Photobucket Wellcome

นิยาย : หมอหญิงปีศาจ Ep 43 - 58 (จบแล้ว)

นิยายเรื่อง : หมอหญิงปีศาจ Ep 43-58 (จบแล้ว)
นิยายโดย : An Qi
นิยายแนว : มโน, เพ้อเจ้อ, แฟนตาซี, ย้อนยุค, ต่างโลก, โรแมนติก, ตลก, ต่อสู้, ฮาเร็ม, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ    : อัญชลี พลัดหลงเข้าไปในอุโมงค์แล้วไปโผล่บนท้องฟ้าอีกโลกหนึ่งกลายเป็นสาวอายุ 17 ปี ชื่อ อันฉี ต้องผจญภัยและปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการแพทย์แผนพิศดาร โดยมี 4 สัตว์เทพคอยช่วยเหลือปกป้องและช่วยต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง

*** นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

⬅ (ย้อนกลับ) หมอหญิงปีศาจ Ep 26 - 42

นิยายหมอหญิงปีศาจ Ep 43 - 58 (จบแล้ว)


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 43
(สี่สัตว์เทพในตำนาน)


          เฟยเจินพาหมอจงและเหวินหลางมุ่งหน้าไปที่สนามรบ เฟยเจินเริ่มเปิดฉากพ่นไฟขณะบินอยู่เหนือกองทัพทหารแคว้นซูเซียว จนได้ยินเสียงความโกลาหลของทหารที่ถูกไฟเผาทั้งเป็น ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องดังลั่นมาจากสนามรบ ลี่จูคงพาทหารที่มีจำนวนน้อยออกรบแลกชีพเพื่อปกป้องเมืองเป็นแน่ ยิ่งทำให้ฉันร้อนรนกระสับกระส่าย ฉันจึงหันไปพูดกับท่านอ๋องว่า...

          อันฉี  : ท่านอ๋องกับจิ้นฝานรออยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปช่วยพวกเขา
    ท่านอ๋อง  : เราต้องไปด้วยกัน ข้าจะไปกับเจ้า!
          อันฉี  : จะดีรึ?! หากแคว้นซูเซียวรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่แล้วจับดาบช่วยเมืองหนิงอัน อย่าลืมนะว่าแคว้นซูเซียวเป็นบ้านเกิดของภรรยาท่านอ๋อง
    ท่านอ๋อง  : ฮ่องเต้ส่งสารตัดขาดความสัมพันธ์กับแคว้นซูเซียวแล้ว เรารีบไปกันเถอะ
          อันฉี  : ดื้อจริง! งั้นท่านอ๋องต้องตกลงกับข้าก่อนสองข้อ (ข้อแรก) หลี่เฉียงจะคอยคุ้มกันท่าน ห้ามอยู่ห่างจากหลี่เฉียงโดยเด็ดขาด (ข้อสอง) หากสถาณการณ์ไม่ดีหรือสู้ต่อไม่ไหวท่านต้องให้หลี่เฉียงพาท่านกลับเมืองหลวนเซียนทันทีอย่าดื้อดึงที่จะต่อสู้แลกชีวิต
    ท่านอ๋อง  : ตกลง!
          อันฉี  : หลี่เฉียง กับองครักษ์จิ้นฝานคอยคุ้มกันท่านอ๋อง และอย่าสัมผัสเลือดข้า ถ้าข้าได้รับบาดเจ็บ อย่าห่วงเพราะบาดแผลของข้าสมานได้เองเข้าใจมั้ย!
      จิ้นฝาน  : เข้าใจ!
    หลี่เฉียง  : แต่ว่า...ข้ามีหน้าที่ปกป้องท่านอันฉี!
          อันฉี  : หลี่เฉียง! ถ้าเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่ง เมื่อพี่ใหญ่กลับมาข้าจะฟ้องพี่ใหญ่ว่าเจ้าขี้เกียจสันหลังยาว และไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของข้า ข้าจะให้พี่ใหญ่ไล่เจ้ากลับไปอยู่ที่ป่าตะวันออกบ้านเดิมของเจ้า
    หลี่เฉียง  : ขะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะปฏิบัติตามที่ท่านอันฉีสั่ง
    ท่านอ๋อง  : พวกเราเกาะกลุ่มกันไว้จะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน
          อันฉี  : ดี! เราลุยกันเลย!

          เราโดดขึ้นหลังหลี่เฉียงงูเห่ายักษ์มุ่งหน้าสู่สนามรบด้วยความรวดเร็ว ที่สนามรบกำลังรบพุ่งกันหนักหน่วง ทางฝ่ายเมืองหนิงอันแม้จะมีเฟยเจิน หมอจง และเหวินหลาง ที่มาช่วยแต่ก็ยังคงเสียเปรียบเรื่องกำลังคน เพราะทหารของเมืองหนิงอันที่มีอยู่เพียงพันกว่าคน แม้ทหารจะมีกำลังใจดีเต็มร้อยในการสู้รบที่เห็นเฟยเจินมาช่วยแต่ก็ยากจะต้านทานได้นานอยู่ดี เห็นทีฉันต้องเรียกกำลังเสริมพิเศษมาช่วยเพื่อลดการสูญเสียให้ทางฝ่ายเมืองหนิงอันซะแล้ว

       ฉันลุกขึ้นยืนบนหลังของงูยักษ์พร้อมกับเรียกกงเล็บอสูรการ์ฟิลด์ และแซ่อสรพิษมาไว้ในมือเพื่อเตรียมพร้อม หลี่เฉียงงูยักษ์พาเราพุ่งตรงเข้าสู่สนามรบทางด้านข้างเข้าปะทะกับกองทัพทหารซูเซียว ฉันจึงเอ่ยเรียก "พี่ใหญ่! พี่รอง! พี่สาม! ช่วยข้าด้วย!" ทันไดนั้นก็ปรากฎร่างเสวี๋ยฉีถือกระบี่บินหยกขาว หยงเป่าถือดาบเขี้ยวแก้วราตรี และซิ่นหลิงถือทวนโลหิตวารี พุ่งออกมาทางด้านหลังและเข้าปะทะโจมตีกับกองทหารซูเซียวทันทีทำให้กองทหารซูเซียวตกตะลึงแตกกระเจิงเสียรูปขบวนล้มตายเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว อีกทั้งนกเหยี่ยวของเฟยเจินและนกอินทรีย์ดำที่บินมาจากเกาะกระต่ายผี ต่างบินโฉบพ่นไฟโจมตีทหารซูเซียวจากทางท้ายขบวนยิ่งทำให้ทหารซูเซียวเกิดความโกลาหลเพิ่มมากขึ้นเพราะถูกไฟเผาตายทั้งเป็น ส่วนคนที่หลบได้ต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ทำให้กองทัพซูเซียวที่เคยได้เปรียบด้านจำนวนทหารที่มากกว่าต้องรับศึกทั้งสามด้าน โดยเฟยเจิน หมอจง และเหวินหลาง กำลังช่วยทหารเมืองหนิงอันโจมตีทางด้านหน้าขบวน นกเหยี่ยวและนกอินทรีย์ดำโจมตีทางด้านท้ายขบวน ส่วนฉัน เสวี๋ยฉี หยงเป่า ซิ่นหลิง ท่านอ๋อง หลี่เฉียง จิ้นฝาน กำลังโจมตีอย่างรุนแรงทางด้านข้าง

          ทหารเมืองหนิงอันเมื่อเห็นดังนั้นยิ่งเพิ่มความมั่นใจและพุ่งเข้าต่อสู้ด้วยความฮึกเหิมแม้มีกำลังน้อย จากที่เสียเปรียบในตอนแรกพลิกกลับมาได้เปรียบเพราะได้รับความช่วยเหลือจากฉันและพี่ชายที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ซิ่นหลิงเรียกธนูเพลิงพิรุณออกมายิงตอบโต้ใส่ทหารซูเซียว ศรธนูเพลิงพิรุณหนึ่งดอกเมื่อถูกยิงออกไปจะแตกกระจายออกเป็นยี่สิบดอก และถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง ดุจฝนเพลิงกระหน่ำเข่นฆ่าทหารซูเซียวจนล้มตายและได้รับความเสียหายหนัก จำนวนทหารซูเซียวลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งหัวหน้ากองและแม่ทัพฝ่ายซูเซียวถูกเสวี๋ยฉี และหยงเป่า ไล่เด็ดหัวตายไปเกือบหมดจนทหารซูเซียวเสียขวัญระส่ำระสายไปทั่ว เฟยเจินที่เริ่มเจนสนามรบและเริ่มต่อสู้โหดเหี้ยมขึ้น ใช้กงจักรใบมีดเหล็กร่อนออกไปตัดคอทหารซูเซียวขาดกระเด็นที่เดียวสิบห้าคนรวดดูโหดร้ายยิ่งนัก ส่วนฉัน ท่านอ๋อง หลี่เฉียง และองครักษ์จิ้นฝาน ฝ่าทหารซูเซียวเข้าไปสมทบกับหมอหวัง เหวินหลาง ลี่จู และองค์รัชทายาทหย่งเจิ้งที่นำทหารหนิงอันเข้าปะทะทหารซูเซียวทางด้านหน้า พวกเขาดีใจมากที่เห็นเรามาช่วยได้ทันเวลาอีกครั้ง เราพากันบุกตะลุยเข่นฆ่าทหารซูเซียวจนในที่สุดทหารซูเซียวล่าถอยทัพกลับอย่างย่อยยับและพ่ายแพ้

