าจินไห่ไปเพิ่มด่านทดสอบ แต่ฉิงซวงเป่าขลุ่ยตอบโต้กับศิษย์น้องห้าจินไห่จนเขาพลาดทำขลุ่ยหลุดมือตกพื้นนับว่าพวกเจ้าแก้ปัญหาได้ดีมาก แต่โชคไม่ดีที่กลับมาช้าเกินไปข้าให้ผ่านครึ่งคะแนน แต่ข้าให้คะแนนพิเศษเพิ่มอีกครึ่งคะแนนในด้านความสามัคคี มีน้ำใจคอยช่วยเหลือกัน และที่สำคัญพวกเจ้าไม่ทิ้งเพื่อนที่บาดเจ็บไว้ข้างหลังแม้จะอยู่ต่างกลุ่มกันก็ตาม พวกเจ้าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อีกครั้ง ดังนั้นกลุ่มของหลวนเฉินจึงได้คะแนนรวมเป็นหนึ่งคะแนน การสอบของข้าเสร็จสิ้นแล้วขอรับท่านอาจารย์เจ้าสำนัก
    เฟยเทียน  : สองวันมานี้ ข้าชมการสอบของพวกเจ้า ข้าเห็นการพัฒนาฝีมือของพวกเจ้าดีขึ้น และมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ข้าจะประกาศว่าใครควรได้ไปงานฉลองพบปะชาวยุทธที่สำนักไป๋หู่ ข้าให้กลุ่มของหลวนเฉินได้ไปทั้งกลุ่ม ความสามัคคีมีน้ำใจคอยช่วยเหลือกันแก้ปัญหา จึงเป็นสิ่งสำคัญในการอยู่ร่วมกัน และการสอบในวันนี้ข้าพอใจยิ่งนัก เอาล่ะ! ทุกคนกลับไปนอนพักผ่อนได้ พรุ่งนี้ข้าให้หยุดเรียนเพื่อพักผ่อนกันหนึ่งวัน

          เราเดินกลับเรือนที่พักด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินและวิ่งไปมาอยู่ในป่า จากการทดสอบเดินป่าครั้งนี้ อีกทั้งเรายังได้มิตรไมตรีใหม่จากเพื่อนร่วมชั้นเพิ่มขึ้นอีกสามคน

           เฝิ่นลู่  : พวกเจียวจ้านรู้วิธีสอบผ่านทุกด่านจากศิษย์พี่กันฮวาแต่ไม่ถูกลงโทษไม่เอ่ยถึงความผิดของพวกเจียวจ้านด้วยซ้ำ แต่พวกเรารู้แค่วิธีผ่านด่านพรางตาแค่ด่านเดียวเอง แต่เรากลับถูกลงโทษหนักสะบักสะบอมได้แผลกลับมา ข้าก็อยากจะโกรธอยู่หรอกนะ แต่เพราะถูกลงโทษนี่แหละเลยทำให้พวกเราได้คะแนนพิเศษ ได้หน้าได้ตามากเลย แม้จะเจ็บตัวแต่ก็คุ้มค่า!
    หลวนเฉิน  : ข้าคิดว่าอาจารย์ศิษย์พี่สามมิได้ตั้งใจจะลงโทษพวกเรา แต่เขาตั้งใจทดสอบพวกเราโดยเฉพาะมากกว่า จึงเพิ่มด่านหลับไหลของอาจารย์จินไห่โดยอ้างว่าเป็นการทำโทษพวกเรา
             มี่จื่อ  : คงอยากให้ข้าลบคำครหาที่กลุ่มของเพ่ยซานกล่าวหาว่าอาจารย์เจ้าสำนักว่าไม่ยุติธรรม หรือไม่ก็คงอยากเล่นสนุก ข้าเชื่อเลยว่าอาจารย์ศิษย์พี่สามเป็นคนแปลกสมคำล่ำลือ
         ฉิงซวง  : พรุ่งนี้เราขออนุญาตอาจารย์ออกไปเดินเที่ยวตลาดกันมั้ย
            มี่จื่อ  : พรุ่งนี้ข้าไม่ว่าง ข้าต้องไปกวาดเรือนให้อาจารย์ศิษย์พี่สี่เป็นค่าตอบแทนบอกมนต์พรางตา
    หลวนเฉิน  : ให้ข้าไปช่วยเจ้าดีมั้ยจะได้เสร็จเร็วๆ
            มี่จื่อ  : ไม่เป็นไร อาจารย์ศิษย์พี่สี่ไม่ชอบคนเยอะเพ่นพ่านในเรือน พวกเจ้าไปกันเถอะ ข้าฝากซื้อขนมด้วยนะ

勝嶼 - 著迷你的雙眼讓我放棄抵抗力動態歌詞版
Shengyu-With mini eyes ให้ฉันยอมแพ้
Youtube by :  9420 Music Bar

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 46
(ปริศนาบทกลอน ดื่มเหล้าบนหลังคา)

          ช่วงเช้าตอนสายหลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฉันรีบไปหาเหยียนเหล่ยที่เรือนที่พัก เห็นฟูหลิวก้มๆเงยๆปลูกต้นไม้ ฉันกล่าวทักทายเขาแล้วเดินเข้าไปหาเหยียนเหล่ยในเรือน เหยียนเหล่ยกำลังนั่งอ่านตำราแล้วเงยหน้ามามองฉัน ฉันเข้าไปนั่งข้างๆสวมกอดคอแล้วหอมแก้ม

             มี่จื่อ  : รอนานมั้ย?
เหยียนเหล่ย  : รอได้สักพักหนึ่งแล้ว ในเมื่อมาถึงแล้วก็ไปกวาดเรือนสิ ข้าบอกฟูหลิวว่าเจ้าจะมากวาดเรือนให้ข้า เขาจึงเก็บงานกวาดเรือนไว้ให้เจ้าทำ
            มี่จื่อ  : เห! นี่จะให้กวาดเรือนจริงๆเหรอ?
เหยียนเหล่ย  : ถ้าไม่กวาดเรือนแล้วเจ้าจะทำอะไร งั้นก็ไปกวาดใบไม้หน้าเรือน แล้วบอกให้ฟูหลิวเข้ามากวาดเรือนข้างในแทน
            มี่จื่อ  : ท่านแกล้งข้าป่ะเนี่ย?
เหยียนเหล่ย  : กวาดเรือนเสร็จแล้วก็มาชงชาให้ข้า

          เหยียนเหล่ยสั่งให้ฉันกวาดเรือน เช็ดถูเรือน ชงชา รดน้ำต้นไม้ ฝนหมึก และอีกหลายอย่างที่เขาพอจะนึกได้ เหมือนแกล้งฉันเพื่อระบายความโกรธของตัวเอง ฉันจึงถามเขาอีกครั้งว่า...

            มี่จือ  : ท่านโกรธข้าเหรอ ไม่พอใจข้าเรื่องอะไร ถ้าไม่บอกข้าก็ไม่รู้หรอก เมื่อวานยังดีๆอยู่เลย ข้าอุตส่าห์รีบมาหาท่านอยากกอด อยากหอม แต่ถูกใช้งานจนเหนื่อยตัวเหม็นเหงื่อไปหมดแล้ว งั้นข้ากลับแล้วกัน ไว้ท่านอารมณ์ดีค่อยมาคุยกันใหม่
เหยียนเหล่ย  : เดี๋ยว! ข้าหงุดหงิดเพราะข้าไม่ชอบให้เจ้าใกล้ชิดกับหลวนเฉิน เมื่อคืนพวกเจ้าใกล้ชิดกัน สนิทสนม ดูรู้ใจกัน ข้าไม่ชอบ!
             มี่จื่อ  : โธ่! เรื่องนี้เอง ที่แท้ก็หึง ข้ากับหลวนเฉินเป็นเพื่อนสนิทแค่นั้นจริงๆ ข้าไม่เคยคิดอะไรกับเขาเกินความเป็นเพื่อน วันนี้เขาชวนข้าไปเที่ยวตลาดกับเพื่อนๆในกลุ่ม แต่ข้าไม่ไปข้าเลือกมาที่นี่เพราะข้าอยากมาเจอท่าน ข้าคิดถึงท่าน
เหยียนเหล่ย  : แต่เจ้ากับหลวนเฉินดูรู้ใจกันมากเมื่อคืน จนข้ารู้สึกอิจฉาว่าทำไมไม่ใช่ข้าที่ควรยืนอยู่ตรงนั้นข้างๆเจ้า
             มี่จื่อ  : หลวนเฉินไม่ได้รู้ใจข้า เขาไม่รู้ว่าข้าชอบอะไร เขาไม่รู้ว่าข้ารักใคร เขาไม่รู้ว่าสัมผัสข้าตรงไหนแล้วข้าพึงพอใจที่สุด มีแต่ท่านคนเดียวที่รู้ความลับนี้ แล้วใยท่านต้องอิจฉาเขาด้วย อย่าแง่งอนข้าอีกเลย รอยยิ้มของท่านทำให้โลกทั้งใบของข้าสวยงามสดใส ยามท่านทำหน้าบูดบึ้งใส่ข้าเหมือนโลกของข้ากำลังจะถล่มทลาย
เหยียนเหล่ย  : วาจาของเจ้าช่างเกินจริงนัก
             มี่จื่อ  : เป็นวาจาที่มาจากใจของข้า จูบข้าหน่อยสิข้ารอจูบจากท่านตั้งแต่เช้าแล้ว

          เหยียนเหล่ยยื่นหน้ามาจูบสอดลิ้นหวานฉ่ำเข้าปาก ฉันลุกขึ้นนั่งคร่อมตักจูบกอดรัดเขาแน่น เบียดดันเนินหว่างขาแนบชิดถูไถแท่งเนื้อแข็ง เขาเอื้อมมือลูบไล้หลังและบีบคลึงหน้าอกก้มหอมซุกไซ้ แล้วเลื่อนมือลงมาบีบขยำก้น ฉันจูบและดูดซอกคอเขากัดเบาๆเพราะหมั่นเขี้ยว ในขณะที่เขากำลังถอดกางเกงฉันออกและกำลังจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขา ฉันเริ่มขยับก้นขึ้นลงให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกจนเสียว เขาจับก้นฉันขยับขึ้นลงส่งเสียงครางเบาๆเร้าใจฉันยิ่งนัก จนต้องกระซิบบอกเขาว่า "ข้ารักเสียงร้องของท่านเหลือเกิน ร้องครางแบบนี้ให้ข้าฟังคนเดียวพอนะ" เขาตอบ "อื้ม" เขาออกแรงจับก้นฉันกระแทกแรงๆเข้ากับแท่งเนื้อแข็งจนมิด และกระแทกเร็วถี่ขึ้นจนฉันเสร็จเกร็งตัวก่อนเขาอีกแล้ว เขาจับฉันนอนหงายกับพื้นจับเข่าฉันแยกออกกว้างแล้วกระแทกแท่งแข็งเร็วแรงหลายครั้ง "อ้ากกก" เขาเกร็งตัวเสร็จ แล้วโถมตัวจูบแลกลิ้นหวานฉ่ำ เหยียนเหล่ยอุ้มฉันเข้าเอวพาไปนอนบนเตียงแล้วถอดเสื้อผ้าของกันและกันออก เขาจ้องมองหน้าอกบีบเคล้าคลึงเล่น และจ้องมองดอกท้อสีแดงที่ปรากฏบนผิวหนังฉัน แล้วก้มดูดหัวนมทั้งสองข้างจนแข็งชูชันสู้ลิ้น เขาค่อยๆเลียเลื่อนลงไปจนถึงเนินหว่างขา จับขาฉันแยกออกกว้างแล้วสอดลิ้นเลียเนินหว่างขาจนฉันรู้สึกเสียวยกก้นเด้งรับลิ้นที่กำลังชอนไชและร้องครางบิดตัวไปมา เขาขยับตัวจับขาฉันสองข้างพาดบ่าและสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินกระแทกเข้าออกอยู่หลายครั้งจนเราเสร็จพร้อมกันและล้มตัวลงนอนเหนื่อยหอบ

          หลังจากเสร็จกิจบนเตียงเราจึงชวนกันมานั่งอ่านตำรา เหยียนเหล่ยให้ฉันอ่านบทเรียนล่วงหน้าสำหรับวันพรุ่งนี้ จากนั้นเขาก็ลุกไปดูต้นไม้ที่แขวนไว้ใต้ชายคาริมระเบียงเด็ดใบแก่และรดน้ำ ฉันจึงถามเหยียนเหล่ยว่า

            มี่จื่อ  : ทำไมอาจารย์ศิษย์พี่สามจึงไม่ลงโทษกลุ่มของเจียวจ้านทั้งๆที่โกงการสอบเหมือนกัน ทำไมลงโทษแต่กลุ่มของข้า
เหยียนเหล่ย  : บ่อยครั้งศิษย์พี่สามก็ชอบเล่นเป็นเด็กๆ และเขาก็รู้ว่าเล่นกับเด็กคนไหนแล้วทำให้สนุก
             มี่จื่อ  : แค่เล่นสนุกงั้นเหรอ?!
เหยียนเหล่ย  : อื้ม! แต่การเล่นสนุกของศิษย์พี่สามทำให้ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าเหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย และทำให้ทุกคนได้เห็นพฤติกรรมที่แท้จริงของแต่ละคนในช่วงเวลายากลำบากว่าเป็นอย่างไรเมื่อคืน กลุ่มของเจียวจ้านเห็นแก่ชัยชนะ ทอดทิ้งเพื่อน จึงดูเป็นการเห็นแก่ตัวพวกเขาจึงถูกตัดสิทธิ์ทุกกรณีนี่แหละคือการลงโทษ
             มี่จื่อ  : งั้นเหรอ! แต่เมื่อคืนข้าวิ่งป่าราบหนีเสือ หนีผึ้ง เพื่อให้พวกท่านสนุกสนานกันข้าก็ยินดี เหนื่อยแต่คุ้มค่า
เหยียนเหล่ย  : ใครบอกว่าข้าสนุกสนาน ข้าต้องนั่งดูเจ้ากับหลวนเฉินวิ่งจับมือกันในป่า ใจข้ามันร้อนรุ่มเป็นไฟ
            มี่จื่อ  : เอาอีกแล้ว อารมณ์ท่านขึ้นอีกแล้ว! ข้าปลอกส้มให้กิน มาๆข้าจะป้อน

          ฉันปลอกส้มแล้วหยิบส้มชิ้นหนึ่งใส่ปากคาบไว้ แล้วนำส้มที่คาบไว้ไปป้อนเหยียนเหล่ยด้วยปากแล้วจูบเขาครู่หนึ่งเพื่อให้เขาหยุดอารมณ์เสีย เหยียนเหล่ยกินส้มที่ป้อนจากปากฉันแล้วหัวเราะชอบใจ บอกให้ฉันป้อนส้มเขาแบบนี้อีกครั้ง ขณะกำลังหยอกเล่นกันอยู่นั้น ฟูหลิวเดินเข้ามาในเรือนแล้วบอกว่ามีผู้หญิงชื่อกันฮวามาขอพบ เหยียนเหล่ยอนุญาตให้กันฮวาเข้ามาพบ ฉันจึงทำความเคารพกันฮวาในฐานะศิษย์พี่ ฉันนั่งลงข้างๆเหยียนเหล่ยและนั่งปลอกส้มใส่จานไว้รอให้เหยียนเหล่ยกินต่อ กันฮวามองหน้าฉันแต่ไม่ได้พูดต่อว่าอะไรที่เห็นฉันอยู่ที่นี่ คงเพราะรู้แล้วว่าฉันเป็นเด็กในปกครองของเหยียนเหล่ย นางจึงไม่กล้าต่อว่าอะไรฉันอีก

เหยียนเหล่ย  : กันฮวา เจ้ามาพบข้ามีเรื่องอะไรรึ?
         กันฮวา  : ข้ามาขอโทษศิษย์พี่สี่ที่เคยล่วงเกินท่าน ข้านำขนมร้านอร่อยในตลาดมาให้ศิษย์พี่เป็นการขอโทษ
เหยียนเหล่ย  : ขอบใจ แต่ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้าเลิกตอแยรังแกมี่จื่อก็พอ
         กันฮวา  : ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่ได้คิดรังแกมี่จื่อ แค่ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่านางแอบเข้ามาที่นี่มันไม่เหมาะสมจึงว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น ข้าไม่ทราบว่าศิษย์พี่สี่เป็นผู้ปกครองของมี่จื่อ
เหยียนเหล่ย  : เอาล่ะ! เรื่องของมี่จื่อเจ้าไม่ต้องใส่ใจ มีอะไรข้าจะรับผิดชอบเอง เรือนของข้า ข้าอนุญาตให้มี่จื่อเข้า-ออกได้ในเวลากลางวันได้ทุกเมื่อ หากมีอะไรไม่เหมาะสม อาจารย์เจ้าสำนักจะเป็นคนกล่าวตักเตือนข้าเองไม่ต้องให้เดือดร้อนถึงเจ้า ส่วนขนมนี่ขอบใจนะที่นำมาให้ มี่จื่อชอบกินขนมแบบนี้อยู่พอดี
          ฟูหลิว  : คุณชายขอรับ! ท่านหัวหน้าหน่วยหลี่จวิน กับท่านรองลี่ถัง มาขอพบขอรับกำลังรออยู่ด้านนอก
เหยียนเหล่ย  : เชิญเข้ามาเลย
        หลี่จวิน  : แหมๆ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่สำนักพิธีรีตรองเยอะจัง
             ลี่ถัง  : รอนิดรอหน่อยจะเป็นไรไป ใจร้อนไปได้ (ลี่ถังบ่นหลี่จวิน)
        หลี่จวิน  : ไง มี่จื่อ หน้าตาดูสดใสขึ้นกว่าวันก่อน ตั้งแต่เจ้าไม่อยู่ไม่มีใครช่วยคัดลอกแผนผังให้ข้าเลย เจ้าซือจิ้งก็คัดลอกผิดๆถูกๆไม่ได้ดั่งใจ
             มี่จื่อ  : ข้าคัดลอกแผนผังให้ท่านไม่เคยได้เงินค่าจ้างเลยสักเหรียญแล้งน้ำใจกับข้าชะมัด!
        หลี่จวิน  : หนอย! พอข้าชมเข้าหน่อย ก็เริ่มจะหาผลประโยชน์กับข้าอีกแล้วรึ?
             ลี่ถัง  : เฮ่อ! สองคนนี้เจอกันทีไรแบบนี้ทุกที
         กันฮวา  : เอ่อ... ศิษย์พี่สี่มีแขก งั้นข้าขอตัวกลับก่อน

          กันฮวาเดินออกจากเรือนไป แล้วเดินไปหาฟูหลิวที่กำลังจะไปเตรียมน้ำชา กันฮวาจึงเอ่ยถามฟูหลิวว่า....

        กันฮวา  : นี่! สองคนนั้นเป็นใครกันรึ?
          ฟูหลิว  : ท่านหลี่จวินหัวหน้าหน่วยสอบสวน กับลี่ถังรองหัวหน้าหน่วย
        กันฮวา  : โห! นี่ท่านหลี่จวินหัวหน้าหน่วยสอบสวนคนดังตัวจริงรึนี่ น่าอิจฉามี่จื่อ เมื่อกี้ข้าเห็นเขาทักทายกันดูสนิทสนม เพราะมี่จื่อเป็นเด็กในปกครองของศิษย์พี่เหยียนเหล่ยจึงทำให้มีโอกาสรู้จักคนใหญ่คนโต น่าอิจฉาจริงๆ (กันฮวาแกล้งชม)
          ฟูหลิว  : ไม่ใช่แบบนั้นหรอก! เพราะมี่จื่อคอยช่วยงานคุณชายในเวลาที่คุณชายไม่ว่าง มี่จื่อจะทำงานแทนให้เหมือนเป็นมือขวาของคุณชายเลยล่ะ และเคยช่วยงานหน่วยสอบสวนอยู่บ่อยๆ พวกเขาสนิทสนมกันเพราะพวกเขายอมรับในความสามารถของมี่จื่อต่างหาก
        กันฮวา  : มี่จื่อ คงจะเก่งมากเลยสิ
         ฟูหลิว  : เก่งสิ ฉลาดด้วย! คนที่ช่วยคุณชายไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญจนพบไข่มุกเบญจมาศ ก็คือมี่จื่อนี่แหละ คืนนั้นข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย
เหยียนเหล่ย  : ฟูหลิว! ไปเอาเหล้ามาให้หลี่จวินหน่อย เขาอยากดื่มเหล้ามากกว่าดื่มน้ำชา (เหยียนเหล่ยเรียกให้ฟูหลิวไปเอาเหล้ามาต้อนรับแขก)
          ฟูหลิว  : ขอรับ!
         กันฮวา  : เอ่อ...ศิษย์พี่สี่...พอดีข้าเห็นฟูหลิวยืนอยู่เลยทักทายพูดคุยกันนิดหน่อย ข้าไปล่ะ

          เหยียนเหล่ยเดินกลับเข้ามาในเรือนหยิบส้มที่ฉันปลอกเตรียมไว้ให้ใส่ปากเคี้ยวกินแล้วชมว่าส้มหวานอร่อยดี แล้วเขาหันไปถามหลี่จวินว่ามีธุระด่วนอะไรจึงมาหาเขาถึงที่นี่ หลี่จวินส่งกระดาษใบหนึ่งให้เหยียนเหล่ยอ่าน ในกระดาษเขียนว่า

             "สุขใดไหนเล่า....
             เท่านั่งดื่มเหล้าบนหลังคา
             พร่ำเพ้อกับจันทรา
             ร่ำสุราอยากพบนงคราญ
             โฉมงามเจ้าปรากฏ
             ยวนยั่วยิ้มเบี่ยงหน้าเอียงอาย
             ข้าคือหนึ่งชายมุ่งหมายจูบ
             จุมพิตใกล้ชิดแสงดาว"

เหยียนเหล่ย  : บทกลอนอะไร ให้ข้าอ่านทำไม?
        หลี่จวิน  : เจ้าอ่านแล้วเข้าใจว่ายังไง?
เหยียนเหล่ย  : เหมือนคนขี้เมานั่งดื่มเหล้าแล้วพร่ำเพ้อหาคนรัก หรือไม่ก็กำลังนั่งดื่มเหล้ากับหญิงงามคนหนึ่ง
        หลี่จวิน  : เจ้าล่ะมี่จื่อ เจ้าเข้าใจว่ายังไง?
เหยียนเหล่ย  : ข้าก็เข้าใจแบบเดียวกันกับคุณชาย ท่านเขียนบทกลอนนี้ใช้จีบลี่ถังเรอะ
             ลี่ถัง  : เชอะ! คนอย่างเขารึจะเขียนบทกลอนแบบนี้เป็น
        หลี่จวิน  : ข้าเป็นชายชาตรีไม่ถนัดเขียนบทกลอนอ้อมค้อมไปมาแบบนี้หรอก ถ้าข้าชอบข้าก็บอกไปตรงๆเลย ใช่มั้ยลี่ถัง ข้าบอกชอบเจ้าบ่อยๆเจ้าก็รู้
            ลี่ถัง  : อย่านอกเรื่องเลยน่า คุยธุระให้เสร็จข้าจะได้คุยเรื่องอื่นกับมี่จื่อบ้าง
            มี่จื่อ  : ท่านหลี่จวิน จู่ๆเอากลอนบทนี้มาให้อ่านทำไม?
        หลี่จวิน  : เพราะมันไม่ใช่กลอนรักธรรมดาน่ะสิ! เพราะคนเขียนกลอนนี้เป็นเศรษฐีแก่คนหนึ่ง เศรษฐีเจ้า เขาไม่ใช่คนชอบดื่มเหล้าเมามาย อีกทั้งยังรักภรรยาไม่เคยมีข่าวเสียหายเรื่องชู้สาว จู่ๆเศรษฐีเจ้าก็ฆ่าตัวตาย แต่ก่อนตายเขียนกลอนบทนี้ทิ้งไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ฮูหยินเจ้าเสียใจมากเพราะคิดว่าสามีก่อนตายคงแอบมีหญิงอื่นนอกบ้าน หลังจากงานศพจึงปิดบ้านเก็บตัวเงียบไม่ออกมาสมาคมกับผู้อื่นเหมือนเคย คดีนี้เพื่อนรุ่นน้องข้าชื่อ เหวินเหอ ที่อยู่เมืองนั้นทำคดีอยู่ และฮูหยินเจ้าก็มีศักดิ์เป็นป้าของเขา เขาเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเศรษฐีเจ้าฆ่าตัวตาย แต่เขาสอบสวนทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ไม่มีใครเข้าข่ายเป็นฆาตกร และตรวจสอบที่เกิดเหตุก็ไม่พบร่องร่อยการต่อสู้ มีเพียงมีดเล่มเดียวในมือที่ใช้ปาดคอตัวเองตาย เพื่อนของข้าจึงต้องสรุปคดีว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ข้าส่งจดหมายไปบอกเขาว่าจะแวะไปเยี่ยมเยียนเพราะข้าต้องไปเป็นองครักษ์พิเศษให้ท่านอ๋องหกไปร่วมงานฉลองสำนักไป๋หู่ เขาจึงส่งจดหมายตอบกลับมาเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องบทกลอนนี้ เพราะเขาไม่เชื่อว่าคนกำลังจะตายจะมีอารมณ์เขียนกลอนรัก อีกทั้งเศรษฐีเจ้าก็ไม่เคยแสดงความสนใจเรื่องผู้หญิงนอกบ้าน
            มี่จื่อ  : ชายที่แอบมีหญิงอื่นนอกบ้านก็ต้องพยายามปกปิดเรื่องให้เงียบอยู่แล้ว ที่หมู่บ้านเก่าของข้าเคยมีสามี-ภรรยาคู่หนึ่งรักกันมากดูแลกันดีมาตลอดตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่มสาวจนแก่ด้วยกันทั้งคู่ แต่โชคร้ายที่เขาทั้งสองไม่มีลูก แต่สามีของนางก็ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องหญิงอื่นนอกบ้านเลย ชาวบ้านต่างชื่นชมในรักแท้ของเขาทั้งสองและถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างของรักแท้ แต่อยู่มาวันหนึ่งสามีเกิดป่วยเป็นโรคหัวใจเสียชีวิต ในวันงานศพปรากฏว่ามีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งอุ้มลูกอ่อนเป็นเด็กผู้ชายมาเคารพศพและบอกว่าเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งที่มีลูกชายด้วยกันกับสามีของนางที่เป็นภรรยาคนแรก และที่ออกมาปรากฏตัวเพราะสามีตายจึงไม่มีเงินเลี้ยงดูลูกอ่อน จึงจำเป็นต้องปรากฏตัวออกมาให้ภรรยาคนแรกเห็นใจและขอให้เห็นแก่เด็กน้อยตาดำๆโปรดช่วยเหลือ ภรรยาคนแรกถึงกับเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าคนจำนวนมากที่มาในงานศพ เมื่อภรรยาคนแรกตั้งสติและทำใจได้นางจึงยินยอมให้ความช่วยเหลือเพราะสงสารเด็ก ส่วนแม่ของเด็ก นางก็ช่วยเหลือโดยแบ่งเงินให้จำนวนหนึ่งพร้อมทั้งหางานให้ทำเพื่อให้เลี้ยงดูตัวเองได้ ต่อมาภายหลังภรรยาคนแรกก็รับเด็กคนนั้นเป็นบุตรบุญธรรมของตัวเอง ส่วนแม่เด็กตัวจริงที่ยังเป็นสาวก็แต่งงานไปมีชีวิตใหม่มีครอบครัวใหม่ กรณีนี้ก็เหมือนกัน บางที...ถ้ารอไปอีกหน่อยอาจมีหญิงงามตามบทกลอนปรากฏตัวออกมาก็ได้ เพราะในบทกลอนดูเขาจะลุ่มหลงหญิงงามคนนั้นอยู่ไม่น้อย
             ลี่ถัง  : อาจเป็นไปได้ เพราะผู้ชายไว้ใจไม่ได้เลยสักคน เผลอเมื่อไหร่เป็นต้องแวบหาย อ้อ! ยกเว้นเหยียนเหล่ย เพราะแสดงให้เห็นแล้วว่าไว้ใจได้ มีรักมั่นคง
        หลี่จวิน  : ลี่ถัง! ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นความจริงใจของข้า
เหยียนเหล่ย  : เอาล่ะ! ถ้าไม่มีหญิงงามตามบทกลอนออกมาจริงๆค่อยตัดประเด็นนี้ทิ้งไป เพราะบางทีอาจจะสื่อถึงอะไรสักอย่างที่เศรษฐีเจ้าอยากบอกให้ฮูหยินรู้ แต่ไม่ต้องการให้ใครบางคนรู้ก็เป็นได้
        หลี่จวิน  : นั่นสิ! ประเด็นนี้ก็น่าคิด ไว้เราไปเยี่ยมเขาด้วยกัน
เหยียนเหล่ย  : ได้สิ
             มี่จื่อ  : คุณชาย เอ๊ย! อาจารย์ศิษย์พี่สี่ ท่านต้องคิดเงินค่าให้คำปรึกษาด้วยนะ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เงินทองหายากเหลือเกิน ข้าวเราก็ต้องซื้อกิน ขนมก็ต้องเสียเงินซื้อ เจองานช่วยบ่อยๆแบบนี้มันไม่ทำให้เราอิ่มท้อง
        หลี่จวิน  : หนอย! เจ้าเด็กคนนี้พอได้เป็นศิษย์สำนักเฟยอวี่ ก็เริ่มสอนให้เจ้านายคิดหาเงินกับข้าที่เป็นเพื่อนสนิทรึ?! มาให้ข้าเขกหัวสักที! เหยียนเหล่ยเจ้าถูกนางปั่นหัวแล้วรู้มั้ย วันนั้นไม่น่าปล่อยออกมาเลย น่าจับขังลืมให้เน่าตายในคุกให้เข็ด!
            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ ช่วยข้าด้วย (ฉันขยับหลบหลังเหยียนเหล่ยไม่ให้หลี่จวินเขกหัว)
เหยียนเหล่ย  : ฮ่าฮ่าฮ่า สองคนนี้คุยกันดีๆได้ไม่นานจริงๆ

          หลังจากนั้นหลี่จวินก็พูดคุยเรื่องทั่วไปกับเหยียนเหล่ย ซึ่งฉันเองก็แยกตัวออกมานั่งหน้าเรือนกับลี่ถังพูดคุยและกินขนมกันตามประสาผู้หญิง เราคุยกันไปได้สักพัก ฟูหลิวก็บอกว่าเห็นกลุ่มเพื่อนของฉันกำลังเดินมาทางนี้ และถือของห่อใหญ่มาด้วย พวกเขากำลังเดินเข้ามาที่เรือนของเหยียนเหล่ย

            มี่จื่อ  : อ้าวทำไมกลับกันมาไวจัง?!
          เฝิ่นลู่  : ก็หลวนเฉินน่ะสิเร่งให้รีบกลับอยู่นั่นแหละ เอ๊ะ!? คนนี้คือใคร?
            มี่จื่อ  : ลี่ถัง รองหัวหน้าหน่วยสอบสวน
        ฉิงซวง  : รองหัวหน้าหน่วยสอบสวนตัวจริงสวยกว่าในภาพวาดเสียอีก
        จิ่นเกอ  : ข้าเคยพบรองหัวหน้าหน่วยสอบสวนแล้วครั้งหนึ่ง ดีจังที่ได้พบอีกครั้ง ท่านมาคนเดียวรึ
            ลี่ถัง  : ข้ามากับหัวหน้าหน่วยหลี่จวิน อยู่ข้างใน
        ฉิงซวง  : จริงเหรอเนี่ย หัวหน้าหน่วยหลี่จวิน อยู่ด้านในอยากพบตัวจริงจังเลย มีคนเก่งแห่งราชสำนักมาทั้งทีโอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ
            มี่จื่อ  : เขาสองคนโด่งดังขนาดนั้นเลยเหรอ
        ฉิงซวง  : ใช่แล้ว! หน่วยสอบสวนทำคดีไหนไม่เคยทำงานพลาด เป็นหน่วยงานที่อยู่นอกพระราชวังแต่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ และได้รับการหนุนหลังจากท่านอ๋องหกอีกด้วย และคดีที่โด่งดังมากคือคดีปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ งมพบไข่มุกเบญจมาศด้วย
            ลี่ถัง  : พวกเจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วยรึ?
         จิ่นเกอ  : รู้สิ! ข่าวนี้ดังจะตายไปอาจารย์ศิษย์พี่สี่ก็ร่วมไขปริศนาด้วย เก่งกันชะมัดเลย เป็นความไฝ่ฝันของข้าต้องเข้าหน่วยสอบสวนให้ได้เลย รองลี่ถังโปรดแนะนำข้าด้วย
        ช่างอิ่น  : ข้าก็อยากสอบเข้าหน่วยสอบสวนเหมือนกัน พ่อกับแม่ของข้าคงภาคภูมิใจถ้าข้าสอบได้
            ลี่ถัง  : ต้องมีความตั้งใจมุ่งมั่น อดทน เพราะการสอบสวนจะด่วนสรุปไม่ได้ ต้องขี้สงสัย และต้องรู้จักตีความหมายที่สองที่อาจซ่อนอยู่ในหลักฐาน ตีความโดยละเอียด ต้องมองและคิดอย่างคนร้าย คือสมมติตัวเองว่าเราเป็นคนร้าย หากเราเป็นคนร้าย จะคิดยังไงต่อ จะทำอะไรต่อไป ทำความผิดทำไม และมีเหตุผลอะไรที่คิดทำความผิด
         จิ่นเกอ  : ข้าจะพยายามทำให้ได้ ขอบคุณท่านรองลี่ถังที่ชี้แนะ
    หลวนเฉิน  : ข้าได้ยินข่าวมาว่าอาจารย์ศิษย์พี่สี่มีสาวใช้คนหนึ่งช่วยไขคดีร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ และชี้จุดพบไข่มุกเบญจมาศ ตั้งแต่อาจารย์ศิษย์พี่สี่กลับมาสอนที่สำนักข้าไม่เคยเห็นสาวใช้คนนั้นเลยสักคนเดียว ข้าเห็นแต่ฟูหลิว หรือสาวใช้ที่พูดถึงกันหมายถึงฟูหลิว แต่ข้าดูยังไงฟูหลิวก็คือผู้ชายไม่คล้ายหญิงเลยสักนิด ทำไมข่าวจึงบอกว่าเป็นสาวใช้?
         ฉิงซวง  : นั่นสิ! รองลี่ถังช่วยบอกหน่อยตกลงเป็นสาวใช้หรือคนงานชายกันแน่?
             ลี่ถัง  : เอ่อ....(ลี่ถังหันมามองหน้าฉัน)
        หลี่จวิน  : อ้าว! เด็กๆพวกนี้? มิน่าล่ะข้าได้ยินเสียงคุยกันสนุกเชียว
             มี่จื่อ  : นี่คือท่านหลี่จวิน หัวหน้าหน่วยสอบสวน
           เฝิ่นลู่  : ท่านหัวหน้าหน่วยตัวจริงหล่อมาก
        หลี่จวิน  : ฮ่าฮ่า แน่นอนอยู่แล้ว ข้าหล่อเหลาและองอาจที่สุดในหน่วยเลยนะจะบอกให้
เหยียนเหล่ย  : พวกเจ้ามาชุมนุมอะไรที่นี่กันรึ?
         เลี่ยงซู  : พวกเราเพิ่งกลับจากตลาด เราซื้อขนมและชาชั้นดีมาเพื่อขอบคุณอาจารย์ศิษย์พี่สี่ที่ช่วยฝึกสอนวิชาให้เราผ่านการทดสอบจนเราได้ไปงานฉลองสำนักไป๋หู่กันทั้งกลุ่ม
เหยียนเหล่ย  : มันเป็นหน้าที่ของข้าที่เป็นอาจารย์ต้องฝึกสอนวิชาให้พวกเจ้าอยู่แล้ว ขนมนั่นพวกเจ้าเก็บไว้กินกันเถอะ ข้าขอรับชาไว้อย่างเดียวก็พอ
            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่รับขนมไว้เถอะ ขนมนี้อร่อย ท่านไม่กินเดี๋ยวข้ากินเอง
เหยียนเหล่ย  : เจ้ากินข้าวบ้างเถอะ อย่าเอาแต่กินขนม แต่ก็ขอบใจทุกคนที่ซื้อขนมมาให้ข้า
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ ข้าซื้อขนมมาให้เจ้าด้วย แต่ข้าฝากไว้กับเฝิ่นลู่เพราะเห็นเจ้าไม่อยู่ อย่าลืมกินขนมของข้านะ
เหยียนเหล่ย  : อะอึ้ม! มี่จื่อ เจ้าถูเรือนให้ข้ายังไม่เสร็จ ไปถูเรือนให้เสร็จเดี๋ยวนี้
             มี่จื่อ  : แต่ข้าถูไปแล้วก่อนหน้านี้
เหยียนเหล่ย  : ข้าเพิ่งทำน้ำหก แล้วก็...หลี่จวินทำเหล้าหกด้วย
        หลี่จวิน  : ข้ารึ??? (หลี่จวินงุนงง จำไม่ได้ว่าตนเองทำเหล้าหกตอนไหน แต่เห็นอาการหึงหวงของเหยียนเหล่ยจึงรีบรับมุก) อ๋อ...ใช่ๆรีบไปเช็ดสิ!
             มี่จื่อ  : ก็ได้ๆ

          หลี่จวินจึงนั่งคุยต่อกับกลุ่มเพื่อนของฉันที่ปลาบปลื้มดีใจได้พบคนโด่งดังมีชื่อเสียงหากเปรียบได้กับสมัยโลกปัจจุบันก็เรียกว่าเป็นไอดอล สักพักใหญ่ๆฉันและกลุ่มเพื่อนก็ขอลากลับเรือนที่พักและนั่งกินขนมจับกลุ่มคุยกันต่อหน้าเรือน

         ฉิงซวง  : ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปที่เรือนอาจารย์ศิษย์พี่สี่ เราคงไม่รู้ความจริงว่าที่แท้อาจารย์ศิษย์พี่สี่ก็เป็นผู้ปกครองของมี่จื่อนี่เอง มิน่าล่ะอาจารย์ศิษย์พี่สี่ถึงได้สนใจและใจดีกับเจ้านัก และสนิทสนมกับอาจารย์จินไห่ด้วย
           เฝิ่นลู่  : ปิดบังกันเฉยเลย
            มี่จื่อ  : ก็...ไม่ได้ตั้งใจปกปิด
   หลวนเฉิน   : มี่จื่ออาจจะไม่สะดวกใจเปิดเผยให้เป็นที่จับตาก็ได้
            มี่จื่อ  : อื้อๆใช่แล้ว!
         เลี่ยงซู  : เปิดเผยก็ดีแล้วล่ะ ศิษย์พี่กันฮวาก็เปลี่ยนท่าทีไปแล้วนี่นา ศิษย์พี่กันฮวาจะได้เลิกตามตอแยมี่จื่อสักที ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกรำคาญใจแทน
        ฉิงซวง  : ถ้าเพ่ยซานรู้ว่าอาจารย์ศิษย์พี่สี่เป็นผู้ปกครองของมี่จื่อ นางจะทำหน้ายังไงนะ?
        จิ่นเกอ  : ก็ทำหน้าแบบนี้ไง (จิ่นเกอแกล้งทำหน้าตลกให้เราหัวเราะ โดยไม่รู้ว่าเพ่ยซานเดินมาข้างหลัง)
      เพ่ยซาน  : ชิ!! ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเจ้าจะทำหน้ายังไง ถ้าได้รู้ว่าที่อาจารย์ศิษย์พี่สี่บอกว่าเป็นผู้ปกครองของมี่จือน่ะ แท้ที่จริงแล้วมี่จื่อเป็นเพียงหญิงรับใช้ในจวน นางไม่ได้เป็นญาติหรือแม้แต่เป็นญาติห่างๆกับศิษย์พี่สี่เลยสักนิด นางเป็นเพียงสาวใช้ชั้นต่ำที่แอบปะปนเข้ามาเรียนกับพวกเรา
          เฝิ่นลู่  : เจ้ารู้ได้ยังไง อย่ามาพูดจามั่วซั่ว
      เพ่ยซาน  : คนที่บอกเรื่องนี้กับข้าเป็นคนที่เชื่อถือได้ และสามารถสืบประวัติของมี่จื่อได้ พรุ่งนี้เราจะได้รู้กันว่าสาวใช้ชั้นต่ำคนนี้มีกำพืดเป็นมาอย่างไรบ้าง แต่ที่อาจารย์ศิษย์พี่สี่บอกว่าเป็นผู้ปกครองของมี่จื่อเพราะพยายามจะช่วยปกปิดฐานะสาวใช้ชั้นต่ำในจวนของตัวเอง มี่จื่อ! เจ้าคงทะเยอทะยานอยากถีบตัวเองให้พ้นจากฐานะสาวใช้ล่ะสิ เจ้าทำไม่สำเร็จหรอกเพราะข้าจะบอกทุกคนเกี่ยวกับเจ้า มี่จื่อ!
          เฝิ่นลู่  : ที่เจ้าพูดมาแน่ใจนะว่า...มี่จื่อเป็นสาวใช้ในจวนของอาจารย์ศิษย์พี่สี่
      เพ่ยซาน  : แน่นอน! ข่าวข้าไม่ได้มั่ว
           เฝิ่นลู่  : มี่จื่อตอบข้ามา เจ้าเป็นสาวใช้ในจวนของอาจารย์ศิษย์พี่สี่จริงมั้ย?!
      เพ่ยซาน  : ตอบมาสิ! หึ! แต่ถึงเจ้าจะไม่ตอบพรุ่งนี้ข้าก็มีหลักฐานมายืนยันกับทุกคนได้แน่
         ฉิงซวง  : มี่จื่อ พูดมาเถอะเราเป็นเพื่อนกันอย่าโกหกอีกเลยนะ ข้าไว้ใจเจ้าเพราะเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีกับข้ามาตลอด เพื่อนกันไม่ควรปกปิดกันจริงมั้ย
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ พูดมาเถอะข้ายอมรับได้ถึงแม้เจ้าจะเป็นสาวใช้
            มี่จื่อ  : เอ่อ...ข้าขอโทษ ใช่แล้ว! ข้าเป็นสาวใช้ในจวนของอาจารย์ศิษย์พี่สี่ ถ้าพวกเจ้าจะเลิกคบหากับข้า ข้าก็ไม่โกรธหรอกข้าเข้าใจพวกเจ้า...
          เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ! เจ้าเป็นสาวใช้คนเดียวในจวนและเป็นสาวใช้คนสนิทของอาจารย์ศิษย์พี่สี่ ที่เคยติดตามอาจารย์ศิษย์พี่สี่ไปไขคดีร้อยปีมังกรเจ้าสำราญใช่มั้ย?
            มี่จือ  : ชะ ใช่!
        จิ่นเกอ  : งั้นสาวใช้ที่เขาลือกันว่าช่วยอาจารย์ศิษย์พี่สี่ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ และเป็นคนชี้จุดที่ซ่อนไข่มุกเบญมาศก็คือเจ้าใช่มั้ย?
            มี่จื่อ  : เอ่อ...คือ....เรื่องนั้น....
         จิ่นเกอ  : ตอบมาสิ!!! (จิ่นเกอตวาดฉัน)
            มี่จื่อ  : ชะ ใช่ ขะ ข้าเอง เป็นข้าเอง....
   หลวนเฉิน  : เป็นเจ้านั่นเอง!!!
        จิ่นเกอ  : ฮ่าฮ่าฮ่า เราเจอตัวสาวใช้คนนั้นแล้ว คนที่ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ ที่แท้อยู่กับพวกเรามาตลอดเลย วันนี้เป็นวันดีอะไรเนี่ยเจอคนดังตั้งสามคนแน่ะ
        ช่างอิ่น  : ใช่ เป็นวันดีจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าสาวใช้ไขปริศนาคนนั้นเป็นเพื่อนกับเรา
           เฝิ่นลู่  : มิน่าล่ะ! เจ้ามักมีคำพูดแปลกๆ ทำอะไรแปลกๆ ที่แท้ก็พยายามปิดบังเรื่องนี้นี่เอง
            มี่จื่อ  : พวกเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าเป็นแค่สาวใช้เหรอ?
        ฉิงซวง  : ไม่เลย ข้าไม่เคยรังเกียจเจ้าเลยถึงเจ้าจะเป็นสาวใช้ แต่ข้ากลับดีใจด้วยซ้ำที่ได้เป็นเพื่อนกับสาวใช้ผู้ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ อีกทั้งยังทำให้ข้ามีโอกาสได้ดวลขลุ่ยกับอาจารย์จินไห่ที่ข้าปลื้มอีกด้วย ข้าจะไปคุยอวดคนในหมู่บ้านข้าสามบ้านแปดบ้านไปเลย
        จิ่นเกอ  : ใช่! มี่จื่อ เจ้าอย่าคิดมากเรื่องที่เจ้าเป็นสาวใช้ เดิมทีข้าเป็นลูกช่างไม้ที่พ่อข้าเข้าไปทำงานในบ้านเศรษฐีเกา แต่ท่านเกามีแต่ลูกสาวและเขาเอ็นดูข้ามากจึงรับข้าเป็นบุตรบุญธรรม เขาดีกับข้ามากและรักข้าเหมือนลูก ข้าจึงพยายามเรียนให้ได้คะแนนดีๆและพยายามจะสอบเข้าหน่วยสอบสวนให้ได้เพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อบุญธรรม และเพื่อความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่ครอบครัวช่างไม้ของข้า
        ช่างอิ่น  : ส่วนข้าต้นตระกูลเป็นชาวนา ต่อมาเริ่มทำการค้าขายทั่วไปจนรุ่งเรืองกิจการใหญ่โตจนถึงรุ่นพ่อของข้าได้กลายเป็นเจ้าของตลาดใหญ่ในเมือง ต้นกำเนิดของพวกเราไม่ได้แตกต่างกันเลยเห็นมั้ย
    หลวนเฉิน  : เอ่อ...ต้นตระกูลข้าเป็นพ่อค้าที่ชำนาญด้านการค้าขายระหว่างเมือง จนถึงรุ่นพ่อของข้าก็ยังคงทำการค้าขายระหว่างเมืองเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มีกิจการเพิ่มอีกอย่างคือการคุ้มกันสินค้าระหว่างแคว้นกิจการเจริญก้าวหน้าดี
          เฝิ่นลู่  : นี่!หลวนเฉิน เจ้าเกิดในตระกูลคนรวยตั้งแต่ต้น แล้วจะมาเล่าอวดทำไมมิทราบ?!
   หลวนเฉิน  : ข้าแค่อยากบอกว่าข้าไม่รังเกียจเรื่องชาติตระกูลของมี่จื่อ และเพื่อนคนอื่นๆ แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว
        เลี่ยงซู  : ใช่ ดีซะอีกได้เป็นเพื่อนกับสาวใช้ผู้ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ น่านำไปคุยอวดจะตาย ขนาดเรื่องสอบเดินป่าดูดาวเมื่อคืนข้ายังไปคุยอวดมาแล้วเลย ฮ่าฮ่า
      เพ่ยซาน  : นี่พวกเจ้าเสียสติกันไปแล้วเหรอ ดีใจกันทำไมนักหนาที่ได้เป็นเพื่อนกับสาวใช้ชั้นต่ำ และข้าก็ไม่เชื่อว่ามี่จื่อคือผู้ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ นางโกหกพวกเจ้า
           เฝิ่นลู่  : เพ่ยซาน เจ้ายังงมงายยึดติดอยู่กับความคิดจอมปลอมโบราณคร่ำครึแบบนั้นอยู่อีกรึ?! เจ้าควรพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว เพราะพวกข้าเป็นคนสมัยใหม่ไม่สนใจเรื่องฐานะ เราสนใจคนเก่ง มีฝีมือ และไม่พูดมาก และข้าก็เชื่อว่ามี่จื่อคือผู้ไขปริศนาตัวจริง เพราะนางได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วจากการสอบที่ผ่านๆมา ถ้านางไม่ใช่สาวใช้คนสนิทของอาจารย์ศิษย์พี่สี่ นางคงไม่ใส่แหวนหยกแบบเดียวกันกับที่อาจารย์ศิษย์พี่สี่ใส่หรอก
            มี่จื่อ  : แหวนนี่....เอ่อ.....
          เฝิ่นลู่  : เป็นแหวนคู่หูคนสนิทใช่มั้ย? ข้าสังเกตุเห็นมานานแล้วว่าเจ้าใส่แหวนแบบเดียวกันกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ แต่ข้ายังไม่แน่ใจ แต่พักหลังๆข้าเริ่มแน่ใจเพราะเจ้าดูสนิทสนมกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่มาก ไงล่ะทุกคน?! ข้าสังเกตุละเอียดข้าเหมาะจะอยู่หน่วยสอบสวนได้มั้ย?
     หลวนเฉิน  : เอ่อ! ใช่แล้ว! นั่นเป็นแหวนคู่หู... (หลวนเฉินช่วยพูดแทนฉันแต่หันมามองฉันด้วยแววตาแปลกๆผสมกังวลใจ) เพ่ยซานถ้าเจ้าไม่ชอบก็อยู่ห่างๆพวกเราได้ พวกเราไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
       เพ่ยซาน  : หึ! ข้าจะไปร้องเรียนกับอาจารย์เจ้าสำนักให้ไล่มี่จื่อออกไปจากสำนัก
         จิ่นเกอ  : ตามใจเจ้าเลยเพ่ยซาน แต่อย่าลืมนะว่าอาจารย์เจ้าสำนักเป็นคนพามี่จี่อเข้าสำนักมาด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าอาจารย์เจ้าสำนักต้องรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามี่จื่อเป็นสาวใช้ แต่อาจารย์เจ้าสำนักให้ความสำคัญกับความสามารถมากกว่าฐานะ
             มี่จื่อ  : เพ่ยซาน ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงเกลียดชังข้านัก ข้าเองก็อยากจะบอกว่าข้าไม่เคยเกลียดชังเจ้าหรอก แต่ข้ารำคาญ! รำคาญเจ้ามากเลยเพ่ยซาน!
      เพ่ยซาน  : นี่เจ้า! กล้าพูดกับข้าแบบนี้รึ!!!
           เฝิ่นลู่  : ฮ่าฮ่า ข้าก็รำคาญเจ้าเหมือนกันเพ่ยซาน
         เลี่ยงซู  : เฝิ่นลู่ เจ้าคิดเหมือนข้าเลย ข้าคิดว่าจะมีแต่ข้าที่รู้สึกรำคาญนางเสียอีก
           เฝิ่นลู่  : เพ่ยซานที่เจ้าคอยตามราวีมี่จื่อเพราะเจ้าชอบหลวนเฉินใช่มั้ยล่ะ หลวนเฉินสนใจแต่มี่จื่อแต่ไม่เคยสนใจเจ้าเลย ข้าพูดถูกใช่มั้ย?
    หลวนเฉิน  : เพ่ยซาน ข้าไม่เคยคิดอะไรกับเจ้าเกินความเป็นเพื่อน
       เพ่ยซาย  : มะ ไม่ใช่นะ นี่พวกเจ้ารุมข้าเหรอ? หึ! แล้วจะได้เห็นดีกัน! (เพ่ยซานเดินหนีไปเพราะไม่มีใครเข้าข้าง)
         ฉิงซวง  : มี่จื่อ เจ้ามานั่งตรงนี้ดีกว่า ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าอีกเยอะแยะ อย่าไปสนใจเพ่ยซานเลย

          ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ถูกรุมถามคำถามมากมายจากเพื่อนในกลุ่มและพวกเขาก็สนใจกันมากคือเรื่องไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ พวกเขาถามฉันถึงขั้นตอนและเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ฉันเล่าให้พวกเขาฟังว่าในคืนที่เราตรวจสอบแผนผังเมืองเพื่อดูเส้นทางแม่น้ำ ฉันเกิดอาการมึนเมาเหล้าเพราะหลี่จวินส่งเหล้าให้ดื่ม ฉันจึงจำเหตุการณ์ได้ไม่มากนัก แต่จำได้ว่าฉันเห็นภาพแม่น้ำเป็นมังกรท้องอ้วนอุดมสมบูรณ์ และมังกรขับถ่ายของเสียออกทางก้น คือบริเวณร่องน้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ จากนั้นอาจารย์ศิษย์พี่สี่ได้คำนวนการไหลของน้ำและกระแสน้ำวนที่เกิดขึ้นบริเวณนั้นว่าหีบสมบัติจะถูกน้ำพัดพาไปอยู่ตรงจุดใดในร่องน้ำ ลี่ถังจึงเกณฑ์คนจากหน่วยสอบสวนที่สามารถดำน้ำได้ไปงมหา และได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านไปช่วยกันงมตลอดทั้งคืน ส่วนฉันที่เมาเหล้าจนยืนไม่ไหวถูกพาไปนอนพักผ่อนในห้อง พอตื่นเช้าขึ้นมาจึงได้รู้ว่าหีบสมบัติที่พบคือ ไข่มุกเบญจมาศ และถูกนำส่งคืนราชสำนักเรียบร้อยแล้ว

    หลวนเฉิน  : เจ้าคิดออกได้ยังไงว่าแม่น้ำคือมังกรเจ้าสำราญ
             มี่จือ  : เอ่อ...คงเพราะลักษณะของแม่น้ำเหมือนท้องมังกร ที่กินอาหารเข้าไปจนเต็มท้อง ข้าจึงมองว่าเป็นมังกรเจ้าสำราญ เอ่อ...ไม่รู้สิ ข้าเมา
         ช่างอิ่น  : จะบอกว่าบังเอิญงั้นสิ?
             มี่จื่อ  : ใช่! ประมาณนั้นแหละ
         จิ่นเกอ  : บังเอิญมองเห็นแม่น้ำเป็นมังกร บังเอิญมองเห็นก้นมังกรขับถ่ายของเสียเป็นร่องน้ำ บังเอิญคำนวนกระแสน้ำถูกต้อง บังเอิญงมหีบสมบัติเจอ มันเป็นความบังเอิญที่แม่นยำเกินไป เจ้าไม่ต้องถ่อมตัว ขนาดเจ้าเมายังเก่งและฉลาดขนาดนั้น เวลาปกติที่ไม่เมาจะฉลาดขนาดไหน
            มี่จือ  : สมองข้าก็จะตื้อทึบตันไปเลยน่ะสิ ฮ่าฮ่า
        จิ่นเกอ  : แล้ววันนี้ท่านหลี่จวินมาที่นี่ทำไม หรือมีคดีใหญ่ต้องไปสืบอีกหรือเปล่า
        ช่างอิ่น  : นั่นสิ บอกหน่อย ข้าสนใจ เพราะข้าจะได้หัดศึกษาการสืบคดีไว้ เพื่อไปสอบเข้าหน่วยสอบสวนกับจิ่นเกอ
    หลวนเฉิน  : เราจะไม่บอกใคร แค่จะติดตามข่าวคราวและคิดตามไปด้วยเท่านั้น
            มี่จือ  : ท่านหลี่จวินมาชวนอาจารย์ศิษย์พี่สี่ไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งตอนไปงานฉลองสำนักไป๋หู่ และให้อ่านบทกลอนบทหนึ่ง หลี่จวินคิดว่าน่าจะต้องมีความหมายอื่นซ่อนอยู่ในบทกลอน เพราะคดีถูกสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ผู้ตายเขียนกลอนบทนี้ทิ้งไว้ เพื่อนของหลี่จวินเป็นญาติกับคนตายบอกว่าคนตายไม่ชอบดื่มเหล้าเมามาย และไม่เคยมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นนอกจากภรรยา บทกลอนเขียนว่า

             "สุขใดไหนเล่า....
             เท่านั่งดื่มเหล้าบนหลังคา
             พร่ำเพ้อกับจันทรา
             ร่ำสุราอยากพบนงคราญ
             โฉมงามเจ้าปรากฏ
             ยวนยั่วยิ้มเบี่ยงหน้าเอียงอาย
             ข้าคือหนึ่งชายมุ่งหมายจูบ
             จุมพิตใกล้ชิดแสงดาว"

          เราพยายามช่วยกันนั่งคิดถึงความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในบทกลอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ฉันจึงบอกพวกเขาว่า คงต้องรอไปดูสถานที่เกิดเหตุอาจจะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวและหาความหมายอื่นเพิ่มเติมได้

雨碎江南 二胡版
Rain in Jiang Nan [Erhu Cover]
ฝนตกที่เจียงหนาน [ซอเอ้อร์หู]
Youtube by : Lemondew
  
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 47
(เดินทางไปสำนักไป๋หู่)

          เวลาผ่านไปจนถึงวันเดินทางไปร่วมงานฉลองสำนักไป๋หู่ เราออกเดินทางกันแต่เช้า ฉันนั่งอยู่ในรถม้าไปกับเฝิ่นลู่ ฉิงซวง และเลี่ยงซู ส่วนหลวนเฉิน จิ่นเกอ และช่างอิ่น ขี่ม้าร่วมในขบวนกับเหยียนเหล่ย และจินไห่ที่ถูกส่งให้มาช่วยดูแลเราที่เป็นศิษย์ใหม่ ฉันเห็นจินไห่ขี่ม้าเดินตามอยู่ข้างๆรถม้าฝั่งตรงข้ามที่ฉันนั่ง จึงลุกเดินไปโผล่หน้าต่างรถม้าเพื่อหยอกล้อจินไห่

            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่จินไห่ มาด้วยแบบนี้แล้วใครอยู่ติดตามอาจารย์เจ้าสำนัก
          จินไห่  : ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ดูแลอาจารย์เจ้าสำนักแทนข้า
            มี่จือ  : อาจารย์ศิษย์พี่จินไห่ คงอาสามาเองใช่มะ? ชอบงานเลี้ยงล่ะสิ?
          จินไห่  : อาจารย์เจ้าสำนักสั่งให้ข้ามาดูแลพวกเจ้า เพราะศิษย์พี่คนอื่นๆปฏิเสธการไปงานเลี้ยง
เหยียนเหล่ย  : เราจะหยุดรอขบวนท่านอ๋องหกที่ทางแยกข้างหน้านั่น ท่านอ๋องหกจะร่วมเดินทางไปกับเราด้วย
           เฝิ่นลู่  : ท่านอ๋องหก! ท่านอ๋องหกจะเดินทางไปกับเรา?! เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เห็นท่านอ๋องหก
         ฉิงซวง  : ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องหกเป็นคนหล่อเหลา เก่ง ฉลาด และสนใจเรื่องของชาวยุทธมากกว่าการนั่งติดเก้าอี้อยู่ในวัง
         เลี่ยงซู  : ท่านอ๋องหกหนุนหลังหน่วยสอบสวน และเป็นเพื่อนกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ด้วย
         ฉิงซวง  : อยากเห็นเร็วๆจังเลยว่าจะหล่อเหลาขนาดไหน นี่! มี่จื่อ เจ้าคงเคยเห็นท่านอ๋องหกแล้วใช่ไหม หล่อหรือเปล่า?
             มี่จื่อ  : หล่อสิ ท่านอ๋องหกเสด็จมาดื่มเหล้าที่จวนฮุ่ยเฉิงบ่อยๆ แต่ข้าชอบลูกสาวของท่านอ๋องหก องค์หญิงน้อยจินเอ๋อ น่ารักอย่างกับตุ๊กตา พูดแล้วก็คิดถึง

          เรายืนรออยู่ตรงบริเวณทางแยกจุดนัดพบได้ไม่นาน ขบวนรถม้าของท่านอ๋องก็เดินทางมาถึง โดยมีทหารจำนวนหนึ่งและองค์รักษ์ นำขบวนและตามหลังรถม้า ส่วนหลี่จวิน กับลี่ถัง ขนาบคนละข้างรถม้า ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิเศษจากหน่วยสอบสวน และท้ายขบวนคือนางกำนัลและขันทีเพียงไม่กี่คนตามเสด็จ เมื่อท่านอ๋องเดินทางมาถึงพวกเราจึงทำความเคารพ

        อ๋องหก  : ทุกคนลุกขึ้น รอกันนานหรือไม่
เหยียนเหล่ย  : ไม่นาน เราเองก็เพิ่งมาถึง
        อ๋องหก  : มี่จื่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้เป็นศิษย์สำนักเฟยอวี่ดีหรือไม่ ได้เพื่อนใหม่หรือยัง
             มี่จื่อ  : ได้เพื่อนใหม่แล้วเพคะ ได้เรียนวิชาต่างๆสนุกดี
         อ๋องหก  : จินเอ๋อคอยมาถามหาเจ้าที่ข้าอยู่บ่อยๆ บอกว่าอยากเล่นกับเจ้าอีกเมื่อไหร่เจ้าจะไปหา ยังบอกอีกว่าให้พาหมาป่ากับนายพรานสวยๆมาเล่นด้วยกันอีก
            มี่จื่อ  : หม่อมฉันก็อยากไปหาองค์หญิงจินเอ๋ออีกเพคะ คิดถึงจังเลย แต่ต้องรอให้อาจารย์ศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ยพาไป
        อ๋องหก  : ดี งั้นหลังกลับจากงานเลี้ยงฉลองสำนักไป๋หู่ เหยียนเหล่ยเจ้าพามี่จื่อไปร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันที่ตำหนักของข้า
เหยียนเหล่ย  : พะย่ะค่ะ
        อ๋องหก  : อีกนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงสำนักไป๋หู่
เหยียนเหล่ย  : ถ้าเราเดินทางกันไปเรื่อยๆโดยไม่รีบร้อน จะไปถึงในเมืองประมาณค่ำๆ แต่หากเร่งฝีเท้าให้เร็วหน่อยคงจะถึงช่วงบ่ายแก่ๆใกล้เย็น
        อ๋องหก  : อืม...งั้นเดินทางกันไปเรื่อยๆดีมั้ย แวะค้างในเมืองสักคืน
เหยียนเหล่ย  : พะย่ะค่ะ

          เราเดินทางกันแบบไม่รีบไม่ร้อน เมื่อยก็พักตามรายทางไปเรื่อย ฉันนั่งอยู่ในรถม้า มองเห็นเหยียนเหล่ยที่ขี่ม้าเดินอยู่ข้างฝั่งที่ฉันนั่ง เห็นเขามีเหงื่อออกซึมเล็กน้อยบนใบหน้า ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ฉันปักเป็นลายดอกท้อสีแดงด้วยตัวเอง ออกมายื่นให้เขาทางหน้าต่างแล้วพูดว่า

            มี่จื่อ  : ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อ
เหยียนเหล่ย  : ขอบใจ ลายดอกท้อสีแดง เจ้าปักเองรึ ฝีมือดี (เหยียนเหล่ยรับผ้าเช็ดหน้าจากมือและใช้นิ้วลูบที่นิ้วฉันแล้วส่งสายตาซุกซน)
            มี่จื่อ  : ใช่ ข้าปักเอง เวลาว่างหลังเลิกเรียนข้าให้เลี่ยงซูสอนข้าปักผ้าเช็ดหน้า
เหยียนเหล่ย  : แล้วของข้าล่ะ ไม่มีของข้าสักผืนรึ
            มี่จื่อ  : ท่านมีอยู่แล้วไงผืนนึง ลายดอกมะลิสีขาว ที่คนๆนั้นปักให้! (ฉันทำน้ำเสียงประชดประชัน)
เหยียนเหล่ย  : ผ้าผืนนั้นข้าไม่เคยหยิบมาใช้ ข้าเก็บไว้ในหีบวางไว้ที่ชั้นในห้องรับแขกที่จวนฮุ่ยเฉิง เพราะข้าชอบลายดอกท้อสีแดง งั้นข้าเอาผ้าผืนนี้เลยแล้วกัน (เหยียนเหล่ยเก็บผ้าเช็ดหน้าของฉันไว้ใต้อกเสื้อ)
            มี่จื่อ  : แต่ผ้าผืนนี้ข้าใช้เช็ดหน้าแล้ว เดี๋ยวข้าปักให้ท่านใหม่
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสา
           เฝิ่นลู่  : อะแฮ่ม! แววตาที่มองกันไม่เหมือนเจ้านายมองสาวใช้เลยสักนิด อีกทั้งยังมีความหมายที่สองแอบแฝงอยู่ในถ้อยคำที่คุยกัน แม้จะคุยกันแค่เรื่องผ้าเช็ดหน้าแต่ข้าสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรแอบแฝงอยู่ในผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น (เฝิ่นลู่กระซิบเบาๆ)
            มี่จื่อ  : เจ้าว่างมากหรือไงมาคอยสังเกตุสังการณ์ข้าเนี่ย
           เฝิ่นลู่  : ก็ว่างมากน่ะสิ ข้านั่งอยู่แต่ในรถม้าไม่มีอะไรให้ข้าทำน่าเบื่อจะตาย ข้าชอบการเคลื่อนไหวไปมา ข้าไม่ชอบการนั่งมองตากันเฉยๆในรถม้าแบบนี้ รู้งี้ข้าขี่ม้าเดินอยู่ข้างนอกกับพวกหลวนเฉินยังจะดีซะกว่า
        ฉิงซวง  : น่าอิจฉามี่จื่อที่ได้ใกล้ชิดกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ คิดดูสิได้อยู่ในจวนเดียวกัน อยู่ด้วยกันสองคนทั้งวันทั้งคืน ทำอะไรกันบ้างข้าอยากรู้จริงๆ
        เลี่ยงซู  : นั่นสิ บอกหน่อยๆ
            มี่จื่อ  : ทุกวันข้าต้องฝึกควบคุมพลังปราน แล้วก็ต้องคัดลอกแผนที่และแผนผังให้หน่วยสอบสวนเมื่อพวกเขาต้องการฉบับใหม่ ต้องอ่านตำรามนต์โบราณ และอักขระโบราณ บางครั้งก็ต้องทำงานแทนเมื่อคุณชาย เอ๊ย! เมื่ออาจารย์ศิษย์พี่สี่ไม่ว่าง
        เลี่ยงซู  : นั่นมันใช่งานของสาวใช้ทำซะที่ไหนกัน?
            มี่จื่อ  : ก็...ข้าเคยไปกวาดใบไม้หน้าจวนฮุ่ยเฉิง แต่พี่ฟูหลิวมาแย่งไม้กวาดไปทำเอง เขาบอกว่าข้ากวาดไม่สะอาดเขาต้องมากวาดต่อจากข้าอีกรอบอยู่ดี เขาจึงไม่ให้ข้ากวาด พอข้าไปเช็ดถูทำความสะอาดเรือนก็ทำไม่ค่อยสะอาด อาจารย์ศิษย์พี่สี่จึงเรียกสาวใช้ในจวนของท่านเสนาบดีให้กลับมาทำความสะอาดจวนฮุ่ยเฉิงตามเดิม ส่วนเรื่องทำอาหารอาจารย์ศิษย์พี่สี่ไม่ให้ข้าทำเพราะข้าจุดเตาฟืนไม่เป็นเขากลัวข้าจะทำไฟไหม้จวน
           เฝิ่นลู่  : เป็นสาวใช้ที่ไม่มีคุณสมบัติของสาวใช้เลยสักนิด อาจารย์ศิษย์พี่สี่รับเจ้ามาเป็นสาวใช้ได้ยังไง แล้วบ้านเจ้าอยู่ที่ไหน ทำไมถึงมาเป็นสาวใช้ได้ล่ะ?
             มี่จื่อ  : เอ่อ...เดี๋ยวข้าจะเล่นกลเหรียญล่องหนให้ดูแก้เบื่อเอาป่าว? ใครมีเหรียญบ้าง? (ฉันพูดตัดบทเพื่อเปลี่ยนเรื่องพูดคุย)
         ฉิงซวง  : เจ้าเล่นเป็นด้วยเหรอ เอาสิ! ข้าอยากดู ข้ามีเหรียญ นี่ๆ

          ฉันรับเหรียญมาจากฉิงซวงแล้วเล่นกลเหรียญล่องหนให้เด็กสาวทั้งสามดู ทั้งสามตื่นเต้นและสนุกสนานกันยกใหญ่ จนจินไห่โผล่หน้ามาถามตรงหน้าต่างรถม้าว่าทำอะไรกันเสียงดัง และบอกให้เราลดเสียงเบาลงหน่อย เราต่างหัวเราะให้กันเบาๆที่ถูกจินไห่ดุจึงลดเสียงให้เบาลงตามคำสั่ง

          ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงในเมืองในช่วงเวลาหัวค่ำ อาจเพราะที่เมืองนี้กำลังจะมีงานฉลองของสำนักไป๋หู่ จึงมีชาวยุทธจากสำนักต่างๆเดินทางมาหาที่พักในเมืองนี้ ร้านค้าและโรงเตี๊ยมต่างกวักมือเรียกลูกค้าเข้าร้านกันคึกคัก ท่านอ๋องหกสั่งให้องรักษ์ไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพัก สักครู่หนึ่งองครักษ์กลับมารายงานว่า มีโรงเตี๊ยมขนาดกลางว่างอยู่แห่งหนึ่ง อยู่ห่างตลาดออกไปไม่ไกลนักแต่มีห้องพักและอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน ส่วนโรงเตี๊ยมใหญ่ๆในตัวตลาดจะเหลือห้องว่างเพียงไม่กี่ห้อง และโรงเตี๊ยมขนาดกลางและขนาดเล็กห้องพักเต็มทั้งหมด เราจึงตัดสินใจไปพักกันที่โรงเตี๊ยมขนาดกลางที่อยู่ห่างตลาดออกไป โดยท่านอ๋องหกเช่าเหมาโรงเตี๊ยมทั้งหลังเพื่อให้เราสบายใจว่ามีอาหาร เครื่องดื่ม และห้องพักเพียงพอสำหรับทุกคนโดยแบ่งให้พักห้องละ 2-3 คน ซึ่งฉันพักอยู่ห้องเดียวกันกับเฝิ่นลู่

          เมื่อเราจัดเก็บข้าวของเข้าในห้องพักและนอนพักเอนหลังคลายเมื่อยล้ากันสักครู่ จึงเดินลงไปข้างล่างเพื่อรอกินอาหารพร้อมกันกับคนอื่นๆที่ทยอยเดินกันลงมาจากห้องพัก ฉัน ลี่ถัง และเพื่อนสาวอีกสามคนนั่งโต๊ะเดียวกัน ส่วนเหยียนเหล่ย หลี่จวิน จินไห่ นั่งโต๊ะเดียวกันกับท่านอ๋องหก ขณะนั้นเริ่มมีคนยกอาหาร เหล้า และน้ำชามาวางแต่ละโต๊ะ ท่านอ๋องหกบอกว่าเดินทางเมื่อยล้ากันมาทั้งวัน ให้พวกเรากินดื่มกันให้อิ่ม จากนั้นหลังกินอาหารเสร็จลี่ถังชักชวนเราไปเดินเที่ยวซื้อของในตลาด พวกเราสาวๆต่างเห็นชอบและอยากไป กลุ่มของหลวนเฉินได้ยินเราพูดคุยกันจึงขอตามไปเดินเที่ยวด้วย ฉันจึงรับหน้าที่ไปขออนุญาตเหยียนเหล่ยไปเดินเที่ยวซื้อของในตลาด
       
            มี่จื่อ  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่เราออกไปเดินเที่ยวในตลาดกันเถอะ ลี่ถังก็ไปด้วย
เหยียนเหล่ย  : ข้าต้องอยู่คุยธุระกับท่านอ๋องหกซะด้วยสิ แต่จะปล่อยให้พวกเจ้าไปกันเองข้าก็ไม่ไว้ใจความปลอดภัยของเจ้า
          จินไห่  : ข้าจะไปด้วย ศิษย์พี่สี่อย่ากังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้มี่จื่อคลาดสายตา
เหยียนเหล่ย  : ดี! เจ้าไปด้วยข้าก็เบาใจ
        อ๋องหก  : ข้าจะให้องค์รักษ์ของข้าติดตามไปด้วย ช่วยดูแลความปลอดภัย
เหยียนเหล่ย  : ขอบพระทัยท่านอ๋อง
             มี่จื่อ  : แค่ไปเดินเที่ยวในตลาดเองไม่ต้องมีองครักษ์ติดตามก็ได้มั้ง....
        หลี่จวิน  : เจ้าเด็กโง่! ชาวยุทธมากมายทั่วทิศมารวมตัวกันที่นี่ มีทั้งคนดีและคนชั่ว เราไม่รู้หรอกว่ามีใครบ้างที่คิดดีและคิดร้ายกับเรา ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด โดยเฉพาะเจ้า มี่จื่อ! งานใหญ่โตขนาดนี้หยางเค่อต้องไม่พลาดมาร่วมงานแน่
            มี่จื่อ  : อ่อ...ข้าเข้าใจแล้ว....เอ่อ...อาจารย์ศิษย์พี่สี่ขอเงินหน่อยสิ ข้าไม่มีเงิน (เหยียนเหล่ยล้วงหยิบเงินใส่มือให้ฉันจำนวนหนึ่ง)
เหยียนเหล่ย  : ห้ามอยู่ห่างจินไห่เด็ดขาด เข้าใจมั้ย?
             มี่จื่อ  : เข้าใจแล้ว ข้าไปล่ะแล้วจะซื้อขนมมาฝากนะ จินไห่ไปเร็ว! อย่าให้สาวๆรอนาน (ฉันดันหลังจินไห่ให้รีบเดิน)

          เราเดินไปกันเป็นกลุ่มใหญ่เก้าคน และมีองครักษ์ของท่านอ๋องหก เดินนำหน้าคนหนึ่ง และเดินตามหลังอีกคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีองครักษ์เดินตามอยู่รอบนอกอีกสองคนเดินปะปนอยู่กับชาวบ้านทั่วไป ลี่ถังชวนฉันเข้าไปดูร้านขายเชือกถักเป็นพู่ห้อยร้อยประดับด้วยลูกปัดสำหรับผูกห้อยกระบี่ ฉันจึงเลือกซื้อสีขาวสองชิ้นเป็นคู่กันไปฝากเหยียนเหล่ย ซึ่งสีขาวเป็นสีที่เหยียนเหล่ยชอบ และซื้อสีดำอีกหนึ่งชิ้นให้จินไห่เพื่อผูกห้อยที่ขลุ่ยเลาโปรดของเขา

            มี่จื่อ  : อาจารย์จินไห่ นี่พู่เชือกถักไว้ผูกขลุ่ยโปรดรับไว้ด้วย
          จินไห่  : เจ้าไม่ต้องให้ของแบบนี้กับข้าก็ได้
            มี่จื่อ  : รับไว้เถอะนะ ถือเป็นคำขอบคุณที่คอยสอนวิชาและช่วยดูแลข้า ถ้าไม่รับไว้จะเสียน้ำใจคนให้นะ เอาขลุ่ยมานี่ผูกพู่ไว้เลยแบบนี้
          จินไห่  : นี่เจ้า! ...แต่ก็ขอบใจนะ สวยดีเหมือนกัน
         ฉิงซวง  : โอ๊ะ!! อาจารย์จินไห่ รอก่อนข้าก็อยากซื้อพู่ให้ท่าน! ...นี่ค่ะ! ได้โปรดรับไว้ด้วย (ฉิงซวงรีบซื้อเชือกถักสีฟ้าคู่หนึ่งแล้วส่งชิ้นหนึ่งให้จินไห่)
          จินไห่  : เอ่อ...แต่ข้ามีแล้ว
            มี่จื่อ  : รับไว้เถอะ! ลูกศิษย์มอบให้ด้วยความรักและความเคารพ ลูกศิษย์จะได้มีกำลังใจและตั้งใจเรียนให้มากขึ้น (ฉันจับมือจินไห่ยื่นไปรับเชือกถัก)
          จินไห่  : ขอบใจนะ
            มี่จื่อ  : ผูกเลย ผูกที่ขลุ่ย เอามานี่ข้าผูกให้! (ฉันรีบหยิบเชือกถักสีฟ้าในมือจินไห่ผูกห้อยขลุ่ยด้วยกันกับเชือกถักของฉัน)
เฝิ่นลู่, เลี่ยงซู  : อาจารย์จินไห่! ได้โปรดรับเชือกถักของเราไว้ด้วยค่ะ
           จินไห่  : ขอบใจนะ
เฝิ่นลู่, เลี่ยงซู  : เราผูกเชือกถักที่ขลุ่ยให้อาจารย์ค่ะ
         จิ่นเกอ  : นี่พวกเจ้า! ใช้วิธีลัดเข้าหาอาจารย์จินไห่กันเหรอเนี่ย ....เอ่อ...ท่านอาจารย์ขอรับได้โปรดรับเชือกของข้าไว้ด้วย ข้าผูกเชือกให้ขอรับ
    หลวนเฉิน  : โปรดรับเชือกของข้าไว้ด้วย!
         ช่างอิ่น  : โปรดรับเชือกของข้าไว้ด้วย!

          กลายเป็นว่าพวกเราทั้งหมดมอบพู่เชือกถักให้จินไห่คนละเส้น จนขลุ่ยของเขามีพู่ห้อยร้อยเป็นพวงใหญ่จนเขาถึงกับหัวเราะ ฉันจึงแซวจินไห่ว่าพู่เชือกถักหลายเส้นนั้นบ่งบอกว่าจินไห่เป็นอาจารย์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่อาจารย์ ทำเอาเขายิ้มภูมิใจ จากนั้นเราจึงเดินไปดูของร้านอื่นๆกันต่อ

          ฉันหันไปเห็นร้านขายซาลาเปาลูกเล็กๆน่ากินจึงเดินตรงเข้าไปซื้อ หลวนเฉินเดินตามฉันเข้าไปด้วยและแย่งจ่ายเงิน ฉันจึงแบ่งซาลาเปาให้เขากินลูกหนึ่ง และแบ่งให้คนอื่นๆด้วย ขณะกำลังส่งซาลาเปาให้ช่างอิ่น ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมอง จึงพูดบ่นพึมพำกับช่างอิ่นว่าสงสัยฉันคิดไปเองว่ามีคนคอยจ้องมอง จินไห่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆถามฉันว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ฉันจึงบอกเขาว่าแค่รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตั้งแต่เดินผ่านตรอกตรงร้านขายผ้า แต่พอหันไปมองก็ไม่เห็นมีใคร จินไห่จึงเรียกองครักษ์ที่เดินอยู่ด้านหลังให้ไปดูตรอกตรงร้านขายผ้าที่ฉันบอก และเรียกองครักษ์อีกคนหนึ่งที่เดินนำหน้าอยู่ให้ระวังตัวเพิ่มขึ้นอาจมีคนกำลังสะกดรอยตามพวกเรา ไม่นานนักก็มีองครักษ์คนหนึ่งที่เดินตามอยู่รอบนอก เข้ามาบอกจินไห่ว่าเขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งท่าทางแปลกๆมีพิรุธเหมือนกำลังเดินตามเรา องครักษ์คนนั้นจึงจะเข้าไปถามแต่ชายแปลกหน้าคนนั้นรู้ตัวเสียก่อน จึงหลบหนีไปได้ จินไห่จึงถามถึงลักษณะของชายคนนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร องครักษ์บอกว่าเป็นชายผิวขาว รูปร่างสันทัด แต่งกายแบบชายทั่วไปแต่ที่คอคล้องสร้อยลูกประคำคล้ายพระแต่ไม่ใช่พระ ลี่ถังถึงกับร้องอ๋อ! ขึ้นมาทันที และบอกจินไห่ว่านั่นคือเจิ้งไฉ ผู้ใช้วิชาอ่านใจ

             ลี่ถัง  : เจิ้งไฉ คงตามมี่จื่อ คงอยากรู้เรื่องอะไรอีกแน่ๆ หรือไม่ก็มาติดตามความคืบหน้าหาทางไปหุบเขาจันทร์ดับ
          จินไห่  : ถ้าเจิ้งไฉเข้าถึงความคิดในหัวได้ ความลับก็คงไม่มีอีกแล้ว งั้นข้าพามี่จื่อกลับก่อน
             ลี่ถัง  : ตกลง! นี่เด็กๆเราเดินไปทางโน้นกันดีกว่ามีศาลเจ้าเข้าไปไหว้พระกันเถอะ

          ลี่ถังพาพวกฉิงซวงและคนอื่นๆเดินไปทางศาลเจ้า ส่วนจินไห่พาฉันหลบออกมาแล้วพาเดินเข้าไปในตรอกซอกเล็กๆมืดๆ พาเดินลัดเลาะออกไปจากตลาดจนกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ฉันรีบเดินไปหาเหยียนเหล่ยในห้องพักแล้วเล่าเรื่องที่ถูกเจิ้งไฉสะกดรอยตามในตลาด ฉันบอกเขาว่ากลัวถูกล้วงความลับเพราะเจิ้งไฉเคยรู้เรื่องแผนที่หุบเขาจันทร์ดับไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้ฉันรู้สึกกลัวเจิ้งไฉจริงๆ เหยียนเหล่ยจึงแนะนำว่า...

เหยียนเหล่ย  : เวลาที่เจิ้งไฉส่งความคิดเข้ามาอยู่ในหัว ให้เจ้าคิดถึงเรื่องของเราบนเตียง
             มี่จื่อ  : ห๊ะ! พูดจริงพูดเล่นกันเนี่ย?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าพูดจริง! ความคิดแบบนี้จะไปรบกวนสมาธิของเจิ้งไฉให้แตกกระเจิง และคงต้องใช้เวลาอีกสักพักเลยล่ะกว่าเขาจะตั้งสมาธิได้อีกครั้งหนึ่ง
            มี่จื่อ  : ร้ายกาจมาก ฮ่าฮ่า ท่านฉลาดชะมัดเลย แล้วท่านประชุมลับเรื่องอะไรกับท่านอ๋องหกเหรอ บอกข้าบ้างได้มั้ย?
เหยียนเหล่ย  : ไม่ได้มีความลับอะไรหรอก แค่พูดคุยกันเรื่องแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ แต่ที่ไม่ได้ให้เจ้าอยู่ฟังด้วยเพราะอยากให้เจ้าได้ไปเดินเที่ยวผ่อนคลายบ้าง
            มี่จื่อ  : อ๊ะ! ข้าซื้อเชือกถักมาฝากท่านด้วย สวยป่าว?
เหยียนเหล่ย  : สวย ข้าชอบ (เหยียนเหล่ยหอมแก้มฉันเป็นการขอบคุณ) พรุ่งนี้ข้ากับหลี่จวินจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนของหลี่จวินที่หน่วยสอบสวน เจ้าไปด้วยกันกับข้านะ ปล่อยเจ้าไว้ไกลหูไกลตาข้าไม่สบายใจ
            มี่จื่อ  : ก็ได้ งั้นขอข้าจูบท่านก่อนไปนอนนะ

          ฉันจูบเหยียนเหล่ยอย่างดูดดื่มก่อนเดินกลับไปที่ห้องพัก ก็เห็นลี่ถังกำลังพาจิ่นเกอ ฉิงซวง และเลี่ยงซูกลับเข้ามาพอดี พวกเขาจึงรีบเดินมาหาฉัน ส่วนลี่ถังเมื่อเห็นฉันกลับมาโดยปลอดภัย และสอบถามอะไรอีกนิดหน่อย ลี่ถังจึงแยกตัวกลับเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อน และไม่นานนักคนที่เหลือก็กลับมาถึงเช่นกัน เราจึงไปรวมตัวเพื่อพูดคุยกันในห้องพักของจิ่นเกอ พวกเขาถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลี่ถังกับองครักษ์บอกพวกเขาว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเรา ฉันจึงบอกพวกเขาว่าคนที่สะกดรอยตามพวกเราชื่อเจิ้งไฉ เป็นผู้ใช้วิชาอ่านใจอ่านความคิด เขาจะล้วงความลับที่อยู่ในหัวเรา หากรู้สึกเหมือนมีคนกำลังพูดคุยกับเราในหัวให้แกล้งคิดถึงเรื่องไร้สาระ บ้าๆบอๆเพื่อทำลายสมาธิเจิ้งไฉ

        ช่างอิ่น  : แต่ความลับของข้าคงไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา เป้าหมายคงไม่ใช่ข้า
    หลวนเฉิน  : เป้าหมายน่าจะเป็นเจ้าใช่มั้ยมี่จื่อ อาจารย์จินไห่ถึงได้รีบพาเจ้าหนีกลับมาก่อน แต่เห็นเจ้ากลับมาโดยปลอดภัยก็ดีแล้ว
           เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ! เจ้าต้องรู้ความลับอะไรสักอย่างแน่ๆแต่ไม่บอกพวกเรา
             มี่จื่อ  :เอ่อ! ข้าบอกไม่ได้จริงๆ เป็นเรื่องของราชสำนัก อย่าถามข้าอีกเลยนะ ข้าขอโทษที่วันนี้ทำให้พวกเจ้าหมดสนุก
         ฉิงซวง  : งั้นคืนนี้เรามาเล่นไพ่ทั้งคืนแก้เบื่อกันเถอะ
             มี่จื่อ  : ข้าเล่นไม่เป็น คืนนี้ข้าขอตัว พรุ่งนี้ข้าต้องออกไปทำธุระกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่และท่านหลี่จวิน
    หลวนเฉิน  : จะไปสืบคดีบทกลอนดื่มเหล้านั่นใช่มั้ย ให้ข้าติดตามไปด้วยสิ
         จิ่นเกอ  : ข้าไปด้วย!
             มี่จื่อ  : แต่ว่า....
           เฝิ่นลู่  : ไม่ต้องแต่แล้ว! แยกย้ายกันไปนอน เจอกันพรุ่งนี้เช้า

          สรุปว่าเราแยกย้ายกันไปนอน ส่วนพรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะบอกอาจารย์ศิษย์พี่สี่เองว่าจะขอติดตามไปด้วย พอรุ่งเช้าหลังกินอาหารเช้าและเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย เราเดินลงไปรอเหยียนเหล่ยกับหลี่จวินด้านล่างพบลี่ถังยืนรออยู่ก่อนแล้ว หลวนเฉินบอกกับลี่ถังว่าจะขอติดตามไปสืบคดีด้วย แต่พวกเขาขอแค่ไปดูเพื่อศึกษาประสบการณ์จะไม่ทำตัววุ่นวายหรือรบกวนเลย ลี่ถังจึงบอกว่าให้ขอกับหลี่จวินหรือเหยียนเหล่ยเพราะนางเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามิอาจตัดสินใจอนุญาตได้ เมื่อหลี่จวินกับเหยียนเหล่ยมาถึง หลวนเฉินกับทุกคนจึงกล่าวขอติดตามไปด้วยโดยให้เหตุผลว่า พวกเขาต้องการไปศึกษาหาประสบการณ์จริงเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ดีกว่ามานั่งๆนอนๆไร้ประโยชน์อยู่ในโรงเตี๊ยม อีกทั้งเพื่อในอนาคตพวกเขาอาจจะไปสอบเข้าทำงานในหน่วยสอบสวน แต่หลี่จวินตอบปฏิเสธเพราะเขาแค่ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเท่านั้น ลี่ถังจึงช่วยพูดเสริมให้ว่าพวกหลวนเฉินถึงจะเป็นเด็กแต่ก็มีความรับผิดชอบ และปฏิบัติตัวเชื่อฟังดีจะเห็นได้จากเมื่อคืนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ และไม่ดื้อรั้นอยู่เที่ยวกันต่อในตลาด ฉันจึงพูดขึ้นว่าประสบการณ์สำคัญกว่าการท่องจำในตำรา ซึ่งเหยียนเหล่ยเองก็ไม่ได้พูดขัดอะไรและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลี่จวินตัดสินใจ หลี่จวินจึงยินยอมอนุญาตเพราะทนเสียงตื๊อของพวกเขาทั้งหกคนไม่ไหว เราจึงออกเดินทางไปด้วยกันทันที

Love Love Love : Jolin Tsai
 Youtube by : Jolin Tsai



Love Love Love : (cover.)
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 48
(สืบจากกลิ่นแฝง)

          เรามาถึงหน่วยสอบสวนกันในช่วงเวลาสาย เจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่พาเราเข้าไปพบเหวินเหอหัวหน้าหน่วยที่กำลังรอการมาของเราอย่างใจจดใจจ่อ เขารีบเดินออกมาต้อนรับพวกเราและกล่าวทักทายทุกคน จากนั้นเหวินเหอเชิญเรานั่งดื่มน้ำชาและกินของว่าง หลี่จวินพูดคุยทักทายกับเหวินเหอตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน แล้วจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันถึงคดีเศรษฐีเจ้า เหวินเหอพาเราเข้าไปในห้องเก็บหลักฐาน แล้วหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งที่เก็บไว้ในหีบออกมาแกะห่อให้พวกเราดู ห่อผ้าเมื่อถูกแกะออกมีกลิ่นฉุนแปลกประหลาดคล้ายกลิ่นน้ำอบ ทำเอาฉันถึงกับผงะยืนเซเพราะเกิดอาการมึนหัวจากการได้กลิ่นฉุนนี้ ทำให้ทุกคนแปลกใจที่ฉันเกิดอาการแพ้กลิ่นฉุนของน้ำอบจนเวียนหัว

เหยียนเหล่ย  : เป็นอะไรหรือเปล่า? แพ้กลิ่นน้ำอบรึ?
             มี่จื่อ  : ไม่รู้ แต่มันทำให้ข้าเวียนหัว
         ฉิงซวง  : ออกไปพักสูดอากาศข้างนอกก่อนดีมั้ย
             มี่จื่อ  : ไม่เป็นไร เดี๋ยวคงดีขึ้น
เหยียนเหล่ย  : ถ้าไม่ไหวให้บอกข้านะ อย่าฝืน
      เหวินเหอ  : ให้นางออกไปพักข้างนอกก่อนก็ได้ ในนี้กลิ่นน้ำอบอาจจะฉุนไปหน่อยสำหรับนาง นี่มันเป็นกลิ่นที่ติดอยู่ที่เสื้อผ้าของเศรษฐีเจ้า
             มี่จื่อ  : กลิ่นน้ำอบอย่างเดียวรึ?! แต่ข้าได้กลิ่นอื่นด้วยนอกจากกลิ่นน้ำอบ (ฉันเริ่มมีอาการมึนหัวคล้ายคนเมาเพราะแพ้กลิ่นฉุนนี้)
        หลี่จวิน  : กลิ่นอะไร? ลองดมที่เสื้ออีกทีเจ้าได้กลิ่นอะไร? (หลี่จวินรีบหยิบเสื้อเศรษฐีเจ้ามาให้ฉันดมกลิ่น)
    หลวนเฉิน  : ท่านหลี่จวิน! มี่จื่อแพ้กลิ่นน้ำอบยังจะเอามาให้นางดมอีกรึ?! ดูสิมี่จื่อเริ่มคล้ายคนเมาแล้ว
             ลี่ถัง  : หลวนเฉิน! ตอนมี่จื่อเมานี่แหละดี รอดูสิ! เดี๋ยวจะได้เห็นมี่จื่ออีกบุคลิกหนึ่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลี่จวินกับเหยียนเหล่ยจัดการเถอะ พวกเจ้ายืนดูเฉยๆไปก่อน
    หลวนเฉิน  : แต่ว่า....
         จิ่นเกอ  : หลวนเฉินเจ้าอย่าห่วงเลยน่า ยังไงอาจารย์ศิษย์พี่สี่ต้องไม่ปล่อยให้มี่จื่อเป็นอะไรหรอก เรารอดูตามที่รองลี่ถังบอกเถอะ
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! ข้าจะประคองเจ้าเอง ไหนบอกซิได้กลิ่นอะไรจากเสื้อเศรษฐีเจ้า (เหยียนเหล่ยประคองกอดฉันที่ยืนเหมือนคนเมาเหล้า ฉันจึงเอื้อมมือโอบกอดเอวเหยียนเหล่ยแล้วซบเขาอย่างนิยมชมชอบ)
             มี่จื่อ  : ข้าได้กลิ่นน้ำอบฉุนนำเป็นกลิ่นแรก แล้วก็ได้กลิ่นเหล้าเป็นกลิ่นที่สอง และมีอีกกลิ่นหนึ่งที่บางเบามากคือกลิ่นยาเส้น หรือยาสูบ...หญิงงามที่เศรษฐีเจ้าคลอเคลียเป็นหญิงแบบไหนกันถึงได้ดื่มเหล้ารสแรง สูบยาเส้น ข้าเดาว่าเศรษฐีเจ้าก่อนตายต้องนั่งดื่มเหล้ากับสาวงาม หรืออาจเป็นหญิงคณิกา นอกจากหญิงคณิกาแล้วคงเป็นอื่นไปไม่ได้...แต่กลิ่นอะไรก็หอมสู้กลิ่นเสื้อของคุณชายเหยียนเหล่ยไม่ได้เลย หญิงงามใดก็หอมสู้คุณชายของข้าไม่ได้ (ฉันซบหน้าลงหอมที่เสื้อบริเวณหน้าอกของเหยียนเหล่ยและกอด)
        หลี่จวิน  : อืม...เสื้อของเศรษฐีเจ้ามีกลิ่นเหล้ากับกลิ่นยาสูบติดอยู่จริงๆด้วย ลองดมดูดีๆสิ (หลี่จวินส่งเสื้อให้เหวินเหอดมอีกครั้ง)
      เหวินเหอ  : โห! ข้าไม่ทันสังเกตมาก่อนเลยว่ามีกลิ่นอื่นแฝงอยู่ในเสื้อด้วย จมูกของนางรับรู้กลิ่นไวมาก ข้ายังมีของอีกชิ้นหนึ่งให้ดู! เป็นเสื้อของท่านเจ้าสำนักไป๋หู่คนก่อนมีกลิ่นน้ำอบติดเสื้อเหมือนกัน แต่ท่านเจ้าสำนักกระโดดหอบูชาเทพเก้าชั้นฆ่าตัวตาย (เหวินเหอส่งเสื้อให้หลี่จวิน)
        หลี่จวิน  : มี่จื่อ กลิ่นแบบเดิมใช่มั้ย กลิ่นน้ำอบ เหล้า และยาสูบ
             มี่จื่อ  : ใช่! เขาทั้งสองคนดื่มฉลองในสถานที่เดียวกันเพื่อแย่งหญิงงามแน่ๆ
      เหวินเหอ  : ทั้งสองคนฆ่าตัวตายหลังจากออกจากห้องเก็บตำราโบราณของสำนักไป๋หู่ และในห้องนั้นจะรมด้วยกำยานที่มีกลิ่นคล้ายน้ำอบนี้เพื่อผ่อนคลาย ข้าเคยสงสัยท่านชงอวี้เจ้าสำนักไป๋หู่คนใหม่ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะสงสัยเขามากขึ้นเพราะข้าเคยได้กลิ่นยาสูบแบบนี้ที่ติดเสื้อเขาตอนที่ข้าไปขอพบเขาตอนเกิดคดีใหม่ๆ แต่ท่านชงอวี้บอกว่าเขาไม่สูบยา แต่ข้ามั่นใจว่าท่านชงอวี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ
             ลี่ถัง  : เย็นนี้เราต้องไปงานเลี้ยงฉลองของสำนักไป๋หู่ เราขอให้ท่านชงอวี้เปิดห้องเก็บตำราและสมบัติโบราณให้เราเข้าชมเพื่อเปรียบเทียบกลิ่นน้ำอบจะดีหรือไม่
        หลี่จวิน  : เขาจะยอมเปิดให้เราเข้าชมง่ายๆรึ?
เหยียนเหล่ย  : ใช้อำนาจของท่านอ๋องหกให้มีประโยชน์สิ!
        หลี่จวิน  : อ๊ะ! ใช่แล้ว งั้นคงเหลือแค่บทกลอนเท่านั้นที่เราต้องพยายามตีความให้ออก
     เหวินเหอ  : คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะได้กลิ่นแอบแฝงที่ซ่อนอยู่ในเสื้อ นางเป็นใครกันรึ?
        หลี่จวิน  : มี่จื่อ เป็นทั้งสาวใช้และเป็นศิษย์รักของเหยียนเหล่ย นางคือสาวใช้ผู้ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ ฉะนั้นอย่าห่วง มี่จื่อไม่ใช่เด็กพูดพล่ามเพ้อเจ้อเวลาเมา (หลี่จวินบอกเหวินเหอ)
     เหวินเหอ  : จริงรึนี่?!
เหยียนเหล่ย  : ข้าขอพามี่จื่อออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกก่อน ดูท่าจะเมากลิ่นน้ำอบมาก (เหยียนเหล่ยอุ้มฉันออกไปจากห้องเก็บหลักฐาน โดยมีเพื่อนๆเดินตามออกมาด้วยเพราะเป็นห่วง)
          เฝิ่นลู่  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ ท่านกลับเข้าไปคุยเรื่องคดีต่อเถอะ ทางนี้เราจะดูแลมี่จื่อเอง
เหยียนเหล่ย  : ขอบใจพวกเจ้ามาก ฝากมี่จื่อด้วย

          เหยียนเหล่ยปล่อยหน้าที่ให้กลุ่มเพื่อนดูแลฉันต่อ แล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปด้านใน เลี่ยงซูจึงรีบไปตักน้ำแล้วนำผ้าเช็ดน้ำมาชุบน้ำเช็ดหน้าให้ฉัน หลวนเฉินกับช่างอิ่นช่วยกันใช้ผ้าโบกให้เกิดลมพัดถ่ายเท ฉิงซวงวิ่งไปขอยาหอมที่เจ้าหน้าที่มาให้ฉันดม จิ่นเกอไปรินน้ำชามาให้ฉันดื่ม จนอาการเวียนหัวของฉันดีขึ้น และตามมาด้วยคำถามมากมายจากทุกคน

