Photobucket Wellcome

นิยาย : หมอหญิงปีศาจ Ep 6-15

นิยายเรื่อง : หมอหญิงปีศาจ EP 6 - 15
นิยายโดย : An Qi (อันฉี)
นิยายแนว : เพ้อเจ้อ, โรแมนติก, ตลก, ผจญภัย, แฟนตาซี, ต่างโลก, ฮาเร็ม, อิโรติก, 18+, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ    : อัญชลี พลัดหลงเข้าไปในอุโมงค์แล้วไปโผล่บนท้องฟ้าอีกโลกหนึ่งกลายเป็นสาวอายุ 17 ปี ชื่อ อันฉี ต้องผจญภัยและปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการแพทย์แผนพิศดาร โดยมี 4 สัตว์เทพคอยช่วยเหลือปกป้องและช่วยต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง

*** นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***


(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 16 - 25 ➡

⬅ (ย้อนกลับ)  หมอหญิงปีศาจ Ep 1 - 5


นิยาย : หมอหญิงปีศาจ Ep 6-15


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 6
(บ้านใหม่ที่ป่าไผ่เขียว)

          เรามาถึงป่าไผ่ พบบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางลานป่าไผ่ในความมืด แต่ยังพอมองเห็นลางๆจากแสงจันทร์ ตัวบ้านดับไฟมืดเหมือนไม่มีใครอยู่ หรืออาจจะดับไฟเข้านอนกันหมดก็ได้ เรามายืนกันอยู่ที่ลานกว้างหน้าบ้าน เสวี๋ยฉี ใช้พลังเวทย์จุดคบไฟบริเวณลานหน้าบ้านให้สว่างเพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง ฉันทึ่งกับพลังเวทย์ขั้นเทพของเขาจริงๆ และคิดว่าจะขอเรียนวิชาจุดคบไฟกับเขาสักหน่อย

          ฉันมองรอบๆบ้านเป็นลานกว้างที่ล้อมไปด้วยต้นไผ่ บริเวณลานหน้าบ้านมีความกว้างพอที่จะทำกิจกรรมอะไรหลายอย่างหน้าบ้านได้ แต่ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีกิจกรรมอะไรเลย ที่มองเห็นมีเพียงราวไม้เล็กๆที่วางพาดไว้สำหรับตากอะไรสักอย่าง ตัวบ้านมีขนาดกลางน่าจะสามารถอยู่ได้ 3-4 คน เป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงเล็กน้อย หน้าบ้านมีชานยื่นออกมาขนาดไม่กว้างมากนักแต่สามารถนั่งเล่นได้

          อันฉี  : บ้านทำไมมืดจัง ปิดไฟนอนกันหมดแล้วเหรอ? หรือว่าไม่มีคนอยู่คะ?
       เสวี๋ยฉี  : ข้าอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ข้าไม่ค่อยได้อยู่จึงปิดบ้านทิ้งไว้ แต่ตอนนี้มีเจ้ามาอยู่ด้วย ข้าก็ไม่เหงาแล้วล่ะ (เสวี๋ยฉีหันไปพูดกับซิ่นหลิงว่า...) นี่เจ้าแมงป่องกลับไปได้แล้ว ที่นี่บ้านของข้า ข้าจะดูแล อันฉี เอง
      ซิ่นหลิง  : ที่นี่ก็ดูดีไม่เลว งั้นข้าจะอยู่เที่ยวเล่นที่นี่สักสามวันแล้วกัน อันฉี ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักสามวัน ถ้าเจ้างูนั่นรังแกเจ้าก็ตะโกนเรียกข้าได้ทันที ข้าจะมาช่วยเจ้า ข้าอยู่แถวๆนี้แหละ
          อันฉี  : ไม่เข้าไปพักในบ้านด้วยกันเหรอ เดี๋ยวฉันจะขอร้อง เสวี๋ยฉี ให้นะ พักแค่สามวันคงไม่เป็นไรหรอก
     ซิ่นหลิง  : ไม่ดีกว่า อีกอย่างข้าเองยังไม่เคยมาแถวนี้เลย อยากจะไปดูอะไรรอบๆบริเวณนี้หน่อย เจ้าอย่าห่วง ข้าเป็นนักพเนจร การนอนนอกบ้านเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับข้า พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาหา
         อันฉี  : อื้ม...ฝันดีนะ

          แล้ว ซิ่นหลิง หายไปในความมืดของป่าไผ่ แม้ท่าทางของเขาจะดูกวนนิดๆ แต่เขาก็เป็นมิตรและมีน้ำใจกับฉันไม่น้อย แม้เขาจะมีพลังเวทย์สูงและเป็นคนเก่ง แต่ก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้

      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย รอข้าสักประเดี๋ยว ข้าไม่อยู่บ้านหลายวัน บ้านอาจจะรกไปสักหน่อย ขอข้าจัดบ้านก่อน (เขาโบกมือ 1 ครั้งใช้พลังเวทย์)
          อันฉี  : นี่ๆสอนฉันทำแบบนี้บ้างสิ (ฉันทำท่าโบกมือแบบเขา) อยากเรียนเอาไปใช้ที่บ้านบ้างอ่า~
      เสวี๋ยฉี  : ข้าสอนให้ได้ แต่เจ้าต้องฝึกให้มีพลังเวทย์แบบข้าก่อนนะถึงจะทำได้
          อันฉี  : แล้วต้องฝึกนานแค่ไหนถึงมีพลังเวทย์ได้ล่ะ
      เสวี๋ยฉี  : นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า ว่าเรียนรู้ได้รวดเร็วแค่ไหน และที่สำคัญต้องขยันฝึกด้วย แต่ดูท่าทางของเจ้าแล้ว อย่างเร็วก็ไม่ต่ำกว่าสิบปี อย่างช้าก็ร้อยปีน่าจะสำเร็จ (เขาพูดด้วยน้ำเสียงแกล้งฉัน)
          อันฉี  : โห! ฉันตายก่อนพอดี แล้วคุณมีพลังเวทย์เท่าไหร่แล้วคะ
       เสวี๋ยฉี  : พลังเวทย์ของข้า 1,500 ปี
          อันฉี  : ห๊า!!! พูดจริง หรือพูดเล่นเนี่ย 1,500 ปี แล้วตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่
       เสวี๋ยฉี  : ข้าอายุ 1,500 ปี
          อันฉี  : ห๊า!!! จริงดิ๊! ถามจริง?!
       เสวี๋ยฉี  : จริงสิ
          อันฉี  : เป็นไปไม่ได้ อายุ 1,500 ปี แต่หน้าดูเด็กมาก เหมือนคนอายุ 27 ปีเอง สุดยอดแห่งความงาม ที่มาของคำว่าสาวพันปีอยู่ที่นี่เอง (ฉันพูดพึมพำจับหน้าเขาหันไปหันมาเพื่อสำรวจผิวพรรณ) ไปกินอะไรมาหน้าถึงยังไม่แก่ห๊ะ บอกเคล็ดลับมาหน่อย
       เสวี๋ยฉี  : ข้าชอบกินกระต่าย กับดื่มเหล้า
          อันฉี  : กินกระต่าย กับดื่มเหล้าช่วยให้หน้าเด็กได้จริงๆเหรอ สูตรนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยน๊า
       เสวี๋ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เราเข้าไปในบ้านกันเถอะ

          เสวี๋ยฉี จูงมือฉันเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านมีของตกแต่งไม่มากนัก มีโต๊ะตัวเล็กๆเหมือนโต๊ะเขียนหนังสือแบบนั่งพื้น ชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือวางอยู่ไม่กี่เล่ม มีเตียงนอนสีขาวดูสะอาดตาอยู่ที่มุมห้อง และโต๊ะเครื่องแป้ง ที่ตั้งอยู่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง ภายในดูโล่งๆว่างๆไม่รกตา น่าจะจริงที่เขาบอกว่าอยู่ที่นี่คนเดียว

      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย...คืนนี้เจ้าใส่ชุดของข้าไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะหาชุดใหม่มาให้เจ้าใส่ ที่นี่กลางคืนอากาศหนาว ข้าไปต้มน้ำให้เจ้าอาบ เจ้ารอที่นี่นะ
          อันฉี  : ฉันไปช่วยด้วยดีกว่า
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ต้อง เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ

          เขาหายไปได้สักพัก ฉันจึงเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อสำรวจดูว่ามุมสาวน้อยของเขามีอะไรบ้าง ฉันยืนมองดูมี หวี เครื่องประดับจำนวนหนึ่ง กระจก ฉันหยิบหูฟังที่คล้องอยู่ที่คอ, โทรศัพท์ และตลับทาคิ้วออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางลงใกล้ๆกับเครื่องประดับ จากนั้นนั่งลงเพื่อส่องกระจกดูสภาพหน้าตัวเองว่ามอมแมมแค่ไหน

          ฉันต้องตกใจขนลุกซู่ร้องลั่นบ้านอีกครั้ง ผีเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ในกระจก ฉันกำลังจะวิ่งหนีออกไปตั้งหลักหน้าบ้าน เสวี๋ยฉี รีบวิ่งมาดักทางแล้วกอดฉันไวัแน่นไม่ให้เตลิดออกไปข้างนอก แล้วพูดว่า...

       เสวี๋ยฉี  : เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆเกิดอะไรขึ้นบอกข้า!
          อันฉี  : ผีอ่ะ ผี
       เสวี๋ยฉี  : ผีที่ไหน? ที่บ้านข้าไม่เคยมีผี
          อันฉี  : ผีเด็กผู้หญิง ตามมาจากลำธาร
       เสวี๋ยฉี  : แล้วตอนนี้ผีอยู่ที่ไหน? ข้าจะไปฆ่าให้มันตายอีกร้อยครั้ง ที่บังอาจเข้ามาในบ้านของข้า
          อันฉี  : กระจก ฮือ...กระจก (ฉันชี้นิ้วไปที่กระจก)
      เสวี๋ยฉี  : ไปกับข้า

          เสวี๋ยฉี เดินนำหน้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วนั่งลงมองที่กระจก ฉันยืนรออยู่ห่างๆ เขาพูดว่า...

      เสวี๋ยฉี  : ไม่เห็นมีอะไรเลย เห็นมีแต่ใบหน้าข้าในกระจก เจ้ามาดูสิ (เขากวักมือ)
          อันฉี  : มีสิเมื่อกี้เห็นจริงๆ

          เสวี๋ยฉี ลุกขึ้นมาดึงมือฉันให้ไปนั่งที่หน้ากระจกกับเขา แล้วเอาหน้ามาแนบกับหน้าของฉันแล้วส่องกระจกด้วยกัน เขาพูดว่า...

      เสวี๋ยฉี  : เจ้ายังเห็นผีอยู่มั้ย?
         อันฉี  : เห็น
      เสวี๋ยฉี  : ผีหน้าตาเป็นยังไง?
         อันฉี  : หน้าขาวซีด ตากลมโต
      เสวี๋ยฉี  : มีคิ้วโก่ง จมูกเล็กน่ารัก ปากเล็กบางน่ารักด้วยใช่มั้ย? (เขาพูดแทรก)
         อันฉี  : ชะ ใช่!
      เสวี๋ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าแกล้งข้าใช่มั้ย?
         อันฉี  : ไม่ใช่! นั่นผีจริงๆ นั่นไม่ใช่หน้าของฉัน
      เสวี๋ยฉี  : นั่นคือใบหน้าของเจ้า
         อันฉี  : ก็บอกว่าไม่ใช่! (ฉันเริ่มโวยวาย)

         เสวี๋ยฉี จึงหันมาหอมแก้มฉันหนึ่งครั้ง ฉันแปลกใจและโมโหที่เขายังมีอารมณ์มาเล่นแบบนี้ ...

         อันฉี  : มาหอมทำไมเล่า!
      เสวี๋ยฉี  : ข้าหอมแก้มเจ้า ข้าไม่ได้หอมแก้มผี มาดูนี่จะทำอะไรให้ดู เจ้าดูหน้าของเจ้าในกระจกนะ

          เสวี๋ยฉี ขยับมานั่งทางด้านหลังของฉัน แล้วโอบกอดที่เอว เขาเอาแก้มมาแนบที่แก้มของฉันแล้วพูดว่า...

          เสวี๋ยฉี  : ใบหน้าของเจ้าที่ข้าเห็นตอนนี้ คือ เจ้ามีใบหน้าเรียว คิ้วโก่ง ตากลมโตสดใส จมูกเล็กๆน่ารัก ริมฝีปากบางน่าจูบ ข้าเห็นใบหน้าของเจ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่ข้าพบเจ้าครั้งแรก เจ้าไม่ใช่ผี เจ้ายังคงเป็นมนุษย์ ข้ายังได้กลิ่นกายมนุษย์ของเจ้าอยู่เลย (เขาหอมแก้มฉันอีกครั้ง)
          อันฉี  : หน้าฉันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกที่เจอกันจริงๆเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : ใช่, หรือเจ้ามีใบหน้าอื่นด้วยรึ?
          อันฉี  : เอ่อ....ฉันหน้ากลม แก้มป่อง เอ่อ... ช่างเถอะๆ ฉันคงเมาพิษน่ะ ขอโทษที่ทำเรื่องวุ่นวาย
      เสวี๋ยฉี  : ไม่เป็นไรหรอก เจ้าคงจะเหนื่อยเลยดูเพี้ยนๆข้าเข้าใจ ตอนนี้เจ้าไปอาบน้ำเถอะ ให้ข้าช่วยขัดหลังให้เจ้านะ
          อันฉี  : มะ ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้ แค่ไปอยู่รอเป็นเพื่อนก็พอ ไปอยู่รอเป็นเพื่อนหน่อยนะ
      เสวี๋ยฉี  : ได้สิ! แต่ข้าว่าเราอาบน้ำด้วยกันเลยดีกว่ามั้ย แบบนี้ดีกว่าอีก เราจะได้ผลัดกันขัดหลัง (เขาทำท่าตุ้งติ้ง)
          อันฉี  : ไม่ได้ อาบด้วยกันไม่ได้
       เสวี๋ยฉี  : ได้สิ! ทำไมจะไม่ได้ ไปเร็วไปอาบน้ำด้วยกัน
          อันฉี  : เดี๊ยว!!! เอางี้ เอาไว้คราวหน้าค่อยอาบน้ำด้วยกัน วันนี้ขออาบคนเดียวก่อน นะ นะ ขอร้องล่ะ
      เสวี๋ยฉี  : ก็ได้ คราวหน้าก็ได้ งั้นนี่เสื้อผ้าของเจ้า
         อันฉี  : ขอบคุณค่ะ

          ฉันรีบเข้าไปอาบน้ำที่ เสวี๋ยฉี เตรียมไว้ให้ในถังไม้ใบใหญ่ ฉันถอดเสื้อผ้าแล้วก้มมองสำรวจรูปร่างตัวเอง ใช่แล้วนี่คือร่างกายของเด็กสาวอายุ 17 ปี พระเจ้า!!! เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันเนี่ย ฉันรีบอาบน้ำอย่างเร็ว โดยให้ เสวี๋ยฉี รออยู่ที่ด้านหน้าประตูเพราะรู้สึกกลัวตัวเอง คงต้องรอดูพรุ่งนี้บางทีฉันอาจจะกลับมาแก่เหมือนเดิมก็ได้ ฉันอาบน้ำเสร็จหยิบชุด เสวี๋ยฉี มาสวมใส่ ชุดของเขาตัวใหญ่ และมีกลิ่นหอมแปลกๆจนเคลิบเคลิ้ม ฉันมองดูที่ชุด มีกางเกง มีเสื้อสองตัว ต้องใส่กางเกงก่อน ส่วนเสื้อ ต้องใส่ตัวไหนก่อนล่ะเนี่ย แล้วเชือกนี่ต้องผูกแบบไหน ฉันจึงตะโกนถาม เสวี่ยฉี

          อันฉี  : เสวี๋ยฉี เชือกนี่ผูกยังไงอ่า~ คือต้องผูกตรงข้างหน้า หรือผูกข้างๆ ผูกด้านในหรือด้านนอก?
      เสวี๋ยฉี  : เปิดประตูสิ ข้าจะผูกให้

          ฉันใช้มือรวบชุดแนบกับตัวเพื่อไม่ให้หลุดแล้วเดินออกมาให้ เสวี๋ยฉี ผูกเชือกให้

      เสวี่ยฉี  : เชือกต้องผูกด้านใน ส่วนนี่เสื้อคลุมสวมด้านนอกเพราะอากาศหนาว เวลานอนค่อยถอดเสื้อคลุมออก มานี่ๆข้าแต่งตัวให้เจ้าเอง
          อันฉี  : เราไปแต่งตัวในบ้านเหอะ ยืนแต่งตัวตรงนี้เดี๋ยวโป๊อ่า~
      เสวี่ยฉี  : ไปสิ หุหุ

          เราเดินกลับเข้ามาในบ้าน มายืนแต่งตัวกันที่มุมสาวน้อยของเขา เขาเหมือนแม่กำลังแต่งตัวให้ลูก เสวี๋ยฉี เอามือมาเปิดเสื้อที่ฉันใส่คลุมตัวไว้ เขาบอกให้ฉันถอดเสื้อออกก่อนนี่คือเสื้อคลุม ฉันขำตัวเองที่สวมเสื้อคลุมก่อนเสื้อตัวใน ฉันจึงหันหลังให้เขาเพราะตอนนี้ฉันไม่ได้สวมใส่ยกทรง แล้วถอดเสื้อคลุมออก เขารับเสื้อคลุมไป แล้วนำเสื้อตัวในมาสวมให้ ฉันจึงหันหน้ากลับมาหาเขา เสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาจัดคอเสื้อให้เข้าที่ ลมหายใจของเขากระทบมาที่ใบหน้า ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น ฉันไม่เข้าใจว่าในตัวเขามีอะไรทำไมถึงทำให้ฉันรู้สึกวาบหวิวได้ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ เขาเลื่อนมือมาผูกเชือกที่เอวด้านข้าง ฉันมองเขาแล้วอยากสัมผัสลูบไล้เขาจริงๆ แต่ต้องบังคับใจตัวเองให้ยืนเฉยๆ เขาหยิบเอาเสื้อคลุมมาสวมให้ฉัน จากนั้นเขาบอกให้นั่งลงเขาจะแปรงผมให้ เสวี๋ยฉีนั่งแปรงผมให้ฉันอย่างนุ่มนวลและเบามือ ฉันมองเขาผ่านในกระจก ใบหน้าหน้าเสวี๋ยฉีสวยงามเหลือเกิน จมูก คิ้ว คางได้รูปคมสัน เขาช่างงดงามเหมือนกับเจ้าหญิงที่กำลังแปรงผมให้กับสาวใช้ จากนั้นเขาจึงไปอาบน้ำ เสวี๋ยฉีใช้เวลาในการอาบน้ำไม่นานนัก จากนั้นเขาก็เดินมานั่งที่เตียงนอน

       เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย...ดึกแล้ว มานอนเถอะ เจ้านอนด้านใน ข้านอนด้านนอกเอง
          อันฉี  : เดี๋ยวฉันนอนตรงนั้นก็ได้ค่ะ คุณนอนบนเตียงเถอะ (ฉันชี้ไปที่พื้นข้างๆเตียง)
       เสวี๋ยฉี  : มานอนบนเตียงด้วยกันนี่แหละ หมอนกับผ้าห่มมีผืนเดียวเราต้องแบ่งกัน อากาศมันหนาว นอนใกล้กันจะได้อบอุ่น ข้าไม่รังแกเจ้าหรอกน่า มาเร็วๆ! ข้าง่วงนอนแล้ว (เขาเดินมาดึงแขนให้ไปที่เตียง แล้วโบกมือ 1 ครั้งเพื่อดับไฟ)

          เสวี่ยฉี สอดแขนเข้ามาเพื่อให้ฉันนอนหนุนแขน ฉันนอนตะแคงหันหลังให้เขา เขาเข้ามากอดฉันแน่นเพราะอากาศหนาว นอนตะแคงได้สักพักฉันก็พลิกตัวหันหน้าเข้าหา เสวี่ยฉี เพราะอากาศหนาวเย็น ฉันซุกหน้าเข้าที่ใต้คางของเขาเพื่อหลบอากาศหนาว เสวี่ยฉี ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ฉันซุกตัวกับเขา แล้วเขาก็แกล้งออกแรงกอดฉันแน่นๆ จนฉันร้องแล้วทุบเขาเบาๆที่หน้าอก

          อันฉี  : อื้อ..หายใจไม่ออก อย่าแกล้งสิ
       เสวี๋ยฉี  : เรานอนกอดกันแบบนี้ทุกคืนเลยนะ อุ่นดี
          อันฉี  : ................... (เงียบ)
       เสวี๋ยฉี  : ถ้าไม่ตอบข้าจูบนะ
          อันฉี  : อื้ม...ต้องหาผ้าห่มเพิ่มอีกผืนจะได้อุ่นขึ้น
       เสวี่ยฉี  : คำตอบไม่น่าพอใจต้องถูกทำโทษ
          อันฉี  : อื้มม! นอนกอดกันอุ่นดีมาก (ฉันรีบตอบ)

          ฉันพูดจบ เสวี่ยฉี โถมตัวมาจูบอย่างหนักหน่วงจนฉันไม่ทันตั้งตัว

          อันฉี  : นี่ เมื่อกี้ตอบแล้วนะ อย่าโกงสิ!

          เสวี่ยฉี ไม่พูดอะไรแต่ยังคงจูบฉันไม่หยุด ลิ้นที่สอดใส่อยู่ในปาก ดูดริมฝีปากแลกลิ้นแรงขึ้นกว่าเดิม เขาโถมมาทับฉันทั้งตัว สอดแทรกขาข้างหนึ่งเข้ามาตรงหว่างขาของฉันจนขาอ้าออกกว้าง ขยับตัวแล้วเสียดสีเนินสวรรค์ช่วงล่าง จนอารมณ์ฉันปะทุ "อา..." ได้กลิ่นกายที่หอมแปลกๆของเขาทำให้ฉันมีอารมณ์มากขึ้น ยากเกินกว่าจะต้านทานความเย้ายวนของเขาได้ เขาซุกไซร้ จูบที่ใบหู แล้วกระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เซ็กซี่ "อยู่กับข้าตลอดไป" เสวี่ยฉี จูบและดูดเบาๆไล่ลงมาถึงซอกคอ มือของเขาบีบคลึงหน้าอกจากด้านนอกของเสื้อแต่ก็ทำให้ฉันรุ่มร้อนไปทั้งตัว กอดเขาแน่น เขาเริ่มปลดเชือกที่ผูกหลวมๆไว้ที่ข้างเอว แล้วดึงเสื้อออกจนเปิดกว้างเผยให้เห็นหน้าอก เขาทั้งจูบ และดูดไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงเนินอก มือนุ่มๆของเขาที่กำลังบีบคลึงหน้าอกทำให้ฉันเสียวซ่านไปทั้งต้ว "อ๊ะ..อา" เสวี๋ยฉีเริ่มปลดเชือกที่เสื้อของตัวเองให้เปิดกว้างออก แม้ภายนอกเขาดูตุ้งติ้ง แต่ภายใต้เสื้อเขากลับมีกล้ามเนื้ออกที่แน่น และแข็งแรง เขานอนทับลงมาบนตัวฉัน เนื้อกล้ามหน้าอกสัมผัสกับหน้าอกของฉัน จนร้อนไปหมด "อา...อย่า" เขาขยับให้ขาของฉันอ้ากว้างมากขึ้น ขยับเสียดสี บดเน้นแท่งเนื้อแข็งส่วนล่างเป็นจังหวะแรงขึ้น แล้วเขาก็ก้มตัวลงมาจูบฉันแลกลิ้นกันดูดดื่ม "อ๊าา... อื้อ...อาา" ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่รีบหยุดตอนนี้ มันจะสายเกินไป ฉันคิดในใจ จากนั้นเขาเลื่อนมือลงไปเพื่อปลดเชือกที่กางเกงของฉัน ฉันรีบจับมือเขาไว้เพื่อให้เขาหยุด แล้วฉันก็ดึงตัวเขามากอดไว้แน่น ใช้ขาเกี่ยวสะโพกเขาไว้เพื่อไม่ให้เขาขยับตัวไปมากกว่านี้แล้วกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ ด้วยเสียงกระเส่า
          อันฉี  : "อะ..อา..หยุดเถอะ ยังไม่พร้อม...อย่า  อ๊าา"
       เสวี๋ยฉี  : อยู่กับข้าตลอดไป
          อันฉี  : อื้ม..ฮื่อ
       เสวี๋ยฉี  : จูบข้าสิ จะได้นอน

          ฉันเริ่มบรรจงจูบเขาอย่างดูดดื่ม ระบายอารมณ์ค้างด้วยการจูบอย่างเร่าร้อน กอดรัด ลูบไล้เขาทั้งตัว "อาาา... อาาา" ขาสองข้างของฉันยังคงกอดเกี่ยวสะโพกของเขา เขาเบียด และบดเน้นแท่งเนื้อแข็งใหญ่เป็นจังหวะหนักหน่วง ฉันขยับรับตามจังหวะ ปลดปล่อยอารมณ์ให้เขาทำตามใจขอเพียงแค่ไม่ล่วงล้ำภายในก็พอ ฉันพลิกตัวขึ้นมานอนคร่อมบนตัวเขา เสียดสีเนินช่วงล่างรุกเร้า เขาส่งเสียงครางเบาๆ เขาเซ็กซี่ น่ากินไปทั้งตัว ฉันจูบ และกัดเบาๆที่ซอกคอของ เสวี่ยฉี มือบีบคลึงที่หน้าอกเขา ค่อยๆจูบ และเลียลิ้นลงไปที่หน้าอก กล้ามอกแน่นๆนั่นทำให้ฉันอดใจไม่ไหวจึงกัดเบาๆ แล้วค่อยๆเลียลิ้นไปที่รอบๆหัวนมและดูดเบาๆจนเขาร้องคราง ค่อยๆจูบ และเลียลิ้นไล่ขึ้นไปซุกไชร้ซอกคอ จูบแลกลิ้นอันแสนหวานอีกครั้งเป็นการทิ้งท้าย "นอนเถอะ" ฉันกระซิบบอกเขา

         ฉันพลิกตัวลงนอนหนุนแขน ซุกหน้าซุกตัวตรงหน้าอกเขา แล้วจูบเบาๆที่เนื้อแน่นๆนั่นๆ คล้ายคู่รัก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกกระหายความใคร่ในตัวเขาจนไม่อยากหยุด รู้สึกว่าไม่เพียงพอ อยากได้อยากสัมผัสอย่างลึกซึ้งจากเขาทั้งคืน นั่นคือความรู้สึกลึกๆที่ต้องหักห้ามใจ เรานอนกอดกันทั้งคืนเพราะอากาศหนาวเย็น ฉันแอบหอมแก้มเขาหลายครั้งที่รู้สึกตื่นกลางดึก แม้ฉันจะเพิ่งเจอเขาแค่วันเดียว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ารู้จักเขามานาน ฉันหลับตาลงอีกครั้งแล้วหลับไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 7
(ทดสอบหยดเลือด)

          เช้าแล้ว...ฉันยังคงอยู่บนเตียงบิดขี้เกียจ หันมองข้างๆ เสวี๋ยฉี เขาตื่นนอนแล้วลุกไปแต่เช้า ฉันค่อยๆลุกขึ้นนั่งมองดูที่เสื้อเชือกถูกปลด จนเผยให้เห็นหน้าอกและลำตัว แต่...ฉันจำได้ว่าผูกเชือกที่เสื้อแล้วเมื่อคืนตอนที่ตื่นมากลางดึก บางทีอาจจะหลุดออกอีกครั้งตอนนอนพลิกตัวล่ะมั้ง...ฉันคิด แล้วก้มหน้าลงผูกเชือก เห็นรอยสีแดงเล็กๆที่เนินอกสองรอย น่าจะเป็นเพราะ เสวี๋ยฉี ฝากรอยไว้เมื่อคืนแน่ๆ แต่เอ๊ะ! มีรอยแดงแบบเดียวกันอีกหนึ่งรอย บริเวณท้องข้างใต้หน้าอก ฉันนั่งคิดถึงเรื่องเมื่อคืน เสวี๋ยฉี จูบฉันไม่ถึงที่ท้องข้างใต้หน้าอกนี่นา แล้วรอยนี้มาตอนไหน? หรือว่า! ...เขาจูบอีกครั้งตอนเช้าก่อนออกไป "หือ! แอบจูบตอนไหนเนี่ย จูบลึกเกินไปแล้ว เจ้าบ้านี่ นี่ถ้าไม่ติดเรื่องจรรยาบรรณความเป็นผู้ใหญ่กว่าของฉันล่ะก็...เมื่อคืนนายคงเสร็จฉันไปแล้วล่ะ ฉันเป็นเด็กแค่ตัวนะยะ! ฮึ่ม!" ฉันบ่นพึมพำ

          ฉันลุกขึ้นจัดหมอน และพับผ้าห่ม จัดเตียงให้เรียบร้อย ข้างเตียงมีอ่างน้ำเล็กๆใส่น้ำวางอยู่บนโต๊ะมีผ้าวางเตรียมไว้ข้างๆอ่างน้ำ เสวี๋ยฉี คงนำมาวางไว้ แต่ไม่รู้วางไว้เพื่ออะไร ที่หน้าบ้านได้ยินเสียงใครทำอะไรสักอย่างกับกิ่งไม้ จึงเดินไปดู เห็นซิ่นหลิงขนไม้มากองรวมกัน และกระต่ายทั้งสีขาวและสีน้ำตาลหลายตัววางอยู่ข้างๆ

      ซิ่นหลิง  : ตื่นแล้วเหรอ เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือเปล่า
          อันฉี  : หลับสบายดี คุณมานานหรือยัง
      ซิ่นหลิง  : ข้ามานานแล้ว เจ้างูขาว บอกว่าเจ้ากำลังหลับอยู่ ข้าไม่อยากปลุก เลยออกไปจับกระต่ายมาย่างให้เจ้ากิน แถวนี้มีกระต่ายเยอะเลย
          อันฉี  : ห๊า! กินกระต่ายเหรอ ยังไม่เคยกินเลย
      ซิ่นหลิง  : อร่อยนะ, เอ่อ! นี่เจ้าล้างหน้าหรือยัง เจ้างูฝากบอกว่าน้ำล้างหน้าเตรียมไว้ให้เจ้าในอ่างข้างๆเตียงนอน
          อันฉี  : แล้วเค้าไปไหนแล้วล่ะ ตื่นมาไม่เห็นเลย
      ซิ่นหลิง  : เจ้านั่นเข้าไปในเมืองแต่เช้า บอกจะไปหาซื้อของใช้จำเป็นให้เจ้า
          อันฉี  : แถวนี้มีเมืองด้วยเหรอ
      ซิ่นหลิง  : มี แต่อยู่ห่างออกไปไกล ถ้าไม่จำเป็นพวกข้าก็ไม่เข้าไปในเมืองกันหรอก
          อันฉี  : ทำไมล่ะ
      ซิ่นหลิง  : ในเมืองคนเยอะ วุ่นวาย อาหารก็ไม่อร่อย สู้กระต่ายนี่ก็ไม่ได้
          อันฉี  : งั้นฉันไปล้างหน้าก่อนนะ เดี๋ยวมา

          ซิ่นหลิง กำลังย่างเนื้อกระต่ายหอมฉุย ฉันถาม ซิ่นหลิง เกี่ยวกับสูตรกินเนื้อกระต่ายกับเหล้า ที่เสวี๋ยฉี บอกเมื่อคืน กินแล้วทำให้หน้าเด็ก ซิ่นหลิง หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน

     ซิ่นหลิง  : เจ้าถูกเจ้างูหลอกแล้ว ข้าว่ากระต่ายกินกับเหล้า น่าจะเป็นของแกล้มเวลาดื่มเหล้ามากกว่า
          อันฉี  : ฮึ่ม! นั่นสิ ว่าแล้วเชียว ว่าตัองหลอกแน่ๆ, นี่เมื่อคืน เสวี๋ยฉี บอกว่าเขามีอายุ 1,500 ปี อันนี้เรื่องจริงป่ะ?
      ซิ่นหลิง  : เขาบอกเจ้าแบบนั้นเหรอ
          อันฉี  : ใช่
      ซิ่นหลิง  : อืม..ตอนแรกข้าคิดว่าเขาจะมีอายุ ใกล้เคียงกับข้าซะอีก มิน่าล่ะพลังเวทย์ถึงได้สูงนัก
          อันฉี  : ตกลงเป็นเรื่องจริงเหรอ
      ซิ่นหลิง  : อืม!
          อันฉี  : แล้ว ซิ่นหลิง ล่ะอายุเท่าไหร่
     ซิ่นหลิง  : ข้าอายุ 1,200 ปี
          อันฉี  : ห๊า!!! ไม่จริงอ่ะ อยู่มาได้ไง 1,200 ปี (ฉันยื่นหน้าไปใกล้ดูผิวพรรณ จับแก้มซิ่นหลิงบีบๆ) หน้าคนอายุ 1,200 ปี เป็นแบบนี้เหรอ ขาว ใส เต่งตึง อย่างกับเด็กอายุ 24 ปี สุดยอด! นี่ถ้าเป็นฉันมีอายุ 1,200 ปี เนื้อหนังคงยุ่ยติดมือออกแล้วอ่า
      ซิ่นหลิง  : เจ้าเองก็ ขาวใส เต่งตึง เหมือนเด็กสาวอายุ 17 ปีเหมือนกัน อ่ะนี่กระต่ายสุกแล้วกินซะ
          อันฉี  : ขอถามอะไรหน่อยสิ ตอนเจอกันครั้งแรกหน้าตาฉันเป็นยังไงเหรอ
      ซิ่นหลิง  : หน้าตาเจ้าก็เป็นแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ น่ารัก สดใส ถามทำไมเหรอ?
          อันฉี  : ไม่มีรัย แค่ถามดูเฉยๆน่ะ
      ซิ่นหลิง  : เจ้าชอบที่นี่มั้ย?
          อันฉี  : ชอบสิ ที่นี่สวยดี อากาศก็ดี ดูเงียบสงบ ต้นไผ่สวยมาก ดูสิแสงอาทิตย์ส่องลอดต้นไผ่ลงมาสวยมากๆ, แล้วเมื่อคืนคุณไปนอนที่ไหนมา
      ซิ่นหลิง  : ข้าก็นอนอยู่แถวๆป่าไผ่นี่แหละ
          อันฉี  : เมื่อคืนเห็นบอกว่าจะไปดูรอบๆบริเวณแถวนี้ เป็นไงบ้างล่ะ สถานที่ดีมั้ย
      ซิ่นหลิง  : ดี เป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว บ้านถูกล้อมรอบด้วยป่าไผ่ มีฝูงงูทหารยามจำนวนหนึ่งคอยเฝ้าป่าไผ่ อีกทั้ง เสวี๋ยฉี กางเขตอาคมรอบบ้านปกป้องเจ้าไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้เจ้าปลอดภัยจากสัตว์ร้ายและปีศาจมากขึ้น
          อันฉี  : ฝูงงูทหารยาม คืออะไร
     ซิ่นหลิง  : เป็นงูลูกสมุนของ เสวี๋ยฉี อาศัยอยู่ในป่าไผ่ คอยทำหน้าที่เหมือนทหารยาม ถ้ามีศัตรูหรือปีศาจย่างก้าวเข้ามา พวกงูลูกสมุนก็จะเข้าโจมตีไม่ให้ผ่านเข้ามาได้ แต่ถ้ามีผ่านเข้ามาได้ ก็ยากที่จะทำลายเขตป้องกันของ เสวี่ยฉี, แนวเขตป้องกันสิ้นสุดตรงรอยต่อระหว่างลานนี่กับแนวไผ่ตรงนั้น
          อันฉี  : แล้วงูทหารยามไม่ทำอันตราย ซิ่นหลิงเหรอ?
       ซิ่นหลิง : ไม่หรอก งูทหารยามพวกนั้นรู้ว่าใครเป็นเจ้านาย
          อันฉี  : ยังไงอ่า?
     ซิ่นหลิง  : พวกงูทหารยามจะใช้วิธีจดจำกลิ่นเลือดในกายของเจ้านาย แต่ตอนนี้ เสวี๋ยฉี เจ้านายของพวกมันมีเลือดของเจ้าไหลเวียนอยู่ในร่างกายส่วนหนึ่ง นั่นก็คือสายสัมพันธุ์ทางเลือด เพราะฉะนั้นเจ้าจึงกลายเป็นเจ้านายของงูพวกนั้นไปด้วย และข้าที่มีเลือดของเจ้าอยู่ในกาย ก็กลายเป็นเจ้านายของงูพวกนั้นไปด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าหากเจ้า และเสวี๋ยฉี ไปที่บ้านของข้า เจ้าทั้งสองก็จะเป็นเจ้านายของเหล่าสมุนแมงป่องของข้าด้วย เข้าใจหรือยัง
         อันฉี  : อ๋อ เข้าใจแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เท่ากับว่าเรามีพรรคพวกเพิ่มขึ้น
     ซิ่นหลิง  : แต่ข้าไม่ได้อยากเป็นพรรคพวกกับเจ้างูนั่นสักหน่อย
          อันฉี  : เถอะน่า 3 คน ดีกว่าคนเดียวน่า...นะ
     ซิ่นหลิง  : เมื่อเช้าข้าสำรวจรอบๆบริเวณนี้ พบรอยเท้าเสือ และรอยเท้าสุนัขขนาดใหญ่ เจ้าต้องระวังตัว อย่าออกไปข้างนอกคนเดียว ถ้าจะไปให้ไปกับข้า หรือ ไปกับเจ้างูขาวนะ เข้าใจหรือเปล่า
          อันฉี  : เข้าใจแล้ว อย่าห่วง ฉันไม่ใช่คนชอบเที่ยว ไม่ชอบเรื่องโลดโผน ชอบอยู่บ้านมากกว่า
     ซิ่นหลิง  : ดีแล้ว ข้าจะได้หมดห่วง แต่เช้านี้ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ที่หนึ่ง ทิวทัศน์ยามเช้าสวยมาก เจ้าอยากไปหรือเปล่า ข้าจะพาไป
          อันดี  : อื้ม ไปสิ อยากไป
      ซิ่นหลิง  : งั้นกินเสร็จเราไปกัน

          ซิ่นหลิง พาฉันขึ้นทวนโลหิตวารี บินไปที่ยอดเขาห่างออกไป 2 ลูก บนยอดเขาอากาศเย็น มองลงไปเห็นทะเลหมอกด้านล่างสวยมาก ฉันไม่เคยเห็นทะเลหมอกมาก่อน เคยเห็นแต่ในทีวี และรูปภาพในอินเตอร์เน็ต พอได้มาเห็นทะเลหมอกของจริงจึงทำให้ฉันตื่นเต้นเป็นพิเศษ เรานั่งดูทะเลหมอกกันได้สักพัก ฉันจึงลองใช้สายตาเอ็กเรย์มองดูที่แขนของตัวเอง แล้วถาม ซิ่นหลิง ว่า...