          ฉันนั่งลงกับพื้นเพื่อพักเหนื่อยและรอให้พี่ชายทั้งสี่ที่กำลังขับไล่ทหารซูเซียวถอยทัพแตกกระเจิง และนั่งพักรอให้พวกเขากลับมา เพียงครู่เดียวเสวี๋ยฉี ก็มายืนอยู่ตรงข้างหน้า ฉันเงยหน้ามองเสวี๋ยฉีที่กำลังยืนนิ่งขมวดคิ้วมองฉัน ฉันรีบลุกขึ้นยืนกระโดดกอดเสวี๋ยฉีด้วยความคิดถึงและดีใจ จากนั้นตามมาด้วยซิ่นหลิง หยงเป่า และเฟยเจิน เราจึงโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ ส่วนเสวี๋ยฉีที่ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด จ้องหน้าถามฉันด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องว่า...

      เสวี๋ยฉี  : ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่?! ก่อนหน้านี้เจ้าเรียนวิชาแพทย์อยู่ที่บ้านเจ้าหมอหน้าปลาตายมิใช่รึ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ที่สนามรบ!
     ซิ่นหลิง  : นั่นสิ! แล้วทำไมเจ้าสี่ถึงพาเจ้ามาเที่ยวเล่นในที่อันตรายแบบนี้?! เจ้าสี่มานี่เลย อธิบายมาเดี๋ยวนี้! (ซิ่นหลิงล็อคคอเฟยเจินมาถาม)
          อันฉี  : คืองี้...เรื่องมันย๊าวยาว แต่ข้าอธิบายได้
     หยงเป่า  : เจ้าจะอธิบายยาวถึงสามวันสามคืนเลยก็ได้ ข้าจะฟัง เพราะข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน
     เฟยเจิน  : ข้าผิดเอง ข้าเป็นคนพาน้องห้ามาที่นี่ ทำโทษข้าคนเดียวเถอะ
    หลี่เฉียง  : นายท่าน! ข้ามาปกป้องและทำตามคำสั่งท่านอันฉี ขอให้นายท่านทำโทษข้าแต่อย่าไล่ข้ากลับป่าตะวันออกเลย
       เสวี๋ยฉี  : นี่เจ้ามากับเค้าด้วยรึ?! ฮึ! ข้าต้องทำโทษพวกเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องออกรับแทนกัน!

          องค์รัชทายาทหย่งเจิ้ง ลี่จู ท่านอ๋อง และคนอื่นๆเดินเข้ามาหาเรา ลี่จูจึงแนะนำตัวเองและองค์รัชทายาท ฉันจึงแนะนำพี่ชายทั้งสามกับพวกเขา องค์รัชทายาทหย่งเจิ้งและลี่จูจึงกล่าวขอบคุณพวกเราเป็นการใหญ่ที่มาช่วยเหลือให้ประชาชนและเมืองหนิงอันรอดพ้นจากการถูกรุกรานจากโจรป่าที่ร่วมมือกันกับแคว้นซูเซียว องค์รัชทายาทหย่งเจิ้งจึงเชิญพวกเราและท่านอ๋องเข้าไปพักในเมือง ฉันขยับเข้าเดินคล้องแขนเสวี๋ยฉีเพื่อออดอ้อน

          อันฉี  : พี่ใหญ่ อย่าตีข้าเลยนะ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : เจ้านั่นแหละตัวดีต้องถูกตีมากกว่าใคร!
     หยงเป่า  : ต้องถูกกักบริเวณหนึ่งเดือน!
     ซิ่นหลิง  : ต้องหักเงินค่าขนมด้วยสามเดือน!
          อันฉี  : ความคิดของพวกท่านมันช่างไร้คุณธรรม โหดเหี้ยมกับข้ายิ่งนัก
     ซิ่นหลิง  : งั้นเพิ่มโทษ! หักเงินค่าขนมเป็นห้าเดือน!
          อันฉี  : ไม่เอาอ่า!
     เฟยเจิน  : นี่! พวกท่านกักตนเพิ่มพลังเวทย์ถึงระดับไหนกันแล้ว พวกท่านดูแข็งแกร่งกันมากๆ
     ซิ่นหลิง  : ตอนนี้ข้ามีพลังเวทย์ 1,600 ปี
    หยงเป่า  : ข้ามีพลังเวทย์ 1,800 ปี
      เสวี๋ยฉี  : ส่วนข้ามีพลังเวทย์ 2,000 ปี
          อันฉี  : ว้าวๆสุดยอดไปเลย ในที่สุดจอมมารฟ้าทั้งสามก็ตื่นจากการหลับไหล
      เสวี๋ยฉี  : เพราะเจ้านั่นแหละ! เจ้าปีศาจน้อยขยันหาเรื่องให้ข้าปวดหัวอยู่เรื่อย (เสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาบิดหูฉัน)
          อันฉี  : โอ๊ยยย เจ็บๆ!

          เราเดินกลับเข้าเมืองพร้อมด้วยเสียงโห่ร้องไชโยต้อนรับของทหารและชาวเมืองหนิงอัน ลี่จูเชิญเราเข้าไปนั่งพักดื่มน้ำชาและพูดคุยในจวนรับแขก จิวฝูเด็กรับใช้รีบยกน้ำชาและของว่างเข้ามาให้แล้วเดินออกไป องค์รัชทายาทหย่งเจิ้งจึงกล่าวขอบคุณพวกเราอีกครั้ง

          หย่งเจิ้ง  : ในนามของข้าจินหย่งเจิ้ง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นจินชาง ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยพวกเรา และข้าขอขอบคุณแทนประชาชนชาวเมืองหนิงอันทุกคน หากไม่ได้พวกท่านมาช่วยไว้ พวกข้าและชาวเมืองหนิงอันคงไม่มีชีวิตรอด พวกเราเป็นหนี้ชีวิตพวกท่านแล้ว หากมีสิ่งใดที่เราสามารถตอบแทนหรือมีสิ่งใดที่เราสามารถช่วยได้โปรดบอกมาเถิดพวกเรายินดี ท่านอ๋องเมิ่งช่างโชคดียิ่งนักที่แคว้นหลวนเซียนมีทั้งหมอฝีมือดี และมียอดฝีมือทั้งสี่ท่านนี้ที่ยากใครจะเทียบเทียม ข้าทราบมาก่อนหน้านี้ว่าท่านอ๋องเมิ่งกับลี่จูเคยเป็นสหายกันมาก่อน
    ท่านอ๋อง  : ใช่แล้ว พอข้าทราบว่าลี่จูมีภัย ข้าจึงรีบมาพร้อมกับหมอหญิงอันฉี จึงมิทันได้จัดกองกำลังมาช่วย
     หย่งเจิ้ง  : ต้องขอขอบคุณท่านอ๋องเมิ่งอีกครั้ง แม้ท่านมิทันได้จัดกองกำลัง แต่ที่มามีเพียงยอดฝีมือทั้งสี่ท่านนี้และพวกท่านไม่กี่คนก็สามารถโจมตีกองทัพซูเซียวแปดหมื่นคนให้แตกพ่ายถอยทัพกลับไปได้ ถือเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ขอบคุณพวกท่านมากจริงๆ หมอจงบอกข้าว่าหมอหญิงอันฉีกับพี่ชายไม่แยกห้องพัก ข้าสั่งคนให้จัดห้องพักห้องใหญ่ไว้ให้ เชิญพวกท่านพักตามสบายเถอะ
          อันฉี  : ขอบคุณองค์รัชทายาท
     หย่งเจิ้ง  : ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ชายอีกสามคนของเจ้ามีวรยุทธสูงและเก่งกาจมากขนาดนี้ ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา
       เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่ได้ช่วยพวกเจ้า ข้าฆ่าพวกมันเพราะมันหันคมดาบใส่อันฉีของข้า!
            ลี่จู  : นี่ท่าน! (ลี่จูไม่พอใจที่เสวี๋ยฉีพูดไม่เกรงใจองค์รัชทายาท)
     หย่งเจิ้ง  : ลี่จู! ไม่เป็นไรน่า เขาเป็นผู้มีพระคุณของเรา ท่านไป๋คงจะเหนื่อยจากการสู้รบ เราปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนกันก่อน คืนนี้ข้าจัดงานเลี้ยงที่ลานกลางเมืองเพื่อเป็นการต้อนรับพวกท่านและฉลองชัยชนะ