           เฝิ่นลู่  : เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าทำไมถึงได้แพ้กลิ่นน้ำอบจนเหมือนคนเมาเหล้าแบบนี้?
             มี่จื่อ  : ข้าไม่รู้ แต่กลิ่นมันฉุนจนข้าเวียนหัว
         จิ่นเกอ  : เจ้าจำได้มั้ยว่าพูดอะไรตอนที่อยู่ในห้องนั้น
            มี่จื่อ  : จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง แต่ข้าคงพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพราะเวียนหัว ถ้าข้าพูดอะไรไม่ดีออกไปข้าต้องขอโทษทุกคนด้วย
    หลวนเฉิน  : เจ้าพูดว่าได้กลิ่นเหล้า กับกลิ่นยาเส้น ทำไมเจ้าถึงได้กลิ่น พวกข้าต้องดมกลิ่นอีกครั้งจึงจะได้กลิ่นนั้น แล้วทำไมถึงรู้ว่าว่าเป็นกลิ่นยาเส้น ถ้าเจ้าไม่บอกก็ไม่มีใครได้กลิ่นเลยจริงๆ
            มี่จื่อ  : คงเพราะข้าเคยแอบขโมยยาเส้นของพ่อไปสูบ ตอนนั้นข้ายังเด็กจึงอยากรู้อยากลอง แต่ข้ายังจำกลิ่นและรสชาติของมันได้
         ฉิงซวง  : เจ้าร้ายกาจนัก ฉวยโอกาสล่วงเกินอาจารย์ศิษย์พี่สี่ตอนเมา แนบเนียนนัก ฮ่าฮ่า ข้าล่ะอิจฉา
   หลวนเฉิน  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ต่างหากฉวยโอกาสตอนมี่จื่อเมากลิ่นน้ำอบ
            มี่จื่อ  : โอ๊ะ! ขะ ข้าผิดเองอย่าโทษอาจารย์ศิษย์พี่สี่
           เฝิ่นลู่  : สืบคดีแบบนี้สนุก ตื่นเต้นชะมัด ข้าไม่ผิดหวังเลยที่ตื้อขอติดตามมาด้วย
         จิ่นเกอ  : อยากรู้จังใครคือคนร้ายตัวจริง

          เราเดินทางกลับโรงเตี๊ยมกันช่วงบ่าย เหยียนเหล่ย หลี่จวิน และลี่ถัง ไปรายงานเรื่องคดีกับท่านอ๋องหก ส่วนฉันกับกลุ่มเพื่อนเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงที่สำนักไป๋หู่เย็นนี้ เพื่อนในกลุ่มทุกคนดูตื่นเต้นกันมากเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าชงอวี้เจ้าสำนักไป๋หู่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีคนตายสองคน พวกเขาดูจะสนใจใคร่รู้เรื่องนี้กันมาก เมื่อถึงเวลานัดหมายเราจึงออกเดินทางไปสำนักไป๋หู่ เราเดินทางมาถึงสำนักไป๋หู่มีเหล่าชาวยุทธจำนวนมากมาร่วมงานรวมทั้งเหวินเหอก็มาด้วย ท่านชงอวี้เจ้าสำนักไป๋หู่คนใหม่ออกมาต้อนรับท่านอ๋องหกอย่างเอิกเกริก เขาเป็นคนแก่ท่าทางแข็งแรง บุคลิกน่าเชื่อถือ เขาพาเราเดินเข้าในห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นห้องงานเลี้ยง รอแขกเหรื่อมาพร้อมหน้าพร้อมตา ท่านชงอวี้บอกว่าจะเปิดห้องเก็บตำราโบราณและสมบัติล้ำค่าของสำนักให้ท่านอ๋องหกและทุกคนได้ชม


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 49
(คำเตือน)

          ในขณะนั้นเหยียนเหล่ยก็หันไปเห็นท่านเสนาบดีขั้นสองต่งเหยียนอี้ เดินเข้ามาในงานเลี้ยงกับฮูหยินต่ง และเหมยหลินที่ขอติดตามมาด้วย เหยียนเหล่ยจึงพาฉันเข้าไปทำความเคารพบุคคลทั้งสองตามมารยาท ฉันจำใจเดินตามเหยียนเหล่ยไปและแสดงความเคารพบุคคลทั้งสอง มีเพียงฮูหยินต่งที่กล่าวทักทายฉัน และถามไถ่ด้วยความห่วงใย แต่ท่านเสนาบดีต่งส่งเสียงกระแอมเหมือนขัดใจ ฮูหยินต่งจึงหยุดซักถามและยิ้มเจื่อนๆให้ฉันแทน ท่านเสนาบดีต่งจึงขอพูดคุยกับเหยียนเหล่ยเป็นการส่วนตัวสักครู่ ทิ้งให้เหมยหลินยืนมองค้อนฉันตาขวางอยู่กับฮูหยินต่งผู้ใจดี
       
      เสนาบดี  : เจ้าย้ายออกจากจวนไม่คิดจะบอกข้าสักคำ เจ้าทำแบบนี้จะให้ข้าตอบพ่อของเหมยหลินว่ายังไง ว่าเจ้าทิ้งคู่หมั้นแล้วหนีตามสาวใช้ไป
เหยียนเหล่ย  : ก็พูดไปตามที่ท่านพูดไปเมื่อกี้นั่นแหละ
       เสนาบดี  : เจ้าคิดจะปัดความรับผิดชอบให้ข้ารึ?!
เหยียนเหล่ย  : ท่านขอให้ข้าหมั้นหมายกับเหมยหลิน ข้าก็ทำให้แล้ว ท่านจะให้ข้าเข้าพิธีแต่งงานกับเหมยหลิน ข้าก็รับปากจะทำให้อย่าห่วง แต่ข้าไม่ได้รับปากว่าจะเข้าห้องหอกับนาง ดังนั้นอย่าบังคับข้าให้ไปอยู่กับเหมยหลิน ถึงวันเข้าพิธีแต่งงานข้าจะกลับไปเข้าพิธีอย่าห่วง
      เสนาบดี  : แต่เจ้าจะเอาสาวใช้เป็นภรรยาไม่ได้!
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อเป็นภรรยาของข้ามานานแล้วและจะเป็นตลอดไป อีกอย่างตอนนี้มี่จื่อเป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่ นางไม่ใช่สาวใช้อีกแล้ว ข้ายังมีธุระต้องทำ ขอตัว
   เหมยหลิน  : เดี๋ยวก่อน! ทคุณชายเหยียนเหล่ย ท่านไม่คิดจะถามไถ่ถึงข้าบ้างรึ ข้าเป็นคู่หมั้นหมายของท่านนะ!
เหยียนเหล่ย  : อืม...เจ้าสบายดีรึ?
    เหมยหลิน  : ข้าคิดถึงท่านมาก ทำไมท่านย้ายออกจากจวน?
เหยียนเหล่ย  : เพราะคนที่ข้ารักไม่ได้อยู่ที่จวนนั่น ข้าจึงต้องย้ายออกไปอยู่เคียงข้างคนที่ข้ารัก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว

          ฉันเดินตามหลังเหยียนเหล่ยกลับมาหาท่านอ๋องและทุกคน เหยียนเหล่ยเดินแยกไปโดยไม่สนใจฟังคำเรียกทัดทานของเหมยหลิน ทำให้นางโกรธหน้ามุ่ยตาขวางแต่ก็ไม่กล้าออกอาการมากนักเพราะมีคนอยู่ในงานกันเยอะ ท่านเสนาบดีต่งจึงพาฮูหยินและเหมยหลินมาทำความเคารพและทักทายท่านอ๋องหก ฉิงซวงกระซิบถามฉันว่าเหมยหลินเป็นใคร ฉันบอกว่านางเป็นคู่หมั้นหมายของอาจารย์ศิษย์พี่สี่เหยียนเหล่ย ทำเอาฉิงซวงทำหน้าอ้าปากค้างตกใจ เหมยหลินด้วยความที่นางเกลียดขี้หน้าฉันและอยากกลั่นแกล้งให้ฉันอับอาย นางจึงใช้ฉันให้ไปยกน้ำมาให้นางดื่ม

    เหมยหลิน  : มี่จื่อ! ไปยกน้ำชามาให้ข้าดื่มหน่อย
            จินไห่  : มี่จื่อ! ไม่ต้องทำ
    เหมยหลิน  : แต่นางเป็นสาวใช้!
        อ๋องหก  : มี่จื่อตอนนี้เป็นศิษย์สำนักเฟยอวี่ และเป็นศิษย์น้องของเหยียนเหล่ย มี่จื่อสมควรได้รับเกียรติในฐานะศิษย์ของสำนักเฟยอวี่ นางมิใช่สาวใช้ในจวนอีกแล้ว หากแม่นางเหมยหลินต้องการดื่มน้ำ ข้าจะเรียกเด็กรับใช้ยกน้ำมาให้เจ้าดื่ม
       เสนาบดี  : โอ๊ะ! ท่านอ๋องหก ขอประทานอภัยให้เหมยหลินด้วย พอดีนางไม่ชินกับการเดินทางไกลทำให้หงุดหงิดจึงเสียมารยาทต่อหน้าท่านอ๋อง กระหม่อมจะกล่าวตักเตือนนางเองพะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รบกวน (ท่านเสนาบดีจึงพาฮูหยินและเหมยหลินออกไปยืนห่างๆแต่ไม่ไกลนักแล้วเรียกให้เด็กรับใช้ในงานยกน้ำชามาให้ดื่ม)
           เฝิ่นลู่  : ผู้หญิงอะไรร้ายกาจจริงๆ เหมือนท่านเสนาบดีกับยัยคุณหนูนั่นจะไม่ชอบเจ้าเอามากๆเลยนะมี่จื่อ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?
            มี่จื่อ  : พวกเขามีความคิดแบบเดียวกับเพ่ยซาน มองเห็นข้าเป็นสาวใช้ชั้นต่ำ
         เลี่ยงซู  : แต่ในสายตาของข้า เจ้าคือเพื่อนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่าสนใจคนพวกนั้นเลย เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันตรงนั้นดีกว่า

          เรากลุ่มสาวๆจึงเดินไปหาอะไรกินแก้หงุดหงิดที่เหมยหลินมาหาเรื่อง และฆ่าเวลาระหว่างรอแขกเหรื่อคนอื่นๆ ขณะฉันกำลังเลือกชิมขนมบนโต๊ะพร้อมกับแขกคนอื่นๆก็มีชายคนหนึ่งขยับมายืนข้างๆฉันและถามฉันว่าขนมอร่อยมั้ย ฉันจึงหันไปมองหน้าเขาเพราะเขาเสียงคุ้นๆหูเขาคือ ...หยางเค่อ

          หยางเค่อทำเสียงชู่ววว แล้วพูดเสียงเบาๆกับฉันว่า "เจ้าอย่าเข้าไปในห้องเก็บสมบัติ ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด อย่าเข้าไป!!" จากนั้นเขาก็เดินหายไปในกลุ่มผู้คนในงาน และทันไดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงคนพูดในหัวฉันขึ้นมาว่า...

          เจิ้งไฉ  : ....ไม่รู้ทำไมเจ้าหยางเค่อถึงได้เป็นห่วงเจ้านัก เจ้าเด็กปากเสีย (เขาพูดกับฉันในหัว)
             มี่จื่อ  : ....เจิ้งไฉ! เจ้าคนไร้รสนิยม ไม่รู้จักส่องกระจกก่อนออกจากบ้าน (ฉันคิดคุยโต้ตอบเขาในหัว และพยายามมองหาจนเจอเขายืนอยู่ข้างเสาห่างออกไปพอสมควร)
          เจิ้งไฉ  : ....วันนี้ข้าไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับเจ้า บอกมาจะไปหุบเขาจันทร์ดับได้ยังไง?
             มี่จื่อ  : ....ไม่รู้โว๊ย! (ฉันจึงนึกถึงหนังเอวีญี่ปุ่นที่เคยดูฉากกำลังเริงรักเร่าร้อนบนเตียง เพื่อทำลายสมาธิเจิ้งไฉให้ออกไปจากหัวฉัน)
          เจิ้งไฉ  : ....จะ เจ้า!!! กำลังนึกถึงอะไร?! เจ้าเด็กลามก!!! (เจิ้งไฉสมาธิแตกกระเจิงหยุดอ่านความคิดฉันแล้วเดินหน้าแดงหายไปจากตรงนั้น)
             มี่จื่อ  : ....เข้ามาในหัวอีกสิ! คราวนี้เจอสวิงกิ้งสามคนแน่! ฮึ่ม!!! (ฉันคิดในใจ)
             ลี่ถัง  : มีอะไรหรือเปล่าเห็นทำหน้าแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้
         ฉิงซวง  : เจ้ากำลังมองหาใคร?
             มี่จื่อ  : เจิ้งไฉ ข้าเห็นเจิ้งไฉ เขากำลังอ่านความคิดข้า นี่! มีคนบอกข้าห้ามเข้าห้องเก็บสมบัติ ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด!
             ลี่ถัง  : ใครบอกเจ้า?! โอ๊ะ! ไม่ทันแล้ว! ท่านอ๋องหกกับพวกเขากำลังเดินเข้าไปในห้องนั้น พวกเจ้ารออยู่นี่ ข้าจะเข้าไปเตือนพวกเขาเอง
            มี่จื่อ  : ข้าจะไปด้วย!
           เฝิ่นลู่  : ข้าไปด้วย! (ฉิงซวงกับเลี่ยงซูวิ่งตามมาด้วย)

曉華林小坤 - 甜到爆表能否給個機會讓我做你寶貝動態歌
คุณให้โอกาสฉันได้ไหม
Youtube by : EHP Music Channel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 50
(ถูกขังในห้องลับ)

          เรารีบวิ่งตามทุกคนเข้ามาในห้องเก็บสมบัติที่ชงอวี้เจ้าสำนักไป๋หู่คนใหม่เปิดห้องเก็บสมบัติให้ทุกคนชมตามความต้องการของท่านอ๋องหก เมื่อวิ่งเข้าไปห้องเก็บสมบัติของสำนักที่เป็นห้องโถงใหญ่ มีของโบราณสะสมอยู่หลายชิ้น ภายในห้องเก็บสมบัติมีกลิ่นกำยานที่กลิ่นคล้ายน้ำอบ เป็นกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นที่ติดเสื้อของกลางสองชิ้นที่หน่วยสอบสวน และพวกเราทุกคนก็หันมองหน้ากันเป็นสัญญานว่าเป็นกลิ่นชนิดเดียวกันไม่ผิดแน่ ท่านเจ้าสำนักชงอวี้อยู่ในห้องเริ่มแนะนำทุกคนถึงของสะสมโบราณแต่ละชิ้นที่อยู่ในห้อง ส่วนฉันเองก็เริ่มมีอาการแพ้กลิ่นน้ำอบ จนยืนโซเซ เหยียนเหล่ยจึงรีบเข้ามาประคองฉันไว้ เพียงครู่เดียวคนรับใช้ก็เดินแจกจอกเหล้ากลิ่นแรงให้ทุกคนที่อยู่ในห้องเก็บสมบัติ เพื่อร่วมดื่มอวยพรให้ชงอวี้เจ้าสำนักไป๋หู่พร้อมๆกันแต่ที่น่าแปลกใจก็คือพวกเราทุกคนรวมถึงเหยียนเหล่ยกลับมีสีหน้ายินดีและคล้อยตามคำพูดของชงอวี้ รวมถึงลี่ถังและเพื่อนสาวอีกสามคนของฉันที่คล้อยตามรับจอกเหล้ามาถือรอดื่มตามคำสั่งของชงอวี้ ฉันที่ยืนโซเซเวียนหัวจนแทบจะครองสติไม่อยู่ ตัดสินใจรีบปัดเหล้าในมือเหยียนเหล่ยและเหวี่ยงมือสะเปะสะปะปัดเหล้าในมือคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆฉันตกพื้นจนเสียงดัง เพล้ง! จนพวกเขาตกใจได้สติกลับมา ฉันจึงร้องโวยวายเหมือนคนเมาเหล้าอาละวาดบอกกับทุกคนว่า...

            มี่จื่อ  : อย่าดื่มเหล้า! ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด!
            ลี่ถัง  : โอ๊ะ! ห้ามดื่มเหล้านะทุกคน ห้ามดื่ม (ลี่ถังและเพื่อนสาวทั้งสามคนได้สติ จึงรีบช่วยปัดเหล้าในมือคนอื่นตกลงพื้น)
        อ๋องหก  : เกิดอะไรขึ้น?
        หลี่จวิน  : ข้ารับจอกเหล้ามาตอนไหนเนี่ย?
           ชงอวี้  : นี่เจ้า! ใครใช้ให้นังเด็กไร้มารยาทพวกนี้เข้ามา พาพวกนางออกไป
           จินไห่  : อย่านะ! ใครก็ห้ามแตะต้องพวกนาง
เหยียนเหล่ย  : ในเหล้ามีอะไรรึ มี่จื่อ เกิดอะไรขึ้นทำไมก่อนหน้าข้าจำไม่ได้
            มี่จื่อ  : ในเหล้าไม่มีอะไร แต่ในกลิ่นกำยานที่มีกลิ่นคล้ายน้ำอบมียากล่อมประสาทผสมอยู่ สูดดมเข้าไปมากๆจะมีอาการเคลิบเคล้มมึนงง มันมิใช่กลิ่นที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายแต่อย่างใด แต่มันคือยากล่อมประสาท ส่วนเหล้ารสแรงเป็นตัวกระตุ้นประสาททำให้เกิดอาการประสาทหลอน จากนั้นท่านเจ้าสำนักชงอวี้จะสั่งให้พวกท่านทุกคนทำอะไรก็ได้ตามคำสั่ง แม้กระทั่งสั่งให้ทุกคนฆ่าตัวตาย
           ชงอวี้  : นังเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน มาพูดจาซี้ซั้วไร้มารยาทในงานฉลองตำแหน่งของข้า
     เหวินเหอ  : ชงอวี้! ยอมรับผิดมาซะดีๆว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเจ้าสำนักคนก่อน และการตายของเศรษฐีเจ้า เจ้าฆ่าพวกเขา
           ชงอวี้  : เจ้าอย่าพยายามใส่ความข้า เจ้ามีหลักฐานอะไรมาชี้ว่าข้าเป็นคนฆ่าสองคนนั่น ในเมื่อเจ้าก็ชันสูตรศพแล้วว่าพวกเขาล้วนฆ่าตัวตายเอง
      เหวินเหอ  : แต่เขาทั้งสองคนพบกับเจ้าก่อนตาย ที่เสื้อผ้ามีกลิ่นกำยานกลิ่นแบบนี้ มีกลิ่นเหล้า และกลิ่นยาสูบติดเสื้อ ข้าเคยได้กลิ่นยาสูบจากตัวเจ้า
           ชงอวี้  : ข้าไม่เคยสูบยา ในสำนักและในเรือนของข้าก็ไม่มีก้านสำหรับสูบยาเลยสักอัน ใครๆต่างก็รู้ว่าข้าไม่สูบยา เจ้าปรักปรำข้าเกินไปแล้ว
      ชาวยุทธ  :....ใช่ๆท่านชงอวี้ไม่สูบยา
             มี่จื่อ  : ตาแก่! เจ้านั่นแหละสูบยา (ฉันเดินเมากลิ่นกำยานโซเซไปหาชงอวี้ โดยมีเหยียนเหล่ยคอยประคองและคนอื่นๆเดินตามมาด้วย) เจ้าไม่ได้แค่สูบยาธรรมดาแต่เจ้าติดยาสูบเลยด้วยซ้ำ!
           ชงอวี้  : เจ้าเมาแล้วพูดมั่วซั่ว
    เหมยหลิน  : นังสาวใช้ทำตัวงามหน้านัก! ได้เดือดร้อนกันแน่ล่ะทีนี้! (เหมยหลินพูดกับท่านเสนาบดี)
             มี่จื่อ  : ตาแก่! (ฉันชี้หน้าด่าชงอวี้) ข้าได้กลิ่นยาสูบมาจากตัวเจ้า แม้เจ้าจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนกลิ่นยาสูบไม่มีติดเสื้อผ้า แต่กลิ่นมันยังคงติดอยู่ที่นิ้วของเจ้า เจ้าสูบยาจัดจนนิ้วที่ใช้คีบมวนยาสูบกลายเป็นสีเหลือง เพราะเจ้าใช้นิ้วคีบมวนยาสูบแบบนี้ (ฉันชูนิ้วทำท่าเหมือนคีบมวนบุหรี่) เจ้าจึงไม่มีก้านสำหรับสูบยาไง!
           ชงอวี้  : เจ้าโกหก พูดจาไร้สาระ (เขารีบดูนิ้วตัวเองแล้วพยายามถูคราบสีเหลืองที่นิ้วออก)
        อ๋องหก  : เจ้าสำนักชงอวี้ ยื่นมือออกมาให้หน่วยสอบสวนตรวจนิ้วมือของท่านเดี๋ยวนี้
     เหวินเหอ  : (เหวินเหอก้มดมกลิ่นที่นิ้วมือของชงอวี้) ข้าได้กลิ่นยาสูบติดอยู่ที่นิ้วท่านชงอวี้ เป็นกลิ่นยาสูบชนิดเดียวกันกับที่ติดเสื้อของเจ้าสำนักคนก่อน กับเศรษฐีเจ้าที่ตายไป ข้าไปสืบมาแล้วยาสูบชนิดนี้มีราคาแพงมากจึงมีลูกค้าเพียงไม่กี่คนที่ซื้อ และร้านขายยาสูบชนิดนี้มีเพียงสองร้านในเมืองเท่านั้นที่นำยาสูบชนิดนี้เข้ามาขาย แต่มีเพียงร้านเดียวที่ท่านชงอวี้ให้คนรับใช้ไปซื้อคือร้านยาสูบอู่หลง นี่คือตั๋วเงินของท่านชงอวี้ที่ไปซื้อยาสูบ และรายการสั่งซื้อยาสูบ ขอรับท่านอ๋องหก
        หลี่จวิน  : งั้นก็สรุปได้ว่า ท่านชงอวี้ลงมือฆ่าเจ้าสำนักคนก่อนกับเศรษฐีเจ้าด้วยการรมยากล่อมประสาท และให้ดื่มเหล้ากระตุ้นประสาท ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน จากนั้นก็สั่งให้พวกเขาฆ่าตัวตาย และท่านก็กำลังจะทำแบบเดียวกันกับพวกเราอีกครั้ง ข้าพูดถูกต้องมั้ย ท่านชงอวี้?
        อ๋องหก  : เจ้าสำนักชงอวี้ ตอบมาเจ้าทำแบบนั้นทำไม?
           ชงอวี้  : เพราะเจ้าสำนักคนก่อนไม่มีความทะเยอทะยาน คอยขัดแข้งขัดขาข้า สำนักไป๋หู่ไม่เจริญก้าวหน้าสักที เขาจึงไม่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักต่อไป ส่วนเศรษฐีเจ้ามันมีของที่ข้าต้องการ แต่มันคิดไม่ซื่อคิดจะฮุบไว้คนเดียวมันจึงต้องตาย เจ้าก็เหมือนกันอ๋องหก เมื่อเจ้าตายแล้วแผนที่หุบเขาจันทร์ดับก็จะเป็นของข้า
        หลี่จวิน  : บังอาจ!!! คิดจะปลงพระชนม์ท่านอ๋อง องครักษ์คุ้มครองท่านอ๋องด้วย ข้าจะไปจับชงอวี้มาลงโทษ
           ชงอวี้  : เจ้าจับข้าไม่ได้หรอก เพราะพวกเจ้าต้องตายทุกคน เจิ้งไฉ! ปิดประตู!

          ทันใดนั้นชงอวี้ก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องไป คนอื่นๆกำลังจะตามจับชงอวี้ แต่เจิ้งไฉเข้าขวางทางไว้ปล่อยพลังกระแทกใส่คนที่จะวิ่งตามเขาให้ล้มลงหงายหลังกระแทกพื้น แล้วเจิ้งไฉก็กดปุ่มกลไกปิดประตูขังเราไว้ในห้องเก็บสมบัติ ทันไดนั้นก็มีหอกไม้พุ่งใส่คนที่ยืนออกันจะออกอยู่หน้าประตู บ้างหลบทันและหลายคนหลบไม่ทันถูกหอกไม้แหลมพุ่งแทงตายคาหน้าประตู ทำเอาทุกคนต่างร้องตกใจ และเราที่เป็นผู้หญิงต่างส่งเสียงร้องกรี๊ดหวาดกลัวกับภาพที่เห็น ทุกคนต่างถอยกรูออกจากหน้าประตู ส่วนฉันที่ยังอยู่ในอาการมึนเมากลิ่นกำยานจนยืนแทบไม่ไหว เหยียนเหล่ยจึงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ฉันให้เขานำมาผูกปิดจมูกให้ฉัน

          จากนั้นทุกคนจึงเดินถอยหนีเข้าไปในห้องโถงด้านในสุดอีกห้องหนึ่ง เพราะห้องโถงแรกชงอวี้ปล่อยควันกำยานกล่อมประสาทเข้ามาเพิ่มมากขึ้น เหยียนเหล่ยอุ้มฉันไปวางลงนั่งที่พื้นให้ห่างกลิ่นกำยาน เขายังคงประคองกอดฉันอยู่ ฉันได้ยินเสียงคนแย่งพูดคุยกันจอแจไปหมด เหยียนเหล่ยดึงผ้าปิดจมูกฉันลงจึงรู้สึกถึงลมพัดโบกไล่กลิ่นกำยานที่กลุ่มเพื่อนของฉันช่วยกันโบกให้ฉันรู้สึกโล่งสบายจมูก และกลิ่นยาหอมที่พวกเขาให้ฉันดมจากการช่วยกันปฐมพยายาบาลให้ฉันคลายอาการมึนเมากลิ่นกำยาน

         ฉิงซวง  : ดีนะที่ข้านึกเฉลียวใจพกยาหอมติดตัวมาด้วย มี่จื่อเป็นยังไงบ้างดีขึ้นหรือยัง
             มี่จื่อ  : อื้ม แต่ยังมึนๆหัว
เหยียนเหล่ย  : ลุกขึ้นเดินไหวมั้ย?
             มี่จื่อ  : ไหว
          จินไห่  : เราถูกขังต้องรีบหาทางออก แต่ข้าได้ยินเสียงเหมือนมีแม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่ด้านนอกผนังอีกฝั่ง แต่ผนังเป็นเหล็กกล้าและหนามากดูท่าจะยากเกินทำลายออกไป
        อ๋องหก  : สร้างเป็นห้องนิรภัยสำหรับเก็บสมบัติต้องทำลายยากเป็นธรรมดา
    เหมยหลิน  : ข้าไม่น่ามาที่นี่เลย ท่านไม่น่าชวนข้ามาเลย ถ้าข้าเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ! (เหมยหลินเอะอะโวยวายใส่เสนาบดี)
      ฮูหยินต่ง  : เหมยหลินใจเย็นๆก่อน ทุกคนต่างก็ติดกันอยู่ในนี้ พวกเขาก็พยายามจะหาทางออกไป
    เหมยหลิน  : ใครจะใจเย็นได้เหมือนท่าน ท่านเองก็เป็นหญิงไม่มีหัวคิด ท่านคอยเข้าข้างมี่จื่อสาวใช้ชั้นต่ำอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ท่านทำเป็นห่วงใยข้าบอกให้ข้าใจเย็น แท้จริงท่านก็แอบสมน้ำหน้าข้าเพราะท่านเข้าข้างมี่จื่อ!
       เสนาบดี  : เหมยหลิน!! เจ้าชักจะลามปามใหญ่แล้วนะ นี่คือฮูหยินของข้าและเป็นว่าที่พี่สะไภ้ของเจ้า
   เหมยหลิน  : ท่านก็เหมือนกัน! น้องชายของตัวเองก็ทำให้เขาเชื่อฟังไม่ได้ ปล่อยให้น้องชายหนีตามไปกับสาวใช้ ข้าถูกน้องชายท่านหยามเกียรติ ท่านเองก็ยังช่วยข้าไม่ได้! แล้วต่อไปท่านจะควบคุมใครได้ ข้าออกจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ข้าจะฟ้องท่านพ่อของข้าให้หมดเลย
       เสนาบดี  : ก็ตามใจเจ้า! อยากทำอะไรก็เชิญ ข้าเองก็หมดความอดทนกับเจ้าแล้วเหมือนกัน! เจ้าทำให้ข้ากลายเป็นคนเห็นผิดเป็นชอบ ข้าเข้าข้างเจ้าทั้งๆที่เจ้าพยายามใส่ร้ายมี่จื่อว่าขโมยแหวนของเจ้าไป ไม่มีใครหยามเกียรติเจ้า มีแต่เจ้าที่หยามเกียรติตัวเอง ข้าเป็นพี่ชายที่แย่มากๆข้าพยายามทำลายความสุขของน้องชายตัวเอง จนเขาทอดทิ้งข้าไป เหยียนเหล่ยข้าขอโทษ (เสนาบดีกล่าวคำขอโทษทั้งน้ำตาต่อหน้าเหยียนเหล่ยและต่อหน้าทุกคน)
เหยียนเหล่ย  : พี่ชาย...ข้าไม่ถือโทษโกรธท่านแล้ว ในเมื่อท่านเข้าใจข้ากับมี่จื่อแล้ว ข้าจะพามี่จื่อกลับไปอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงตามเดิม แต่ตอนนี้ขอให้พวกท่านอดทน ข้าจะพาท่านและทุกคนออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยให้ได้
       เสนาบดี  : ขอบใจ... ข้าเชื่อใจเจ้า
         ฉิงซวง  : โอ๊ะโอ! งั้นมี่จื่อกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ก็... (ฉิงซวงหันไปทำตาโตกับเลี่ยงซู)
         เลี่ยงซู  : อาจารย์เหยียนเหล่ยกับมี่จื่อเป็นคู่รักกัน มิน่าล่ะ! ทั้งคู่ถึงดูสนิทสนมห่วงใยกันเหลือเกิน
           เฝิ่นลู่  : อืม! เป็นคู่รักกัน...ไม่ผิดแน่ ที่ข้าเคยสงสัยไว้ไม่ผิดจริงๆ
    หลวนเฉิน  : ข้าไม่เชื่อหรอก!
         จิ่นเกอ  : หลวนเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าแอบชอบมี่จื่อ ข้าเองก็เอาใจช่วยเจ้ามาตลอด แต่จะให้งัดข้อกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่เห็นทีจะยาก คงต้องทำใจอย่างเดียว
   หลวนเฉิน  : ถึงเป็นอาจารย์ศิษย์พี่สี่ข้าก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก

弃佛入魔 | 棄佛入魔 - 残雪你看那寺院樱花又落满地 可我
ละทิ้งพระพุทธเจ้าเข้าสู่ปีศาจ | แคน Xue มองไปที่วัดดอกซากุระร่วงหล่นเต็มพื้น
Youtube by : Rockey Music

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 51
(สัจธรรมบนผนังห้อง)

          ฉันเริ่มมีอาการดีขึ้นบ้างจนลุกขึ้นยืนได้แต่ยังคงมึนหัวเหมือนคนเมาเหล้า และเหยียนเหล่ยยังคงประคองกอดฉันไว้ไม่ให้ยืนโซเซ ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างใช้ผ้าที่หาได้ บ้างก็ฉีกชายเสื้อมาผูกปิดจมูกกันกลิ่นกำยานที่กำลังลอยทะลักเข้ามาในห้องที่พวกเราหลบกันอยู่ ทุกคนพยายามช่วยกันมองหาทางออกแต่หาไม่พบเพราะทั้งสี่ด้านเป็นผนังกำแพงหนาทึบ และได้ยินเสียงของลี่ถังที่กำลังยืนอยู่กับเหวินเหอและช่างอิ่นตรงด้านหนึ่งของห้องนางหันมาพูดกับเราว่า

             ลี่ถัง  : เหมือนห้องนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นนะ
         ช่างอิ่น  : สีที่ทาบนผนังยังใหม่อยู่เลย
      เหวินเหอ  : ดูสิ! เจ้าคนชั่วชงอวี้ มันเข่นฆ่าผู้คน ยังคิดเขียนข้อความสัจธรรมลวงโลก หน้าด้านจริงๆ
         หลี่จวิน  : เป็นห้องที่เพิ่งสร้างต่อเติมจากห้องแรกแน่ๆ น่าจะยังตกแต่งไม่เสร็จ

          เหยียนเหล่ยพาฉันเดินไปดูข้อความตัวใหญ่ที่ทาสีทองสวยงามไว้บนผนังใกล้ๆ เขาอ่านข้อความนั้นให้ฉันฟังว่า

              "ข้าหันหน้าเข้าหาสัจธรรม
               สิบก้าวย่างมองหาหนทางดับทุกข์
               เมื่อความมืดมิดปรากฏอยู่เบื้องหน้า
               จึงได้พบหนทางสว่างแห่งชีวิต"

        อ๋องหก  : ชงอวี้เป็นคนชั่วที่ยังคงหลงทางอยู่
            มี่จื่อ  : ข้าก็หลงทาง หลงอยู่ในวังวนของคุณชายเหยียนเหล่ยยังหาทางออกไม่เจอ ฮ่าฮ่า
        อ๋องหก  : เจ้ายังเมากลิ่นกำยานอยู่สินะ เมาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทำให้หัวเราะได้แม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
       หลี่จวิน  : มี่จื่อ! เจ้าเมาทีไรเป็นแบบนี้ทุกที แสดงออกหลงไหลได้ปลื้มเหยียนเหล่ยจนเกินงาม ไหนๆเจ้าก็เมาแล้ว รีบๆช่วยกันหาทางออกเร็วๆเข้าเถอะ ก่อนที่อากาศหายใจในนี้จะหมด ข้าเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้ว
            มี่จื่อ  : ทางออกน่ะมี แต่จ่ายเงินค่าบอกทางมาก่อน เจองานช่วยหลายงานแล้ว รายได้ข้าหดหาย
       หลี่จวิน  : มี่จื่อ!!! มันใช่เวลาให้เจ้ามารีดไถเงินข้าตอนนี้เรอะ?!
     เหวินเหอ  : อ่ะ! ข้ามีเงิน ข้ามี เอาไปเลยทั้งถุงข้ายกให้หมดเลย
            มี่จื่อ  : ขอบใจ!
เหยียนเหล่ย  : เอ๊ะ! นี่รอยเส้นอะไร
            มี่จื่อ  : รอยเส้นยืนอ่านข้อความบนผนังล่ะมั้ง นี่ไงยืนแบบนี้ เท้ายืนชิดเส้นแล้ว...หันหน้าเข้าหาสัจธรรม (ฉันยืนกอดแขนเหยียนเหล่ยเอาเท้าชิดเส้นหันหน้าเข้าหาข้อความบนกำแพง จิ่นเกอ ลี่ถัง เฝิ่นลู่ และช่างอิ่นก็ทำตามด้วย จนทุกคนในห้องหันมามองด้วยความสนใจ)
        ช่างอิ่น  : สิบก้าวย่างมองหาหนทางดับทุกข์ (ช่างอิ่นช่วยอ่านข้อความบนกำแพง)
เหยียนเหล่ย  : ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้มันชนกำแพง เราต้องหันหลังกลับ จึงจะย่างสิบก้าวได้
            มี่จื่อ  : ก็หันหลังกลับสิ เอ้านับหนึ่ง...สอง...สาม...สี่...(เราเริ่มก้าวเท้าแล้วนับ รวมถึงคนในห้องที่ช่วยเรานับก้าว และเดินตามเราไปด้วยจนถึงก้าวที่สิบ)
         ทุกคน  : เมื่อความมืดมิดปรากฏอยู่เบื้องหน้า (ทุกคนในห้องช่วยกันอ่านข้อความบนกำแพง)
            มี่จื่อ  : เอ๊! สิบก้าวแล้ว แต่ทุกอย่างยังสว่าง ไม่เห็นมืดเล้ยยย! ความมืดมิดคืออะไร?!
เหยียนเหล่ย  : ลองดับไฟดูมั้ย?
             มี่จื่อ  : อื้ม!
        หลี่จวิน  : ใครที่ยืนใกล้คบไฟช่วยดับไฟให้หน่อย เร็ว!

          ทันใดนั้นคบไฟก็ดับลงจนภายในห้องมืดสนิท ได้ยินแต่เสียงคนพูดคุยพึมพำในความมืด เหยียนเหล่ยฉวยโอกาสตอนไฟดับก้มมาจูบฉันที่ริมฝีปากครู่หนึ่ง แล้วถอนริมฝีปากออก จากนั้นเขาจึงร้องบอกให้คนจุดคบไฟจนภายในห้องสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำเอาทุกคนต่างมองหาอะไรที่อาจเกิดขึ้นหรือประตูอาจจะเปิดออก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น มีเพียงฉันกับเหยียนเหล่ยที่ยืนยิ้มให้กันเพราะแอบจูบกันตอนดับไฟ จากนั้นฉันกับเหยียนเหล่ยจึงมองไปรอบๆห้อง และฉันพึมพำว่า "ความมืดมิดปรากกฏคืออะไร...?" เหยียนเหล่ยจับหน้าฉันให้หันไปมองผนังห้องอีกด้านหนึ่ง ผนังห้องมีลักษณะเป็นกำแพงก้อนหินสี่เหลี่ยมวางเรียงกันจนเป็นผนังกำแพงหินแต่มีหินอยู่ก้อนหนึ่งที่มีสีอ่อนกว่าหินก้อนอื่น และมีเงาส่วนหัวของฉันกับเหยียนเหลี่ยนที่ยืนอยู่คู่กัน เงาส่วนหัวทอดยาวไปทับบนก้อนหินสีอ่อนก้อนนั้นพอดี เหยียนจึงพูดเบาๆกับฉันว่า

เหยียนเหล่ย  : เงา นับเป็นความมืดมิดที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าได้มั้ย?
             มี่จื่อ  : ใช่เลย! ท่านเก่งชะมัด เราเดินไปดูกันว่านั่นก้อนหินอะไร

          ฉันกับเหยียนเหล่ยเดินจับมือกันไปดูก้อนหินก้อนนั้นพร้อมกับทุกคนที่เดินตามไปดูด้วยใจจดใจจ่อขอให้เจอทางออก เหยียนเหล่ยเอื้อมมือจะแตะที่ก้อนหิน แต่ฉันรีบจับมือเขาไว้ให้หยุดก่อน แล้วถามเขาว่า...

            มี่จือ  : ถ้ามีหอก หรือมีดพุ่งออกมาจะทำยังไง?
เหยียนเหล่ย  : ก็หลบสิ!
             มี่จื่อ  : พูดง่ายไปหรือเปล่า?!
      องครักษ์  : พวกเราจะคอยต้านอาวุธพวกนั้นเอง
          จินไห่  : ข้าจะสร้างมนต์สะกัดกั้นไว้ให้
        คนอื่นๆ  : พวกเราชาวยุทธจะช่วยกันต้านอาวุธพวกนั้น เพราะอาวุธกลไกพวกนั้นต้องมีจำกัดอยู่แล้ว เราจะต้านไว้จนกว่ามันจะหยุด
        อ๋องหก  : จัดการเลย ยังไงเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว
    เหมยหลิน  : อย่านะ! ถ้าพวกเจ้าอยากตายก็ตายไปคนเดียวสิ ทำไมต้องเอาชีวิตของคนอื่นไปเสี่ยงด้วย อย่ากดก้อนหินนั่นเด็ดขาด ข้ายังไม่อยากตาย
             ลี่ถัง  : หุบปาก! หญิงไร้ประโยชน์และเห็นแก่ตัวอย่างเจ้า สมควรแล้วที่เหยียนเหล่ยไม่เคยชายตามอง ไม่ช่วยแล้วยังเป็นตัวถ่วงอีก ถอยไปยืนไกลๆเลย! เอาเถอะ! เหยียนเหล่ยกดก้อนหินนั่นเลยพวกข้าพร้อมรับมือแล้ว เอ้า! พวกเราช่วยกันนับหนึ่งถึงสามแล้วกดก้อนหินเลย
         ทุกคน  : หนึ่ง! สอง! สาม!

          เหยียนเหล่ยมองหน้าฉันแล้วพยักหน้าส่งสัญญานกดก้อนหินพร้อมกัน ทันใดนั้นทั้งห้องเกิดการสั่นสะเทือนคล้ายจะถล่ม ผนังด้านหนึ่งถูกเลื่อนเปิดออกกว้างเท่าขนาดเปิดประตูสองบาน เพราะกลไกเปิดประตูถูกซ่อนไว้ภายใต้ก้อนหินก้อนนั้น ทางออกนี้อยู่ติดแม่น้ำไหลเชี่ยว และมีเรือใหญ่สามลำถูกผูกไว้ที่ท่าลงเรือ เหล่าชาวยุทธคนอื่นๆรีบกรูกันลงเรือสองลำจนเต็มและรีบออกเรือหนีไปในทันทีเพราะห้องโถงลับนี้กำลังจะพังถล่มลงมา จนเกิดการชุลมุน เหล่าองครักษ์รีบนำท่านอ๋องหกและคนอื่นๆลงเรือจนเกือบเต็ม ฉันเห็นท่านเสนาบดีรีบพาฮูหยินต่งลงเรือ และเขากำลังจะก้าวลงเรือแต่ถูกเหมยหลินแย่งลงเรือและผลักท่านเสนาบดีล้มหงายหลัง ฉันรีบวิ่งเข้าไปพยุงท่านเสนาบดีให้ลุกขึ้นแล้วรีบพยุงเขาให้ลงเรือทันที ท่านเสนาบดีหันมามองฉันที่เข้าไปช่วยแล้วรีบกล่าวขอบใจฉัน ท่านเสนาบดีจึงรีบยื่นมือมาเพื่อช่วยรับฉันลงเรือ เหยียนเหล่ยรีบวิ่งเข้าจับประคองฉันที่ยืนโซเซเพราะมึนหัวให้รีบลงเรือ ทันใดนั้นก็มีเชือกพุ่งมาพันที่ข้อมือเหยียนเหล่ย แล้วกระชากดึงเขากลับเข้าไปในห้องโถงที่กำลังจะถล่ม ด้วยความตกใจและสัญชาตญาณฉันรีบปล่อยพลังพายุบุบผาไปร้อยพันตัวเหยียนเหล่ยเพื่อรั้งตัวเขาไว้แต่แรงกระชากของอีกฝ่ายมีมากกว่าฉันจึงถูกดึงกลับเข้าไปด้วยความเร็ว พร้อมกับเสียงเรียกและเสียงตกใจของทุกคน แต่สิ่งที่ฉันทำได้ก่อนถูกดึงกลับเข้าไปในห้องโถงคือตะโกนบอกทุกคนว่า "หนีไป!" จินไห่จะกระโดดขึ้นจากเรือมาช่วยฉันกับเหยียนเหล่ย แต่หลี่จวินจับแขนจินไห่ไว้แล้วพูดว่า

        หลี่จวิน  : ข้าไปเอง เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ฝากดูแลทุกคนด้วย!

          หลี่จวินกระโดดขึ้นจากเรือ ตัดเชือกที่ผูกเทียบท่าไว้แล้วถีบหัวเรือให้รีบออกจากท่าไปโดยเร็ว จากนั้นเขารีบพุ่งตัวเข้ามาในห้องตามฉันกับเหยียนเหล่ยเข้ามา เขาใช้กระบี่ที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดแต่ฉันยังไม่เคยเห็นเขาชักออกจากฝักเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นหลี่จวินชักกระบี่ร่อนไปตัดเชือกที่ผูกมัดข้อมือเหยียนเหล่ยจนเชือกขาด แล้วหลี่จวินโดดเข้ารับร่างฉันไม่ให้หล่นกระแทกพื้น ส่วนเหยียนเหล่ยโดดลงพื้นตั้งหลักได้เช่นกัน หลี่จวินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาโดดพุ่งเข้าปะทะต่อสู้กับเจิ้งไฉ หลี่จวินดูเท่ห์มากขณะกำลังต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาต่อสู้เขาดูดีสุดๆผิดกับตอนที่เขาชอบทำตัวเจ้าชู้และชอบทำท่าโมโหฉันจนฉันคิดว่าเขาต่อสู้ไม่เก่งเสียอีก ที่ไหนได้พอกระบี่ชักออกจากฝัก หลี่จวินก็หล่อเข้มกลายเป็นคนละคนไปเลย

          แม้วิทยายุทธของหลี่จวินจะสูง แต่เจิ้งไฉก็สามารถหลบกระบี่ของหลี่จวินได้ทุกครั้ง คงเป็นเพราะเจิ้งไฉใช้วิชาอ่านใจหลี่จวินแน่ๆ เจิ้งไฉจึงรู้วิธีรับมือหลี่จวินทุกกระบวนท่า เหยียนเหล่ยพาฉันคอยหลบเศษไม้จากหลังคาที่ร่วงลงมา แล้วตะโกนบอกหลี่จวินว่าที่นี่จะถล่มแล้วให้หนีเร็ว หลี่จวินจึงหันมาตะโกนตอบว่า "หนีไปก่อนเลยเร็วๆ ข้าจะถ่วงเวลาไว้เอง" เหยียนเหล่ยดึงมือฉันจะพากระโดดน้ำหนี แต่ฉันรั้งเขาไว้ว่าจะทิ้งหลี่จวินไม่ได้ เหยียนเหล่ยบอกว่าหลี่จวินเอาตัวรอดได้อย่าห่วง ทันไดนั้นเจิ้งไฉก็ส่งความคิดเข้ามาในหัวฉัน แล้วส่งเชือกพุ่งมาพันข้อเท้าไม่ให้ฉันหนี

          เจิ้งไฉ  : ....นังตัวดีคิดจะหนีเรอะ แผนของพวกข้าพังเพราะเจ้า ข้าถึงต้องเหนื่อยมาตามล้างตามเช็ด บอกข้ามาทางเข้าหุบเขาจันทร์ดับอยู่ที่ไหน ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย (เขาพูดกับฉันทางความคิด)
            มี่จื่อ  : ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่รู้ ไอ้บ้าเลิกตื๊อข้าสักที!

          ฉันตะโกนด่าเจิ้งไฉออกไปดังๆ เหยียนเหล่ย ทำหน้างุนงง ว่าฉันตะโกนด่าใคร แล้วฉันก็คิดถึงรถไฟเหาะตีลังกาที่เคยเล่นในสวนสนุกชื่อดังในโลกเก่า ทำเอาเจิ้งไฉมึนงง และตะลึงตกใจที่เห็นภาพหวาดเสียวขณะนั่งในรถไฟเหาะตีลังกา ทำให้เจิ้งไฉยืนเซไปเซมาเสียหลักจนเชือกที่เขาใช้พันข้อเท้าหลุดออก ฉันตะโกนส่งสัญญาณเรียกหลี่จวินสุดเสียงให้กระโดดน้ำหนี แล้วหันกลับไปหาเหยียนเหล่ย จับมือกับเหยียนเหล่ยกระโดดลงแม่น้ำ แต่ช่วงแวบหนึ่งก่อนกระโดดลงแม่น้ำ ฉันเห็นเจิ้งไฉตั้งหลักได้และใช้เชือกพุ่งมาจะจับตัวฉัน แต่หยางเค่อโผล่พุ่งออกมาชนตัวเจิ้งไฉจนล้ม แล้วพยายามลากตัวเจิ้งไฉกระโดดลงน้ำหนีไปอีกทางหนึ่ง

燕无歇燕無歇 - 蒋雪儿只叹她回眸秋水被隐去 只忆她点
ไม่เหลืออะไร
Youtube by : Rockey Music

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 52
(กระโดดน้ำหนีตาย)

          ฉันจับมือกระโดดลงน้ำพร้อมกับเหยียนเหล่ย กระแสน้ำไหลเชี่ยวแต่เหยียนเหล่ยไม่ยอมปล่อยมือจากฉัน กลับดึงฉันเข้าไปกอดเอวไว้แน่นแล้วพาว่ายโผล่ขึ้นจากน้ำกอดกันลอยคอ ฉันดีใจมากที่เราไม่พลัดหลงหลุดมือจากกันไป แล้วเราก็ได้ยินเสียงหลี่จวินตะโกนดังมาจากทางด้านหลัง เห็นหลี่จวินเกาะแผ่นไม้ขนาดใหญ่ลอยคอมาตามกระแสน้ำ เหยียนเหล่ยจึงพาฉันคว้าเกาะแผ่นไม้นั้นไว้ มันคือแผ่นป้ายชื่อสำนักไป๋หู่ที่แขวนติดไว้ในห้องโถงที่ถล่มนั้น หลี่จวินคว้าไว้ได้จึงเกาะแผ่นป้ายลอยคอมา ฉันเอ่ยขอบคุณหลี่จวินที่เข้าไปช่วยเรา แต่หลี่จวินตอบกลับมาว่า

        หลี่จวิน  : คำขอบคุณของเจ้าไม่ทำให้ข้าอิ่มท้อง งานช่วยไม่ทำให้ท้องข้าหายหิว! จ่ายเป็นเงินมาซะ!
             มี่จื่อ  : ท่านแก้แค้นข้าเหรอ?!
        หลี่จวิน  : แน่นอน! ก็เจ้าเพิ่งได้เงินมาถุงนึงจากเหวินเหอ ตอนนี้เจ้ามีเงินแล้ว จ่ายเงินข้ามาเซ่!
             มี่จื่อ  : คุณชาย.... ท่านหลี่จวินจะเอาเงินข้า
เหยียนเหล่ย  : จ่ายให้เขาไปเถอะ ครั้งนี้หลี่จวินชนะเจ้า เขาช่วยชีวิตเรา (เหยียนเหล่ยขำที่ฉันถูกเอาคืน)
             มี่จื่อ  : ก็ได้...ขอบคุณท่านหลี่จวินที่ช่วยชีวิตเรา (ฉันยื่นเงินทั้งถุงให้หลี่จวินและเขาก็รับไว้)
        หลี่จวิน  : ฮ่าฮ่าฮ่า กลับขึ้นฝั่งแล้วข้าจะเลี้ยงเหล้าพวกเจ้าเอง เด็กเปรตแห่งหอกุ้ยฮวา อย่าบังอาจคิดต่อกรกับข้ามือปราบแห่งวังหลวง จำไว้!