          อันฉี  : ซิ่นหลิง ทำไมเพลิงลาวาคลั่งในตัวฉันถึงไม่ดับเหมือนของคุณล่ะ แถมฉันยังไม่เจ็บปวดอะไรอีกด้วย
     ซิ่นหลิง  : ข้าก็ไม่แน่ใจ เพราะเดิมที ผลอัคคี มีเพียงนกอัคคีสวรรค์เท่านั้นที่กินได้ แต่นี่เจ้ากินแล้วกลับไม่เป็นอะไร ข้านี่สิที่ไม่ได้กินผลอัคคีแต่กลับต้องมารับพิษเพียงเพราะข้ากัดเจ้าแปลกดีแฮะ
          อันฉี  : แล้วนกอัคคีสวรรค์ ลักษณะเป็นยังไง
     ซิ่นหลิง  : นกอัคคีสวรรค์ เป็นนกสวรรค์ มีขนสีแดงกุหลาบ สยายปีกแต่ละครั้งจะมีเพลิงพวยพุ่งออกมี กินผลอัคคีเป็นอาหาร เคยอาศัยอยู่ที่ป่าอัคคี ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่นกอัคคีสวรรค์หายสาปสูญไปตั้งแต่ 1,500 ปีก่อน บ้างก็ว่าตาย บ้างก็ว่าบินกลับสวรรค์
          อันฉี  : เหมือนฉันก็เคยฝันถึงนกลักษณะนี้ครั้งนึงนะ แต่ที่ฝันบ่อยที่สุดคือฝันว่าตัวเองบินได้
     ซิ่นหลิง  : ไหนให้ข้าดูซิว่าเจ้ามีปีกงอกออกมาหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า

         ฉันบอก ซิ่นหลิง ว่าตั้งแต่กิน ผลอัคคี เข้าไปร่างกายก็เปลี่ยนไป สามารถทำได้ในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ตาสามารถมองเห็นพิษ และกระดูกหัก มือก็สามารถรักษากระดูกหักได้โดยไม่ต้องกินยา หรือผ่าตัด

         ซิ่นหลิง  : ถ้าเรื่องตาสามารถมองเห็นพิษ ข้าก็สามารถมองเห็นได้เหมือนกัน โดยเปิดดวงตาปีศาจ แต่ถ้าให้มองเห็นถึงกระดูกที่หัก และรักษากระดูกหักให้ประสานได้โดยรวดเร็วแบบเจ้า ข้าแม้จะมีพลังเวทย์ 1,200 ปี ก็ยังทำไม่ได้อย่างเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะได้รับพลังพิเศษจากผลอัคคี
         อันฉี  : ฉันมีเรื่องสงสัยอีกอย่าง ถ้าฉันมีเลือดออก เลือดจะลุกไหม้เป็นไฟมั้ย
     ซิ่นหลิง  : งั้นเรามาทดสอบกัน (เขาดึงมีดพกออกมาจากในเสื้อ)
         อันฉี  : เฮ้ย! พกมีดมาด้วยเหรอ เอามาทำไรเนี่ย?!
      ซิ่นหลิง  : มีดพกของข้า ข้าพกติดตัวไว้ตลอด พกไว้ใช้ยามจำเป็น (เขาส่งมีดให้ฉันถือ) แค่ให้บาดปลายนิ้วก็พอ

         ฉันรับมีดพกจาก ซิ่นหลิง มาถือไว้ในมือ แล้วจรดปลายมีดลงที่ปลายนิ้วชี้ แต่ไม่กล้าเฉือนคมมีดลงไปที่นิ้วเพราะกลัวเจ็บ รีๆ รอๆ จดๆ จ้องๆอยู่แบบนั้น ซิ่นหลิง ที่นั่งรอดูอยู่ข้างๆคงรำคาญจึงแกล้งขยับตัวเข้ามากระทบที่แขนเพื่อให้มีดบาดถูกนิ้วฉัน

         อันฉี  : อ้ากกก! มีดบาด เจ็บอ่า! ดูดิ! บาดลึกด้วยอ่า!
     ซิ่นหลิง  : ไหนดูซิมีไฟลุกไหม้ออกมามั้ย?
         อันฉี  : ไม่มี! มีแต่เลือดไหลออกมาเนี่ย ออกเยอะด้วย หาผ้ามาเช็ดเร็ววววว!
     ซิ่นหลิง  : ข้าไม่มีผ้า มาเช็ดที่เสื้อข้าก็ได้
         อันฉี  : อย่า! เสื้อผ้าเลอะหมด เดี๋ยวซักไม่ออก เดี๋ยวขอคิดก่อนเอาผ้าไรเช็ดดี ผ้าก็ไม่มีซะด้วยสิ

เพลงเกาหลี GOOD BOY : GD X TEAYANG
YouTube by : BIGBANG

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

          

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 8
(สุนัขเยือกแข็งบุกโจมตี)    

          ฉันยื่นมือที่เลือดกำลังไหลออกห่างตัวเพราะกลัวเลือดเลอะเปรอะเสื้อผ้าของ เสวี๋ยฉี ที่ฉันกำลังสวมใส่ จึงปล่อยให้เลือดหยดลงพื้น แต่ตรงมือที่ยื่นออกไปมีต้นไม้ต้นเล็กๆขึ้นอยู่เลือดจึงหยดลงไปโดน ต้นไม้ถูกหยดเลือดพิษ จึงเหี่ยวแห้งไหม้ตายในทันที ฉันชี้ให้ซิ่นหลิงดูที่ต้นไม้ที่ไหม้เหี่ยวแห้งตาย เขาทำหน้าประหลาดใจมาก แล้วบอกให้ฉันลองหยดเลือดลงบนต้นไม้อีกครั้ง ต้นไม้ก็เหี่ยวแห้งตายในทันทีเหมือนกัน

     ซิ่นหลิง  : โห! เลือดของเจ้ามีพิษแรงขนาดนี้เชียวเหรอ ขอดูแผลเจ้าหน่อยเป็นยังไงบ้าง
          อันฉี  : ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ

          ฉันส่งมือให้ ซิ่นหลิง ดูแผล จากแผลที่ถูกมีดบาดลึก แผลกำลังค่อยๆสมานด้วยตัวเองช้าๆ ทำให้เราสองคนยิ่งประหลาดใจเพิ่มขึ้นไปอีก

      ซิ่นหลิง  : แผลกำลังสมานด้วยตัวเอง!
          อันฉี  : จริงด้วย มิน่าล่ะถึงไม่ค่อยเจ็บเหมือนตอนโดนมีดบาดแรกๆ
     ซิ่นหลิง  : เจ้าดูสิ แผลกำลังจะสมานกันเสร็จสมบูรณ์ พลังฟื้นฟูของเจ้าอยู่ในขั้นสูงเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น พิษโลหิตวารี ที่ร้ายแรงของข้ายังทำร้ายเจ้าไม่ได้อีกด้วย
           อันฉี : พิษโลหิตวารี โดนตอนไหน เมื่อไหร่?
     ซิ่นหลิง  : ที่มีดพกของข้ามีพิษโลหิตวารี
         อัญฉี  : อ้าว! เอามีดพกมีพิษมาให้ฉันใช้ ตั้งใจจะฆ่ากันใช่มั้ย?
      ซิ่นหลิง  : ไม่ใช่แบบนั้น ข้าไม่มีความคิดที่จะฆ่าเจ้า แค่ทดสอบพิษเท่านั้น
          อันฉี  : เห็นฉันเป็นหนูทดลองเหรอ แล้วถ้าฉันตายขึ้นมาจะทำยังไง?!
      ซิ่นหลิง  : อันฉี ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เจ้าเคยกินผลอัคคีที่มีพิษแรงมากกว่าพิษโลหิตวารีของข้าเจ้าก็ยังไม่เป็นอะไร ข้าแค่ทดสอบเพื่อไขข้อข้องใจของข้าเท่านั้นเอง เลือดของเจ้าเป็นพิษต่อผู้อื่น และเจ้าก็สามารถต่อต้านพิษของผู้อื่นได้ด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ เจ้าทุบตีข้าก็ได้ ถ้าทำให้เจ้าหายโกรธ (เขาทำสายตาอ้อนวอน)
          อันฉี  : เออ! ไม่โกรธก็ได้ แต่ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ จะทดลองอะไรให้บอกกันก่อน ปรึกษากันก่อน เข้าใจหรือเปล่า!
      ซิ่นหลิง  : งั้นข้าขอทดลองอะไรอีกอย่างหนึ่งได้มั้ย?
          อันฉี  : ทดลองอะไรอีกล่ะ นี่ยังไม่พออีกเหรอ ลองบอกมาก่อน ถ้าอันตรายเกินไปก็ขอปฏิเสธ
      ซิ่นหลิง  : ข้าขอชิมเลือดของเจ้าหน่อย แค่หยดเดียวก็พอ
          อันฉี  : ไม่ได้นะ เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก จำไม่ได้เหรอ ที่เกือบตายเพราะกัดฉันน่ะ แล้วจะขอชิมเลือดอีกทำไม
      ซิ่นหลิง  : คือตอนนี้ข้ามีพิษเพลิงลาวาคลั่งอยู่ในตัวจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า ข้าอยากรู้ว่าถ้าได้รับพิษซ้ำเข้าไปอีกครั้งจะมีผลอย่างไร เจ้าอย่าห่วงเลยน่าถ้าข้าพิษกำเริบ เจ้าก็ให้ยาถอนพิษกับข้า (เขาเอานิ้วมาจิ้มที่ริมฝีปากของฉัน)
          อันฉี  : แต่วิธีนี้มันเสี่ยงอยู่นะ ถ้าคราวนี้ไม่ได้ผลขึ้นมาจะทำยังไง
      ซิ่นหลิง  : ถ้าเราไม่ลอง เราก็จะไม่รู้ จริงมั้ย? ข้าไว้ใจเจ้า ข้าก็อยากให้เจ้าไว้ใจข้าด้วย
          อันฉี  : ก็ได้ ไม่ลอง ไม่รู้!
      ซิ่นหลิง  : ยื่นนิ้วมา ข้าจะใช้ปลายมีดกดให้มีแผลเล็กเท่าเข็มก็พอ หลับตาซะถ้ากลัว

          เขากดปลายมีดรวดเร็ว และแผ่วเบาที่ปลายนิ้วชี้ของฉันอีกครั้ง แต่ไม่รู้สึกเจ็บ บีบเบาๆที่นิ้วเพื่อให้เลือดออก จากนั้นเขาใช้ลิ้นเลียที่เลือดนั่น และทันทีที่เลือดสัมผัสถูกปลายลิ้น เขาก็มีอาการเจ็บปวด แสบร้อน ฉันใช้ดวงตาปีศาจตรวจดูเพลิงลาวาคลั่งในตัวเขา เพลิงลาวาคลั่งที่เคยดับไปแล้ว กลับเป็นเปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำอีกครั้งในกายเขาเหมือนครั้งแรกที่เขาถูกพิษ ตอนนี้พิษกำลังกำเริบ

          ฉันรีบประคองซิ่นหลิงมานั่งพิงก้อนหินก้อนใหญ่ เขาดิ้นทุรนทุรายเพราะแสบร้อนพิษกำเริบ ฉันพยายามประคองให้เขานั่งตรงๆ เพื่อให้ยา แต่เขากำลังดิ้นเพราะความเจ็บปวด ฉันจึงลุกขึ้นนั่งคร่อมลงบนตักเพื่อให้เขานั่งนิ่งๆ ฉันบอกให้เขาเงยหน้าขึ้นแล้วอ้าปากเล็กนัอย และรีบสอดใส่ลิ้นเข้าในปาก เขาเองก็รีบตอบรับและสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปากของฉัน เราจูบแลกลิ้นกันจนเคลิบเคล้ม สักพักเขาเอื้อมมือมากอดที่หลังฉันแน่น มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปบีบขยำที่ก้น เขาเริ่มจูบฉันรุนแรงขึ้น มือของเขาเริ่มบีบและขยำก้นฉันแรงขึ้น อาการเจ็บปวดน่าจะทุเลาลงแล้ว ฉันกำลังจะถอนริมฝีปากออก แต่เขาไม่ยอมปล่อย เขากดศรีษะของฉันไว้ไม่ให้ถอนริมฝีปากออกและดูดลิ้นฉันอย่างหื่นกระหาย ซิ่นหลิงกอดรัดฉันแน่นขึ้นกว่าเดิม มือของเขาที่กำลังบีบขยำที่ก้น เขาออกแรงดันมือจนเนินช่วงล่างของฉันสัมผัสกับแท่งเนื้อแข็งของเขา เขาดันมือเป็นจังหวะแรงขึ้นอีกครั้งให้เราสัมผัสกันมากขึ้น เขาขยับรับจนฉันเกิดอาการเสียวซ่านขนลุก ฉันเองก็เผลอขยับและบดเนินสวรรค์ให้เสียดสีกับแท่งเนื้อแข็ง เขาถอนริมฝีปากออกแล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาไซร้ซอกคอ จนฉันจักจี้ คอเสื้อฉันถูกเปิดออกกว้างและถูกจูบไล่ลงมาที่หัวไหล่ แท่งเนื้อแข็งยังคงบดเบียด เสียดสีกันเป็นจังหวะไม่หยุด "โอ๊ววว..ฮ๊าาา อาาา" ซิ่นหลิง จับฉันนอนหงายลงกับพื้นแล้วโถมตัวขึ้นทับ แทรกขาข้างหนึ่งเข้าใต้ขาแล้วงอขาเพื่อให้หว่างขาฉันอ้ากว้างขึ้น เขาก้มจูบและเลียที่เนินอกข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งบีบคลึงหน้าอกสนุกมือ เขาขยับแท่งเนื้อแข็งส่วนล่างให้เสียดสีและกระแทกเบาๆเป็นจังหวะ ฉันรู้สึกเสียวจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และขยับกันเด้งรับเขาอย่างลืมตัว สองมือของฉันเอื้อมไปบีบที่ก้นแน่นๆของเขา "อ๊าาาา...ซิ่นหลิง ...อย่า" เขากระแทกแรงขึ้น และเอื้อมมือจะถอดกางเกง "ซิ่นหลิง...อย่า ฉันยังไม่พร้อม...ขอเวลา" เขาหยุด และเงยหน้ามองสบตาฉันที่กำลังขอร้องให้เขาหยุด เขาจูบฉันอีกครั้งอย่างดูดดื่ม และเลียลงมาที่ซอกคอ กัดเบาๆ แล้วพูดว่า "ข้าจะกินเจ้า! แฮ่" เขาจี้เอวฉันจนฉันหัวเราะ แล้วกระซิบที่ข้างหูว่า...

      ซิ่นหลิง  : อะไรที่เริ่มขึ้นแล้ว มันยากที่จะหยุด
          อันฉี  : อะไรที่เริ่มขึ้นได้ ก็ต้องหยุดได้ ....ฉันขอเวลา
      ซิ่นหลิง  : ข้าจะรอ...

          แล้วเราก็นอนจูบกันอยู่ตรงนั้นสักพักท่ามกลางบรรยากาศทะเลหมอกเบื้องล่าง จูบอันแสนหวานยามเช้า จูบหวานๆที่ ซิ่นหลิง เริ่มขึ้นแล้วมันยากที่จะหยุดจริงๆ

          เริ่มสาย แสงแดดเริ่มร้อนขึ้น ฉันชวน ซิ่นหลิง กลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ฉันอาจจะทนไม่ไหวจัดเต็มกับ ซิ่นหลิง ก็เป็นได้ เราขึ้นทวนโลหิตวารีกลับ ระหว่างทางฉันชวน ซิ่นหลิง ลงตรงปากทางเข้าป่าไผ่เขียว เพราะฉันอยากเดินชมความสวยงามของป่าไผ่ก่อนเข้าบ้าน เราชี้ชวนกันดูต้นไผ่สีเขียวสด ลำต้นสูงแข็งแรง แสงแดดส่องผ่านลำต้นไผ่คล้ายม่านบางเบา สวยงามจับใจ

          อันฉี  : ต้นไผ่สวยมาก คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะมีโอกาสได้มาอยู่ในที่ที่สวยงามขนาดนี้
      ซิ่นหลิง  : แล้วที่บ้านของเจ้าเป็นยังไงรึ?
          อันฉี  : ที่บ้านของฉันไม่มีแบบนี้หรอก ไม่มีต้นไม้ ไม่มีป่า มีแต่บ้านที่สร้างขึ้นติดๆกันเต็มไปหมด อากาศไม่บริสุทธิ์เหมือนที่นี่ ฉันชอบที่นี่จังเลย
      ซิ่นหลิง  : เจ้าเห็นงูทหารยามตรงนั้นมั้ย?
          อันฉี  : ไหนอ่ะ...มองไม่เห็น
      ซิ่นหลิง  : เจ้าเปิดดวงตาปีศาจสิ จะมองเห็น
          อันฉี  : ฮ๊า! เห็นแล้ว แต่ตัวเล็กนิดเดียวเอง สีเขียวกลมกลืนกับต้นไผ่เลย ถ้าไม่เปิดดวงตาปีศาจนี่มองไม่เห็นเลยนะ
      ซิ่นหลิง  : เห็นตัวเล็กๆแบบนั้น แต่มีพิษร้ายแรง พวกมันคงออกมาดูเจ้า กับข้า ที่มีเลือดกลิ่นเดียวกันกับ เสวี๋ยฉี
          อันฉี  : (ฉันหันมองไปรอบๆ) โห! มีงูอยู่เยอะจริงๆ มีทั้งตัวเล็ก และตัวใหญ่ นี่กองทัพย่อมๆเลย ไม่น่าเชื่อ เสวี๋ยฉี ออกจะสวย เซ็กซี่ แต่กลับมีสมุนเยอะแยะ เหมือนหัวหน้าแก๊งยากุซ่า เลย
      ซิ่นหลิง  : ยากุซ่า คืออะไรรึ?
          อันฉี  : อ๋อ...คือ..ที่บ้านของฉันใช้เรียกกลุ่มคนอันธพาล พวกลูกสมุนจะเรียกหัวหน้าว่า ลูกเพ่!

          ทันใดนั้น พวกงูทหารยามก็มีปฏิกิริยาก้าวร้าว แยกเขี้ยว ขู่ฟ่อ เหมือนตั้งท่าจะโจมตีอะไรสักอย่าง ฉันตกใจรีบโดดเกาะแขนซิ่นหลิงแน่น

          อันฉี  : เกิดอะไรขึ้น?! ทำไมพวกงูถึงแยกเขี้ยว ขู่ฟ่อ กันทุกตัวเลย พวกงูจะทำร้ายเราเหรอ?
      ซิ่นหลิง  : ไม่ใช่ (เขาเอามือแตะที่พื้น) มีบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ มีมากกว่าสอง จิตสังหารรุนแรงมาก แย่ล่ะ! พวกมันมาแล้ว! ไม่ทันแล้ว!!

           ชั่วอึดใจบางอย่างที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว รูปร่างมันคล้ายสุนัข สีขนมีสีขาวซีด ที่หลังมีขนตั้งเป็นแผงคล้ายทรงโมฮอก บางตัวมีลายจุดน้ำตาล มีหางยาว ไหล่และหัวกว้าง ไหล่สูงกว่าขา หน้าตามันดูน่ากลัวอัปลักษณ์ เสียงร้องคล้ายเสียงหัวเราะ เอ๊ะ! ใช่แล้ว หน้าตามันคล้ายหมาไฮยีน่า ที่เคยดูในรายการสารคดีที่บ้านแต่ในสารคดีมันมีสีน้ำตาล หมาไฮยีน่าสีขาว 5 ตัว กำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว เหล่างูทหารยามเข้ารุมโจมตี แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ งูหลายตัวกลายเป็นน้ำแข็ง งูใหญ่หลายตัวพุ่งเข้ากัด หมาไฮยีน่า แต่หมาไฮยีน่าสามารถหลบการกัดและหันกัดตอบจนงูกลายเป็นน้ำแข็ง งูใหญ่บางตัวพุ่งเข้ารัดหมาไฮยีน่าจนล้มลง แต่หมาไฮยีน่าก็สู้และกัดงูจนกลายเป็นน้ำแข็งอีกเหมือนกัน ซิ่นหลิง บอกให้ฉันรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน เขาจะอยู่ขวางพวกหมาไฮยีน่าที่นี่ ฉันเป็นห่วงเขาที่จะต้องต่อสู้กับหมาไฮยีน่า 5 ต่อ 1 นั่นยากที่จะชนะ ฉันบอกจะอยู่สู้ด้วยกันกับเขาที่นี่ แต่ซิ่นหลิงไม่ยอม เขาบอกว่าฉันอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยู่เกะกะเปล่าๆ เขาจูบฉันหนึ่งครั้ง และผลักที่หลังฉันแล้วสั่งให้ "วิ่ง!"

          ฉันวิ่งแยกออกมาจาก ซิ่นหลิง แล้วรีบวิ่งตรงไปบ้านที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร ซิ่นหลิง หันหลังกลับไปตั้งท่าต่อสู้ แล้วดึงทวนโลหิตวารีออกมาจากทางด้านหลัง และวิ่งเข้าไปหาพวกมัน หมาไฮยีน่า 5 ตัวกำลังรุมเขา ฉันเห็นเขากวัดแกว่งทวนอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางที่เขากำลังต่อสู้ดูว่องไว และสวยงาม เท่ห์สุดๆ ฉันเห็นเขาแทงหมาไฮยีน่าล้มลงไปนอนกับพื้น 1 ตัว อีก 4 ตัวที่เหลือยังคงรุมเขา มีหมาไฮยีน่า 2 ตัวมันแยกตัวออกมาแล้ววิ่งมาหาฉันที่กำลังวิ่งหนีอยู่ ซิ่นหลิง วิ่งตามมาอย่างเร็วและกระโดดมาขวางหน้าหมา 2 ตัวที่แยกตัวออกมา แล้วเริ่มต่อสู้กับหมา 2 ตัวนั้น ส่วนหมาตัวที่ถูกทิ้งไว้ก็วิ่งตามมาสมทบแล้วแยกตัวออกวิ่งไล่ล่าฉันอีกครั้ง ซิ่นหลัง พยายามจะมาช่วยฉัน แต่ก็ถูกหมา 2 ตัวมาขวาง เหมือนพวกหมาทำงานกันเป็นทีม พวกมันดูฉลาด แข็งแรง และน่ากลัว

          หมาไฮยีน่า 2 ตัวที่วิ่งแยกตัวออกมาไล่ล่าฉัน มันวิ่งใกล้ถึงแล้วทำท่ากระโดดใส่ ทันไดนั้นก็มีร่างดำๆตัวใหญ่โดดเข้ามาขวางทาง เขาคือเสือดำตัวใหญ่ตัวนั้น เสือดำคำรามเสียงดังน่ากลัว หมาไฮยีน่าชะงักนิดหนึ่ง เสือดำพูดขึ้นว่า "หนีไป" แล้วกางกงเล็บกระโจนเข้าโจมตีหมาไฮยีน่า 2 ตัวนั่น ฉันจึงรีบวิ่งต่อ ซิ่นหลิง และเสือดำกำลังต่อสู้พัลวัลกับหมาไฮยีน่า ฉันต้องวิ่งให้ถึงเขตป้องกันโดยเร็ว แต่หมาไฮยีน่าตัวหนึ่งมาจากไหนไม่รู้กระโดดมาขวางทางหน้าฉันอย่างกระชั้นชิด ที่ลำตัวของมันมีบาดแผล คงเป็นตัวที่ซิ่นหลิงแทงแล้วล้มลงตัวแรกนั้น มันยังไม่ตาย มันแยกเขี้ยวและกระโจนจะกัดฉันทันที

          ด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว ฉันยกฝ่ามือขึ้นบังที่ปากของหมาไฮยีน่าที่กระโดดเข้ากัด ที่ฝ่ามือปรากฏแสงสีขาวอมฟ้าระเรื่อแผ่กระจายออกเป็นวงกลมคล้ายโล่ของทหาร แผ่กำบังฉัน หมาไฮยีน่ากระแทกเข้ากับแสงคล้ายโล่จนกระเด็นถอยห่างออกไป ฉันเองก็กระเด็นล้มลงเพราะแรงกระแทกจากหมาไฮยีน่า หมาไฮยีน่ารีบลุกขึ้นท่าท่างของมันโมโหมากและกระโดดเข้ามาจะกัดฉันอีกครั้ง ทันใดนั้น เสวี๋ยฉี กระโดดเข้ามาเหยียบหมาไฮยีน่าตัวนั้นจนมันล้มลงนอนกับพื้น เขาเหยียบมันไว้ใต้ฝ่าเท้าแล้วมองมันด้วยสายตาโกรธเคือง เขายื่นมือข้างหนึ่งไปที่หัวของมัน จากนั้นกระบี่บินหยกขาวที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อพุ่งผ่านมือจนด้ามกระบี่ถูกจับอยู่ที่มือ ปลายแหลมคมของกระบี่พุ่งแทงหัวหมาไฮยีน่าพอดี เท่ห์โคตร!

          เสวี๋ยฉี รีบเข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้น แล้วรีบสำรวจดูว่าฉันบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ฉันบอกว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉันดูที่มือแสงโล่นั่นหายไปตอนที่ฉันถูกหมาไฮยีน่ากระโจนใส่จนล้ม ฉัน งง และแปลกใจที่มีอะไรใหม่เกิดขึ้นกับฉันอีกแล้ว ถ้า ซิ่นหลิง รู้คงชวนฉันไปทดสอบอีกแน่ๆ

         "เปรี้ยง! เปรี้ยง!" ฉันสะดุ้งตกใจอย่างแรงรีบเอามืออุดหู เพราะอยู่ๆก็มีเสียงฟ้าผ่าทั้งๆที่ฟ้าก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก เสวี๋ยฉี รีบกอดฉันเอาไว้ แล้วเอามือมาช่วยปิดหูให้ฉัน เพราะเห็นฉันตกใจกลัวอุดหูแน่น

      เสวี๋ยฉี  : อย่ากลัวนะ ข้าอยู่นี่แล้ว, นี่เจ้าเสือดำ หยุดทำเสียงฟ้าผ่าเดี๋ยวนี้! อันฉี ของข้าตกใจกลัวหมดแล้ว!
       เสือดำ  : พวกมันตายหมดแล้ว ข้าขอโทษที่ทำให้ตกใจกลัว
          อันฉี  : ขอบคุณที่มาช่วยค่ะ
     ซิ่นหลิง  : สุนัขน่าเกลียดพวกนั้นมันมาจากที่ไหนกัน อ้าว! เจ้าเสือขอบใจที่มาช่วยนะ แล้วนี่มาได้ยังไง (จากนั้นหันไปมองที่ เสวี๋ยฉี) เอ๊ะ! เจ้างูรู้ด้วยเรอะว่ามีสุนัขน่าเกลียดมาโจมตีที่นี่น่ะ?
      เสวี๋ยฉี  : ที่นี่บ้านของข้า ทำไมข้าจะไม่รู้ ข้าถึงรีบกลับมานี่ไง (แล้วเขาก็หันไปพูดกับเสือดำ) ฮึ! บ้านข้าไม่ต้อนรับแขกเพิ่มหรอกนะ!
          อันฉี  : อย่าพูดแบบนั้นสิ ยังไงก็คนเคยรู้จักกัน อีกอย่างเขาก็มาช่วย ให้เขาไปดื่มน้ำที่บ้านสักแก้วเถอะนะ อยากคุยกับเขาด้วยเรื่องหมาพวกนั้น นะ น๊า (ฉันเข้าไปกอดแขน เสวี๋ยฉี แล้วออดอ้อนเพราะรู้ทางว่า เสวี๋ยฉี จะใจอ่อนถ้าออดอ้อนขอร้องเขา)
       เสวี๋ยฉี  : ฮึ! ก็ได้ แค่น้ำแก้วเดียวพอนะ
          อันฉี  : อื้ม...ขอบคุณค่ะ คุณเสือดำไปคุยกันที่บ้านก่อนนะคะ
      เสือดำ  : ดี ....ข้าก็อยากคุยเรื่องนี้เหมือนกัน
      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย เรารีบกลับบ้านกันเถอะ วันนี้ข้าซื้อชุดสวยๆมาให้เจ้าหลายชุดเลย ซื้อรองเท้าใหม่มาให้เจ้าด้วยนะ เจ้าจะได้เดินสะดวกขึ้น
          อันฉี  : ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่มีเงินให้ค่าชุดกับรองเท้า
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าไม่ต้องเอาเงินมาให้ข้าหรอก ข้าเต็มใจซื้อให้เจ้า
     ซิ่นหลิง  : นี่ๆ เจ้างูซื้อของมาฝากข้าด้วยหรือเปล่า?
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าไม่ได้เป็นอะไรกับข้า ทำไมข้าต้องซื้อของมาฝากเจ้า!
     ซิ่นหลิง  : แหม...เจ้านี่แล้งน้ำใจจริงๆ
      เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่จำเป็นต้องมีน้ำใจกับเจ้า!
         อันฉี  : ซิ่นหลิง...นี่! ทำไมชอบยั่วโมโหนักนะ (ฉันตีแขนซิ่นหลิงเบาๆ และรีบพูดตัดบทให้หยุดทะเลาะ) เสวี๋ยฉี ฉันอยากเห็นชุดใหม่กับรองเท้าคู่ใหม่เร็วๆจังเลย
      เสวี๋ยฉี  : งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ

          เสวี๋ยฉี อุ้มฉันแล้วพากระโดดสูงข้ามป่าไผ่ ไม่ต้องเดิน ทำให้เรามาถึงบ้านก่อน เขาพาฉันเข้าบ้านไปดูชุดที่ซื้อมา หยิบชุดขึ้นมาโชว์หลายชุดแล้วนำมาทาบกับตัวของฉัน

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าชอบมั้ย สีที่ข้าเลือกให้ เจ้าชอบหรือเปล่า
          อันฉี  : ชอบสิ ชอบมากทุกชุด ว่าแต่รู้ขนาดตัวได้ยังไง ว่าใส่ขนาดไหน
      เสวี๋ยฉี  : รู้สิ ข้าวัดขนาดตัวของเจ้าแล้ว
          อันฉี  : วัดขนาดตัวตอนไหน เมื่อไหร่ ใช้อะไรวัด?
      เสวี่ยฉี  : วัดขนาดตัวของเจ้าเมื่อคืน ข้าแค่มองก็รู้ขนาดตัวของเจ้าแล้ว ยิ่งจับด้วยแล้วรับรองไม่มีพลาด
          อันฉี  : เมื่อเช้า เอ่อ...เอ่อ...ทำรอยไว้หรือเปล่า (ฉันชี้นิ้วที่เนินอกและท้อง)
      เสวี๋ยฉี  : อ๋อ..ใช่ ข้าทำไว้เอง ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่า เจ้าเป็นของข้า
          อันฉี  : ไม่ต้องทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้หรอก ไม่หนีไปไหนหรอก...คือ..ยังไงก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว แหะแหะ
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าบอกข้าเมื่อคืน ว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป จำได้ใช่มั้ย ห้ามผิดคำพูดล่ะ?
          อันฉี  : จำได้ ไม่ลืมหรอก
      เสวี๋ยฉี  : ข้าคิดถึงเจ้ามากรู้มั้ย ยิ่งรู้ว่าเจ้าถูกพวกสุนัขพวกนั้นโจมตี ข้าก็ยิ่งเป็นห่วงเจ้ามาก ต่อไปข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวอีกแล้ว ฮึ! ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าแมงป่องนั่น ข้าฝากเจ้าไว้กับมัน มันบอกจะย่างกระต่ายให้เจ้ากิน แต่นี่กลับพาเจ้าออกไปข้างนอก จนต้องพบกับอันตราย
          อันฉี  : อย่าไปว่าซิ่นหลิงเลย ฉันคะยั้นคะยอให้เขาพาออกไปเอง แค่อยากออกไปดูทิวทัศน์สวยๆน่ะ ขอโทษที่ออกไปข้างนอกโดยไม่ได้บอกคุณก่อน (ฉันรับผิดแทนซิ่นหลิงและทำหน้าสำนึกผิด)
      เสวี๋ยฉี  : หืม...ก็ได้ ก็ได้ แค่เห็นเจ้าปลอดภัยข้าก็พอใจแล้ว คราวหน้าข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเอง อยากไปไหนให้บอกข้า
          อันฉี  : อื้มม.. แล้วพวกงูที่อยู่ในป่าไผ่ล่ะ เห็นมีตาย และบาดเจ็บหลายตัว ให้ฉันไปดูอาการและรักษางูพวกนั้นดีกว่านะ
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ต้องหรอก พวกงูที่ตายก็ให้ตายไป เราช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนพวกงูที่บาดเจ็บเดี๋ยวก็หาสมุนไพรรักษากันเองได้ ที่นี่มีสมุนไพรอยู่มาก อย่ากังวลเลย
          อันฉี  : แต่จะดีเหรอ พวกเขาตายและบาดเจ็บเพราะช่วยฉัน
       เสวี๋ยฉี  : ข้าบอกเจ้าว่าอย่ากังวลยังไงล่ะ เหล่าสมุนของข้าไม่มีใครกลัวตาย กฏของข้าที่นี่ ห้ามงูที่ขี้ขลาดกลัวตายอยู่ที่ป่าไผ่เขียวของข้า และแม้เจ้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเขาก็เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องถิ่นที่อยู่ของพวกเขาเอาไว้อยู่ดี เอางี้..พรุ่งนี้ถ้ามีงูตัวไหนบาดเจ็บสาหัสจนหาสมุนไพรกินเองไม่ได้ ข้าจะให้เข้ามารักษากับเจ้า ตกลงมั้ย? แต่เจ้าห้ามจูบรักษาพวกนั้นนะ ข้าไม่อนุญาตเจ้า!
          อันฉี  : ตกลง แบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
       เสวี๋ยฉี  : แต่วันนี้เจ้าก็ต้องถูกทำโทษ และจำไว้อย่าออกไปไหนโดยไม่มีข้าไปด้วย
          อันฉี  : อื้ม...แล้วจะทำโทษยังไง?!
       เสวี๋ยฉี  : ตอนอาบน้ำเจ้าต้องไปขัดหลังให้ข้า
          อันฉี  : ตกลง! (ฉันคิดในใจ...คิดว่าจะถูกโบย 30 ที แบบในละครซีรี่ย์ซะอีก ค่อยยังชั่ว)
       เสวี๋ยฉี  : อ้อ..ลืมไปนี่รองเท้าใหม่ของเจ้า ลองสวมดูซิ พอดีเท้ามั้ย?
         อันฉี  : อ๊ะ! ใส่ได้พอดีเลย คุณเก่งจัง รู้ขนาดยันเบอร์รองเท้า สุดยอด!
      เสวี๋ยฉี  : ข้าควรได้รับรางวัลหน่อยน๊า (เขาชี้นิ้วไปที่แก้มตัวเอง)
          อันฉี  : อ่ะได้สิ มา จะให้รางวัลเยอะๆ

          ฉันหอม เสวี๋ยฉี ที่แก้มฟอดใหญ่ทั้งสองข้าง หอมที่หน้าผากฟอดใหญ่อีก 1 ครั้ง และจูบที่ริมฝีปากเพื่อเอาอกเอาใจเขาให้เขาอารมณ์ดี และจะรีบไปคุยเรื่องหมาไฮยีน่ากับ ซิ่นหลิง และเสือดำ ที่กำลังรออยู่ที่หน้าบ้าน

         อันฉี  : เอาน้ำไปให้ซิ่นหลิง กับเสือดำดื่มก่อนนะ จะคุยเรื่องสุนัขพวกนั้นด้วย ไปล่ะ
     เสวี๋ยฉี  : ให้ดื่มน้ำแค่แก้วเดียวพอ แล้วไล่พวกนั้นไปซะ

晃兒醉翁與酒醉翁之意不在酒在乎山水之間也國風物語 คนเมา
YouTube by : Chinoiserie

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 9
(ทดสอบโล่ป้องกัน) 

          ฉันยกน้ำชามาที่ชานหน้าบ้าน เพราะซิ่นหลิง กับเสือดำรออยู่ที่นี่ แต่กลับต้องแปลกใจ เพราะ ซิ่นหลิง นั่งอยู่กับชายหนุ่ม อายุใกล้เคียงกับ เสวี่ยฉี แต่ไม่ใช่เสือดำ ฉันวางถาดน้ำชาแล้วนั่งลงข้างๆ ซิ่นหลิง แล้วพูดขึ้นว่า....