          ทุกคนต่างแยกย้ายกลับห้องพักที่องค์รัชทายาทจัดเตรียมไว้ให้เพื่อพักผ่อน และเมื่อไปถึงห้องพัก พี่ชายทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้ เสวี๋ยฉีสั่งให้ฉัน เฟยเจิน และหลี่เฉียงงูเห่าดำ ให้นั่งคุกเข่ากับพื้นและอธิบายให้พี่ชายทั้งสามคนฟังว่าเหตุใดเรามาอยู่ที่สนามรบเมืองนี้ได้ หลังจากอธิบายจบเราก็ถูกพี่ชายทั้งสามบ่นด่าอยู่ครู่หนึ่ง เสวี๋ยฉีทำโทษให้ฉันคอยพัดวีให้เขา เฟยเจินนวดไหล่ให้หยงเป่า หลี่เฉียงนวดขาให้ซิ่นหลิง และคอยรินน้ำชาให้พี่ชายทั้งสามดื่ม สักครู่องค์รัชทายาทกับหมอจงก็เดินเข้ามาหาเราในห้องพัก โดยมีจิวฝูเด็กรับใช้เดินถือถาดกาเหล้าและของแกล้มเดินตามหลังมา

     หย่งเจิ้ง  : ขอโทษที่ข้ามารบกวน ข้ามาดูว่าพวกท่านได้รับความสะดวกสบายดีหรือไม่ และนำเหล้าที่ดีที่สุดในเมืองหนิงอันกับของแกล้มมาให้พวกท่าน
          อันฉี  : ขอบคุณองค์รัชทายาท เราได้รับความสะดวกสบายดี อย่าห่วง
     หย่งเจิ้ง  : ท่านทั้งสามปวดเมื่อยรึ ให้ข้าเรียกเด็กมานวดให้พวกท่านดีกว่านะ
     หมอจง  : ให้ข้าปรุงยาคลายปวดเมื่อยให้ดีมั้ย?
          อันฉี  : เอ่อ...ไม่เป็นไร พวกข้านวดให้พี่ชายทั้งสาม เพราะตอนนี้พวกข้ากำลังถูกทำโทษอยู่น่ะ
     หย่งเจิ้ง  : ถูกทำโทษงั้นรึ?! งั้นข้าไม่รบกวนพวกท่าน ต้องการอะไรเพิ่มบอกได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ ข้าขอลา

          องค์รัชทายาทและหมอจงจึงเดินออกไปจากห้องพักด้วยสีหน้าแปลกใจปนสงสัย

     หย่งเจิ้ง  : หมอจง เจ้าแน่ใจนะว่าอันฉีเป็นนกอัคคีสวรรค์ในตำนานน่ะ
      หมอจง  : ใช่สิ! นางเป็นนกอัคคีสวรรค์
     หย่งเจิ้ง  : นกอัคคีสวรรค์ต้องเป็นเจ้านายมิใช่รึ?! แต่ถูกสัตว์เทพทำโทษให้บีบนวดเนี่ยนะ ตลกจริง นี่ถ้าข้าไม่เห็นสิ่งที่พวกเขาทำกับตาที่สนามรบ และสัมผัสถึงความพิเศษในตัวพวกเขาได้ล่ะก็ข้าคงไม่เชื่อ พวกเขาเหมือนกลุ่มพี่น้องพิลึก แต่ปกปิดสถานะแบบนี้ก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน ไม่เป็นที่สังเกตุของผู้อื่น เราไปพบท่านอ๋องเมิ่งกันเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านอ๋องสักหน่อย

          เมื่อพี่ชายทั้งสามทำโทษฉัน เฟยเจิน และหลี่เฉียงจนพอใจ ฉันจึงขออนุญาตพี่ชายไปพบท่านอ๋องเพื่อดูว่าท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ฉันเดินมาถึงห้องพักท่านอ๋อง เห็นท่านอ๋องกำลังลูบคลำที่ข้อมือตัวเองเหมือนได้รับบาดเจ็บ

          อันฉี  : ท่านอ๋อง ได้รับบาดเจ็บรึ ทำไมไม่รีบบอก
    ท่านอ๋อง  : ข้ารู้สึกเจ็บที่ข้อมือ กำลังจะเดินไปหาเจ้าให้เจ้าตรวจดูสักหน่อย พอดีองค์รัชทายาทหย่งเจิ้งมาพบข้าและเพิ่งกลับออกไป
          อันฉี  : ขอดูข้อมือหน่อย (ฉันเปิดดวงตาปีศาจตรวจดูที่ข้อมือท่านอ๋อง) ท่านอ๋องข้อมือเคล็ดน่ะ ท่านตามหม่อมฉันไปที่เรือนหมอ ให้ซือซือประคบยาและพันข้อมือให้
    ท่านอ๋อง  : เจ้าไม่ใช้พลังรักษาหายเร็วให้ข้ารึ
          อันฉี  : ท่านอ๋องแค่ข้อมือเคล็ด แค่ประคบยาและพันข้อมือ 2-3 วันก็หายแล้ว ให้ซือซือรักษาให้ก็ได้ ไม่ต้องให้ถึงมือหม่อมฉันหรอก เปลืองพลังงานหม่อมฉันเปล่าๆ
    ท่านอ๋อง  : ช่างเถอะ ไม่ต้องประคบยาแล้ว ข้าแค่ข้อมือเคล็ดเดี๋ยวข้อมือข้าก็หายเอง
          อันฉี  : ท่านอ๋องตามหม่อมฉันมาเถอะน่า แม้ซือซือจะไม่เก่งเท่าหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันเคยสอนการประคบยาและพันแผลให้นางเพราะนางเคยข้อเท้าเคล็ดมาก่อน รับรองว่าซือซือจะช่วยประคบยาและเปลี่ยนผ้าพันข้อมือให้ท่านอ๋องเป็นอย่างดีทุกวัน

          ท่านอ๋องเดินตามฉันไปที่เรือนหมอเพื่อประคบยาและพันข้อมือ ที่เรือนหมอพบซือซือกำลังจัดเตรียมยารักษาแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับทหารซูเซียว

          อันฉี  : ซือซือ อยู่คนเดียวรึ?
       ซือซือ  : อ้าวอันฉีเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ข้ายังนึกเป็นห่วงเจ้าอยู่เลย
          อันฉี  : ข้าไม่เป็นอะไร อย่าห่วง เจ้าอยู่คนเดียวรึ
       ซือซือ  : ใช่ หมอจงและคนอื่นๆออกไปทำแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าอยู่จัดยาเตรียมไว้ให้พวกเขาน่ะ
          อันฉี  : ข้าฝากคนไข้ข้อมือเจ็บหนึ่งคนให้เจ้าช่วยประคบยาและพันข้อมือให้หน่อยได้มั้ย นี่ท่านอ๋องเมิ่งเหวินหลง จากแคว้นหลวนเซียน

          ซือซือวางมือจากการจัดยา ลุกขึ้นทำความเคารพและแนะนำตัวเองกับท่านอ๋องด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนท่านอ๋องเองก็มีปฏิกิริยาเคอะเขินเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ยินยอมให้ซือซือประคบยาและพันข้อมือให้ ฉันจึงนั่งจัดยาแทนซือซือ ฉันเอ่ยปากฝากซือซือช่วยประคบยาและพันข้อมือให้ท่านอ๋องทุกวันด้วย ซือซือพยักหน้ารับและบอกว่ายินดีทำให้ไม่ต้องเกรงใจ ขณะที่รอซือซือกำลังประคบยาที่ข้อมือให้ท่านอ๋อง ชงหยวนพี่ชายซือซือก็เดินเข้ามาที่เรือนหมอเพื่อมาเอายารักษาแผลที่ซือซือจัดเตรียมไว้ให้ไปให้หมอจงที่กำลังรักษาทหารอยู่ด้านนอก