          เหยียนเหล่ยอุ้มฉันขึ้นนั่งบนแผ่นป้ายเพราะฉันตัวเล็กน้ำหนักเบา ส่วนเขากับหลี่จวินเกาะแผ่นป้ายลอยคอมาตามกระแสน้ำมาเรื่อยๆ จนฉันมองเห็นเรือลำหนึ่งค่อยๆลอยช้าๆอยู่ข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อฉันจากในเรือ ฉันจึงขานรับแล้วโบกมือว่าฉันอยู่ตรงนี้ หลี่จวินบอกว่านั่นเรือที่กลุ่มท่านอ๋องนั่งกันมา คนบนเรือรีบยื่นไม้พายให้เราจับแล้วดึงเราทั้งสามคนขึ้นเรือ ลี่ถังรีบถอดเสื้อคลุมให้ฉันสวมทับเสื้อผ้าที่เปียก จินไห่ถอดเสื้อคลุมห่มให้เหยียนเหล่ย และจิ่นเกอรีบถอดเสื้อคลุมห่มให้หลี่จวิน ทุกคนพากันดีใจที่เห็นเราหนีออกมาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นมาดูแลปฐมพยาบาลเราได้มากนักเนื่องจากกำลังอยู่ในเรือเคลื่อนไหวมากไม่ได้เรืออาจพลิกคว่ำ จึงทำได้แค่พูดคุยซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ฉันเริ่มมีอาการหนาวสั่น เหยียนเหล่ยจึงเรียกให้ฉันขยับมานั่งใกล้ๆแล้วกอดฉันไว้เพื่อช่วยคลายหนาวให้ฉัน หลวนเฉินจึงถอดเสื้อคลุมมาให้ฉันห่มคลุมอีกตัวหนึ่งเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เหมยหลินที่นั่งมองฉันตาขวางก็พูดขึ้นว่า

    เหมยหลิน  : ยังอุตส่าห์รอดกลับมาให้หนักเรืออีก
             ลี่ถัง  : ถ้าข้าจะเขี่ยผู้หญิงปากมากคนนี้ตกจากเรือ คงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์หรอกใช่มั้ย? (ลี่ถังทำท่าจะเอาเรื่องกับเหมยหลิน)
          ทุกคน  : ไม่เห็น! ไม่มีใครเห็นอะไร!
    เหมยหลิน  : อย่านะ! ถ้าเจ้าแตะต้องข้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อของข้า
        อ๋องหก  : ลี่ถัง ข้าจะเป็นพยานให้เจ้า ว่าไม่มีใครเห็นอะไรที่นี่ หากพ่อของนางมาเอาเรื่องเจ้า ก็บอกให้เขาเขียนเรื่องร้องเรียนส่งถึงข้าโดยตรง ข้าจะเป็นคนพิจารณาคดีนี้ให้เจ้าเอง
    เหมยหลิน  : อย่านะ! อย่าทำอะไรข้านะ!
             ลี่ถัง  : เจ้าก็นั่งหุบปากไปเงียบๆ อย่าส่งเสียงให้ท่านอ๋องหกรำคาญหูอีก

          ฉันนั่งกอดเหยียนเหล่ยและฟังพวกเขาพูดคุยซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วฉันก็หลับไปเพราะความเหนื่อยและง่วง ไม่นานนักเหยียนเหล่ยปลุกฉันตื่นเพราะถึงฝั่งแล้ว ท่านอ๋องบอกว่าต้องรีบกลับโรงเตี๊ยมเพราะท่านอ๋องต้องการกระดาษกับหมึกเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นต่อฮ่องเต้โดยด่วน เหวินเหอจึงเชิญพวกเราทุกคนไปพักที่จวนของเขาซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ท่านอ๋องหกเห็นว่ามืดแล้วจึงตอบตกลงรับคำเชิญ เราจึงเดินทางไปพักที่จวนของเหวินเหอทั้งหมด เหมยหลินกระฟัดกระเฟียดไม่อยากไปแต่จำเป็นต้องไปเพราะบริเวณโดยรอบนี้ไม่มีโรงเตี๊ยมจึงไม่มีทางเลือกอื่น

          จวนของเหวินเหอไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็มีที่พักให้ได้พักค้างคืนชั่วคราวได้ดีกว่านอนค้างคืนในป่า เหวินเหอจัดห้องพักขนาดใหญ่ให้ผู้หญิงเข้าพักรวมกัน และมีห้องพักขนาดกลางสำหรับผู้ชายพักรวมกันได้ประมาณ 4-5 คน ส่วนคนหนุ่มคนอื่นๆให้หาที่นอนตามมุมบ้านหรือชานบ้านไปก่อนตามอัธยาศัย ส่วนเหวินเหอเสียสละห้องพักของตัวเองให้ท่านอ๋องหกเข้าพักและเตรียมกระดาษกับหมึกไว้ให้ท่านอ๋องหกเขียนจดหมายส่งถึงฮ่องเต้ เหวินเหอบอกว่าเขาเป็นเจ้าบ้านจะนอนตรงไหนก็ได้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ คืนนี้เขาจะคอยดูแลทุกคนและจะคอยเดินตรวจตราบ้านให้ทุกคนปลอดภัย เหวินเหอสั่งให้คนนำเหล้าและอาหารมาให้เรากินอย่าได้ขาด เมื่อกินอาหารเสร็จฉันจึงขอตัวแยกไปนอนก่อนเพราะยังรู้สึกเหนื่อยและง่วง ฮูหยินต่งจึงขอแยกตัวไปกับฉันด้วย เหยียนเหล่ยจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งฉันกับฮูหยินต่งที่ห้องพัก

     ฮูหยินต่ง  : ข้าดีใจ ที่เจ้าสองคนจะย้ายกลับไปอยู่ที่จวน ครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าสองคนย้ายออกมาอยู่ข้างนอก จะมาเจอเรื่องอันตรายขนาดนี้ แต่พวกเจ้าก็กล้าหาญกันยิ่งนัก แม้ข้าจะเป็นแค่พี่สะไภ้แต่ข้าก็ภูมิใจที่เห็นเจ้าสองคนรักและคอยช่วยเหลือกันแม้ในยามคับขันจนผ่านมันมาได้
เหยียนเหล่ย  : ขอบคุณพี่สะไภ้ที่ชม
            มี่จื่อ  : ขอบคุณฮูหยิน
     ฮูหยินต่ง  : เรียกข้าว่าพี่หญิงเถอะ ถึงยังไงเจ้าก็ต้องแต่งเข้าบ้านเราอยู่แล้ว แม้เจ้าจะต้องแต่งงานเป็นภรรยารอง แต่จงอย่าได้น้อยใจเพราะเหยียนเหล่ยเขารักเจ้าเพียงคนเดียว ส่วนข้าก็แอบเข้าข้างเจ้ามาตลอดดั่งที่เหมยหลินต่อว่าข้านั่นแหละ แต่ช่างเถอะเพราะนางพูดความจริง เอ่อ..นี่! ตอนที่เจ้าเมากลิ่นกำยาน เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนนี้เลยดูเงียบๆพูดน้อย แต่ตอนนั้นที่สำนักไป๋หู่เจ้าดูแก่นไม่เกรงกลัวใคร เรียกชงอวี้ว่าตาแก่! ด้วย ฮ่าฮ่า ข้าได้ยินแล้วสะใจจริงๆ
            มี่จื่อ  : ตอนนั้นข้าเมาขาดสติ จึงพูดจาไร้มารยาทไปหน่อย ข้าขออภัยจริงๆ
เหยียนเหล่ย  : ไม่แปลกหรอกเวลาเจ้าเมายังเคยเรียกอาจารย์เฟยเทียนว่าท่านตาเลย
     ฮูหยินต่ง  : จริงรึนี่? แล้วถ้าเป็นข้าล่ะเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไร?
            มี่จื่อ  : เรียกว่า...พี่สาวคนสวย
     ฮูหยินต่ง  : โอ๊ะ! ปากหวานไม่เบา

          เราเดินมาถึงห้องพัก ฮูหยินต่งเดินเข้าห้องพักไปก่อน ฉันจึงอยู่กล่าวราตรีสวัสดิ์กับเหยียนเหล่ยที่หน้าห้องพัก เขาจูบฉันที่หน้าผากแล้วจูบที่ริมฝีปากหนึ่งครั้งจึงค่อยปล่อยให้ฉันเข้าไปนอน เหยียนเหล่ยมองดูฉันเดินเข้าห้องพักจนลับตา จากนั้นเขาจึงสร้างมนต์ปิดผนึกประตูหน้าต่างไม่ให้ใครเข้าหากไม่รู้อักขระคลายมนต์แล้วกำลังจะเดินกลับไปนั่งดื่มเหล้าพูดคุยกับทุกคนต่อ หลวนเฉินก็โผล่ออกมาจากเงามืดหลังต้นไม้

เหยียนเหล่ย  : หลวนเฉิน! เจ้ามาดักรอข้ารึ? หรือมาดักรอมี่จื่อ?
    หลวนเฉิน  : ข้ามาดักรอท่าน ข้ามีบางอย่างต้องการจะพูดกับท่าน
เหยียนเหล่ย  : มีอะไรพูดมา
    หลวนเฉิน  : ข้าไม่รู้ว่าท่านกับมี่จื่อมีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ข้าจะบอกว่าข้ามีความจริงใจกับมี่จื่อและข้าก็ชอบนางมาก แม้นางจะเห็นข้าเป็นเพื่อนแต่ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ข้าจะพยายามทำให้นางชอบข้าให้ได้ ข้าจะแสดงให้นางเห็นว่าข้าปกป้องนางได้ดีกว่าท่าน
เหยียนเหล่ย  : ดี! เป็นลูกผู้ชายดีที่มาพูดกับข้าตรงๆ งั้นข้าก็จะบอกว่า ข้าก็รักมี่จื่อมากเช่นกัน และข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งมี่จื่อไปได้เด็ดขาด เพราะมี่จื่อเป็นภรรยาของข้า เจ้าจะไม่มีวันได้นางไป!

          เหยียนเหล่ยเดินจากไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจรุ่มร้อนหงุดหงิด เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะที่มีท่านอ๋องหก เสนาบดีขั้นสองต่ง หลี่จวิน ลี่ถัง จินไห่ และเหวินเหอ ที่กำลังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ เหยียนเหล่ยนั่งลงแล้วยกเหล้าขึ้นดื่มสองถ้วยรวด

        หลี่จวิน  : หงุดหงิดอะไรมาอีกล่ะ เมื่อกี้เห็นยังดีๆอยู่เลย
เหยียนเหล่ย  : ไม่มีอะไรหรอก อย่าใส่ใจเลย
       เสนาบดี  : ฮูหยินกับ...เอ่อ...มี่จื่อเข้านอนกันแล้วรึ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่ มี่จื่อรู้สึกอ่อนเพลียจึงเข้านอนเร็วหน่อย ส่วนพี่สะไภ้ก็เข้านอนแล้วเหมือนกัน อย่าห่วง พวกนางจะปลอดภัยเพราะข้าสร้างมนต์ปิดผนึกประตูหน้าต่างไว้ เมื่อพวกเด็กๆเข้าที่พักกันหมด ช่วงดึกข้าจะไปสร้างมนต์ปิดผนึกอีกครั้งให้แก้ยากยิ่งขึ้น ท่านอ๋องเขียนจดหมายถึงฮ่องเต้เสร็จแล้วรึ?
        อ๋องหก  : เขียนเสร็จแล้ว ข้าให้คนขี่ม้าไปส่งจดหมายแล้ว เรื่องนี้สำคัญมากอาจมีผลกระทบกับฮองเฮา เพราะชงอวี้เป็นญาติห่างๆของฮองเฮา
      เสนาบดี  : พรุ่งนี้ข้าเดินทางกลับ จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และจะถวายรายงานเรื่องนี้ด้วย
     เหวินเหอ  : ข้าขอขอบคุณพวกท่านที่ช่วยทำให้รู้ว่าคนร้ายตัวจริงคือชงอวี้ แม่นางมี่จื่อไปนอนก่อนแล้ว ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณนางเลย เพราะนางสามารถพบกลิ่นเหล้าและกลิ่นยาสูบที่แอบแฝงอยู่แท้ๆจึงสามารถรู้ตัวคนร้ายได้ แต่ข้าสงสัยจริงๆทำไมนางจึงแพ้กลิ่นกำยานอยู่คนเดียว เหมือนคนเมาเหล้าพอเมาแล้วมีนิสัยห้าวหาญดุจชาย ยิ่งเมาก็ยิ่งฉลาด แปลกจริงๆ
        อ๋องหก  : ข้าจำได้วันที่มี่จื่อเข้าวังไปเล่นกับจินเอ๋อ นางชวนจินเอ๋อเล่นเด็ดดอกไม้จนเกือบหมดสวน ทำเอาพระชายาตลกขบขันกับความซุกซนของนาง จนข้าได้เห็นนางอีกบุคลิกหนึ่งในวันนี้น่าทึ่งและน่าแปลกใจกับความคิดความอ่านของนางยิ่งนัก
เหยียนเหล่ย  : คงเป็นเพราะมี่จื่อมีปฏิกิริยาไวกับของมึนเมาและแปลกประหลาดกว่าคนอื่น เมื่อนางมึนเมาจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จึงทำให้นางแสดงบุคลิกอื่นที่ซ่อนอยู่ออกมา หรือที่เรียกว่าเป็นคนมีสองบุคลิกนั่นเอง แต่บุคลิกที่ซ่อนนี้จะแสดงออกมาเฉพาะช่วงเวลาคับขันเท่านั้น
            ลี่ถัง  : ข้าก็สังเกตุอยู่เหมือนกัน เวลาปกติมี่จื่อก็ดูเป็นเด็กซื่อแต่ฉลาดและซุกซนอยู่แล้ว แต่มี่จื่ออีกบุคลิกหนึ่งกลับฉลาดเหมือนเด็กอัจริยะไม่ผิด
      เสนาบดี  : เพราะข้ามีอคติมองคนแค่ภายนอกดูถูกดูแคลน จึงมองข้ามความสามารถของนางไป แต่วันนี้ข้าได้เห็นแล้วว่าเหยียนเหล่ยเลือกนางมาอยู่เคียงข้างได้เหมาะสมแล้ว
     เหวินเหอ  : เอ่อ...คุณชายเหยียนเหล่ย ท่านช่วยข้าอีกสักเรื่องจะได้หรือไม่ ข้าอยากไปเยี่ยมฮูหยินเจ้าที่บ้านในวันพรุ่งนี้ คือข้ายังคาใจเรื่องบทกลอนที่เศรษฐีเจ้าเขียนทิ้งไว้ก่อนตาย ข้าอยากรู้ว่าเขาต้องการจะบอกอะไรกันแน่ คือ...ข้าอยากให้มี่จื่อไปด้วยถ้าพานางไปดูสถานที่จริงที่เศรษฐีเจ้าเสียชีวิตบางทีนางอาจจะเห็นอะไรมากกว่าที่เราเห็นก็เป็นได้ และบางทีบทกลอนนั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับของสำคัญบางอย่างที่ชงอวี้ต้องการจนต้องลงมือฆ่าเศรษฐีเจ้า และหากบทกลอนนั่นมิได้เกี่ยวข้องกับหญิงงามจริงๆก็ถือเป็นการช่วยให้ฮูหยินเจ้าคลายความทุกข์ใจและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ตามเดิม
        อ๋องหก  : ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน ของสิ่งนั้นคืออะไรทำไมถึงได้สำคัญจนถึงต้องฆ่ากันตาย อีกทั้งยังบอกความจริงไม่ได้แม้กระทั่งภรรยาตัวเอง ไปสิเหยียนเหล่ย ข้าเองก็จะไปดูด้วย และอยากเห็นมี่จื่อเปิดเผยบุคลิกที่ซ่อนไว้อีกครั้ง หากครั้งนี้มี่จื่อไขปริศนาบทกลอนดื่มเหล้าบนหลังคาได้ ข้ากับพระชายาจะยอมเป็นญาติฝ่ายมี่จื่อให้เจ้ายกน้ำชาพิธีแต่งงานให้ข้าดื่ม ฮ่าฮ่า
เหยียนเหล่ย  : ขอบพระทัยท่านอ๋องหก
           เฝิ่นลู่  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ พวกเราจะเข้าห้องพักกันแล้ว แต่เราเปิดประตูกันไม่ได้ หลวนเฉินบอกว่าท่านสร้างมนต์ปิดผนึกไว้ไม่ให้ใครเข้า เพราะท่านกลัวคนร้ายแอบเข้ามาทำร้ายมี่จื่อ
เหยียนเหล่ย  : ใช่! ไปสิข้าจะเดินไปส่งพวกเจ้าที่ห้องพัก ข้ารอพวกเจ้ามากันครบ แล้วข้าจะสร้างมนต์ปิดผนึกที่ยากกว่าอันแรกปิดทับอีกชั้นหนึ่งพวกเจ้าจะปลอดภัย แล้วเหมยหลินล่ะ?
         เลี่ยงซู  : ผู้หญิงคนนั้นไปรอที่หน้าห้องพักแล้ว บ่นร้อน บ่นหนาวอะไรไม่รู้ พวกเราไม่ได้สนใจ ห่วงแต่ว่านางจะไปหาเรื่องทะเลาะกับมี่จื่ออีก
             ลี่ถัง  : ข้าจะคอยจับตาดูเหมยหลินเอง เรากลับห้องพักไปนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปไขปริศนาบทกลอนดื่มเหล้าบนหลังคาอีก ต้องทำสมองให้โล่งๆ
           เฝิ่นลู่  : จริงรึ?! มี่จื่อไปด้วยรึเปล่า? ให้พวกเราติดตามไปด้วยนะ นะ นะ พี่ลี่ถังคนสวย
         ฉิงซวง  : พวกเราจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายเลย ให้อาจารย์จินไห่ไปคุมพวกเราเหมือนเดิมก็ได้ พวกเราจะเชื่อฟังจะทำตามคำสั่งทุกอย่าง
          จินไห่  : ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปกับพวกเจ้าน่ะ....
           เฝิ่นลู่  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ ได้โปรดให้พวกเราติดตามไปด้วยเถอะนะ เราช่วยงานได้ เราช่วยปฐมพยาบาลได้โดยเฉพาะมี่จื่อพวกเราช่วยดูแลตอนที่ท่านไม่ว่างเราดูแลแทนให้ได้
เหยียนเหล่ย  : ข้าเห็นแล้ว พวกเจ้าทำได้ดีกันทุกคน สมแล้วที่อาจารย์เจ้าสำนักให้พวกเจ้ามาด้วยกัน ขอบใจพวกเจ้ามากๆที่ยอมรับมี่จื่อเป็นเพื่อน พวกเจ้ารีบไปนอนเถอะ
เฝิ่นลู่, ฉิงซวง, เลี่ยงซู  : ขอบคุณอาจารย์ศิษย์พี่สี่!



หมายเหตุ

*เหวินเหอ  แปลว่า ความดีงามสูงส่ง สันติ

少年 หนุ่มสาว
Youtube by : EHP Music Channel

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 53
(ความลับถูกเปิดเผย)

          ลี่ถังปลุกให้ฉันตื่นในตอนเช้า เพราะทุกคนตื่นนอนกันหมดแล้ว และเตรียมตัวไปกินอาหารเช้า ฉันมองดูเพื่อนสาวทั้งสามคนดูจะคึกคักและตื่นเต้น จึงเดินเข้าไปถามไถ่ว่ามีอะไรพิเศษที่ฉันพลาดไปหรือไม่ เฝิ่นลู่ตอบว่าเราจะไปบ้านเศรษฐีเจ้า ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินเจ้าที่บ้าน แต่ท่านเสนาบดีขั้นสอง ฮูหยินต่ง และเหมยหลินจะเดินทางกลับกันไปก่อน ฉันจึงถามต่ออีกว่า...

            มี่จื่อ  : แล้วทำไมต้องไปเยี่ยมเยียนฮูหยินเจ้าด้วยล่ะ?
         เลี่ยงซู  : เจ้าลืมไปแล้วรึ ยังเหลือปริศนาบทกลอนดื่มเหล้าบนหลังคาที่เศรษฐีเจ้าเขียนทิ้งไว้ ท่านอ๋องหกอยากรู้ว่าหมายถึงอะไร จะเดินทางไปดูด้วยตัวเองเลย
            มี่จื่อ  : ก็แค่ผู้ชายมักมากคิดถึงชู้รัก คงไม่มีความหมายอื่นหรอกมั้ง
          เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ! เจ้าคิดแค่นั้นเองรึ ดูไม่ล้ำลึกเหมือนเมื่อคืนเลยแฮะ
            มี่จื่อ  : เมื่อคืนข้าเมากลิ่นกำยาน จำอะไรได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง เมื่อคืนข้าทำเรื่องแย่ๆน่าอายหรือเปล่า?
        ฉิงซวง  : เมื่อคืนข้าเห็นเจ้าถือโอกาสจับมืออาจารย์ศิษย์พี่สี่แล้วส่งสายตาหวานฉ่ำ
            มี่จื่อ  : โอ๊ะ! จริงดิ?! กลิ่นมืออาจารย์ศิษย์พี่สี่ยังติดมือข้าอยู่เลย มาๆข้าแบ่งให้เจ้าดม
        ฉิงซวง  : บ้าๆไม่เอาไม่ดม เจ้าเอามือไปเกาก้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้

          เราเดินหยอกล้อเล่นกันจนไปถึงห้องอาหารที่มีโต๊ะอาหารวางตั้งอยู่สองโต๊ะ ทั้งสองโต๊ะมีอาหารวางเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย เราที่มาถึงก่อนจึงนั่งรอคนอื่นๆให้มาถึงพร้อมกันจึงค่อยกิน เรารอกันอยู่ไม่นานนัก หลวนเฉิน จิ่นเกอ ช่างอิ่น ก็เดินเข้ามาพวกเขาต่างถามไถ่ถึงอาการเวียนหัวของฉัน และฉันตอบว่าหายเป็นปกติดีแล้ว หลวนเฉินย้ายเก้าอี้มานั่งข้างๆฉัน แล้วชวนฉันคุยโน่นนี่ถามว่าฉันชอบกินอะไร ชอบสีอะไร ถามหลายอย่างจนฉันแปลกใจ

            มี่จื่อ  : หลวนเฉิน เช้านี้เจ้ามีคำถามเยอะจัง ถามเอาไปทำอะไร?
    หลวนเฉิน  : ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากรู้ความคิดของเจ้า ว่า...ว่า...ทำไมเจ้าเก่งจัง
           เฝิ่นลู่  : หลวนเฉินอยากรู้ว่าเจ้าชอบ ขะ เขา...(หลวนเฉินหยิบขนมถ้วยฟูยัดใส่ปากเฝิ่นลู่ไม่ให้พูดต่อ)
    เหมยหลิน  : แค่สาวใช้ชั้นต่ำที่เคยเป็นหญิงคณิกา พวกเจ้าชื่นชมกันอยู่ได้ถูกหลอกยังไม่รู้ตัว พวกโง่เอ๊ย!
       ฮูหยินต่ง  : เหมยหลินหยุดได้แล้ว!
              ลี่ถัง  : หุบปากสักทีเหมยหลิน!
เฝิ่นลู่, ฉิงซวง  : ไม่อยากจะเชื่อ
หลวนเฉิน, จิ่นเกอ  : ไม่จริงน่า?!
ช่างอิ่น, เลี่ยงซู  : โอ๊ะ!!
เหยียนเหล่ย  : ใช่แล้ว! มีจื่อเคยเป็นหญิงคณิกา (เหยียนเหล่ยและคนอื่นๆเดินเข้ามาพอดี) ข้าพยายามปกปิดฐานะของมี่จื่อเพราะหากคนชั่วรู้ถึงความสามารถของนาง คนชั่วพวกนั้นจะพยายามมาจับตัวนางไป และบังคับใช้ประโยชน์นางในทางที่ผิด เหมยหลินในเมื่อเจ้าพยายามเปิดเผยฐานะของมี่จือว่าเคยเป็นหญิงคณิกา งั้นข้าจะพูดตรงนี้ให้รู้ความจริงกันเลยแล้วกันว่า.....มี่จื่อถูกลุงกับป้าโลภเงินพาไปขายที่หอกุ้ยฮวา แต่นางถูกเถ้าแก่หอคณิกาไล่ให้ไปทำงานในคอกม้าเพราะนางทำร้ายคนดูแลหอ ทำร้ายแขกหลายคนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และพยายามเผาโรงครัว จนหานหยางเค่อนักค้าขายอัญมณีแต่เบื้องหลังค้าขายวัตถุโบราณผิดกฏหมายมาพบมี่จื่อทำงานอยู่ในหอกุ้ยฮวา และรู้ว่ามี่จื่อสามารถเข้าใจภาษาชนเผ่าหลายภาษา และที่สำคัญมี่จื่อเข้าใจภาษาชนเผ่าไม้ดำ หานหยางเค่อจึงทุ่มเงินจำนวนมากถึงสามพันเหรียญไถ่ตัวมี่จื่อออกจากหอกุ้ยฮวา และบังคับใช้ความสามารถของมี่จื่อมาขโมยตำราสำคัญของท่านอ๋องหกที่ถูกเก็บรักษาอยู่ในจวนของข้า และนางก็ทำลายภาพวาดหงส์ดำระบำน้ำ ซึ่งเป็นภาพวาดโปรดปรานของฮ่องเต้ที่พระราชทานให้ข้า แต่นางถูกข้าจับได้เสียก่อน ข้าจึงกักขังมี่จื่อไว้ในจวนฮุ่ยเฉิงของข้า และข้าก็ตกหลุมรักมี่จื่อจนถอนตัวไม่ขึ้นตั้งแต่แรกที่ข้าเห็นนางที่หอกุ้ยฮวา อะ เอ่อ...จากนั้นมี่จื่อก็ช่วยงานข้ากับหลี่จวินมาตลอดทั้งช่วยไขคดีฆาตกรรมที่หอกุ้ยฮวา ไขปริศนาร้อยปีมังกรเจ้าสำราญ เคยช่วยท่านอ๋องหกวาดแบบกังหันลมให้ราชอาคันตุกะนำกลับไปสร้างกังหันลมเพื่อช่วยในการสูบน้ำเข้าเมืองจนความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นแน่นแฟ้นมากขึ้น จนวันหนึ่งเหมยหลินมาพักอยู่ที่จวนพี่ชายของข้า มี่จื่อถูกเหมยหลินใส่ความว่าขโมยแหวนหยกของนางไป จนถูกพวกของเหมยหลินรุมทำร้าย อาจารย์เฟยเทียนไปพบเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรับมี่จื่อมาเป็นศิษย์ และก็ครั้งนี้คดีเจ้าสำนักชงอวี้ มี่จื่อก็ช่วยให้เจอคนร้ายตัวจริง และข้าก็ยืนยันได้ว่ามี่จื่อไม่เคยรับแขกในหอคณิกา เพราะข้าคือชายคนแรกและเป็นสามีของมี่จื่อและจะเป็นสามีของนางตลอดไป หลังจากนี้เสนาบดีขั้นสองพี่ชายของข้าจะกลับไปถอนหมั้นระหว่างข้ากับเหมยหลิน หากจะโทษว่าใครผิดก็จงโทษข้าที่ยอมรับหมั้นหมายกับเหมยหลิน เพื่อที่ข้าจะได้สามารถแต่งมี่จื่อเป็นภรรยารองและข้ากับมี่จื่อจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
      เสนาบดี  : คนผิดคือข้าเอง ข้าบังคับเหยียนเหล่ยให้ยอมรับหมั้นกับเหมยหลิน เพราะข้ามีอคติต่อมี่จื่อและข่มขู่ว่าข้าจะฆ่าตัวตาย เหยียนเหล่ยจึงจำเป็นต้องยินยอมรับหมั้น แต่ข้าจะแก้ไขเรื่องนี้ข้าจะกลับไปถอนหมั้นและรับผิดที่ข้าก่อขึ้น
   เหมยหลิน  : ที่ท่านยอมรับหมั้นกับข้าเพราะแบบนี้เองเรอะ ต่งเหยียนเหล่ยเจ้าเหยียบย่ำเกียรติของข้าซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะนังเด็กผู้หญิงคนนี้คนเดียว ข้าเกลียดนาง ได้ยินมั้ยข้าเกลียดนาง!!! (เหมยหลินโมโหวิ่งออกไปทางหน้าจวน)
      เสนาบดี  : ท่านอ๋องหกโปรดประทานอภัยให้เหมยหลินด้วย นางเอาแต่ใจจนเสียมารยาท ข้ากับฮูหยินขอลากลับเลยแล้วกัน ข้าจะรีบพาเหมยหลินไปส่งที่บ้านของนาง ตั้งแต่เหมยหลินเข้ามาอยู่ในบ้านข้า ครอบครัวของข้าไม่เคยมีความสุขเลย ข้าลาล่ะ
        หลี่จวิน  : อืมใช่ ตั้งแต่ข้าเจอเหมยหลินข้าก็กินข้าวไม่อร่อยเหมือนกัน
        อ๋องหก  : เอาล่ะ! ทุกคนก็รู้ฐานะของมี่จื่อแล้ว และที่เหยียนเหล่ยกล่าวมานั้นทุกอย่างเป็นความจริง ข้าเองก็รับรู้เรื่องฐานะของมี่จื่อมาโดยตลอด หยุดแคลงใจเรื่องอดีต และรอดูปัจจุบันที่นางกำลังจะทำร่วมกันกับเราดีกว่า เรื่องนี้สำคัญและอย่าแพร่งพรายออกไปเพราะมี่จื่อยังต้องทำงานที่ฮ่องเต้มอบหมายไว้ให้เสร็จเป็นการชดใช้ความผิดที่ฉีกทำลายภาพเขียนของฮ่องเต้ เอาล่ะ! ทุกคนเชิญกินข้าวให้อร่อยแล้วไปช่วยกันไขปริศนาที่กำลังรอเราอยู่ เชิญ
   หลวนเฉิน  : มี่จื่อ...! (หลวนเฉินมองจ้องฉันเพราะอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน)
            มี่จื่อ  : เอ่อ...กินข้าวๆ...ข้าไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก...(ฉันก้มหน้าก้มตากินข้าวเพราะไม่รู้จะพูดแก้ตัวอะไรกับเพื่อนๆ)
         เลี่ยงซู  : มี่จื่อประวัติไม่ธรรมดา มิน่าล่ะ! ถึงได้เก่งนัก สงสัยเคยเป็นนักฆ่ามาก่อนแน่ๆ (เลี่ยงซูกระซิบกับเฝิ่นลู่)
           เฝิ่นลู่  : เป็นความลับที่ได้ฟังแล้วอึ้งที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา จะมีเรื่องอะไรที่มาทำให้ข้าอึ้งได้มากกว่านี้อีกมั้ย?!
         ช่างอิ่น  : ฟังแล้วเหมือนมีคนสิบคนอยู่ในตัวมี่จื่อ วีรกรรมเกินบรรยาย ข้าว่าต้องมีเรื่องให้เราอึ้งได้อีกแน่!
         ฉิงซวง  : มี่จื่อเป็นภรรยาอาจารย์ศิษย์พี่สี่! นางฉวยโอกาสครั้งใหญ่กับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ไปแล้ว น่าอิจฉาชะมัดเลย ข้าก็อยากจะ.......
         จิ่นเกอ  : รีบๆกินข้าวเถอะ! เลิกฝันลมๆแล้งๆ ถ้าอยากฉวยโอกาสก็มาฉวยโอกาสกับข้าได้ ข้าให้โอกาสเจ้า (จิ่นเกอคีบเนื้อไก่ใส่ชามข้าวให้ฉิงซวงทำเอาฉิงซวงเขินหน้าแดง)
          จินไห่  : เรียนให้จบก่อนนะ ค่อยคิดเรื่องฉวยโอกาสกัน...เฮ่อ! เด็กพวกนี้แก่แดดแก่ลมกันเหลือเกิน!

          หลังกินอาหารเช้ากันเสร็จ ช่วงระหว่างรอเหวินเหอจัดเตรียมรถม้า ฉันถูกเพื่อนๆดึงตัวไปคุยเข้มก่อนเดินทางไปบ้านฮูหยินเจ้า

           เฝิ่นลู่  : มี่จื่อ เจ้ายังมีอะไรปกปิดพวกเราอีกมั้ย?
             มี่จื่อ  : ไม่มีแล้ว อาจารย์ศิษย์พี่สี่บอกไปหมดแล้ว
    หลวนเฉิน  : ยังไม่หมด! ข้าอยากรู้เรื่องพลังแฝงของเจ้า ข้าเคยเห็นดอกท้อที่เจ้าปล่อยออกมา ข้าเคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งเคยพูดถึงพลังดอกท้อแบบนี้ว่ามีหนึ่งเดียวในใต้หล้าคือ พลังหมื่นบุปผา ของฮูหยินเฟิง ภรรยาของอาจารย์เฟิงหย่าอดีตเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย พลังหมื่นบุปผาเป็นพลังแฝงที่แปลกประหลาดจะปรากฏดอกท้อกลีบคมดุจมีด มีเพียงผู้สืบทอดเท่านั้นจะสามารถใช้พลังนี้ได้ ข้าสงสัยมาตั้งแต่คืนนั้นที่เจ้าปล่อยพลังแฝงไปต้านพลังเพลงขลุ่ยของอาจารย์จินไห่ ต้องเป็นพลังระดับปรมาจารย์ด้วยกันจึงจะต้านพลังของอาจารย์จินไห่ได้ อีกทั้งเจ้าปล่อยพลังแฝงล่อผึ้งไปทางอื่น ข้าได้กลิ่นดอกท้อ ตอบมา! พลังแฝงของเจ้าคือพลังหมื่นบุปผาใช่มั้ย?
         จิ่นเกอ  : ใช่ๆ! ข้าเห็นมี่จื่อใช้พลังนั้นเข้าไปช่วยอาจารย์ศิษย์พี่สี่ที่ถูกผู้ชายคนที่ชื่อเจิ้งไฉใช้เชือกมัดข้อมือดึงกลับเข้าไปในห้องสัจธรรมนั่น ข้าก็เห็นดอกท้อ
         ฉิงซวง  : พวกเราทุกคนเห็นกันหมด บอกความจริงมาเถอะ เราเป็นเพื่อนกันมิใช่รึ? หรือเจ้าไม่เห็นพวกเราเป็นเพื่อนอีกแล้ว!
            มี่จื่อ  : บอกก็ได้ ใช่แล้ว! พลังหมื่นบุปผาอยู่ในตัวข้า มันเป็นอุบัติเหตุ...ตอนนั้นหยางเค่อบังคับข้าให้ไปขโมยตำราหมื่นบุปผาในจวนฮุ่ยเฉิง แล้วจู่ๆพลังหมื่นบุปผาก็พุ่งเข้าใส่ตัวข้า ข้าก็พยายามฝึกควบคุมมันอยู่ไม่ให้กลีบดอกท้อเปลี่ยนเป็นใบมีดไปทำร้ายใคร 
         จิ่นเกอ  : เจ้าฝึกวิชาหมื่นบุปผาสำเร็จหรือยัง?
             มี่จื่อ  : ไม่เคยฝึกเลย เพราะในตำราไม่มีอักษร หรือรูปภาพกระบวนท่าอะไรเขียนไว้เลย มีเพียงภาพวาดกิ่งท้อและดอกท้อไหวไปมา แต่ตอนนี้ดอกท้ออยู่ในตัวข้า ในตำราจึงเหลือแต่กิ่งก้าน
    หลวนเฉิน  : งั้นเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดพลังหมื่นบุปผา ถ้าไม่ปรากฏผู้สืบทอดวิชามังกรสายลม มี่จื่อจะกลายเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย
           เฝิ่นลู่  : โห!!! สุดยอด สุดอึ้ง! ข้าจะมีเพื่อนเป็นเจ้าสำนักเฟิงเจี๋ย ฮ่าฮ่า มิน่าล่ะถึงพยายามปกปิดฐานะของเจ้า
         ช่างอิ่น  : เจ้าสำนักอายุน้อยแค่นี้จะมีใครเชื่อถือ เชื่อฟังคำสั่งมั้ย?
             มี่จื่อ  : นั่นแหละ! ข้าถึงต้องตามหาตำรามังกรสายลมให้เจอ แล้วให้พวกเขาไปจัดการเรื่องเจ้าสำนักกันเอง ข้าไม่อยากเป็นเจ้าสำนักข้าอยากมีชีวิตเรียบง่ายสงบสุข
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ! ข้าขอคุยส่วนตัวกับเจ้าครู่หนึ่งได้ไหม? (ฉันเดินตามหลวนเฉินไปยืนคุยกันที่ริมบ่อปลา)
    หลวนเฉิน  : เอ่อ...มี่จื่อเจ้ารู้มั้ยพอข้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ในอกข้ามันร้อนวูบรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ข้ารู้ว่าเจ้าคิดกับข้าเป็นแค่เพื่อน และสายเกินไปที่ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้ว่า ข้าชอบเจ้ามาก ข้าคิดกับเจ้าเกินความเป็นเพื่อนไปเสียแล้ว มันเร็วเกินไปที่จะให้ข้าตัดใจจากเจ้าตอนนี้ ข้าแค่อยากบอกให้เจ้ารู้ว่าข้าชอบเจ้า แม้เป็นได้แค่เพื่อนข้าก็ดีใจแล้ว
             มี่จื่อ  : หลวนเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าชอบข้าแต่ข้าแกล้งทำเป็นไม่รู้เองแหละ เพราะสถานะของข้ามิอาจตอบรับความรู้สึกชอบที่เจ้ามีต่อข้าได้ หากมองในมุมของคนรักข้าไม่สามารถมีรักซ้ำซ้อน แต่หากมองในมุมของเพื่อนข้าสามารถชอบเจ้าได้ ข้าชอบเพื่อนอย่างเจ้าสิบคนยังได้เลย
    หลวนเฉิน  : ฟังดูงงๆ แต่ก็เข้าท่าดี ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย หากมองในมุมของคนรักข้าไม่อาจเข้าไปแทรกซ้อนเจ้ากับอาจารย์ศิษย์พี่สี่ได้ แต่หากมองในมุมของเพื่อนข้าสามารถชอบเจ้าได้ มีมี่จื่อสักสิบคนข้าก็ชอบได้
         จิ่นเกอ  : เจ้าสองคนคุยกันเสร็จหรือยัง รถม้าจัดเตรียมเสร็จแล้วไปกันได้แล้ว! (จิ่นเกอตะโกนบอกเรา)

阿悠悠 - 舊夢一場動態歌詞早知驚鴻一場 何必情深一往
Youtube by : Angelic Music World
   
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 54
(ทดสอบลายมือ)

          เราเริ่มออกเดินทางไปยังบ้านของฮูหยินเจ้า สภาพบ้านใหญ่โต หรูหรา แต่ภายในบ้านกลับดูเงียบเหงา คนงาน คนรับใช้มีเพียงไม่กี่คน หญิงสูงอายุเป็นหัวหน้าแม่บ้าน เหวินเหอเรียกว่าป้าซู เดินนำเราเข้าไปในตัวบ้าน ป้าซูบอกว่าตั้งแต่เศรษฐีเจ้าตาย ฮูหยินเจ้าก็ตรอมใจเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนหรือใครอีกเลย ฮูหยินบอกว่ารู้สึกอับอายและทำใจไม่ได้ที่ถูกสามีนอกใจ และไม่สามารถทนเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านได้ จึงเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ป้าซูให้เรานั่งดื่มน้ำชารอในห้องรับแขก จากนั้นจึงเดินออกไปเชิญฮูหยินเจ้ามาพบเรา

          เรารออยู่ไม่นานนักฮูหยินเจ้าก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่หม่นหมองไร้สง่าราศี เหวินเหอเรียกฮูหยินเจ้าว่าท่านป้าเนื่องจากเขาทั้งสองเป็นเครือญาติกัน เหวินเหอแนะนำว่าเรามาจากหน่วยสอบสวนในเมืองหลวง ต้องการมาตรวจสอบห้องทำงานที่พบศพเศรษฐีเจ้า และต้องการตรวจสอบกระดาษที่เขียนบทกลอนแผ่นนั้นอีกครั้ง ฮูหยินเจ้าก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง และพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันทีว่า

    ฮูหยินเจ้า  : จะต้องดูอะไรกันอีก ข้าไม่สนใจแล้วว่าเขาตายเพราะอะไร เขาทิ้งความอัปยศน่าอับอายไว้ให้ข้า เชิญทุกคนกลับไปเถอะ
      เหวินเหอ  : ท่านป้าฟังก่อน! เรารู้ตัวคนฆ่าท่านลุงแล้ว ชงอวี้เจ้าสำนักไป๋หู่วางยาฆ่าท่านลุง เพราะเขาสองคนร่วมมือกันตามหาของสำคัญอะไรสักอย่าง แล้วผิดใจกัน ชงอวี้จึงวางยากล่อมประสาทท่านลุงให้ลงมือฆ่าตัวเองตาย ตอนนี้ข้าออกประกาศจับชงอวี้ไปทั่วเมืองแล้ว
    ฮูหยินเจ้า  : ดีจริงในที่สุดก็รู้ตัวคนร้าย แต่เอ๊ะ! เขาสองคนไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเห็นเขาเพิ่งไปพบพูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้งเอง ลุงของเจ้าเขาสนิทสนมกับเจ้าสำนักคนก่อนที่ตายไปต่างหากล่ะ เขาเป็นเพื่อนกัน ในวันที่เจ้าสำนักคนก่อนกระโดดหอบูชาเทพฆ่าตัวตายลุงของเจ้าเขาก็รู้สึกเสียใจ และเชื่อว่าไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตายแน่นอน ข้าไม่ได้บอกเจ้าเรื่องนี้เพราะวันนั้นข้ามัวแต่ตกใจและเอาแต่ร้องไห้เสียใจที่ลุงของเจ้าตาย จึงไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียด
     เหวินเหอ  : งั้นข้าขอดูกระดาษที่ท่านลุงเขียนบทกลอนทิ้งไว้หน่อย คือข้าพาหลี่จวินหัวหน้าหน่วยสอบสวนจากเมืองหลวงและคณะตรวจสอบมาช่วยตีความหมายในบทกลอนเพราะข้ามั่นใจว่าบทกลอนนั่นต้องมีความหมายอื่นซ่อนอยู่และไม่ได้หมายถึงหญิงอื่นใดแน่
          ฮูหยิน  : หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าก็จะพาไปดูมันถูกเก็บไว้ในห้องที่เขาตายนั่นแหละ เชิญตามข้ามา

          ฮูหยินพาเราเดินไปยังอาคารชั้นเดียวหลังหนึ่งที่ถูกสร้างแยกออกมาจากตัวบ้านไม่ไกลนัก ซึ่งเป็นห้องทำงานของเศรษฐีเจ้า ภายในห้องได้รับการทำความสะอาดอย่างดี ข้าวของถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ฮูหยินเจ้าหยิบกล่องไม้ที่ถูกซ่อนไว้ในช่องลับหลังชั้นหนังสือ แล้วส่งกล่องไม้ที่ภายในบรรจุกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ให้เหวินเหอ เขารีบหยิบกระดาษแผ่นนั่นส่งให้ท่านอ๋องหกอ่าน

        อ๋องหก  : อืม...อ่านดูผิวเผินเหมือนบทกลอนที่กล่าวถึงความรักทั่วไป
    ฮูหยินเจ้า  : ในตอนแรกข้าก็คิดว่าสามีเขียนถึงข้า แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะข้าไม่ได้นั่งอยู่ด้วยตอนที่เขาดื่มเหล้า
        อ๋องหก  : นี่ใช่ลายมือปกติของเศรษฐีเจ้าหรือไม่
    ฮูหยินเจ้า  : นี่เป็นลายมือของสามีข้า แต่ลายมือผิดแปลกไปนิดหน่อยคงเพราะเขียนตอนเมา ข้าจะนำลายมือที่สามีข้าเขียนในเวลาปกติมาให้เปรียบเทียบ (ฮูหยินหยิบกระดาษที่มีลายมือเศรษฐีเจ้ามาให้ดู)
        อ๋องหก  : ลายมือคล้ายคลึงกัน
        หลี่จวิน  : เขาอยู่ในอารมณ์รักก่อนตายงั้นรึ
เหยียนเหล่ย  : ขอข้าดูลายมือใกล้ๆหน่อย เอ...ที่บทกลอนเขียนปลายภู่กันแตกเหมือนตอนเขียนมือกำลังสั่น
      เหวินเหอ  : สั่นกลัวรึ
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่แน่ใจ...
             มี่จื่อ  : ก็จำลองเหตุการณ์สิ จะได้รู้ว่าคนตายอยู่ในอารมณ์แบบไหนตอนที่กำลังเขียนบทกลอน ถ้าอยู่ในอารมณ์รัก หญิงงามในบทกลอนอาจมีอยู่จริง แต่ถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดกลัวแสดงว่าในบทกลอนต้องซ่อนความหมายอื่นไว้แล้วใช้คำว่าหญิงงามแทนสิ่งที่ซ่อนอยู่ ให้เราจำลองเหตุการณ์โดยให้คนที่คออ่อนดื่มเหล้าไม่เก่งลองดื่มเหล้าจนเมาแล้วให้คิดถึงคนที่ตัวเองชอบ แล้วเขียนบทกลอนนี้ลงบนกระดาษ จากนั้นให้นึกถึงสิ่งที่กลัวแล้วเขียนบทกลอนนี้ลงบนกระดาษอีกแผ่น แล้วนำกระดาษมาเปรียบเทียบว่าลายภู่กันแบบไหนใกล้เคียงกับลายภู่กันของคนตายที่สุด
        อ๋องหก  : อืม! ให้ทำตามที่มี่จื่อกล่าวมา!
        หลี่จวิน  : ข้า, เหยียนเหล่ย กับท่านเวย (อ๋องหก) ตัดออกไปเลยเราดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยคอแข็ง
          จินไห่  : ข้าดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์เฟยเทียนบ่อย ข้าไม่เมาง่ายๆ
     เหวินเหอ  : ข้าก็ดื่มบ่อยคอแข็งเหมือนกัน
        จิ่นเกอ  : ข้ากับหลวนเฉินก็คอแข็ง
        ช่างอิ่น  : ข้าจะดื่มเอง ข้าคออ่อนดื่มเหล้าไม่เก่ง

          ฮูหยินเจ้าให้คนรับใช้ยกเหล้าเข้ามาแล้วให้ช่างอิ่นดื่ม เขาดื่มไปได้สามแก้วก็เริ่มมีอาการมึนเมา หลี่จวินจึงบอกให้ช่างอิ่นนึกถึงหน้าคนที่เขาชอบ ช่างอิ่นยิ้มเขินอายแล้วหันไปมองหน้าเฝิ่นลู่อย่างเขินๆทำเอาทุกคนในห้องต่างส่งเสียงแซวจนเฝิ่นลู่เขินอายทำอะไรไม่ถูก