         อันฉี  : หรือว่านี่คือ...คุณเสือดำ?
      เสือดำ  : ใช่ ข้า...หู่หยงเป่า
         อันฉี  : ฉัน....อันฉี ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง (ฉันยื่นมือไปจับมือกับ หู่หยงเป่า แล้วเขย่าเช็คแฮนด์)

          ฉันตะลึงในความหล่อคมเข้ม ของเสือดำในร่างมนุษย์ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเสือดำที่ดุร้าย ขี้โมโห เคยไล่ล่าจะกินฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย จะกลายเป็นชายหนุ่มหล่อ ร่างสูงโปร่ง ผิวขาว นัยตาคม มีเสน่ห์ แลดูเป็นผู้ใหญ่ หู่หยงเป่า กล่าวขอบคุณที่ฉันรักษาพิษ และสมานกระดูกหักให้ ฉันจึงกล่าวขอโทษที่ทำเขากระดูกหัก ฉันถามเขาว่ามาที่นี่ได้ยังไง แล้วสุนัขขี้เหร่พวกนั้นมายังไง

         หู่หยงเป่า เล่าว่า สุนัขพวกนั้นคือ สุนัขเยือกแข็ง ไม่รู้ที่มาว่ามาจากไหน พวกมันออกอาละวาดที่ป่าทางใต้เมื่อเดือนก่อน สัตว์และปีศาจจำนวนหนึ่งถูกพวกสุนัขเยือกแข็งฆ่าตาย พวกมันมีพลังเวทย์สูง และฉลาด กำจัดไม่ได้ง่ายๆเหมือนปีศาจทั่วไป และดูเหมือนพวกมันกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เขาไล่ตามสุนัขเยือกแข็งไปถึงบริเวณป่าตอนกลาง และเจอกับฉันที่นั่นจนกระดูกหัก จากนั้นเขาก็ไล่ตามพวกมันจนมาถึงที่นี่ เขาคิดว่าเป้าหมายของสุนัขเยือกแข็งอยู่ที่ป่านี้แต่ไม่รู้สิ่งที่พวกมันต้องการคืออะไร

       เสวี๋ยฉี  : ไม่ว่าเจ้าหมาน่าเกลียดนั่นต้องการอะไร แต่มันจะไม่ได้อะไรไปจากป่าไผ่เขียวของข้า

          เสวี๋ยฉี พูดแทรกขึ้นมา พร้อมเดินมานั่งลงข้างๆฉัน ในมือถือขวดเหล้ามาด้วย ฉันจึงหยิบขวดเหล้ามารินใส่ถ้วยให้พวกเขาทั้งสาม

      ซิ่นหลิง  : ยังไงก็อย่าประมาท เพราะมันจู่โจมเข้ามาเร็วมากจนตั้งตัวแทบไม่ทัน สุนัขพวกนั้นมันไม่ได้ตายง่ายๆ, อันฉี เจ้าเองก็ต้องระวังตัวด้วย
   หู่หยงเป่า  : ข้าก็จะอยู่ดูเหตุการณ์ที่นี่สักพัก ข้าคิดว่ามันอาจจะกลับมาอีก (เขาหันหน้าไปถามเสวี๋ยฉี) เจ้าเคยเห็นสุนัขเยือกแข็งบริเวณนี้มาก่อนหรือไม่?
       เสวี๋ยฉี  : ตั้งแต่ข้ามาอยู่ที่นี่ ยังไม่เคยเห็นสุนัขน่าเกลียดชนิดนี้มาก่อน พวกมันมีไอเย็นแผ่ออกมาจากร่างกาย ข้าคิดว่าน่าจะมาจากดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็นจัด แต่ดินแดนที่หนาวเย็นจัดแบบนั้น อยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก แล้วพวกมันมาทำอะไรไกลถึงที่นี่กันนะ? (เสวี๋ยฉี หันมามองหน้าฉันที่กำลังฟังอย่างตั้งใจ) เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะไปงีบสักหน่อย อันฉี วันนี้เจ้าห้ามออกไปเล่นซนข้างนอกอีกนะ
          อันฉี  : อื้ม...รับรองวันนี้จะไม่ออกไปไหนแล้ว
      เสวี๋ยฉี  : ดี (เสวี๋ยฉี ลุกเดินออกไป)
     ซิ่นหลิง  : เจ้าสองคนเหมือนแม่กับลูกกันเลย ฮ่าฮ่าฮ่า 
         อันฉี  : แซวเหรอ (ฉันตีเบาๆที่แขนของซิ่นหลิง) นี่ คุณหู่หยงเป่า เสียงฟ้าผ่านั่น คุณเป็นคนทำเหรอคะ?
  หู่หยงเป่า  : เรียกข้าว่า หยงเป่า ก็ได้
          อันฉี  : ค่ะ คุณหยงเป่า
     หยงเป่า  : เสียงฟ้าผ่านั่นเป็นของข้าเอง ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจ เจ้ากลัวเสียงฟ้าผ่ารึ?
          อันฉี  : ใช่ คือฉันกลัวเสียงฟ้าผ่าตั้งแต่เด็กๆ เวลาฝนตกแล้วมีฟ้าผ่า ฉันจะสะดุ้งตกใจต้องรีบเอามืออุดหู ถ้าฟ้าผ่าตอนกลางคืนก็จะนอนไม่หลับ ต้องรอให้ฟ้าหยุดผ่าจึงจะหลับต่อได้
     หยงเป่า  : งั้นข้าจะไม่เรียกฟ้าผ่าตอนที่มีเจ้าอยู่ใกล้ๆแล้วกัน แต่ถ้าฝนตกแล้วมีฟ้าผ่า นั่นไม่ได้เกิดจากข้าหรอกนะ เกิดจากธรรมชาติข้าไม่อาจห้ามได้
          อันฉี  : เรื่องนั้นเข้าใจค่ะ อ๊ะ! ซิ่นหลิง ฉันมีของเล่นใหม่มาให้ดู
      ซิ่นหลิง  : อะไรเหรอ? (เขาทำหน้าสนใจ)
          อันฉี  : มันเกิดขึ้นตอนที่สุนัขเยือกแข็งกระโดดกัดฉัน

          ฉันชูมือขึ้นแล้วนึกถึงโล่ป้องกัน ก็ปรากฏโล่แสงสีขาวอมฟ้าระเรื่อออกมาจากฝ่ามือ

      ซิ่นหลิง  : โห! แสงโล่ป้องกัน เยี่ยมเลย (ซิ่นหลิงเอานิ้วมาเคาะที่แสงโล่) เจ้าใช้โล่นี่ป้องกันสุนัขเยือกแข็งเรอะ? แสงโล่แข็งแรงใกล้เคียงกับเกราะแมงป่องของข้าเลย
     หยงเป่า  : ใช่ตอนที่...สุนัขเยือกแข็งกระโดดเข้ากระแทกเจ้าจนล้มใช่มั้ย?
          อันฉี  : ใช่ แสงโล่ต้านทานการกัดได้ แต่เพราะฉันมีแรงน้อยไปหน่อยเลยยันการกระแทกไม่ไหวจนล้ม
    หยงเป่า  : เจ้าต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงขึ้น จะสามารถต้านทานแรงกระแทกจากศัตรูได้มั่นคงกว่านี้
          อันฉี  : ฉันก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นเหมือนกัน จะได้ป้องกันตัวเองได้บ้าง
     ซิ่นหลิง  : เอ...ไหนๆวันนี้เจ้าก็ออกไปไหนไม่ได้ ข้าว่า...เรามาทดสอบแสงโล่ของเจ้ากันดีกว่า ข้าอยากรู้ว่าจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน
          อันฉี  : กะไว้แล้วล่ะ ว่าจะต้องพูดแบบนี้
     ซิ่นหลิง  : งั้นเริ่มจากทดสอบง่ายๆก่อน เริ่มจากน้ำก่อนละกัน ข้าจะเทน้ำลงบนแสงโล่ ดูซิว่าแสงโล่กันน้ำมั้ย

          ฉันยืนอยู่ใต้แสงโล่เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ ซิ่นหลิง เทน้ำลงบนแสงโล่ น้ำไม่สามารถทะลุผ่าน แต่ไหลลงบนแสงโล่คล้ายร่มกันฝน เขาจึงเปลี่ยนมาใช้ก้อนหินปาใส่โล่ หินกระเด้งออกไปอีกทางหนึ่ง หินไม่สามาถทะลุผ่านโล่ได้ ซิ่นหลิงเดินเข้ามาชกที่โล่เบาๆ เพื่อทดสอบแรงกระแทก เขาบอกว่าขณะที่ใช้หมัดชกเบาๆลงบนแสงโล่ เขาสัมผัสถึงแรงสะท้อนกลับจากแสงโล่ นั่นอาจเป็นสาเหตุทำให้สุนัขเยือกแข็งกระเด็นถอยห่างออกไป ซิ่นหลิงจึงออกแรงชกลงบนโล่แรงขึ้น ทั้งฉันและซิ่นหลิงต่างกระเด็นถอยหลังจนฉันล้มลง หยงเป่าและซิ่นหลิงรีบวิ่งมาพยุงให้ฉันลุกขึ้น แล้วถามว่า....

      ซิ่นหลิง  : บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
          อันฉี  : ไม่เป็นอะไร แค่ล้มเพราะแรงกระแทก
     หยงเป่า  : แล้วที่มือล่ะเป็นยังไง บาดเจ็บหรือเปล่า
          อันฉี  : ไม่เจ็บ

          ขณะนั้นฉันเห็น เสวี๋ยฉี เดินออกมานั่งที่ชานบ้านพร้อมจิบเหล้ามองดูการทดสอบแสงโล่ของฉันกับซิ่นหลิงและหยงเป่าที่ลานหน้าบ้าน เขาคงนอนไม่หลับเพราะพวกเราส่งเสียงดัง ฉันเห็น เสวี๋ยฉี ไม่ได้เข้ามาขัดขวางหรือห้ามอะไร เขาคงเห็นด้วยกับการทดสอบ เราจึงทำการทดสอบแสงโล่กันต่อ

          ซิ่นหลิง บอกว่าอยากทดสอบโดยออกแรงชกแสงโล่ให้แรงมากกว่านี้ เขาจะชกด้วยความแรงระดับการต่อสู้กับผู้ชาย เพราะเขาคิดว่าแสงโล่มีความแข็งแรงใกล้เคียงเกราะแมงป่องของเขา แต่เกรงว่าฉันอาจจะต้านแรงไม่ไหว หยงเป่าจึงอาสาเป็นเบาะกันกระแทกให้ ฉันตอบตกลงเพราะคิดว่าหากได้รับบาดเจ็บ ร่างกายฉันก็สามารถฟื้นฟูได้เร็ว หยงเป่าจึงมายืนประคองฉันทางด้านหลัง ซิ่นหลิงเองก็ตั้งท่ารออยู่แล้ว

          อันฉี  : เดี๋ยวๆ นี่ตั้งท่ารอน่ากลัวแบบนี้ มีอะไรกับฉันหรือเปล่าเนี่ย มีอะไรอยากคุยกับฉันตรงๆมั้ย? (ฉันพูดหยอกเล่นกับซิ่นหลิง)
      ซิ่นหลิง  : เจ้าเตรียมตัวรักษาตัวเองได้เลย
          อันฉี  : เฮ้ย! จริงดิ!?
      ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
     หยงเป่า  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

          ซิ่นหลิง ชกลงบนแสงโส่ด้วยความแรงระดับหนึ่ง แต่แรงกว่าระดับที่สุนัขเยือกแข็งกระโดดกัดฉัน แรงกระแทกทำให้ฉันกระเด็นเข้าใส่หยงเป่า เราทั้งคู่กระเด็นออกไปห่างจากจุดทดสอบพอสมควร หยงเป่ากอดฉันไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่งกอดประคองศรีษะฉันเอาไว้เพื่อไม่ให้กระแทกกับพื้น โชคดีที่มีหยงเป่าคอยรองรับฉันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

      ซิ่นหลิง  : เอาล่ะ! ต่อไปการทดสอบสุดท้ายด้วยอาวุธ
          อันฉี  : อ๊า! กะจะฆ่ากันให้ตายเลยใช่มั้ยเนี่ย
     หยงเป่า  : ข้าว่า...ทดสอบกับอาวุธก็ดีนะจะได้รู้ว่าต้านทานอาวุธด้วยหรือไม่
      ซิ่นหลิว  : ใช่แล้ว ไหนๆก็ลงมือทดสอบกันแล้ว ก็ทำให้ถึงที่สุดเถอะ
          อันฉี  : อ่ะ! เอาก็เอา!

          ฉันยืนตั้งท่าเตรียมพร้อม หยงเป่ายืนประคองฉันด้านหลังเหมือนเดิม ซิ่นหลิงหยิบทวนโลหิตออกมา แล้วแทงเข้าที่แสงโล่อย่างแรง ทวนไม่สามารถแทงทะลุแสงโล่ได้ แต่เราทั้งสามกระเด็นตามแรงกระแทกเหมือนเดิม

          อันฉี  : ซิ่นหลิง! พอก่อนเหอะ ฉันจะช้ำในตายเสียก่อน (ฉันรีบวิ่งไปดื่มน้ำที่ เสวี่ยฉี รินรอไว้ให้)
      ซิ่นหลิง  : พอก่อนก็ได้ แต่เจ้าต้องฝึกกำลังแขนขาให้แข็งแรงกว่านี้หน่อย เวลาตั้งรับจะได้มั่นคง (ซิ่นหลิงเดินมานั่งพร้อมหยงเป่า)
       เสวี่ยฉี  : เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? (เขาถามฉันพร้อมปัดฝุ่นที่เสื้อผ้า จัดระเบียบผมยุ่ง)
          อันฉี  : ไม่เจ็บ แต่จุกนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่าห่วง (ฉันหยิบถ้วยน้ำขี้นมาดื่ม)
      เสวี๋ยฉี  : กินซาลาเปาสิ ข้าซื้อมาจากในเมือง
     ซิ่นหลิง  : น่ากินจังเลย ข้ากินด้วยได้มั้ย?
      เสวี๋ยฉี  : ไม่ได้! พวกเจ้ากลับกันไปได้แล้ว
         อันฉี  : เสวี๋ยฉี...พวกเขาเป็นแขกน๊า
      เสวี๋ยฉี  : แต่ข้าไม่ได้ต้อนรับพวกเขาสักหน่อย
         อันฉี  : พวกเขาเป็นเพื่อนอ่า~
     ซิ่นหลิง  : นั่นสิน๊า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เป็นเพื่อนกันไว้จะดีกว่านะสามคน ดีกว่าคนเดียวจริงมั้ย
          อันฉี  : ถูกต้อง
     หยงเป่า  : ข้ามานานแล้ว งั้นข้าขอตัวก่อน
     ซิ่นหลิง  : ถ้าได้ข่าวคืบหน้าอะไร มาบอกกันบ้างล่ะ
     หยงเป่า  : ได้, ขอลา
          อันฉี  : เสวี๋ยฉี สอนวิชาป้องกันตัวให้หน่อยสิ เอาแบบง่ายๆเป็นเร็วๆ ฝึกสัก 1-2 อาทิตย์ ก็พอ พอจะสอนให้ได้มั้ย?
     เสวี๋ยฉี  : ได้สิ ไว้ข้าจะสอนให้ ข้าเองก็ตั้งใจจะสอนให้เจ้าอยู่เหมือนกัน
    ซิ่นหลิง  : งั้นข้าจะสอนให้เจ้าด้วย
        อันฉี  : ขอบคุณค่ะ
    ซิ่นหลิง  : เฮ่อ ข้าไปล่ะ ไปหาอะไรกินในป่าดีกว่า อันฉี เจ้าอยากกินผลไม้มั้ย ข้าจะเก็บมาฝาก
         อันฉี  : อยากกิน ขอบคุณมากๆนะ
     ซิ่นหลิง  : ข้าไปล่ะ
      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย ซาลาเปาอร่อยมั้ย ข้าซื้อมาจากร้านที่มีชื่อเสียงในเมืองเชียวนะ
          อันฉี  : อื้ม ไม่รู้สิ มันออกจืดๆไปนิด
       เสวี๋ยฉี  : แล้วเจ้าอยากกินอะไรล่ะ
          อันฉี  : อยากกิน...ผลอัคคี เอ่อ...คือกินแล้วอาจตายได้ แต่พอนึกถึงรสชาติของผลอัคคี ก็ทำให้รู้สึกอยากชิมอีก
     เสวี๋ยฉี  : งั้นเราไปที่ต้นไม้อัคคีสวรรค์กัน ไปเก็บผลอัคคี
        อันฉี  : อื้ม
หมายเหตุ

*หู่หยงเป่า (ชื่อแซ่ของเสือดำ)  แปลว่า ปกปักรักษา กล้าหาญอย่างเสือ
   
เพลงจีน 繁花 ดอกไม้
[Anime] The Young Imperial Guards
YouTube by : MionJB



■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 10
(แลกจอกเหล้าใต้แสงจันทร์)     

          เสวี๋ยฉี พาฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาว ไม่นานนักเราก็มาถึงต้นไม้อัคคีสวรรค์ ต้นไม้ที่มีใบสีแดงสด ออกผลเต็มต้น ฉันจำได้ว่าวันแรกที่ฉันเจอต้นไม้นี้ออกผลเพียงเล็กน้อย แต่วันนี้ต้นไม้อัคคีสวรรค์กลับออกผลเต็มไปหมดจนน่ากิน ฉันจำได้ถึงรสชาติแสนแย่ตอนกินมันครั้งแรกได้ ถึงความเผ็ดแสบร้อน เจ็บปวดทรมานเจียนตาย แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเปรี้ยวปากอยากกินผลอัคคี เมื่อมาถึงต้นไม้อัคคีสวรรค์ ก็ได้ยินเสียงลิงร้องมาจากต้นไม้อื่น แต่มองไม่เห็นตัว ฉันจึงเปิดดวงตาปีศาจมองหา จนเจอลิงน้อยขนสีน้ำตาลแซมเหลือง 2 ตัว ซ่อนตัวอยู่บนกิ่งไม้และกำลังมองมาที่ฉัน ฉันเล่าให้เสวี่ยฉีฟังว่า เมื่อครั้งที่ฉันถูกเสือดำไล่ล่า ก็ได้ยินเสียงลิงร้องทักแบบนี้ตลอดทางที่วิ่งหนีมาที่ต้นไม้อัคคีสวรรค์ เสวี๋ยฉีบอกว่าครั้งนั้นลิงช่วยร้องเตือนภัยให้ฉัน และวันนี้ลิงน้อยทั้ง 2 ตัวกำลังส่งเสียงทักทาย แต่ไม่กล้าปรากฏตัวเพราะลิงน้อยกลัวเสวี๋ยฉีจับกิน ฉันจึงยิ้มแล้วโบกมือทักทายลิงน้อย

          ฉันบอกให้เสวี๋ยฉี รออยู่ใต้ต้นอัคคีสวรรค์ ฉันจะปีนขึ้นต้นไม้เอง เพราะต้นไม้มีพิษแม้กระทั่งลำต้น และกิ่งก้าน ฉันเด็ดผลอัคคีมาจำนวนหนึ่งใช้ชายเสื้อคลุมห่อไว้ แล้วปีนกลับลงมาหาเสวี๋ยฉี ที่นั่งรออยู่ด้านล่าง ลงมานั่งข้างๆเขา ฉันหยิบผลอัคคีมาลูกหนึ่ง ลังเลนิดหนึ่งที่จะชิมมันอีกครั้ง แต่สีสันและกลิ่นหอมมันยั่วใจ ฉันจึงตัดสินใจกัดชิมก่อนเพียงครึ่งลูก น้ำจากผลอัคคีสัมผัสถูกลิ้น จากรสชาติที่เคยแย่ กลับเป็นรสชาติอร่อยคล้ายเชอร์รี่ ฉันจึงกินส่วนที่เหลือ และกินอีก 1 ลูกเต็มๆคำ เสวี๋ยฉี มองฉันกินผลอัคคีด้วยใบหน้าประหลาดใจ

       เสวี๋ยฉี  : รสชาติเป็นยังไง?
          อันฉี  : เหมือนผลเชอร์รี่
      เสวี๋ยฉี  : ผลเชอร์รี่เป็นยังไง ข้าไม่รู้จักไม่เคยกิน รสหวาน หรือเปรี้ยวล่ะ?
          อันฉี  : ตอนกินครั้งแรก รสชาติห่วย แต่กินตอนนี้รสหวานอร่อยดี น่าจะเป็นเพราะตอนที่กินครั้งแรกคงกินลูกไม่สุกล่ะมั้ง
      เสวี๋ยฉี  : ข้าจะลองชิมดูบ้าง จะเป็นไรมั้ย ข้าจะตายหรือเปล่า?
          อันฉี  : อืม...ขอลองดูความเป็นไปได้ก่อนนะ ไม่แน่ใจจะได้ผลหรือเปล่า (ฉันเปิดดวงตาปีศาจมองผลอัคคี) อ่า...พอได้อยู่นะ พอจะมีวิธี ให้ลองชิมนิดเดียวก่อน ถ้าชิมมากพิษเพลิงลาวาคลั่งจะกำเริบ ต้องกินพร้อมยาถอนพิษ คือกินพร้อมจูบในเวลาเดียวกัน

          ฉันใช้ปากกัดผลอัคคีเพียงนิดเดียว แล้วป้อนใส่ปากของเสวี๋ยฉีด้วยริมฝีปากของฉัน เมื่อผลอัคคีสัมผัสถูกลิ้นของเสวี๋ยฉี เขากอดรัดฉันแน่นด้วยอาการแสบร้อนในร่างกาย เขารีบกลืนเนื้อผลอัคคีลงไปแล้วจูบฉันอย่างเร่าร้อน ฉันถอนริมฝีปากออกจากปากของเขาแล้วถามว่า....

          อันฉี  : รสชาติเป็นยังไง?
       เสวี๋ยฉี  : รสเผ็ดแสบร้อน ไม่เห็นอร่อยเลย
          อันฉี  : เอาอีกมั้ย?
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ล่ะ แต่ถ้าเป็นจูบของเจ้าอย่างเดียว ข้าก็ต้องการเสมอ เจ้าจูบข้าอีกครั้งสิ รสชาติผลอัคคียังทำให้ข้าแสบร้อนในคออยู่เลย (เขาออดอ้อน)

          ฉันจึงจูบเขาอีกครั้ง และโถมตัวทับเขาจนล้มตัวลงไปนอนกับพื้น ละเลงจูบริมฝีปากเขาทำให้ฉันเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจึงรีบถอนริมฝีปากออก แล้วลุกขึ้นนั่ง

          อันฉี  : หายแสบร้อนในคอหรือยัง
       เสวี๋ยฉี  : ในคอหายแสบร้อนแล้ว เหลือแต่ในกายข้าที่ยังรุ่มร้อนอยู่ (เขาจับมือฉันไปลูบไล้ที่หน้าอกของเขา)
          อันฉี  : เรื่องเยอะนักนะเราน่ะ (ฉันจักจี้เอวเขา)
       เสวี๋ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ายอมแล้ว เจ้าอยากกินปลาย่างอีกมั้ย ข้าจะพาไป

         ฉันจึงเก็บผลอัคคีจำนวนหนึ่งไปกินต่อที่บ้าน ระหว่างทางเดินไปลำธาร ฉันเปิดดวงตาปีศาจมองดูพืชพันธุ์ต่างๆในป่า พืชส่วนใหญ่มีพิษ แต่พีชบางชนิดสามารถกินได้ พืชพันธุ์ต่างๆล้วนแปลกตาและไม่รู้จัก เสวี๋ยฉี ชี้ชวนให้ดูดอกไม้ชนิดหนึ่งขึ้นเป็นกอเล็กๆอยู่ข้างทาง คือ ดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ ดอกมีลักษณะคล้ายหญิงสาวกำลังเต้นรำในชุดกระโปรงสีชมพูอมม่วง เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม สูดดมเพียงเล็กน้อยจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่หากสูดดมเข้าไปมากๆ หรือเป็นเวลานานจะเกิดอาการเมา ฉันลองดมกลิ่นดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ มีกลิ่นหอมอ่อนๆเย็นๆ จึงถามเสวี๋ยฉีว่า หากเกิดอาการเมาจะเป็นอย่างไร คล้ายอาการเมาเหล้าหรือไม่ เสวี่ยฉีบอกว่าอาการใกล้เคียงกัน ให้ฉันลองเด็ดไปดมจะได้รู้ด้วยตัวเอง ฉันจึงเด็ดไปหนึ่งดอกเพื่อทดสอบอาการเมา แปลกมากเมื่อทดสอบดมกลิ่น สมองของฉันเกิดการเรียนรู้และจดจำคุณสมบัติของดอกไม้และวิธีใช้ เราเดินกันไปเรื่อยๆพบพืชสมุนไพรคล้ายต้นหอม สรรพคุณแก้หวัด หอมเย็น สดชื่น จึงเด็ดใบมาชิมนิดหน่อยรสชาติเหมือนสะระแหน่ เออ!แปลกดีต้นหอมรสสะระแหน่ เอาไปตากแห้งทำเป็นชาน่าจะดี ฉันคิด

         เราเดินกันมาถึงลำธาร ครั้งนี้เสวี๋ยฉีลงไปจับปลา ส่วนฉันไปหาฟืนมากองรวมไว้ใกล้ลำธารเพื่อรอเสวี๋ยฉีมาก่อไฟ ฉันเดินไปยืนดูเสวี๋ยฉีจับปลาในลำธาร เขาถอดเสื้อคลุมวางไว้ที่โขดหิน เนื้อตัวที่เปียกจนเสื้อเปียกน้ำบางแนบเนื้อ เซ็กซี่เกินไปแล้ว เขาเดินขึ้นจากน้ำได้ปลา 3 ตัว ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วลูบไล้ตัวเขา เสวี๋ยฉี หันมาหัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า...

      เสวี๋ยฉี  : เจ้าเมาพิษดอกไม้หญิงสาวเริงระบำแล้วสิ?
         อันฉี  : ห๊า! ยังไม่รู้สึกมึน ไม่ได้เดินเซเลยนะ
      เสวี๋ยฉี  : พิษดอกไม้หญิงสาวไม่ได้ทำให้เจ้ามึนจนเดินเซ แต่มันไปกระตุ้นอารมณ์ของเจ้า
         อันฉี  : ห๊า! แล้วแก้พิษยังไง
      เสวี๋ยฉี  : ต้องระบายมันออกมา แต่ถ้าไม่ระบายออกมาก็ต้องอดทนทรมาน รอให้เวลาผ่านไปสักระยะ จนอาการเมาจะสร่างไปเองเหมือนเวลาดื่มเหล้าเมาพอนอนหลับตื่นขึ้นมาก็สร่างเมา, ข้าเป็นที่ระบายให้เจ้าได้นะ
          อันฉี  : ตอนถามทีแรกทำไมไม่บอกแบบนี้ล่ะ นี่ตั้งใจบอกไม่หมดใช่มั้ย? (ฉันโยนดอกไม้ทิ้ง)
       เสวี๋ยฉี  : อดทนไว้สาวน้อย ไม่นานก็สร่างเมาแล้ว มาย่างปลากินกันเถอะ (เขายิ้ม) 

          หลังจากกินปลาย่างกันเสร็จ เสวี๋ยฉี พาฉันไปเดินเที่ยวชมทิวทัศน์บนภูเขาต่อ จนถึงเวลาเย็นเกือบค่ำ เราจึงขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว กลับมาถึงบ้านเห็นมีกล้วยน้ำว้าหนึ่งเครือวางอยู่ที่ชานหน้าบ้าน คงเป็นซิ่นหลิงนำมาให้และกลับไปแล้ว เสวี๋ยฉี บอกให้ฉันไปขัดหลังให้เขาเพราะเขาจะอาบน้ำ ฉันจึงวิ่งตามเขาไปที่ห้องอาบน้ำ

      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย มาอาบน้ำด้วยกันกับข้าเถอะ
          อันฉี : คุณอาบก่อนเถอะ ฉันอาบต่อจากคุณก็ได้ มาหันหลังมาจะขัดหลังให้
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าเคยบอกว่าจะอาบน้ำกับข้า วันนี้แหละดีแล้วไม่ต้องผลัดไปวันอื่น (เขาดึงฉันลงอ่างอาบน้ำทั้งที่ฉันยังใส่เสื้อผ้า)
        อันฉี  : เย้ยยย....เปียกหมดเลย
     เสวี๋ยฉี  : ยังไงก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้ว เสื้อผ้าเปียกแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ถอดออกสิ ข้าขัดหลังให้เจ้าก่อนก็ได้
         อันฉี  : อย่าเพิ่ง! ยังไม่ต้องถอดหรอก เดี๋ยวค่อยถอดทีหลัง คุณหันหลังมาเถอะน่า จะได้ขัดหลังให้เสร็จๆไป
      เสวี๋ยฉี  : ก็ได้

       เสวี๋ยฉีถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วหันหลังให้ขัด หลังที่ขาวเนียน เนื้อแน่น ทำเอาฉันใจสั่นรีบขัดจนทั่วให้เสร็จเร็วๆ เพราะการอยู่ในอ่างอาบน้ำใบเดียวกับเขามันทำให้ฉันเกิดความรู้สีกวาบหวิวอีกแล้ว ฉันบอกเขาว่าขัดหลังเสร็จแล้ว เขาก็หันข้างหน้ามาให้ขัดอีก ฉันจึงรีบๆขัดให้เสร็จ แต่ยิ่งสัมผัสถูกตัวเขาอารมณ์วูบวาบของฉันยิ่งเพิ่มขึ้น ฉันจึงหันหลังลุกขึ้นและจะออกไป แต่เสวี๋ยฉีดึงมือเอาไว้แล้วดึงฉันให้นั่งลง เขาบอกว่าจะขัดหลังให้ แล้วถอดเสื้อของฉันออก ฉันจึงบอกว่าให้ถอดแค่เสื้อแล้วจะยอมให้ขัด เขาตอบตกลง ฉันนั่งหันหลังให้เสวี๋ยฉีขัดหลังให้ฉันเบาๆ ค่อยๆลูบไล้จนฉันขนลุก เขาขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วกอด จนด้านหลังของฉันแนบชิดติดกับตัวเขา เขาค่อยๆเอื้อมมือมาบีบคลึงที่หน้าอกทั้งสองข้าง ริมฝีปากจูบเบาๆที่ไหล่และจูบไล่มาที่ต้นคอ ฉันหันหน้าไปจูบที่ริมฝีปากของเขาแลกลิ้นอย่างดูดดื่ม แล้วหันกลับมาเพราะกลัวว่าจะทนควบคุมอารมณ์ไม่ไหวจึงแกล้งโกหกไปว่ารู้สึกหนาว เสวี๋ยฉีจึงพาฉันออกจากห้องอาบน้ำ

          หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เสวี๋ยฉี ออกมานั่งดื่มเหล้า ที่ชานหน้าบ้าน ฉันจึงตามออกมานั่งรินเหล้าและคุยเป็นเพื่อน

          อันฉี  : คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงสวยจัง
       เสวี๋ยฉี  : นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้นั่งชมจันทร์อย่างนี้
          อันฉี  : พรุ่งนี้ขอออกไปเดินดูรอบๆป่าไผ่ได้มั้ย อยากไปเดินดูสมุนไพร เผื่อว่าฉันจะทำอะไรได้บ้าง
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าคิดจะปรุงยารึ?
         อันฉี  : ใช่ แต่จะเริ่มทำแบบง่ายๆก่อน เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว อย่างเช่น ทำชาสมุนไพร เพราะเมื่อตอนกลางวันฉันเจอสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม รสชาติเย็นชุ่มคอ มีสรรพคุณแก้หวัด จึงได้ความคิดว่าถ้านำมาทำเป็นชาสมุนไพรน่าจะดี คุณเองก็จะได้ดื่มชาสมุนไพรช่วยบำรุงสุขภาพ และสดชื่น อีกอย่างฉันจะได้มีอะไรทำแก้เบื่อด้วย
      เสวี๋ยฉี  : ดี เป็นความคิดที่ดี ถ้าเจ้าอยากทำข้าก็สนับสนุน พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเก็บสมุนไพร
         อันฉี  : ต้องรบกวนแล้ว (ฉันขยับเข้าไปกอดแขนเสวี๋ยฉีแล้วซบหน้าที่แขนแบบประจบ มืออีกข้างเอื้อมไปลูบไล้หน้าอกของเขา)
      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าเบื่อที่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกไม่ได้ เพราะที่นี่มีทั้งสัตว์ร้ายและปีศาจเต็มไปหมด ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้ามาก ทุกครั้งที่เจ้าอยู่ห่างสายตา ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะได้รับอันตราย 
          อันฉี  : อยู่บ้านไม่น่าเบื่อหรอก ฉันชอบอยู่บ้านจริงๆนะ ชอบความเงียบสงบ และก็ชอบที่นี่มากๆ แบบว่ารักเลย (ฉันหันไปสบตากับเสวี๋ยฉี แล้ววางมือบนต้นขาของเขาลูบไล้ไปมา) แต่ที่เบื่อคืออยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำนั่นแหละที่เบื่อ ก็เลยคิดได้ว่าน่าจะศึกษาเรื่องสมุนไพรรักษาโรค เพื่อต่อยอดความสามารถพิเศษของตัวเองด้วย ฉันไม่มีพลังเวทย์สำหรับต่อสู้ แต่ฉันมีพลังฟื้นฟูและการรักษา การใช้พลังรักษาส่งผ่านไปที่มือทำให้รักษาได้รวดเร็วก็จริง แต่ก็ทำให้ผู้ใช้พลังสูญเสียพลังงานส่วนหนึ่งไป ควรเก็บพลังแบบนี้ไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน หรือเวลาจำเป็นดีกว่า จึงอยากเพิ่มวิธีการรักษาสมุนไพรมาเป็นทางเลือกอีกทางด้วย ฉันช่วยต่อสู้ไม่ได้ แต่ช่วยรักษาแผลได้ก็ยังดี
      เสวี๋ยฉี  : ดี ดีมาก แม้เจ้าอายุยังนัอย แต่ความคิดก็ดูเป็นผู้ใหญ่ ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ข้าตัดสินใจแล้ว เรามาแลกจอกเหล้าสาบานเป็นพี่น้องกันเถอะ ข้าจะได้สามารถอยู่กับเจ้าได้ตลอดเวลา (เขามองจ้องหน้าฉัน เพื่อรอคำตอบ)

          "....สาบานเป็นพี่น้องกับเสวี๋ยฉี ก็ดีน่ะสิ นั่นคือความปลอดภัยขั้นสูงสุดที่อยู่ที่นี่ แบบนี้ฉันก็ไม่ถูกเขากินแน่ๆ โชคดีอะไรแบบนี้ บ้านก็มีให้อยู่ แถมยังมีพญางูหยกหิมะขาวเป็นบอดี้การ์ดให้อีก สุโค่ย...." ฉันคิดในใจ แล้วรีบตอบว่า

          อันฉี  : ตกลง, แล้วต้องทำยังไง
      เสวี๋ยฉี  : เราต้องแลกจอกเหล้ากันดื่ม เจ้าและข้าหยดเลือดคนละหนึ่งหยดใส่ลงในจอกเหล้าแล้วดื่ม
          อันฉ  : เดี๋ยวๆ แต่คุณดื่มเลือดฉันไม่ได้ พิษเพลิงลาวาคลั่งในตัวคุณจะกำเริบ
      เสวี๋ยฉี  : จูบของเจ้าคือยาถอนพิษ
         อันฉี  : อ่อ...จริงด้วย...ลืมไป

          เสวี๋ยฉี ใช้ปลายมีดพกกดลงที่ปลายนิ้วชี้ แล้วหยดเลือดใส่ลงในถ้วยที่มีเหล้าอยู่ 2 ถ้วย จากนั้นเขาจึงใช้ปลายมีดพกกดลงที่ปลายนิ้วชี้ของฉันเบาๆ แล้วหยดเลือดใส่ลงในถ้วยเหล้า 2 ถ้วย ที่มีเลือดของเขาผสมอยู่ แล้วยื่นให้ฉันหนึ่งถ้วย เขาถือไว้หนึ่งถ้วย แล้วกล่าวขึ้นว่า...