   ชงหยวน  : เอ๊ะ!? นี่ท่านอ๋องเมิ่งนี่นา!
   ท่านอ๋อง  : องค์ชายฮุ่ย!
   ชงหยวน  : ได้ยินมาว่ามีท่านอ๋องรูปงามจากแคว้นหลวนเซียนมาช่วยรบ มาด้วยกันกับหมอหญิงอันฉีที่แท้เป็นท่านนี่เอง ตั้งแต่ที่ข้าเดินทางไปติดต่อค้าขายที่เมืองหลวนเซียนในครั้งนั้น ข้ากับท่านก็ไม่ได้พบเจอกันเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอกันอีกครั้งที่นี่ ท่านอ๋องรู้จักกับซือซือน้องสาวข้าแล้วสิ?
    ท่านอ๋อง  : งั้นแม่นางซือซือนี่ก็เป็นน้องสาวของท่าน?
   ชงหยวน  : ใช่! นี่น้องสาวของข้า องค์หญิงซือซือแห่งแคว้นฮุ่ยจู
          อันฉี  : ห๊า! เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นฮุ่ยจู จริงหรือนี่?! ทำไมไม่บอกข้าเลยล่ะ ตายแล้ว! นี่ข้าเคยล่วงเกินเจ้าไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย ข้าขอโทษด้วยนะองค์หญิง มา มา วาง วาง ข้าจะประคบยาให้ท่านอ๋องเอง โธ่! ข้าขอโทษจริงๆ ข้าจะถูกตัดหัวมั้ยเนี่ยบังอาจใช้งานองค์หญิงประคบยาให้ท่านอ๋อง ข้านี่แย่จริงๆ
       ซือซือ  : อันฉี! ทำตัวปกติเหมือนเดิมเถอะน่า เรียกข้าซือซือเหมือนเดิมเถอะข้าอนุญาตเจ้า เจ้าเป็นเพื่อนของข้า ที่เราต้องปกปิดสถานะก็เพื่อความปลอดภัย อีกอย่างข้าเต็มใจประคบยาและพันข้อมือให้ท่านอ๋อง มันเป็นหน้าที่ของข้าไม่ต้องเกรงใจ เจ้าดูสิวิชาที่เจ้าสอนข้า ข้าทำได้ดีหรือไม่?
          อันฉี  : อื้ม! ทำได้ดีมาก พันผ้าที่ข้อมือได้เรียบร้อยสวยงาม และมือเบากว่าข้าเสียอีก ท่านอ๋องไม่ร้องเจ็บเลยสักนิด เห็นทีต้องรบกวนองค์หญิง เอ๊ย! ต้องรบกวนเจ้าช่วยประคบยาและเปลี่ยนผ้าพันข้อมือให้ท่านอ๋องทุกวันจนกว่าจะหายได้หรือไม่
       ซือซือ  : ได้สิ ไม่ต้องเกรงใจ (ซือซือก้มหน้ายิ้มเขินอาย)
          อันฉี  : เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าจัดยานะ
   ชงหยวน  : ท่านอ๋อง พอดีข้าต้องรีบเอายาไปให้หมอจงก่อน เสร็จงานแล้วค่อยพูดคุยกัน ท่านข้อมือเจ็บพักผ่อนมากๆ ข้าไปล่ะ
    ท่านอ๋อง  : งั้นข้าอยู่ช่วยทางนี้จัดยาแล้วกัน
       ซือซือ  : ขอบคุณท่านอ๋อง

          เราสามคนช่วยกันจัดยา ฉันและซือซือพูดคุยหยอกล้อกันตามประสาเพื่อนผู้หญิง ส่วนท่านอ๋องนั่งจัดยาเงียบๆ แต่ก็ฟังฉันกับซือซือพูดคุยกัน และในบางครั้งท่านอ๋องก็แอบยิ้มกับเรื่องที่ฉันและซือซือพูดคุยหยอกล้อ ท่านอ๋องในวันนี้ดูจะผ่อนคลายไม่เคร่งเครียดสักเท่าไหร่นัก

          สักครู่ใหญ่ๆลี่จูก็เดินเข้ามาที่เรือนหมอเพื่อมาพบกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องจึงขอแยกตัวไปพูดคุยกับลี่จูเป็นการส่วนตัว ฉันจึงหันไปบอกซือซือว่า...

          อันฉี  : ท่านอ๋องกับเจ้าเมืองฟางเป็นเพื่อนกัน พอท่านอ๋องรู้ว่าฟางลี่จูตกอยู่ในอันตรายก็รีบมาที่นี่พร้อมกับข้าในทันทีเลย
       ซือซือ  : น่าอิจฉาฟางลี่จูจังเลย มีแต่คนห่วงใย แต่ไม่น่าแปลกใจหรอกเพราะนางทั้งเก่ง ทั้งสวยและฉลาด ข้าเองยังรู้สึกชื่นชม เฮ้อ! ข้าเองก็อยากมีคนมาคอยปกป้องข้าแบบนี้บ้างจัง
          อันฉี  : ถ้าเราอยากได้อะไรจากใคร เราต้องให้เค้าก่อน อย่างเช่น ถ้าเราอยากให้ใครยิ้มให้ เราก็ต้องยิ้มให้เค้าก่อน หากเจ้าอยากให้มีคนมาคอยปกป้องเจ้า เจ้าก็ต้องปกป้องเค้าก่อน
       ซือซือ  : แต่ข้าไม่มีพลังยุทธ ข้าไม่รู้วิชาการต่อสู้ ข้าจะปกป้องใครได้ยังไง
          อันฉี  : การปกป้องผู้อื่นมันมีหลายวิธี ไม่ได้มีแค่วิธีการต่อสู้อย่างเดียวสักหน่อย เอางี้ เจ้าลองฝึกปกป้องท่านอ๋องของข้า
       ซือซือ  : ห๊า!? ปกป้องยังไง
          อันฉี  : ให้เจ้าฝึกปกป้องข้อมือท่านอ๋องให้ปลอดภัย
       ซือซือ  : แต่นั่นเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่ต้องรักษาคนไข้
          อันฉี  : ข้าหมายถึงใช้ใจปกป้อง หรือใช้ใจรักษาไม่ใช่หน้าที่ หากเจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำมันเป็นหน้าที่ ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจะได้รับกลับมาก็คือการตอบแทนตามหน้าที่ เมื่อหมดหน้าที่ทุกอย่างก็ยุติ
       ซือซือ  : ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะปกป้องข้อมือท่านอ๋องให้ปลอดภัย ข้าจะดูแลอย่างดีเลยไม่ต้องห่วง
          อันฉี  : ขอบใจนะ ข้าฝากท่านอ๋องไว้กับเจ้าด้วย

          เมื่อจัดยาเสร็จซือซือนำยาไปให้หมอจงที่กำลังรักษาทหารอยู่ด้านนอก ฉันจึงเดินไปเป็นเพื่อนท่านอ๋องกลับห้องพัก

    ท่านอ๋อง  : อันฉี เจ้าพูดถูกหากข้าได้พบฟางลี่จูอีกครั้งปมเชือกในใจข้าจะถูกคลายออก ความทุกข์ในใจข้าถูกปลดปล่อยแล้ว ฟางลี่จูหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท ข้ากับนาง มิอาจครองคู่กันได้จริงๆ แม้หัวใจของข้ารู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่กลับไม่ทรมานเหมือนแต่ก่อน แต่ข้ากลับรู้สึกโล่งใจที่นางได้หมั้นหมายกับชายที่นางรัก และพร้อมจะอยู่เคียงข้างนางในยามที่นางตกอยู่ในอันตราย ชายที่พร้อมจะปกป้องดูแลนางไปตลอดชีวิต บางทีข้าอาจจะทำใจได้แล้วจริงๆ
          อันฉี  : ท่านอ๋อง โปรดเปิดตาและเปิดใจมองดูรอบๆตัวท่าน ให้โอกาสตัวเองและผู้อื่นอีกครั้ง อาจจะมีสักคนที่กำลังห่วงใยท่าน และพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างท่านในวันที่ท่านอ่อนแอ
    ท่านอ๋อง  : เจ้า...(ท่านอ๋องมองจ้องตากับฉันครู่หนึ่ง)
          อันฉี  : ไม่ใช่หม่อมฉัน! (ฉันจับข้อมือท่านอ๋องข้างที่มีผ้าพันแผล แล้วบอกท่านอ๋องว่า...) แต่ก็มีบางคนที่อยากปกป้องดูแลท่าน เอ่อ...ตอนนี้ข้อมือท่านยังเจ็บอยู่ท่านควรพักผ่อน หากท่านหายช้า ซือซือจะขาดความมั่นใจในการรักษาท่านได้ แล้วตอนค่ำเจอกันที่ลานกลางเมือง หม่อมฉันขอตัวลา