           เฝิ่นลู่  : ช่างอิ่น เจ้ามองหน้าข้าทำไม?
         ฉิงซวง  : ช่างอิ่นชอบเฝิ่นลู่ ดูสิเขินหน้าแดงทั้งคู่เลย
             มี่จื่อ  : ช่างอิ่นแอบชอบเฝิ่นลู่ได้เงียบเชียบมาก ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเขาเป็นก้อนหินเสียอีก เหล้าช่วยให้เปิดเผยความลับได้จริงๆ
             ลี่ถัง  : ให้ช่างอิ่นเขียนบทกลอนเลย

          ช่างอิ่นหยิบภู่กันมาเขียนบทกลอน ตัวอักษรโย้เย้ แต่ก็พออ่านได้ลายเส้นไม่แตกสั่น หลี่จวินจึงถามช่างอิ่นว่าเขากลัวอะไร ช่างอิ่นตอบว่ากลัวงู จึงนึกถึงงูแล้วเขียนบทกลอน ตัวอักษรที่เขียนโย้เย้เหมือนกับครั้งแรก ท่านอ๋องหกบอกว่าความกลัวยังมีไม่มากพอ จึงสั่งให้องครักษ์ที่รออยู่ด้านนอกไปจับงูมาตัวหนึ่ง ฮูหยินเจ้าบอกว่าบ้านข้างๆเลี้ยงงูขาย นางจึงสั่งให้คนรับใช้ผู้ชายไปซื้องู รออยู่สักครู่หนึ่งคนรับใช้ชายก็ถืองูเหลือมตัวเป็นๆใหญ่เท่าแขนเดินเข้ามาตัวหนึ่ง พวกผู้หญิงรวมทั้งฉันและช่างอิ่นต่างกลัวงูกระโดดหนีกันวงแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง จนพวกผู้ชายหัวเราะกันท้องแข็ง หลี่จวินจึงบอกให้พวกผู้ชายช่วยกันจับช่างอิ่นให้นั่งอยู่นิ่งๆ แล้วจับงูเหลือมมาอยู่ใกล้หน้าช่างอิ่น ทำเอาช่างอิ่นพยายามดิ้นหนีร้องแหกปากเสียงหลงด้วยความกลัว ฉันจึงตะโกนบอกช่างอิ่นให้เขียนบทกลอนตอนนี้เลย พยายามเขียนให้ได้ พร้อมกับเสียงของทุกคนที่เร่งเร้าให้ช่างอิ่นเขียนบทกลอน ช่างอิ่นจึงพยายามกัดฟันเขียนบทกลอนจนจบพร้อมกับร้องลั่นไปด้วยเพราะกลัวงูที่จ่ออยู่ตรงหน้า

          จากนั้นเหยียนเหล่ยจึงหยิบบทกลอนที่เศรษฐีเจ้าเขียนนำมาเปรียบเทียบกับบทกลอนที่ช่างอิ่นเขียนขณะหวาดกลัวงูมีความคล้ายกันกับบทกลอนของเศรษฐีเจ้า คือลายเส้นภู่กันแตกสั่นเพราะเกิดจากความกลัว หลี่จวินจึงถามขึ้นว่า

        หลี่จวิน  : เศรษฐีเจ้ากลัวอะไร? เกิดความหวาดกลัวมากขนาดนี้แต่กลับเขียนกลอนรักได้ น่าเหลือเชื่อ
             มี่จื่อ  : ที่เศรษฐีเจ้าหวาดกลัว คงเกิดจากการสูดดมกลิ่นกำยานพิษนั่น และดื่มเหล้ารสแรงตามเข้าไปจนเกิดอาการประสาทหลอน ชงอวี้คงทำอะไรบางอย่างกับเศรษฐีเจ้าจนทำให้เกิดความหวาดกลัวแล้วพูดอะไรซ้ำๆกรอกหู เช่นคำว่าฆ่าตัวตาย เหมือนที่เขาพยายามจะทำกับเราตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง เมื่อเศรษฐีเจ้ากลับมาถึงบ้านอาจจะยังมีสติอยู่บ้างจึงแข็งใจเขียนบทกลอนจนจบ
    หลวนเฉิน  : แสดงว่าเศรษฐีเจ้าพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่ไม่ต้องการให้ชงอวี้รู้ เป็นไปได้มั้ยว่าหญิงงามในบทกลอนจะหมายถึงของที่ชงอวี้ต้องการ
            ลี่ถัง  : ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
    ฮูหยินเจ้า  : ในบทกลอนมิได้เขียนถึงหญิงงาม ถ้าอย่างนั้นสามีของข้าก็มิได้มีหญิงอื่นใช่มั้ย? (ฮูหยินเจ้าเริ่มมีรอยยิ้มดีใจปรากฏบนหน้า)
     เหวินเหอ  : ท่านป้า นี่ยังเป็นเพียงการสันนิษฐาน แต่มีความเป็นไปได้มากที่คำว่าหญิงงามจะหมายถึงของบางอย่างที่ท่านลุงแอบซ่อนไว้ แต่เรื่องหญิงงามที่เราสันนิษฐานไว้ตอนแรกก็จะยังไม่ตัดทิ้งไปจนกว่าเราจะได้ความคืบหน้าที่มากกว่านี้
    ฮูหยินเจ้า  : ดี! ข้าจะรอ ขอบใจเจ้ามากเหวินเหอที่พาพวกเขามาที่นี่ ทำให้ข้ามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ว่าจะช่วยลบล้างความอัปยศอดสูใจให้ข้า เอ่อ...ข้าให้คนจัดอาหารกลางวันไว้ให้สำหรับทุกคน ส่วนพ่อหนุ่มคนที่เมาเหล้าข้าจะให้ป้าซูจัดเตรียมห้องให้เขาไปนอนพัก เชิญทุกคนตามสบาย
          จินไห่  : ขอบคุณฮูหยินเจ้า ต้องรบกวนฮูหยินแล้ว
    ฮูหยินเจ้า  : หากพวกท่านยังไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยมที่ไหน ก็ขอเชิญพักที่นี่เถอะ จะได้สะดวกในการตรวจสอบบทกลอนไม่ต้องเดินทางไปๆมาๆ ข้าจะให้ป้าซูไปเตรียมห้องพักให้
     เหวินเหอ  : ท่านเวยและทุกคนโปรดพักอยู่ที่นี่เถอะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไป-กลับให้ลำบาก
        อ๋องหก  : ตกลง เราจะพักที่นี่ ขอรบกวนฮูหยินเจ้าด้วย
     ฮูหยินเจ้า  : ไม่ต้องเกรงใจ ข้าขอตัว

任然/Xun(易碩成) - 硃砂塵世間為我點一抹硃砂生生廝守這天下動態歌詞
ชาดแดง
Youtube by : EHPMusicChannel
ดาวน์โหลด mp3
ชาดแดง 任然/Xun(易碩成) - 硃砂塵世間為我點一抹硃砂生生廝守這天下動態歌詞
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 55
(ผู้บุกรุก)

          หลวนเฉินกับจิ่นเกอพยุงช่างอิ่นที่เมาเหล้าไปนอนพักในห้องที่ป้าซูหัวหน้าแม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นทั้งสองจึงออกมากินอาหารกลางวันด้วยกัน และหลังอาหารกลางวันฉันแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนไปนั่งคุยและดื่มน้ำชาช่วงบ่ายกับเหยียนเหล่ยในศาลาข้างสระบัว เพราะหลายวันมานี้เราไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันเลย ฉันมองหน้าเขาแล้วคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าที่เขาประกาศต่อหน้าทุกคนว่าฉันเป็นภรรยาของเขาทำเอาฉันปลื้มดีใจสุดๆจนแทบจะกระโดดกอดเขาซะเดี๋ยวนั้น แล้วจินตนาการต่ออีกว่าอยากหอมแก้มและจูบริมฝีปากสอดใส่ลิ้นควานหาลิ้นนิ่มๆในปากของเขา เหยียนเหล่ยหันมามองหน้าฉันแล้วยิ้ม

เหยียนเหล่ย  : เจ้ามองหน้าข้าแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มคนเดียวคิดอะไรเกี่ยวกับข้าอยู่รึ?
             มี่จื่อ  : ข้าอยากจูบท่าน อยากจะ...... (ฉันพูดเบาๆ ละเสียงไว้เพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันสองคน)
เหยียนเหล่ย  : ข้าหูฝาดไปหรือนี่เจ้าอยากจะ.....กับข้าก่อน
             มี่จื่อ  : ทำไมล่ะ?! ข้าคิดกับท่านก่อนไม่ได้เหรอ ข้าอยากจะทำรักกับท่านทุกวัน ทำทั้งวันจนหมดแรงกันไปข้างหนึ่ง ท่านรู้มั้ยเวลาที่ข้านั่งอยู่บนตักของท่านมันทำให้ข้ารุ่มร้อนดุจขี่ม้าพยศวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าฤดูร้อน (ฉันเอื้อมมือลูบไล้ต้นขาของเหยียนเหล่ยลูบไล้ขึ้นมาถึงแท่งเนื้อแข็งและลูบคลำเบาๆแสดงออกถึงความต้องการของฉัน)
เหยียนเหล่ย  : เราไปคุยกันที่ห้องพักของข้า (เหยียนเหล่ยกำลังจะลุกขึ้นพาฉันไปห้องพักของเขา ประจวบกับอ๋องหกกำลังเดินตรงมาหาเราพอดี)
            มี่จื่อ  : ท่านอ๋อง เชิญนั่ง (ฉันลุกขึ้นทำความเคารพอ๋องหก)
        อ๋องหก  : ตามสบายไม่ต้องพิธีรีตรอง ตอนนี้ข้าเป็นท่านเวยไม่ใช่อ๋องหก ข้าเดินดูรอบบ้านฮูหยินเจ้าบริเวณบ้านกว้างขวางตกแต่งสวยงามน่าอยู่ โดยรอบบ้านมีภูเขาเป็นทิวทัศน์สวยงามเหมาะเป็นสถานที่ใช้พักผ่อนจริงเชียว เศรษฐีเจ้าตาถึงเลือกทำเลสร้างบ้านได้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในวัยชรา แต่น่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตลงเสียก่อน
        หลี่จวิน  : โธ่! ท่านอ๋องมานั่งกันอยู่ตรงนี้เอง ข้าเดินหาซะทั่วเลย (หลี่จวินกับลี่ถังเดินตรงมาหาเรา) ข้าคิดตีความบทกลอนคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
        อ๋องหก  : ใจเย็นๆ ค่อยๆคิดกันไป
            มี่จื่อ  : ท่านหลี่จวินคงจะร้อนใจ อยากเห็นหญิงงามในบทกลอนเร็วๆ
        หลี่จวิน  : มี่จื่อ! เจ้าพูดแบบนี้หยิบกระบี่มาสู้กับข้าเลยดีกว่า เจ้าอย่าพูดจาอะไรให้ลี่ถังโกรธข้าจะได้มั้ย
            ลี่ถัง  : เชอะ! ท่านเจ้าชู้ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น
            มี่จื่อ  : นี่! ท่านหลี่จวิน อย่าเพิ่งใจร้อน ท่านไม่คิดจะให้เวลาเราได้พักผ่อนบ้างเลยเหรอ ข้ากับคุณชายเหยียนเหล่ยไม่มีเวลาเติมความหวานกันเลย (ฉันเอียงหน้าซบไหล่เหยียนเหล่ยแล้วโอบกอดเขาเพื่อแกล้งยั่วหลี่จวินให้อิจฉา)
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋อง ดูนางสิแกล้งยั่วข้า นางช่างร้ายกาจเกินเด็ก!

          ฉันจึงหยุดแกล้งหลี่จวินแล้วแอบหัวเราะ เหยียนเหล่ยบีบแก้มฉันเพราะหมั่นเขี้ยว ลี่ถังหันมาบอกว่าเห็นป้าซูแม่บ้านเดินยกของว่างมาให้เราและเหวินเหอที่เดินตามมาทางด้านหลัง ฉันจึงพูดกับหลี่จวินต่ออีกว่า...

             มี่จื่อ  : ไว้รอดูช่วงเวลากลางคืน หญิงงามอาจจะปรากฏกายออกมาก็ได้
             ป้าซู  : คืนนี้เป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวง หากนายท่านยังมีชีวิตอยู่ นายท่านชอบนั่งดื่มเหล้าใต้แสงจันทร์เต็มดวง และมักขึ้นไปนั่งดื่มเหล้าบนหลังคาเรือนทำงานในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง สักพักจึงกลับลงมานอน
      เหวินเหอ  : คืนนี้เราคงต้องนั่งดื่มเหล้าใต้แสงจันทร์ใช่มั้ย
        อ๋องหก  : คงต้องเป็นแบบนั้น เราจะเดินตามรอยเท้าที่เศรษฐีเจ้าทิ้งร่องรอยไว้ให้
        หลี่จวิน  : เหวินเหอ เจ้าไปดูบนหลังคากับข้า ข้าอยากจะดูสักหน่อยว่าบนหลังคามีอะไร

          หลี่จวินกับเหวินเหอใช้วิชายุทธกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนทำงานของเศรษฐีเจ้า เขาทั้งสองเดินสำรวจดูกันอยู่ครู่หนึ่งจึงกระโดดกลับลงมา แล้วบอกว่าไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ แต่มองทิวทัศน์ด้านบนหลังคาสวยงามดี เรานั่งคุยและกินของว่างกันอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยอันไพเราะของจินไห่ดังขึ้น ทำให้ฉันเริ่มมีอาการง่วงนอน ฉันลุกขึ้นขอตัวไปนอนงีบกลางวัน เหยียนเหล่ยบอกว่าให้ฉันไปงีบหลับในห้องพักของเขาเพราะเงียบหน่อย เหยียนเหล่ยจูงมือฉันเดินออกไปทันที พอเข้ามาถึงห้องพักเหยียนเหล่ยโผเข้าจูบฉันเหมือนคนหิวกระหายเขาจูบและดูดลิ้นฉันจนแทบจะหายใจไม่ทัน เขาบอกว่าคำพูดของฉันที่พูดออกมาตรงๆว่าอยากทำรักกับเขาแล้วลูบคลำเขาในที่สาธารณะมันดูไม่งามไม่สมเป็นกุลสตรี แต่มันกลับกระตุ้นให้เขามีอารมณ์พลุ่งพล่านจนเขาทนเก็บอาการแทบไม่ไหว

          ฉันรีบถอดกางเกงออกแล้วดันเขานั่งลงบนเตียง ปลดเชือกกางเกงเขาออกจนเผยให้เห็นแท่งเนื้อแข็งใหญ่ยาวผงาดชูชัน ฉันลูบคลำขึ้นลงแล้วนั่งยองๆลงตรงหว่างขาเขา ก้มแลบลิ้นเลียส่วนปลายแท่งเนื้อเลียรอบๆรอยหยักและเลียบริเวณช่องรอยแยกปลายแท่ง จากนั้นดันแท่งเนื้อเข้าปากแล้วดูดแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆ ดูดจากปลายจนเกือบสุดโคน ทั้งดูดและเลียอยู่หลายครั้งจนเหยียนเหล่ยร้องครางออกมาเบาๆ จากนั้นฉันลุกขึ้นนั่งคร่อมบนตักจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาเด้งก้นโยกขยับขึ้นลง พร้อมจูบริมฝีปากดูดลิ้นเขาเข้าปากดูดดื่ม เขาเอื้อมมือโอบกอดบีบขยำก้นกดดันก้นฉันให้เนินขยี้เสียดสีกันจนเสียว ฉันเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นกระแทกให้แท่งเนื้อแข็งขยับเข้าออกเนินหว่างขาแรงขึ้นจนฉันเกร็งตัวเสร็จก่อนเขา แล้วดันตัวเหยียนเหล่ยให้นอนหงายในขณะที่ฉันยังคงนอนคร่อมทับเขาแท่งเนื้อแข็งยังคงคาอยู่ในเนินหว่างขา ฉันจูบสอดใส่ลิ้นเข้าปากเขาแล้วดูดลิ้นเขากลับเข้ามาในปากฉัน ในขณะที่ก้นฉันยังคงขยับเด้งขึ้นลงให้แท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆ ฉันหอมแก้มเขาและเลื่อนริมฝีปากไปเลียใบหู และกระซิบข้างหูเขาว่า "กระแทกแรงๆลึกๆ" เหยียนเหล่ยจูบฉันอีกครั้งแล้วเอื้อมมือโอบกอดฉันแน่น เด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาแรงขึ้นจนฉันรู้สึกถึงน้ำเยิ้มแฉะของฉันที่ไหลออกมาตามแรงกระแทกและดันจนลึก ฉันจึงขยับตัวลุกนั่งเพื่อรับการกระแทกที่แนบสนิทยิ่งขึ้น ขย่มแท่งเนื้อแข็งจนเกร็งตัวเสร็จอีกครั้ง "โอ๊วววไม่ไหวแล้ว" เหยียนเหล่ยจึงลุกขึ้นจับฉันนอนหงายแล้วเร่งกระแทกกระทั้นแท่งเนื้อแข็งเข้าออกถี่เร็วขึ้นจนเขาเกร็งตัวดันแท่งเนื้อแข็งเข้าจนสุด "อ๊าาาา" แล้วปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมา เขาโถมตัวกอดฉันเพราะหมดแรงจากการทำให้ฉันเสร็จถึงสองครั้ง เหยียนเหล่ยจูบฉันอย่างนุ่มนวล แล้วบอกให้ฉันนอนซะ เขาจะออกไปพูดคุยกับอ๋องหกและหลี่จวินต่อ ฉันพยักหน้าแล้วนอนหลับไปเพราะเหนื่อย

          ฉันนอนหลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก และได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาเป็นเหยียนเหล่ย และเพื่อนสาวอีกสามคนของฉันที่กำลังมีสีหน้าหน้าตื่นตระหนกตกใจ เหยียนเหล่ยเข้ามานั่งข้างๆฉันที่กำลังงัวเงีย เขากอดฉันแล้วพูดขึ้นว่า

เหยียนเหล่ย  : ดีนะ! ที่ข้าสร้างมนต์ปิดผนึกไว้หน้าประตู เจิ้งไฉมันเข้ามาไม่ได้
             มี่จี่อ  : ห๊ะ! เจิ้งไฉมาเรอะ?
เหยียนเหล่ย  : ใช่! เจ้าอยู่ในนี้นะ อย่าออกไปจนกว่าข้าจะมาเปิดประตู (เหยียนเหล่ยรีบออกจากห้องไปแล้วสร้างมนต์ปิดผนึกประตูไว้ตามเดิม)
             มี่จือ  : เจิ้งไฉมาที่นี่ได้ยังไง?
           เฝิ่นลู่  : ไม่รู้ แต่องครักษ์เห็นเจิ้งไฉแอบเข้ามาในบ้าน พวกเขากำลังตามจับแต่เจิ้งไฉก็หนีไปได้ ท่านอ๋องหกสั่งองครักษ์ค้นหาอยู่ อาจารย์ศิษย์พี่สี่จึงให้พวกข้าสามคนเข้ามาหลบในนี้
         ฉิงซวง  : เจ้าหายไปตั้งแต่บ่ายที่แท้แอบมานอนหลับอยู่ที่นี่เอง
             มี่จื่อ  : ก็ข้าง่วง อาจารย์ศิษย์พี่สี่พาข้ามานอนในนี้เขาบอกว่าในนี้เงียบดี
         เลี่ยงซู  : โชคดีที่เจ้านอนหลับอยู่ในห้องนี้ เพราะอาจารย์ศิษย์พี่สี่สร้างมนต์ปิดผนึกป้องกันคนเข้ามา ไม่งั้นเจิ้งไฉคงเจอเจ้าแน่ๆ ทำไมเจิ้งไฉถึงต้องการตัวเจ้านัก
             มี่จื่อ  : ชงอวี้คงสั่งให้เจิ้งไฉมาฆ่าข้า อีกอย่างเจิ้งไฉคิดว่าข้ารู้ที่ซ่อนตำรามังกรสายลม เขาต้องการให้ข้าบอกที่ซ่อนตำรามังกรสายลม ข้าบอกเขาหลายครั้งแล้วว่าข้าไม่รู้ เขาก็ไม่เชื่อ
         เลี่ยงซู  : ข้าเห็นผู้ชายอีกคนมากับเจิ้งไฉ ได้ยินท่านหลี่จวินเรียกชื่อเขาว่า หยางเค่อ เขาวิ่งมาทางนี้แล้วหนีหายไปทางด้านหลัง
            มี่จื่อ  : หยางเค่อ! เขาเป็นอะไรหรือเปล่า เขาหนีไปได้ใช่มั้ย?
         เลี่ยงซู  : หยางเค่อเป็นคนร้าย ดูเหมือนเจ้าห่วงใยเขาจังเลย
             มี่จื่อ  : ถึงเขาจะเป็นคนร้าย เคยบังคับข้าให้ไปขโมยของจนถูกจับได้ แต่เขาก็ย้อนกลับมาช่วยข้าแม้เขาจะช่วยไม่ได้ก็ตาม หยางเค่อเขาไม่เคยทำร้ายข้า เขาเคยช่วยข้าจากคนดูแลหอกุ้ยฮวาที่พยายามบีบคอทำร้ายข้า และหยางเค่อเป็นคนมาเตือนข้าว่าห้ามข้าเข้าไปในห้องเก็บสมบัติสำนักไป๋หู่และห้ามดื่มเหล้า เขาทำให้ข้าสามารถห้ามทุกคนดื่มเหล้าได้ทันท่วงที
         เลี่ยงซู  : หยางเค่อไม่ได้เป็นอะไร เขาหนีไปได้
         ฉิงซวง  : มี่จื่อ...เล่าให้ฟังหน่อยสิ เจ้ากับอาจารย์ศิษย์พี่สี่เป็นสามี-ภรรยากันแล้ว เขาปฏิบัติกับเจ้ายังไง (ทั้งสามสาวทำหน้าตั้งใจฟัง)
            มี่จื่อ  : ก็อย่างที่เห็นอาจารย์ศิษย์พี่สี่ชอบจับข้าขังไว้ในห้อง ฮ่าฮ่า
         ฉิงซวง  : โธ่! ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าหมายถึงเวลาที่เจ้ากับอาจารย์ศิษย์พี่สี่อยู่ด้วยกันตามลำพังต่างหากเล่า
            มี่จื่อ  : (ฉันรู้ว่าเด็กสาวทั้งสามกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น ฉันจึงแกล้งฉิงซวงด้วยการลูบไล้ต้นขาของนางเบาๆ) อาจารย์ศิษย์พี่สี่ชอบสัมผัสข้าเบาๆแบบนี้แล้วพูดว่า "ข้าคิดถึงเจ้า" แล้วก็มองตา แล้วก็....
เฝิ่นลู่, เลี่ยงซู  : โอ๊ว! ว้าย! อื๊มมม! เขินแทนจังเลย (ทั้งสองร้องวี๊ดว๊ายเอามือปิดปากทำตาโตตื่นเต้น)
เหยียนเหล่ย  : ทำอะไรกันอยู่?! (เหยียนเหล่ยเปิดประตูเข้ามาพอดี)
            มี่จื่อ  : ไม่มีอะไร! ข้างนอกเหตุการณ์ปกติแล้วเหรอ แหม! ตื่นมาก็หิวขนม เอ่อ... ออกไปหาขนมกินรองท้องหน่อยดีกว่า
         ฉิงซวง  : อ๋อ! ไปสิ เมื่อเช้าข้าเห็นป้าซูทำขนมถั่วเขียวกวนน่ากินเชียว
เฝิ่นลู่, เลี่ยงซู  : อาจารย์ศิษย์พี่สี่ พวกเราขอตัว
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ! รอเดี๋ยว มีอะไรกันรึเปล่าพวกนางดูลุกรี้ลุกรน
             มี่จื่อ  : ไม่มีอะไรหรอก เวลาสาวๆคุยกันถึงเรื่องตื่นเต้นอาการก็จะเป็นแบบนี้แหละ
เหยียนเหล่ย  : คืนนี้เจ้าย้ายมานอนกับข้าในห้องนี้
            มี่จื่อ  : จริงดิ๊! แต่มันจะดีเหรอ มันคงจะไม่เหมาะ
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่สนใจแล้วว่าจะเหมาะหรือไม่ ข้ากลัวคนจะมาทำร้ายเจ้ามากกว่า
             มี่จื่อ  : งั้นก็ได้...ข้าจะนอนกอดกับท่านทั้งคืนเลย
เหยียนเหล่ย  : อื้ม!

Big 2 Music (ft. Cherelle 陳宣清) - 毒癮千言萬語我們始
Youtube by : EHPMusicChannel

Big 2 Music (ft. Cherelle)
Youtube by : Big 2 Music
Big 2 Music (ft. Cherelle 陳宣清) - 毒癮千言萬語我們始
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 56
(คืนที่หญิงงามปรากฎ)

          หลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว ฮูหยินบอกให้คนรับใช้นำเหล้าและของแกล้มไปจัดวางไว้ที่ศาลาชมจันทร์เป็นศาลาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆเรือนทำงานของเศรษฐีเจ้า เราจึงเดินไปนั่งรวมตัวดื่มเหล้าพูดคุยกันที่ศาลานั้นและรอดูพระจันทร์เต็มดวง หลี่จวินบอกว่าเราควรดื่มเหล้าให้มีความสุขตามในบทกลอน จินไห่จึงอาสาเป่าขลุ่ยเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน ฮูหยินเจ้าจึงให้ป้าซูไปหยิบกู่เจิงของนางออกมาให้ฉิงซวงยืมเล่นควบคู่กับขลุ่ยของจินไห่ ท่านอ๋องหกส่งจอกเหล้าให้ฉันดื่มแล้วบอกว่าฉันควรจะดื่มเหล้าด้วย หากตีความอะไรไม่ออกก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าดื่มสังสรรค์ก็แล้วกัน ฉันจึงรับเหล้ามาดื่มจากท่านอ๋องหก และรับการชนจอกกับหลวนเฉินอีกหนึ่งจอก จนฉันเริ่มมีอาการเมาเล็กน้อย หลี่จวินเห็นว่าฉันเริ่มเมาจึงคิดจะแกล้ง เขาบอกให้ฉันร้องเพลงให้ทุกคนฟังเพื่อความเพลิดเพลิน ทำเอาจินไห่หยุดเป่าขลุ่ยทันทีแล้วรีบห้ามไม่ให้ฉันร้องเพลง รวมทั้งกลุ่มเพื่อนของฉันช่วยกันห้ามเช่นกัน แต่เหยียนเหล่ยกลับนั่งหัวเราะเพราะเขารู้ว่าฉันร้องเพลงเพี้ยน เลี่ยงซูจึงอาสาร้องเพลงให้ทุกคนฟัง

          ท่านอ๋องหกส่งจอกเหล้าให้ฉันดื่มหลายจอกจนฉันเมามาก ยิ่งดึกฉันก็ยิ่งเมาจนเวลาใกล้ถึงเที่ยงคืน ป้าซูชี้ให้เราดูพระจันทร์เต็มดวงสว่างตา อีกทั้งคืนนี้ฟ้าโปร่งไม่มีเมฆบังดวงจันทร์ หลี่จวินจึงชักชวนหวินเหอกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนทำงานเพื่อมองหาความผิดปกติ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเหมือนเดิม

             มี่จื่อ  : ศิษย์พี่สี่! พาข้าขึ้นไปบนหลังคาหน่อย ข้าอยากเห็นหญิงงามว่าจะงามขนาดไหน (ฉันกอดคอเหยียนเหล่ยให้พาขึ้นไปบนหลังคาพร้อมหยิบเหล้าติดมือขึ้นไปหนึ่งขวด)
             ลี่ถัง  : มี่จื่อเมามากระวังจะตกหลังคา มา! ข้าช่วยพยุง (ลี่ถังช่วยเหยียนเหล่ยจับฉันกระโดดขึ้นไปบนหลังคาตามหลังด้วยท่านอ๋องหกกระโดดตามขึ้นมาด้วย ส่วนที่เหลือยืนดูและลุ้นอยู่ด้านล่าง)

          เราขึ้นไปนั่งเรียงกันอยู่บนหลังคา บรรยากาศด้านบนลมพัดเย็น มองเห็นทิวเขาเป็นเงาดำในความมืด ฉันแหงนมองท้องฟ้าเห็นพระจันทร์เต็มดวงสวยงามเป็นดวงใหญ่ ท่านอ๋องหกมองไปรอบๆบริเวณแล้วพูดว่า

        อ๋องหก  : เศรษฐีเจ้ามองเห็นหญิงงามปรากฏตรงไหนกันนะ หรือเขาจะเมามากจนตาฝาด?
        หลี่จวิน  : นั่นสิ! กระหม่อมคิดว่าเศรษฐีเจ้าน่าจะเมามากจนตาฝาดอาจมองเห็นป้าซูที่ยกเหล้ามาให้เป็นหญิงงามก็ได้ (หลี่จวินพูดเบาๆกลัวฮูหยินเจ้าที่ยืนมองเราอยู่ด้านล่างได้ยินแล้วจะเสียใจ)
      เหวินเหอ  : ข้าก็เริ่มจะคิดแบบนั้นเหมือนกันว่าท่านลุงอาจจะเมาแล้วตาฝาด
            มี่จื่อ  : แต่ข้าตาไม่ฝาดข้าเห็นหญิงงามห้าคนยืนอยู่ข้างล่าง และเห็นหญิงงามอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆข้าบนหลังคา (ฉันผายมือไปทางลี่ถัง แล้วลุกขึ้นยืนยื่นมือที่ถือขวดเหล้าไปทางคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง) มีหญิงงามอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ยังต้องไปมองหาที่ไหนอีกเล่า เอ้า! ทุกคนดื่ม (ฉันยกเหล้าดื่มพร้อมกับท่องบทกลอนไปด้วย)......"สุขใดไหนเล่า เท่านั่งดื่มเหล้าบนหลังคา พร่ำเพ้อกับจันทรา ร่ำสุราอยากพบนงคราญ (ฉันหันหน้าไปหาลี่ถังที่กำลังนั่งฟังฉันท่องบทกลอน) ......โฉมงามเจ้าปรากฏ (ฉันจับคางลี่ถังเชิดขึ้นให้มองหน้าฉัน)....ยวนยั่วยิ้มเบี่ยงหน้าเอียงอาย .....ข้าคือหนึ่งชายมุ่งหมายจูบ จุมพิตใกล้ชิดแสงดาว" (ฉันก้มตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆมองตาลี่ถังแล้วจะจูบที่ริมฝีปากอันบอบบางของลี่ถังเพราะความเมา แต่หางตาฉันมองเห็นแสงบางอย่างกระพริบวิบวับส่องกระทบปลายหางตาจนฉันต้องหันไปมอง) เอ๊ะ! แสงอะไรวิบวับ โอ๊ะ! หญิงงามปรากฏตัวแล้ว! (ฉันชี้นิ้วไปที่ภูเขาที่ปรากฏแสงวิบวับคล้ายดาวกระพริบ)
         ทุกคน  : โอ๊ะ!! จริงรึ ไหนอยู่ที่ไหน?!
        หลี่จวิน  : ไหนๆ ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย อยู่ตรงไหนเจ้าโกหกเรอะ?! เมื่อกี้เจ้าจะขโมยจูบลี่ถังของข้าด้วย! เจ้ามันขี้ขโมย ถ้าเจ้าเมาแล้วโกหก ข้าจะจับเจ้าเขกกะโหลกให้คอยดู!!!
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ ข้าก็มองไม่เห็นอะไรเลยอยู่ตรงไหน เจ้าโกหกรึ?!
             มี่จื่อ  : ข้าไม่ได้โกหก! ลี่ถังนั่งอยู่ที่เดิมก่อนอย่าเพิ่งขยับตัว ส่วนท่านหลี่จวินมายืนตรงที่ข้ายืนนี่แล้วก้มทำท่าจะจูบลี่ถังแต่ไม่ต้องจูบ แล้วเหลือบมองที่หางตาจะเห็นหญิงงามวิบวับปรากฏอยู่ตรงนั้น (ฉันจึงขยับที่ให้หลี่จวินยืนแล้วไปนั่งบนตักของเหยียนเหล่ย เขากอดเอวฉันไว้แน่นเพื่อไม่ให้ฉันตก)
        หลี่จวิน  : ลี่ถัง ข้าไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับเจ้านะ เจ้าเอามือปิดปากไว้ก็ได้ถ้ากลัวปากของข้าไปโดนปากของเจ้า
            ลี่ถัง  : พูดมากจริง เร็วๆเข้าเถอะน่า ข้าจะได้ดูบ้าง! (หลี่จวินก้มหน้าไปใกล้ลี่ถังแล้วเหลือบตามองทางหางตาตามที่ฉันบอก)
       หลี่จวิน  : โอ๊ะ! ข้าเห็นแสงวิบวับดั่งดาวบนดิน! มันคืออะไรกันแน่? หรือนั่นหมายถึงหญิงงามตามที่เศรษฐีเจ้าหมายถึงในบทกลอน? ท่านอ๋องหก เอ๊ย! ท่านเวยมาดูเร็ว อ้อ...ลี่ถังลุกขึ้นก่อน เดี๋ยวข้านั่งแทนที่เจ้าเอง ท่านเวยจะได้มาดู
        อ๋องหก  : เอ่อ...หลี่จวินเจ้านั่งแทนที่ลี่ถังรึ?! เป็นเจ้านั่งอยู่มันกระดากใจจริงๆ
        หลี่จวิน  : ข้าให้ท่านมาดูหญิงงามวิบวับ ไม่ได้ให้มาจูบกระหม่อมสักหน่อย มาเร็วๆเถอะน่า ว่าแต่ทำไมต้องทำท่าดูในลักษณะแบบนี้ด้วยล่ะ ทำไมนั่งและยืนมองธรรมดาจึงมองไม่เห็น
เหยียนเหล่ย  : เพราะเกิดจากแสงตกกระทบต้องได้มุมได้ฉากที่พอดีกับเวลาเกิดพระจันทร์เต็มดวง เมื่อแสงจันทร์ตกกระทบเป้าหมายก็จะเกิดแสงสะท้อนเปล่งประกายออกมา เหมือนแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบกับกระจกแล้วเกิดแสงสะท้อนออกมาจากกระจก แต่แสงวิบวับที่เราเห็นจะเป็นอะไรเราต้องไปตรวจสอบที่นั่นจึงจะรู้ถูกต้องมั้ย มี่จื่อ
             มี่จื่อ  : ถูกต้อง....คืนนี้ข้าอยากได้รางวัลจากท่าน (ฉันกอดคอกระซิบบอกเหยียนเหล่ย)
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม เจ้าทำได้ดีมาก เก่งมาก (เขากระซิบตอบ)
         จิ่นเกอ  : ท่านหลี่จวินให้พวกข้าขึ้นไปดูบ้างจะได้หรือไม่ พวกข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน
        หลี่จวิน  : ได้ แต่รอเดี๋ยวนะให้พวกข้ากลับลงไปก่อนพวกเจ้าค่อยขึ้นมา อยู่บนนี้กันหลายคนเดี๋ยวหลังคาจะถล่มเอา
     เหวินเหอ  : ข้าจะนั่งรอพวกเขาบนนี้เอง
    ฮูหยินเจ้า  : เอ่อ...ข้าขอขึ้นไปดูด้วยจะได้หรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าสามีของข้าซ่อนของสำคัญอะไรไว้จนทำให้เขาต้องตาย
          จินไห่  : ได้! ข้าจะพาท่านขึ้นไปดูเองเพื่อความปลอดภัย
    ฮูหยินเจ้า  : ขอบใจนะ ขอบใจทุกคนที่มาช่วยลบล้างความอัปยศให้ข้า

          ทุกคนสลับกันขึ้นมาดูหญิงงามวิบวับตามในบทกลอน เหยียนเหล่ยจึงพาฉันกลับเข้าไปนอนในห้องเพราะฉันเมามาก และเขาไม่ลืมที่จะให้รางวัลกับฉันตามที่บอกไว้ เรารีบถอดเสื้อผ้าออกเพราะความต้องการกันและกันมีมากจนทนไม่ไหว เขากอดจูบดูดหัวนมขยำหน้าอก จับฉันพลิกตัวนอนคว่ำหน้ายกก้นขึ้นสูงเล็กน้อยแยกขาฉันออกกว้าง แลบลิ้นเลียจนเปียกแฉะแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังขยับแท่งเนื้อเข้าออกช้าๆและเร่งเร็วถี่สลับกัน กระแทกกระทั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจับตัวฉันพลิกนอนตะแคงยกขาฉันขึ้นข้างหนึ่งแล้วกอดขาฉันไว้ สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาอีกครั้งในขณะที่ฉันนอนตะแคง ฉันเสียวมากจนร้องครางออกมา "อ๊าา อ๊าา..." เหยียนเหล่ยเปลี่ยนมาจับขาฉันทั้งสองข้างพาดบ่าแล้วเร่งกระแทกแท่งเนื้อเร็วแรงจนเราเสร็จไปพร้อมกัน

          เหยียนเหล่ยพลิกตัวลงนอนข้างๆแล้วกอดหอมฉันอย่างเอ็นดู ฉันจูบเขาที่ริมฝีปากแล้วยกขาขึ้นข้างหนึ่งก่ายขาเขา แล้วบอกเขาเบาๆว่าฉันต้องการอีกครั้งหนึ่งจึงจะพอใจ เหยียนเหล่ยจึงขยับเข้าเบียดให้แนบชิดขึ้นแล้วจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เนินหว่างขาอีกครั้ง เขาขยับเด้งก้นให้แท่งเนื้อแข็งขยับเข้าออกช้าๆ พร้อมกับจูบดูดลิ้นกันไปมา เหยียนเหล่ยเริ่มขยับตัวขึ้นนอนทับบนตัวฉัน แยกขาฉันออกกว้าง ขยับก้นดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาจนมิด แล้วขยับบดเบียดให้เนินถูไถเสียดสีกันจนเสียว เขายกตัวขึ้นสูงใช้มือข้างหนึ่งขยี้ปุ่มเสียวที่เนินหว่างขาพร้อมทั้งโยกก้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเนินหว่างขาเป็นจังหวะอยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงเร่งจังหวะกระแทกให้แรงและเร็วขึ้นจนตัวฉันสั่นสะเทือนไปหมด "อ๊ากกก" แล้วเขาก็โถมตัวกอดฉันอ่อนแรงเหนื่อยหอบ แล้วเราก็นอนกอดกันจนฉันเริ่มเคลิ้มหลับ

          แต่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงหลี่จวินมาตะโกนเรียกเหยียนเหล่ยหน้าห้องว่าให้ไปพูดคุยธุระด่วน ท่านอ๋องหกรออยู่ เหยียนเหล่ยจึงบอกให้ฉันนอนหลับไปก่อน คุยธุระเสร็จเขาจะรีบกลับมา เหยียนเหล่ยจึงรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วรีบไปพบท่านอ๋องหกทันที เหยียนเหล่ยเดินมาถึงเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าแต่งกายชุดชาวบ้านธรรมดา นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในห้องโถงรับแขก เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องชายหนุ่มก็ลุกขึ้นทำความเคารพเขาดุจคนที่ได้รับการฝึกอบรมมาดี

เหยียนเหล่ย  : เจ้าเป็นใคร?
         หมิงจิว  : ข้าชื่อหมิงจิว เป็นศิษย์ผู้ติดตามเจ้าสำนักไป๋หู่คนก่อนที่เสียชีวิตท่านอาจารย์ซิ่นเฉิง ตั้งแต่ท่านอาจารย์ซิ่นเฉิงเสียชีวิต ข้าก็หลบไปซ่อนตัว เพราะชงอวี้ส่งคนมาพยายามฆ่าปิดปากข้า พอข้ารู้ว่าท่านอ๋องหกเสด็จมาที่เมืองนี้พร้อมท่านเหยียนเหล่ยกับท่านหลี่จวินและเปิดเผยโฉมหน้าคนชั่วชงอวี้ได้ ข้าจึงหาโอกาสมาพบพวกท่านและเห็นพวกท่านไขปริศนาบทกลอนได้
เหยียนเหล่ย  : เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์ซิ่นเฉิง และปริศนาบทกลอนที่คืออะไรกันแน่
         หมิงจิว  : ท่านอาจารย์ซิ่นเฉิงกับเศรษฐีเจ้าค้นพบทางเข้าหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำเข้าโดยบังเอิญ เพราะมีคนๆหนึ่งอ้างว่าปู่ทวดของเขาเป็นคนทำงานทำความสะอาดสุสานเก่าในวังหลวงเจอแผนที่เก่าโบราณจึงแอบนำแผนที่เก่าโบราณแผ่นนั้นกลับมาด้วยเพราะคิดว่าเป็นแผนที่ขุดหาสมบัติ และพยายามเดินทางไปตามแผนที่อยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จเพราะหาทางเข้าหมู่บ้านในแผนที่ไม่เจอ เมื่อแผนที่ตกสู่มือรุ่นลูกรุ่นหลานแผนที่จึงถูกนำมาขายให้กับเศรษฐีเจ้าในราคาถูก เศรษฐีเจ้าจึงรับซื้อไว้เพราะเห็นเป็นแผนที่โบราณแต่มีราคาถูก เศรษฐีเจ้าได้นำแผนที่ไปให้ท่านอาจารย์ซิ่นเฉิงช่วยดู ท่านอาจารย์ซิ่นเฉิงบอกว่าเป็นแผนที่หมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ ทั้งสองคนจึงเดินทางไปตามแผนที่ได้มาแต่ก็ไม่พบทางเข้าหมู่บ้านพบเจอแต่หน้าผาสูงชัน วันต่อมาทั้งสองกลับไปดูที่เดิมเพื่อหาทางเข้าหมู่บ้านอีกครั้งแต่สถานที่กลับเปลี่ยนไปเหมือนป่ามันมีชีวิต จากที่เคยเป็นหน้าผากลับกลายเป็นทางตัน ทั้งสองจึงเดินทางกลับมานั่งดื่มเหล้าพุดคุยกันและเกิดนึกสนุกขึ้นไปนั่งดื่มเหล้าบนหลังคาจนพบกับแสงประหลาดบนภูเขา รุ่งเช้าเขาทั้งสองเดินทางไปดูอีกครั้งก็พบว่าเป็นจุดทางเข้าเดียวกันกับในแผนที่แต่คราวนี้สถานที่เปลี่ยนเป็นบ่อน้ำสำหรับพวกสัตว์มาดื่มกิน
        หลี่จวิน  : แล้วตอนนี้แผนที่นั้นอยู่ที่ไหน?
         หมิงจิว  : แผนที่ถูกท่านอาจารย์ซิ่นเฉิงเผาทำลายไปแล้ว เพราะชงอวี้พยายามแย่งชิง พอข้าได้ข่าวว่าท่านเศรษฐีเขียนบทกลอนถึงหญิงงามชู้รัก ข้าจึงรู้ได้ในทันทีว่าหมายถึงสถานที่นั้น และไม่คิดว่าจะมีใครสามารถไขปริศนาบทกลอนออกได้ จนได้เห็นสิ่งที่พวกท่านทำเมื่อสักครู่ คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะตีความกันออก น่าทึ่งยิ่งนัก
        อ๋องหก  : เจ้าเคยไปที่นั่นมั้ย?
         หมิงจิว  : ข้าเคยไปที่นั่นหลังจากที่ท่านอาจารย์ตายไปแล้ว ข้าเดินไปตามเส้นทางตามคำบอกเล่าของท่านอาจารย์ที่เคยบอกข้า ข้าก็พบกับหน้าผาสูงชัน และวันต่อมาหน้าผาสูงชันก็เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้า น่าประหลาดใจยิ่งนัก! ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์ซิ่นเฉิงบอกไว้ก่อนเสียชีวิตว่าเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้าซึ่งก็คือคืนนี้ ท่านอาจารย์จะต้องไปที่นั่นทันทีเมื่อเห็นแสงกระพริบ จะได้ไม่คลาดกันอีก แต่ช่างน่าเศร้าที่ท่านอาจารย์มาจากไปเสียก่อน ดังนั้นข้าจึงรอพบท่านอ๋องหกและอยากจะขอร้องท่านอ๋องจับตัวชงอวี้มาลงโทษให้ได้โดยเร็ว
        อ๋องหก  : แน่นอนข้าจะจับตัวชงอวี้มาลงโทษให้ได้! เช่นนั้นเราต้องออกเดินทางไปที่หญิงงามวิบวับปรากฏ ชงอวี้มันต้องตามเราไปที่นั่นแน่ๆแล้วดักจับตัวชงอวี้ที่นั่น บอกทุกคนออกเดินทางทันที
             ลี่ถัง  : แต่มี่จื่อเมามาก นางหลับอยู่จะเดินทางไหวรึ
เหยียนเหล่ย  : ไม่เป็นไร ข้าจะให้มี่จื่อนอนหลับในรถม้า ข้าจะดูแลนางเองอย่าห่วง เรารีบไปกันเถอะ!