       เสวี๋ยฉี  : ข้า...ไป๋เสวี๋ยฉี ขอสาบานเป็นพี่เป็นน้องกับอันฉี นับจากนี้ไปเจ้าแซ่ไป๋ เป็นคนในตระกูลไป๋ ข้าจะรักเจ้าเท่าชีวิต และจะปกป้องดูแลเจ้าตลอดไป
          อันฉี  : เอ่อ...ทำไมคล้ายคำสาบานแต่งงานยังไงไม่รู้ นี่ถ้าไม่มีคำว่าพี่-น้อง นี่คือคำแต่งงานชัดๆ...
       เสวี๋ยฉี  : ก็เจ้ามีแต่ชื่อแต่ไม่มีแซ่ ในเมื่อเจ้าสาบานเป็นน้องสาวของข้า เจ้าก็สมควรได้ใช้แซ่ไป๋ และข้าในฐานะที่เป็นพี่ชายก็ต้องรักและปกป้องเจ้า ถูกต้องมั้ย? แต่ถ้าเจ้าสาบานเป็นแค่เพื่อนบ้านกับข้าสิ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรักและปกป้องเจ้า
          อันฉี  : เออใช่...คุณพูดถูก
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าพูดคำสาบานตามข้าเมื่อกี้สิ
          อันฉี  : ข้า...อันฉี ขอสาบานเป็นพี่เป็นน้อง กับไป๋เสวี๋ยฉี นับจากนี้ไปข้าแซ่ไป๋ ไป๋อันฉี เป็นคนในตระกูลไป๋ (ฉันหันหน้ามองที่เสวี๋ยฉี) ข้าจะรักไป๋เสวี๋ยฉีเท่าชีวิต จะรักและดูแลกันตลอดไป

          เราดื่มเหล้าที่ผสมเลือดของกันและกัน เมื่อเหล้าผสมเลือดสัมผัสถูกลิ้นและไหลผ่านคอ ทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เหมือนถูกงูตัวใหญ่กำลังกอดรัด เลื้อยพันทั่วร่าง เสวี๋ยฉี ที่กำลังนั่งเอามือจับที่หน้าอกตัวเอง เพราะความแสบร้อนพิษเพลิงลาวาคลั่งกำเริบจากการดื่มเลือด ฉันจึงรีบโผเข้าไปจูบเขา เสวี๋ยฉีดึงฉันให้นั่งลงคร่อมบนตักและกอดแน่น ฉันละเลงจูบแลกลิ้น แต่ครั้งนี้เหมือนจะร้อนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คงเป็นเพราะดื่มเหล้าเข้าไป ยิ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์มากขึ้น รสจูบคืนนี้ช่างหอมหวานและเร้าใจ จนไม่อยากถอนริมฝีปากออก สองมือของเสวี่ยฉีลูบไล้ไปทั่วหลัง แล้วเลื่อนลงมาบีบขยำที่ก้น เขาใช้มือดันก้นของฉันให้เนินสวรรค์แนบชิดสัมผัสแท่งเนื้อแข็งของเขามากขึ้น เราเริ่มขยับบดเบียดส่วนล่างรับกันตามจังหวะอันแสนเร่าร้อน "อาาา..." เสวี่ยฉีจูบแล้วอุ้มฉันเข้าเอวแบบนั้นพาไปที่เตียงนอน เขาถอดเสื้อของตัวเองและของฉันออก โถมตัวทับลงมาจูบ เนื้อหน้าอกที่สัมผัสแนบชิดกันรุ่มร้อนไปทั้งตัว สองมือที่แข็งแรงกำลังบีบคลึงหน้าอก เขาทั้งจูบ ดูด และกัดเบาๆที่ซอกคอ แล้วกระชิบเสียงกระเส่า "เจ้าเป็นของข้า..." เสียงลมหายใจที่เร่าร้อนของเขาทำให้ฉันขนลุกและเสียวซ่าน จากนั้นค่อยๆเลื่อนริมฝีปากจูบสลับเลียลงมาที่เนินอก ลิ้นนุ่มๆเลียรอบๆหัวนมแล้วดูด "อาาา...อื้อออ..." ลิ้นของเขาทั้งเลียและดูดไปทั่ว ฉันยกขาทั้งสองข้างขึ้นกอดเกี่ยวเขาที่สะโพก ทำให้ส่วนล่างที่บดเบียดสัมผัสกันแนบแน่น เขาเริ่มขยับสะโพกโยกเป็นจังหวะมากขึ้น กระแทกแท่งเนื้อแข็งของเขาแรงขึ้น "อาาา...อื้ออ...อาา..." เสวี๋ยฉีเลื่อนมือล้วงเข้าไปในการเกงสัมผัสเนินส่วนล่างของฉัน เค้นคลึง เขาเริ่มใช้นิ้วสัมผัสถูไถกับเนินส่วนนั้นแต่ไม่ได้สอดใส่จนฉันร้องขึ้นเบาๆแล้วจับที่แขนของเขา "อื้อ...อย่า...อ๊าา อย่า" เสวี๋ยฉี พูดเสียงกระเส่าว่า

       เสวี๋ยฉี  : เจ้ายังไม่สร่างเมาพิษดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ ต้องปลดปล่อยมันออกมา หากเจ้ายังฝืนเอาไว้ เจ้าจะต้องนอนทรมานทั้งคืน ให้ข้าช่วยเจ้า ข้าจะไม่ล่วงล้ำเจ้าไปมากกว่านี้ ข้าสัญญา ข้าจะรอวันที่เจ้าพร้อม....
          อันฉี  : ฉันเมาพิษดอกไม้จริงเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : จริงสิ! แววตาและท่าทีของเจ้ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่อยู่ที่ลำธาร ถ้าเจ้าฝืนทนเอาไว้คืนนี้เจ้าคงลูบไล้ตัวข้าทั้งคืนจนข้านอนไม่หลับแน่ ให้ข้าช่วยเจ้า ข้าทำแค่สัมผัสภายนอกเท่านั้น
          อันฉี  : แค่ภายนอกเท่านั้นนะ
       เสวี๋ยฉี  : อื้มมม...

          เสวี๋ยฉีไม่เคยผิดคำพูดที่สัญญา ฉันจึงปล่อยให้เขาสัมผัสไปทั่วทั้งตัว กางเกงของฉันถูกปลดออก เขาจับมือฉันให้สัมผัสเคล้าคลึงกับแท่งเนื้อแข็งของเขาที่กำลังชูชันเต็มที่ จากนั้นเขาบรรจงจูบเลื่อนลงไปถึงหน้าท้องจนเสียววาบ เลื่อนลงไปจูบเนินหว่างขาเบาๆ แล้วยกขาทั้งสองข้างของฉันตั้งขึ้นแล้วจูบเนินนั้นอีกครั้ง ลิ้นนุ่มๆแต่แข็งแรงทั้งเลียและดูดตรงนั้น เขาดันลิ้นเข้าไปจนฉันทนไม่ไหวต้องร้องครางออกมา "ฮ๊าาา...อ๊าาา..." ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ฉันแอ่นสะโพกรับทุกครั้งที่เขาเร่งจังหวะดันลิ้น ฉันต้องการเขามากจริงๆ "เสวี๋ยฉี ได้โปรด ฉันทนไม่ไหวแล้ว" เขาเงยหน้าขึ้นมาจากตรงนั้นแล้วเลื่อนมาจูบแลกลิ้นแบบหื่นกระหาย มือของเขายังคงเคล้าคลึงเนินนั้นแล้วใช้นิ้วสัมผัสถูไถจนเปียกแฉะ ฉันเด้งสะโพกรับตามจังหวะเขี่ยนิ้วถูไถของเขา เขาเร่งจังหวะให้เร็ว และเร็วขึ้นอีก จนกระทั่งฉันเสร็จและเกร็งไปทั้งตัว "อ๊าาาาาาาาา...."

          ฉันหมดแรงในอ้อมกอดของเสวี๋ยฉี แต่เขายังคงจูบลูบไล้ฉันอยู่ ฉันรู้ว่าเขาอารมณ์ค้าง แต่เขาก็ไม่ได้รบเร้าให้ช่วย ถึงแม้เขาจะรบเร้าฉันก็จะไม่ช่วยหรอก โทษฐานที่หลอกให้ฉันดมดอกไม้หญิงสาวเริงระบำ ฉันจึงลุกขึ้นเพื่อสวมใส่เสื้อผ้า แต่เสวี๋ยฉี ขอร้องฉันอย่าเพิ่งสวมใส่เสื้อผ้า เขาขอนอนกอดฉันแบบนี้ก่อนหนึ่งคืน ฉันจึงตามใจเขา คืนนี้ฉันนอนหนุนแขนเขาเหมือนเคย แม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่ฉันกลับรู้สึกอบอุ่นกายอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก .......ฉันหลับไปด้วยความอ่อนเพลียแล้วหลับฝัน ในความฝันฉันกำลังเริงรักอย่างเร่าร้อนกับเสวี๋ยฉีอีกครั้ง เราสองคนร่างกายเปลือยเปล่า ฉันกำลังนั่งคร่อมอยู่บนตักเขา เสวี๋ยฉีสอดใส่แท่งเนื้อแข็งใหญ่ชูชันของเขาเข้าในเนินหว่างขา ฉันโยกสะโพกทำให้เขาร้องคราง เสวี๋ยฉีจับฉันนอนลงบนเตียง เขาบรรเลงบทรักด้วยลิ้นและนิ้วอย่างช่ำชอง แล้วสอดใส่แท่งเนื้อเข้าในเนินหว่างขาฉันอีกครั้งทั้งโยกรุกและรับอย่างหนักหน่วง ในฝันเราเริงรักกันเนิ่นนานหลายครั้งไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ช่างมีความสุขเหลือเกิน........

吉他戏腔Aki阿杰-何以渡余生淡忘痴情人唯恐天下人来笑
ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อลืมเธอ
Youtube by : Youtube User

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 11
(นายหญิงแห่งป่าไผ่เขียว) 

          เช้าแล้วฉันตื่นนอนภายใต้อ้อมกอดของเสวี๋ยฉี ทั้งเขาและฉันนอนเปลือยเปล่ากอดกันเมื่อคืน แต่เช้านี้เขานอนตื่นสาย แม้ขณะหลับภายใต้ผ้าห่มเขาก็ยังดูสวยงามเสมอ แต่ว่า  ......เมื่อคืนฝันว่ามีเซ็กส์กับเสวี่ยฉีทั้งคืน เหมือนจริงมากทั้งรสจูบ ทั้งสัมผัสจากลิ้น นิ้ว และความรู้สึกถึงการสอดใส่ของเขา เหมือนบทรักเพิ่งสิ้นสุดลงตอนรุ่งสาง......  ฉันก้มดูตัวเองและมองดูผ้าปูเตียง เพราะการมีเซ็กส์กันทั้งคืนแบบนั้นต้องมีร่องรอยทิ้งไว้บ้างบนเตียง แต่ทุกอย่างก็ดูปกติ อืม...เป็นความฝันจริงๆนั่นแหละ เป็นเพราะเสวี๋ยฉีที่ชอบมาทำท่ายั่วยวน เลยเก็บเอาไปฝัน ไปล้างหน้าดีกว่า

          ขณะที่กำลังจะลุกออกจากเตียง ฉันเห็นรอยสักรูปงูขาวเกล็ดสีเงินระเรื่อบนต้นแขนของฉัน สร้างความประหลาดใจอย่างที่สุด

          อันฉี  : โห! Tatto (แทททู) มาได้ยังไงเนี่ย
       เสวี๋ยฉี  : มีอะไรเหรอ (เขางัวเงียถามเพราะได้ยินฉันพึมพำ)
          อันฉี  : เนี่ย! รอยสักรูปงูสีขาวเนี่ย มาได้ยังไง? ท่านแอบสักให้ตอนข้าหลับเหรอ?
      เสวี๋ยฉี  : นั่นเป็นสัญลักษณ์แทนตัวข้า เจ้าเข้าพิธีแลกจอกเหล้ากับข้าแล้ว สัญลักษณ์ของข้าจึงปรากฏบนตัวเจ้า เหมือนข้าอยู่กับเจ้าตลอดเวลา (เขางัวเงียตอบและขยับตัวมากอดที่เอวฉันแล้วนอนต่อ)
          อันฉี : แล้วอยู่ด้วยตลอดเวลายังไง อ๋อเหมือนสัญลักษณ์แทนใจอะไรประมาณนี้น่ะเหรอ? น้ำเน่านิดๆนะท่านน่ะ.....
      เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่ได้ทำอะไรไร้สาระขนาดนั้นหรอก นั่นคือสัญลักษณ์แทนตัวข้า เป็นพลังวิญญาณส่วนหนึ่งของข้าที่ถ่ายทอดให้กับเจ้า ทำให้ข้าสามารถเชื่อมต่อกับเจ้าได้แม้ว่าข้าจะอยู่ห่างไกล ข้าก็สามารถไปหาเจ้าได้รวดเร็วโดยผ่านทางสัญลักษณ์นี้เพียงแค่เจ้าเรียกชื่อของข้า ข้าก็สามารถไปหาเจ้าได้ทันที ยังมีอีกอย่างนึงนะสัญลักษณ์ของข้า เจ้าสามารถเรียกใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวเจ้าได้ ไว้ข้าจะสอนวิธีใช้ให้
          อันฉี  : ว้าว! ท่านนี่สุดยอดไปเลย ข้ารักท่านที่สุด
       เสวี๋ยฉี  : รางวัลของข้า (เขาชี้นิ้วที่แก้มทวงรางวัล)
          อันฉี  : อ๊าาา...แบบนี้ต้องแถม (ฉันหอมแก้มฟอดใหญ่ และจุ๊บปากเสวี๋ยฉีหนึ่งครั้ง) ไปล้างหน้าก่อนนะ เดี๋ยวข้าเตรียมน้ำให้ท่านล้างหน้า

          รอยสัญลักษณ์งูหยกขาวที่ต้นแขนนี่สวยจัง เสวี๋ยฉี มีใบหน้าที่งดงาม แม้กระทั่งรอยสัญลักษณ์ยังงดงาม ฉันล่ะอิจฉาความงามของเขาจริงๆ ฉันนั่งส่องกระจกดูรอยสัญลักษณ์งูหยกขาวที่ปรากฏบนต้นแขน นี่ฉันเป็นคนที่โลกนี้โดยสมบูรณ์แล้วสินะ มีชื่อ-นามสกุลใหม่ มีครอบครัวใหม่ มีพี่ชายที่เหมือนสาวเซ็กซี่ ต้องเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับที่นี่แล้ว ฉันเริ่มนึกถึงความฝันเมื่อคืนอีกครั้ง อยากฝันแบบนั้นอีกครั้งจังเลยน๊า ถ้าให้มีเซ็กส์กันจริงๆก็จะผิดจรรยาบรรณความเป็นผู้ใหญ่ ฉันไม่คิดจะกินเด็กหรอกนะ แต่ถ้าเป็นความฝันก็ไม่เป็นไร คริคริ (ฉันคิดเล่นๆแล้วแอบหัวเราะคนเดียว) ฉันหันไปหยิบเสื้อมาใส่ ขณะที่กำลังจะสวมเสื้อก็เห็นรอยสัญลักษณ์เริ่มขยับตัวเลื้อยมาพันบริเวณรอบลำตัวจนฉันตกใจ เสวี๋ยฉี ที่กำลังเดินเข้ามาหาฉัน เขาช่วยฉันสวมเสื้อและแต่งตัวทำผมให้ แล้วก้มหน้ามาพูดข้างๆหูว่า

      เสวี๋ยฉี  : รอยสัญลักษณ์นั่นก็ซุกซนเหมือนกับข้า อย่าตกใจ
         อันฉี  : แล้วทำไมต้องเคลื่อนที่ไปมาด้วยล่ะ อยู่ตรงไหนสักที่ไม่ได้เหรอ อยู่นิ่งๆที่ต้นแขน หรือที่หลังก็ได้
     เสวี๋ยฉี  : ข้าเป็นงูหยกหิมะขาวรักอิสระ การเคลื่อนที่ไปรอบๆบนตัวเจ้านั่นคือความเพลิดเพลิน
         อันฉี  : แต่การเคลื่อนที่ก็ต้องมีขอบเขตนะ แค่นี้ (ฉันทำมือคั่นที่เอว) อนุญาตได้แค่ช่วงครึ่งบนขึ้นไป แต่ห้ามลงไปช่วงครึ่งล่าง ตกลงนะ
      เสวี๋ยฉี  : (เขายิ้มกรุ้มกริ่มแต่ไม่ตอบ) ข้าทำผมให้เจ้าเสร็จแล้ว ข้าไปทำอาหารเช้าให้เจ้ากินดีกว่า
          อันฉี  : เสวี๋ยฉี! เดี๋ยวสิ! ยังไม่ตอบเลย ตอบตกลงก่อนสิ! (ฉันเดินตามไปเกาะแขนเสวี๋ยฉีเข้าไปในครัว)
       เสวี๋ยฉี  : เรียกข้าว่าท่านพี่สิ!
          อันฉี  : อ่า...ท่านพี่
       เสวี๋ยฉี  : เจ้ากินผัดเต้าหู้ใส่เนื้อกระต่ายมั้ย เจ้าจะได้สวยงามเหมือนข้า
          อันฉี  : กินสิ! ท่านทำอะไรให้ ข้าก็กินหมดนั่นแหละ แต่ข้าคงต้องกินกระต่ายจนหมดโลก ถึงจะสวยเท่ากับท่านได้ ข้าจะช่วยท่านล้างผักนะ
       เสวี๋ยฉี  : เจ้านี่ปากหวานจริง

          เราสองคนเดินคุยหยอกล้อกันเข้าไปในครัวเพื่อช่วยกันทำอาหารเช้า และหลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จ เสวี๋ยฉี พาฉันออกไปเดินเล่นที่ป่าไผ่เขียว เราเข้าไปในป่าไผ่ได้สักระยะ เสวี่ยฉี หยุดเดินแล้วเรียกหาใครสักคนหนึ่งในป่าไผ่นั่นให้ออกมาหา

       เสวี๋ยฉี  : หยางกวาง ออกมาหาข้า

          พอสิ้นสุดเสียงเรียกของเสวี๋ยฉีก็มีงูตัวใหญ่ ยาว ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนปนดำ ลักษณะเหมือนงูไทปัน โพ้นทะเล เมื่อลำตัวกระทบกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาสีบริเวณลำตัวจะเป็นประกายคล้ายสีเหลืองทอง งูตัวนั้นเลื้อยออกมาจากที่หลบซ่อนตามต้นไผ่ เขากลายร่างเป็นมนุษย์มีรูปร่างสูงโปร่ง แข็งแรง ผิวขาวเหลือง แต่ดูน่าเกรงขาม เขาทำความเคารพเสวี๋ยฉี และหันมาทำความเคารพฉันด้วย จนฉันทำอะไรไม่ถูกจึงยกมือเคารพกลับ

          อันฉี  : อ๋อ...ไม่เป็นไรๆ
       เสวี๋ยฉี  : นี่อันฉี นายใหม่ของพวกเจ้า
 หยางกวาง  : นายหญิง (หยางกวางทำความเคารพฉันอีกครั้ง)
          อันฉี  : อื้มๆ ไม่ต้องทำความเคารพก็ได้
 หยางกวาง  : ข้าจำท่านอันฉีได้ เคยพบท่านครั้งหนึ่งตอนที่สุนัขเยือกแข็งปรากฏตัวที่นี่ ข้าต้องขออภัยที่บกพร่องต่อหน้าที่ ทำให้ท่านได้รับอันตราย ขอได้โปรดทำโทษข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่
          อันฉี  : อ๋อ...ไม่เป็นไรนะ ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ ข้าปลอดภัยดี ไม่ทำโทษเจ้าหรอก เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดอย่าโทษตัวเอง
 หยางกวาง  : ขอบคุณนายหญิง
       เสวี๋ยฉี  : ประกาศบอกเจ้าพวกงูเล็กๆด้วยว่า จงเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่งของอันฉีเหมือนที่พวกเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งของข้า และคุ้มครองนางด้วยชีวิต
 หยางกวาง  : รับทราบ
       เสวี๋ยฉี  : มีข่าวคืบหน้าอะไรมั้ย?
 หยางกวาง  : ไม่มีร่องรอยสุนัขเยือกแข็งบริเวณโดยรอบนี้ แต่ท่านเสือดำ พบร่องรอยพวกมันจำนวนหนึ่งหายไปทางสุดเขตตอนเหนือของป่า พวกมันน่าจะมาจากดินแดนอื่น แล้วก็พบลิงน้อยสองตัว มาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณรอบนอกป่าไผ่ จะให้จัดการลิงน้อยสองตัวนั่นเลยหรือไม่
      เสวี๋ยฉี  : อืม...ลิงน้อยสองตัวนั่นน่าจะตามอันฉีมาเที่ยวเล่นถึงที่นี่ เจ้าลิงน้อยนี่ก็เก่งนะมาเที่ยวเล่นไกลขนาดนี้ยังรอดพ้นการถูกปีศาจและสัตว์ร้ายจับกิน อันฉีเจ้าจะให้ข้าไล่พวกมันกลับไปมั้ย?
          อันฉี  : ปล่อยลิงน้อยให้เที่ยวเล่นไปเถอะ พวกเขายังเด็ก พอเที่ยวเล่นจนเบื่อเดี๋ยวก็กลับกันไปเอง
      เสวี่ยฉี  : เด็กน่ะดี กระดูกยังอ่อนกินอร่อย ฮ่าฮ่าฮ่า
         อันฉี  : ท่านพี่!
      เสวี๋ยฉี  : ได้ ได้ ปล่อยพวกลิงน้อยไป
หยางกวาง  : รับทราบ (แอบยิ้ม)
      เสวี่ยฉี  : เจ้ายิ้มอะไร หยางกวาง
หยางกวาง  : ขออภัยนายท่าน
      เสวี่ยฉี  : มีอะไรพูดมา!
หยางกวาง  : ข้าไม่เคยเห็นท่านหัวเราะแบบนี้มานานแล้ว เห็นท่านหัวเราะได้แบบนี้คงเป็นเพราะมีนายหญิงมาอยู่ที่นี่ น่ายินดียิ่งนัก
      เสวี่ยฉี  : ถูกต้อง! ข้ามีความสุขที่มีนางมาอยู่กับข้า เจ้าไปได้
หยางกวาง  : ขอรับ (เขาโค้งคำนับแล้วกลายร่างกลับเป็นงูหายไปในหมู่ต้นไผ่)
          อันฉี  : นานแค่ไหนที่ท่านไม่ได้หัวเราะ?
       เสวี่ยฉี  : นานมากจนข้าจำไม่ได้ เจ้าทำให้ข้าหัวเราะได้อีกครั้งหนึ่ง เราไปหาสมุนไพรกันเถอะ ในป่าไผ่เขียวก็พอจะมีสมุนไพรอยู่บ้าง เราอย่าเพิ่งไปหาไกลเลย
          อันฉี  : อุ๊ย! ลืมหาอะไรมาใส่สมุนไพร กะว่าถ้าเจอสมุนไพรดีๆจะลองเก็บเอาไปปลูกที่บ้าน อยากได้ต้นหอมรสสะระแหน่ไปปลูกน่ะ เมื่อวานก็ลืมคิดไปเลยไม่ได้เก็บเอามา
       เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่เคยได้ยินชื่อสมุนไพรชนิดนี้มาก่อนเลย ไหนบอกลักษณะมาหน่อยซิ ข้าจะช่วยเจ้ามองหา
          อันฉี  : มีหัวสีขาวๆต้นยาวๆกลมๆสีเขียวเข้ม รสชาติเย็นๆสดชื่น
       เสวี่ยฉี  : มันคือต้นไผ่?!
          อันฉี  : ไม่ใช่ ต้นเตี้ยๆสูงไม่เกินหัวเข่า ต้นที่ข้าเด็ดชิมเมื่อวาน
      เสวี่ยฉี  : อ๋อ...ข้าจำได้แล้วต้นนั้นเอง แต่ข้าไม่รู้จักชื่อหรอก ข้าไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพร ข้ารู้แค่บางชนิดเท่านั้นที่ข้าเคยใช้ อีกอย่างพืชพันธ์และสถานที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่มีชื่อ พวกข้าที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องชื่อกัน งั้นต่อไปเรียกสมุนไพรนั้นว่า ต้นหอม ตามที่เจ้าเรียกละกัน
          อันฉี  : อืม ใช่ ใช่ต้นนั้นแหละ อยากได้ไปปลูกที่บ้าน แต่ข้าปลูกต้นไม้ไม่ค่อยขึ้นน่ะ เคยปลูกที่บ้านหลังเก่าแล้วตายหมด รดน้ำพรวนดินอย่างดีก็ตาย ท่านพี่...ท่านช่วยปลูกให้ข้าหน่อยสิ
       เสวี๋ยฉี  : ข้าเองก็ไม่ถนัดปลูกต้นไม้ซะด้วยสิ แต่จะพยายามช่วยเจ้าละกัน
     หยงเป่า  : ข้าช่วยเจ้าปลูกได้ ข้าปลูกต้นไม้เป็น (หยงเป่าเดินเข้ามาหา)
          อันฉี  : อ้าว หยงเป่า มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้ยินเสียงเลย ฝีเท้าเบามาก
    หยงเป่า  : ข้าเพิ่งมาเมื่อกี้
      เสวี๋ยฉี  : สมุนของข้าบอกว่าเจ้าพบร่องรอยสุนัขเยือกแข็งเรอะ?
    หยงเป่า  : ใช่, ข้าคิดว่าพวกสุนัขเยือกแข็งอาจจะมาจากดินแดนรกร้างที่เส้นขอบฟ้า พวกมันคงจะกลับมาอีก ระมัดระวังตัวกันด้วย
          อันฉี  : ดินแดนที่เส้นขอบฟ้าเป็นยังไง?
     หยงเป่า  : เป็นดินแดนรกร้าง กันดารมีอากาศหนาวเหน็บตลอดทั้งปี ยากที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รอดที่นั่น ว่ากันว่าเป็นสถานที่กักขังมนุษย์ที่กระทำผิดต่อชาติบ้านเมืองถูกกักขังตลอดชีวิต ดินแดนนั่นอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก ข้าถึงได้แปลกใจว่าทำไมสุนัขเยือกแข็งมาทำอะไรถึงที่นี่
       เสวี่ยฉี  : อันฉี เจ้าห้ามออกมาที่ป่าไผ่คนเดียวเข้าใจมั้ย
          อันฉี  : เข้าใจแล้ว
     หยงเป่า  : นี่พวกเจ้าจะปลูกต้นไม้กันเหรอ ให้ข้าช่วยมั้ย?
          อันฉี  : ใช่แล้ว ท่านมาถูกเวลาพอดี ข้าขอรบกวนท่านให้ช่วยปลูกสมุนไพรให้หน่อย พี่ชายคนสวยของข้าเค้าไม่ถนัดปลูกต้นไม้
       เสวี๋ยฉี  : ฮึ! ก็ข้าไม่ถนัดเรื่องขุดดิน ปลูกต้นไม้นี่นา
          อันฉี  : ข้ารู้ เก็บมือสวยๆของท่านไว้ทำผม กับทำอาหารให้ข้ากินเถอะนะ (ฉันจับมือเสวี๋ยฉีขึ้นมาลูบ)
      เสวี๋ยฉี  : เอ๊ะ! นี่ไงใช่ต้นหอมที่เจ้าต้องการหรือเปล่า
          อันฉี  : ใช่ๆ แต่ขอลองชิมดูก่อน ใช่แล้วต้นนี้แหละ หยงเป่า ต้นนี้แหละข้าต้องการต้นนี้
     หยงเป่า  : ข้าขุดให้
          อันฉี  : ขอบคุณค่ะ

          จากนั้นเราทั้งสามคนจึงเดินหาสมุนไพรอื่นๆกันต่อ ฉันชิมรสชาติสมุนไพรหลายชนิดทั้งมีพิษและไม่มีพิษ เมื่อได้สมุนไพรหลายชนิด เราทั้งสามจึงกลับบ้าน เห็นซิ่นหลิงนั่งรออยู่ที่ชานบ้านพร้อมสัตว์ตัวใหญ่ที่นอนม่องเท่งอยู่ที่ลานหน้าบ้าน

          อันฉี  : อ้าว! ซิ่นหลิงมารอนานหรือยัง? แล้วนี่ตัวอะไรเนี่ยตัวเบ้อเริ่มเลย กวางรึเปล่า?
     ซิ่นหลิง  : กวางตัวใหญ่ใช่ม๊า ข้าเพิ่งได้มาเลยจะเอามาย่างให้เจ้ากินกัน เห็นเจ้ากินกระต่ายทุกวันคงน่าเบื่อแย่
          อันฉี  : ขอบคุณมากๆเลย มาได้จังหวะเหมาะกำลังอยากเจอตัวอยู่พอดี
       เสวี๋ยฉี  : ใครใช้ให้เจ้ามาที่บ้านของข้าอีกห๊ะ!? กระต่ายของข้ายังไงก็อร่อยกว่ากวางของเจ้าอยู่แล้ว!
          อันฉี  : ท่านพี่เสวี๋ยฉี! ถ้าท่านไล่ซิ่นหลิงอีก ข้าจะให้ท่านไปตัดไม้มาทำชั้นตากสมุนไพรให้ข้า
       เสวี๋ยฉี  : ไหนเจ้าบอกให้ข้าแค่ทำผม กับทำกับข้าวก็พอแล้วยังไงล่ะ ถ้าตัดไม้เจ้าก็ให้เจ้าหยงเป่าไปตัดสิ
          อันฉี  : หยงเป่าต้องปลูกต้นไม้ แต่ข้าจะไหว้วานซิ่นหลิงให้ช่วยทำชั้นตากสมุนไพร ท่านมาไล่เขาไปแบบนี้งั้นท่านก็ทำชั้นตากสมุนไพรให้ข้า
       เสวี๋ยฉี  : ไม่น๊า...อันฉีเจ้าจะรังแกข้าแบบนี้ไม่ได้นะ ก็ได้ ก็ได้ ให้เจ้าแมงป่องนั่นทำ วันนี้ข้าไม่ไล่มันก็ได้
      ซิ่นหลิง  : (แอบหัวเราะเยาะ)
          อันฉี  : ท่านพี่....งั้นท่านก็จัดการกวางตัวนี้ดีกว่ามั้ย เอาไปทำอาหารกลางวัน ส่วนข้าจะไปช่วยซิ่นหลิงทำชั้นตากสมุนไพร
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าจะไปช่วยเจ้าแมงป่องทำไม ปล่อยให้เจ้านั่นทำคนเดียวไปสิ เจ้ามาช่วยข้าทำอาหารดีกว่า
         อันฉี  : งานทำชั้นตากสมุนไพรมันงานหนัก ทำคนเดียวจะเสร็จช้า สมุนไพรที่เก็บมาจะเหี่ยวเฉาตายซะก่อน
     เสวี๋ยฉี  : งั้นข้าไปทำชั้นตากสมุนไพรแทนเจ้า ส่วนเจ้าไปทำอาหาร
          อันฉี  : ท่านพี่...ท่านเข้าครัวทำอาหารน่ะดีแล้ว เพราะข้าไม่ถนัดทำอาหาร อีกอย่างข้าไม่กล้าชำแหละกวางด้วย เอางี้...ตอนท่านอาบน้ำข้าจะไปขัดหลังให้ท่าน ตกลงมั้ย?
       เสวี๋ยฉี  : สัญญานะ
          อันฉี  : สัญญา (ฉันจับมือเสวี๋ยฉีขึ้นมาจุมพิศแบบเจ้าหญิง)
       เสวี๋ยฉี  : งั้นข้าไปทำอาหารกลางวัน (เสวี๋ยฉียิ้มแล้วเดินไปลากกวางเข้าครัว)
      ซิ่นหลิง  : เอ...ทำไมเจ้างูจอมดื้อดึงนั่นถึงได้เชื่องเป็นลูกแมวขึ้นมาได้น๊า?
          อันฉี  : ช่างเถอะน่า...เราไปตัดไม้กันเถอะ
      ซิ่นหลิง  : เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวข้าไปคนเดียวดีกว่า
          อันฉี  : ระวังตัวด้วยล่ะ
     หยงเป่า  : ต้นสมุนไพรนี่จะให้ข้าปลูกตรงไหน
         อันฉี  : อ๋อ ปลูกมุมตรงนี้ดีกว่า เอามุมนี้เป็นมุมปลูกสมุนไพร แล้วถัดไปตั้งชั้นตากสมุนไพรตรงนี้

          หยงเป่าเริ่มขุดดินเพื่อปลูกสมุนไพร ฉันจึงเดินไปเอาน้ำชามาวางเตรียมไว้ให้พวกเขาดื่ม จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อหาของว่างไปให้หยงเป่าและซิ่นหลิงกิน ในครัวเสวี๋ยฉี กำลังยืนมองกวางที่ยังไม่ได้ชำแหละอย่างครุ่นคิด ฉันจึงเดินเข้ายืนข้างๆแล้วเอ่ยถาม....

          อันฉี  : ท่านพี่...ยืนทำอะไรอยู่ เห็นยืนจดๆจ้องๆกวางได้สักพักละ
      เสวี๋ยฉี  : ข้ากำลังคิดว่าจะผัดเนื้อกวางหรือจะย่างดี?
          อันฉี  : แบ่งเป็นสามส่วนดีมั้ย? ส่วนแรกผัดผสมกับผักเป็นมื้อกลางวัน ส่วนที่สองไว้ย่างกินคืนนี้ ส่วนที่สามแร่เป็นชิ้นเล็กๆเอาไปตากแห้งเป็นเนื้อกวางเค็ม เนื้อกวางตากแห้งถ้าเอากินแกล้มเหล้าน่าจะอร่อยนะ ท่านคิดว่าไง?
     เสวี๋ยฉี  : ดี ทำตามที่เจ้าแนะนำ แต่เจ้าอย่าเพิ่งเข้ามา เพราะข้าจะชำแหละกวาง ภาพมันไม่น่าดูสักเท่าไหร่
          อันฉี  : ข้าเข้ามาหาของว่างไปกินกับน้ำชา มีขนมให้กินบ้างมั้ยท่านพี่....(ฉันเข้าไปกอดที่เอวออดอ้อน)
       เสวี๋ยฉี  : ข้ามีเซาปิ่ง เดี๋ยวข้าหยิบให้
          อันฉี  : อ๋อ..เซาปิ่ง ที่เป็นขนมเปี๊ยะสด เคยกินแบบนี้ที่คล้ายๆกันที่บ้านหลังเก่าอร่อยดี ข้าขออีก 2 อันได้มั้ยจะเอาไปแบ่งให้หยงเป่ากับซิ่นหลิงคนละอัน
      เสวี่ยฉี  : สองคนนั่นไม่ต้องกินหรอก
         อันฉี  :  อื้มมม....ท่านพี่ขอขนมเถอะนะ ข้าชวนพวกเขากินข้าวกลางวันด้วยกันที่นี่ด้วย นะ นะ (ฉันทำสายตาวิงวอน)
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าอย่าทำสายตาแบบนี้ข้าไม่ใจอ่อนหรอก
        อันฉี  : ท่านพี่....ให้พวกเขากินข้าวกลางวันด้วยกันเถอะนะ
     เสวี๋ยฉี  : เฮ้อ! เจ้าเนี่ย....ก็ได้ ก็ได้ แค่กินข้าวกลางวันนะ
        อันฉี  : ท่านน่ารักที่สุด (ฉันจู๊บเขาที่ริมฝีปากหนึ่งครั้งแล้วหยิบขนมเดินออกไปจากครัว)

          หยงเป่า กำลังง่วนขุดดินทำแปลงปลูกสมุนไพร ฉันจึงวางขนมข้างถาดน้ำชา แล้วเดินไปตักน้ำใส่ถังหิ้วไปวางเตรียมไว้ให้หยงเป่า ลงไปนั่งข้างเขาแล้วถามถึงอายุ

          อันฉี  : ท่านอายุเท่าไหร่เหรอ?
     หยงเป่า  : 1,300 ปี (เขายิ้ม)
          อันฉี  : ห๊า! 1,300 ปี! ทำไมหน้าเด็กกันจังเลย ทั้งซิ่นหลิง, ท่านพี่... อายุพวกท่านมากกว่าหนึ่งพันปีกันทั้งนั้น แต่มีใบหน้าเด็กกันทุกคนเลย ไม่อยากจะเชื่อ!
     หยงเป่า  : แต่เจ้ามีใบหน้าเด็กกว่าพวกข้า
          อันฉี  : แหะแหะ นั่นสินะ ท่านในร่างมนุษย์เนี่ยหล่อมาก แต่ร่างเสือดำข้าก็ชอบ น่ารัก นี่นี่ท่านชอบกินปลามั้ย? ท่านชอบเล่นก้อนไหมพรมหรือเปล่า? แล้วพู่ติดปลายไม้ล่ะชอบเล่นมั้ย?
    หยงเป่า  : ข้าไม่ใช่แมว!
         อันฉี  : แหะ แหะ ขอโทษ คือฉันชอบแมวน่ะ เห็นร่างเสือดำของท่านแล้ว ก็อยากจับอยากเล่นน่ะ แต่เวลาที่ท่านโมโหน่ากลัวมากเลย แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้โมโหข้าแล้วท่านดูน่ารักมาก ยิ้มน่ะ เวลายิ้มท่านน่ารัก ดูใจดี
   หยงเป่า  : เจ้าก็น่ารัก (เขาหันมาสบตา) ....ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะแค่ไล่ตามสุนัขเยือกแข็ง แต่เป็นเพราะเจ้า เลือดของเจ้าที่อยู่ในกายข้า เรียกให้ข้ามาที่นี่ข้าไม่อาจปฏิเสธเลือดที่รุ่มร้อนนี้ได้ ข้าจะรู้สึกกระวนกระวายใจเมื่ออยู่ห่างไกลเจ้า ข้าพยายามแล้วที่จะไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้ ในใจของข้ากลับห่วงใยเจ้าเหลือเกิน ข้าไม่อาจทิ้งเจ้าไปได้ ยิ่งได้เห็นสุนัขเยือกแข็งทำร้ายเจ้า หัวใจของข้ายิ่งเจ็บแค้นสุนัขพวกนั้นยิ่งนัก ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า แต่ตอนนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเจ้า
          อันฉี  : ขอบคุณมากที่ท่านพยายามปกป้องข้า แต่ที่ท่านเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะสายสัมพันธ์ในเลือดที่เชื่อมโยงพวกเราเอาไว้ ข้าขอโทษที่เลือดพิษของข้าผูกมัดท่านไว้ แต่ข้าจะพยายามหายาถอนพิษมารักษาพวกท่าน ข้าขอเวลาสักหน่อยเพราะตอนนี้ยังไม่รู้วิธีรักษาเลย ที่ทำได้ก็แค่ดับพิษเพลิงลาวาคลั่งในกายท่านให้สงบเท่านั้น
     หยงเป่า  : ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ข้าได้อยู่ใกล้ๆเจ้าปกป้องเจ้า ข้าก็พอใจแล้ว
          อันฉี  : ต้องขอโทษอีกครั้ง ขอโทษจริงๆค่ะ
     หยงเป่า  : ช่างเถอะ เมื่อก่อนข้าอยู่โดยลำพังมาตลอด ตั้งแต่ที่ข้ามาที่นี่และเฝ้ามองดูเจ้า ได้คลุกคลีอยู่กับเจ้า นั่นทำให้ข้ารู้สึกดีมีความสุข
หมายเหตุ