          ฉันจึงกลับเข้าห้องพักนั่งๆนอนๆคุยเล่นกับพี่ชายทั้งสี่ในห้องพัก ที่กำลังดื่มเหล้าพูดคุยกันสนุกสนานหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน โดยมีหลี่เฉียงคอยรินเหล้าให้พี่ชายทั้งสี่แทนฉัน

     หยงเป่า  : เจ้าสี่นี่เก่งไม่เบาเลย พลังเวทย์ก้าวหน้าได้ 900 ปีแล้ว แถมยังเป็นผู้นำฝูงนกอินทรีย์ดำที่เกาะกระต่ายผีอีก เยี่ยมๆ
     เฟยเจิน  : ขอบคุณพี่รองที่ชมข้า
     ซิ่นหลิง  : น้องห้าสุดที่รักของข้า แล้วเจ้ามีอะไรที่ก้าวหน้าขึ้นบ้าง ไหนลองเล่าให้ข้าฟังซิ
          อันฉี  : เอ่อ.....
       เสวี๋ยฉี  : หางานให้เจ้าเพิ่มขึ้น หาปัญหาใหญ่ให้เจ้าเพิ่มขึ้น นี่คือความก้าวหน้าของนาง!
          อันฉี  : พี่ใหญ่อ่า..... (ฉันโผกอดเสวี๋ยฉีเพื่อออดอ้อนให้เขาเลิกบ่นฉัน) อย่าบ่นข้าอีกเลยนะ ข้าสำนึกผิดแล้ว วันนี้ออกแรงไปเยอะจริงๆข้าของีบหลับสักครู่นะ
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 44
(ผาชมจันทร์)

          ฉันเดินไปงีบหลับบนเตียงเพราะเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับทหารซูเซียวในสนามรบ และรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนเย็นเพราะหยงเป่าเดินมาปลุก เรารอเวลาค่ำเพื่อไปงานเลี้ยงต้อนรับที่ลานกลางเมือง กองไฟถูกก่อขึ้น ชาวบ้านหนุ่ม-สาวออกมาล้อมวงเต้นรอบกองไฟ คืนนี้ชาวบ้านล้มวัวแล้วนำมาย่างไฟ อีกทั้งเหล้ารสดีถูกนำออกมาแจกจ่ายดื่มสังสรรค์กันเป็นที่สนุกสนาน และเป็นไปตามคาดที่พี่ชายทั้งสี่ของฉันและท่านอ๋องเป็นที่หมายตาของสาวๆผลัดกันมาชักชวนออกไปเต้นรำ

          เริ่มดึกฉันเริ่มง่วงนอนจึงขอกลับไปนอนที่ห้องพัก เสวี๋ยฉีเดินตามฉันกลับมาด้วย เสวี๋ยฉีชวนฉันออกข้างนอกเพื่อนั่งชมดวงดาวและใช้เวลายามค่ำคืนอยู่ด้วยกันสองคน เขาอุ้มฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวแล้วบินออกไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง

          เรานั่งกันอยู่ริมหน้าผาที่สามารถมองเห็นดวงดาวได้อย่างชัดเจน เสวี๋ยฉีหยิบขวดเหล้าที่เขาพกติดมาด้วยออกมาขวดหนึ่งแล้วยกขึ้นดื่ม เขาส่งขวดเหล้าให้ฉันดื่ม แต่ฉันส่ายหัวปฏิเสธเพราะฉันยังคงรู้สึกเมาเหล้ามาจากงานเลี้ยงรอบกองไฟ เสวี๋ยฉีจึงยกขวดเหล้าเทเหล้าใส่ปากแล้วหันมาจูบฉันเขาถ่ายเหล้าในปากใส่ปากให้ฉันดื่ม ฉันกลืนเหล้านั้นลงคอแล้วจูบแลกลิ้นกับเสวี๋ยฉีอีกครั้ง กอดรัดเขาแนบแน่นด้วยความคิดถึงจนยากเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ได้แต่พร่ำบอกว่าฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน ฉันเอ่ยขอโทษเสวี๋ยฉีที่เรียกเขาออกจากการกักตนก่อนเวลากำหนดสามเดือน เพื่อให้เขามาช่วยรบให้ที่เมืองหนิงอัน เสวี๋ยฉีตอบว่า...

       เสวี๋ยฉี  : ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนนี้ข้ามีพลังเวทย์ 2,000 ปีแล้ว ปกติการเพิ่มพลังเวทย์ต้องใช้เวลานานมากกว่านั้น เพราะข้าได้รับพลังถ่ายทอดจากเจ้า ข้าจึงสามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องการรบในครั้งนี้ก็มิได้รบให้โดยเปล่าประโยชน์เพราะอ๋องเมิ่งของเจ้าได้ใช้ประโยชน์จากการช่วยรบในครั้งนี้ โดยยอมรับข้อเสนอจากองค์รัชทายาทจินหย่งเจิ้งแห่งแคว้นจินชางร่วมเป็นพันธมิตร และขอกองกำลังสนับสนุนจากองค์รัชทายาทให้เข้าร่วมต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง และเขายังมองการณ์ไกลไปถึงการผูกสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นกับแคว้นฮุ่ยจูอีกด้วย เจ้าอ๋องเมิ่งเนี่ยเห็นเงียบๆแต่ฉลาดนัก
          อันฉี  : ท่านรู้ได้ยังไง
       เสวี๋ยฉี  : เพราะข้าเป็นมารฟ้าที่หูตากว้างไกล
          อันฉี  : ท่านเป็นมารฟ้าของข้าที่เก่งที่สุดในสามโลก ดีจริงๆเรามีเพื่อนร่วมรบกับปีศาจเยือกแข็งแล้ว ข้ามาช่วยพวกเขาด้วยใจแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคุ้มค่ายิ่งนัก
       เสวี๋ยฉี  : แต่สิ่งที่เจ้าทำมันเสี่ยงอันตรายมากเกินไปรู้มั้ย
          อันฉี  : ข้ารู้ ต่อไปข้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ข้าจะอยู่บ้านกับท่าน ข้าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังท่าน
       เสวี๋ยฉี  : ดีมาก แต่คืนนี้เจ้าต้องถูกข้าทำโทษ
          อันฉี  : ข้ายินดีให้ท่านทำโทษข้าทั้งคืนเลย

          ฉันขยับตัวจูบเสวี๋ยฉีอีกครั้ง มือข้างหนึ่งลูบไล้บีบคลึงหน้าอก เริ่มคลายเสื้อเขาออกจนเผยให้เห็นผิวพรรณขาวเนียนละเอียด ฉันก้มจูบที่หน้าอกและดูดเลียรอบๆหัวนม มือเริ่มเลื่อนลงไปลูบไล้ที่แท่งเนื้อแข็ง ปลดเชือกผูกกางเกงเขาออกเผยให้เห็นแท่งเนื้อแข็งชูชันเต็มที่ แล้วก้มจูบที่ปลายแท่งเนื้อแข็งแลบลิ้นเลียรอบรอยหยักจนเปียกแฉะ แล้วดันแท่งเนื้อเข้าปากดูดเข้าออก จนเสวี๋ยฉีร้องครางออกมาอย่างพึงพอใจ ฉันเร่งจังหวะดูดแท่งเนื้อให้เร็วขึ้นจนมีน้ำทะลักออกมาแล้วรีบกลืนน้ำนั้นลงคอ