          เหยียนเหล่ยกลับเข้ามาในห้องพักจับฉันที่ยังไม่สร่างเมาใส่เสื้อผ้า แล้วนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ฉันสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย เขาบอกฉันว่าเราออกเดินทางกันตอนนี้เลย ให้ฉันไปนอนต่อในรถม้า ฉันกอดเขาแล้วงัวเงียตอบเขาว่า "ข้านอนที่ไหนก็ได้แค่มีท่านอยู่ด้วยก็พอ" เขายิ้มแล้วจูบฉันที่ริมฝีปาก จากนั้นเขาก็อุ้มฉันที่เมาอ่อนแรงเดินออกจากห้องพักอุ้มพามาที่รถม้า มีฉิงซวงและเลี่ยงซูนั่งรออยู่ในรถม้าก่อนอยู่แล้ว แต่เฝิ่นลู่ออกไปขี่ม้าเพราะเหยี่ยนเหล่ยจะอยู่ดูแลฉันในรถม้าด้วยตัวเอง ฉันขยับตัวหอมแก้มเหยียนเหล่ยก่อนนอนแล้วล้มตัวนอนหนุนตักเหยียนเหล่ยเพราะเมาแล้วหลับไปอีกครั้ง ทำเอาฉิงซวงกับเลี่ยงซูร้อง "อุ๊บบ!" มองหน้ากันทำตาโต ฉันหลับสนิทไปได้สักพักใหญ่ๆ รถม้าก็มาจอดที่บริเวณชายป่า เหยียนเหล่ยปลุกฉัน กับฉิงซวงและเลี่ยงซูทำกำลังหลับให้ตื่น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการคลื่นใส้จึงเดินถือน้ำและแยกตัวไปล้วงคออาเจียรริมข้างทางโดยมีเหยียนเหล่ยเดินตามไปลูบหลังให้ หลวนเฉินจึงเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใยว่าฉันไหวหรือเปล่า ฉันตอบกลับว่าล้วงคออาเจียรเอาเหล้าออกแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น ฉันสร่างเมาขึ้นบ้างแล้ว

          ท่านอ๋องจึงสั่งให้เราเดินถือคบไฟตามหมิงจิวเข้าไปในป่า หมิงจิวบอกว่าต้องเดินเข้าไปในป่าลึกขึ้นไปบนภูเขา จึงจะเจอหญิงงามวิบวับที่เราเรียกกัน เหยียนเหล่ยจูงมือฉันที่ยังมีอาการเดินเซอยู่นิดหน่อยเพราะเพิ่งสร่างเมา เราเร่งฝีเท้าเดินกันให้เร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็ว ในที่สุดเราก็เดินมาถึงบริเวณที่ปรากฏแสงวิบวับ เราเดินเข้าไปดูใกล้ๆมันคือก้อนหินก้อนเล็กๆที่มีพื้นผิวเรียบก้อนหนึ่งที่ติดอยู่ในร่องหินบนปากถ้ำ แต่เพราะด้วยมุมและองศาที่ได้ฉากพอดีกับแสงจันทร์ตกกระทบทำให้เกิดประกายแสง พอเมฆลอยเคลื่อนผ่านดวงจันทร์จนแสงหายไป และพอเมฆเคลื่อนออกจากดวงจันทร์จึงทำให้ปรากกฏแสงอีกครั้ง ทำให้มองดูคล้ายดวงดาวกระพริบ ซึ้งน่าแปลกใจนักเหตุใดก้อนหินก้อนเล็กๆจึงสามารถเรืองแสงจนมองเห็นได้ไกลขนาดนั้น อาจมีสะสารพิเศษอะไรสักอย่างอยู่ในก้อนหินก็เป็นได้

离人愁 |ความเศร้าโศก (man)
Youtube by : EHPMusic Channel
ดาวน์โหลด mp3
离人愁 |ความเศร้าโศก

离人愁 |ความเศร้าโศก (woman)
Youtube by : 9420 Music Bar
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 57
(ถ้ำลึกลับ)

          หมิงจิวบอกว่าคงเพราะเรามาทันเวลาจึงปรากฏถ้ำให้เห็น เราอยู่รอกันหน้าปากถ้ำสักพักใหญ่ ก็ไม่เห็นวี่แววชงอวี้หรือใครคนอื่นปรากฏตัว เราจึงตัดสินใจกันว่าจะเดินเข้าไปในถ้ำ หากไม่พบทางออกอีกทางหนึ่งเราจะเดินกลับออกมา อ๋องหกบอกให้หมิงจิว เหวินเหอกับองครักษ์สองคน และผู้ติดตามคนอื่นๆรออยู่ที่หน้าปากถ้ำ หากรอจนกระทั่งเช้าพวกเรายังไม่กลับออกมาหรือถ้ำนี้หายไป ให้องครักษ์พาหมิงจิวไปรายงานฮ่องเต้ และที่สำนักเฟยอวี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย และให้ส่งคนมาตามหาเราอีกครั้งที่นี่ในคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อมอบหมายหน้าที่กันเสร็จ ท่านอ๋องตัดสินใจไม่อยู่ดักรอจับชงอวี้เพราะเกรงว่าถ้ำนี้จะหายไป เราจึงพากันเดินเข้าไปในถ้ำ ทางเข้าไม่กว้างมากนักและมีเถาวัลย์ปกคลุมปากถ้ำ เราค่อยๆแหวกเถาวัลย์เข้าไปแล้วเดินกันอย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำค่อนข้างเย็น มีทั้งหินงอกหินย้อยสวยงามและมีค้างคาวบินอยู่พรึ่บพรั่บเพราะตกใจเมื่อเห็นมนุษย์ เราเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆตัวถ้ำยิ่งงดงามเพราะเพดานถ้ำเปลี่ยนเป็นสีขาวหินอ่อนกระทบแสงสะท้อนจากธารน้ำภายในถ้ำสวยงามยิ่งนัก เราเดินต่อไปเรื่อยๆก็พบบริเวณที่มีแท่งผลึกสีขาวคล้ายคริสตัลขนาดใหญ่ และขนาดเล็กอยู่เต็มไปหมด ใกล้ๆกันมีโพลงน้ำตกกลมๆขนาดใหญ่เท่าท่อปูนยื่นออกมาจากเพดานถ้ำคล้ายท่ออาบน้ำแปลกประหลาดตายิ่งนัก จนไม่อยากเดินออกจากถ้ำ

          เราเดินกันมาเรื่อยๆก็พบทางออก แต่ทางออกกลับอยู่ด้านบนที่มีความสูงประมาณตึกสามชั้น ซึ่งเราต้องปีนผาสูงชันขึ้นไปด้วยการปีนและเกาะไปตามกิ่งไม้ แต่หลี่จวินเสนอว่าให้คนที่มีพลังยุทธเจ็ดคน คือหลี่จวิน ลี่ถัง เหยียนเหล่ย อ๋องหก จินไห่ และองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยสองคน อุ้มหรือพาพวกเรากระโดดขึ้นไปด้วยคนละหนึ่งคน จนเราทั้งหมดขึ้นมากันครบทุกคน เรามองไปโดยรอบยังคงมืดสนิทเป็นป่าเขาทั่วไป และไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน ท่านอ๋องหกจึงให้องครักษ์ไปสำรวจบริเวณรอบๆ ครู่เดียวองครักษ์คนหนึ่งกลับมาบอกว่าใกล้ๆนี้มีลำธาร ท่านอ๋องหกจึงเสนอว่าเราน่าจะไปหาน้ำดื่ม ก่อกองไฟย่างปลากินแก้หิว และหลับกันสักงีบรอให้เช้าค่อยสำรวจบริเวณโดยรอบว่ามีหมู่บ้าน หรือชาวบ้านอยู่แถวนี้หรือไม่ เราเดินมาถึงริมลำธารแล้วก่อกองไฟย่างปลา จากนั้นฉันลงนอนข้างๆเหยียนเหล่ยที่นั่งพิงก้อนหินงีบหลับ และเพื่อนสาวอีกสามคนที่ขยับมานอนใกล้ๆฉัน ลี่ถังลงนั่งพิงก้อนหินงีบหลับเตรียมพร้อมระวังภัยสมกับเป็นมือปราบหญิง ส่วนผู้ชายคนอื่นๆแบ่งเวลาผลัดกันเฝ้ายามกลุ่มละหนึ่งชั่วยาม

          จนกระทั่งเช้าเราเตรียมตัวออกเดินสำรวจหาหมู่บ้าน ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงถล่มดังสนั่นมาจากบริเวณถ้ำ องครักษ์สองคนกับหลี่จวินอาสาไปดู และให้เรารออยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัย ซึ่งเราคาดเดากันไปต่างๆนาๆว่าดินอาจเกิดการเคลื่อนตัวแล้วเกิดการถล่ม หรือหากเลวร้ายมากกว่านั้นถ้ำอาจจะถล่ม หลวนเฉินก้มลงฟังเสียงบางอย่างบนพื้นดิน แล้วบอกเราว่า

    หลวนเฉิน  : ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคน เสียงดูชุลมุนกันน่าดู ท่าทางจะมีการต่อสู้กันด้วย
        ช่างอิ่น  : เจ้ารู้วิธีการแบบนี้ได้ยังไง
    หลวนเฉิน  : ที่บ้านของข้าทำกิจการขนส่งสินค้าระหว่างแคว้นมีหลายครั้งที่ข้าติดตามท่านพ่อไปกับขบวนขนส่งสินค้า พวกเขาต้องคอยระวังพวกโจรคอยดักปล้นสินค้า ข้าจึงได้เรียนรู้วิชาจากพวกเขา
             มี่จื่อ  : เก่งมากๆเลยหลวนเฉิน
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ เผื่อว่าที่นั่นจะมีการต่อสู้กันจริงๆ จินไห่ฝากดูแลพวกเขาด้วย
            ลี่ถัง  : นั่น! ระวัง!

          ลี่ถังชี้มือให้ดูชายคนหนึ่งกระโดดหลบลูกธนู ของหญิงสาวคนหนึ่งที่ไล่โจมตีเขา จนลูกธนูหลายดอกพุ่งมาใส่เรา ลี่ถังชักดาบปัดป้องตัดลูกธนูทั้งหมดขาดออกเป็นสองท่อน พวกเราทั้งหมดพากันตกใจเพราะผู้ชายที่กำลังวิ่งหลบลูกธนูและเปลี่ยนมาเป็นใช้ดาบฟาดฟันกับหญิงสาวแปลกหน้าอยู่นั้นคือหยางเค่อ แต่หยางเค่อดูจะมีพละกำลังเหนือกว่าเพราะเป็นชายจึงซัดฝ่ามือใส่หญิงสาวจนหญิงสาวกระเด็นจะตกลงน้ำและหยางเค่อจะตามไปซ้ำ เหยียนเหล่ยหยิบก้อนหินปาใส่ตัวของหยางเค่อจนหยางเค่อเสียหลัก เหยียนเหล่ยจึงรีบพุ่งตัวกระโดดรับตัวหญิงสาวไม่ให้ตกน้ำ แต่หญิงสาวกลับหันมาโจมตีเหยียนเหล่ยด้วยแม้เขาจะช่วยไม่ให้นางตกน้ำก็ตาม ขณะเดียวกันนั้นฉันลืมตัวจึงปล่อยพายุดอกท้อออกไปพันรอบตัวหยางเค่อคล้ายเชือกแล้วออกแรงดึงกระชากตัวเขาไว้ไม่ให้ไปทำร้ายหญิงสาวซ้ำ หยางเค่อหันมามองฉันแล้วออกแรงกระชากดึงเชือกดอกท้อจนฉันพุ่งตัวเข้าไปหาเขา

             มี่จื่อ  : หยางเค่อ!!
     หยางเค่อ  : จับตัวได้แล้ว เจ้าต้องไปกับข้า!

          หยางเค่อจับตัวฉันได้แล้วรีบอุ้มฉันหนีไปจากตรงนั้นทันที เหยียนเหล่ยจึงผละมือจากหญิงสาวแปลกหน้าทันทีแล้วใช้มนต์สกัดกั้นขวางทางไว้ทัน ทำให้จินไห่กับลี่ถังพุ่งเข้าโจมตีหยางเค่อ ส่วนอ๋องหกก็เข้ารับมือกับหญิงสาวคนนั้นแทน ทำให้เหยียนเหล่ยสามารถผละจากนางได้แล้วพุ่งตัวมาแย่งตัวฉันไปจากมือหยางเค่อ ส่วนเพื่อนๆทั้งหกคนที่มีฝีมือการต่อสู้ยังอ่อนหัดระดับขั้นต้นแค่ป้องกันตัวเอง ต่างยืนส่งเสียงลุ้นให้กำลังใจและคอยหลบลูกหลงจากการต่อสู้ และพวกเขาก็ชี้นิ้วร้องตะโกนเสียงหลงกันว่า "ระวัง พวกมันมาช่วยแล้ว!" เพราะชงอวี้ เจิ้งไฉ ที่กระโดดพุ่งตัวออกมาจากราวป่าเหมือนหนีการโจมตีจากใครอีกคนอย่างหนักหน่วง เขาทั้งสองพุ่งตัวเข้ามาช่วยหยางเค่อและจะเข้ามาแย่งจับตัวฉันไปอีกครั้ง โชคดีที่หลี่จวินและองครักษ์ย้อนกลับมาทัน หลี่จวินปล่อยกระบี่บินพุ่งเข้ามาขวางทางทำให้พวกเขาเข้าไม่ถึงตัวฉัน แต่เบาใจได้แค่เสี้ยวนาทีกลุ่มคนแปลกหน้าชายหญิงจำนวนหลายคนที่กระโดดพุ่งตัวออกมาจากราวป่าเหมือนพวกเขาวิ่งไล่หลังกันมา เข้าโจมตีกลุ่มพวกเราและกลุ่มของหยางเค่อทันที จนเกิดการต่อสู้กันชุลมุนมั่วไปหมด ชงอวี้กับเจิ้งไฉหาช่องว่างช่วงชุลมุนดึงหยางเค่อหนีหายไปในป่า แต่กลุ่มคนแปลกหน้าสี่คนก็แยกตัวติดตามคนทั้งสามไป

          คนแปลกหน้ากลุ่มใหญ่ประมาณแปดคน บางคนสวมผ้าคลุมหน้าปิดจมูกและปาก ทุกคนล้วนแต่มีฝีมือดีที่ยังคงโจมตีเราจนชุลมุน ฉันที่วิ่งหลบไปมาอยู่ข้างหลังเหยียนเหล่ยเห็นผู้ชายร่างกายกำยำคนหนึ่งคลุมผ้าปิดหน้าพุ่งเข้ามาทำร้ายพวกเรากลุ่มเด็กอ่อนหัดที่ทำได้แต่ตั้งรับและหลบการโจมตี แต่ไม่มีโอกาสตอบโต้คืนได้เลย ช่วงจังหวะหนึ่งจิ่นเกอพลาดล้มลง และชายที่คลุมหน้ากำลังจะแทงจิ่นเกอด้วยกระบี่ ฉันจึงจำเป็นต้องปล่อยพลังหมื่นบุปผากลีบดอกท้อเป็นคมมีดพุ่งเข้าใส่ชายที่มีผ้าคลุมหน้าด้วยความเร็ว แต่เขาสามารถหลบได้ทัน ทำให้เขาหันกลับมามองฉันทันที แล้วรีบร้องตะโกนบอกทุกคนให้หยุดต่อสู้กันก่อน

          ซิ่นปิง  : ทุกคนหยุดต่อสู้กันก่อน หยุด! (เขาดึงผ้าปิดหน้าออกแล้วเดินมาหาฉัน) เจ้าตัวเล็ก! เจ้าจำข้าได้หรือไม่? ข้าซิ่นปิงไง
            มี่จื่อ  : ใครวะ? (ฉันพึมพำกับตัวเองมองหน้าเขาดูคุ้นๆ)
          ซิ่นปิง  : ข้าคือคนที่ถามทางไปร้านตีเหล็กสกุลจางคืนนั้นไงล่ะ
            มี่จื่อ  : โฮ๊ะ! จำได้แล้วท่านนี่เอง!
           ชิงอิ๋ง  : พี่ใหญ่ รู้จักนางด้วยรึ?! โอ๊ะ! เจ้าพูดภาษาของเราได้
          ซิ่นปิง  : นางคือคนที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังไง เพื่อนในเมืองที่ช่วยบอกทางให้ข้า มี่จื่อนี่ชิงอิ๋งน้องสาวของข้า
            มี่จื่อ  : นี่! แม่นางชิงอิ๋ง! เราช่วยเจ้าไว้ไม่ให้หยางเค่อทำร้ายเจ้า แต่เจ้ากลับแว้งกัดมาทำร้ายพวกเราหมายความว่ายังไงห๊า เจ้าเป็นคนประเภทไหนกันถึงหันมาทำร้ายคนที่ช่วยเหลือเจ้า?! (ฉันต่อว่าชิงอิ๋ง)
           ชิงอิ๋ง  : ข้าขอโทษ แต่มันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องปกป้องหมู่บ้าน
             มี่จื่อ  : หมู่บ้านอะไร?
           ชิงอิ๋ง  : หมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ
        หลี่จวิน  : นี่ๆพวกเจ้าพูดคุยภาษาอะไรกัน บอกให้พวกข้าเข้าใจด้วยเซ่!
เหยียนเหล่ย  : ภาษาชนเผ่าไม้ดำ พวกเขาเป็นคนชนเผ่าไม้ดำ ข้าจะแปลให้ฟังเอง
         ทุกคน  : ห๊า! ชนเผ่าไม้ดำ! มีอยู่จริงรึนี่?!
           ชิงอิ๋ง  : ท่านพูดภาษาชนเผ่าไม้ดำได้รึ?
เหยียนเหล่ย  : ข้าเข้าใจนิดหน่อยแต่ไม่เก่งเท่ามี่จื่อ
           ชิงอิ๋ง  : ข้าต้องขอบคุณที่ท่านช่วยข้าไม่ให้ตกน้ำ (ชิงอิ๋งมองหน้าเหยีบนเหล่ยแล้วเขินอาย)
            มี่จื่อ  : อะแฮ่ม!! ฮึ่ม!! มดกัด! (ฉันแกล้งกระทืบพื้นทำเสียงขัดใจ แต่เหยียนเหล่ยแอบยิ้มเพราะรู้ว่าฉันออกอาการหึง)
          ซิ่นปิง  : พวกเขามากับเจ้ารึ? แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไง
            มี่จื่อ  : ใช่! พวกเขามากับข้า ยกเว้นสามคนนั้นที่หนีไปทางป่านั่นไม่ได้มากับเรา
เหยียนเหล่ย  : เรามาเดินเที่ยวภูเขา เจอถ้ำเลยเดินเข้ามาดูแล้วมาโผล่ที่นี่
          มี่จื่อ  : งั้นข้าจะแนะนำที่นายท่านเวย นี่อาจารย์เหยียนเหล่ย กับอาจารย์จินไห่ และนี่ท่านหลี่จวิน กับลี่ถัง และนั่นกลุ่มเพื่อนสนิทของข้า กับผู้ติดตามของท่านเวย
          ซิ่นปิง  : ข้าชื่อซิ่นปิง พวกข้าพอจะพูดภาษาในเมืองหลวงได้เล็กน้อย หวังว่าพวกท่านทุกคนจะมาดี ขอเชิญไปที่หมู่บ้านไปพบหัวหน้าหมู่บ้าน
            มี่จื่อ  : แล้วทำไมคืนนั้นไม่พูดภาษาคนเมืองหลวง
          ซิ่นปิง  : คืนนั้นคนเยอะ ข้าตื่นเต้นจึงคิดคำพูดคนเมืองหลวงไม่ออก
           ชิงอิ๋ง  : พี่ใหญ่พาพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านจะดีเหรอมันผิดกฏนะ
      จ้าวหลิว  : เด็กสาวคนนั้นเป็นคนรู้จักกับเจ้าก็จริง แต่พวกเขาดูไม่น่าไว้ใจเลย พวกเขาต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่ไม่ดีแน่ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกที่บอกว่าหลงทางเข้ามาเป็นข้ออ้าง เจ้าก็รู้ว่าเส้นทางที่เข้ามาหมู่บ้านเราไม่ใช่ใครอยากจะเดินเข้ามาก็เดินมากันได้ง่ายๆ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาผ่านเข้าไปเด็ดขาด เราจะยอมปล่อยพวกเขาออกไปแต่จะไม่ยอมให้เข้าหมู่บ้าน
          ซิ่นปิง  : แต่มี่จื่อเป็นธิดาหยางเถา
ชนเผ่าไม้ดำ  : ห๊า!!! เจ้ามั่นใจได้อย่างไร? นางไม่ใช่คนในหมู่บ้านนางจะเป็นธิดาหยางเถาได้อย่างไร?! เจ้าอย่ามาพูดโกหกเพื่อช่วยเหลือพวกเขา
          ซิ่นปิง  : มี่จื่อ! ปล่อยพลังแบบเมื่อกี้อีกสักครั้ง แล้วข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไปพบหัวหน้าหมู่บ้านอย่างปลอดภัย
            มี่จื่อ  : ธิดาหยางเถาคืออะไร
          ซิ่นปิง  : เราใช้เรียกผู้ที่มีพลังหมื่นบุปผาเช่นเจ้า ว่าธิดาหยางเถา ใช้พลังแบบเมื่อกี้ให้พวกเขาดูแล้วพวกเขาจะเปิดทางให้เจ้าเข้าหมู่บ้าน
            มี่จื่อ  : (ฉันมองหน้าเหยียนเหล่ยที่คอยแปลภาษาชนเผ่าไม้ดำให้คนอื่นๆฟัง เหยียนเหล่ยพยักหน้าให้ฉันใช้พลังหมื่นบุปผาเพื่อเราจะได้เข้าไปในหมู่บ้านฉันจึงปล่อยพลังออกมาให้พวกเขาดู) ว่าแต่...พลังหมื่นบุปผาสำคัญยังไงจนยอมให้เราเข้าหมู่บ้านได้?
          ซิ่นปิง  : หัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นคนบอกเจ้าเอง ไปกันเถอะ
        อ๋องหก  : เคยมีคนใช้พลังหมื่นบุปผาอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำด้วยรึ?
          ซิ่นปิง  : มี ธิดาเหม่ยเตี๋ย ผู้สืบทอดและเป็นผู้ใช้พลังหมื่นบุปผา
        อ๋องหก  : เราจะขอพบธิดาเหม่ยเตี๋ยด้วยได้หรือไม่
           ชิงอิ๋ง  : ข้าเองธิดาเหม่ยเตี๋ย ข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพธิดา แต่ไม่ได้สืบทอดพลังหมื่นบุปผา เพราะผู้ใช้พลังหมื่นบุปผาที่แท้จริงเสียชีวิตไปนานแล้ว จึงไม่ได้ถ่ายทอดพลังหมื่นบุปผาให้ข้า แต่น่าแปลกทำไมมี่จื่อมีพลังหมื่นบุปผาได้ล่ะ หรือเจ้าจะเป็นทายาทของธิดาเหม่ยเตี๋ยที่ตายไป?
             มี่จื่อ  : มะ ไม่ใช่ แม่ข้ายังไม่ตายอีกทั้งยังไม่เคยเป็นเทพธิดาอะไรทั้งนั้น แม่ข้าเป็นแค่ยายแก่ธรรมดาคนนึงที่ชอบดูซีรี่ย์หนังแขกเท่านั้น
          จินไห่  : เอ๊ะ! ทางเดินแบบนี้เหมือนเขาวงกตเลย (เพราะมีกำแพงต้นไม้ขึ้นกั้นสลับทางไปมา)
ชนเผ่าไม้ดำ  : ใช่ ถึงได้บอกยังไงล่ะว่าชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางเดินหลงเข้ามาที่นี่ได้เอง
          ซิ่นปิง  : อาจเกิดจากพลังหมื่นบุปผานำพาให้มี่จื่อมาที่นี่ก็ได้ เพราะบ้านเกิดของผู้ใช้พลังหมื่นบุปผาอยู่ที่นี่ เอาล่ะ! พ้นแนวกำแพงนั่น ให้ทุกคนจับมือกันต่อๆกันไว้อย่าปล่อยมือจากกัน เพราะทางข้างหน้ามีหมอกลงหนาทึบมากอาจพลัดหลงทางกันได้

        เหยียนเหล่ยยื่นมือข้างหนึ่งมาจับมือฉัน และยื่นมือข้างหนึ่งไปจับปลายแขนเสื้อท่านอ๋องหก ฉันกำลังจะหันไปจับมือกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆก็มีมือหลวนเฉินมาคว้าจับมือกับฉันไว้แทน แล้วหลวนเฉินก็คว้าจับมือเลื่ยงซูไว้ข้างหนึ่ง แต่เลี่ยงซูสะบัดมือหลวนเฉินออกแล้วพูดว่า

         เลี่ยงซู  : ข้าไม่ไว้ใจเจ้า เดี๋ยวเจ้าเผลอปล่อยมือทำข้าหลง
    หลวนเฉิน  : ข้าไม่พลั้งเผลอขนาดนั้นหรอกน่า
เหยียนเหล่ย  : เลี่ยงซู มาจับปลายแขนเสื้อข้า หรือจะจับปลายแขนเสื้อท่านเวยก็ได้
         เลี่ยงซู  : ขอรบกวนอาจารย์ศิษย์พี่สี่แล้วกัน ขอจับปลายแขนเสื้อท่าน
           เฝิ่นลู่  : ข้าจับปลายแขนเสื้อมี่จื่อแล้วกัน
        ช่างอิ่น  : ข้าจับด้วย (ช่างอิ่นรีบเดินเข้ามาจับมือเฝิ่นลู่อย่างขวยเขิน)
         จิ่นเกอ  : ฉิงซวง! เจ้าน่ะมารวมกับพวกเราทางนี้ (จิ่นเกอดึงมือฉิงซวงที่กำลังจะยื่นมือไปจับปลายแขนเสื้อจินไห่ที่กำลังจับปลายแขนเสื้อท่านอ๋องหก) หากมีคนลอบทำร้ายเรากลางทางเจ้าจะเป็นตัวเกะกะขวางทางอาจารย์จินไห่ในการต่อสู้
         ฉิงซวง  : จริงเหรอ?
             มี่จื่อ  : อื้ม! (ฉันแกล้งรับมุกช่วยจิ่นเกอให้ใกล้ชิดฉิงซวง) ถ้ามีคนร้ายมาอาจารย์จินไห่จะต่อสู้ไม่สะดวกเพราะมีเจ้าเกาะแขนอยู่

          เราเดินเกาะแขนและจับมือกันเดินฝ่าหมอกหนากันไปได้ระยะหนึ่งก็เดินฝ่าหมอกหนาออกมาได้ และเดินต่อไปสักพักก็ถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน สมกับเป็นหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำเพราะบ้านเรือนปลูกด้วยไม้สีดำทุกหลัง ซิ่นปิงบอกว่าไม้ดำเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งเปลือกไม้ ใบ ผล ยังสามารถนำมาปรุงเป็นยารักษาโรคได้ ภายในหมู่บ้านมีความร่มรื่น สวยงาม บ้านทุกหลังจะปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้ทุกบ้าน เพราะที่นี่ให้ความสำคัญกับผลไม้และดอกไม้ แต่ผลไม้ที่นี่ออกผลผลิตไม่ดีตั้งแต่เหม่ยเตี๋ยผู้มีพลังหมื่นบุปผาจากไป ผลไม้ก็ออกผลยาก และบางต้นก็ไม่ออกออกผลอีกเลย ผู้คนในหมู่บ้านหันมามองเราด้วยความสนใจเพราะเราเป็นคนแปลกหน้า บ้างออกมายืนดูหน้าบ้าน และหลายคนเดินตามเราไปเพราะอยากรู้อยากเห็นว่าพวกเราเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่

          ซิ่นปิง ชิงอิ๋ง และกลุ่มเพื่อนของเขาพาเราเดินมาถึงบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เขาบอกว่านี่คือบ้านของผู้นำหมู่บ้าน เขาพาเราเดินเข้าไปด้านในกว้างขวางโอ่อ่าพาเราไปพบผู้นำหมู่บ้านคือพ่อของเขาเอง พบชายแก่ท่าทางภูมิฐาน ดุ สุขุม กำลังยืนอ่านกระดาษในมือแล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด กลุ่มเพื่อนของซิ่นปิงทักทายเขาว่าท่านลุงสุ่ย เขาหันมามองพวกเราทีละคน เขามีอาการแปลกใจเพียงล็กน้อย แล้วเชิญเรานั่ง

          ซิ่นปิง  : ท่านพ่อ นี่มี่จื่อนางเป็นเพื่อนกับข้า ส่วนคนพวกนั้นเป็นเพื่อนที่มากับนาง ท่านพ่อข้าคิดว่ามี่จื่อคือธิดาหยางเถา
          ชิงอิ๋ง  : นางแสดงพลังหมื่นบุปผาให้เราเห็น
     จ้าวหลิว  : แต่มีสามคนที่หนีไปได้
          ลุงสุ่ย  : ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยส่งคนออกค้นหา ยังไงคืนนี้คนพวกนั้นก็หาทางเข้ามาในหมู่บ้านไม่ได้หรอก เหนื่อยพวกเจ้าหน่อยนะวันนี้ เดี๋ยวให้ใครก็ได้ไปเชิญแม่เฒ่ามาที่นี่หน่อย เอ่อ... ข้าไม่คิดว่าท่านอ๋องหกจะให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนเราถึงหมู่บ้านไม้ดำ เชิญท่านอ๋องหกและทุกท่านตามสบาย
        อ๋องหก  : ท่านรู้จักข้าด้วยรึ?
          ลุงสุ่ย  : แม้ข้าจะอยู่ในป่าในดง แต่ข้าก็พอจะรับรู้เรื่องของโลกภายนอกอยู่บ้าง อืม...เจ้ารึคือธิดาหยางเถา ยื่นแขนให้ข้าดูหน่อย

          ลุงสุ่ยถลกแขนเสื้อฉันขึ้นถึงหัวไหล่ แล้วใช้นิ้วโป้งกดลงบนฝ่ามือฉัน จนฉันรู้สึกร้อนไปทั้งตัวจนดอกท้อสีแดงปรากฏบนต้นแขนฉัน ลุงสุ่ยจึงหยุดแล้วจับแขนเสื้อฉันลงตามปกติ ทุกคนที่เห็นดอกท้อสีแดงปรากฏบนแขนฉันต่างพากันประหลาดใจ ยกเว้นเหยียนเหล่ยที่มีสีหน้าไม่ชอบใจนัก ที่คนอื่นเห็นดอกท้อสีแดงบนผิวหนังของฉันเพราะดอกท้อบนผิวหนังของฉันเป็นของรักของหวงของเขา

          ลุงสุ่ย  : เจ้าคือธิดาหยางเถาจริงๆ
            มี่จื่อ  : เดี๋ยวๆท่านลุงสุ่ย ข้าไม่ใช่คนชนเผ่าไม้ดำ แล้วทำไมข้ากลายเป็นธิดาหยางเถา แล้วเหมือนกันกับธิดาเหม่ยเตี๋ยหรือไม่?
          ลุงสุ่ย  : ธิดาเหม่ยเตี๋ย คือคนภายในหมู่บ้าน เดิมทีคือผู้สืบทอดตำแหน่งเทพธิดาและสืบทอดพลังหมื่นบุปผาโดยการเลือกเด็กสาวที่เหมาะสมในตระกูลมาเป็นเหม่ยเตี๋ยจากรุ่นสู่รุ่น ธิดาเหม่ยเตี๋ยมีหน้าที่ดูแลรักษาดอกไม้และผลไม้ให้ผลิดอกออกผลสมบูรณ์ตรงตามฤดูกาลอยู่เสมอ เมื่อใดที่ผลผลิตไม่สมบูรณ์งดงามธิดาเหม่ยเตี๋ยจะทำพิธีร่ายรำเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชพันธ์ในหมู่บ้านด้วยการปล่อยพลังหมื่นบุปผาเร่งความอุดมสมบูรณ์ แต่อยู่มาวันหนึ่งธิดาเหม่ยเตี๋ยที่มีพลังหมื่นบุปผาได้หายตัวไปจากหมู่บ้านพร้อมกับตำราหมื่นบุปผากับชายแปลกหน้าที่หลงทางเข้ามาในหมู่บ้านและไปใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาอยู่ในเมืองหลวงเราจึงจำเป็นต้องแต่งตั้งธิดาเหม่ยเตี๋ยคนใหม่ที่สามารถทำให้ดอกไม้ออกดอก แต่ไม่มีพลังหมื่นบุปผามาช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์
        อ๋องหก  : ท่านผู้อาวุโส ธิดาเหม่ยเตี๋ยคนนั้นท่านหมายถึงฮูหยินเฟิง ภรรยาท่านอาจารย์เฟิงหย่าที่เสียชีวิตไปแล้วใช่หรือไม่
          ลุงสุ่ย  : ใช่! ส่วนธิดาหยางเถา คือคนภายนอกหมู่บ้านแต่ถูกเลือกจากตำราหมื่นบุปผาให้เป็นผู้สืบทอดพลังหมื่นบุปผาโดยใช้เหตุผลอะไรในการเลือกนั้นข้าก็มิอาจทราบได้ 

          ไม่นานนักก็มีหญิงชราเดินถือไม้เท้ามากับคนในหมู่บ้านที่ลุงสุ่ยสั่งให้ไปตามแม่เฒ่า



หมายเหตุ

*หมิงจิว  แปลว่า โชคชะตาอันสว่างไสว

*ซิ่นเฉิง  แปลว่า ความเชื่อถือได้

*หนึ่งชั่วยาม  เท่ากับ สองชั่วโมง

*หยางเถา  แปลว่า ลูกพีชต่างถิ่น / ลูกพีชและทะเล

*ชิงอิ๋ง  แปลว่า พลอยสีฟ้า

*เหม่ยเตี๋ย  แปลว่า ผีเสื้อแสนสวย

*จ้าวหลิว  แปลว่า ผู้สร้างกระแสน้ำ

祖娅纳惜中元特供子不语 罗刹鸟
คำสารภาพ
Youtube by : User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 58
(หมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ)

          แม่เฒ่าดูเหมือนหญิงชราลึกลับน่าเกรงขาม แต่ท่าทางยังแข็งแรง คนในหมู่บ้านล้วนให้ความเคารพ แม้กระทั่งลุงสุ่ยหัวหน้าหมู่บ้านยังเกรงใจนอบน้อม แม่เฒ่าเดินเข้ามาแล้วหยุดมองจ้องหน้าฉัน

        แม่เฒ่า  : ข้าเห็นที่ๆเจ้าจากมา มีผู้คนและชนเผ่าอยู่ปะปนกันมากหน้าหลายตา ข้าเห็นเจ้าชอบพูดคุยกับเพื่อนชาวชนเผ่าผิวขาว ผมสีเหลืองอ่อน ดวงตาสีฟ้า คนชนเผ่าที่บ้านเจ้าล้วนดูแปลกประหลาดกันนัก
            มี่จื่อ  : ข้าจะกลับบ้านของข้าที่นั่นได้ยังไง?
        แม่เฒ่า  : จะไม่มีใครได้กลับออกไปจากที่นี่ ทุกคนต้องอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะเจ้า ธิดาหยางเถา เจ้าจะต้องอยู่เป็นคนของเรา
        อ๋องหก  : แต่เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ เราต้องกลับออกไป
        แม่เฒ่า  : ขออภัยท่านอ๋องหก แต่ข้าจะปล่อยให้พวกท่านออกไปบอกความลับและบอกทางเข้าออกของหมู่บ้านไม้ดำให้กับผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้
เหยียนเหล่ย  : พวกเราจะไม่บอกใครแน่นอน แม่เฒ่าโปรดเชื่อใจพวกเรา
        แม่เฒ่า  : มีคนเคยพูดแบบเดียวกันกับเจ้าแต่เขาก็พาเหม่ยเตี๋ยผู้มีพลังหมื่นบุปผาหนีหายไปจากหมู่บ้าน และเจ้าก็จะทำแบบเดียวกัน ข้ารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกท่านดีท่านอ๋องหก ว่าพวกท่านมาที่นี่เพราะต้องการจะเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับ
        อ๋องหก  : ทำไมท่านถึงรู้
          ลุงสุ่ย  : เพราะแม่เฒ่าเป็นผู้มองเห็นชะตาหยั่งรู้อนาคตของหมู่บ้าน และรู้ว่าพวกท่านจะมาที่นี่และธิดาหยางเถาจะนำหายนะมาสู่หมู่บ้านไม้ดำ
            มี่จื่อ  : หากข้าเป็นตัวหายนะ ท่านก็ควรจะรีบปล่อยพวกเรากลับออกไปสิ! จะรั้งให้อยู่ทำไม?!
        แม่เฒ่า  : ชะตากำหนดไว้แล้วมิอาจเลี่ยงหรือฝืน ขอเพียงแค่พยายามผ่านมันไปให้ได้ ความสงบสุขจึงจะกลับอีกครั้ง ธิดาหยางเถานำภัยร้ายมาสู่หมู่บ้าน ดังนั้นเจ้าต้องอยู่รับผิดชอบ!
            มี่จื่อ  : ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย อย่าเพิ่งรีบใส่ความข้าสิ!
        แม่เฒ่า  : เจ้าทำแล้ว!! เจ้าพาพวกเขามาที่นี่ เจ้ามีสติปัญญาที่พิเศษกว่าคนอื่น เจ้าฉลาดแต่ขาดความเฉลียว เจ้าถูกหลอกใช้ความฉลาดให้นำพาพวกเขามาที่นี่ ข้าจะเห็นแก่ที่ตำราหมื่นบุปผาเลือกเจ้าเป็นผู้สืบทอดข้าจึงไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่จะให้อาศัยอยู่ที่นี่จงอย่าสร้างปัญหาให้เราอีก และข้าจะบอกไว้อีกอย่าง แม้เจ้าจะฉลาดเพียงใดก็ไม่สามารถหาทางออกจากหมู่บ้านเจอได้หากข้าไม่เปิดทางออกให้
          ลุงสุ่ย  : ข้าจะให้คนไปตัดไม้มาช่วยพวกเขาสร้างบ้าน
        แม่เฒ่า  : ไม่ต้อง! แต่ให้พวกเขาไปพักที่เรือนคู่สุริยันต์จันทรา คนพวกนี้ดื้อด้านยิ่งกว่าเด็กน้อย อยู่เฉยกันไม่เป็นหรอก ไปเตรียมเหล้ากับอาหารให้พวกเขา จะได้รู้ว่าแม้เราจะเป็นชาวป่าแต่เราก็มีอารยะธรรมดีไม่แพ้คนในเมืองหลวง
        อ๋องหก  : ขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเราจะอยู่พักที่นี่กันสักสามวัน แล้วจะกลับมาพูดคุยกับท่านอีกครั้งเรื่องการกลับออกไป
        แม่เฒ่า  : เชิญตามสบาย!

          ซิ่นปิงและชิงอิ๋ง พาเราเดินไปที่บ้านพักสุริยันต์จันทราขนาดกลางสองหลังตั้งอยู่ติดกัน ฉิงซวงดึงฉันไปพักที่เรือนสุริยันต์และบอกว่าพวกเราเด็กๆควรไปพักรวมกันที่เรือนสุริยันต์ และชวนลี่ถังไปพักด้วย หลวนเฉิน จิ่นเกอ และช่างอิ่นจึงรีบดึงแขน ดันหลังพวกเราให้รีบเข้าไปในที่พักและออกอาการดีใจที่ได้พักอยู่รวมกันโดยไม่ต้องแบ่งแยกเพศชายหญิง ฉันจึงบอกหลวนเฉินว่าจะขอไปคุยกับซิ่นปิงสักครู่ แต่หลวนเฉินขอตามไปด้วย ฉันจึงชวนซิ่นปิงเดินแยกไปคุยบริเวณอื่น

            มี่จื่อ  : ซิ่นปิง แม่เฒ่าจะให้พวกเราอยู่ที่นี่กันจริงๆรึ?
          ซิ่นปิง  : จริง! แม่เฒ่าไม่ใช่คนชอบพูดเล่น และปกติก็ไม่ค่อยพูด แต่วันนี้เป็นวันที่แม่เฒ่าพูดหลายคำที่สุด
            มี่จื่อ  : เจ้าช่วยให้เราออกไปจากที่นี่ได้มั้ย แค่บอกก็ได้ว่าทางออกอยู่ที่ไหน
          ซิ่นปิง  : ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก แม้กระทั่งท่านพ่อของข้าก็ช่วยไม่ได้ เพราะแม่เฒ่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของหมู่บ้านที่พวกเราให้ความเคารพยำเกรง ปกติแม่เฒ่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายงานของท่านพ่อและจะปล่อยให้ท่านพ่อจัดการงานในหมู่บ้านเองทั้งหมด แต่แม่เฒ่าจะยื่นมือมายุ่งเฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น และที่สำคัญคือแม่เฒ่าเป็นผู้ควบคุมทางเข้าออกของหมู่บ้านเพราะแม่เฒ่ามีพลังเวทย์เคลื่อนย้ายสถานที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย!
    หลวนเฉิน  : แต่! มี่จื่อเป็นเพื่อนกับเจ้านะ ใยเจ้าจึงไม่คิดจะช่วยเพื่อน!?
          ซิ่นปิง  : ข้าก็อยากจะช่วยแต่เรื่องนี้เกินความสามารถของข้าจริงๆ
            มี่จื่อ  : แต่เจ้าต้องช่วยข้า! ซิ่นปิงบอกข้ามาซิ! ใครคือคนต้องรับช่วงต่อเป็นหัวหน้าหมู่บ้านต่อจากลุงสุ่ย
           ซิ่งปิง  : ข้าเอง
             มี่จื่อ  : งั้น...ถ้าลุงสุ่ย แม่เฒ่า กับชิงอิ๋ง และทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเจ้า...ว่าที่ผู้นำหมู่บ้าน เข้าไปในเมืองหลวงแต่แอบนอกลู่นอกทางไปเที่ยวหอนางโลม พวกเขาจะทำหน้ากันยังไงที่รู้ว่าผู้นำหมู่บ้านแอบไปเที่ยวซ่อง
          ซิ่งปิง  : เจ้าอย่าพูดซี้ซั้วข้าไม่เคยไปเที่ยวสถานที่แบบนั้น
            มี่จื่อ  : ข้ามีพยานสองคนที่เห็นเจ้าเข้าไปหอนางโลมคืนนั้น คืออาจารย์เหยียนเหล่ยกับท่านหลี่จวินที่เข้าไปสืบคดีที่นั่นในคืนนั้นพอดี
           ซิ่งปิง  : แต่ข้าแค่เข้าไปถามทางไปร้านตีเหล็กเท่านั้น ใครจะไปเชื่อคำพูดของเจ้า
             มี่จื่อ  : ก็...ร้านค้าด้านนอกมีตั้งหลายร้านยังไม่ปิดเจ้าไม่ถามทางกับพวกเขา ทั้งๆที่เจ้าสามารถพูดภาษาคนในเมืองหลวงได้นิดหน่อยก็น่าจะถามได้ แต่เจ้ากลับเลือกเดินเข้ามาถามทางกับข้าที่อยู่ในหอนางโลม ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้า ข้ารู้...เด็กหนุ่มในวัยเจ้ากำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน หากคืนนั้นเจ้าไม่เจอกับข้า เจ้าอาจหาข้ออ้างนอนค้างคืนที่หอนางโลมก็ได้ (ฉันแกล้งทำนิ้วเล่นปูไต่บนหน้าอกของซิ่นปิง จนเขาเคอะเขินรีบปัดมือฉันออก)
          ซิ่นปิง  : เจ้าพูดอะไรกันเนี่ย ปั้นน้ำเป็นตัวใครจะเชื่อเจ้า!
    หลวนเฉิน  : ข้าเชื่อที่มี่จื่อพูดทุกคำ ข้าเชื่อว่าเจ้าไปเที่ยวหอนางโลม อ้อ...ลุงสุ่ยบอกว่าแม่เฒ่าสามารถหยั่งรู้อนาคต งั้นแม่เฒ่าก็น่าจะมองเห็นว่าเจ้าเคยทำอะไร จะได้รู้ว่าคำพูดของมี่จื่อจริงหรือไม่!
          ซิ่นปิง  : มี่จื่อ!!! ข้าไม่น่าคบหาเจ้าเป็นเพื่อนเลย เจ้านำหายนะมาสู่ข้า! ให้ตายสิ! บ้าจริงๆ!
            มี่จื่อ  : ข้าไม่โกรธหรอกที่เจ้าเรียกข้าว่าตัวหายนะ ขอแค่เจ้าบอกวิธีออกไปจากหมู่บ้านได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว
          ซิ่นปิง  : ก็ได้ๆ อีกห้าวันจะถึงวันงานระบำธิดาเหม่ยเตี๋ย หากเจ้าทำให้ต้นท้อประจำหมู่บ้านออกผลได้ เจ้าขอให้แม่เฒ่าเปิดทางออกแม่เฒ่าก็จะเปิดทางให้ แต่หากเจ้าทำไม่ได้ก็จงทำใจอยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องหาทางออกด้วยตัวเองให้เลิกคิดไปได้เลย แม่เฒ่ามีมนต์แข็งแกร่งทำลายยาก
    หลวนเฉิน  : ใครจะทำเรื่องแบบนั้นได้กันเล่า?!
          ซิ่นปิง  : หากมี่จื่อเป็นธิดาหยางเถาโดยแท้จริงก็ต้องทำได้!
            มี่จื่อ  : ข้าต้องทำอะไรบ้างในวันพิธี
          ซิ่นปิง  : เจ้าต้องเต้นระบำหรือเล่นดนตรีบูชาดอกไม้และผลไม้เร่งความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชพันธุ์
            มี่จื่อ  : ตกลงข้าจะทำ
          ซิ่นปิง  : ข้าช่วยเจ้าแล้ว เจ้าก็ห้ามบอกเรื่องของข้ากับใครเด็ดขาด
            มี่จื่อ  : อื้ม! ไม่บอกใครหรอกน่า
          ซิ่นปิง  : ข้าไปล่ะ!...วันนั้นข้าไม่น่าไปถามทางกับเจ้าเลย ข้าจึงมาลำบากในวันนี้ ทั้งๆที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เจ้ากลับพูดให้ข้าผิด เจ้านี่มัน! ฮึ่ม! (ซิ่นปิงเดินบ่นพึมพำกลับไปหาชิงอิ๋งที่กำลังยืนเขินอายพูดคุยกับเหยียนเหล่ย แล้วพากันลากลับออกไป)
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ เจ้าไม่ได้เมาใช่มั้ยเนี่ย
            มี่จื่อ  : เปล่า! ข้ายังไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักหยด
    หลวนเฉิน  : เจ้าเก่งชะมัดกล้าพูดข่มขู่ซิ่นปิง สามารถพูดให้ถูกกลายเป็นผิดได้ ซิ่นปิงจนมุมจนยอมบอกวิธีออกจากหมู่บ้านให้เรา
            มี่จื่อ  : คนดีๆซื่อๆอย่างซิ่นปิงแค่ก้าวเท้าข้างเดียวเหยียบเข้าหอนางโลมก็คือความผิดที่น่าละอายแล้ว ข้าเองก็รู้สึกไม่ดีที่ใส่ร้ายเขาแบบนั้น แต่ครั้งนี้ข้าจำเป็นต้องทำจริงๆ
    หลวนเฉิน  : แล้วทำไมเจ้าต้องทำนิ้วเดินบนหน้าอกของซิ่นปิงด้วย ข้าเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเลย คือเจ้าก็รู้ว่าข้าคิดยังไงกับเจ้า
            มี่จื่อ  : ข้าแค่ทำลายความมั่นใจของซิ่นปิงเท่านั้น แค่ทำให้เขารู้สึกประหม่าคิดหาคำมาโต้แย้งไม่ทัน ข้ากับซิ่นปิงเป็นเพื่อนกันโดยแท้จริงมิได้คิดเกินเลยต่อกัน (ฉันมองหน้าหลวนเฉินและยิ้มส่งสายตา เบียดตัวใกล้ชิดเขา พร้อมทั้งเอามือลูบไล้แขนและบีบต้นแขนเขาเบาๆแล้วเลื่อนมือมาลูบไล้ที่หน้าอกแล้วเลื่อนลงมาที่ท้อง) บอกข้าซิ...ข้าสัมผัสเจ้าแบบนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร?
    หลวนเฉิน  : ข้า...รู้สึกตื่นเต้นจนลืมไปเลยว่าข้าจะพูดอะไร แต่ข้าก็ชอบ เอ่อ...ชอบมากที่เจ้าสัมผัสข้าแบบนี้
            มี่จื่อ  : หุ หุ ข้าก็แค่หันเหความสนใจของเจ้าด้วยความตื่นเต้นจนเจ้าคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ ซิ่นปิงก็จนมุมแก้ตัวไม่ออกเพราะแบบนี้แหละ มันได้ผลใช่มั้ยล่ะ! หุ หุ เอาล่ะ! เราไปบอกเรื่องพิธีบูชาดอกไม้ผลไม้ให้ท่านอ๋องหกรู้กันเถอะ

姚六一 - 隔岸你呀你凍我心房 酸我眼眶 一生的傷動態歌詞
Yao Liuyi- คุณอยู่อีกด้านหนึ่งคุณทำให้หัวใจของฉันหยุดเต้น
my life’s hurt
youtube by EHPMusicChannel



my life’s hurt (TIKTOK)

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 59
(ล้วงความลับ)

          ฉันกับหลวนเฉินเดินกลับมาที่เรือนพักจันทรา เป็นเรือนที่อ๋องหก เหยียนเหล่ย และคนอื่นๆพักอยู่ด้วยกัน และกลุ่มเพื่อนที่มานั่งรอกินอาหารพร้อมกันอยู่ที่เรือนจันทรา ฉันเล่าเรื่องที่พูดคุยกับซิ่นปิงให้ทุกคนฟัง และถามความคิดเห็นทุกคนว่าควรจะเข้าร่วมพิธีระบำเหม่ยเตี๋ยหรือไม่

        หลี่จวิน  : เหยียนเหล่ย เจ้าคลายมนต์ของแม่เฒ่าไม่ได้รึ เจ้าเก่งเรื่องมนต์วิชาสายเดียวกับแม่เฒ่า
เหยียนเหล่ย  : คลายไม่ได้ มนต์ของแม่เฒ่าแข็งแกร่งยิ่งนัก คลายมนต์ยากยิ่งกว่ามนต์ของท่านอาจารย์เฟยเทียนเสียอีก
        หลี่จวิน  : มี่จื่อล่ะ! เจ้าคลายมนต์ได้หรือไม่?
            มี่จื่อ  : ไม่ได้ ตาข้ามองไม่เห็นมนต์นั้นด้วยซ้ำ จึงมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติและไม่เห็นทางออก
        อ๋องหก  : เหนือฟ้ายังมีฟ้า น่าเสียดายที่สุดยอดปรมาจารย์สายมนต์ยันต์ กลับหลบเร้นซ่อนกายอยู่ในดินแดนลับแล (อ๋องหกยกชาขึ้นดื่มอย่างใจเย็น)
             ลี่ถัง  : ให้มี่จื่อฟ้อนรำในพิธีก็ดีเหมือนกัน ดูเหมือนจะไม่ยากสักเท่าไหร่ มี่จื่อลองมาฟ้อนรำให้ดูหน่อย
            มี่จื่อ  : ได้สิ! ดนตรีมา!