*สุโค่ย  เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง สุดยอด

*หยางกวาง (ชื่อของงูไทปันโพ้นทะล หัวหน้างูทหาร) แปลว่า แสงอาทิตย์

เพลงจีน 失去才懂 เมื่อสูญเสียจึงจะเข้าใจ
YouTube by : LuLu Qun Music Channel


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 12
(แลกจอกเหล้ากันอีกครั้ง)       

          ไม่นานนักซิ่นหลิงแบกไม้ไผ่ที่ตัดได้กลับมา เขานำไม้ไผ่มาวาง แล้วจัดการตัดแบ่งเป็นท่อนๆ ฉันช่วยซิ่นหลิงจับไม้ไผ่อย่างขะมักเขม่น ทันไดนั้น หยงเป่าที่กำลังขุดดิน และซิ่นหลิงที่กำลังตัดไม้ไผ่ก็หยุดชะงักแล้วซิ่นหลิงก็พูดว่า "จิตสังหาร" ซิ่นหลิงทิ้งมีดตัดไม้ในมือแล้วเรียกฉันให้ไปอยู่ข้างๆแล้วดึงทวนโลหิตวารีออกมา เสวี๋ยฉี ที่วิ่งออกมาจากในครัว พร้อมกับกระบี่บินหยกขาวที่บินมาจากฟ้า เสวี๋ยฉีหันมาพูดกับซิ่นหลิงพร้อมชี้นิ้วมือมาที่ฉัน เขาพูดสั้นๆว่า "อยู่กับนาง!" แล้วเขาก็วิ่งออกไปทางป่าไผ่ขียว และในขณะเดียวกัน หยงเป่าดึงดาบ เขี้ยวแก้วราตรี ออกมาแล้ววิ่งออกไปพร้อมกับเสวี๋ยฉีทันที ฉันถามซิ่นหลิงว่าเกิดอะไรขึ้นที่ข้างนอกนั่น ซิ่นหลิงตอบว่า เขาสัมผัสถึงจิตสังหารได้แบบเดียวกันกับสุนัขเยือกแข็ง ซึ่งหยงเป่า และเสวี๋ยฉีก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน สามารถสัมผัสถึงจิตสังหารได้มากกว่าหนึ่งตัว กำลังมุ่งตรงมาที่ป่าไผ่เขียว ซิ่นหลิงบอกให้ฉันอยู่แต่ในเขตคุ้มกันและอย่าอยู่ห่างจากเขา ฉันกังวลใจและเป็นห่วงเสวี๋ยฉีกับหยงเป่าเป็นอย่างมาก แต่ก็ออกไปช่วยไม่ได้ด้วยเหตุผลเดิมคือเกะกะ สักพักก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากในป่าไผ่เขียว สุนัขเยือกแข็งตัวหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วพร้อมด้วยเหล่าบรรดางูทหารที่กำลังรุมโจมตีสุนัข มันพุ่งกระโจนเข้าใส่เขตคุ้มกันตรงจุดที่ฉันกับซิ่นหลิงยืนอยู่ สุนัขเยือกแข็งกระเด็นถอยหลังล้มเพราะไม่สามารถกัดทะลุเขตคุ้มกันเข้ามาได้ เสวี๋ยฉี และหยงเป่าวิ่งกลับมาพร้อมกันแทงสุนัขเยือกแข็งตายคาที่ตรงนั้น สุนัขเยือกแข็งเมื่อถูกแทงตายก็สลายกลายเป็นไอหายไปในอากาศ

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? (เสวี๋ยฉีรีบวิ่งเข้ามาดูฉัน)
          อันฉี  : ไม่, สุนัขเยือกแข็งเข้ามาไม่ได้ เขตคุ้มกันป้องกันเอาไว้ ท่านพี่กับหยงเป่าบาดเจ็บหรือเปล่า?
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร
     หยงเป่า  : ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะย้อนกลับมาเร็วขนาดนี้ เป้าหมายของพวกมันคืออันฉี
       เสวี๋ยฉี  : พวกมันฉลาดนัก ตัวหนึ่งหลอกล่อ อีกตัวหนึ่งวิ่งแยกออกมาหาเป้าหมาย
     หยงเป่า  : เราคงต้องอยู่รวมกันไว้แล้วล่ะ
          อันฉี  : เป้าหมายทำไมเป็นข้าล่ะ พวกสุนัขจะกินข้าเหรอ?
     หยงเป่า  : คงไม่ได้อยากกิน แต่อยากฆ่าเพราะจิตสังหารรุนแรง ส่วนเหตุผลทำไมถึงต้องการฆ่ายังไม่รู้แน่ชัด
      เสวี๋ยฉี  : แต่ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันทำร้ายเจ้าได้ (เขากอดฉันแน่น)
     ซิ่นหลิง  : ข้าจะอยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าเหมือนกัน
     เสวี๋ยฉี  : ไปนั่งก่อนเถอะอย่ากลัวนะ เจ้าหิวหรือยัง เดี๋ยวข้าไปยกอาหารมาให้เจ้ากิน (เขาเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเพื่อให้ฉันหายกลัว)
    ซิ่นหลิง  : ข้าหิวแล้ว!
     เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่ได้ถามเจ้า ถ้าเจ้าหิวเจ้าก็ไปหากินเอง
    ซิ่นหลิง  : อันฉี เดี๋ยวข้าไปยกข้าวมาให้เจ้ากินดีกว่า รอข้าแป๊บนึง
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าไม่ต้องยุ่ง เรื่องข้าวของอันฉี ข้าจะจัดการเอง
         อันฉี  : น่า น่า ไม่ต้องแย่งกันเรามากินข้าวพร้อมกันนี่แหละ ท่านพี่ ท่านนั่งรออยู่นี่ เดี๋ยวข้าไปยกอาหารออกมาให้เอง ซิ่นหลิงไปช่วยข้ายกอาหารเร็ว (ฉันดึงมือซิ่นหลิงไปในครัว)

          ฉันรู้ ซิ่นหลิงแกล้งยั่วโมโหเสวี๋ยฉี เพื่อช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้ฉันหายกลัว ฉันจึงตามน้ำไปกับพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสบายใจ ขณะที่ฉันกำลังจูงมือซิ่นหลิงเข้าไปในครัว ซิ่นหลิงก็จับที่แขนของฉันแล้วถลกแขนเสื้อฉันขึ้น

     ซิ่นหลิง  : ห๊า! นี่เจ้างูขาวตัดหน้าข้าไปก่อนแล้วหรือนี่?!
         อันฉี  : อะไร? มีเรื่องอะไรซิ่นหลิง?
     ซิ่นหลิง  : นี่ไง! รอยสัญลักษณ์นี่ไง!

          ซิ่นหลิงชี้ที่รอยสัญลักษณ์งูขาวที่เคลื่อนลงมาที่ปลายแขน เขาดึงแขนฉันกลับไปหาเสวี๋ยฉี แล้วถลกแขนเสื้อของฉันขึ้นต่อหน้าเสวี๋ยฉีที่นั่งจิบชาอยู่กับหยงเป่า

     ซิ่นหลิง  : งูเจ้าเล่ห์ เจ้าแย่งอันฉีของข้าไป
      เสวี๋ยฉี  : อันฉี ไม่ใช่ของเจ้า นางเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว (เสวี่ยฉีนั่งจิบชาสบายใจแบบผู้ชนะ)
     ซิ่นหลิง  : อันฉีเจ้าต้องเข้าพิธีกับข้า ตอนนี้เลย
         อันฉี  : เดี๋ยวซิ่นหลิง ข้ากับท่านพี่เสวี๋ยฉี เราเข้าพิธีแลกจอกเหล้าเป็นพี่-น้องกัน เขาไม่ได้แย่งอะไรเจ้าสักหน่อย
    ซิ่นหลิง  : งั้นเจ้าเข้าพิธีแต่งงานกับข้า
   หยงเป่า  : เฮ่ย!
     เสวี๋ยฉี  : เฮ่ย!
        อันฉี  : เฮ่ย! ไม่เอ๊า!
    ซิ่นหลิง  : ข้าไม่ยอม! เจ้าต้องเข้าพิธีแต่งงานกับข้า เจ้าทิ้งข้าไม่ได้! (เขากอดฉันแน่น เหมือนเด็กกลัวถูกทิ้ง)
   เสวี่ยฉี  : สาวน้อยเจ้าห้ามแต่งงานกับเจ้าแมงป่องนั่นนะ ข้าไม่อนุญาต
      อันฉี  : อ๊า! ซิ่นหลิง ปล่อยก่อน คุยกันดีๆสิ!
 หยงเป่า  : หยุดเถียงกันก่อนเถอะ! ข้าว่าเราเข้าพิธีแลกจอกเหล้าเป็นพี่-น้องกันก็ดี อันฉีเองก็ไม่ต้องลำบากใจ เสวี๋ยฉีเจ้าเองก็รู้ว่าพวกข้าก็ไม่อาจแยกจากอันฉีได้เช่นกัน
          อันฉี  : ท่านพี่...พวกเรามาเป็นพี่-น้องกัน ก็ดีเหมือนกันน๊า มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน จะได้รู้สึกสนิทใจต่อกันด้วย เพราะถึงยังไงพวกเราก็แยกกันไม่ได้อยู่แล้ว เรามาร่วมมือร่วมใจกันจะดีกว่า ข้าว่าแบบนี้ดีที่สุด ยุติธรรมดีต่อทุกฝ่าย
     เสวี๋ยฉี  : แต่ว่า..... (ทำหน้าไม่อยากตกลง)
        อันฉี  : นะน๊า ตอบตกลงเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ข้านวดให้ท่าน
    เสวี๋ยฉี  : น้อยไป!
       อันฉี  : งั้นนวดเจ็ดวัน! ห้ามต่อรอง นี่โปรฯพิเศษแล้ว!
    เสวี๋ยฉี  : ตกลง! แต่มีข้อแม้อีกสองข้อถ้าข้าไม่ได้ข้าก็ขอปฏิเสธ
   ซิ่นหลิง  : เจ้าว่ามา!
    เสวี๋ยฉี  : ข้อแรก ข้าต้องเป็นพี่ใหญ่, ข้อสอง อันฉีต้องนอนกับข้าทุกคืนเหมือนเดิม
        อันฉี  : ข้าตกลง!
   หยงเป่า  : เรื่องนี้ข้าไม่มีปัญหาหรอก ข้าตกลง
   ซิ่นหลิง  : ข้าสมควรเป็นพี่ใหญ่มากกว่า! ข้าต้องเป็นพี่ใหญ่
       อันฉี  : ซิ่นหลิง ท่านพี่เสวี๋ยฉีเป็นพี่ใหญ่น่ะถูกต้องแล้ว เพราะเขาอายุมากที่สุด เรียงลำดับอาวุโส นี่ซิ่นหลิง อันที่จริงข้าก็อยากเป็นพี่ใหญ่เหมือนกัน จริงๆแล้วตัวข้าอายุมากกว่าพวกเจ้าจริงๆนะ เอ่อ...พวกเจ้าควรเรียกข้าว่าท่านน้าด้วยซ้ำ แต่พวกเจ้ากลับคิดว่าข้าอายุน้อยกว่า ข้าก็เลยต้องยอมๆไป เอางี้...ตอนนี้ยอมๆเขาไปก่อนไว้มีโอกาสเราค่อยไปท้าชิงตำแหน่งพี่ใหญ่กับเขา เจ้าว่าดีมั้ย? (ฉันเสนอแผนการ)
    ซิ่นหลิง  : ก็ได้ งั้นข้าเป็นพี่สามก็ได้
        อันฉี  : เดี๋ยว! แต่ข้าอยากเป็นพี่สาม!
    ซิ่นหลิง  : ไว้เจ้ามีโอกาสค่อยมาท้าชิงตำแหน่งพี่สามกับข้า! (ซิ่นหลิงเอานิ้วดีดที่หน้าผากของฉัน) มาเริ่มพิธีแลกจอกเหล้ากันเลย

          เราเริ่มทำพิธีแลกจอกเหล้ากันอีกครั้ง เราทั้งสี่คนหยดเลือดคนละหนึ่งหยดลงถ้วยเหล้าทั้งสี่ถ้วย ฉันบอกชายหนุ่มทั้งสามว่าให้ดื่มทีละคนเพราะฉันต้องถอนพิษให้ทีละคน การดื่มพร้อมกันจะเสี่ยงอันตราย เสวี๋ยฉีจะกล่าวนำคำสาบาน แต่ฉันบอกเขาว่าฉันขอกล่าวนำคำสาบานเพื่อความเสมอภาคต่อทุกฝ่าย ฉันจึงขอยืมถ้อยคำสาบานบางส่วน เป็นคำสาบานในสวนท้อ ที่ฉันเคยดูซีรี่ย์ สามก๊ก ในทีวีมาใช้

          อันฉี  : ตัวข้าอันฉี, ไป๋เสวี๋ยฉี, หู่หยงเป่า, เซียซิ่นหลิง เราทั้งสี่อยู่ต่างเมืองวันนี้ได้มาพบกัน ขอตั้งสัตย์เป็นพี่น้อง เป็นน้ำใจเดียวกัน ข้าแต่นี้ต่อไปข้าเป็นคนของตระกูลไป๋, ตระกุลหู่, ตระกูลเซีย ข้ามีแซ่ไป๋หู่เซีย ข้าคือ ไป๋หู่เซียอันฉี (ชายหนุ่มทั้งสามหันมามองหน้าฉันแบบ งง งง) เราจะไม่ทิ้งกัน รักและซื่อสัตย์ต่อกัน เราทั้งสี่แม้จะไม่ได้เกิดวัน เดือน ปี เดียวกัน แต่ขอตายวัน เดือน ปี เดียวกัน!
   หยงเป่า  : เอ่อ...ข้าว่าชื่อแซ่ของเจ้าฟังดูแปลกๆ แซ่แบบนี้ไม่มีหรอกนะ
        อันฉี  : ข้านี่แหละคนแรก และเพื่อความยุติธรรมข้าจะใช้แซ่ของพวกท่านทุกคน ความแปลกเป็นเอกลักษณ์ของข้า ท่านคนใดขัดข้องทักท้วงข้าตอนนี้ได้ หากไม่เหมาะสมข้าก็จะไม่ใช้แซ่ของใครเลย
    หยงเป่า  : อืม...งั้นข้ายังไงก็ได้
     ซิ่นหลิง  : แบบนั้นก็ได้
      เสวี๋ยฉี  : อืม..ได้
         อันฉี  : งั้นดื่ม...เริ่มจากท่านก่อน พี่ใหญ่ (ฉันหันหน้าไปก้มคำนับ เสวี๋ยฉี)

          เสวี๋ยฉี ดื่มน้ำชาผสมเลือดของเราทั้งสี่คน จากนั้นฉันเข้าไปจูบเขาเพื่อป้อนยาถอนพิษ แม้จะรู้สึกอายนิดหน่อยที่ต้องต้องจูบกับชายหนุ่มคนหนึ่งต่อหน้าชายหนุ่มอีกสองคน แต่ยังไงก็ต้องทำเพราะเป็นพิธีแลกจอกเหล้าเราจึงต้องกระทำต่อหน้าเราทั้งสี่คน จากนั้นก็หันไปคำนับหยงเป่า พี่รอง เขายกชาผสมเลือดขึ้นดื่ม ฉันรีบเจ้าไปจูบเขา และรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณหน้าอกเยื้องขึ้นไปทางหัวไหล่ อาจเป็นเพราะรอยสัญลักษณ์เสือดำปรากฏ ฉันเขินนิดหน่อยที่ได้จูบหยงเป่าในร่างมนุษย์ครั้งแรก จูบนี้ดูอ่อนโยนและนุ่มนวล ต่างจากตอนที่เจอกันครั้งแรกในร่างเสือดำที่ก้าวร้าวและโหดร้าย จูบนี้ช่างหวานจนฉันเผลอเข้าไปกอดหยงเป่า "อะแฮ่ม!!!" เสียงกระแอมแบบขัดใจดังขึ้น ฉันรีบผละออกจากหยงเป่า เพราะเสวี๋ยฉีกระแอมเพื่อขัดจังหวะ ฉันจึงขยับไปหาซิ่นหลิง แล้วก้มคำนับ พี่สาม ซิ่นหลิงขยิบตาให้ฉันครั้งหนึ่งเหมือนมีแผนการร้าย แล้วกระซิบว่า "ข้าชอบแบบเร่าร้อน" ฉันมองตากับเขาแล้วแอบหัวเราะเบาๆเพราะรู้ว่าซิ่นหลิงต้องการยั่วโมโหเสวี่ยฉี ตอนนี้เราเหมือนเพื่อนคู่หูกันไปเสียแล้ว ฉันจึงกระซิบตอบกลับไปว่า "อย่าเล่นน่า!" ซิ่นหลิงยกชาผสมเลือดขึ้นดื่ม ฉันเข้าไปจูบซิ่นหลิง และเริ่มร้อนผ่าวที่บริเวณกลางหลังเพราะรอยสัญลักษณ์แมงป่องแดงปรากฏ.....เป็นอันเสร็จพิธี

          เมื่อพิธีแลกจอกเหล้าเสร็จสิ้น เราทั้งสี่คนจึงกลับไปนั่งกินอาหารกลางวัน จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงานที่ลานหน้าบ้านกันต่อ สักพักมีงูทหารเข้ามารายงายเสวี๋ยฉี ว่าหยางกวางได้รับพิษไอเย็นถูกสุนัขเยือกแข็งกัดจนได้รับบาดเจ็บ เพราะเขาเข้ารับคมเขี้ยวแทนทหารงูรายหนึ่ง เสวี๋ยฉีจึงบอกให้พาหยางกวางเข้ามาให้ฉันดูอาการ ฉันจึงใช้ว่านแสงตะวันที่เพิ่งเก็บมาตอนเช้าบดประคบแผลให้หยางกวาง หยงเป่าบอกว่าฉันควรฝึกใช้อาวุธที่ฉันได้รับจากพวกเขา เพราะรอยสัญลักษณ์สามารถเรียกใช้เป็นอาวุธได้ หยงเป่าบอกว่าให้ฉันเริ่มจากการฝึกเรียกใช้ แซ่อสรพิษ ที่ได้รับจากเสวี๋ยฉีก่อน ผู้ใช้กับอาวุธต้องมีความสัมพันธ์กันจนอาวุธกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนเรื่องแปลงปลูกสมุนไพร และชั้นตากสมุนไพร หยงเป่าและซิ่นหลิงจะจัดการเอง ฉันจึงเริ่มฝึกใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัว เริ่มต้นจากการเรียกใช้แซ่อสรพิษ และฝึกการฟาดแซ่จนคล่อง

          อันฉี  : แซ่อสรพิษ (ฉันเรียกรอยสัญลักษณ์ที่พันอยู่รอบอก ให้วิ่งมาที่มือข้างขวาแล้วปรากฏเป็นแซ่)
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าเรียนรู้ได้เร็วกว่าที่ข้าคิด
          อันฉี  : (ฉันสะบัดแซ่โชว์เสียงดังสนั่น)
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะสอนวิชาระบำสะบัดพิษ เพื่อใช้ควบคู่กับแซ่ เจ้าดูและทำตามข้า

          เสวี๋ยฉี ร่ายรำวิชาสะบัดพิษ อย่างอ่อนช้อยสวยงามแต่แฝงไปด้วยความรวดเร็วและเข้มแข็ง เขาเรียกฉันให้ไปร่ายรำตามเขา

     เสวี๋ยฉี  : เจ้าต้องสะบัดแขนออกไป แบบนี้ๆ! ยกแขนสูงๆ! ก้นยกด้วย! หน้าเชิด! เตะขาออกไปด้านหลังแบบนี้!.... เจ้านี่สอนไม่จำอีกแล้ว
        อันฉี  : แง๊....ยากจัง ข้าปวดตัวไปหมดแล้ว!
    เสวี๋ยฉี  : อย่าบ่น! เอ้า! ทำอีกรอบนึง

          การฝึกแซ่อสรพิษทำเอาฉันปวดเมื่อยไปทั้งตัว แม้ฉันจะง่วนอยู่กับการฝึกแซ่อสรพิษทั้งวัน แต่บ้านเราก็ดูครึกครื้นขึ้นเพราะฉันมีพี่ชายสุดหล่อเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน

Beautiful Chinese Classical Dance
麗人行宗楠
นาฏศิลป์จีน
Double | Winsboys
Youtube by : Che pin

Youtube by : Ngan Ho

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 13
(สองลิงน้อยสมาชิกใหม่)   

          คืนนี้พวกพี่ชายทั้งสามนั่งดื่มเหล้าด้วยกันที่ชานบ้าน ฉันยกเนื้อกวางย่าง และถั่วลิสงคั่วใส่จานเล็กๆมาเป็นของแกล้มเหล้าให้พวกเขา และนั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉี คอยรินเหล้าให้พวกเขาดื่ม นั่งคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับการจัดลานหน้าบ้านใหม่ พวกเขาต้องการทำโต๊ะอเนกประสงค์ และเก้าอี้เพิ่มอีกหนึ่งชุดสำหรับตั้งวางที่ลานบ้าน และคุยกันเรื่องทั่วไปหลายเรื่อง ฉันนั่งฟังเพลินจนเริ่มง่วง จึงขอตัวไปนอนก่อนเพราะปวดเมื่อยจากการฝึกระบำสะบัดพิษ

          ฉันเข้านอนก่อนเสวี๋ยฉีได้สักพัก หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะเสวี๋ยฉีกลับเข้ามานอนที่เตียง คืนนี้เขาถอดเสื้อแล้วเข้านอนแต่ฉันก็ยังได้กลิ่นเหล้าที่เขาดื่ม เสวี๋ยฉีสอดแขนให้ฉันนอนหนุนแขนเขาเหมือนทุกคืน จูบที่หน้าผากหนึ่งฟอดใหญ่ ฉันงัวเงียเอ่ยถามเขาว่า.....

          อันฉี  : ถอดเสื้อนอนไม่หนาวเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : ไม่หนาวหรอก อย่าห่วงเลย นอนเถอะ
          อันฉี  : ดื่มเยอะจังนะคืนนี้

          เสวี๋ยฉีหัวเราะเบาๆแล้วจุ๊บที่ริมฝีปากฉันเพียงหนึ่งครั้ง จากนั้นเรากอดกันนอนหลับไปเหมือนทุกคืน และคืนนี้ฉันฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว ......เสวี่ยฉีกำลังลงลิ้นเลียที่เนินส่วนล่างจนฉันบิดตัวไปมาด้วยความเสียวซ่าน สองมือที่กดศรีษะเขาไว้กับเนินหว่างขาและสะโพกที่โยกรับตามจังหวะลิ้นที่เขาสอดใส่ดันเข้าไปลึกๆ เขาดูดอย่างหื่นกระหายจนแทบจะกินฉันเข้าไปทั้งตัว เขาจับฉันคุกเข่าให้มือยันพื้นแล้วสอดใส่แท่งเนื้อใหญ่แข็งแรงชูชันเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังอย่างดุดันและหนักหน่วงจนฉันแทบลืมหายใจ คืนนี้เขาสอดใส่และเร่งจังหวะรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทุกท่วงท่าและลีลาที่เขาทำกับฉันช่างตื่นเต้นเร้าใจจนฉันร้องครางออกมาเสียงดัง เรามีเซ็กส์ที่รัอนแรงกันทั้งคืนอีกแล้ว......

          เช้าแล้วฉันตื่นนอนก่อนเสวี๋ยฉี ฉันหันไปมองเขาที่ยังนอนหลับไหล เมื่อคืนคงดื่มหนักเพราะมีเพื่อนร่วมดื่ม เมื่อคืนฉันฝันว่ามีเซ็กส์กับเสวี๋ยฉีอีกแล้ว ทำไมฝันแบบนั้นติดต่อกันสองคืนแล้ว แปลกจัง คงต้องอยู่ห่างๆเขาบ้างแล้ว ไม่งั้นคงเก็บเอาไปฝันแบบนั้นอีก ฉันค่อยๆจับมือเสวี๋ยฉีที่กำลังกอดฉันอยู่ออกวางบนผ้าห่ม ยังไม่อยากปลุกให้เขาตื่น ก้มมองดูเสื้อตัวเองที่เปิดอ้าออกเชือกถูกปลดออกอีกแล้ว สงสัยเชือกหลุดตอนพลิกตัวอีกล่ะมั้ง..ฉันคิด แล้วมองหารอยสักงูขาวที่เมื่อคืนเลื้อยพาดอยู่ตรงกลางอก เช้านี้หายไปไหนแล้ว อ๊ะ! เจอแล้วรอยสักเลื้อยไปพันอยู่ที่ต้นขา งูตัวนี้นี่! ซุกซนเหมือนเจ้าของจริงๆ ฉันค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ผูกเชือกที่เสื้อให้เรียบร้อย เดินไปล้างหน้า แล้วเตรียมน้ำมาวางไว้ข้างเตียงให้เสวี๋ยฉีล้างหน้าหลังตื่นนอน

          ที่ลานหน้าบ้านไม่มีใครอยู่ เมื่อคืนหยงเป่ากับซิ่นหลิง ไปนอนที่ไหนกันนะตอนนี้เราเป็นพี่-น้องกันแล้วก็น่าจะนอนที่บ้านได้ ฉันได้ยินเสียงลิงร้องทักเหมือนที่เคยได้ยินในป่าแถวต้นไม้อัคคีสวรรค์ พลันนึกขึ้นได้ว่าในครัวยังมีกล้วยน้ำว้าหนึ่งเครือเหลืออยู่ น่าจะเอามาแบ่งให้ลิงนัอยกิน ฉันจึงพูดขึ้นดังๆว่า "ลิงน้อยร้องมาจากตรงไหนเนี่ย กินกล้วยมั้ย มาสิ!" ฉันจึงเรียกหยางกวาง ให้ออกมาหาแล้วบอกหยางกวางว่าถ้าลิงน้อยสองตัวนั้นมาหาฉันให้ปล่อยเข้ามา ฉันมีกล้วยน้ำว้าจะแบ่งให้ลิงน้อยกิน หยางกวางรับทราบแล้วออกไป

          ฉันจึงเดินไปดูแปลงสมุนไพรที่หยงเป่าปลูกไว้เมื่อวานแล้วรดน้ำ เพราะคิดว่าหยงเป่าคงนอนตื่นสายแน่เพราะเมื่อคืนเห็นพวกเขานั่งดื่มกันจนดึก ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงลิงร้องดังอยู่ใกล้ๆ ลิงน้อยสองตัวกำลังวิ่งเข้ามาในเขตป้องกัน พวกมันหน้าตาน่ารัก ฉันถามว่าพูดภาษามนุษย์ได้มั้ย ลิงน้อยส่ายหน้า ฉันจึงถามอีกว่าเข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย ลิงน้อยร้องตอบเจี๊ยกๆ ฉันจึงเดินเข้าไปในครัวเอากล้วยน้ำว้าให้ลิงน้อยสองตัวกิน ฉันถามลิงน้อยว่ามาได้ยังไง ลิงน้อยสองตัวก็แย่งกันคุยว่า เจี๊ยกๆเจี๊ยกๆเจี๊ยกๆ แล้วทำมือชี้โบ๊ชี้เบ๊ ฉันขำกับท่าทางของลิงแล้วพูดขึ้นอย่างขำๆว่า "ไม่เข้าใจ" แล้วหัวเราะ

          ขณะที่ฉันกำลังหัวเราะและพยายามพูดคุยกับลิงน้อยสองตัว ลิงน้อยก็มีอาการตกใจกลัวจนกล้วยหล่นจากมือแล้วมายืนหลบอยู่ข้างหลังฉัน มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า "ข้าตื่นสายแค่วันเดียว มีลิงน้อยสองตัวแอบมาตีท้ายครัวข้ารึ!" นั่นเสียงของเสวี๋ยฉี ฉันหันไปมองเสวี๋ยฉีที่ยืนอยู่ที่ชานบ้าน

          อันฉี  : พี่ใหญ่...ข้าอนุญาตให้ลิงน้อยสองตัวนี้เข้ามาเอง อย่าดุลิงเลย ดูสิกลัวจนกล้วยตก
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าลิงน้อยสองตัวกล้านักนะ กล้าบุกเข้ามาขโมยกินกล้วยถึงในบ้านของข้า (เขาดุลิงน้อยต่อ)
         อันฉี  : พี่ใหญ่...ลิงน้อยสองตัวยังเด็กให้อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะนะ ดูสิน่ารักออก อยู่ตั้งไกลยังอุตส่าห์มาหาข้า (ลิงน้อยสองตัวที่กำลังแอบอยู่ด้านหลังเดินเกาะชายกระโปรงตามมา)
    เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่ให้เจ้าสองตัวอยู่เฉยๆหรอกนะ ถึงเป็นเด็กก็ต้องทำงาน (เขาพูดกับลิง)
        อันฉี  : พี่ใหญ่ท่านนี่ใจร้ายจริงใช้แรงงานเด็ก
    เสวี๋ยฉี  : เจ้าสองตัวต้องคอยหาผลไม้ให้นางกิน เอากล้วยไปกินก็หากล้วยมาคืนด้วย เข้าใจมั้ย?! (เขาสั่งลิงน้อย)
ลิงน้อยสองตัว  : เจี๊ยกๆเจี๊ยกๆเจี๊ยกๆ
        อันฉี  : ไปกินกล้วย พี่ใหญ่ อนุญาตแล้ว

          ฉันนั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉี มองหน้าเขาแล้วนึกถึงความฝันเมื่อคืน นึกถึงใบหน้าเขาที่เร่าร้อนดุดัน นึกถึงลีลาและท่วงท่าต่างๆที่เขาทำกับฉันในความฝัน ทำให้ฉันคิดว่าหากในชีวิตจริงเขามีคนรัก เขาจะมีลีลาท่วงท่ายังไงกับคนรักของเขา เขาจะร้อนแรงเหมือนกับในความฝันของฉันมั้ยนะ ฉันแอบยิ้มแล้วคิดว่าความฝันก็คือความฝัน นั่นคงเป็นอารมณ์ลึกๆในใจฉันเองแล้วเก็บเอาไปฝัน ขณะที่กำลังคิดเสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาลูบไล้ที่แก้มฉัน แล้วถามว่า...

    เสวี๋ยฉี  : เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า พอดีเมื่อคืนข้าดื่มหนักไปหน่อย
       อันฉี  : อื้มหลับสบายดี..แต่ฝันแปลกๆแบบเดียวกันมาสองคืนแล้ว
    เสวี่ยฉี  : ฝันว่ายังไง? ฝันถึงข้าหรือเปล่า?
       อันฉี  : เปล่า...เอ่อฝันว่าบินได้ ฝันเหมือนกันสองคืน, แล้วเมื่อคืนท่านฝันอะไร? ท่านฝันถึงข้าบ้างหรือเปล่า? (ฉันแกล้งถามกลับ)
   เสวี๋ยฉี  : เจ้าไปเอาน้ำชามาให้ข้าดื่มหน่อยสิ ตอนเช้าๆอยากดื่มน้ำชาร้อนๆ เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อยคอแห้งจังเลยน๊า

          เสวี๋ยฉีส่งสายตาเซ็กซี่แล้วยิ้มไม่ตอบคำถามเรื่องความฝัน แต่กลับบอกให้ฉันไปยกน้ำชามาให้ดื่ม น่าสงสัยจังแฮะดูมีเลศนัย ฉันยกน้ำชาและขนมเซาปิ่งมาให้เสวี๋ยฉีกินกับน้ำชา ขณะที่กำลังรินน้ำชา หยงเป่ากำลังเดินเข้ามาพร้อมกับเห็ดสีขาวน่ากินจำนวนหนึ่งในมือ เขาเดินเข้ามาพร้อมกับมองไปที่ลิงน้อยสองตัวที่กำลังนั่งกินกล้วย

     หยงเป่า  : ลิงสองตัวนั่นมายังไง
          อันฉี  : ลิงน้อยสองตัวนั่นตามข้าจากป่าใกล้ต้นไม้อัคคีสวรรค์
    หยงเป่า  : เก่งแฮะ ตามมาไกลถึงที่นี่ได้ ลิงน้อยธรรมดาแต่ไม่ถูกสัตว์ร้ายกับปีศาจจับกินระหว่างทาง นั่นแสดงว่ามันต้องรู้เส้นทางหลบหลีกที่ปลอดภัยในการมาที่นี่ เป็นลิงน้อยธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเหมือนกับเจ้า
          อันฉี  : เมื่อคืนพี่รองไปนอนที่ไหนมา ทำไมไม่นอนที่บ้าน (ฉันรินน้ำชาให้หยงเป่า)
     หยงเป่า  : เมื่อคืนหลังจากที่ดื่มเสร็จแล้ว ข้าก็ออกไปตรวจสอบป่าข้างนอก เลยนอนที่ป่าข้างนอกเลย
      เสวี๋ยฉี  : เจอร่องรอยอะไรมั้ย?
    หยงเป่า  : ไม่, แต่วันนี้ข้าจะไปตรวจสอบป่าข้างนอกไกลอีกหน่อย ถ้าเจอสุนัขเยือกแข็งก็จะฆ่าทิ้งเลย
      เสวี่ยฉี  : ดี งั้นวันนี้ข้าจะออกไปตรวจสอบป่ารอบๆบริเวณนี้ด้วย เผื่อเจอพวกมันหลบซ่อนอยู่, อันฉีเจ้าฝึกใช้อาวุธด้วยนะ ห้ามขี้เกียจ
          อันฉี  : งั้นเช้านี้ข้าขอไปเก็บสมุนไพรหน่อยได้มั้ย จะไม่ไปไกลหรอก รอไปกับพี่สาม กลับมาค่อยฝึกอาวุธ
      เสวี๋ยฉี  : ป่าทางตะวันออกก็มีสมุนไพรดีๆอยู่เป็นจำนวนมาก แต่รอเวลาอีกสักพักให้แน่ใจว่าสุนัขเยือกแข็งไม่กลับมาจึงค่อยไป
    หยงเป่า  : นี่เห็ดป่า ข้าเจอระหว่างทางเห็นน่ากินจึงเก็บมาให้ เผื่อว่าเจ้าจะนำไปปรุงอาหาร
          
          ฉันรับเห็ดไว้แล้วนำไปเก็บไว้ในครัว ฉันหันไปมองลิงน้อยสองตัวที่กำลังเล่นกันอยู่ที่ลานบ้านหลังจากกินกล้วยจนอิ่ม ไม่นานนักซิ่นหลิงก็มาท่าทางเพิ่งจะตื่นจริงๆ เขาเดินไปนั่งคุยและจิบน้ำชาตอนเช้ากับหยงเป่าและเสวี๋ยฉี ตอนนี้พวกเขาเป็นพี่น้องกันทำให้ทะเลาะกันน้อยลง และดูจะมีเรื่องพูดคุยปรึกษากันมากขึ้น พวกเขาทั้งสามเมื่อนั่งอยู่ด้วยกันช่างดูดีมีออร่าความหล่อฟุ้งกระจาย เหมือนกับเทพบุตรที่กำลังนั่งจิบน้ำชาชื่นชมธรรมชาติบนสรวงสวรรค์ ฉันเดินเข้าไปในตัวบ้านหยิบห่อยาเล็กๆแล้วเดินออกไปที่ลานบ้าน เรียกลิงน้อยสองตัวให้วิ่งมาหาแล้วถามชื่อ

          อันฉี  : ลิงน้อยมีชื่อกันหรือเปล่า?
ลิงน้อยสองตัว  : เจี๊ยกๆฮุฮุๆ
          อันฉี  : ชื่อเจี๊ยกๆ กับชื่อฮุฮุ เหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า ฟังดูไม่น่ารักอ่า~ ข้าตั้งชื่อให้ใหม่เอามั้ย?
ลิงน้อยสองตัว : ฮุฮุๆ
           อันฉี  : เจ้าเป็นผู้ชาย เจ้าชื่อ ไมเคิล หมายถึง บุรุษที่มีชื่อเสียงระดับตำนานเชียวน๊า ร้องเพลงไพเราะ เต้นรำเก่งโดยเฉพาะท่าเต้นเดินชมจันทร์ ที่พลิ้วไหว เป็นที่กล่าวขานและจดจำของผู้คนทั่วโลก ส่วนเจ้าเป็นสาวน้อยน่ารัก เจ้าชื่อ แอบเปิ้ล หมายถึง ผลไม้สีแดง หอม หวาน กรอบ อร่อย ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบผลแอบเปิ้ล จนผลแอบเปิ้ลกลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ของอาวุธสื่อสารไฮเทค ที่ผู้คนต่างพยายามสรรหามาไว้ในครอบครอง เจ้าทั้งสองชอบชื่อที่ข้าตั้งให้มั้ย ถ้าชอบให้ยกมือขึ้นแตะศรีษะ
ลิงน้อยสองตัว  : (ยกมือขึ้นแตะศรีษะ)
         อันฉี  : ดี งั้นเจ้าทั้งสองเอายาทาแผลนี่ไปให้หยางกวาง งูที่หล่อๆมาดเข้มๆ ที่เป็นหัวหน้างูทหารน่ะ เอายาไปให้เค้า

         ลิงน้อยสองตัวรับยาแล้วนำออกไปให้หยางกวางที่ป่าไผ่เขียว จากนั้นฉันเดินไปหาซิ่นหลิงที่ยังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับเสวี๋ยฉีและหยงเป่า ฉันเอ่ยถามขึ้นว่า

          อันฉี  : พี่สาม หน้าตาเหมือนเพิ่งตื่นนอนเลยนะเนี่ย เมื่อคืนไปนอนที่ไหนมา ทำไมไม่นอนที่บ้าน
     ซิ่นหลิง  : เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย ข้าออกไปนอนที่ป่าไผ่เขียว ข้ายังไม่ค่อยชินกับการนอนในบ้าน
         อันฉี  : ท่านสร่างเมาหรือยัง จะชวนออกไปเก็บสมุนไพรในป่าไผ่เขียว กลับมาท่านสอนข้าเรียกใช้อาวุธของท่านหน่อยสิ อยากเห็นว่าเป็นอาวุธอะไร
     ซิ่นหลิง  : ก็ยังมึนๆนิดหน่อย แต่ออกไปได้แค่นี้เองไม่ไกล
         อันฉี  : งั้นข้าไปเอาตะกร้าก่อนนะ

          จากนั้นเราจึงแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง ฉันกับซิ่นหลิงออกไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน โดยมีลิงน้อยตามไปด้วย ฉันบอกกับลิงน้อยทั้งสองให้ช่วยมองหาสมุนไพรชนิดหนึ่งฉันเคยเห็นแต่จำไม่ได้ว่าเห็นบริเวณไหนในป่าไผ่เขียว ที่มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย มีดอกสีม่วงอ่อน ฝักมีสีเขียวคล้ายเม็ดพริก มีสรรพคุณช่วยสร่างเมา ไม่นานนักสองลิงน้อยก็เจอมัน ฉันจึงบอกให้ซิ่นหลิงนำสมุนไพรนี้ไปปลูกที่บ้านด้วย จะนำไปทำเป็นชาแก้สร่างเมา เพราะเห็นว่าต่อไปพวกเขาคงดื่มเหล้าสังสรรค์กันบ่อยขึ้นแน่ๆ เราเก็บสมุนไพรอื่นๆได้จำนวนหนึ่งจึงกลับบ้าน

          ฉันเดินเข้าไปในครัวเตรียมเด็ดสมุนไพรเพื่อต้มให้ซิ่นหลิงดื่มแก้อาการเมาค้าง ซิ่นหลิงเดินตามฉันเข้ามาในครัวแล้วโอบกอดฉันทางด้านหลัง เขาก้มหน้าเอาแก้มมาแนบชิดกับแก้มของฉันแล้วก้มจูบที่คออีกครั้งหนึ่ง จึงพูดว่า...