          เสวี๋ยฉียกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้งแล้วอมเหล้าไว้ในปาก เขาจูบฉันแล้วถ่ายเหล้าใส่ปากฉันจูบอย่างดูดดื่ม เสวี๋ยฉีถอดเสื้อผ้าฉันออกแล้วจับฉันให้นอนลงกับพื้นโถมตัวทับแล้วดูดหัวนมทั้งสองข้าง จากนั้นค่อยๆเลื่อนลงไปที่เนินหว่างขา จับขาฉันแยกออกกว้างแล้วค่อยๆแหย่ลิ้นชอนไชเข้าในหว่างขาจนฉันแอ่นตัวเสียวสะท้าน เขาทั้งดูดและเลียเนินหว่างขาจนแทบจะกินเข้าไปทั้งตัว เสวี๋ยฉีค่อยๆเลื่อนตัวขึ้นมาจูบฉันอีกครั้ง ฉันทนไม่ไหวและต้องการเขามากเหลือเกิน จึงกระซิบบอกเสวี๋ยฉีว่า ต้องนอนหลับได้แล้วฉันทนคิดถึงเขาไม่ไหว อยากร่วมรักกับเขาทั้งคืนเหลือเกิน เสวี๋ยฉีจึงพลิกตัวแล้วสอดแขนให้ฉันหนุนนอน เรานอนกอดกันแน่นเหมือนเคย ไม่นานนักฉันก็นอนหลับไป

          .......ในความฝัน ฉันที่อยู่ในร่างเปลือยเปล่ากำลังใช้แซ่อสรพิษมัดข้อมือเสวี๋ยฉีไว้ทั้งสองข้างยกแขนเขาขึ้นเหนือศรีษะแล้วโยงแซ่ไปผูกไว้กับกิ่งไม้ใกล้ๆ ฉันนั่งคร่อมเสวี๋ยฉีที่อยู่ในร่างเปลือยเปล่าเหมือนกัน มองจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มเล็กน้อย สองมือสัมผัสที่แก้มเขาทั้งสองข้างแล้วจูบแลกลิ้นดูดดื่ม ค่อยๆเลื่อนลงมาจูบที่หน้าอกและแลบลิ้นเลียรอบๆหัวนม ดูดและกัดเบาๆที่หัวนมเขาอย่างหมั่นเขี้ยว ขยับสะโพกไปมาให้เนินหว่างขาสัมผัสเสียดสีกับแท่งเนื้อแข็ง แล้วจับแท่งเนื้อแข็งใส่เข้าในหว่างขา ขยับสะโพกโยกย้ายให้แท่งเนื้อเสียดสีเข้าออก เสวี๋ยฉีเด้งก้นกระแทกรับตามจังหวะ ลิ้นสอดใส่กวัดแกว่งไปทั่วภายในปากแล้วกัดริมฝีปากเขาเบาๆ เสวี๋ยฉีดูจะตื่นเต้นที่ถูกฉันจับมัดมือ และเป็นฝ่ายถูกฉันควบคุม ฉันเร่งจังหวะโยกสะโพกให้เร็วและแรงขึ้นจนเสวี๋ยฉีร้องครางออกมาเสียงดังจนมีน้ำอุ่นๆไหลออกมาจากหว่างขา จากนั้นฉันแก้มัดที่ข้อมือเสวี๋ยฉีออก เขามองหน้าฉันแล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ จับฉันพลิกตัวกลับหันหลังในท่าด๊อกกี้สไตล์ สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าหว่างขาทางด้านหลัง โยกเข้าออกช้าๆ มือข้างหนึ่งสอดนิ้วกลางล้วงจับที่เนินหว่างขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งบีบขยำหน้าอก ฉันแอ่นก้นรับแรงกระแทกเบาๆแล้วร้องครางด้วยความเสียว เสวี๋ยฉีเร่งจังหวะกระแทกให้เร็วและแรงขึ้นอีก เกร็งตัวเสียวพร้อมกับเสวี๋ยฉีที่ปล่อยน้ำอุ่นๆเข้าในหว่างขาฉันอีกครั้ง ฉันยังคงอยู่ในลักษณะนั่งคุกเข่าแต่ยกตัวขึ้นเหยียดตรง เสวี๋ยฉียังคงอยู่ทางด้านหลังเอื้อมมือมากอดบีบคลึงหน้าอกและใช้นิ้วชอนไชรอยแยกเนินหว่างขา เขาจูบซอกคอและไหล่จนรู้สึกสยิว แท่งเนื้อแข็งที่ยังคงคาอยู่ในหว่างขาทางด้านหลังเริ่มขยับเข้าออกอีกครั้ง กระแทกเบาๆช้าๆ ทำให้เสียวเหลือเกิน เขาเริ่มกระแทกแท่งแข็งให้เร็วขึ้นแล้วปล่อยน้ำอุ่นๆออกมา "โอ้วววว" ฉันพลิกตัวนอนหงายกับพื้น เสวี๋ยฉีโถมตัวนอนทับแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าหว่างขาฉันอีกครั้ง เด้งก้นกระแทกกระทั้นไม่หยุด เราร่วมรักกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งคืน......

          รุ่งเช้าเรายังคงนอนกอดกันอยู่ตรงหน้าผานั้นชมบรรยากาศยามเช้าที่สวยงามด้วยกันสักพัก จึงขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับไปที่เมืองหนิงอัน เรามาถึงห้องพักพี่ชายทั้งสามยังไม่ตื่นนอน แต่พบหลี่เฉียงที่รีบยกน้ำชามาให้ดื่ม หลี่เฉียงบอกว่าพี่ชายทั้งสามอยู่ดื่มในงานเลี้ยงจนดึกดื่น ทำให้ตื่นนอนกันสาย เสวี๋ยฉีจึงปล่อยให้พวกเขานอน สักพักหลี่เฉียงยกเกี๊ยวน้ำมาให้เรากินกันก่อน ระหว่างกินอาหารเช้า ฉันขอเสวี๋ยฉีให้อยู่ที่เมืองหนิงอันต่ออีกสักพัก เพื่อรอดูสถานการณ์ว่าแคว้นซูเซียวจะไม่มารุกรานที่นี่อีก เสวี๋ยฉีตอบตกลงง่ายๆ คงเพราะเมื่อคืนที่หน้าผาฉันทำให้เขารู้สึกพอใจ เช้านี้เขาจึงอารมณ์ดี ไม่นานนักหยงเป่าก็ตื่นนอนแล้วเดินมาหาเราที่กำลังนั่งกินเกี๊ยวน้ำกันอยู่

          อันฉี  : พี่รองมากินเกี๊ยวน้ำด้วยกันเร็ว กำลังร้อนๆ
     หยงเป่า  : เมื่อคืนเจ้าสองคนไปนอนที่ไหน เบื่อนอนเตียงกันแล้วรึ
          อันฉี  : ไปนอนชมดาวบนภูเขา สวยมาก
     หยงเป่า  : น้องห้าถ้าเจ้าอยากไปอีก บอกข้า ข้าจะพาเจ้าไปเอง ที่ๆข้าจะพาเจ้าไปรับรองสวยไม่แพ้ที่พี่ใหญ่พาไปแน่นอน
          อันฉี  : อื้ม! ไปสิ โอ๊ยย! (เสวี๋ยฉีแอบหยิกขาฉัน)
       เสวี๋ยฉี  : ไปนอนตากน้ำค้างบ่อยๆจะเป็นหวัดเอาได้!
          อันฉี  : เอ่อ...นั่นสินะ! พี่รองกินเกี๊ยวสิ หลี่เฉียงยกมาให้กำลังร้อนๆเลย เอ่อ...เราจะอยู่ที่นี่ต่อกันอีกสักพัก รอให้ที่นี่สงบเราค่อยกลับบ้านกันนะ (ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะกลัวโดนเสวี๋ยฉีหยิกขาอีก)
     หยงเป่า  : (หยงเป่าหัวเราะเบาๆ) อื้ม! หลังกินข้าวเสร็จข้าจะออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบสักหน่อย
          อันฉี  : ไปกับเจินเจินสิ เจินเจินรู้จักพื้นที่แถวนี้พอสมควร แต่ต้องรอเจินเจินตื่นนอนก่อน
     หยงเป่า  : อื้ม ดีเหมือนกันชวนเจ้าสามออกไปด้วยกันดีกว่า
          อันฉี  : งั้นข้าจะไปช่วยงานหมอจงที่เรือนหมอนะ
      เสวี๋ยฉี  : อื้ม

          ช่วงสายๆฉันจึงไปที่เรือนหมอเพื่อช่วยงานหมอจงจัดยาสมุนไพร เมื่อมาถึงก็พบท่านอ๋องมานั่งรออยู่ที่โถงเรือนหมอ โดยมีองครักษ์จิ้นฝานติดตามมารอยืนรออยู่ใกล้ๆ