          หลวนเฉินเริ่มเคาะพื้นเป็นจังหวะกลองให้ฉันเต้นรำ ฉันจึงเต้นท่าหุ่นยนต์ที่คิดว่าเจ๋งสุดแห่งยุคสมัยให้พวกเขาดู จนพวกเขาพากันหัวเราะกับท่าเต้นประหลาดของฉัน จิ่นเกอนึกสนุกจึงลุกมาเต้นเลียนแบบเป็นที่ตลกขบขันกันขึ้นไปอีก

        หลี่จวิน  : เดี๋ยวๆเขาให้ฟ้อนรำเพื่อความสวยงามมิใช่รึ แต่นี่มันเต้นรำอะไรท่าเต้นตลกเป็นตุ๊กตาไม้ มี่จื่อเจ้าทำเรื่องที่สวยงามแบบผู้หญิงทั่วไปทำไม่เป็นรึ?!
            มี่จื่อ  : ก็ข้าฟ้อนรำแบบหญิงงามที่นี่ไม่เป็นอ่ะ ข้าไม่เคยทำ!
         เลี่ยงซู  : ข้าจะสอนมี่จื่อฟ้อนรำเอง มี่จื่อทำได้แน่ ข้าเคยเห็นมี่จื่อเต้นรำตอนสอบวิชาเดินป่าพื้นฐานการเต้นรำของมี่จื่อดีอยู่แล้ว เพียงแต่นางชอบเต้นท่าประหลาดๆเท่านั้นเอง หากตั้งใจฝึกฟ้อนรำดีๆมี่จื่อต้องทำได้แน่ เรามาเถอะเริ่มฝึกหัดกันเลยดีกว่า
    หลวนเฉิน  : ข้าจะตีกลองให้จังหวะเจ้าเต้นรำ
         ฉิงซวง  : ข้าจะเป่าขลุ่ยให้
        อ๋องหก  : เราน่าจะร่วมเล่นดนตรีด้วยกันดีมั้ย มี่จื่อจะได้ไม่ต้องรับภาระอยู่คนเดียว พวกเรามาด้วยกันควรต้องรับผิดชอบร่วมกัน
          จินไห่  : ดี! ข้ากำลังคิดแบบเดียวกับท่านอ๋องหกอยู่พอดี ข้าจะไปขอยืมเครื่องดนตรีที่บ้านท่านลุงสุ่ยมาฝึกซ้อมด้วยกัน ช่างอิ่น! จิ่นเกอ! ไปเอาเครื่องดนตรีกับข้า
           เฝิ่นลู่  : ข้าไปด้วย!
             ลี่ถัง  : แต่ข้าไม่ถนัดเรื่องเล่นดนตรี ถ้าให้ข้ารำกระบี่ หรือต่อสู้ข้าถนัดนัก
        อ๋องหก  : ไม่เป็นไร เจ้ากับองครักษ์คอยคุ้มกันเราก็พอ
             ลี่ถัง  : คุณชายเหยียนเหล่ยท่านเห็นมี่จื่อเต้นรำสวยงามดีหรือไม่ เอวสะบัดพริ้วไหว สวยงามกว่าเต้นรำท่าเต้นหุ่นไม้บ้านเกิดของนางเสียอีก ดูสิมีบางคนมองตาไม่กระพริบเลยโน่น! (ลี่ถังพูดจายั่วยุเหยียนเหล่ยให้มองดูหลวนเฉินที่พยายามใกล้ชิดฉัน จนเหยียนเหล่ยขมวดคิ้ว)
เหยียนเหล่ย. : หึ!
            ลี่ถัง. : โอ๊ะ! เครื่องดนตรีมาแล้ว! ข้าจะไปดูพวกเขาหน่อย
          จินไห่  : เอาล่ะ! ทุกคนเลือกเครื่องดนตรีที่ตัวเองถนัด

          ฉัน เลี่ยงซู ฉิงซวง และหลวนเฉินหยุดการฝึกเต้นรำมาดูเครื่องดนตรีโดย จินไห่เป่าขลุ่ย ฉิงซวงเลือกเล่นกู่เจิน ช่างอิ่นดีดพิณหร่วน เหยียนเหล่ยดีดพิณผีผา เฝิ่นลู่สีซอเอ้อร์หู หลวนเฉินตีกลองหลัวกู่ อ๋องหกตีระฆังชุดเปียนจง จิ่นเกอเป่าอวี๋ (แคนจีน) เลี่ยงซูร้องเพลง ฉันจึงหยิบซอเอ้อร์หูมาสีเล่น แต่เหยียนเหล่ยกลับส่งชิ่ง (เครื่องตีเป็นแผ่นหิน) มาให้ฉันตี เขาบอกว่าชิ่งเหมาะสมกับฉันที่สุดตีแล้วเสียงไม่เพี้ยนและเหมาะกว่าการฟ้อนรำเสียอีก ลี่ถังแอบขำเพราะรู้ว่าเหยียนเหล่ยออกอาการหึงหวงที่หลวนเฉินจ้องมองฉันเต้นรำ หลังกินอาหารเราจึงมานั่งฝึกซ้อมดนตรี ทั้งดีดและตีเพลงกันไปคนละทิศละทางโดยเฉพาะฉันตีชิ่งมั่วไปหมด ลี่ถังทนฟังไม่ได้จึงอาสามาตีชิ่งแทนฉัน แล้วให้ฉันไปหัดเต้นรำกับเลี่ยงซูตามเดิม จินไห่จึงให้คนที่เล่นดนตรีตั้งเสียงและจัดวงดนตรีกันใหม่ เขาเลือกเพลงพื้นบ้านที่เล่นไม่ยากนักสำหรับทุกคนเพื่อมาเป็นเพลงเล่นในพิธี จากนั้นเราก็เริ่มซ้อมกันอย่างจริงจังดังลั่นเรือนจันทรา ทำเอาคนในหมู่บ้านออกมายืนดูว่าเราเล่นอะไรกันเสียงดัง เราดื่มเหล้าที่ลุงสุ่ยหัวหน้าหมู่บ้านให้คนนำมาให้และเล่นดนตรี ร้องรำทำเพลงกันไปด้วยทำให้ยิ่งสนุกสนาน จนคืนนั้นเราเมาหลับนอนรวมกันที่เรือนจันทรา

          รุ่งเช้าฉันตื่นนอนในอ้อมกอดของเหยียนเหล่ย เขาคงอุ้มฉันมานอนบนเตียงกลางดึก เช้านี้ฉันตื่นนอนเร็วเพราะรู้สึกปวดปัสสาวะอยากเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงเดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ด้านหน้าเรือน พบลี่ถังที่ตื่นก่อนยืนอยู่ฉันจึงเดินเข้าไปทักทายลี่ถัง และเราเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งประมาณห้าคนถืออาวุธครบมือเดินออกไปทางด้านหน้าหมู่บ้าน ลี่ถังจึงถามชาวบ้านที่เดินผ่านมาว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินผ่านไปนั้นพวกเขาไปที่ไหนกัน ชาวบ้านบอกว่าพวกเขาไปตามจับตัวคนนอกที่แอบเข้ามาอีกสามคน เรายืนมองกันอยู่สักพักเฝิ่นลู่ที่ตื่นนอนแล้วเดินออกมาทักทายฉันกับลี่ถัง เราจึงยืนชมบรรยากาศยามเช้าของหมู่บ้านด้วยกัน และไม่นานนักฉันก็เห็นซิ่นปิงเดินผ่านมา ฉันจึงส่งเสียงทักทายเขา

            มี่จื่อ  : ซิ่นปิง กำลังจะเดินไปไหน?
          ซิ่นปิง  : ข้าจะไปท้ายหมู่บ้าน จะไปดูสวนปลูกผลไม้ที่บ้านลุงฟู่สักหน่อย
            มี่จื่อ  : ข้าไปด้วยได้มั้ย?
          ซิ่นปิง  : ได้สิ!

          เราสามคนเดินตามซิ่นปิงไปดูสวนผลไม้ของชาวบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ซิ่นปิงบอกว่าระยะนี้ผลไม้ออกผลน้อยมากจนแทบไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน ที่ผ่านๆมาพวกเขาอาศัยกินพืชผักมากกว่าได้กินผลไม้ เราเดินกันมาถึงท้ายหมู่บ้านพบลุงฟู่พาเราไปดูสวนปลูกผลไม้ทั้งสวนออกผลมาเพียงน้อยนิดและบางต้นก็ไม่ออกผลอีกเลย ลุงฟู่พยายามบำรุงต้นไม้ทุกวิธีแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล ซิ่นปิงจึงบอกลุงฟู่ว่าจะพยายามหาวิธีช่วยเหลือให้ได้ จากนั้นซิ่นปิงพาเราไปดูพืชไร่ที่บ้านป้าไฉ มีแปลงปลูกผักไว้หลายแปลง แต่พืชผักดูไม่ค่อยสดใส บ้างก็เหี่ยวเฉาตายทั้งๆที่ใส่ปุ๋ยพรวนดินอยู่เสมอ ซิ่นปิงพูดกับป้าไฉแบบเดิมว่าจะพยายามหาวิธีช่วยเหลือ เราจึงเดินกลับกันออกมา ซิ่นปิงมีสีหน้าเป็นกังวลกับพืชผักผลไม้ที่มีผลผลิตปริมาณลดลง และพูดขึ้นว่า

          ซิ่นปิง  : ข้าหวังว่าพิธีระบำธิดาเหม่ยเตี๋ยจะช่วยให้พืชผักผลไม้กลับมาเจริญงอกงาม ให้ผลผลิตเพียงพอกับคนทั้งหมู่บ้าน และหวังว่าธิดาหยางเถาจะไม่นำหายนะมาสู่หมู่บ้านจนล่มสลายไปตามคำทำนายของแม่เฒ่า
            มี่จื่อ  : ในเมื่อคิดว่าข้าจะนำหายนะมาสู่หมู่บ้าน แล้วใยรั้งพวกข้าไว้ที่นี่ ทำไมไม่ปล่อยเราออกไปล่ะ ขังเราไว้รอให้หายนะเกิดทำไม
             ลี่ถัง  : ข้ออ้างของพวกเจ้าจะไม่ให้เรากลับออกไปมากกว่า
           เฝิ่นลู่  : ใช่! มี่จื่อจะเป็นหายนะของที่นี่ไปได้ยังไง อย่าคิดจะใส่ความกัน!
          ซิ่นปิง  : ตามคำทำนายเราต้องเผชิญเคราะห์กรรมร้ายแรงหนึ่งครั้งจึงจะพบแสงทองส่องอำไพ ดังคำทำนายไว้ว่า..."หยางเถาปรากฏ หายนะบังเกิด ก่อกำเนิดชีวิตใหม่ ผ่องอำไพทั้งแดนดิน"
             มี่จื่อ  : แต่ข้าไม่ใช่หยางเถา!
             ลี่ถัง  : ซิ่นปิง ข้าขอถามอะไรหน่อย หุบเขาจันทร์ดับอยู่ที่ไหนรึ?
          ซิ่นปิง  : อยู่ตรงนั้น (เขาชี้ไปทางท้ายหมู่บ้าน)
           เฝิ่นลู่  : ไหน? ไม่เห็นมีหุบเขาอะไรเลย
          ซิ่นปิง  : ต้องรอคืนวันจันทร์ดับ หุบเขาจันทร์ดับจึงจะปรากฏออกมา
             ลี่ถัง  : มีอะไรอยู่ที่นั่น ที่นั่นเก็บของสำคัญอะไรไว้?
          ซิ่นปิง  : เป็นแค่หุบเขาธรรมดา พวกเจ้าอย่าใส่ใจเลย
            มี่จื่อ  : บอกหน่อยเถอะน่า! (ฉันเบียดตัวเข้าหาซิ่นปิงทำท่าจะจับแขนเขา)
          ซิ่นปิง  : เจ้าอย่าแตะต้องตัวข้า อยู่ให้ห่างข้าเลย! (ซิ่นปิงขยับตัวถอยห่างไม่ให้ฉันแตะต้องตัวเขา)
           เฝิ่นลู่  : บอกมาที่หุบเขามีอะไร? (เฝิ่นลู่เบียดตัวเข้าจับแขนซิ่นปิงแล้วส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ฉันว่านางเข้าใจว่าฉันกำลังจะทำให้ซิ่นปิงยอมพูด)
            มี่จื่อ  : บนหุบเขามีหน้าผาสูง และมีต้นท้อขึ้นบนนั้นด้วยใช่มั้ย? (ฉันเบียดตัวแล้วใช้มือลูบไล้หน้าอกซิ่นปิง) ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะบอกทุกคนว่าเจ้าลวนลามข้า
             ลี่ถัง  : ข้าจะเป็นพยานให้ ว่าข้าเห็นซิ่นปิงพยายามลวนลามมี่จื่อ
          ซิ่นปิง  : พวกเจ้ารวมหัวกันโกหก!!! ก็ได้ข้าจะบอก...ใช่แล้ว! บนหุบเขามีหน้าผาและมีต้นท้อขึ้นอยู่ พวกเจ้าปล่อยข้าได้แล้ว!
           เฝิ่นลู่  : แล้วมีอะไรอีก?
             มี่จื่อ  : ช่วยกันจับซิ่นปิงถอดเสื้อออก ข้าอยากเห็นเนื้อหนุ่มแน่นๆ
          ซิ่นปิง  : อย่าๆ!! ข้าจะเล่าๆ...องค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ยเคยเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับ เขาเอาของสำคัญบางอย่างเข้าไปซ่อนไว้บนหุบเขา
             มี่จื่อ  : แล้วของสิ่งนั้นมันคืออะไรล่ะ?
          ซิ่นปิง  : ข้าไม่รู้จริงๆ ต่อให้เจ้าจับข้าถอดเสื้อจนหมดข้าก็ไม่รู้จริงๆ เจ้าต้องไปถามแม่เฒ่า (ซิ่นปิงคอยปัดมือฉันกับเฝิ่นลู่ออกไม่ให้ลูบไล้เขา)
             ลี่ถัง  : องค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ยเคยเข้ามาที่นี่ เข้ามากับใคร เข้ามาทำอะไร เล่ามาซิ!
             มี่จื่อ  : จะเล่าดีๆหรือจะให้ข้า....(ฉันจับหน้าซิ่นปิงหันมาแล้วเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆคล้ายจะจูบเขา แต่ซิ่นปิงเอามือมาบังหน้าฉันแล้วดันออก)
          ซิ่นปิง  : นี่เจ้าอย่าทำแบบนี้!!! เอาล่ะ! ข้าจะเล่าให้ฟังเจ้าหยุดกระทำเช่นนี้กับข้าสักที ครั้งหนึ่งหมู่บ้านไม้ดำเคยต้อนรับผู้ที่หลงเข้ามาที่นี่ เขาคือองค์ชายสี่กับท่านเฟิงหย่า เขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันและหลงรักผู้หญิงคนเดียวกันคือ ฟางเหนียน ธิดาเหม่ยเตี๋ย แต่ฟางเหนียนรักท่านเฟิงหย่า เขาทั้งคู่ผิดใจกันจนแทบจะตัดขาดความเป็นเพื่อน แต่องค์ชายสี่เห็นแก่เคยเป็นเพื่อนจึงช่วยพาทั้งสองคนหนีออกจากหมู่บ้านไปครองคู่กันและเปิดสำนักเฟิงเจี๋ยสร้างชื่อเสียงขจรไกล แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งองค์ชายสี่แอบกลับเข้ามาที่นี่คนเดียวและไปพบกับแม่เฒ่า จากนั้นองค์ชายสี่ก็เดินทางเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับ แล้วกลับออกไปจากหมู่บ้านไม่เคยหวนกลับมาที่หมู่บ้านอีกเลย
           เฝิ่นลู่  : เราคงต้องไปถามแม่เฒ่าเรื่องนี้ต่อกันแล้วล่ะ
             มี่จื่อ  : ซิ่นปิง งั้นเจ้าก็ไปได้ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว (ฉันกับเฝิ่นลู่ปล่อยมือจากซิ่นปิง)
           ซิ่นปิง  : มี่จื่อ เจ้าเป็นธิดาหยางเถาแต่กิริยาของเจ้าไม่เคยสำรวมเลย
             มี่จื่อ  : เฮ่อ...บ่นเป็นตาแก่ ข้าหมดธุระแล้ว ขอลา


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 60
(แผนแอบเข้าหมู่บ้าน)

          เราเดินแยกกับซิ่นปิงแล้วเดินกลับเรือนที่พัก แต่มีบางคนที่ยังไม่ตื่นนอน ฉันจึงเดินไปปลุกเหยียนเหล่ยที่ยังนอนไม่ตื่นให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าแล้วไปกินอาหารเช้าพร้อมกัน เหยียนเหล่ยงัวเงียดึงฉันลงไปกอด ฉันจึงต้องดึงแขนและดันหลังเขาให้ไปล้างหน้า ช่วงระหว่างรอคนนำอาหารเช้ามาส่งที่เรือน ลี่ถังจึงเล่าเรื่องที่เราได้ยินมาจากซิ่นปิงให้ทุกคนฟัง ท่านอ๋องหกจึงหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมา แล้วบอกว่าเขาพกแผนที่หุบเขาจันทร์ดับมาด้วย หลังกินอาหารเช้าเสร็จท่านอ๋องหกจะไปสอบถามแม่เฒ่าเรื่องแผนที่ฉบับนี้

          หลังกินอาหารเช้าเสร็จเราพวกเด็กๆเริ่มฝึกซ้อมเล่นดนตรีกันต่อ ส่วนท่านอ๋องหก เหยียนเหล่ย หลี่จวิน และจินไห่ เดินไปที่เรือนที่พักของแม่เฒ่าเพื่อสอบถามเรื่องแผนที่หุบเขาจันทร์ดับ

        อ๋องหก  : ท่านแม่เฒ่า กรุณาบอกเราเถอะว่าองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ยนำสิ่งใดไปซ่อนที่หุบเขาจันทร์ดับ
        แม่เฒ่า  : หากเจ้ารู้ว่าคืออะไร เจ้าจะเข้าไปเอามันออกมารึ?
        อ๋องหก  : องค์ชายสี่ทำแผนที่หุบเขาจันทร์ดับขึ้นมาแสดงว่ามีเจตนาให้เราเข้าไปเอาของที่เก็บซ่อนไว้ องค์ชายสี่ซ่อนตำรากับกระบี่มังกรสายลมไว้ที่นั่นใช่ไหม ข้าตรวจสอบทุกแผนที่แล้วไม่ปรากฏตำรากับกระบี่มังกรสายลม มีเพียงแผนที่หุบเขาจันทร์ดับที่ข้าไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะอยู่ดินแดนลับแล
        แม่เฒ่า  : เจ้าเข้าใจผิดต่างหาก แผนที่นั่นสร้างขึ้นมาเพื่อให้นำของสำคัญอีกอย่างหนึ่งเข้าไปเก็บซ่อน นั่นคือเจตนาแรกขององค์ชายสี่ แต่ด้วยจิตใจที่ยังอาลัยอาวรณ์เจตนานั้นจึงแปรเปลี่ยน
เหยียนเหล่ย  : แม่เฒ่าโปรดอธิบายให้เราเข้าใจด้วย
        แม่เฒ่า  : เมื่อฟางเหนียนและเฟิงหย่าเสียชีวิตลง องค์ชายสี่รับปากคนทั้งสองว่าจะนำตำราหมื่นบุปผาและตำรามังกรสายลมมาเก็บซ่อนไว้ด้วยกันอย่างสงบสุขที่หุบเขาจันทร์ดับ ข้าเองก็มิได้ขัดขวาง แต่องค์ชายสี่กลับซ่อนไว้เพียงตำรามังกรสายลมกับกระบี่ แล้วนำตำราหมื่นบุปผากลับออกไปด้วยเพราะยังคงอาลัยรักที่มีต่อฟางเหนียนเพียงฝ่ายเดียว เมื่อกาลเวลาผ่านไปองค์ชายสี่ล้มป่วยจึงได้ทำแผนที่หุบเขาจันทร์ดับขึ้นอย่างลับๆเพื่อให้ผู้สืบทอดพลังหมื่นบุปผานำตำรากลับมาไว้ที่นี่แล้วในเวลาต่อมาองค์ชายสี่ก็เสียชีวิต และการที่พวกเจ้าคิดจะเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะที่นั่นมีเสือนิลภูเขาที่หิวกระหายรอฝังคมเขี้ยวกัดกินพวกเจ้าอยู่ พวกเจ้าสู้มันไม่ได้หรอก เพราะมันมีชีวิตเป็นอมตะ มันกินความมืดเป็นอาหาร จึงมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารและน้ำ แต่ถ้ามีมนุษย์เข้าไปมันจะไล่ล่ามนุษย์จนกว่าผู้บุกรุกจะถูกฆ่าจนหมด มันไล่ล่าได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่นอนหลับ เป็นเสือดำที่โหดเหี้ยม แม้แต่ข้าเองยังไม่กล้าไปยุ่งกับมัน
       หลี่จวิน  : แล้วองค์ชายสี่เข้าไปที่นั่นได้อย่างไร?
        อ๋องหก  : เราจะเข้าไปในหุบเขาจันทร์ดับ ขอแม่เฒ่าโปรดแนะนำด้วย ข้าต้องการตำราและกระบี่มังกรสายลมเพื่อกลับไปฟื้นฟูสำนักเฟิงเจี๋ย
        แม่เฒ่า  : ข้าไม่ใช่คนแก่ใจดี เจ้าอย่าเพิ่งคาดหวังว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าโดยไม่หวังสิ่งแลกเปลี่ยน
        อ๋องหก  : แม่เฒ่าต้องการสิ่งใด
        แม่เฒ่า  : ข้าต้องการตำราและพลังหมื่นบุปผา กลับคืนสู่หมู่บ้าน ส่วนตำรากับกระบี่มังกรสายลมท่านอ๋องหกต้องการก็เอาไป ข้าจะปล่อยพวกเจ้ากลับออกไปจากหมู่บ้าน หากตกลงข้าจะมอบท้อสวรรค์ที่เหลืออยู่เพียงลูกเดียวให้ท่านนำไปให้เสือนิลภูเขากินคลายหิว เสือดำจะหยุดไล่ล่าแค่ครึ่งชั่วยาม ดังนั้นจึงต้องกลับออกมาให้ทันก่อนที่เสือนิลภูเขาจะหิวและออกไล่ล่าอีกครั้ง
          จินไห่  : แต่ว่าความปรารถนาของฮูหยินเฟิงกับท่านเฟิงหย่าต้องการให้ตำราอยู่เคียงคู่กัน แต่พวกท่านกลับจะแยกตำราสองเล่มอีกครั้งงั้นรึ?
        แม่เฒ่า  : ข้าไม่สนใจหรอกเรื่องนั้น แต่ข้าสนใจเรื่องปากท้องของลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านของข้า พวกเขากำลังจะอดตายเพราะผลผลิตอาหารในหมู่บ้านเริ่มลดน้อยลงทุกปี พวกเจ้าตัดสินใจเอาเถอะข้าไม่ได้บังคับ
          จินไห่  : ศิษย์พี่สี่แล้วมี่จื่อจะยอมเหรอ นางจะยอมคืนพลังหมื่นบุปผาเหรอ?
เหยียนเหล่ย  : ข้ารู้จักมี่จื่อดี นางเป็นคนไม่ทะเยอทะยานอยากได้ของๆผู้อื่น นางยอมคืนพลังหมื่นบุปผาให้แน่ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่านางไม่รู้วิธีคืนพลังน่ะสิ เรื่องอื่นนางฉลาดนักแต่เรื่องของตัวเองกลับโง่จนขุดไม่ขึ้น...เฮ่อ! ข้าจะเป็นคนพูดกับมี่จื่อเรื่องนี้เอง
        อ๋องหก  : แม่เฒ่าเราตกลงรับข้อเสนอนี้ คืนจันทร์ดับเราจะมารับท้อสวรรค์ เราขออภัยที่มารบกวน ขอตัวลา

          พวกเขากลับมาจากเรือนแม่เฒ่า เหยียนเหล่ยเดินตรงมาหาฉันที่กำลังฝึกฟ้อนรำกับเลี่ยงซู เหยียนเหล่ยบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับฉัน จินไห่จึงบอกให้ทุกคนซ้อมดนตรีต่อไป ฉันจึงเดินตามเหยียนเหล่ยเข้าไปคุยในห้อง เขาหยิบตำราหมื่นบุปผาออกมาวางบนเตียง เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า...

เหยียนเหล่ย  : ท่านอ๋องหกจะคืนตำราหมื่นบุปผาให้แม่เฒ่า เพื่อแลกกับตำรามังกรสายลมที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในหุบเขาจันทร์ดับ แต่เจ้าต้องมอบคืนพลังหมื่นบุปผาด้วย (เหยียนเหล่ยจับฉันให้นั่งบนตักเขาแล้วกอดเอวพูดคุย)
            มี่จื่อ  : ถ้า...ข้าไม่มีพลังหมื่นบุปผา ท่านจะยังชอบข้าอยู่มั้ย?
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่ได้ชอบ แต่ข้ารักเจ้า ถึงแม้เจ้าจะไม่มีพลังหมื่นบุปผาข้าก็จะยังรักเจ้า
             มี่จื่อ  : แล้วถ้าผิวหนังข้าไม่มีดอกท้อปรากฏอีกแล้ว ท่านจะยังรักข้าอยู่มั้ย?
เหยียนเหล่ย  : ข้ายังรักเจ้า รักทุกอย่างบนตัวเจ้าแม้ว่าจะไม่มีดอกท้อปรากฏบนตัวเจ้าก็ตาม เจ้าอย่าได้กังขาในความรักของข้าอีกเลย (เขาจับมือฉันขึ้นมาแล้วจูบที่มือ)
            มี่จื่อ  : ข้าก็รักท่านเหมือนกัน ชีวิตของข้าขอเพียงมีท่านอยู่เคียงข้างข้าก็พอใจแล้ว พลังหมื่นบุปผาเนี่ยข้าไม่ต้องการหรอก เพราะเดิมทีมันก็ไม่ใช่พลังของข้าอยู่แล้วเอาคืนกลับไปได้เลย
เหยียนเหล่ย  : เจ้ารู้วิธีส่งพลังคืนมั้ย
             มี่จื่อ  : ไม่รู้...แต่ข้ารู้วิธีดูดพลังจากท่าน จนท่านไม่มีแรงเดินออกจากห้องเลย!

          ฉันโถมตัวจูบเหยียนเหล่ยจนเขาล้มตัวลงนอนหงายบนเตียง เราจูบแลกลิ้นกันจนทนไม่ไหวรีบถอดกางเกงออก เหยียนเหล่ยจับปลายแท่งเนื้อแข็งถูไถกับเนินหว่างขาจนลื่นแล้วดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาจนมิดสุดแท่งแล้วกระแทกช้าๆ ฉันยกก้นเด้งรับจนเขาเร่งจังหวะกระแทกให้เร็วขึ้นจนเสร็จสมพร้อมกัน จากนั้นเรานอนกอดกันพักเหนื่อยครู่หนึ่ง เราแต่งตัวเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าที่มีความสุข สดชื่น

          ฉันเดินแยกไปหาเพื่อนๆที่กำลังซ้อมเล่นดนตรีกันด้วยความตั้งใจ เมื่อพวกเขาเห็นฉันจึงหยุดพักการซ้อมแล้วมาซักถามว่าเหยียนเหล่ยเรียกฉันคุยเรื่องอะไร ฉันตอบตามที่เหยียนเหล่ยบอกฉันว่าอ๋องหกยอมแลกเปลี่ยนตำราหมื่นบุปผากับแม่เฒ่า และจะเดินทางไปหุบเขาจันทร์ดับเพื่อนำตำรากับกระบี่มังกรสายลมกลับมา และเหมือนเคยพวกหลวนเฉินร้องขอติดตามไปด้วย ฉันจึงบอกให้พวกเขาไปร้องขออนุญาตกับอาจารย์เหยียนเหล่ยและอาจารยจินไห่กันเอาเอง ฉันจึงชวนพวกเขาฝึกซ้อมดนตรีกันต่อจนกระทั่งถึงเวลาเย็น องครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งมารายงานเรื่องสำคัญบางอย่างกับท่านอ๋องหกว่า ชายฉกรรจ์ของหมู่บ้านกลุ่มเมื่อเช้าออกไปจับตัวหยางเค่อได้คนเดียวและกำลังพาตัวหยางเค่อไปขังคุก ฉันทำท่าจะวิ่งออกไปดูหยางเค่อที่คุก แต่เหยียนเหล่ยคว้าแขนฉันไว้ไม่ให้วิ่งออกไป
     
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ รอก่อน!
             มี่จื่อ  : ข้าขอไปดูหน่อยว่าหยางเค่อเป็นอย่างไรบ้าง ยังไงเขาก็ยังเป็นเพื่อนของข้า
เหยียนเหล่ย  : ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้าเป็นห่วง
        หลี่จวิน  : ข้าก็จะไปด้วย ข้าจะไปจับตาดูเจ้ามี่จื่อ เดี๋ยวเจ้าช่วยให้หยางเค่อหนีไปอีก
             มี่จื่อ  : ข้าทำผิดแค่ครั้งเดียวเอง ใครจะทำผิดซ้ำเดิมบ่อยๆ
        หลี่จวิน  : จะมีใครก็เจ้านั่นแหละ ไปสิ จะไปดูหยางเค่อกันก็ไป

          เราไปที่คุกเพื่อขอเข้าไปดูหยางเค่อ พบเขานั่งอยู่ในคุกไม้ดำอย่างไม่รู้สึกร้อนเนื้อร้อนใจอะไร หลี่จวินกับท่านอ๋องหกจึงเดินเข้าไปสอบถามหยางเค่อข้างๆกรงไม้

        หลี่จวิน  : หยางเค่อ! พวกของเจ้าอีกสองคนอยู่ที่ไหน?! (หลี่จวินถามหยางเค่อแต่หยางเค่อทำเฉยไม่ตอบคำถาม)
        อ๋องหก  : น่าแปลกทำไมหยางเค่อถูกจับง่ายๆ
        หลี่จวิน  : หยางเค่อตอบคำถามมาสิ!
             มี่จื่อ  : เพราะท่านต้องการเข้ามาที่นี่ จึงยอมให้ถูกจับใช่มั้ย?
     หยางเค่อ  : มี่จื่อ! มีแต่เจ้านี่แหละที่อ่านใจข้าออก
             มี่จื่อ  : อย่าบอกนะว่า...ชงอวี้ กับเจิ้งไฉเข้ามาในหมู่บ้านได้แล้ว!
     หยางเค่อ  : โธ่! นี่ข้าเผลอหลุดปากพูดออกไปรึนี่?! แต่เอ๊ะ! ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำนี่นา?
เหยียนเหล่ย  : เจ้ายอมถูกจับตัว แล้วให้เจิ้งไฉอ่านใจเดินตามทางเจ้าเข้ามา
     หยางเค่อ  : ถูกต้อง เจ้าเข้าใจได้เร็วดีนี่ ตำรามังกรสายลมต้องเป็นของข้า และข้าจะพามี่จื่อกลับออกไปพร้อมกับข้า มี่จื่อกลับไปอยู่กับข้าตามเดิมเถอะนะ ข้าจะไม่บังคับเจ้าให้ขโมยของอีกแล้ว (หยางเค่อจับมือฉัน)
เหยียนเหล่ย  : ปล่อยมือมี่จื่อ! นางจะไม่ไปกับใครทั้งนั้น เพราะมี่จื่อเป็นภรรยาของข้า!
     หยางเค่อ  : เพราะเจ้าขโมยมี่จื่อไปจากข้าต่างหาก เจ้าคอยกักขังมี่จื่อไม่ให้ออกมาพบข้า!
            มี่จื่อ  : หยุดเถียงกันได้แล้ว คุณชายหยางเค่อบอกมา พวกท่านวางแผนอะไรกัน
     หยางเค่อ  : แผนเดียวกันกับพวกเจ้า คือไปหุบเขาจันทร์ดับ
             ลี่ถัง  : พวกเจ้ามันเลวจริงๆ เกิดมาเพื่อเป็นโจรโดยแท้
        อ๋องหก  : หลี่จวิน! รีบแจ้งลุงสุ่ย ผู้นำหมู่บ้านว่าชงอวี้ กับเจิ้งไฉแอบเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว!
        หลี่จวิน  : ท่านอ๋องก็ระวังตัวเองด้วย
        อ๋องหก  : อื้ม! เราไปช่วยชาวบ้านเตรียมตัวรับมือเถอะ
             มี่จื่อ  : แล้วจะปล่อยหยางเค่อไว้แบบนี้รึ?
เหยียนเหล่ย  : ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ให้ผู้นำหมู่บ้านกับแม่เฒ่าเป็นคนตัดสินโทษ (เหยียนเหล่ยจูงมือฉันให้เดินตามเขาไปด้วย)

          เราช่วยชาวบ้านตรวจตราจุดอับต่างๆในหมู่บ้านและจัดวางเวรยามเดินตรวจในหมู่บ้าน จนถึงเวลากินอาหารเรากินอาหารรวมกันที่เรือนจันทรา ฉันรีบกินอาหารให้เสร็จอย่างรีบเร่งแล้วหยิบซาลาเปาสองลูกใหญ่ใส่ผ้าห่อถือไว้ในมือแล้วจะรีบลุกออกไป แต่เหยียนเหล่ยคว้าจับแขนฉันไว้แล้วมองจ้องตาฉันนิ่งๆ ฉันบอกเหยียนเหล่ยว่าจะเอาซาลาเปาไปให้หยางเค่อกินเท่านั้น หากเขาไม่ไว้ใจฉันจะตามไปด้วยกันก็ได้ เหยียนเหล่ยจึงปล่อยมือจากแขนฉัน แล้วพูดว่า

เหยียนเหล่ย  : ไม่ใช่ข้าจะไม่ไว้ใจ แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า
    หลวนเฉิน  : ให้ข้าเป็นคนเอาซาลาเปาไปให้หยางเค่อดีกว่า มี่จื่อเจ้าอย่าไปเลย เชื่อใจข้าเถอะ ข้ารับรองว่าซาลาเปาถึงมือหยางเค่อแน่นอน
            มี่จื่อ  : ก็ได้ ขอรบกวนเจ้าหน่อยนะ

          หลวนเฉินรับซาลาเปาจากฉันแล้วเดินออกจากเรือนมุ่งไปทางคุกที่คุมขังหยางเค่อ



หมายเหตุ

*ฟางเหนียน  แปลว่า นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 61
(ไฟใหม้ครั้งใหญ่)

          หลวนเฉินเดินถือซาลาเปาหายไปได้สักพักหนึ่ง เขาก็เดินกลับมาและบอกฉันว่าหยางเค่อได้รับซาลาเปาแล้วฝากขอบใจฉันมาด้วย จากนั้นเราจึงเดินไปบ้านของลุงสุ่ย หัวหน้าหมู่บ้านเพื่อประชุมร่วมกันกับชาวบ้าน เรื่องการป้องกันภัยจากบุคคลภายนอก และหลังจากประชุมกันเสร็จแล้วเราต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยเหยียนเหล่ยให้ฉันไปพักห้องเดียวกับเขาเพราะเป็นห่วงกลัวชงอวี้กับเจิ้งไฉจะแอบเข้ามาทำร้ายฉัน

          ฉันเดินตามเหยียนเหล่ยเข้าไปในห้องพัก เหยียนเหล่ยเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วรินเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ถ้วยแล้วยกดื่ม เขาเรียกฉันให้ไปนั่งข้างๆ แต่ฉันเดินเข้าไปนั่งที่ตักเขาแล้วกอดคอหอมเขาฟอดหนึ่ง เหยียนเหล่ยรินเหล้าใส่ถ้วยอีกครั้งแล้วยกถ้วยเหล้าป้อนให้ฉันดื่ม เขามองหน้าฉันครู่หนึ่ง และถามฉันว่า...

เหยียนเหล่ย  : เจ้ารู้สึกผิดหวังในตัวข้าหรือไม่ที่ข้าไม่สามารถหาวิธีพาเจ้ากลับบ้านได้
             มี่จื่อ  : ไม่เลย และท่านอย่าโทษตัวเองว่าเป็นคนผิด เพราะพวกเราทุกคนสมัครใจมาด้วยกัน คนผิดคือแม่เฒ่าต่างหากไม่มีเหตุผลและกักขังหน่วงเหนี่ยวเราไว้ที่นี่
เหยียนเหล่ย  : เจ้าอยู่ได้หรือเปล่าหากเราต้องอยู่ที่นี่กันจริงๆ
             มี่จื่อ  : ข้าอยู่ได้ถ้ามีท่านอยู่ด้วย แต่ข้ากลัวท่านหลงเสน่ห์ชิงอิ๋ง ตอนประชุมนางเอาแต่จ้องมองมาที่ท่านตลอดเลย ดูท่าทางชิงอิ๋งจะสนใจท่านเอามากๆ
เหยียนเหล่ย  : เจ้าก็ไปบอกชิงอิ๋งสิ ว่าข้ามีเจ้าเป็นภรรยาแล้ว เราจะมีลูกด้วยกันสักสิบคน
            มี่จื่อ  : ห๊า! มีสิบคนเลยเหรอ ข้าไม่ไหวหรอก ไม่เอาอ่ะ
เหยียนเหล่ย  : แต่ข้าไหวนี่นา...

          เหยียนเหล่ยบรรจงจูบสอดใส่ลิ้นนุ่มนิ่มเข้าปาก ฉันดูดลิ้นฉ่ำน้ำของเขาอย่างดูดดื่ม ลูบไล้จับก้นฉันบีบคลึง แล้วปลดเชือกผูกกางเกงคลายออก แล้วล้วงมือจับที่เนินสวรรค์แหวกรอยแยกแล้วสอดใส่นิ้วกลางเข้าในรอยแยกแล้วขยับนิ้วเข้าออกช้าจนมีน้ำเยิ้มแฉะ ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่งคร่อมตัก จับแท่งเนื้อสอดใส่เข้าเนินหว่างขา ค่อยๆกดตัวลงให้แท่งเนื้อแข็งดันเข้าจนสุด ฉันจูบแลกลิ้นกับเหยียนเหล่ยอย่างดูดดื่มอีกครั้งพร้อมทั้งขยับโยกก้นให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกเนินหว่างจนเสียวมากขึ้นมีน้ำเยิ้มแฉะไหลออกมามากกว่าเดิม เขาจับฉันนอนคว่ำหน้าพาดตัวลงบนโต๊ะ แล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลัง กระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเนินหว่างขาอยู่หลายครั้งจนเขาเสร็จปล่อยน้ำอุ่นๆไหลออกมา จากนั้นเขาพลิกตัวฉันให้นอนหงาย ก้มลงจูบริมฝีปาก เลียใบหู แล้วเลื่อนมาดูดซอกคอ จูบไล่ลงมาถึงเนินอก สองมือบีบขยำ ปากดูดหัวนม เขาสอดแขนเข้าใต้ขาฉันทั้งสองข้าง แล้วแยกขาฉันออกกว้างยกสูงขึ้น สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาอีกครั้งดันเข้าจนสุด ขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆ เหยียนเหล่ยจ้องมองผิวหนังฉันที่ปรากฏเป็นดอกท้อสีแดงแล้วโน้มตัวจูบรอยแดงนั่น เขาจับฉันให้ลุกขึ้นนั่งแล้วอุ้มฉันเข้าเอวพาไปนอนบนเตียง เขาจูบตามลำตัวฉันอีกครั้งจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่ในเนินสวรรค์แล้วกระแทกกระทั้นอยู่หลายทีฉันเสียวเกร็งตัวเสร็จ จากนั้นเขาเร่งจังหวะกระแทกให้เร็วและแรงขึ้นจนเขาเสร็จสมปล่อยน้ำอุ่นๆสีขาวขุ่นออกมาอีกครั้งหนึ่ง เขาโถมตัวนอนทับกอดฉันหมดแรงเหนื่อยหอบแล้วนอนกอดกันหลับไป


          กลางดึกฉันได้ยินเสียงคนร้องตะโกนโหวกเหวกด้านนอกเรือน จึงรีบปลุกเหยียนเหล่ยให้ตื่นขึ้น เรารีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเปิดประตูห้องออกมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นทุกคนงัวเงียเปิดประตูออกมาดูเช่นกัน องครักษ์สองคนของท่านอ๋องวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานว่า กำลังเกิดไฟไหม้ในหมู่บ้าน คาดว่ามีคนลอบวางเพลิง อีกทั้งไฟโหม้กระหน่ำแรงมากและเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุด พวกเราจึงออก ไปช่วยชาวบ้านดับไฟ ฉันกับพวกผู้หญิงช่วยกันตักน้ำมาดับไฟแต่ไฟไหม้หลายจุดจนยากจะควบคุม ชาวบ้านบอกว่าไฟไหม้ต้นเพลิงมาจากบ้านลุงสุ่ยผู้นำหมู่บ้านให้พวกเรารีบไปช่วยกันดับไฟที่บ้านลุงสุ่ยก่อน เราจึงรีบรุดไปที่นั่นพบบ้านลุงสุ่ยไฟกำลังไหม้โหมกระหน่ำ ชาวบ้านจำนวนหนึ่งช่วยกันขนข้าวของหนีไฟ และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งช่วยกันตักน้ำสาดดับไฟ ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆแบ่งกลุ่มกันไปช่วยดับไฟที่จุดอื่น


          ขณะนั้นเหยียนเหล่ยเห็นแม่เฒ่าร้องไห้โวยวายคลุ้มคลั่งเรียกหาแต่ชิงอิ๋งแล้วจะวิ่งเข้าไปในบ้านของลุงสุ่ยที่ไฟกำลังลุกไหม้แรง โดยมีลุงสุ่ยคอยฉุดรั้งแม่เฒ่าไว้ไม่ให้เข้าไปในบ้าน ซิ่นปิงบอกว่าเขาจะเข้าไปข้างในบ้านเอง เหยียนเหล่ยจึงรีบถามขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น ซิ่นปิงหันมาบอกด้วยอาการร้อนใจกระวนกระวายว่า ชิงอิ๋งยังติดอยู่ในบ้านเขาจะเข้าไปช่วยชิงอิ๋ง เหยียนเหล่ยจึงอาสาจะเข้าไปด้วยกันกับซิ่นปิง แล้วทั้งสองก็พุ่งตัววิ่งฝ่ากองเพลิงเข้าไปในบ้านทันที ฉันร้องตะโกนห้ามเหยียนเหล่ยด้วยความเป็นห่วงเพราะไฟเริ่มไหม้ลามขยายไปบริเวณอื่นแต่เรียกไว้ไม่ทัน เขาวิ่งเข้าไปด้านในกับซิ่นปิงเสียแล้ว ฉันจะวิ่งตามเหยียนเหล่ยเข้าไปอีกคน แต่ท่านอ๋องหกกับช่างอิ่นจับแขนฉันยื้อยุดไว้ไม่ให้วิ่งตามเข้าไป ท่านอ๋องพูดกับฉันว่าให้ไว้ใจเหยียนเหล่ยเขาจะกลับออกมาโดยปลอดภัย หากฉันวิ่งตามเข้าไปจะยิ่งเป็นภาระและยิ่งทำให้เหยียนเหล่ยห่วงหน้าพะวงหลังเสี่ยงอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม ท่านอ๋องหกบอกให้ฉันช่วยมองหาว่ายังมีใครติดอยู่ในบ้านที่ไฟกำลังลุกไหม้อีกหรือไม่ ถ้าเจอให้ฉันรีบตะโกนบอกท่านอ๋องจะได้เข้าไปช่วยออกมา ฉันพยักหน้ารับแล้วมองไปรอบๆเห็นชาวบ้านและกลุ่มพวกเราช่วยกันตักน้ำดับไฟกันอลหม่าน

          ในขณะที่ผู้คนกำลังวิ่งดับไฟและเก็บข้าวของกันชุลมุนฉันเห็นเหยียนเหล่ยกำลังอุ้มชิงอิ๋งที่กอดซบอกเขาแนบแน่น และซิ่นปิงวิ่งประกบอยู่ข้างๆ แม่เฒ่าและลุงสุ่ยเห็นชิงอิ๋งถูกอุ้มออกมาอย่างปลอดภัยก็มีอาการดีใจเป็นอย่างมาก เรารีบวิ่งเข้าไปดูอาการชิงอิ๋ง ทันใดนั้นฉันนึกขึ้นมาได้ว่าหยางเค่อยังคงถูกขังอยู่ในคุก ฉันหันหน้าไปมองคุกที่หยางเค่อถูกขังอยู่เห็นไฟกำลังไหม้ลามไปถึงคุก ฉันจึงหันหลังกลับทันทีแล้วรีบวิ่งตรงไปยังคุกที่ขังหยางเค่อ ฉิงซวงเห็นฉันวิ่งไปทางคุกนางจึงร้องเรียกฉัน แต่ฉันไม่ตอบ ฉิงซวงจึงวิ่งตามหลังฉันมาด้วยกันกับจินไห่ ฉันรีบวิ่งมาถึงคุกเห็นไฟกำลังลุกไหม้คุกบางส่วนใกล้ถึงส่วนบริเวณที่ขังหยางเค่อ ฉันรีบวิ่งฝ่าควันไฟเข้าไปในคุกโดยมีฉิงซวงและจินไห่วิ่งตามเข้ามาด้วย ฉันเห็นหยางเค่อนั่งคุดคู้อยู่ในห้องขัง เอามือปิดจมูกเพราะสำลักควันไฟ หยางเค่อเห็นฉันจึงเรียกแล้วบอกให้ฉันช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้เขาออกไปที แต่กุญแจอยู่กับผู้คุม และผู้คุมก็ไม่อยู่คงออกไปช่วยชาวบ้านดับไฟ ฉันจึงไปหยิบแท่งเหล็กมางัดกุญแจแต่ก็งัดไม่ออก ฉิงซวงกับจินไห่เห็นฉันพยายามช่วยหยางเค่อเปิดประตูจึงรีบเข้ามาห้าม


         ฉิงซวง  : มี่จื่อเจ้าช่วยหยางเค่อออกมาไม่ได้นะ เขาเป็นคนร้าย
             มี่จื่อ  : ถึงเขาจะเป็นคนร้าย แต่เขาก็ยังไม่สมควรตายในตอนนี้ จะปล่อยให้เขาถูกไฟคลอกตายงั้นเหรอ ข้าทนดูไม่ได้หรอก เจ้าจะทนดูคนทั้งคนถูกไฟครอกตายต่อหน้าต่อตาได้เหรอฉิงซวง?!
        ฉิงซวง  : ฮึ่ย! บ้าจริง! งั้นข้าจะออกไปเอากุญแจที่ผู้คุมมาไขประตู เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ! (ฉิงซวงรีบวิ่งออกไป)
          จินไห่  : หยางเค่อ! เจ้าก็มีวิชายุทธทำไมไม่พังประตูออกมา
     หยางเค่อ  : ข้าไม่มีเรี่ยวแรง เหมือนห้องขังนี่จะดูดเรี่ยวแรงของข้าไป
           จินไห่  : ข้าจะลองพังประตู มี่จื่อถอยออกไปก่อน
             มี่จื่อ  : หยางเค่อ! ถ้าเจ้าออกมาได้แล้วคิดหลบหนีล่ะก็! ข้าจะตัดขาดเลิกเป็นเพื่อนกับเจ้าเลยคอยดู!
     หยางเค่อ  : เจ้าตัดขาดกับข้าไม่ได้ง่ายๆหรอกน่า
             มี่จื่อ  : เชอะ!!

          จินไห่พยายามใช้พลังยุทธทำลายประตูแต่ก็ไม่สามารถทำลายได้ จินไห่บอกว่าแม่เฒ่าคงใช้มนต์กักขังขั้นปรมาจารย์ขังหยางเค่อไว้แน่ๆ คงต้องรอกุญแจไขประตูจากฉิงซวง หรือไม่ก็ต้องให้แม่เฒ่ามาคลายมนต์กักขังออกให้ แต่แม่เฒ่าอาจจะไม่ยอมทำให้ ฉันจึงลองตั้งสมาธิแล้วเพ่งมองหาอักขระปลดมนต์ที่ประตูแต่กลับมองไม่เห็นเพราะไม่มีช่องโหว่ให้สังเกตเห็นได้เลย ฉันจึงตั้งสติอีกครั้งแล้วเพ่งมองหาอักขระปลดมนต์ที่ประตูแต่ก็มองไม่เห็นอักขระปลดมนต์เหมือนเดิม

          จินไห่  : เร็วหน่อยมี่จื่อ ไฟลามมาใกล้แล้ว!!