       ซิ่นหลิง  : ให้ข้าช่วยเจ้านะ จะได้เสร็จไวๆ เช้านี้เจ้าอยากกินอะไรข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเอง ถึงข้าจะทำอาหารไม่เก่งเท่าพี่ใหญ่ แต่ข้าก็พอทำได้นะ ข้าคิดว่าข้าน่าจะทำอาหารเก่งกว่าเจ้าด้วยซ้ำ (เขายังคงกอดอยู่ทางด้านหลังแบบนั้น แต่ก็เอื้อมมือมาช่วยเด็ดสมุนไพร)
           อันฉี  : ท่านอย่าดูถูกข้านะตอนข้าอยู่ที่บ้านหลังเก่าข้าเคยทำอาหาร ข้าเคยผัดผัก
       ซิ่นหลิง  : ไม่น่าเชื่อ...เจ้าดูไม่ค่อยได้ความ แล้วผัดผักของเจ้าอร่อยมั้ย?
           อันฉี  : ผักมันไหม้ หงิกงอ ท่านคิดว่าจะอร่อยมั้ยล่ะ
     ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ตลกชะมัด ปรุงอาหารไม่เป็นแล้วยังมาคุยโอ้อวด
         อันฉี  : สมุนไพรไม่ต้องต้มแล้วเสียเวลา ท่านกินเลยละกัน!

         ฉันหยิบใบสมุนไพรยัดใส่ปากซิ่นหลิง แล้วเอาสมุนไพรตีเขา ซิ่นหลิงเองก็แกล้งฉันกลับเราหยอกกันเล่นแบบนั้นอยู่สักพัก แล้วฉันก็ถามซิ่นหลิงว่า...

          อันฉี  : ข้าเรียกท่านว่า หลิงหลิง ได้มั้ย?
      ซิ่นหลิง  : ได้สิ! แต่เจ้าตัองจูบข้าก่อน
          อันฉี  : นิดเดียวนะ

          พูดจบซิ่นหลิงก็จูบแลกลิ้นกับฉันทันที ทั้งจูบทั้งซุกไซร้ซอกคอ เขาจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งแล้วดันส่วนล่างของเขาเข้ามาแนบชิดกับเนินหว่างขา เขาขยับสะโพกโยกเล็กน้อยแล้วดันให้มาสัมผัสกันอีกครั้ง ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบขึ้นมา "หลิงหลิง อย่าสิ" ฉันจึงใช้มือตีที่แขนเขาเบาๆ

          อันฉี  : ไหนบอกว่านิดเดียวไง
     ซิ่นหลิง  :  ก็ได้ๆ งั้นข้าทำอาหารเช้าก็ได้
          อันฉี  : ทำผัดเนื้อกวางใส่เห็ดดีมั้ย พี่รองเพิ่งเก็บเห็ดมาให้
    ซิ่นหลิง  : อืม ดีเหมือนกัน

          เราจึงช่วยกันทำอาหารเช้า และต้มสมุนไพรด้วยกัน เมื่อทุกอย่างในครัวเสร็จเรียบรัอย เราจึงกินอาหารเช้ากัน จากนั้นฉันก็นำสมุนไพรที่ได้มาไปตากเพื่อทำเป็นใบชาแห้ง

          ฉันให้ซิ่นหลิงสอนฉันเรียกอาวุธจากรอยสัญลักษณ์แมงป่องที่อยู่กลางหลังของฉัน ซิ่นหลิงบอกว่ามันคือแซ่ดาบ เป็นดาบที่มีใบมีดจำนวนมากต่อกัน ดาบสามารถยืดออกเพื่อโจมตีระยะไกล และสามารถหดกลับเพื่อโจมตีระยะไกล้ได้ เป็นแซ่ดาบอาบยาพิษโลหิตวารี เป็นพิษชนิดเดียวกันกับทวนโลหิตวารีของเขา ซิ่นหลิงบอกให้นึกถึงแมงป่องที่อยู่กลางหลัง จากนั้นก็คิดอีกว่าจะให้อาวุธไปปรากฏที่มือข้างไหนเท่านั้น ฉันทำตามที่ซิ่นหลิงสอน ก็ปรากฏแซ่ดาบสีแดงในมือขวา ดาบสามารถยืดออกและหดเข้าได้ใช้งานถนัดมือ (เท่ห์โคตรอีกแล้ว! เหมือนดาบของ อาบาราอิ เร็นจิ ในอนิเมะที่ฉันชอบเลย ฉันคิดในใจ) ตอนนี้ฉันมีพื้นฐานจากการฝึกหัดใช้แซ่อสรพิษมาก่อน จึงทำให้ง่ายมากขึ้นกับการฝึกอาวุธชนิดอื่น

          อันฉี  : หลิงหลิง ข้าตั้งชื่อแซ่ดาบใหม่ได้ไหม?
     ซิ่นหลิง  : ได้สิทำตามความถนัดของเจ้าเลย
          อันฉี  : ข้าตั้งชื่อใหม่ว่า ดาบซาบิมารุ
     ซิ่นหลิง  : เอ๋...? ชื่อฟังดูแปลกๆหมายถึงอะไร?
          อันฉี  : หมายถึง...ข้ารักพี่สาม ฮ่าฮ่าฮ่า
     ซิ่นหลิง  : เจ้าแกล้งข้าใช่มั้ยเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า ...ข้าก็รักเจ้า

          ซิ่นหลิง เข้ามาจูบฉันอีกครั้ง เขาชี้แนะวิธีใช้และท่าทางพื้นฐานการต่อสู้ให้ฉันฝึกการใชัดาบต่อ จากนั้นเขาก็หันไปทำงานชุดโต๊ะเก้าอี้กลางลาน ไม่นานนักเสวี๋ยฉีก็กลับมาจากข้างนอก เขามานั่งจิบชาพร้อมดูฉันฝึกซ้อมแซ่ดาบซาบิมารุที่ชานบ้าน ฝึกซ้อมได้สักพักฉันจึงหยุดพักแล้วมานั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉี ฉันถามเขาเกี่ยวกับสุนัขเยือกแข็งพบเจอร่องรอยมันอีกหรือไม่ เสวี๋ยฉีตอบว่าไม่พบร่องรอยและกลิ่นของพวกมัน พวกสุนัขเยือกแข็งอาจจะกลับไปที่ดินแดนของพวกมันแล้ว แต่พรุ่งนี้เขาจะไปตรวจสอบป่าทางตะวันตกให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง ฉันจึงขออนุญาตเสวี๋ยฉีไปเก็บสมุนไพรที่ป่าทางตะวันออกในวันพรุ่งนี้ ฉันบอกเขาว่าสองลิงน้อยรู้เส้นทางที่ปลอดภัยเพื่อหลบเลี่ยงสัตว์ร้ายและปีศาจ เสวี๋ยฉีถามฉันว่า....

      เสวี๋ยฉี  : เจ้าคุยกับลิงน้อยรู้เรื่องด้วยเรอะ?
         อันฉี  : รู้เรื่อง
      เสวี๋ยฉี  : คุยกันยังไง?
         อันฉี  : ก็ลิงน้อยพูดว่า เจี๊ยกๆฮุฮุๆ ข้าก็ตอบลิงน้อยว่าต้องขออนุญาตท่านก่อน
      เสวี๋ยฉี  : แค่เจี๊ยกๆฮุฮุ พวกเจ้าก็เข้าใจกันแล้วเรอะ?
          อันฉี  : ใช่ ท่านอนุญาตข้าหรือไม่?
      เสวี่ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย

          เสวี๋ยฉีอนุญาตและเขาบอกว่าจะให้หยงเป่าไปกับฉันด้วย เพราะหยงเป่าเคยไปตรวจสอบที่ป่าทางตะวันออกเมื่อวันก่อนหยงเป่าพอจะรู้เส้นทางอยู่บ้าง

          ไม่นานนักหยงเป่าก็กลับมา แต่เดินมาในร่างเสือดำ ฉันเห็นหยงเป่าที่เดินมาในร่างเสือดำจึงรีบวิ่งไปหาเขาด้วยความดีใจแล้วกอดร่างเสือดำของเขา ทั้งกอดทั้งหอมและซุกไซร้ถูไถที่แก้มและคอ เสือดำ ผงะและยืนนิ่งๆครู่หนึ่ง จากนั้นเสือดำก็กลายร่างเป็นร่างมนุษย์ที่ฉันกำลังยืนกอดคอ และเอาหน้าถูไถอยู่ที่หน้าอกของเขา ฉันเริ่มรู้สึกว่าเขากลายร่างมนุษย์แล้ว จึงเงยหน้ามองเขาแล้วทำหน้าแบบเสียดาย หยงเป่าก้มหน้ามาใกล้ๆมองฉันกลับด้วยใบหน้านิ่งๆแล้วพูดว่า....

     หยงเป่า  : นี่เจ้าจะเล่นข้าให้ได้เลยใช่มั้ย?
          อันฉี  : งื้อ..พี่รองใจร้ายยยย ขอเล่นหน่อยก็ไม่ได้
     หยงเป่า  : ข้าไม่ใช่แมว (เขาเดินไปนั่งที่ชานบ้านข้างๆเสวี๋ยฉีแล้วจิบชา)
          อันฉี  : พี่ใหญ่....งื้ออ พี่รองไม่ให้เล่นง่า~ ไม่รู้จะหวงตัวทำไมนักหนา (ฉันเข้าไปกอดแขนเสวี๋ยฉี แล้วฟ้องที่หยงเป่าไม่ให้เล่น)
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะจัดการเอง! เจ้าเสือดำเล่นกับนางหน่อยไม่ได้หรือยังไง เจ้าเป็นพี่รอง ควรจะดูแลนางให้ดีเล่นกับนางแก้เหงาบ้างจะเป็นไรไป เจ้านี่ช่างแล้งน้ำใจจริงๆ
    หยงเป่า  : ก็ได้ๆ! เจ้าสองคนรุมประณามข้าทำยังกับว่าข้าเป็นฝ่ายผิด
      เสวี๋ยฉี  : ใช่!
         อันฉี  : ใช่! 
     ซิ่นหลิง  : พี่รอง ถ้าเค้าสองคนร่วมมือกันเมื่อไหร่ท่านก็ไม่มีวันชนะได้หรอก ยอมซะเถอะ!
    หยงเป่า  : เอ้า มามา เล่นข้าจนเจ้าจะพอใจ
         อันฉี  : เย้! ขอบคุณพี่ใหญ่ (ฉันหอมแก้มเสวี๋ยฉีหนึ่งฟอดใหญ่แล้วรีบลุกไปเล่นหยงเป่าที่กลายร่างเสือดำให้เล่น)
     เสวี๋ยฉี  : งั้นข้าจะไปงีบสักหน่อย

          ฉันข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหยงเป่าในร่างเสือดำ ฉันชอบซุกไซร้ที่คอเสือดำเหมือนที่ฉันชอบซุกไซร์คอแมวของฉันที่โลกเก่า ฉันเคยเล่นกับแมวที่โลกเก่ายังไง ฉันก็เล่นกับเสือดำยังงั้น เพียงแต่เสือดำตัวใหญ่กว่าแมวทำให้กอดรัดฟัดเหวี่ยงได้สนุกและเต็มไม้เต็มมือกว่า เสือดำเองก็คงจะเริ่มสนุกเพราะตอนแรกเขานอนเฉยๆให้ฉันเล่น แต่ตอนนี้เริ่มเล่นตอบโต้กลับ เขาเล่นทำเป็นใช้ปากงับๆที่แขนฉัน แต่ไม่ได้ลงเขี้ยวกัดเหมือนแมวเล่นกับเจ้าของ ทำให้ฉันสนุกมากเพราะฉันอยากเล่นกับแมวตัวใหญ่ขนาดนี้มานานแล้ว จากที่ฉันกอดรัดฟัดเหวี่ยงเสือดำ ตอนนี้กลายเป็นเสือดำกอดรัดฟัดเหวี่ยงฉันแทนคล้ายแมวกำลังเล่นจับหนู ฉันหัวเราะชอบใจจนเสียงดัง เสือดำโถมตัวมานอนทับบนตัวฉัน แล้วใช้อุ้งเท้าหน้านุ่มๆมาปิดปากฉัน แล้วเสือดำก็พูดเบาๆว่า....

       เสือดำ  : เจ้าอย่าส่งเสียงดังเดี๋ยวพี่ใหญ่จะออกมาต่อว่าข้าอีก!
      ซิ่นหลิง  : อันฉี เจ้าเล่นมากระวังคืนนึ้จะนอนละเมอ
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ขอโทษเสียงดังไปหน่อย
       เสือดำ  : เจ้าอยากขึ้นหลังข้ามั้ย?
          อันฉี  : ขึ้นหลังได้เหรอ เอาสิ!

          เสือดำหยงเป่าให้ฉันขึ้นขี่หลังแล้วพาเดินเล่นรอบๆลานบ้าน ความรู้สึกที่ได้ขึ้นขี่หลังเสือดำช่างตื่นเต้น และรู้สึกเท่ห์โคตร เขาบอกให้ฉันทำตัวสบายๆอย่าเกร็ง เขาจะเริ่มวิ่งช้าๆ และบอกอีกว่าถ้าฉันชอบต่อไปเขาจะให้ฉันขึ้นขี่หลังเพื่อใช้เป็นพาหนะ แต่ถ้าหากฉันไม่ชอบหยงเป่าจะเรียกพาหนะ สายฟ้านิลอสูร ให้ฉันขึ้นพรุ่งนี้เพื่อไปที่ป่าทางตะวันออก เมื่อฉันทรงตัวบนหลังเสือดำคล่องแล้ว เสือดำก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้น และเริ่มกระโดดเพื่อฝึกการทรงตัวของฉัน จากนั้นเขาพาฉันเดินไปหาซิ่นหลิง และบอกซิ่นหลิงว่าจะพาฉันออกไปฝึกทรงตัวที่ป่าด้านนอก จะกลับมาก่อนค่ำ ให้ฝากบอกเสวี๋ยฉีด้วย ซิ่นหลิงตอบว่าจะบอกเสวี๋ยฉีให้ แล้วใหักลับมาให้ทันเวลาอาหารเย็น

          จากนั้นเสือดำหยงเป่าก็พาฉันขึ้นขี่หลังแล้วกระโดดออกไปจากเขตคุ้มกัน เขาพาฉันวิ่ง และกระโดดไปเรื่อยๆในป่า เสือดำหยงเป่าเคลื่อนไหวรวดเร็ว ปราดเปรียว ฝีเท้าเบา ถึงแม้จะมีฉันขี่อยู่บนหลังก็ดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เขาพาฉันวิ่งเล่นไปเรื่อยๆไกลออกไปจากป่าไผ่เขียวพอสมควร พาวิ่งมาถึงหน้าผาสูงชันแล้วให้ฉันหยุดชมทิวทัศน์ของป่าที่นี่

          เสือดำกลายร่างกลับเป็นมนุษย์ หยงเป่าเริ่มสอนฉันให้เรียกอาวุธจากรอยสัญลักษณ์เสือดำ เขาแนะนำวิธีเดียวกันกับซิ่นหลิง หยงเป่าบอกว่าอาวุธของเขาที่ให้ฉันคือ กงเล็บนิลอสูร เป็นกงเล็บเสือสีดำแหลม คม ดุจใบมีด เป็นกงเล็บชนิดเดียวกันกับกงเล็บของเขา ใช้ตะปบ หรือข่วน จะเกิดบาดแผลลึกฉกรรจ์ บาดแผลจะรักษาหายยาก กงเล็บสามารถเป็นอาวุธลับโจมตีระยะไกล พุ่งปักที่ร่างของศัตรูคล้ายมีดบิน ถ้าหากฉันฝึกจนชำนาญและสามารถเพิ่มพลังให้กับมัน จะสามารถฉีกกระชากร่างศัตรูจนขาดได้ หยงเป่าให้ฉันทดลองฝึกกงเล็บกับต้นไม้ ให้มือทั้งสองข้างชินกับกงเล็บนิลอสูร ฉันถามหยงเป่าว่า....

          อันฉี  : ขอเปลี่ยนชื่อกงเล็บนิลอสูรใหม่ได้หรือไม่ อยากให้กงเล็บฟังดูน่ารักเหมาะกับหญิงสาวนิดนึง
     หยงเป่า  : ได้สิ นั่นเป็นกงเล็บของเจ้า ตั้งชื่อในแบบที่เจ้าชอบเถอะ
          อันฉี  : กงเล็บชื่อใหม่คือ กงเล็บอสูรการ์ฟิลด์
     หยงเป่า  : อะไรคือการ์ฟิลด์?
          อันฉี  : การ์ฟิลด์ คือ แมวอ้วนสีส้ม
     หยงเป่า  : ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า กงเล็บนิลอสูรของข้า กลายเป็นอสูรแมวอ้วนสีส้ม แล้วเรอะ?! (เขาขำจนน้ำตาไหล)

          หยงเป่าปล่อยให้ฉันฝึกการใช้กงเล็บสักพักใหญ่ๆเพื่อให้ชินมือ ส่วนท่วงท่าการต่อสู้พื้นฐานเขาจะช่วยฝึกให้คราวหน้า ฉันหยุดฝึกกงเล็บแล้วมานั่งพักที่หน้าผา ชมทิวทัศน์ของป่ากับหยงเป่า เขาบอกว่าฉันมีแสงโล่เป็นโล่คอยป้องกันนั่นคือสิ่งดี แต่ป้องกันอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ บางครั้งการตอบโต้กลับก็สามารถช่วยชีวิตเราได้ด้วย ฉันฟังสิ่งที่เขาสอนและแนะนำอย่างตั้งใจ ฉันบอกเขาว่าฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาบอกฉัน แต่ฉันไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะฆ่าใคร หรือแม้แต่สัตว์ดุร้ายในป่าฉันก็ไม่กล้าที่จะฆ่า หากแค่ตีให้มันหยุดยังพอทำได้ แต่ถ้าให้ลงมือฆ่าฉันทำใจไม่ได้จริงๆ แต่ฉันจะฝึกใช้อาวุธและการต่อสู้พื้นฐานเพื่อป้องกันตัว เพื่อพวกเขาจะได้สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ โดยไม่ต้องมาคอยเฝ้าฉันตลอดเวลา

          หยงเป่า บอกว่าเขาเต็มใจที่จะคอยปกป้องฉันตลอดเวลาหากฉันตัองการแบบนั้น และชื่นชมที่ฉันไม่ใช่ลูกแหง่ที่ต้องอยู่คอยประคบประหงมตลอดเวลา ฉันจึงหันไปกล่าวขอบคุณที่เขาคอยปกป้องและมอบอาวุธให้ฉันไว้ป้องกันตัว อีกทั้งยังขอบคุณที่เขาไว้วางใจแลกจอกเหล้าเป็นพี่-น้องกับฉัน และกล่าวขอโทษเขาที่ฉันเอาแต่ใจบังคับให้เขาต้องกลายร่างเสือดำเพื่อมาเล่นกับฉัน หยงเป่ากอดฉันแล้วพูดว่า....

     หยงเป่า  : ไม่เป็นไร นานแล้วที่ข้าไม่ได้หยอกเล่นกับใครแบบนี้ เล่นกับเจ้าก็สนุกดี
          อันฉี  : ตอนแรกคิดว่าไม่ชอบ
     หยงเป่า  : ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบ แต่ข้าไม่ใช่แมว เจ้าเล่นกับข้า สัมผัสข้าแบบนั้นข้ามีความรู้สึกแบบมนุษย์เหมือนที่ข้ากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ข้าคือมนุษย์ในร่างเสือดำ
          อันฉี  : ขอโทษนะ ต่อไปจะไม่เล่นแบบนั้นอีกแล้ว (เล่นกับแมวที่บ้านนี่จุ๊บตั้งแต่หัวยันพุง...ฉันคิด)
    หยงเป่า  : เล่นได้ แต่ต้องระวังข้าจะอดใจไม่ไหวแบบนี้....

          หยงเป่าเอามือจับคางฉันเงยขึ้นแล้วจูบแลกลิ้นอย่างนุ่มนวล ทะนุทะนอม จนฉันเองเคลิบเคลิ้มกับความอ่อนโยนที่เขามอบให้ ฉันเอามือแตะที่แก้มของเขาและตอบรับจูบที่นุ่มนวลนั้น หยงเป่าโถมตัวลงมาทับที่ตัวฉัน แล้วแทรกขาลงหว่างกลางขาของฉันจนขาทั้งสองข้างแยกออกและตั้งขึ้น เขาเสียดสีช่วงล่างให้สัมผัสกับเนินสวรรค์จนรู้สึกวูบวาบ มือข้างหนึ่งบีบคลึงที่หน้าอกฉัน เสียงลมหายใจผสมเสียงครางเล็กน้อยของเขาดังอยู่ข้างหูพร้อมกับกระแทกส่วนล่างเบาๆเข้ากับเนินสวรรค์ เขาค่อยๆเสียดสีแท่งเนื้อชูชันช้าๆแต่หนักแน่น จนฉันแอ่นสะโพกรับ ฉันไม่ได้ห้ามปรามหรือหยุดยั้งเขาแต่อย่างใด ฉันกอดรัดและจูบเขาอย่างดูดดื่ม แต่หยงเป่าเองตะหากที่พยายามควบคุมตัวเองให้หยุด เขาเหมือนผู้ใหญ่ที่รู้จักว่าอะไรควรหยุด และอะไรควรทำต่อ เขาหยุดจูบหยุดขยับช่วงล่างแต่ยังคงนอนทับฉันและซบหน้าอยู่ตรงซอกคอของฉันเพื่อทำใจ ก่อนจะพูดเบาๆว่า "เรากลับกันเถอะ ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น" เขาจูบฉันอีกครั้งแล้วพยุงฉันให้ลุกขึ้นขี่หลังเขาที่กลายร่างเป็นเสือดำ แล้วพาโจนทะยานกลับบ้านที่ป่าไผ่เขียว
หมายเหตุ

*ดาบเขี้ยวแก้วราตรี  ดาบที่มีคมด้านเดียว เป็นอาวุธของอสูรสายฟ้า เสือดำ หู่หยงเป่า ตัวดาบเป็นสีเงินแต่คมดาบเป็นสีดำ ดาบอาบยาพิษ ราตรีสังหาร พิษร้ายแรงมุ่งตรงสู่หัวใจ หากได้รับพิษปริมาณน้อย พิษจะค่อยๆทำลายอวัยวะภายใน ตกกลางคืนความเจ็บปวดจะเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ จนเลือดออกทวารทั้ง 9 (ทวารทั้ง 9 คือ หูสองข้าง, ตาสองข้าง, รูจมูกสองข้าง, หนึ่งปาก, รูปัสสาวะ, รูอุจจาระ) เจ็บปวดทรมานจนตายภายในหนึ่งคืน (ขาดใจตายก่อนรุ่งสาง)

*สายฟ้านิลอสูร  เป็นสายฟ้าผ่าของ เสือดำหู่หยงเป่า เกิดจากการกินผลอสุนี สายฟ้าใช้ผ่าศัตรู แต่ภายหลังไม่ค่อยเรียกใช้ เพราะอันฉีกลัวเสียงฟ้าผ่า เสือดำ หู่หยงเป่า จึงเรียกใช้สายฟ้านิลอสูร เป็นพาหนะเท่านั้น

*แซ่อสรพิษ  เป็นแซ่ขนาดยาวมีรูปร่างคล้ายงู ลวดลายเป็นเกล็ดสีเงินระยับ แซ่อาบยาพิษน้ำค้างเกล็ดเงิน เป็นพิษชนิดเดียวกันกับกระบี่บินหยกขาว แซ่ใช้ตีและฟาดใส่ศัตรู สามารถสะบัดพิษออกทางเกล็ด เป็นอาวุธใช้โจมตีระยะไกล และสามารถใช้รัดหรือพันแทนเชือกได้



เพลงจีน  不仅仅是喜欢 (feat.孙语賽)
มากกว่าคำว่าชอบ
YouTube by : 9420 Music Bar


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■





หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 14
(ช่วยอินทรีย์ทองที่ป่าตะวันออก)
                           
          เรากลับมาถึงบ้านทันเวลาอาหารเย็น เสวี๋ยฉีตื่นจากงีบหลับนานแล้ว เขาจัดเตรียมสำรับอาหารเสร็จเรียบร้อยพร้อมลงมือกิน ฉันนั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉี แล้วรินเหล้าใส่ถ้วยให้ชายหนุ่มทั้งสามคน เรากินอาหารเย็นเสร็จก็นั่งดื่มเหล้ากันต่อ ซิ่นหลิงส่งถ้วยเหล้าให้ฉันแล้วชวนฉันดื่ม เสวี๋ยฉีหยิบขวดเหล้าแล้วรินเหล้าใส่ถ้วยให้ฉันจึงต้องดื่ม เหล้ามีรสแรงแค่ถ้วยเล็กๆถ้วยเดียวก็ทำให้มึนได้ เสวี๋ยฉีหัวเราะที่ฉันคออ่อน ฉันจึงขอตัวไปนอนเพราะเริ่มมีอาการมึน เสวี๋ยฉีบังคับให้ฉันดื่มเหล้าอีกสองถ้วยเพื่อเขาและหยงเป่าคนละถ้วย ฉันจึงต้องดื่มเพื่อตามใจเขา พอดื่มหมดครบสองถ้วยซิ่นหลิงก็ขอชนถ้วยเหล้าอีก ฉันก็ต้องดื่มอีก และดื่มอีกหลายถ้วย จนฉันนั่งไม่ไหว ซิ่นหลิงอุ้มฉันไปนอนที่เตียงแล้วจูบราตรีสวัสดิ์ที่หน้าผากหนึ่งครั้ง จากนั้นเขากลับไปนั่งดื่มเหล้าต่อ

          ดึกแค่ไหนแล้วไม่รู้ ฉันไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง แต่รู้สึกได้ว่าเสวี๋ยฉีกลับมานอนที่เตียงฉันจำกลิ่นกายหอมแปลกๆของเขาได้ เพราะเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์ทางเพศเสมอ เขาเข้ามานอนใต้ผ้าห่ม เอาแขนให้ฉันหนุนนอนเหมือนเคย และจูบที่ริมฝีปากฉันเบาๆ เขาคงดื่มหนักอีกแล้วเพราะได้กลิ่นเหล้าแบบเมื่อคืนวาน จากนั้นเขาก็จูบลงมาที่คอ และเนินอก แล้วบอกราตรีสวัสดิ์เขากอดฉันจนฉันหลับไปอีกครั้ง

          .......ฉันนอนหลับฝันเหมือนเดิมอีกครั้ง ฉันกำลังนั่งคร่อมเสวี๋ยฉีที่กำลังนอนหงาย เราทั้งคู่ร่างกายเปลือยเปล่า เขาสอดใส่แท่งเนื้อชูชันเข้าในเนินสวรรค์ สองมือกำลังบีบขยำหน้าอก ฉันที่กำลังโยกสะโพกขึ้นลงบนตัวเขาอย่างเร่าร้อนและหนักหน่วง เขาเลื่อนมือมาจับที่สะโพกฉันและเร่งจังหวะให้เร็วและแรงขึ้น ฉันเอนตัวไปทางด้านหลังเอามือเอื้อมจับที่ต้นขาเขาพร้อมโยกสะโพกอีกครั้งเพื่อให้ได้รับแรงสัมผัสที่ลึกมากขึ้น เขาเด้งสะโพกรับ จากนั้นเขาลุกขึ้นนั่งในขณะที่ฉันยังคงนั่งคร่อมบนตักเขาอยู่ จูบแลกลิ้นแล้วเลื่อนจูบลงมาที่ซอกคอ ดูดและกัดเบาๆสลับกันไปจนถึงเนินอก มือข้างหนึ่งบีบขยำเค้นคลึง เขาใช้ปากดูดและเลียที่หัวนมไม่หยุด มืออีกข้างบีบเค้นดันที่ก้นของฉันให้โยกสะโพกแรงขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนฉันทนไม่ไหวแล้ว "อ๊าาาาาา..."

          เสวี๋ยฉีเปลี่ยนท่าจับฉันนอนหงายแล้วจูบฉันอีกครั้ง ทั้งดูดทั้งเลียลงมาจนถึงบริเวณหน้าท้อง เขาทำให้ฉันเสียวไปหมดทั้งตัว เขาค่อยๆลากลิ้นเลียลงไปจนถึงเนินส่วนล่าง จับขาของฉันแยกออกกว้างและตั้งขาฉันขึ้นเขาเริ่มเลียและดูดส่วนนั้นอย่างหิวกระหาย เขารู้ว่าฉันชอบอะไร ฉันใช้สองมือกดศรีษะเขาเอาไว้แล้วเด้งสะโพกรับทุกครั้งที่เขาสอดใส่ลิ้นเข้าออกลึกๆ ฉันบิดและเกร็งตัวด้วยความเสียวซ่าน จากนั้นเขาเลื่อนตัวขึ้นมาหาฉันแล้วจูบแลกลิ้นอีกครั้ง สองแขนเขาสอดเข้าใต้ขาทั้งสองข้างของฉันให้สะโพกยกสูงขึ้น แล้วสอดใส่แท่งเนื้อเข้าในเนินหว่างขาอีกครั้ง เขาโถมตัวและดันมันจนสุด โยกสะโพกเร็วและช้าสลับกันไปเรื่อยๆแต่หนักแน่น แล้วเร่งจังหวะให้เร็วและกระแทกแรงขึ้นเรื่อยๆจนเราทนไม่ไหว "โอ้ววว อ๊าาา"

          บทรักของเรายังไม่จบลงง่ายๆ ฉันพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ เขาขยับเข้ากอดมือข้างหนึ่งเอื้อมบีบคลึงหน้าอก แล้วสอดแขนข้างหนึ่งเข้าใต้ขาฉันจนขาแยกออกกว้าง จากนั้นสอดใส่แท่งเนื้อแข็งใหญ่เต็มที่อีกครั้งเข้าในเนินหว่างขาทางด้านหลังแล้วโยกก้นกระแทกกระทั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉันหันหน้าไปจูบริมฝีปากเขายิ่งกระแทกแรงขึ้นเรื่อยๆเร็วขึ้นเรื่อยๆ "อื้ออาาาา" ความใคร่ที่ยังไม่เพียงพอฉันนั่งคุกเข่าโก้งโค้ง เขาอยู่ทางด้านหลังกำลังใช้นิ้วสอดใส่เข้าออกที่เนินหว่างขาจนเปียกแฉะ และสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินหว่างขานั้นอีกครั้ง โยกสะโพกช้าๆ บดเบียด เสียดสี เขาส่งเสียงครางเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาบีบคลึงที่หน้าอก โยกสะโพกเร่งจังหวะเร็วขึ้นและแรงขึ้นเรื่อยๆ "อ้ากกกกกกก" เราล้มตัวลงนอนตะแคงกอดกันฉันจูบและลูบไล้หน้าอกของเขา มือฉันค่อยๆลูบไล้ลงไปสัมผัสแท่งเนื้อแข็ง ฉันยกขาข้างหนึ่งกอดเกี่ยวเขาที่สะโพก จับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าในเนินหว่างขา เราเด้งก้นรุกและรับกันตามจังหวะด้วยความเร่าร้อน ฉันพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมแล้วโยกสะโพกบดดันจนสุดเพื่อสัมผัสเขาให้แนบแน่นขึ้น "อืมม....อาาาา" ฉันรักเขาเหลือเกิน....เพลงรักและท่วงทำนองอันร้อนแรงของเรายังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่องไปตลอดทั้งคืน

          เช้านี้ฉันตื่นนอนบนร่างของเสวี๋ยฉี ฉันกำลังนอนซบอกของเขาอยู่ ฉันยังคงงัวเงียและยังไม่อยากลุกขึ้น อยากนอนแบบนี้ต่ออีกสักพัก แล้วคิดในใจว่า "ตื่นนอนขึ้นมาบนตัวชายหนุ่มเนื้อแน่นแบบนี้ดีจังเลยน๊า..." แต่ต้องตัดใจลุกขึ้นเพราะเช้านี้มีนัดกับหยงเป่าไปหาสมุนไพรที่ป่าทางตะวันออก ฉันเงยหน้ามองเสวี๋ยฉีที่ยังไม่ตื่น เขายังคงเซ็กซี่แม้กระทั่งยามหลับ ริมฝีปากเล็กบางน่าจูบเหลือเกิน ฉันรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยเพราะเมื่อคืนดื่มเหล้าไปหลายถ้วย ทำให้ฉันฝันถึงเสวี๋ยฉีอีกแล้ว ในความฝันเรามีเซ็กส์กันหนักหน่วงทั้งคืนอีกแล้ว ฉันค่อยๆลุกขึ้นจากตัวเสวี๋ยฉี แล้วมองดูเห็นร่างที่กำลังนอนเปลือยเปล่าของเขาแล้วรีบหยิบผ้าห่มมาคลุม ในใจบ่นอุบว่า "ตาคนนี้นี่! คิดว่าตัวเองนอนอยู่บ้านคนเดียวหรือไง!? อ่อยอยู่ได้ เดี๋ยวปั๊ดเล่นให้ร้องซะเลยหนิ!" ฉันลุกจากเตียงไปล้างหน้า แล้วนำอ่างล้างหน้าใส่น้ำมาวางเตรียมไว้ข้างเตียงให้เสวี๋ยฉีใช้ล้างหน้าเหมือนเดิมทุกเช้า

          ฉันจัดเตรียมชงชาร่ำสุราแก้อาการเมาค้างยกมาวางไว้ที่ชานบ้าน ไม่นานนักเสวี๋ยฉีก็ตื่นนอนแล้วเดินมานั่งจิบชาสมุนไพรที่ฉันเตรียมไว้ให้ เขาบอกว่าชาสมุนไพรดื่มแล้วรู้สึกดี รู้สึกสดชื่นแก้อาการเมาได้ดี เขาชอบ เขาถามฉันอีกครั้งว่า

       เสวี๋ยฉี  : เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?
          อันฉี  : หลับสบายดี แล้วท่านล่ะ
       เสวี๋ยฉี  : หลับสบายดีมากๆ (เขายิ้ม)
          อันฉี  : ข้าฝันแบบเดียวกันสามคืนติดๆ ท่านว่ามันแปลกมั้ย?
       เสวี๋ยฉี  : ไม่แปลก ถ้าในใจเจ้าคิดหมกมุ่นถึงแต่เรื่องนั้นเจ้าก็จะฝันถึง แล้วเจ้าฝันถึงเรื่องอะไร (เขาเอื้อมมือมาลูบไล้ที่แก้มของฉัน แล้วยิ้มเหมือนรู้ว่าฉันฝันถึงอะไร)
         อันฉี  : ข้าฝันถึงท่าน
      เสวี๋ยฉี  : ข้ารู้
         อันฉี  : ท่านรู้ได้ยังไง?!
      เสวี๋ยฉี  : ก็เจ้าบอกข้าเมื่อกี้
         อันฉี  : ไม่ใช่! ข้าหมายถึงท่านรู้ความฝันของข้างั้นรึ?
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าก็ลองเล่าให้ข้าฟังสิ!
        อันฉี  : ฮึ! ท่านจะหลอกให้ข้าเล่าความฝัน ข้ารู้ทันท่านหรอกน่า
     เสวี๋ยฉี  : หุหุ (เสวี๋ยฉีหยิบพัดขึ้นมาพัดแบบสบายอารมณ์พร้อมจิบน้ำชา)
        อันฉี  : เช้านี้ท่านดูอารมณ์ดี๊ดี มีอะไรดีๆเกิดขึ้นรึ เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ?
     เสวี๋ยฉี  : เมื่อคืนข้าฝันดี ที่จริงก็ฝันดีมาหลายคืนแล้ว แต่เมื่อคืนดีถูกใจข้ามากที่สุด
        อันฉี  : ฝันว่าอะไร เล่าให้ฟังหน่อย ฝันถึงข้าหรือเปล่า?
     เสวี๋ยฉี  : ข้าก็ไม่เล่าให้เจ้าฟังหรอก
        อันฉี  : เชอะ! แล้วจะเกริ่นให้อยากรู้ทำไม?!