         อันฉี  : ท่านอ๋อง ท่านป่วยรึ? หรือว่ามารอพบหมอจง? รู้สึกหมอจงจะยังไม่มา แต่เดี๋ยวก็คงจะมาแล้วล่ะ หรือท่านอ๋องจะให้หม่อมฉันตรวจดูอาการท่านก่อนดี
    ท่านอ๋อง  : ข้ามารอประคบยา และเปลี่ยนผ้าพันข้อมือ
          อันฉี  :  งั้นรึ! แต่ซือซือก็ยังไม่มา งั้นหม่อมฉันจะรักษาแบบหายทันทีให้ท่านก็แล้วกัน
    ท่านอ๋อง  : ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบร้อน ค่อยๆรักษาไป 2-3 วันข้ารอได้ เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าห่วงข้าเลย
          อันฉี  : ตอนนี้หม่อมฉันว่าง เดี๋ยวหม่อมฉันทำให้ (ฉันเดินเข้าไปจับมือท่านอ๋องเพื่อจะแกะผ้าพันที่ข้อมือออก)
    ท่านอ๋อง  : (ท่านอ๋องมองหน้าฉันนิ่งๆ แล้วจับมือฉันไว้ไม่ให้แกะผ้าพันข้อมือออก)
          อันฉี  : อ๋อ! ข้าเข้าใจแล้วท่านอ๋องไม่รีบร้อนรักษา เพราะช้าๆได้พร้าเล่มงามนี่เอง งั้นข้าไปจัดยาสมุนไพรให้หมอจงก็ได้

          ครู่เดียวหมอจงก็เดินเข้ามาในเรือนหมอ พบท่านอ๋องที่นั่งอยู่ จึงรีบเดินเข้ามาถามท่านอ๋องถึงอาการบาดเจ็บที่ข้อมือ หมอจงอาสาจะประคบยาและจะเปลี่ยนผ้าพันข้อมือให้ ฉันจึงรีบเดินเข้าไปคล้องแขนหมอจงแล้วพาหมอจงเดินออกมานั่งที่โต๊ะ รินน้ำชาให้หมอจงดื่ม แล้วบอกหมอจงว่าซือซือเป็นเจ้าของไข้ท่านอ๋อง หน้าที่นั้นซือซือจะต้องเป็นคนทำเองจนกว่าท่านอ๋องจะหาย แล้วฉันก็ขยิบตาให้หมอจงส่งสัญญาณเป็นนัยว่าท่านอ๋องมีใจให้ซือซือ แล้วกระซิบกระซาบกับหมอจงว่า

          อันฉี  : อาจารย์ บางครั้งคนไข้ก็ไม่ต้องการให้หมอเทวดากับหมอเทวะรักษา อยากจะป่วยนานๆเพราะอยากให้มีคนคอยดูแล
      หมอจง  : ข้าเข้าใจแล้ว
          อันฉี  : ข้าจะช่วยอาจารย์จัดยาแทนซือซือเอง
      หมอจง  : ตกลงเจ้าเป็นหมอ หรือเป็นแม่สื่อกันแน่
          อันฉี  : ข้าเป็นหมอสิ (ฉันยิ้ม)

          ซือซือเดินเข้ามาในเรือนหมอ ฉันจึงรีบบอกซือซือว่าท่านอ๋องมารอประคบยาและเปลี่ยนผ้าพันข้อมือ อีกทั้งท่านอ๋องมีอาการอ่อนเพลียนิดหน่อย จึงขอร้องให้ซือซือต้มยาบำรุงให้ท่านอ๋องดื่ม ส่วนท่านอ๋องเองก็รับมุกพยักหน้าว่าต้องการดื่มยายำรุง ซือซือจึงรีบไปต้มยาบำรุงและกลับมาประคบยาที่ข้อมือให้ท่านอ๋อง หมอจงมองหน้าฉันแล้วกระซิบถามฉันว่า...

      หมอจง  : แล้วพระชายาล่ะ นางจะยินยอมเรื่องนี้รึ?
          อันฉี  : ข้าไม่รู้! นั่นเป็นเรื่องของอนาคต
      หมอจง  : จริงรึ ที่เจ้าไม่รู้
          อันฉี  : อื้ม…

          ฉันมองหน้าหมอจงแล้วไม่ตอบ แต่รู้สึกแค่ว่าต่อจากนี้ไปท่านอ๋องจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานใจอีกแล้ว
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 45
(สามแคว้นเข้าร่วมพันธมิตร)

          หลังจากจัดยาเสร็จ ฉันกับหมอจงออกไปตรวจรักษาทหารและชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สู้รบเมื่อวาน ฉันถามหมอจงเหตุใดแคว้นซูเซียวจึงมารุกรานจินชางและหนิงอัน

          หมอจงเล่าว่าเดิมทีแคว้นจินชางกับแคว้นซูเซียวมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน แต่ภายหลังเริ่มเกิดความบาดหมางเรื่องเขตแดนทางตะวันตกเพราะดินแดนทางตะวันตกของแคว้นจินชางมีแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะเหมืองทอง แคว้นซูเซียวต้องการขยายดินแดนจึงส่งทูตมาพูดคุยขอแบ่งดินแดนส่วนหนึ่งทางตะวันตก แต่ทางแคว้นจินชางไม่ยินยอม แคว้นซูเซียวจึงตัดขาดการค้ากับแคว้นจินชางเพื่อบีบบังคับให้แคว้นจินชางยกดินแดนทางตะวันตกให้ แต่ฮ่องเต้ของแคว้นจินชางได้ส่งราชทูตไปติดต่อค้าขายกับแคว้นอื่นแทน สร้างความไม่พอใจให้แคว้นซูเซียว จึงสมคบคิดกับโจรป่าและราชครูเฉิงที่คิดกบฏล้มล้างราชบัลลังก์ แคว้นซูเซียวพอรู้ว่าองค์รัชทายาทตรวจราชการอยู่ที่เมืองหนิงอันจึงส่งกองกำลังมาโจมตี โชคดีที่ได้เจ้าและพี่ชายของเจ้ามาช่วยไว้พวกเราและชาวเมืองหนิงอันจึงมีชีวิตรอด ข้าขอขอบคุณพวกเจ้าจากใจจริง

          ช่วงบ่ายองค์รัชทายาทขอเชิญเราทุกคนรวมทั้งประชาชนเมืองหนิงอันเข้าร่วมประชุมที่ลานกลางเมืองหนิงอัน แจ้งข่าวว่าขณะนี้ที่แคว้นจินชางเมืองหลวงรบชนะศึกกับแคว้นซูเซียว และแคว้นชินชางได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับแคว้นซูเซียวเป็นการถาวรแล้ว อีกทั้งกลุ่มผู้ก่อการกบฏได้ถูกจับกุมแล้วทั้งหมด แต่แคว้นจินชางได้มีพันธมิตรใหม่เพิ่มขึ้นอีกสองแคว้นคือแคว้นหลวนเซียน ราชทูตโดยท่านอ๋องเมิ่งเหวินหลง และแคว้นฮุ่ยจู ราชทูตโดยองค์ชายฮุ่ยชงหยวน โดยจะให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกันและกันทั้งการสนับสนุนด้านการทหารและการค้าดุจเพื่อนและพี่น้อง อีกทั้งยังแต่งตั้งให้ฉันและพี่ชายทั้งสี่เป็นพระสหายแห่งองค์รัชทายาทจินหย่งเจิ้งสามารถเข้า-ออกแคว้นจินชางได้โดยมิต้องใช้ใบขอผ่านทางอีกด้วย ชาวเมืองเมื่อได้ยินประกาศดังนั้นต่างไชโยโห่ร้องด้วยความดีใจ และจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองอีกครั้งในคืนนี้

       เสวี๋ยฉี  : เชอะ! ข้าเคยบอกตอนไหนว่าอยากเป็นสหายกับองค์รัชทายาทนั่น!
          อันฉี  : เอาน่า! แต่องค์รัชทายาทอยากเป็นเพื่อนกับพวกพี่ๆ รับเขาไว้เป็นเพื่อนด้วยเถอะนะ ได้รับอนุญาตให้เข้าออกเมืองได้ง่ายๆ แสดงว่าเขาไว้ใจเรา คราวหน้าเราไปเที่ยวในเมืองหลวงจินชางกันอีกนะ
     ซิ่นหลิง  : องค์รัชทายาทนั่นกลัวพวกข้าไปถล่มวังของเขามากกว่าถึงได้แต่งตั้งให้เป็นพระสหายแห่งองค์รัชทายาท
          อันฉี  : ชู่ววว! หลิงหลิง พูดเบาๆสิ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินก็ตกใจกลัวกันหรอก (ฉันรีบเอามือปิดปากซิ่นหลิง)