          ฉันจึงตัดสินใจปล่อยพลังหมื่นบุปผาพุ่งออกไปจากคุกด้วยความเร็วแล้วพุ่งไปตามทางที่ฉิงซวงเพิ่งวิ่งผ่านไป ความรู้สึกของฉันเหมือนฉันเป็นผึ้งที่มีสายตามองเห็นได้ในระยะไกลและมองเห็นสิ่งต่างๆได้รอบตัวเหมือนกับผึ้งที่กำลังบินปะปนไปกับดอกท้อ และชาวบ้านที่เห็นพายุดอกท้อต่างหยุดยืนมองพายุดอกท้อด้วยความตื่นเต้นแล้วชี้ชวนกันดูแล้วเรียกพายุดอกท้อว่า หยางเถา! ฉันเห็นฉิงซวงกำลังวิ่งถามชาวบ้านว่าผู้คุมอยู่ที่ไหน ฉันและพายุดอกท้อจึงพุ่งเข้าไปหมุนรอบตัวฉิงซวง และพัดให้ฉิงซวงเดินเซตามแรงพายุดอกท้อ ฉิงซวงจึงเอ่ยถามกับพายุดอกท้อว่า "จะให้ข้าตามเจ้าไปเหรอ?" แล้วฉิงซวงก็ตัดสินใจวิ่งตามพายุดอกท้อไปทันทีจนเกือบจะถึงท้ายหมู่บ้านก็พบผู้คุมกำลังช่วยชาวบ้านขนย้ายข้าวของหนีไฟที่กำลังลุกไหม้บ้าน ฉิงซวงจึงรีบวิ่งไปหาผู้คุมเพื่อขอกุญแจ ชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้น และผู้คุมต่างหันมามองพายุดอกท้อด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ ผู้คุมพูดพึมพำกับตัวเองว่า หยางเถา! แล้วรีบหยิบกุญแจที่ผูกห้อยไว้กับเอวส่งให้ฉิงซวง จากนั้นฉิงซวงก็รีบวิ่งตามพายุดอกท้อกลับมาที่คุก แล้วส่งกุญแจให้จินไห่ไขประตูห้องขังให้หยางเค่อออกจากห้องขังมาได้ ฉันกับฉิงซวงรีบเข้าพยุงหยางเค่อแล้วประคองหยางเค่อวิ่งออกจากคุก

          ทันไดนั้นก็พบเหยียนเหล่ยที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมาที่นี่และดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บถูกไฟลวกที่แขนเพราะแขนเสื้อมีรอยไหม้ไฟ คงเกิดจากตอนที่เขาฝ่าเพลิงเข้าไปช่วยชิงอิ๋งในบ้าน เหยียนเหล่ยเข้ามาดึงฉันไม่ให้ประคองหยางเค่อ จินไห่จึงเข้ามาประคองหยางเค่อแทนฉัน เหยียนเหล่ยจึงพูดขึ้นว่า

เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ ข้าเห็นเจ้าหายไป เจ้ามาอยู่ที่นี่จริงๆด้วย! ได้รับบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?!
            มี่จื่อ  : ข้าไม่เป็นอะไร แขนท่านเจ็บมากหรือเปล่า?
เหยียนเหล่ย  : ข้าถูกไฟลวกเจ็บแค่นี้ไกลหัวใจยังไม่ตายง่ายๆหรอก (เขาพูดแล้วมองจ้องหน้าฉัน) เจ้าต้องถูกทำโทษที่ไม่อยู่คอยทำแผลให้ข้า
     หยางเค่อ  : ฮ่าฮ่า! อิจฉาข้าล่ะสิที่มี่จื่อเลือกมาช่วยข้า แต่ไม่อยู่ทำแผลให้เจ้า!
เหยียนเหล่ย  : เจ้าหยางเค่อ!! ฮึ่ม!! (เหยียนเหล่ยขยับตัวจะทำร้ายหยางเค่อ แต่ติดที่ฉันห้ามและขวางเขาไว้ ฉิงซวงจึงหันไปตวาดหยางเค่อแทนเหยียนเหล่ย)
         ฉิงซวง  : หุบปากไปเลย! เพราะเจ้ากับพวกของเจ้านั่นแหละลอบวางเพลิง น่าจะปล่อยให้ถูกไฟคลอกตายไม่น่าช่วยออกมาเลย!
    หยางเค่อ  : นี่! ไฟไหม้หมู่บ้านไม่ได้อยู่ในแผนการของข้า ข้าแค่เข้ามาหาแผนที่เพื่อไปหุบเขาจันทร์ดับเท่านั้น และข้าก็ไม่รู้ว่าใครลอบวางเพลิง
        ฉิงซวง  : ใครจะไปเชื่อคำพูดของเจ้า!!!
          จินไห่  : เอาน่า! เราไปทำแผลทางโน้นกันก่อนเถอะ ส่วนเรื่องนี้ปล่อยให้ลุงสุ่ยกับแม่เฒ่าจัดการ

          จินไห่บอกให้เราไปรวมตัวกันกับคนอื่น ทันไดนั้นเหยียนเหล่ยก็ยกแขนขึ้นเอาแขนบังหน้าฉันรับมีดสั้นไม่ให้มีดสั้นปักถูกหน้าฉัน จากนั้นเหยียนเหล่ยก็ล้มลงกับพื้นเพราะเจ็บแผลที่ถูกมีดปักที่แขน เหยียนเหล่ยบอกว่ามีดอาบยาพิษ ฉิงซวงจึงรีบผละจากหยางเค่อแล้วเข้าไปประคองเหยียนเหล่ย ทันใดนั้นก็มีมีดสั้นอีกหลายเล่มพุ่งใส่เรา แต่จินไห่ใช้พลังยุทธปัดมีดสั้นเหล่านั้นให้กระเด็นไปทางอื่น แล้วโจมตีกลับจนอีกฝ่ายเปิดเผยตัวออกมาจากมุมมืด เขาคือเจิ้งไฉและชงอวี้ จินไห่รับมือต่อสู้กับเจิ้งไฉและชงอวี้แบบ 2 รุม 1

          ชงอวี้พยายามแยกจินไห่ออกไปห่างเราจนสำเร็จเพื่อให้เจิ้งไฉมาฆ่าฉันและเหยียนเหล่ยที่กำลังบาดเจ็บเพราะถูกพิษจากมีดสั้น เจิ้งไฉปามีดสั้นอาบยาพิษใส่เราอีกหลายเล่มแต่ฉันใช้ลมพายุดอกท้อพัดมีดสั้นพวกนั้นกระเด็นหายไป หยางเค่อพยายามตะโกนห้ามเจิ้งไฉไม่ให้ทำร้ายฉัน แต่เจิ้งไฉไม่ฟังเสียงทัดทาน แล้วตอบกลับว่าเขาจะฆ่าหยางเค่อด้วยเพราะหยางเค่อหมดประโยชน์ต่อพวกเขาแล้ว เจิ้งไฉปล่อยพลังหมัดกระแทกใส่ฉันทันที แต่ฉันกระโดดหลบไม่ได้เพราะพลังหมัดจะพุ่งถูกเหยียนเหล่ยกับฉิงซวง ฉันจึงปล่อยลมพายุดอกท้อพุ่งออกไปปะทะกับพลังหมัดนั้น แต่ฉันต้านพลังหมัดของเจิ้งไฉไม่ไหวจนตัวฉันหงายหลังล้มไถลไปกับพื้น แล้วเจิ้งไฉก็ปล่อยพลังอีกหมัดพุ่งเข้าใส่เหยียนเหล่ยกับฉิงซวงทันทีอย่างจังจนเหยียนเหล่ยกระอักเลือดส่วนฉิงซวงกระเด็นหงายหลังจุกท้อง ฉันร้องตกใจเรียกชื่อเหยียนเหล่ยกับฉิงซวงอย่างเสียขวัญแล้วรีบลุกขึ้นไปหาคนทั้งสองที่ล้มเจ็บนอนอยู่กับพื้นลุกขึ้นไม่ไหว เจิ้งไฉไม่ยอมเปิดโอกาสให้เราได้ตั้งหลัก เขาถอดสร้อยประคำที่เขามักห้อยคอไว้เสมอออกมา จนหยางเค่อถึงกับตกใจร้องห้ามว่า "เจิ้งไฉอย่า!!!" เจิ้งไฉไม่รอช้าให้เสียโอกาสที่กำลังได้เปรียบ เขาส่งพลังที่ฉันสัมผัสได้ว่าเป็นพลังที่ร้ายกาจและแข็งแกร่งมากแฝงลงในสร้อยประคำแล้วเหวี่ยงสร้อยประคำเส้นนั้นใส่ฉัน แต่ทันใดนั้นหยางเค่อก็พุ่งเอาตัวบังสร้อยประคำแทนฉัน หยางเค่อถูกสร้อยประคำกระแทกที่ลำตัวจนเขากระอักเลือดพุ่งออกมาเป็นลิ่มๆเหมือนเขาถูกกระแทกด้วยก้อนหินยักษ์ขนาดมหึมา ทำให้ฉันยิ่งตื่นตกใจอีกเท่าทวีคูณ ฉันร้องไห้ปล่อยโฮน้ำตาไหลเรียกหยางเค่อที่มีอาการกระอักไอเป็นเลือดคล้ายใกล้จะหมดสติ ฉันได้ยินเสียงฉิงซวงที่ยังพอมีแรงร้องบอกให้ฉันหนีไป

          แต่ตอนนี้ความรู้สึกของฉันที่เคยหวาดกลัวเจิ้งไฉกลับกลายเป็นความแค้น ที่เห็นเหยียนเหล่ย ฉิงซวง และหยางเค่อถูกเจิ้งไฉทำร้ายบาดเจ็บเจียนตายเพราะพยายามปกป้องฉัน ฉันโกรธและเกลียดเจิ้งไฉจนเลือดขึ้นหน้าร้อนวูบวาบ ฉันลุกขึ้นยืนและก้าวเท้าออกมายืนด้านหน้า ตัดสินใจในทันทีว่าจะขอแลกชีวิตเพื่อปกป้องคนทั้งสาม จึงพูดท้าดวลกับเจิ้งไฉว่า

            มี่จื่อ  : วันนี้ถ้าไม่เป็นเจ้าก็เป็นข้าที่ต้องตายกันไปข้างนึง! เจ้าบังอาจทำร้ายสามีและเพื่อนรักของข้า
          เจิ้งไฉ  : คนที่จะต้องตายก็คือเจ้า ไม่ใช่ข้า! พลังหมื่นบุปผาที่เลื่องลือกันว่าร้ายกาจยิ่งนัก ข้าไม่เห็นจะมีพิษสงอะไรเลย ที่แท้ก็เป็นแค่ลมพายุพัด หอมๆเย็นๆเท่านั้น

          ฉันมองเห็นท่านอ๋องหก หลี่จวิน และคนอื่นๆกำลังวิ่งตรงมาช่วยฉันแต่ไม่ทันเสียแล้ว ฉันท้าดวลแลกชีวิตกับเจิ้งไฉไปแล้ว และไม่คิดที่จะยกเลิกคำท้าดวลแต่อย่างใด เพราะตอนนี้ในอกฉันมันร้อนแน่นไปด้วยความโกรธแค้นจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้อีกแล้ว เจิ้งไฉทำท่าจะเหวี่ยงลูกประคำใส่ฉัน ซึ่งฉันเองก็เรียกลมพายุหมุนที่ลูกใหญ่และมีกำลังแรงกว่าเดิมพุ่งเข้าปะทะกับสร้อยประคำของเจิ้งไฉ แต่ครั้งนี้ฉันสามารถต้านแรงปะทะไว้ได้และออกแรงดันกลับจนเจิ้งไฉถึงกับก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเขาก็ออกแรงกระแทกพลังกลับมา จนเราทั้งสองคนถึงกับเซถอยหลังจนเกือบจะล้มหงายหลังด้วยกันทั้งคู่ เจิ้งไฉตั้งหลักได้จึงเพิ่มพลังในสร้อยประคำและจะเหวี่ยงมาโจมตีอีก แต่ทันใดนั้นฝูงผึ้ง ต่อ แตน ที่ฉันใช้พลังหมื่นบุปผาธรรมชาติเรียกออกมาจากป่า บินเข้ารุมต่อยเจิ้งไฉที่พยายามยกมือขึ้นปัดป้องไล่ผึ้ง ต่อ แตน ที่มารุมต่อยเขาจนสร้อยประคำร่วงหลุดมือตกลงพื้น พร้อมกับท่านอ๋องหก หลี่จวิน และคนอื่นๆที่วิ่งมาถึง คนที่มีวิชายุทธก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ ส่วนคนที่ไม่รู้วิชายุทธก็รีบเข้ามาช่วยกันปฐมพยาบาลคนบาดเจ็บ ชาวบ้านจะพาเหยียนเหล่ยไปที่เรือนพยาบาล แต่เหยียนเหล่ยไม่ยอมไป เขาบอกว่าจะอยู่กับฉัน จะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ฉิงซวงก็บอกว่าจะไม่ไปเช่นกัน ชาวบ้านจึงแบกหยางเค่อที่อาการหนักมากไปเรือนหมอเพียงคนเดียว แล้วบอกว่าจะไปเอายามารักษาแผลมาทำแผลให้เหยียนเหล่ยกับฉิงซวงให้ที่นี่

          และในขณะเดียวกันนั้น ขณะที่เจิ้งไฉปัดป้องไม่ให้ผึ้ง ต่อ แตนต่อยเขาเป็นพัลวัลอยู่นั้น ฉันเรียกดอกท้อลมพายุหมุนดุจเกลียวเชือก พุ่งเข้ามัดแขนสองข้าง ขาสองข้างของเจิ้งไฉในลักษณะกางแขนกางขาตรึงเจิ้งไฉไว้กลางอากาศทันที แล้วพูดว่า "หมื่นบุปผาร่ายรำ!" ฉันปล่อยพลังหมื่นบุปผาที่แฝงไปด้วยความโกรธแค้นออกมา ดอกท้อเล็กๆหนึ่งหมื่นดอกที่กลีบดอกเปลี่ยนเป็นคมมีดคมกริบพุ่งเข้าเชือดเฉือนทั่วทั้งตัวเจิ้งไฉจนมีบาดแผลเลือดไหลสีแดงสดเต็มตัว เจิ้งไฉร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกฉันตัดเส้นเอ็น และเส้นประสาทสำคัญที่แขนและขาของเขาทั้งหมดจนขาด ท่านอ๋องหก และทุกคนต่างยืนมองดูด้วยอาการตกตะลึง

          จากนั้นฉันบังคับมีดสั้นอาบยาพิษของเจิ้งไฉที่ตกอยู่ตามพื้นหลายเล่มให้พุ่งเข้าเสียบร่างเจิ้งไฉจนเขาร้องเสียงดังลั่นอีกครั้ง และตามด้วยเสียงของชงอวี้ที่ตะโกนร้องเรียกชื่อเจิ้งไฉด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดเมื่อเห็นเจิ้งไฉกำลังถูกทำร้าย แต่ฉันไม่สนใจเสียงร้องตะโกนนั้นแล้วพูดขึ้นว่า "หมื่นบุปผาจงฉีกกระชาก!" ทันใดนั้นชงอวี้ที่สามารถผละจากจินไห่มาได้รีบปล่อยพลัง "ฝ่ามือยูไลร้อยหัตต์" พุ่งใส่ฉันทันที แต่ท่านอ๋องหกพุ่งตัวเข้าผลักฉันล้มลงเพื่อหลบพลังฝ่ามือนั้นได้ทันท่วงที แต่ก็ทำให้เชือกดอกท้อที่มัดตรึงเจิ้งไฉคลายออกในทันทีเช่นกัน เจิ้งไฉจึงร่วงตกลงสู่พื้นทำให้ชงอวี้สามารถพาตัวเจิ้งไฉแบกหนีหายไปได้ทันในราวป่า ฉันที่กำลังอยู่ในอารมณ์คลุ้มคลั่งรีบลุกขึ้นจะวิ่งตามชงอวี้ที่แบกเจิ้งไฉหนีหายไป แต่ท่านอ๋องหกกับลี่ถังที่เข้ามาช่วยกันจับตัวฉันไว้ไม่ให้วิ่งตามไป แต่ท่านอ๋องสั่งให้องครักษ์วิ่งตามออกไปแทน ลี่ถังจึงพูดกับฉันว่าให้สงบสติอารมณ์

             ลี่ถัง  : มี่จื่อๆ! ใจเย็นก่อนแล้วมองหน้าข้า พวกมันหนีไปแล้ว ท่านอ๋องหกส่งคนออกไปตามหาชงอวี้กับเจิ้งไฉแล้ว ตอนนี้เราต้องดูแลคนเจ็บก่อน เจ้าดูสิ! เหยียนเหล่ยบาดเจ็บหนักกำลังรอให้เจ้าไปดูแล
            มี่จื่อ  : ชะ ใช่!! เหยียนเหล่ย! ฉิงซวง! หยางเค่อ! เป็นอย่างไรบ้าง? (พอฉันได้สติจึงรีบหันไปดูเหยียนเหล่ยกับฉิงซวงที่พวกชาวบ้านกำลังช่วยกันปฐมพยาบาล ฉันร้องไห้ปล่อยโฮเหมือนเด็กที่เห็นคนทั้งสองเจ็บหนัก)
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ...ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า? (เหยียนเหล่ยเอื้อมมืออันสั่นเทาเพราะถูกพิษ เอื้อมมาลูบแก้มเช็ดน้ำตาให้ฉันเบาๆ)
             มี่จื่อ  : ไม่! ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ (ฉันจับมือเหยียนเหล่ยหอมแล้วจับมือเขามาแนบแก้มแล้วหันไปถามฉิงซวง) ฉิงซวงเจ้าอย่าเป็นอะไรนะ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ
        ฉิงซวง  : ข้าแค่จุกในท้อง เพราะอาจารย์เหยียนเหล่ยเอาตัวรับพลังหมัดของชงอวี้แทนข้า
          ลุงสุ่ย  : คุณชายเหยียนเหล่ยได้รับพิษและช้ำใน รีบพาไปรักษาที่เรือนหมอเถอะ ส่วนแม่นางฉิงซวงบอบช้ำภายในรักษาไม่กี่วันก็หาย แต่ผู้ชายอีกคนนี่สิอาการหนักเอาการอยู่
             มี่จื่อ  : ท่านลุงสุ่ย ได้โปรดช่วยหยางเค่อด้วย เขาไม่รู้เห็นกับการวางเพลิงหมู่บ้าน เขาถูกชงอวี้หลอกใช้ หยางเค่อบาดเจ็บหนักเพราะช่วยข้า
          ลุงสุ่ย  : เฮ่อ! หากเขาผ่านคืนนี้ไปได้ก็แสดงว่าเขารอด ข้าบอกได้แค่นี้แหละ เรารีบไปกันเถอะ
          จินไห่  : แล้วแม่เฒ่าล่ะ แม่เฒ่าอยู่ที่ไหน?
          ลุงสุ่ย  : แม่เฒ่าปลอดภัยดี กำลังรออยู่ที่เรือนท้อสวรรค์ แม่เฒ่าแม้จะไม่อยู่ตรงนี้แต่ก็รู้เห็นทุกอย่าง

小谪风月-恋恋故人难/叶炫清可来世太远太晚太冷为何不能是
Xiao Zhan Fengyue - มันยากที่จะรักเพื่อนเก่า / Ye Xuanqing อาจไกลเกินไปสายเกินไปและเย็นชาเกินไป
Youtube by : User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 62
(คำสัญญาแลกกับชีวิต)

           เหยียนเหล่ยกับฉิงซวงถูกพาตัวแยกออกไปที่เรือนหมอแล้วเพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนลุงสุ่ยและชาวบ้านเดินนำทางเราไป ระหว่างทางนั้นเพื่อนๆของฉันต่างถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงและตื่นเต้นที่ได้เห็นวิชาหมื่นบุปผาในตำนานปรากฏขึ้นอีกครั้ง จิ่นเกอจึงพูดขึ้นว่า

         จิ่นเกอ  : วิชาหมื่นบุปผาร้ายกาจจริงๆ ทำเอาเจิ้งไฉหมดสภาพไปเลย เขาจะตายหรือเปล่า?
        อ๋องหก  : จากที่ข้าเห็นเจิ้งไฉถูกมีดสั้นอาบยาพิษของตัวเองแทงไปหลายเล่ม หากเขาทนพิษไหวและถอนพิษได้ทันก็อาจจะรอด แต่เมื่อหายแล้วเขาจะกลายเป็นคนพิการเพราะถูกตัดเส้นเอ็นและเส้นประสาทสำคัญที่แขนและขา เจิ้งไฉจะไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิมอีกแล้ว
        หลี่จวิน  : ถ้าเป็นข้าขอยอมตายดีกว่าต้องเป็นคนพิการ เราชาวยุทธ การมีพลังและวิชายุทธสูงมันคือความภาคภูมิใจ เมื่อใช้พลังยุทธไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวน้อยๆตัวหนึ่ง มี่จื่อเจ้านี่มันใจร้ายนัก ตัดอนาคตของเจิ้งไฉชัดๆ ถึงมีชีวิตรอดไปได้แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ ที่เจ้าพูดว่า "หมื่นบุปผาจงฉีกกระชาก" ตอนนั้นเจ้าคิดจะทำอะไรกับเจิ้งไฉ?
             มี่จื่อ  : ตอนนั้นข้าโมโหมาก จนควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้ และคิดจะฉีกเนื้อเจิ้งไฉออกเป็นหมื่นๆชิ้น แต่ตอนนี้ข้าอารมณ์เย็นลงแล้ว ข้าเพิ่งรู้ว่าข้าทำเรื่องโหดเหี้ยมเกินไป มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบของข้า เมื่อก่อนข้าควบคุมพลังหมื่นบุปผาไม่เป็น แต่จู่ๆพลังหมื่นบุปผาก็แข็งแกร่งขึ้นเองและสามารถควบคุมได้ตามใจ
          ลุงสุ่ย  : พลังหมื่นบุปผาเกิดขึ้นจากอารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้พลังนั้น พลังหมื่นบุปผาแข็งแกร่งขึ้นได้เพราะเจ้าเกิดความรู้สึกโกรธที่รุนแรง และความรักที่เจ้าต้องการปกป้องคนของเจ้า พลังหมื่นบุปผาจะแสดงพลังไปตามบุคลิกของผู้ใช้ จึงไม่เคยมีการบันทึกท่วงท่าฝึกวิชาลงในตำรา และการที่มี่จื่อสามารถยืมพลังธรรมชาติมาใช้ คงเป็นเพราะเจ้าศึกษาวิชาธรรมชาติของสำนักเฟยอวี่ จนสามารถควบคุมผึ้ง ต่อ แตน อีกทั้งยังควบคุมอาวุธของศัตรูให้ย้อนกลับไปทำร้ายศัตรูเสียเองแบบนี้เค้าเรียกว่า ยืมดาบฆ่าคน นับว่าเจ้าเริ่มใช้พลังหมื่นบุปผาได้เกือบจะสมบูรณ์แล้ว
        หลี่จวิน  : นี่ยังไม่สมบูรณ์อีกรึ?! แล้วต้องเป็นพลังแบบใดจึงจะสมบูรณ์?
          ลุงสุ่ย  : ต้องสามารถฟื้นฟูพืชพันธุ์ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ผลิดอกออกผลได้ดั่งใจ
        หลี่จวิน  : แล้วฟางเหนียนฮูหยินผู้เป็นเจ้าของพลังหมื่นบุปผาคนก่อน มีบุคลิกเป็นอย่างไร?
          ลุงสุ่ย  : ฟางเหนียน เป็นคนจิตใจดี เรียบร้อย อ่อนโยน นางสามาถควบคุมดอกไม้ ผลไม้ และผีเสื้อ
        หลี่จวิน  : ช่างดูเป็นหญิงที่อ่อนหวานยิ่งนัก ผิดกับมี่จื่อ เด็กเปรตแห่งหอกุ้ยฮวาลิบลับ แข็งกระด้างเป็นม้าดีดกะโหลก
            มี่จื่อ  : ขอบคุณท่านหลี่จวินที่กล่าวชื่นชมข้า

          เราเดินกันมาใกล้ถึงบ้านลุงสุ่ยที่ถูกไฟไหม้เสียหายไปครึ่งหลังเพราะดับไฟทัน พร้อมด้วยชาวบ้านบางส่วนที่บ้านถูกไฟไหม้เสียหายต่างมารวมตัวกันที่นี่ เราช่วยกันสำรวจว่ามีข้าวของอะไรที่ยังไม่ถูกไฟใหม้ ช่วยกันแยกของเหล่านั้นออกมาวางกองรวมกันห่างจากซากกองไฟที่ยังกรุ่นอยู่ จากนั้นลุงสุ่ยบอกกับชาวบ้านว่า คนที่บ้านถูกไฟไหม้หากมีญาติพี่น้องที่บ้านไม่โดนไฟไหม้ สามารถไปพักอาศัยกับญาติพี่น้องของตน หรือใครที่ไม่มีญาติพี่น้องก็สามารถมาพักอาศัยที่เรือนท้อสวรรค์ของแม่เฒ่าชั่วคราว พรุ่งนี้ค่อยประชุมหมู่บ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

          ลุงสุ่ยเดินนำทางเราเข้าไปด้านหลังของตัวบ้าน เดินผ่านสวนหลังบ้านที่มีบรรยากาศวังเวงเงียบเชียบไม่น่าเป็นสวนที่น่านั่งเล่นเลยสักนิด เราเดินข้ามสะพานไม้เล็กๆข้ามลำธารที่ไหลผ่านสวนหลังบ้าน ทันไดนั้นสถานที่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปเหมือนเดินผ่านเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้บานสะพรั่งสวยงาม สงบ ร่มรื่น มีเสียงนกร้อง น่าอยู่ยิ่งนัก ลุงสุ่ยพาเราเดินเข้าไปในบ้านไม้หลังใหญ่ ส่วนเหยียนเหล่ยกับฉิงซวง ถูกแยกตัวไปรักษาที่เรือนหมอ เป็นเรือนที่สร้างขึ้นแยกจากตัวบ้านและตั้งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เราเดินเข้าไปในตัวบ้านมีความร่มรื่นสวยงามไม่ต่างจากด้านนอก เพราะตกแต่งบ้านด้วยต้นไม้ที่ยื่นกิ่งก้านเข้ามาภายในบ้าน จนมีนกเข้ามาทำรัง และมีกระรอกวิ่งไต่ไปมาตามกิ่งไม้ภายในบ้าน และมีกระต่ายสีขาวน่ารักอีก 2 ตัวกำลังเดินอยู่แถวเก้าอี้รับแขก เลี่ยงซูกับเฝิ่นลู่ดึงมือฉันให้ไปดูกระต่ายด้วยกันซึ่งมีหลวนเฉิน ช่างอิ่นกับจิ่นเกอเดินตามมาดูด้วย เลี่ยงซูและเฝิ่นลู่จับกระต่ายขึ้นมาอุ้มคนละตัวน่ารักน่าชังยิ่งนัก ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปลูบตัวกระต่ายที่เฝิ่นลู่กำลังอุ้ม แต่กระต่ายกลับดิ้นหนีไม่ยอมให้ฉันลูบตัว ฉันจึงบ่นเล่นๆว่า "เดี๋ยวปั๊ดจับย่างกินซะเลย!" แล้วจะเอื้อมมือไปลูบกระต่ายอีกตัวหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงดุของแม่เฒ่าที่กำลังเดินเข้ามากับชิงอิ๋ง

        แม่เฒ่า  : อย่าแตะต้องสัตว์เลี้ยงของข้า! ตัวเจ้ามีกลิ่นเลือด เจ้าทำให้มันกลัว ธิดาหยางเถาคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยมนัก เจ้านำหายนะมาสู่หมู่บ้านของข้า ดูสิ! หมู่บ้านที่เคยสงบสุขของข้าถูกเผาวอดวายเพราะเจ้า!
            ลี่ถัง  : แม่เฒ่าอย่ากล่าวโทษมี่จื่ออีกเลย คนที่วางเพลิงหมู่บ้านคือชงอวี้กับเจิ้งไฉ
        แม่เฒ่า  : เพราะนางอวดฉลาดพาพวกเจ้ามาที่นี่ แต่จริงแล้วคือความโง่เขลาไม่ทันคนจนถูกหลอกใช้ ข้าไม่เคยเห็นหยางเถาคนไหนโง่เขลาเท่ากับนางมาก่อน หึ!
        อ๋องหก  : ท่านแม่เฒ่า ข้าขออภัยแทนทุกคนที่เข้ามาที่ดินแดนต้องห้ามนี้ แต่พวกเรามิได้มีเจตนาคิดร้ายกับหมู่บ้านหรือคนในหมู่บ้านเลย อีกทั้งยังคิดไม่ถึงว่าชงอวี้กับเจิ้งไฉจะกระทำเรื่องเลวร้ายวางเพลิงหมู่บ้าน มาถึงตอนนี้ข้าอยากให้เรามาช่วยกันคิดจะดีกว่าว่าจะกระทำการอย่างไรต่อไป
          ลุงสุ่ย  : พรุ่งนี้เราจะช่วยกันซ่อมแซมบ้านที่สามารถซ่อมแซมได้ ส่วนหลังไหนที่เสียหายหนักก็จะทำการสร้างขึ้นใหม่ จะว่าไปพวกเราก็เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้ก่อนอยู่แล้วตั้งแต่รู้คำทำนายว่าจะเกิดหายนะกับหมู่บ้าน แต่พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆก็ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้สักที เฮ่อ! อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานระบำธิดาเหม่ยเตี๋ย ข้าก็หวังว่าจะช่วยเรียกขวัญชาวบ้านไม่ให้สิ้นหวังท้อแท้ เห็นทีคงต้องเลื่อนออกไปก่อน
        หลี่จวิน  : เอ่อ! ข้าขอไปดูอาการเหยียนเหล่ย เพื่อนของข้าหน่อยได้มั้ย อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง?
        แม่เฒ่า  : เขาไม่ตายหรอก ข้าถอนพิษให้แล้ว ที่เหลือก็แค่รักษาบาดแผลที่แขน กับรักษาอาการช้ำใน
         จิ่นเกอ  : ท่านแม่เฒ่า! แล้วฉิงซวงล่ะ?! นางเป็นอย่างไรบ้าง?
        แม่เฒ่า  : นางปลอดภัยแล้วให้ดื่มยาแก้ช้ำในไม่กี่วันก็หาย
            มี่จื่อ  : เอ่อ... หยางเค่อ จะรอดมั้ย?! แม่เฒ่าได้โปรดช่วยเขาด้วย!
        แม่เฒ่า  : ทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผลอีกครั้งสิ! แล้วข้าจะช่วยให้เขารอด
            มี่จื่อ  : ตกลง! ข้าจะทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผลอีกครั้ง!
        แม่เฒ่า  : หากเจ้าทำไม่สำเร็จ หรือผิดคำพูด! ข้าจะเอาชีวิตเขากลับคืน

          แม่เฒ่าเดินหันหลังกลับออกไปโดยมีชิงอิ๋งเดินตามไปด้วย พร้อมกับเสียงของแม่เฒ่าที่บ่นชิงอิ๋งว่า "ดึกแล้วทำไมยังไม่กลับไปนอน เขาปลอดภัยแล้ว เด็กโง่...ห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า..." ลุงสุ่ยจึงหันมาบอกเราว่า จะพาพวกเราไปเยี่ยมเหยียนเหล่ยกับฉิงซวง แต่หยางเค่อยังให้เยี่ยมไม่ได้เพราะหมอกำลังรักษาอยู่ เราเดินไปที่เรือนหมอก็พบชิงอิ๋งที่ยังไม่กลับไปนอน และกำลังยืนด้อมๆมองๆอยู่ที่ด้านหน้าประตู

          ลุงสุ่ย  : ชิงอิ๋ง! มายืนทำอะไรตรงนี้?
          ชิงอิ๋ง  : ท่านพ่อ! ข้าเป็นห่วงเอ่อ.....
          ลุงสุ่ย  : เขาปลอดภัย เจ้ากลับไปนอนได้แล้ว
            ลี่ถัง  : ลุงสุ่ย อนุญาตให้ชิงอิ๋งเข้าไปเยี่ยมเถอะนางจะได้คลายกังวล ชิงอิ๋ง! เข้าไปเยี่ยมด้วยกันสิ (ลี่ถังเอามือตบหลังฉันเบาๆส่งสัญญานว่าไม่มีอะไรอย่ากังวลเรื่องชิงอิ๋ง)
           ชิงอิ๋ง  : อื้ม!

          เราเข้าไปในห้องที่มีขนาดกว้างขวาง มีฟูกนอนวางเรียงห่างกันอยู่บนพื้นยกสูง 6 ฟูก วางเรียงสองฝั่ง ฝั่งละ 3 ฟูก โดยให้เหยียนเหล่ยกับฉิงซวงนอนแยกกันนอนคนละฝั่ง เราแยกกันเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มผู้ใหญ่และฉันไปเยี่ยมเหยียนเหล่ยก่อน ส่วนกลุ่มเด็กๆแยกไปเยี่ยมฉิงซวง แต่เหยียนเหล่ยกำลังหลับเราไม่อยากปลุกจึงปล่อยให้เขานอนต่อ เราจึงเดินไปเยี่ยมสอบถามอาการฉิงซวงที่เตียงฝั่งตรงข้าม แต่ชิงอิ๋งยังคงยืนมองจ้องเหยียนเหล่ยอยู่อย่างนั้นด้วยความกังวลและแววตาดูห่วงใยเกินธรรมดา แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงอาการหึงหวงอะไรออกมา เพราะฉันเชื่อใจเหยียนเหล่ยว่าจะไม่หลงเสน่ห์ชิงอิ๋งตามที่เขาเคยบอกฉัน เมื่อถามไถ่อาการกันเสร็จและแน่ใจว่าคนทั้งสองปลอดภัย จินไห่ที่มีความรู้ทางการแพทย์อาสาอยู่เฝ้าไข้ ฉันกับเฝิ่นลู่ก็อาสาอยู่ด้วย ทั้งหมดจึงกลับไปพักผ่อนแล้วจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในตอนเช้า ชิงอิ๋งเดินเข้ามาพูดคุยกับฉันก่อนกลับว่า

           ชิงอิ๋ง  : ข้าเห็นเจ้าดูสนิทสนมกับอาจารย์เหยียนเหล่ย เขาดูห่วงใยเจ้ามาก พอเขาช่วยข้าออกมากองเพลิงเขาก็มองหาแต่เจ้า แต่ไม่เห็นเจ้าอยู่ในบริเวณนั้น เขาร้อนใจวิ่งตามหาเจ้าไปทั่วจนเจอเจ้าอยู่ที่คุก เจ้าคงเป็นคนสำคัญมากสำหรับเขา
            มี่จื่อ  : ข้าเป็นคนสำคัญมากสำหรับเขาหรือไม่นั้นเจ้าต้องถามเขาเอง แต่สำหรับข้าเขาคือคนที่สำคัญที่สุด
           ชิงอิ๋ง  : ข้าเข้าใจแล้วล่ะ.....แต่ถ้าข้าจะปรุงอาหารมาให้อาจารย์เหยียนเหล่ยกินในช่วงที่เขากำลังป่วย เพราะเขาช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจึงอยากตอบแทนคุณด้วยการปรุงอาหารให้เขากินจะได้หรือไม่? แต่หากข้าทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าก็จะไม่ทำ
             มี่จื่อ  : ตามใจเจ้าเถอะ แค่ปรุงอาหารตอบแทนคุณ ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไร ข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก อ้อ! อาจารย์เหยียนเหล่ยไม่ชอบกินเห็ดดำ เพราะมันมีลักษณะเหมือนหูหนูเขาจึงไม่ชอบ และไม่ชอบกินอาหารรสหวานมากเกินไป และเขาก็ชอบกินปลาและเต้าหู้
           ชิงอิ๋ง  : ขอบใจมากนะที่บอกข้า ข้าจะจำไว้

          ชิงอิ๋งเดินกลับไปแล้ว ฉันจึงเดินกลับไปดูฉิงซวงเพื่อดูว่าฉิงซวงหลับหรือยัง พบว่านางหลับไปแล้ว ฉันจึงนั่งลงบนพื้นยกสูงข้างๆจินไห่ที่กำลังนั่งอ่านตำราสมุนไพรขะมักเขม่น

            มี่จื่อ  : อ่านตำราสมุนไพรของหมู่บ้านไม้ดำออกด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย?
          จินไห่  : ข้าไม่พูดไม่ได้แปลว่าข้าจะไม่รู้ อีกอย่างภาษาชนเผ่าไม้ดำข้าไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ข้าจึงไม่จำเป็นต้องประกาศบอกใครเรื่องนี้
            มี่จื่อ  : เจ้าจะปรุงยารึ?
          จินไห่  : ใช่! ข้าจะดูว่าในหมู่บ้านไม้ดำพอจะมีสมุนไพรชนิดใดบ้างที่สามารถนำมาปรุงยาให้อาการช้ำในหายเร็วได้บ้าง
            มี่จื่อ  : เอ่อ...อาจารย์ศิษย์พี่ห้า (ฉันขยับลุกขึ้นนวดไหล่ให้จินไห่เพื่อเอาใจ) ช่วยรักษาให้หยางเค่อหายไวๆด้วยได้มั้ย ช่วยรักษาเขาด้วยเถอะนะๆ
          จินไห่  : เจ้านี่โง่เขลาดั่งที่แม่เฒ่าด่าไว้ไม่ผิด หลายครั้งที่หยางเค่อหลอกใช้เจ้า แต่เจ้าก็ให้อภัยและช่วยเขาทุกที (จินไห่ปัดมือฉันออกไม่ให้นวดไหล่เพราะเขารู้ว่าฉันทำเพื่อเอาใจ) แล้วนี่ยังไปสัญญากับแม่เฒ่าอีกว่าจะทำให้ต้นท้อสวรรค์ออกผล ต้นท้อจะออกผลทันทีได้ยังไงกัน! หากเจ้าทำไม่ได้แม่เฒ่าอาจจะอ้างเหตุผลฆ่าเจ้าด้วยอีกคน เจ้านี่โง่สิ้นคิดจริงๆ! (จินไห่บ่นว่าแล้วใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากฉัน)
           เฝิ่นลู่  : ใช่ๆ อาจารย์ศิษย์พี่ห้ากล่าวถูกต้อง (เฝิ่นลู่พูดเสริม)
             มี่จื่อ  : ก็ตอนนั้นไม่มีทางเลือกนี่นา....
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ.....

          เหยียนเหล่ยรู้สึกตื่นขึ้นมาบอกว่าหิวน้ำ ฉันจึงรีบรินน้ำป้อนให้เขาดื่มแล้วนั่งลงข้างๆจับมือเขาแน่น ฉันรีบถามถึงอาการบาดเจ็บ เหยียนเหล่ยตอบว่าเขาดีขึ้นแล้ว แต่ยังคงเจ็บจากอาการบอบช้ำภายใน จินไห่บอกให้เหยียนเหล่ยนอนพักผ่อนไม่ต้องห่วงอะไรตอนนี้ทุกคนปลอดภัยและกลับไปนอนกันหมดแล้ว ฉันบอกเหยียนเหล่ยว่าจะนอนหลับอยู่ข้างๆเขาตรงนี้หากต้องการอะไรให้เรียกฉันได้ไม่ต้องเกรงใจ ฉันก้มจูบเขาที่หน้าผากแล้วลูบผมเขาเบาๆให้เขานอนหลับ จากนั้นฉันลากฟูกนอนที่พับอยู่ใกล้ๆมาปูนอนข้างๆเหยียนเหล่ยจับมือเขาไว้แล้วหลับไป จินไห่ยกฟูกนอนที่ยังพับอยู่มาวางข้างๆเหยียนเหล่ยอีกฝั่งหนึ่งแล้วเอนหลังหลับตา ส่วนเฝิ่นลู่ปูฟูกนอนข้างๆฉิงซวง

          ในตอนเช้าเฝิ่นลู่ตื่นนอนก่อนฉันและก่อนจินไห่ ฉันได้ยินเสียงเฝิ่นลู่พูดคุยอะไรบางอย่างกับใครสักคนอยู่ไม่ไกลนัก ฉันจึงลืมตาตื่นเห็นเหยียนเหล่ยนอนหันหน้าเข้าหาฉันใกล้ชิด ฉันเห็นเขายังหายใจอยู่จึงถอนหายใจโล่งอก จากนั้นค่อยๆลุกขึ้นช้าๆเพื่อไม่ให้เหยียนเหล่ยตื่น แล้วงัวเงียหันไปมองที่มาของเสียงพูดคุย

           ชิงอิ๋ง  : ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตื่น ข้าคงจะมาเช้าเกินไป
             มี่จื่อ  : ไม่เป็นไรข้าตื่นพอดี
           ชิงอิ๋ง  : ข้าทำปลานึ่งซีอิ๊วมาให้ แต่อย่าห่วง ข้าแร่เนื้อปลาเอาก้างออกให้แล้ว ถ้าอาจารย์เหยียนเหล่ยตื่นข้ารบกวนเจ้าช่วยอุ่นปลาให้เขากิน
            มี่จื่อ  : เอ่อ....
          เฝิ่นลู่  : ข้าจะนำไปอุ่นให้เอง มี่จื่อจุดเตาไฟไม่เป็นเดี๋ยวจะกลายวางเพลิงที่นี่อีกแห่งไป
            มี่จื่อ  : ฮ่า ฮ่า ตามนั้นเลยข้าจุดเตาไฟไม่เป็น
           ชิงอิ๋ง  : อย่างนั้นก็ได้ (ชิงอิ๋งส่งปิ่นโตให้เฝิ่นลู่แล้วหันไปมองเหยียนเหล่ยที่ยังคงนอนหลับ แล้วจะหันหลังกลับออกไป)
             มี่จื่อ  : จะไปแล้วเหรอ?
           ชิงอิ๋ง  : อื้ม! ข้าจะไปดูพวกชาวบ้านสักหน่อย ไว้สายๆข้าจะมาใหม่เผื่อว่าอาจารย์เหยียนเหล่ยจะตื่นแล้ว ข้าขอตัว

          ชิงอิ๋งฝากปิ่นโตไว้กับเฝิ่นลู่แล้วเดินกลับไป ฉันจึงไปล้างหน้าให้สดชื่น ไม่นานนักจินไห่ก็ตื่นแล้วเดินออกไปหาสมุนไพรสำหรับปรุงยาสูตรพิเศษของเขา สักพักฉิงซวงก็ตื่น ฉันจึงไปตักน้ำใส่อ่างใบเล็กๆมาให้ฉิงซวงล้างหน้า และสอบถามอาการบาดเจ็บของนางอีกครั้ง ฉิงซวงบอกว่าอาการเจ็บและจุกในท้องทุเลาลงแล้ว แต่นางกลัวว่าจะหายไม่ทันวันงานระบำธิดาเหม่ยเตี๋ย ฉิงซวงไม่อยากพลาดได้เล่นดนตรีด้วยกันกับทุกคน ฉันจึงบอกนางไปว่าจินไห่จะปรุงยาที่ดื่มแล้วหายเร็ว นางจะต้องหายดีทันวันงานฉลองแน่นอน ฉิงซวงจึงคลายความวิตกกังวลลง เฝิ่นลู่สะกิดบอกฉันว่าเหยียนเหล่ยตื่นนอนแล้ว และจะไปอุ่นปลานึ่งซีอิ๊วที่ชิงอิ๋งฝากไว้ เพื่อเหยียนเหล่ยจะได้กินปลานึ่งซีอิ๊วร้อนๆ ฉันเดินไปหาเหยียนเหล่ยเห็นสีหน้าเขาดีขึ้นกว่าเมื่อคืน จึงไปตักน้ำใส่อ่างมาให้เขาล้างหน้า และรินน้ำชาให้เขาดื่มแก้กระหายน้ำ

          เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆมีหมอเข้ามาตรวจอาการเหยียนเหล่ยกับฉิงซวง หมอบอกว่าทั้งสองคนไม่เป็นอะไรแล้วดื่มยาแก้ช้ำในอาการเจ็บปวดภายในก็จะดีขึ้น อีกสักพักจะมีคนยกอาหารเช้าและยาเข้ามาให้ ฉันจึงถามหมอถึงอาการบาดเจ็บของหยางเค่อ หมอบอกว่าหยางเค่อปลอดภัยแล้วแต่เขาบาดเจ็บสาหัสจะต้องพักรักษาตัวนานหลายวัน ฉันถอนหายใจโล่งอกแล้วกล่าวขอบคุณหมอ จากนั้นก็มีคนยกอาหารเช้าและยาเข้ามาให้เหยียนเหล่ยกับฉิงซวง ซึ่งเฝิ่นลู่อุ่นปลานึ่งซีอิ๊วเสร็จกำลังยกเข้ามาพอดี เฝิ่นลู่วางจานปลานึ่งซีอิ้วร้อนๆตรงหน้าเหยียนเหล่ยส่งกลิ่นหอมฉุยดูน่ากิน

เหยียนเหล่ย  : เฝิ่นลู่เจ้าปรุงอาหารเองรึ?
           เฝิ่นลู่  : เปล่าไม่ใช่ข้าหรอก ชิงอิ๋งทำปลานึ่งซีอิ๊วมาให้ท่านแต่เช้า แล้วฝากให้ข้าช่วยอุ่นให้ท่านกินร้อนๆ
            มี่จื่อ  : ชิงอิ๋งบอกว่าอยากตอบแทนคุณที่ท่านช่วยชีวิตนางไว้ตอนไฟไหม้
เหยียนเหล่ย  : งั้นรึ? ข้าจะกินชิ้นหนึ่งแล้วกัน ส่วนที่เหลือพวกเจ้าแบ่งกันกินเถอะ ให้ฉิงซวงกินปลาเยอะๆย่อยง่ายดี (เขาคีบเนื้อปลาหนึ่งชิ้นวางบนถ้วยข้าว แล้วยื่นจานปลาส่วนที่เหลืออีกหลายชิ้นให้ฉันยกไปให้ฉิงซวงกับเฝิ่นลู่กิน จากนั้นฉันเดินกลับมาป้อนข้าวให้เหยียนเหล่ยกิน)
            มี่จื่อ  : ท่านไม่อยากกินปลาหรือเพราะเกรงใจข้ากันแน่?
เหยียนเหล่ย  : ทั้งสองอย่าง ข้าไม่อยากทำให้เจ้าไม่สบายใจ และไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณชิงอิ๋ง จึงกินปลาชิ้นหนึ่งเพื่อให้นางสบายใจเช่นกัน
            มี่จื่อ  : เมื่อคืนชิงอิ๋งมาบอกกับข้า ว่าขอปรุงอาหารให้ท่านกินช่วงที่ท่านป่วย ข้าเห็นนางพูดจาตรงไปตรงมาดูไม่เสแสร้งแกล้งทำเหมือนเหมยหลินผู้หญิงใจร้ายคนนั้น! ข้าจึงอนุญาตชิงอิ๋งเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร และข้าเชื่อใจว่าท่านไม่ได้คิดอะไรกับชิงอิ๋ง เอาล่ะ! กินข้าวเถอะเสร็จแล้วจะได้กินยา

          เหยียนเหล่ยเอ่ยขอบใจที่ฉันเชื่อใจเขา แล้วให้ฉันป้อนข้าวให้กิน ป้อนยาให้เขาดื่ม ขณะนั้นชิงอิ๋งกับซิ่นปิงก็เดินเข้ามาพอดีเพื่อเยี่ยมเหยียนเหล่ยกับฉิงซวง ซึ่งทั้งสองกินข้าวอิ่มพอดีฉันหยิบผ้าเช็ดปากเช็ดคราบเลอะอาหารที่ปากให้เหยียนเหล่ย เขามองหน้าฉันแล้วยิ้มอย่างพอใจ แต่กลับทำให้ชิงอิ๋งเห็นแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่พอสมควร แต่ชิงอิ๋งเก็บอาการและกล่าวทักทายเราตามปกติ ฉันจึงรีบยกถ้วยชามอาหารออกมาวางที่โต๊ะด้านนอกเพื่อรอให้คนมาเก็บ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เห็นชิงอิ๋งนั่งลงข้างๆเหยียนเหล่ยแล้วสอบถามถึงอาการบาดเจ็บของเขาด้วยความห่วงใย ฉันจึงปล่อยให้ชิงอิ๋งได้พูดคุยกับเหยียนเหล่ยตามสบาย แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้รินน้ำชาให้ซิ่นปิงกับเฝิ่นลู่ที่เดินมานั่งดื่มน้ำชาด้วย ซิ่นปิงวางซาลาเปาลูกใหญ่ 4 ลูกบนโต๊ะบอกว่าให้เรากินรองท้อง เพราะวันนี้อาหารเช้าคงจะเสร็จช้า ซิ่นปิงบอกว่าวันนี้คนในหมู่บ้านจะดูยุ่งๆกันสักหน่อย เพราะต้องรื้อและเก็บของที่หลงเหลือจากไฟไหม้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าใจถึงสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำทำนาย แต่มีแค่บางคนเท่านั้นที่ยังทำใจกับการสูญเสียบ้านไปไม่ได้ ฉันจึงกล่าวขอโทษซิ่นปิงหากพวกเขาเชื่อว่าฉันเป็นสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ครั้งนี้ ซิ่นปิงก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร กล่าวแต่เพียงว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรื่องร้ายผ่านไปแล้วเรื่องดีๆก็จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งฉันเองก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน

วงดนตรีจีนโบราณ สมัยราชวงศ์ถัง
Youtube by : Chatchol Thaikheaw

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


(ตอนต่อไป) มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 63 - 71

⬅ (ย้อนกลับ) มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 25 - 41

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤


No comments:

Post a Comment