          ฉันมองเห็นหยงเป่ากำลังเดินออกมาจากป่าไผ่เขียว และกำลังเดินตรงมาที่เรากำลังนั่งอยู่ เสวี๋ยฉีล้วงมือเข้าไปใต้แขนเสื้อเขาหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา แล้วส่งให้ฉัน

          อันฉี  : เอ๊ะ! นี่อะไรเหรอ? เหมือนเข็มขัดสีขาว มีงูหยกหิมะขาวประดับบนเข็มขัด สัญลักษณ์ของท่านนี่นา
      เสวี๋ยฉี  : นี่คือเข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงิน ภายนอกมองดูเหมือนเข็มขัดธรรมดา แต่มันซ่อนกระเป๋าเวทย์ไว้ภายใน สามารถเก็บสิ่งของ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กให้คงสภาพมีชีวิตไว้ในกระเป๋า เช่นสมุนไพรต้นเล็กๆที่เจ้าต้องการนำกลับมาปลูกก็ใส่ลงในกระเป๋าเวทย์นี่ได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องแบกตระกร้าใบใหญ่ๆให้หนัก เข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงินนี้ ข้ามอบให้เจ้า
          อันฉี  : ดีจังเลย ท่านนี่รู้ใจข้าที่สุด ขอบคุณค่ะ (ฉันเข้าไปกอดเสวี๋ยฉี แล้วหอมแก้มเขา)
       เสวี๋ยฉี  : ข้ารู้ว่าเจ้าชอบอะไร และอะไรที่เจ้าชอบข้าก็ทำให้เจ้าได้ทั้งนั้น
    หยงเป่า  : นั่นเข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงินรึ? ดี เจ้าจะได้คล่องตัวขึ้น
          อันฉี  : พี่ใหญ่มอบให้ข้า (ฉันรินน้ำชาให้หยงเป่า)
     หยงเป่า  : เจ้าพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วเราไปกันเลยมั้ย?
          อันฉี  :  ข้าไปเอาของบางอย่างก่อนเดี๋ยวมา

          ฉันเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน เดินไปที่มุมสาวน้อย หยิบโทรศัพท์, หูฟังเพลง และตลับทาคิ้ว ที่วางรวมอยู่กับเครื่องประดับของเสวี๋ยฉี เก็บใส่ในกระเป๋าเวทย์ "ว้าว! เข็มขัดเนี่ยเยี่ยมจริงๆเก็บได้ทุกอย่าง" จากนั้นก็เดินไปหยิบยาทาแผลสด ยาทาแก้แมลงกัดต่อย น้ำดื่ม และขนมเซาปิ่ง กล้วยน้ำว้าอีกหกผลสำหรับลิงนัอยสองตัว ไมเคิลและแอบเปิ้ล จากนั้นจึงเดินกลับมาหาหยงเป่าที่กำลังรออยู่ หยงเป่าเอ่ยถามว่า

     หยงเป่า  : คืนนี้เจ้าจะค้างคืนที่ป่านั่นรึ?
          อันฉี  : เปล่า ข้าแค่ทดสอบการใช้เข็มขัดคาดเอว ข้าพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ
      เสวี๋ยฉี  : เจ้ารอง กระต่ายที่ป่าทางตะวันออกมีรสชาติอร่อย ถ้าเจอก็ล่ากระต่ายมาฝากข้าด้วย อ้อ...กลับมาให้ทันอาหารเย็นนะ (เสวี๋ยฉีกำชับ)

          หยงเป่ากลายร่างเป็นเสือดำให้ฉันขึ้นขี่หลัง แล้วกระโดดออกไปจากเขตคุ้มกัน พร้อมกับลิงน้อยสองตัว เรามุ่งหน้าไปทางป่าตะวันออก ที่ป่าตะวันออกเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มีสัตว์น้อยและใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะนกมีมากที่สุดในป่าบริเวณนี้ ลิงน้อยพาเราไปในเส้นทางที่ปลอดสัตว์ร้ายและปีศาจ หรือมีสัตว์ร้ายผ่านทางน้อยที่สุด ระหว่างทางเราล่ากระต่ายมาได้ห้าตัว ฉันเก็บกระต่ายที่ล่าได้ใส่ลงในกระเป๋าเวทย์อสรพิษเกล็ดเงิน ที่เสวี๋ยฉีมอบให้ เรามาหยุดเก็บสมุนไพรอยู่ในป่าทึบมีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก บริเวณนี้มีสมุนไพรมีพิษและไม่มีพิษขึ้นอยู่หลากหลายชนิด หยงเป่าปล่อยให้ฉันเก็บสมุนไพรอยู่ที่นี่ ส่วนเขาจะไปล่าหมูป่าที่อยู่ในป่าใกล้ๆกันเพื่อไปย่างแกล้มเหล้า เขาสั่งให้สองลิงน้อยคอยดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ หากมีภัยให้รีบร้องเตือนเขาจะรีบกลับมา

          ในขณะที่ฉันกำลังชิมรสชาติสมุนไพรพิษ ก็หันไปเห็นสมุนไพรเถาวัลย์เหล็กดำพันปี ที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่ เป็นวัตถุดิบที่เหมาะสำหรับหมักเหล้า ฉันเรียกให้ลิงน้อย แอบเปิ้ล ปีนไปเก็บสมุนไพรนั่น สักพักฉันก็ได้ยินนกชนิดหนึ่งร้องส่งเสียงดังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันเก็บสมุนไพร ฉันถามลิงน้อย ไมเคิลที่อยู่บนยอดไม้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ความว่า มีนกตัวหนึ่งกำลังจะถูกงูเห่ากิน ฉันจึงให้ไมเคิลรีบนำทางไป ฉันรีบวิ่งตามไมเคิลไปฉันเห็นงูเห่าสีดำตัวใหญ่กำลังแผ่แม่เบี้ยบริเวณแม่เบี้ยมีลายดอกจันสีเหลืองสดเป็นรูปวงกลม กำลังบีบรัดนกตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้ไม่สูงนัก นกตัวนั้นกำลังดิ้นรนหนีแต่หนีไม่ได้เพราะถูกงูเห่ารัดแน่น นกน้อยเริ่มอ่อนแรงเต็มที งูเห่าสีดำตัวใหญ่อ้าปากเห็นเขี้ยวยาวและกำลังจะกินนกตัวนั้น ฉันทนดูนกน้อยถูกกินไม่ได้จึงส่งเสียงตวาดออกไป โดยไม่รู้ว่าหยงเป่ากำลังมองดูอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ

          อันฉี  : หยุดนะ!!!
   งูเห่าสีดำ  : (งูเห่าตกใจหยุดชะงัก แล้วคิดในใจว่า...ผู้ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์!?) เจ้าเป็นใคร? บังอาจมาขัดขวางการกินอาหารเช้าของข้า
          อันฉี  : ข้าคือคนเก็บสมุนไพร ไป๋หู่เซีย อันฉี ท่านงูเห่าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอแลกเปลี่ยนกระต่ายกับนกตัวนั้นจะได้หรือไม่ (ฉันหยิบกระต่ายห้าตัวในกระเป๋าเวทย์ออกมาวางที่พื้นข้างหน้า)
   งูเห่าสีดำ  : (งูเห่าดำหันมาเห็นเข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงิน) เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับ ไป๋เสวี๋ยฉี
          อันฉี  : ไป๋เสวี๋ยฉี เป็นพี่ชายของข้า
   งูเห่าสีดำ  : ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามนุษย์อย่างเจ้าจะมีพญางูหยกหิมะขาวเป็นพี่ชาย ถ้าเจ้าอยากได้นกตัวนี้ก็เข้ามาแย่งไปสิ! (งูเห่าสีดำออกแรงบีบรัดนกน้อยอีกครั้งเหมือนต้องการเล่นเกมส์)
         อันฉี  : นกน้อย! ตอบคำถามข้า เจ้าอยากไปอยู่กับข้าหรือไม่ ไปเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า!
นกอินทรีย์ทอง  : ช่วยข้าด้วย! ให้ข้าไปอยู่กับท่าน (นกพยายามตอบด้วยความเจ็บปวด)
        อันฉี  : เจ้างูเห่า! นกตัวนั้นเป็นของข้า นกน้อยนั่นเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า ส่งนกตัวนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้
 งูเห่าสีดำ  : นกตัวนี้ข้าเป็นฝ่ายเจอก่อน จะเป็นของเจ้าได้อย่างไร?!
        อันฉี  : ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเจอก่อน หรือเจอตอนไหน แต่ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของนกตัวนั้น ส่งมา!
 งูเห่าสีดำ  : เจ้าบังอาจนัก! เป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆแต่กล้าดีทำอวดเบ่งใส่ข้า คิดจะแย่งอาหารของข้า  ข้าจะกินเจ้าก่อนแล้วค่อยกินนก

          งูเห่าสีดำแยกเขี้ยวขู่ฟ่อทำท่าพุ่งเข้ากัด ฉันจึงเรียก แซ่อสรพิษ ออกมาแล้วฟาดแซ่ด้วยความเร็วใส่งูเห่าสีดำหนึ่งครั้ง งูเห่าสีดำ ถูกแซ่อสรพิษ ฟาดใส่ลำตัวจนผิวหนังไหม้พุพองเหมือนถูกน้ำกรด งูเห่าสีดำส่งเสียงร้องแล้วดิ้นด้วยความเจ็บปวด จนคลายรัดร่างนก แล้วร่วงตกลงพื้นดินด้านล่าง ฉันรีบใช้แซ่อสรพิษสลัดแซ่ไปรับร่างนกน้อยที่กำลังร่วงออกจากการคลายรัดของงูเห่า และกระตุกแซ่ที่รัดร่างนกน้อยไว้เข้ามาอุ้มนกไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง นกน้อยอยู่ในสภาพสะบักสะบอมใกล้ตาย ฉันโกรธจัดจึงหันไปจะจัดการกับงูเห่าต่อ แต่งูเห่ารีบร้องขอชีวิต

   งูเห่าสีดำ  : เดี๋ยวก่อนๆ ข้ายอมแล้วได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้าผิดไปแล้ว ข้าเชื่อท่านแล้วว่าท่านเป็นน้องสาวของท่านไป๋ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า โอ๊ยยย....
          อันฉี  : ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่! ข้าขอนกตัวนี้กับเจ้าดีๆแต่เจ้ากลับบีบให้ข้าลงมือ เจ้าจะโทษว่าข้าทำรุนแรงกับเจ้าไม่ได้ จงจำเอาไว้นกตัวนี้เป็นของข้า เจ้าห้ามแตะ (ฉันพูดข่มขู่ด้วยความโมโห)
  งูเห่าสีดำ  : ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะจดจำไว้ ได้โปรดอย่าฆ่าข้า
         อันฉี  : เอ้า! นี่ยาทาแผล และนั่นกระต่ายข้าให้เจ้า ข้าไม่ได้มีเจตนาแย่งอาหารเช้าของเจ้า รีบไปซะ!
  งูเห่าสีดำ  : ขอบคุณท่านที่เมตตา (งูเห่ารีบเก็บยาทาแผลและกระต่ายที่ฉันโยนไปให้ จากนั้นเลื้อยหายไปในพุ่มไม้)
    หยงเป่า  : เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? (หยงเป่ากระโดดลงมาจากต้นไม้ที่เขาแอบดูอยู่)
          อันฉี  : พี่รอง ข้าไม่เป็นอะไร ข้าขอดูอาการนกก่อนนะ
    หยงเป่า  : เจ้าใช้แสงโล่ครอบป้องกัน รอข้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา ข้าล่าหมูป่าไว้จะไปเอาหมูป่าก่อน เราค่อยกลับบ้านกัน

         หยงเป่าโดดหายไปในป่าทางเดียวกับที่งูเห่าเลื้อยหายไป ฉันเรียกสองลิงน้อยให้ลงมาจากต้นไม้เพราะเราออกนอกเส้นทางอาจมีสัตว์ร้ายโผล่ออกมาโจมตีได้ ฉันใช้แสงโล่ครอบเราทั้งสี่ไว้รอหยงเป่ากลับมารับ และส่งกล้วยให้ลิงน้อยกินแล้วบอกว่าอยู่แต่ในนี้อย่าซน จากนั้นก็วางนกน้อยลงกับพื้นตรวจดูพบกระดูกหักหลายท่อน เพราะถูกงูเห่าบีบรัด ภายในบอบช้ำ ปีกหัก ขาหัก บาดแผลเต็มตัว ร่างกายซูบซีดตัวผอมอ่อนแออย่างมาก

          ฉันจึงรีบรักษาอาการบอบช้ำภายใน และประสานกระดูกที่หักให้ก่อน ส่วนบาดแผลตามตัว อาจเกิดจากถูกสัตว์อื่นทำร้าย และร่างกายที่ผ่ายผอมน่าจะเกิดจากการขาดอาหาร และไม่ค่อยได้พักผ่อน จะรักษาให้ภายหลังเมื่อกลับถึงบ้าน เพราะฉันสูญเสียพลังจากการรักษาอาการบอบช้ำภายใน และประสานกระดูกที่หักเกือบทั้งตัว ตอนนี้นกน้อยรอดตายแล้วกระดูกที่หักประสานกันเข้าที่ แต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก ฉันเอาน้ำที่พกติดมาด้วยเทใส่ปากของตัวเองก่อน แล้วค่อยๆหยดน้ำใส่ปากนกน้อยทีละนิดเพื่อให้นกน้อยได้ดื่มน้ำแก้กระหายไปพลางๆก่อน นกน้อยที่อ่อนแรงคงยังไม่มีเรี่ยวแรงกินอาหารในตอนนี้ แต่ก็พยายามลืมตามองฉัน ฉันจึงปลอบนกน้อยว่าตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว ให้นกน้อยนอนพักไปก่อน ฉันจะพานกน้อยกลับบ้านด้วยกัน

        รออยู่สักพักใหญ่ หยงเป่ากลับมาพร้อมหมูป่าตัวหนึ่ง ฉันจึงเอาหมูป่าใส่ในกระเป๋าเวทย์ มือข้างหนึ่งอุ้มนกน้อยไว้ในอ้อมแขน จากนั้นฉัน และลิงน้อยทั้งสองก็โดดขึ้นขี่หลังหยงเป่ากลับบ้านกันทันที

          เรากลับกันมาถึงบ้าน หยงเป่าเดินไปนั่งพักจิบชาที่ชานบ้าน ฉันเอาหมูป่าออกมาจากกระเป๋าเวทย์ให้ซิ่นหลิงที่กำลังประกอบเก้าอี้อยู่ที่ลานบ้านรับช่วงต่อ แต่ซิ่นหลิงกลับสนใจนกน้อยในอ้อมแขนของฉันมากกว่า เขาเดินมาดูแล้วถามขึ้นว่า

     ซิ่นหลิง  : นี่เจ้าพาใครมาอีกเนี่ย?
          อันฉี  : นก นกได้รับบาดเจ็บ (ฉันอุ้มนกแล้วมานั่งลงที่ชานบ้าน แล้วรินน้ำชาดื่ม)
     ซิ่นหลิง  : ไปเจอมาจากที่ไหน?
          อันฉี  : เจอที่ป่าทางตะวันออกนั่นแหละ
     ซิ่นหลิง  : แม่ทูนหัวของเจ้ารู้หรือยัง? ขออนุญาตแม่ทูนหัวของเจ้าก่อนดีกว่านะ ถ้าเขามาเห็นเจ้านกนี่ต้องไม่ยอมแน่ๆ
         อันฉี  : แหม แค่นกตัวเล็กๆตัวเดียวเองน๊า
    ซิ่นหลิง  : เชื่อข้าสิเขาไม่ยอมรับไว้หรอก รักษาหายแล้วจะถูกไล่ออกไปแน่นอน
         อันฉี  : พี่สามมมมมม....ท่านก็ช่วยพูดให้ข้าด้วยสินะ น๊า พี่สามที่น่ารักของข้า
    ซิ่นหลิง  : แต่กับนกอินทรีย์ตัวนี้น่าจะพูดกันยาก แต่จะพยายามช่วยละกัน
          อันฉี  : ขอบคุณพี่สาม (ฉันหอมแก้มเขาหนึ่งครั้ง)

          ฉันไปหาผ้ามาปูรองให้นกน้อยนอนที่ชานบ้านรอเสวี๋ยฉีมาดู เสวี๋ยฉีที่งีบหลับหลังจากกลับจากไปตรวจสอบป่าด้านนอกได้ยินเสียงคุยกันจึงเดินออกมาดู เห็นนกน้อยที่นอนบาดเจ็บอยู่จึงถามขึ้นมาแบบไม่พอใจ

       เสวี๋ยฉี  : เจ้านกอินทรีย์ผอมแห้งนี่มาได้ยังไง?!
     หยงเป่า  : (หยงเป่าพยักพเยิดหน้ามาทางฉัน)
          อันฉี  : (ฉันโผเข้าไปกอดเสวี๋ยฉี) พี่ใหญ่...นกน้อยบาดเจ็บ ข้าพามารักษาอนุญาตให้ข้าเลี้ยงนกเถอะนะ น๊า
      เสวี๋ยฉี  : ไม่ได้
         อันฉี  : พี่ใหญ่...ขอร้องล่ะให้ข้าเลี้ยงนกน้อยตัวนี้เถอะนะ (ฉันคุกเข่ากอดเอวขอร้องเสวี๋ยฉี)
     เสวี๋ยฉี  : ก็บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!
   ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่ให้นางรักษานกอินทรีย์ให้หายก่อนได้มั้ย นางอุตส่าห์หอบหิ้วมาตั้งไกล พอเจ้านกอินทรีย์หายดีแล้วค่อยไล่ออกไปก็ได้
          อันฉี  : ใช่ๆ ให้รักษาให้หายบาดเจ็บก่อน นะ น๊า (ฉันยังคงคุกเข่ากอดเอวขอร้องเสวี๋ยฉี)
    หยงเป่า  : น้องสามพูดถูก ให้นางรักษานกอินทรีย์นั่นให้หายดีก่อนเถอะ เพื่อช่วยนกตัวนั้นนางถึงกับไปแย่งนกมาจากปากงูเห่ายักษ์
       เสวี๋ยฉี  : ห๊า!
      ซิ่นหลิง  : ห๊า!
       เสวี๋ยฉี  : (เสวี๋ยฉีก้มมองฉันที่คุกเข่ากอดเขาอยู่) ลุกขึ้นแล้วเล่าให้ข้าฟังซิ
          อันฉี  : ไม่! ท่านต้องอนุญาตให้ข้ารักษานกน้อยจนหายดีก่อน แล้วค่อยตัดสินอีกครั้งว่าจะให้อยู่หรือไป ถ้าท่านไม่อนุญาต คืนนี้ข้าจะออกไปนอนข้างนอกกับพี่รองกับหลิงหลิง จะพานกน้อยไปด้วย!
      เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้า! เดี๋ยวนี้หัดต่อรองกับข้าแล้วรึ?!
     ซิ่นหลิง  : โอ๊ะ ดีเลยข้าจะพาเจ้าไปนอนชมดาวด้วยกันบนภูเขา พี่รองไปด้วยกันมั้ย (ซิ่นหลิงรีบเข้ามารับมุก)
    หยงเป่า  : อื้ม น่าสนใจ
      เสวี๋ยฉี  : พวกเจ้า! ฮึ่ม! ก็ได้ๆรักษาหายแล้วก็ไล่มันไป
หยงเป่า, ซิ่นหลิง  : (แอบหัวเราะ)
          อันฉี  : ขอบคุณพี่ใหญ่!
      เสวี๋ยฉี  : ห้ามพาเจ้านกนั่นไปนอนบนเตียงของข้า เตียงนั่นสำหรับเจ้ากับข้านอนเท่านั้น! ให้นอนที่ชานบ้านนี่แหละ
          อันฉี  : นอนที่ชานบ้านไม่ได้ เดี๋ยวหนูมาคาบไปกิน ให้ไปนอนในบ้านเถอะที่ว่างเยอะแยะ
     เสวี๋ยฉี  : หนูบ้าที่ไหนจะคาบนกไปกิน เอานกไปนอนตรงมุมห้องว่างๆโน่น ไม่ต้องเอามานอนใกล้เตียงข้า (จากนั้นเสวี๋ยฉีก็หันหน้ามาถามหยงเป่า) ไหนเล่าให้ข้าฟังซิเรื่องเป็นมายังไง ไปเจองูเห่าด้วยเหรอ?
        อันฉี  : ท่านพี่ งูเห่ารังแกข้า ข้าเลยต้องป้องกันตัว (พูดจบฉันอุ้มนกน้อยเข้าไปทำแผลในบ้าน)
     เสวี่ยฉี  : นี่เจ้าปล่อยให้งูเห่ามาทำร้ายนางได้รึ เจ้านี่!...ข้าอุตส่าห์ไว้ใจ
   หยงเป่า  : ไม่ใช่แบบนั้น! จากที่ข้าเห็น นางต่างหากที่เป็นฝ่ายรังแกงูเห่า ตอนที่เกิดเรื่องข้ารีบกลับมาเพื่อปกป้องนาง ข้าเห็นแล้วว่านางเหนือกว่าเจ้างูเห่านั่นหลายเท่านัก ข้าจึงเฝ้าดูนางอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆข้าอยากรู้ว่านางจะจัดการกับงูเห่านั่นยังไง ข้าเห็นนางพยายามแย่งนกจากปากงูเห่า มิหนำซ้ำยังเอาแซ่ฟาดงูเห่าจนบาดเจ็บ เพราะงูเห่าแยกเขี้ยวเข้าทำร้าย ข้าเพิ่งเคยเห็นนางโกรธและพยายามแย่งอะไรสักอย่างมาเป็นของๆตนเอง นางเข้มแข็งขึ้น ท่านน่าจะได้เห็น นางถอดแบบความเอาแต่ใจมาจากท่านแท้ๆเลย (หยงเป่าหันหน้าไปทางเสวี๋ยฉี) แต่สุดท้ายนางก็ไว้ชีวิตและให้ยาทาแผลกับกระต่ายห้าตัวของท่านให้เจ้างูเห่านั่นไปเพื่อแลกกับนกตัวนั้น อ้อ...ข้าตามไปดูที่อยู่ของเจ้างูเห่านั่นเผื่อให้ท่านด้วย
     เสวี่ยฉี  : ฮึ่ม!!
    ซิ่นหลิง  : แหม ช่างน่าเสียดาย ข้าก็อยากเห็นนางในอารมณ์แบบนั้นบ้างจัง เดี๋ยวข้าก่อไฟย่างหมูป่าดีกว่า

          คืนนี้พวกพี่ๆนั่งดื่มเหล้าที่ชานบ้านกันตามปกติ ฉันป้อนอาหารอ่อนๆ ป้อนยาและใส่ยาที่แผลให้นกน้อยเสร็จเรียบร้อย ปลอบประโลมนกน้อยอีกครั้งให้หายหวาดกลัว และปล่อยให้นกน้อยนอนหลับพักผ่อน จากนั้นฉันออกมานั่งรินเหล้าให้พวกพี่ๆทั้งสาม พอเริ่มดึกฉันจึงขอตัวกลับเข้าไปนอนที่เตียง

          และในคืนนั้นในขณะที่ฉันกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงโดยลำพัง หลังจากที่เสวี๋ยฉีดื่มเหล้าเสร็จ เขาออกไปข้างนอก ไปที่ป่าทางตะวันออกมุ่งตรงไปที่กระท่อมหลังเล็กๆเก่าๆหลังหนึ่ง ประตูกระท่อมถูกพังออกทั้งบาน ภายในกระท่อมพบชายหนุ่มผิวสีเข้มได้รับบาดเจ็บกำลังใส่ยาทาแผลที่ลำตัว ข้างๆมุมกระท่อมมีกระต่ายห้าตัววางกองอยู่ ชายหนุ่มผิวสีเข้มตกใจกลัวลนลาน กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าขณะนี้

          เสวี๋ยฉีที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา จ่อปลายกระบี่บินหยกขาวที่ตรงใบหน้าชายหนุ่มคนนั้น เขามองชายหนุ่มด้วยสายตาขุ่นเคือง แล้วใช้เท้าเหยียบบดขยี้เท้าลงบนบาดแผลบริเวณลำตัวของชายหนุ่ม จนชายหนุ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

    ชายหนุ่ม  : ท่านไป๋ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าล่วงเกินน้องสาวของท่านอีกแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆว่านางเป็นน้องสาวของท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตข้า
        เสวี๋ยฉี  : เจ้างูสวะ บังอาจคิดทำร้ายน้องสาวอันเป็นที่รักของข้า
    ชายหนุ่ม  : ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ ได้โปรดฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้ไปหาเรื่องนางก่อนจริงๆ ข้ากำลังจะกินอาหารเช้า จู่ๆนางก็โผล่มาแย่งอาหารของข้าไป ข้าโมโหจึงคิดจะทำร้าย แต่ข้า...ข้ายังไม่ได้ทำร้าย ยังไม่ได้แตะต้องนางเลยสักนิด นางต่างหากที่ทำร้ายข้า และข้าก็ได้ยกอาหารของข้าให้นางไปแล้ว จริงๆนะนายท่านข้ายังไม่ได้ทำร้ายนางเลย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ให้ข้าเป็นทาสรับใช้ท่านข้าก็ยอม
        เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่สนว่านางจะแย่งอาหารของเจ้าไปหรือไม่! ที่ข้ามาที่นี่เป็นเพราะเจ้า เจ้างูสวะ เป็นเพราะเจ้าเอาเจ้านกสวะนั่นไปกินใกล้ๆให้นางเห็น จนนางเอาเจ้านกสวะนั่นไปเลี้ยงดูประคบประหงมอยู่ในบ้านของข้า และเป็นเพราะเจ้ากับไอ้นกนั่นทำให้นางมีความคิดจะนอนแยกบ้านกับข้า ข้าอยากฆ่าเจ้านัก อยากจะสับเจ้าให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น แต่เพราะนางไว้ชีวิตเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่ฆ่า แต่วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเจ้าให้สาสม (เสวี๋ยฉีใช้เท้าที่กำลังเหยียบชายหนุ่มอยู่นั้นกระทืบชายหนุ่มหลายครั้งจนเขาพอใจ)
     ชายหนุ่ม  : โอ๊ยยยยยย ข้ากลัวแล้ว (ชายหนุ่มถูกกระทืบจนยับเยิน)
        เสวี๋ยฉี  : ส่วนนั่นกระต่ายของข้า ถ้าข้าไม่ได้กิน เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ได้กิน! (เสวี๋ยฉีพ่นพิษกรดละลายใส่กระต่ายทั้งห้าตัว แล้วเขาก็ขึ้นกระบี่บินจากไป)

          ....ที่บ้าน ...เสวี๋ยฉีกลับเข้ามานอนในเวลาที่ดึกมาก เขาสอดแขนเข้ามาให้ฉันหนุนนอนเหมือนเคย และพลิกตัวฉันให้หันไปนอนกอดเขา และจูบที่หน้าผากแล้วกอดนอน ฉันจึงลืมตามองเขาและถามว่าทำไมนอนดึกกว่าทุกคืน ฉันหันไปกอดและเอามือลูบไล้ที่หน้าอกแล้วลูบไล้ลงไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณหน้าท้อง เสวี๋ยฉีตอบว่า...

       เสวี๋ยฉี  : ข้าไปคิดบัญชีกับเจ้างูเห่าสวะนั่นมา
          อันฉี  : ห๊า! ท่านฆ่าเขาแล้วเหรอ? ฆ่าเขาทำไม?!
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ได้ฆ่า แค่ไปสั่งสอนมันนิดหน่อย โทษฐานที่มันคิดจะทำร้ายเจ้า
          อันฉี  : ข้าผิดเอง ข้าไปแย่งนกมาจากงูเห่านั่น คือข้าสงสารนกกำลังจะถูกกิน ท่านอย่าไปทำอะไรงูเห่านั่นอีกเลย
      เสวี๋ยฉี  : อื้ม ข้าไม่ทำอะไรมันแล้วล่ะ
         อันฉี  : ขอบคุณที่ท่านอนุญาตให้ข้ารักษานกน้อย
      เสวี๋ยฉี  : ข้าน้อยใจนักเจ้าเอากระต่ายของข้าไปแลกกับเจ้านกนั่น เจ้าเห็นนกสำคัญกว่าข้า ฮึ!
          อันฉี  : ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้เห็นนกสำคัญกว่า ข้าแค่รู้สึกสงสารนกจับใจ ต้องการช่วยนก คือตอนนั้นมีแค่กระต่ายอยู่ในมือที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนได้ หากตอนนั้นมีหมูป่าอยู่ในมือข้าก็จะใช้หมูป่าแลกเปลี่ยนไม่ใช้กระต่ายหรอก ท่านน่ะสำคัญที่หนึ่งอยู่แล้ว ข้าจะจับกระต่ายมาให้ท่านสิบตัวเลย อย่าน้อยใจเลยนะ

          ฉันจูบเขาเพื่อเอาใจและเพื่อให้เขาหายงอน หลายคืนแล้วที่เราไม่ได้จูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มก่อนนอน ฉันจูบที่ริมฝีปากค่อยๆสอดลิ้นใส่ในปากของเขา เขาดูดแล้วสอดลิ้นกลับมา ลิ้นนุ่มๆของเขาทำให้ฉันเกิดอารมณ์ ฉันจูบและดูดเบาๆที่ซอกคอ ลิ้นค่อยๆเลียลงไปที่หน้าอก ฉันเลียและดูดที่หัวนมข้างหนึ่งของเขา ส่วนอีกข้างฉันใช้มือบีบที่หัวนมเขาเบาๆ มือข้างหนึ่งของฉันค่อยๆลูบไล้ลงไปผ่านหน้าท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อ เลื่อนมือลงไปเรื่อยๆลูบคลำแท่งเนื้อแข็งชูชันเต็มที่ของเขา จนเขาส่งเสียงครางเบาๆ เสวี๋ยฉีจับมือฉันให้หยุดลูบคลำแท่งเนื้อแข็งนั้นแล้วพลิกตัวกลับขึ้นมาทับตัวฉัน แทรกขาข้างหนึ่งเข้ามาที่หว่างขาแล้วแยกขาฉันออก เขาขยับใหัแท่งเนื้อสัมผัสเค้นคลึงกับเนินช่วงล่างแล้วพูดว่า...

       เสวี๋ยฉี  : เจ้ากำลังทำให้ข้าหมดความอดทน...
          อันฉี  : ...ขอโทษ...

         เสวี๋ยฉีจูบฉันอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันแบบนั้นสักพัก เขาบอกว่าดึกมากแล้วนอนเถอะ เราจึงกอดกันนอนหลับไป

         คืนนี้......ฉันฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว เสวี๋ยฉีกำลังนอนทับอยู่บนตัวฉัน เขากำลังเลียอยู่ที่เนินอกและดูดหัวนม คืนนี้เขาทำกับฉันรุนแรงเหมือนฉันกำลังถูกทำโทษ เขายกขาฉันสองข้างพาดที่คอของเขาเพื่อให้สะโพกฉันยกสูงขึ้น แล้วโถมตัวทับสอดใส่แท่งเนื้อเข้าในเนินสวรรค์กระแทกรุนแรงและดันจนสุด  เขาเด้งก้นกระแทกเนินสรรค์เร็วขึ้นจนเราเสร็จพร้อมกัน "อ๊าาา..." เขาไม่ยอมปล่อยให้ฉันหยุดพักหายใจ เขาอุ้มฉันเข้าเอวแล้วสอดใส่อีกครั้ง ฉันกอดคอเขาแน่นในท่วงท่ากำลังถูกอุ้ม สองขากอดเกี่ยวอยู่ที่เอวเด้งสะโพกรับเมื่อเขากระแทกแท่งเนื้อเข้ามาจนมิด ฉันร้องครวญครางเสียงดังเพราะความเสียว เขาจับฉันนอนลงคว่ำหน้าแล้วใช้มือยกสะโพกฉันขึ้น จากนั้นจึงสอดใส่แท่งเนื้อเข้าเนินทางด้านหลังแล้วดันจนสุด กระแทกกระทั้นด้วยความรุนแรง สร้างความเร้าใจให้ฉันไม่น้อย จากนั้นเขาพลิกตัวฉันให้นอนหงายจับขาฉันตั้งขึ้นแล้วแยกออก เขาก้มหน้าลงไปจูบที่เนินแล้วค่อยๆสอดลิ้นนุ่มๆเลียจนฉันสั่นสะท้าน ลิ้นนุ่มๆค่อยๆสอดใส่เข้าไปจนลึกและเร่งจังหวะเข้าออกให้เร็วขึ้น ฉันร้องครางออกมาอย่างพอใจ เสวี๋ยฉีใช้ลิ้นเลียสลับจูบขึ้นมาที่เนินสวรรค์ เลียหน้าท้อง ดูดหัวนมทั้งสองข้าง และเลื่อนขึ้นมาจูบที่ซอกคอแล้วจูบที่ริมฝีปากของฉันอีกครั้ง เขาลุกขึ้นมานั่งคร่อมบนหน้าอกฉัน จนแท่งเนื้อแข็งอยู่ตรงหน้า เสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาเปิดปากให้ฉันอ้าปาก จากนั้นใส่แท่งเนื้อแข็งใหญ่เข้าในปากฉัน เขาค่อยๆดันแท่งเนื้อนั้นเข้าปากฉันให้ลึกที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ลิ้นของฉันสัมผัสถึงแท่งเนื้อที่ขยับเข้าออกได้เต็มปากเต็มคอ เสวี๋ยฉีกำลังทำโทษฉันจริงๆ เขาโยกสะโพกให้แท่งเนื้อขยับเข้าออกในปากช้าและเร็วสลับกันไป จนเขาส่งเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิมแล้วขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเร็วและแรงขึ้นจนมีน้ำทะลักเต็มในปาก เขาเอามือปิดปากฉันแล้วสั่งให้ฉันกลืนน้ำนั้นลงไป เขาพลิกตัวนอนหงายอีกครั้งแล้วกดศรีษะฉันลงไปที่แท่งเนื้อแล้วสอดใส่เข้าในปากฉัน เขาเด้งสะโพกขยับแท่งเนื้อเข้าออกเป็นจังหวะ แล้วดันแท่งเนื้อนั้นจนสุดลำคอแล้วร้องครางเสียงดังอีกครั้ง "อ้ากกกก..." จนน้ำทะลักพุ่งลงลำคอ เขาสั่งให้ฉันกลืนน้ำนั้นลงไปอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเขาจับฉันนั่งคร่อมบนตัวเขาแล้วสอดใส่แท่งเนื้อนั้นเข้าในตัวฉันอีกครั้งเขาเด้งสะโพกกระแทกกระทั้นไม่หยุด เสวี๋ยฉีไม่ปล่อยให้ฉันหยุดพักหายใจ ใช่! คืนนี้เขากำลังทำโทษและทรมานฉันตลอดทั้งคืน คืนนี้เขาช่างใจร้ายกับฉันเหลือเกิน......

          เช้าแล้วแต่วันนี้ฉันตื่นสายนิดหน่อย เสวี่ยฉีก็กำลังตื่นเพราะฉันขยับตัว เขาขยับตัวมากอดก่ายและหอมที่แก้ม ฉันหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัย เสวี๋ยฉีจึงถามขึ้นว่า

       เสวี๋ยฉี  : อะไร?
          อันฉี  : เมื่อคืนท่านทำอะไรข้าหรือเปล่า?
       เสวี๋ยฉี  : แล้วเจ้าอยากให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าตอนนี้เลยก็ได้
          อันฉี  : เมื่อคืนทำแบบว่า...ทำอันนั้นน่ะ....
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าต้องอธิบายให้ละเอียดกว่านี้หน่อย
          อันฉี  : เฮ่อ! ...ช่างเถอะ! ถามท่านกี่ครั้งก็ไม่เคยได้ความจริงเป็นชิ้นเป็นอันสักที ข้าจะไปล้างหน้า!
       เสวี๋ยฉี  : หุหุ เตรียมน้ำล้างหน้าให้ข้าด้วยนะ

          เมื่อคืนชายหนุ่มทั้งสามดื่มเหล้ากันจนดึก ฉันจึงเตรียมชาสมุนไพรร่ำสุราแก้สร่างเมาวางไว้ที่ชานบ้าน แล้วเดินไปดูนกน้อย นกตัวนี้เป็นนกอินทรีย์ที่มีรูปร่างและสีขนสีเหลืองอ่อนซีดๆแต่ยังคงดูสวยงามแม้ร่างกายจะดูซูบผอมไปนิด แต่หากรักษาจนหายดี ร่างกายที่ซูบผอมคงจะมีเนื้อมีหนังมากขึ้นกว่านี้ ฉันไม่เคยเห็นนกตัวนี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกเอ็นดูเขามากๆ ฉันถามถึงชื่อและความเป็นมาของนก

          อันฉี  : นกน้อย เจ้าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่?
 นกอินทรีย์  : ข้า หยางเฟยเจิน เรียกข้าเฟยเจินก็ได้ ข้าอายุ 700 ปี
          อันฉี  : ไปทำอะไรมาร่างกายสะบักสะบอมแผลเต็มตัวไปหมด แล้วทำไมเกือบถูกงูเห่ากินล่ะ?
     เฟยเจิน  : ข้าอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ผาอินทรีย์ทองในป่าทางตะวันออก ข้ามีพี่น้องหลายคน พวกเขาล้วนมีความสามารถและแข็งแรง มีข้าเพียงคนเดียวที่ไร้ความสามารถและมีร่างกายอ่อนแอ ข้าไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัวจึงถูกพวกพี่ๆรังแกเสมอ เมื่อสามวันก่อนข้าถูกพวกพี่ๆขับออกจากกลุ่ม ข้าไม่รู้จะไปที่ไหนจึงร่อนเร่อยู่ในป่าถูกนกกลุ่มอื่นรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ข้าหลบหนีมาถึงต้นไม้ใหญ่ในป่าทึบนั่น เจอเข้ากับงูเห่ายักษ์และถูกจับได้อย่างที่ท่านเห็น ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ ท่านคือผู้มีพระคุณของข้า ชีวิตข้าเป็นของท่าน เพื่อตอบแทนบุญคุณข้าขอรับใช้ท่านตลอดไป
          อันฉี  : มิน่าล่ะถึงมีบาดแผลเต็มตัว ส่วนเรื่องตอบแทนบุญคุณอะไรนั่นไม่ต้องหรอก ขอแค่ไม่สร้างปัญหาหนักใจให้กันก็พอ ข้าอยากให้เจ้าอยู่ด้วยกันกับข้าแต่พี่ใหญ่ไม่ยอม แต่ข้าจะขอกับพี่ใหญ่ให้เจ้าอาศัยอยู่ในป่าไผ่เขียวไม่ต้องออกไปเร่ร่อนในป่าข้างนอก อยู่ที่ป่าไผ่เขียวเจ้าจะปลอดภัย
     เฟยเจิน  : ขอบคุณท่าน...นายหญิง
          อันฉี  : โอ๊ะ! ไม่ต้องเรียกนายหญิงหรอก เรียกข้า อันฉี ข้าจะไปดูอาหาร และปรุงยามาให้เจ้า เจ้าพักผ่อนเถอะ

          ฉันเดินออกมาหาเสวี๋ยฉีที่นั่งจิบชาอยู่ที่ชานบ้านกับหยงเป่า หยงเป่าถามถึงอาการนกน้อย ฉันเล่าให้หยงเป่าและเสวี๋ยฉีฟังเกี่ยวกับนกน้อยเฟยเจิน

       เสวี๋ยฉี  : เชอะ! นกสำออย
          อันฉี  : พี่ใหญ่ ถ้านกน้อยหายดีแล้วข้าจะให้เขาไปล่ากระต่ายมาให้ท่านกินทุกวันเลย
      เสวี๋ยฉี  : ลูกสมุนข้ามีเยอะแยะ ข้าใช้ลูกสมุนข้าได้
         อันฉี  : พี่ใหญ่ ท่านงอนข้าอีกแล้วเหรอ อย่างอนสิ
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าห้ามสนใจเจ้านกนั่นมากกว่าข้า
        อันฉี  : แน่นอน ท่านสำคัญที่สุด, แต่เอ๊!..หลิงหลิง หายไปไหนทำไมยังไม่เห็น
   หยงเป่า  : เมื่อวานบอกว่าจะไปท้าประลองกับแมงมุมยักษ์แถวป่าตะวันตก
       อันฉี  : แล้วท้าประลองกันไปทำไม?
  หยงเป่า  : คงชิงความเป็นเจ้าถิ่นล่ะมั้ง
    เสวี๋ยฉี  : ระบำสะบัดพิษเจ้าฝึกไปถึงไหนแล้ว?
       อันฉี  : แหะๆ ยังไม่ถึงไหน ข้าจะฝึกวันนี้แหละ

          จากนั้นฉันจึงเดินไปในครัวเอาเนื้อปลามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อนำไปให้นกน้อยเฟยเจินกิน และปรุงยาบำรุงเพื่อให้นกน้อยมีเรี่ยวแรง จากนั้นก็เอาไปให้นกน้อยที่นอนอยู่ในบ้าน นกนัอยกินอาหารและยา อาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก นกน้อยเฟยเจินขอดื่มน้ำที่ป้อนจากปากของฉันเพราะเป็นยาบำรุงช่วยฟื้นฟูได้รวดเร็ว เขาอยากหายป่วยเร็วๆและอยากตอบแทนบุญคุณ ฉันจึงป้อนน้ำจากปากฉันให้นกน้อยเฟยเจินอีกครั้ง จากนั้นจึงปล่อยให้นกน้อยเฟยเจินพักผ่อน

          ฉันเดินออกไปนั่งที่โต๊ะอเนกประสงค์ที่ลานบ้านที่ซิ่นหลิงประกอบเสร็จเมื่อวาน และนำสมุนไพรที่เก็บได้ออกมาคัดแยก และนำไปตากแห้ง หยงเป่าเดินมาช่วย เขาเห็นสมุนไพรเถาวัลย์เหล็กดำพันปี ที่ฉันเก็บมาจึงถามขึ้นว่า

     หยงเป่า  : เถาวัลย์เหล็กดำพันปี นำมาปรุงเป็นยาอะไรรึ?
          อันฉี  : หมักเหล้า
     หยงเป่า  : ตั้งแต่ข้าช่วยเจ้าเก็บสมุนไพรมา ครั้งนี้ดูมีประโยชน์ที่สุด ทำไมถึงคิดจะหมักเหล้าล่ะ
         อันฉี  : ข้าเห็นพวกท่านชอบดื่มเหล้า จึงคิดว่าอยากลองหมักเหล้าสมุนไพรดู ที่บ้านเก่าของข้าเรียกว่า ยาดองเหล้า ดื่มบำรุงกำลัง
      เสวี๋ยฉี  : มีเหล้าแบบนี้ด้วยเหรอ
         อันฉี  : มีสิ
      เสวี๋ยฉี  : น่าสนใจ
         อันฉี  : งั้นพี่ใหญ่, พี่รองต้องช่วยข้าหาวัตถุดิบหมักเหล้า
    หยงเป่า  : ต้องการอะไรบ้างล่ะ
         อันฉี  : เหล้าขาว เหล้าดำ เหล้าแดง เหล้าเหลือง
      เสวี๋ยฉี  : เหล้าสี่ชนิดนี้ตัองเข้าไปซื้อในเมือง ข้ารับหน้าที่นี้เอง
         อันฉี  : ข้าต้องการสมุนไพรสำคัญอีกสามชนิด คือ รากสาวสะดุ้งหิมะพันปี, ว่านกำแพงโลหิตเจ็ดชั้นพันปี, เปลือกมะพลับหาวทองคำพันปี และสัตว์พิษอีกสี่ชนิด คือ กระพรุนพิษดาวฟ้าพันปี, แมงมุมพิษม่ายดำรำพันพันปี, ตะขาบพิษไฟทะเลทรายพันปี และ กบลูกศรพิษอสูรทองคำพันปี
    หยงเป่า  : วัตถุดิบน่ากินทั้งนั้น ถ้าหามาได้ก็กินเลยดีกว่า ไม่ต้องหมักให้เสียเวลา
         อันฉี  : พี่รอง ถ้าอยากดื่มของอร่อยต้องใจเย็นๆ
      เสวี๋ยฉี  : รอเจ้าสามกลับมาให้ไปช่วยเจ้าหาสัตว์พิษ (เสวี๋ยฉีหันไปพูดกับหยงเป่า)
    หยงเป่า  : ใช้เวลาในการหมักนานแค่ไหน
         อันฉี  : ใช้เวลานาน 4 - 6 เดือน ยิ่งนานพิษยิ่งแรง รสชาติยิ่งอร่อย
     เสวี๋ยฉี  : มีขั้นตอนพิเศษในการหมักมั้ย?
        อันฉี  : มี, ขั้นตอนแรกนำส่วนผสมที่ได้ทั้งหมดใส่ไห แล้วนำไปแช่ใต้ธารน้ำแข็งไม่หวนกลับเป็นเวลาหนึ่งเดือน, ต่อจากนั้นก็นำไปฝังใต้ภูเขาไฟโทสะคลั่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน, จากนั้นนำไหเหล้าไปใส่ไว้ในตัวปลาปักเป้าพิษแล้วเอาปลาปักเป้าพิษที่มีไหเหล้าอยู่ในตัวเอาไปใส่ไว้ในหอยมุกยักษ์ใต้ทะเลสามฤดูเป็นเวลาหนึ่งเดือน, หลังจากนั้นก็นำมาเก็บรักษาไว้ในถ้ำแสงจันทร์พันดาวให้ครบหนึ่งเดือนจนกว่าจะนำออกมาดื่ม
     เสวี๋ยฉี  : ดี ตกลงตามนี้ ข้าชอบความคิดครั้งนี้ของเจ้าจริงๆ (เอื้อมมือมาหยิกแก้มของฉัน) วันนี้ข้าจะเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเหล้า เจ้าอยู่ที่นี่ฝึกระบำสะบัดพิษ กลับมาข้าจะดูว่าเจ้าฝึกไปถึงขั้นไหนแล้ว
       อันฉี  : ซื้อขนมมาฝากข้าด้วยนะ

          เสวี๋ยฉีเข้าไปในเมือง ส่วนหยงเป่ากำลังดูแลแปลงปลูกสมุนไพร เขาไม่อยากทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวจึงอยู่รอซิ่นหลิงกลับมาก่อนจึงค่อยออกไปหาสมุนไพรหมักเหล้า ฉันเริ่มซ้อมระบำสะบัดพิษแต่มันยังไม่ได้จังหวะและไม่ได้อารมณ์ในการร่ายรำ ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากเข็มขัดอสรพิษเกล็ดเงิน น่าแปลกที่โทรศัพท์เสียแต่แบตเตอร์รี่กลับไม่หมด เหมือนมันถูกหยุดเวลาเอาไว้ ฉันจึงเปิดเพลงฟังประกอบการฝึกระบำสะบัดพิษทำให้ระบำของฉันมีจังหวะมากขึ้น หยงเป่าเห็นฉันใส่หูฟังเพลงดูแปลกประหลาดจึงเดินเข้ามาดู

     หยงเป่า  : นั่นคืออะไร?
          อันฉี  : อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารระยะไกลที่บ้านเก่าของข้าเอง ใช้ฟังเสียงเพลงได้ (ฉันส่งหูฟังให้หยงเป่าใส่)
     หยงเป่า  : แปลกประหลาดจริงของใช้ที่บ้านเก่าของเจ้า บทกลอนนี่ก็ฟังไม่เข้าใจ
          อันฉี  : อ๋อ... เนื้อเพลงกล่าวถึง "ค่ำคืนที่แสนทรมานเพราะคิดถึงคนที่แอบรัก..." เพลงโปรดของข้าเลย งั้นข้าเก็บไว้ตามเดิม ข้าไปฝึกระบำต่อดีกว่า
    หยงเป่า  : เจ้าแอบรักใคร?
         อันฉี  : ไม่มี ไม่ได้แอบรักใคร แค่เพลงน่ะไม่ได้หมายถึงใคร
   หยงเป่า  : มีอะไรปรึกษาข้าได้นะ บอกข้าได้
        อันฉี  : อื้ม...ถ้ามีแล้วจะบอกนะ

          สักพักใหญ่ๆซิ่นหลิงก็กลับมาพร้อมปลาตัวใหญ่มากหนึ่งตัว และไก่ป่า ฉันถามเขาเกี่ยวกับผลการประลอง ซิ่นหลิงบอกว่าเขาชนะแมงมุมยักษ์ เขาจึงไปจับปลาและไก่ป่าเพื่อมากินแกล้มเหล้า ซิ่นหลิงบอกกับหยงเป่าว่าเขาต้องการไปกักตัวเพื่อเพิ่มพลังเวทย์ แต่เขาจะรอดูก่อนว่าทุกอย่างสงบเรียบร้อยจนสามารถวางใจถึงจะไปกักตัว หยงเป่าบอกว่ารอพูดคุยกับเสวี๋ยฉีเพราะบางทีอาจจะต้องผลัดกันไปกักตัว เขาไม่อยากทิ้งฉันไว้โดยลำพัง ควรมีสักคนอยู่กับฉันด้วยจะได้รู้สึกวางใจ ซิ่นหลิงตอบตกลง หยงเป่าจึงพูดคุยกับซิ่นหลิงเรื่องจะไปหาวัตถุดิบสำหรับหมักเหล้า ซิ่นหลิงจึงอาสาทำหน้าที่ไปหาสัตว์พิษ

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 15
(นกน้อยกลายร่างมนุษย์)   

          ฉันเดินเข้าไปในตัวบ้านเพื่อไปดูอาการนกน้อยเฟยเจิน แต่นกน้อยเฟยเจินตอนนี้กลายร่างเป็นหนุ่มน้อยผิวขาวซีด หน้าตาจิ้มลิ้ม ใบหน้าเรียว จมูกโด่ง ปากบางเป็นกระจับ รูปร่างบาง สูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา เพื่อความแน่ใจฉันจึงเอ่ยถามหนุ่มน้อยที่เห็นตรงหน้าว่า...

          อันฉี  : เจ้าคือ นกน้อยเฟยเจิน?
     เฟยเจิน  : ใช่! ข้าเฟยเจิน เพราะได้ดื่มน้ำจากปากของท่าน ทำให้ข้าหายบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว
           อันฉี  : ว้าวๆ เจ้าในร่างมนุษย์นี่น่ารักสุดๆอ่ะ ดีใจจังที่เจ้าหายแล้ว หิวข้าวหรือเปล่า จะพาไปกินข้าว จะพาไปรู้จักกับพี่รอง, พี่สามด้วย เจ้าเดินไหวหรือเปล่า?
    เฟยเจิน  : ข้าเดินไหว

          ฉันเดินจูงมือเฟยเจินออกมาหาหยงเป่าและซิ่นหลิงที่นั่งคุยกันอยู่ที่ชานบ้าน ทั้งสองมีทีท่าตะลึงและแปลกใจ ฉันจึงบอกพวกเขาว่าหนุ่มน้อยคนนี้ คือนกน้อยเฟยเจิน ซิ่นหลิงถึงกับเอ่ยปากชมว่าเฟยเจินหล่อเหลาจิ้มลิ้มอย่างที่มองไว้แต่แรก พี่ใหญ่กลับมาต้องโวยวายไล่ตะเพิดแน่ๆ ฉันจึงขอร้องให้พี่ทั้งสองช่วยเหลือ พวกเขาบอกว่าจะช่วยเท่าที่สามารถช่วยได้ ฉันจึงกล่าวขอบคุณ แล้วพาเฟยเจินเข้าไปในครัวเพื่อกินข้าว

          อันฉี  : เจ้ากินข้าวก่อนนะแล้วค่อยกินยา
     เฟยเจิน  : ข้าขอบคุณท่าน ต่อนี้ไปข้าขอรับใช้ท่านแล้วแต่ท่านเรียกใช้
          อันฉี  : แน่นอน! แต่ก่อนอื่นข้าอยากรู้ว่าเจ้าล่ากระต่ายเป็นมั้ย?
     เฟยเจิน  : ข้าล่าสัตว์เป็น กระต่ายข้าก็ล่าได้
          อันฉี  : ดี นั่นแหละหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องล่ากระต่ายมาให้พี่ใหญ่ทุกวัน เจ้าทำได้มั้ย?
     เฟยเจิน  : ข้าทำได้
          อันฉี  : ดีมาก อ่ะ! กินข้าว กินข้าว เสร็จแล้วจะพาเดินดูรอบๆบ้าน นี่...เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่าน แต่ให้เรียกข้าว่าพี่สาว
    เฟยเจิน  : แต่ข้าคิดว่าข้าน่าจะอายุมากกว่าท่าน
         อันฉี  : หึ! ข้าอายุมากกว่า เรียกข้าว่า พี่สาว ตกลงนะ
   เฟยเจิน  : แต่ว่า....ข้าอายุ 700 ปี
        อันฉี  : เถอะน่า เรียกข้าว่า พี่สาว นะ
   ซิ่นหลิง  : เจ้าเนี่ยนะพี่สาว ข้าจะบอกให้ขนาดลิงน้อยไมเคิล กับแอบเปิ้ล ยังมีอายุมากกว่าเจ้าอีก เจ้าลิงน้อยอายุ 200 ปี ส่วนเจ้าน่ะอายุแค่ 17 ปี เกิดใหม่อีกหลายรอบอายุเจ้ายังไม่ทันพวกข้าเลย (ซิ่นหลิงเดินเข้ามาในครัวเพื่อเอาขนมไปกินกับน้ำชา)
        อันฉี  : หลิงหลิง นี่เจ้า! (ฉันไล่ตีซิ่นหลิงที่มาขัดจังหวะ)
   เฟยเจิน  : หุหุ

          เรานั่งพูดคุยกันอยู่ที่ชานบ้านรอเสวี๋ยฉีกลับจากในเมือง สักพักเสวี๋ยฉีก็กลับมาพร้อมเหล้า และขนมที่ซื้อมาฝาก ฉันรีบเดินไปหาเสวี๋ยฉี และบอกเขาว่านกน้อยอาการดีขึ้นแล้วและกำลังรอพบเขาเพื่อแนะนำตัว เสวี๋ยฉีแสดงสีหน้างอนเหมือนเดิม แล้วมานั่งดื่มชาที่ชานบ้าน ฉันพาเฟยเจินมาแนะนำตัว

          อันฉี  : เฟยเจิน นี่พี่ใหญ่ ไป๋เสวี๋ยฉี
     เฟยเจิน  : ท่านไป๋ ข้าหยางเฟยเจิน ขอบคุณที่ท่านให้ความช่วยเหลือและเมตตาให้ที่พัก
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าหายดีแล้วก็ไปได้แล้ว
          อันฉี  : พี่ใหญ่...เฟยเจินแค่อาการดีขึ้นแต่ยังไม่หายสนิท
       เสวี๋ยฉี  : ข้าก็เห็นเดินเหินได้ดี
          อันฉี  : ข้าเป็นคนรักษาเขา ข้ารู้เขายังไม่หาย
     เฟยเจิน  : ท่านไป๋...พี่สาวอันฉีช่วยชีวิตข้าไว้ หากไม่ได้พี่สาวข้าคงตายไปแล้ว พี่สาวเป็นผู้มีพระคุณของข้า ขอให้ข้าได้อยู่รับใช้เป็นการตอบแทนพระคุณด้วยเถิด แม้ท่านจะขับไล่ข้า แต่ข้าจะขออยู่ในป่าใกล้ๆบริเวณนี้เพื่อคอยรับใช้และปรนนิบัติพี่สาว ขอท่านโปรดให้โอกาสข้าตอบแทนคุณ
     เสวี๋ยฉี  : อันฉี!!! ข้าไม่อยู่แค่ครึ่งวัน เจ้ารับเจ้านกสวะเป็นน้องชายของเจ้าแล้วเรอะ?!
   ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่...ใจเย็นๆนางยังไม่ได้แลกจอกเหล้ากับเจ้านกเลย
        อันฉี  : แค่ให้เรียกพี่สาวเอง ข้าผิดตรงไหน เฟยเจินออกจะเรียบร้อย น่ารักน่าเอ็นดู เขายังไม่ได้ทำความผิดอะไร ท่านก็เอาแต่ขับไล่ให้เขาไป ท่านน่ะใจร้าย!
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าเถียงข้าเรอะ?! เจ้าชักได้ใจขึ้นทุกวัน นึกอยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่ปรึกษาข้า
        อันฉี  : ปรึกษาท่าน ท่านก็ไม่ยอม ท่านมีอคติอะไรกับเค้านักหนา ห๊ะ?!
     เสวี๋ยฉี  : หนอย! เจ้าเด็กเอาแต่ใจ เพราะข้าตามใจเจ้าเกินไปวันนี้เจ้าจึงกล้าเถียงข้า ฮึ่ม! วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย

          เสวี๋ยฉีเดินเข้ามาเอามือตีที่ก้นฉันหลายทีเหมือนแม่กำลังตีสั่งสอนลูก ฉันพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่ยังคงหลบไม่พ้นถูกเสวี๋ยฉีตีที่ก้นจนร้อง "เจ็บ! เจ็บ!" เฟยเจินรีบเข้ามาขวางตรงกลางรับฝ่ามือแทนฉันที่กำลังถูกเสวี๋ยฉีตี ซิ่นหลิงและหยงเป่ารีบเข้ามาห้ามและจับเสวี๋ยฉีไม่ให้ตีฉันต่อ

      หยงเป่า  : พี่ใหญ่ พอแล้วอย่าตีพวกเขาอีกเลยน่า ใจเย็นๆแล้วคุยกันดีๆเถอะ
      ซิ่นหลิง  : นั่นสิ! ให้เจ้านกนั่นอยู่ด้วยอีกคนจะเป็นไรไป ให้ช่วยดูแลอันฉีท่านจะได้เบาแรง
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ต้อง! ข้าดูแลนางเองได้
     เฟยเจิน  : ท่านไป๋ ได้โปรดอย่าตีพี่สาวอีกเลย ขอท่านทำโทษข้าแทนเถอะ
      เสวี๋ยฉี  : ถึงเจ้าไม่ขอร้องข้าก็ต้องฆ่าเจ้าอยู่แล้วเจ้านกสวะ (เสวี๋ยฉีปรี่จะเข้าทำร้ายเฟยเจิน แต่ติดหยงเป่าและซิ่นหลิงจับตัวเขาไว้)
         อันฉี  : ท่านเป็นคนไม่มีเหตุผล ถ้าท่านจะลงโทษก็ให้ลงโทษข้าคนเดียว เรื่องเริ่มจากข้าก็ให้จบที่ข้า!
     เสวี๋ยฉี  : เจ้าไม่ต้องท้าทายข้า ยังไงข้าก็ต้องคิดบัญชีกับเจ้าอยู่แล้ว เจ้าทำให้ข้าหมดความอดทนกับเจ้า!

          ทันทีที่เขาพูดจบตรงคำว่า "ข้าหมดความอดทนกับเจ้า!" ภาพของความฝันที่เร่าร้อนและหนักหน่วงที่เสวี๋ยฉีทำกับฉันเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว ฉันจ้องหน้าเสวี๋ยฉี แล้วเดินเข้าไปจับคอเสื้อ โน้มคอเขาลงมาคุยใกล้ๆแบบเอาเรื่อง

          อันฉี  : ข้าจำได้แล้วเรื่องเมื่อคืน ในฝันของข้าท่านเป็นคนทำจริงๆใช่มั้ย?!
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าอย่ามาพูดเปลี่ยนเรื่อง! (เสวี๋ยฉีเปลี่ยนท่าทีอ่อนลงแล้วทำหน้าเฉไฉ)
          อันฉี  : ความฝันของข้าทั้งสี่คืนท่านเป็นคนทำใช่มั้ย?! ท่านทำกับข้า! ฮึ่ม! มานี่เล้ยมาเคลียร์กับข้าเดี๋ยวนี้

          ฉันเอาแขนล็อคคอเสวี๋ยฉี แล้วลากเขาเข้าไปในห้อง หยงเป่า, ซิ่นหลิง และเฟยเจินต่างยืนงง จากที่เสวี๋ยฉีโวยวาย กลับกลายเป็นฉันที่เป็นฝ่ายเอาเรื่องเสวี๋ยฉีแทน

      เสวี๋ยฉี  : ปล่อยข้านะ ข้าไม่ไป ปล๊อยยยย
         อันฉี  : ฮึ่ม! วันนี้ข้าก็จะคิดบัญชีกับท่านเหมือนกัน!
    ซิ่นหลิง  : เอ่อเดี๋ยว...นี่เกิดอะไรขึ้นพวกข้า งง ไปหมดแล้ว เจ้าสองคนมีเรื่องอะไรกัน
         อันฉี  : ข้ามีเรื่องที่ต้องชำระความกับเค้า พวกท่านมีธุระอะไรก็ไปทำกันเถอะ ส่วนเฟยเจินไม่ต้องออกไปที่ไหน รอข้าอยู่ที่นี่
       เสวี๋ยฉี  : ปล่อยข้าสิ! ข้าไม่มีอะไรต้องคุยกับเจ้า
           อันฉี : จะคิดบัญชีกับข้าเหรอ ข้าต่างหากที่ต้องคิดบัญชีกับท่าน!
หยงเป่า, ซิ่นหลิง : (แอบหัวเราะ)

          ฉันล็อคคอเสวี๋ยฉีเข้าไปในห้อง แล้วพลักเขาจนล้มลงไปนั่งที่พื้น ฉันขึ้นนั่งคร่อมบนตัวเขาแล้วเอามือจับที่คอเสื้อเขาไว้แล้วจ้องหน้า

          อันฉี  : บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ท่านเป็นคนทำเรื่องอย่างว่าในความฝันของข้าใช่มั้ย?!
       เสวี๋ยฉี  : ใช่ ข้าเป็นคนทำ ความฝันทั้งสี่คืนของเจ้า คือข้า
          อันฉี  : คืนนี้ท่านก็จะทำกับข้าอีกใช่มั้ย ห๊ะ!
       เสวี๋ยฉี  : ใช่!
          อันฉี  : ท่านสัญญากับข้าแล้ว ว่าจะไม่ล่วงล้ำไง! ทำไมผิดสัญญา ห๊า!?
      เสวี๋ยฉี  : ข้าผิดสัญญากับเจ้าตรงไหน ข้าแค่ทำเรื่องอย่างว่ากับเจ้าในความฝัน ร่างกายของเจ้าทุกอย่างตอนนี้ก็เป็นปกติ ข้าไม่ได้ล่วงล้ำเลยสักครั้ง เจ้าจะกล่าวหาว่าข้าผิดสัญญาได้อย่างไร?!
         อันฉี  : ในความฝันก็ไม่ได้ ข้าจะไม่นอนเตียงเดียวกับท่านอีกแล้ว
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ได้ทำผิดสัญญากับเจ้า ข้าไม่ยอม! อย่าทิ้งข้าไปข้าไม่ยอม (เขาโผกอดฉันแล้วคร่ำครวญ) 
         อันฉี  : ได้! แต่เราต้องมีข้อตกลงกันใหม่
      เสวี๋ยฉี  : บอกข้อตกลงของเจ้ามา
         อันฉี  : ท่านต้องยอมรับให้เฟยเจินอยู่ที่นี่เป็นพวกเดียวกันกับเรา และห้ามทำเรื่องอย่างว่ากับข้าในความฝันของข้าอีก
     เสวี๋ยฉี  : ข้ายอมให้เจ้านกนั่นอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เรื่องความฝันของเจ้า เจ้าห้ามข้าไม่ได้ เจ้าจะบีบบังคับข้ามากเกินไปแล้ว เจ้าต้องให้ทางเลือกกับข้าบ้าง ให้ข้ามีทางออกบ้าง บีบบังคับข้ามากขนาดนี้ข้าคงจะคลุ้มคลั่งได้สักวัน อีกอย่างนั่นก็แค่ความฝันข้าไม่ได้ล่วงล้ำในตัวเจ้านอกความฝันเลย ถ้าไม่เชื่อพิสูจน์ดูก็ได้ (เขาจะถอดกางเกงฉัน)
        อันฉี  : เฮ่ย! ไม่ต้องพิสูจน์! ...แล้วถ้าข้าไม่ตกลงล่ะ?!
    เสวี๋ยฉี  : ข้าคงต้องใช้กำลังล่วงล้ำเจ้าจริงๆตอนนี้ แล้วจับเจ้าขังไว้ที่นี่ จากนั้นข้าก็ออกไปฆ่าเจ้านกนั่น หลังจากนั้นข้าก็จะกลับมาทรมานเจ้าทั้งวันทั้งคืน เจ้าเองก็รู้ว่าข้าทำได้อยู่แล้ว .......นี่ข้ายอมประนีประนอมกับเจ้าแล้ว ส่วนเจ้าจะไม่ยอมให้ข้าบ้างเลยรึ?

        ฉันนึกภาพตามที่เขาพูด แค่ในความฝันเขายังทำกับฉันจนแทบลืมหายใจ แล้วถ้าเขาทรมานฉันทั้งวันทั้งคืนตามที่พูดจริงๆ ฉันคงขาดใจตายก่อนแน่ๆ ฉันคงจะบีบบังคับเขามากเกินไปจริงๆ เสวี๋ยฉีเองก็ดีกับฉันมาตลอด แค่ปล่อยเขาในความฝันบ้างก็ไม่ได้เสียหายอะไร ความฝันก็คือความฝัน...ฉันคิดในใจ

          อันฉี  : ตกลง แต่ทำแค่ในความฝันเท่านั้น และคืนนี้ห้ามทำโทษข้า คือแบบ..แบบเมื่อคืนที่ถูกบังคับให้กลืน... (ฉันชี้มาที่ปากของฉัน) แบบนี้ไม่เอา!
      เสวี๋ยฉี  : แต่ข้าชอบออกแบบนี้น่ะ (เขาชี้มาที่ปากของฉัน)

          เสวี๋ยฉีกอดฉันที่นั่งคร่อมอยู่บนตักเขาแล้วจูบ เขาดึงคอเสื้อของฉันให้เปิดกว้างออกแล้วก้มหน้าดูดที่เนินอก จากนั้นก็ลุกขึ้นอุ้มฉันเข้าเอวไปที่เตียงนอน เขาทั้งจูบซุกไซร้ซอกคอ จนฉันจักจี้ มือบีบคลึงที่หน้าอก เขาแยกขาฉันออกแล้วเบียดแท่งแข็งของเขาให้สัมผัสเนินส่วนล่างและเสียดสีไปมา เขาถามฉันว่า...

          เสวี๋ยฉี  : เจ้าชอบที่ข้าทำให้เจ้าทุกคืนหรือเปล่า?
             อันฉี  : อื้ม...
          เสวี๋ยฉี  : เจ้าชอบให้ข้าทำอะไรให้เป็นพิเศษ ไหนลองบอกข้าหน่อยซิ?
             อันฉี  : ข้าชอบลิ้นนุ่มๆของท่าน (ฉันตอบแบบเขินๆ)
          เสวี๋ยฉี  : คืนนี้รอข้านะ
             อันฉี  : อย่าให้รอนานล่ะ (ฉันพูดหยอกเขา)

          เรากอดจูบลูบคลำและปรับความเข้าใจกันอยู่สักพักใหญ่ๆ เสวี๋ยฉีจึงถามถึงความรู้สึกที่ฉันมีต่อนกน้อยเฟยเจิน ฉันบอกเขาว่าฉันรู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูนกน้อยเฟยเจินตั้งแต่แรกเห็นเขาที่ป่าทางตะวันออก และรู้สึกปวดใจมากตอนที่เห็นนกน้อยได้รับบาดเจ็บ เสวี๋ยฉีกอดฉันแล้วพูดว่า "มันคือชะตากรรม" เขาพูดกับฉันว่าหากต้องการให้เขายอมรับนกน้อยเฟยเจินด้วยความเต็มใจ เฟยเจินต้องผ่านการทดสอบบางอย่างว่าเขามีความจริงใจต่อฉันจริงๆหรือไม่ หากเฟยเจินมีความจริงใจ เสวี๋ยฉี จะยอมให้ฉันแลกจอกเหล้ากับเฟยเจิน แต่หากเฟยเจินขาดความจริงใจ ฉันต้องยอมปล่อยให้เฟยเจินบินจากไปทันที ฉันจึงตอบตกลงรับการทดสอบนั้น

          คืนนี้เสวี๋ยฉี, หยงเป่า และซิ่นหลิงนั่งดื่มเหล้ากันตามปกติเหมือนทุกคืน ฉันนั่งอยู่ข้างๆเสวี๋ยฉีและคอยรินเหล้าให้พี่ชายทั้งสาม ส่วนเฟยเจินนั่งย่างไก่ป่าเป็นของแกล้ม พวกเรานั่งคุยกันเรื่องการหมักเหล้าสมุนไพร พวกเขาให้ความสนใจกับการหมักเหล้ามากกว่าการปรุงยารักษาโรคของฉันเสียอีก หยงเป่ามอบหมายงานหาวัตถุดิบให้เฟยเจิน คือไปหาเปลือกมะพลับหาวทองคำ และกบลูกศรพิษอสูรทองคำ ที่ป่าทางตะวันออกเพราะเฟยเจินเคยอาศัยอยู่ที่นั่นจะชำนาญพื้นที่ทำให้พบเจอสมุนไพรได้ง่ายกว่า เรานั่งคุยกันจนดึกฉันจึงชวนเฟยเจินเข้าบ้านนอนเพราะเฟยเจินยังไม่หายดี เขาจึงเดินเข้าบ้านนอนพร้อมกันกับฉัน

          ฉันนอนหลับไปได้สักพัก ก็รู้สึกถึงเสวี๋ยฉีกลับเข้ามานอนที่เตียง ฉันพลิกตัวหันไปนอนหนุนแขนและกอดเขา เสวี๋ยฉีกอดจูบฉันก่อนนอนตามปกติ เขาเอื้อมมือมาปลดเชือกผูกเสื้อ แล้วถอดเสื้อของฉันออก ฉันจึงถามว่า...

          อันฉี  : ต้องถอดเสื้อด้วยเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : ข้าถอดเสื้อของเจ้าออกทุกคืน
          อันฉี  : มิน่าล่ะ! เป็นท่านนี่เอง ข้าก็คิดว่าข้านอนดิ้นจนเสื้อหลุดออกทุกคืน
       เสวี๋ยฉี  : ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราถอดเสื้อผ้านอนกันเลยเถอะ อย่าช้าเลยข้าง่วงนอนแล้ว
         อันฉี  : ท่านง่วงนอนแล้วจริงๆอ่ะ?
      เสวี๋ยฉี  : อื้ม...(เขายิ้มแล้วจูบหน้าผากฉัน)

        เรานอนกอดกันจนฉันหลับไป.........ฉันหลับฝันว่าเสวี๋ยฉีกำลังสอดลิ้นนุ่มๆของเขาเข้ามาในหว่างขา ขยับลิ้นชอนไชจนลึกดูดกินอย่างหื่นกระหายจนฉันบิดสะโพกไปมาด้วยความเสียว "อ๊าาาา สอดลึกๆได้โปรด" เขาสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในตัวฉันดันจนสุดแล้วโยก ฉันเด้งก้นรับอย่างไม่เคอะเขิน จากนั้นเขาจับฉันให้นอนหงายบนตัวเขาที่กำลังนอนหงาย แล้วจับขาฉันทั้งสองข้างให้แยกออกกว้าง แล้วสอดใส่แท่งเนื้อเข้าเนินทางด้านหลัง เขาเด้งก้นขยับแท่งเนื้อใหญ่ยาวขยับเข้าออกช้าๆ จนฉันร้องครางเสียงดังเพราะความเสียว จากนั้นเขาเริ่มเร่งจังหวะเร็วและแรงขึ้นอีกจนเราเสร็จไปพรัอมกัน เสวี๋ยฉี จูบและดูดที่ซอกคอฉันที่กำลังนอนหงายอยู่บนตัวเขาทางด้านหลัง สองขาฉันที่อ้ากว้างยังพาดวางอยู่บนหน้าขาเขา มือเขาข้างหนึ่งกำลังบีบขยำหน้าอก มืออีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปลูบคลำที่เนินหว่างขา เสวี๋ยฉีใช้นิ้วกลางสอดแทรกเข้าในรอยแยกแล้วถูไถนิ้วที่ปุ่มกระสันเสียว และเคล้าคลึงขยี้เนินหว่างขาจนมีน้ำเยิ้มแฉะ จากนั้นจึงสอดใส่นิ้วเข้าในเนินหว่างขา ขยับนิ้วเข้าออกช้าสลับเร็ว ฉันส่งเสียงร้องดังอีกครั้งเพราะความเสียว เสวี๋ยฉี จับแท่งเนื้อแข็งมาถูไถที่เนินหว่างขาแล้วสอดใส่แท่งเนื้อเข้าเนินทางด้านหลังอีกครั้ง เขาเด้งก้นกระแทกกระทั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจับฉันพลิกนอนตะแคง ขาฉันที่ยังคงวางพาดอยู่บนหน้าขาเขาถูกยกขึ้นอ้ากว้างแล้วเด้งก้นกระแทกกระทั้นแท่งแข็งเข้าทางเนินด้านหลังอยู่หลายครั้ง จนเราทั้งคู่เกร็งตัวกระตุกเสร็จสมพร้อมกัน.......แม้นี่จะเป็นเพียงความฝันแต่ทุกรสสัมผัสและการสอดใส่กลับเหมือนจริงเหลือเกิน ฉันจึงปล่อยให้เขาทำทุกอย่างได้ตามใจ แม้แต่ฉันเองก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาเต็มที่ตลอดทั้งคืน
หมายเหตุ

*หยางเฟยเจิน (ชื่อแซ่ของนกอินทรีย์ทอง)  แปลว่า ชายผู้โบยบินสู่ทรัพย์สมบัติ

เพลงจีน 煙暖雨收 หมอกฝนกรุ่นไออุ่น : Well lee
YouTube by : TEN THOUSAND NIGHT


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

(ตอนต่อไป) หมอหญิงปีศาจ Ep 16 - 25

⬅ (ย้อนกลับ)  หมอหญิงปีศาจ Ep 1 - 5

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤



No comments:

Post a Comment