         ซิ่นหลิงแกล้งหยอกทำเป็นกัดที่มือฉัน ฉันจึงจับมือซิ่นหลิงมาวางบนตักนั่งจับมือกันแล้วฟังการประชุมต่อ หลังเสร็จการประชุมเหวินหลางเดินเข้ามาบอกเฟยเจินว่าเขาจะกลับไปที่เมืองหลวงจินชางในวันพรุ่งนี้เพราะเป็นห่วงเหม่ยอิง เราจึงอวยพรให้เขาโชคดี หลังเสร็จการประชุมจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีม้าเร็วจากเมืองหลวนเซียนวิ่งมาส่งข่าวถึงท่านอ๋อง แจ้งว่าพระชายาเหม่ยหลันผูกคอตายในคุกก่อนได้รับการตัดสินโทษ ทำให้ท่านอ๋องรู้สึกสะเทือนใจและเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องพักไม่ออกมาร่วมงานเลี้ยงในตอนกลางคืน องค์หญิงซือซือจึงเข้ามาถามฉันเกี่ยวกับท่านอ๋องด้วยความเป็นห่วงและเห็นใจ ฉันจึงเล่าให้องค์หญิงฟังเกี่ยวกับท่านอ๋องและพระชายา องค์หญิงจึงขอร้องฉันให้ช่วยสอนการปรุงยาบำรุงตำรับดีๆเพื่อปรุงยาให้ท่านอ๋องดื่มขณะพักอยู่ที่นี่เพราะองค์หญิงกลัวท่านอ๋องจะคิดมากจนล้มป่วย

          รุ่งเช้าหลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว พี่ชายทั้งสี่กำลังนั่งดื่มน้ำชาที่หลี่เฉียงกำลังรินน้ำชาให้ ฉันเดินเข้าไปกอดคอหยงเป่าแล้วบอกเขาว่า วันนี้ฉันจะไปเรียนฝังเข็มกับหมอจง ต้องการให้หยงเป่าไปเป็นหุ่นให้ฉันฝังเข็ม หยงเป่าลูบศรีษะฉันแล้วจับแขนฉันให้คลายกอดเขาออกอย่างเย็นชา แล้วพูดกับฉันว่าเขาไม่ว่างเพราะต้องการอยู่เช็ดทำความสะอาดอาวุธ จากนั้นหยงเป่าก็ลุกไปนั่งเช็ดทำความสะอาดอาวุธทันทีโดยไม่สนใจฉันอีก ฉันจึงเดินไปจับมือซิ่นหลิงและชักชวนเขาให้ไปเป็นเพื่อนฉันเรียนฝังเข็ม ซิ่นหลิงตอบปฏิเสธเช่นกันและบอกว่าไม่ว่างเขาจะช่วยหยงเป่าเช็ดทำความสะอาดอาวุธ ฉันจึงหันไปกอดคอเฟยเจินแต่เฟยเจินรีบพูดขึ้นก่อนว่าเขาเองก็ไม่ว่างเพราะต้องเช็ดทำความสะอาดขนให้นกเหยี่ยวนีโอ ฉันจึงหันไปมองหน้าเสวี๋ยฉีที่กำลังยกชาขึ้นดื่ม เสวี๋ยฉีพูดโดยไม่มองหน้าฉันว่าเขาก็ไม่ว่างเพราะต้องคอยคุมพี่ชายทั้งสามเช็ดทำความสะอาดอาวุธและนกเหยี่ยว ทำให้ฉันรู้ว่าพี่ชายทั้งสี่กำลังหลีกเลี่ยงไม่ไปเป็นหุ่นฝังเข็มให้จึงร้องโวยวายขึ้นว่า

          อันฉี  : พวกท่านจงใจไม่ว่างกันใช่มั้ย?! พวกท่านจงใจไม่สนับสนุนการเรียนของข้า ต้องมีคนใดคนหนึ่งไปกับข้าเดี๋ยวนี้!
     ซิ่นหลิง  : หลี่เฉียง! เจ้าไปเป็นหุ่นฝังเข็มให้น้องห้า
    หลี่เฉียง  : ให้ข้าไปรึ?!
     ซิ่นหลิง  : ใช่! ข้าอนุญาตให้เจ้าติดตามน้องห้าไปเรียนฝังเข็ม
      เสวี๋ยฉี  : อืม! เจ้าไป
    หลี่เฉียง  : ข้ายินดีไปเป็นหุ่นฝังเข็มให้ท่านอันฉีขอรับ
     หยงเป่า  : หลี่เฉียง ต่อไปเจ้าต้องเป็นหุ่นทดลองยาให้น้องห้า ข้ายกหน้าที่นี้ให้เป็นของเจ้า
    หลี่เฉียง  : การได้ติดตามรับใช้ท่านอันฉี ข้ายินดีมากขอรับ (หลี่เฉียงแสดงอาการดีใจที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่ชายให้เขาติดตามฉันไปเรียน)
     เฟยเจิน  : ดี! เฮ่อ.... (เฟยเจินถอนหายใจโล่งอก)
          อันฉี  : ดี! หลี่เฉียงไปกับข้า ข้าจะฝังเข็มทะลวงจุดปรานเพิ่มกำลังให้เจ้า
    หลี่เฉียง  : ขอบคุณท่านอันฉี
    หยงเป่า  : หลี่เฉียง ขอให้เจ้าโชคดี!

          ฉันกับหลี่เฉียงมาถึงเรือนหมอนั่งเรียนฝังเข็มทั้งวันกับหมอจง ส่วนหลี่เฉียงเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตกเย็นหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว หลี่เฉียงรีบขอตัวเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยสบาย เฟยเจินจึงพูดกับฉันว่า

     เฟยเจิน  : น้องห้า เจ้าฝังเข็มให้หลี่เฉียงทะลวงผิดจุดรึเปล่า เจ้าทำให้เขาไม่สบาย โชคดีที่หลี่เฉียงเป็นปีศาจงูเห่าดำไม่งั้นเขาคงตายคาเข็มเจ้าไปแล้วแน่ๆ
          อันฉี  : แหม...ข้าเพิ่งเรียนฝังเข็มวันนี้วันแรก แทงเข็มผิดๆถูกๆไปนิดหน่อยเอง....
     หยงเป่า  : พรุ่งนี้ให้หลี่เฉียงหยุดพักหนึ่งวันเถอะ
          อันฉี  : งั้นพรุ่งนี้พี่รองไปฝังเข็มกับข้านะ
     หยงเป่า  : ข้าไม่ไป!!! รอหลี่เฉียงหายดีให้เขาไปกับเจ้า!

          เราพักอยู่ที่เมืองหนิงอันอยู่หลายวันจนเหตุการณ์ปกติ ท่านอ๋องและพี่ชายทั้งสี่จึงตกลงกันว่าจะกลับแคว้นหลวนเซียนวันพรุ่งนี้ตอนเช้า ฉันจึงขออนุญาตพี่ชายทั้งสี่คนไปหาหมอจงเพื่อใช้เวลาอยู่กับหมอจงก่อนกลับแคว้นหลวนเซียน หมอจงชักชวนฉันออกไปเดินเล่นนอกเมืองแต่ไม่ไกลมากนัก ฉันจึงเอ่ยชักชวนหมอจงให้ไปอยู่ด้วยกันที่แคว้นหลวนเซียน

          อันฉี  : อาจารย์ เหตุการณ์ที่นี่สงบแล้วท่านย้ายไปอยู่ที่แคว้นหลวนเซียนกับข้าเถอะ ย้ายไปอยู่ใกล้ๆกันข้าจะได้ไปเยี่ยมเยียนท่านได้บ่อยๆ หรือท่านจะไปอยู่ที่ป่าอัคคีกับข้าก็ได้หากท่านชอบความเงียบสงบ
      หมอจง  : ข้าก็อยากไปอยู่ใกล้ๆกับเจ้า แต่ข้าเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำที่นี่เหมือนกัน ข้าต้องช่วยองค์รัชทายาททำงาน
          อันฉี  : ตกลงท่านเป็นสายลับปลอมตัวมาเป็นหมอจริงๆใช่มั้ย?
      หมอจง  : ข้าเป็นหมอ แต่บางครั้งข้าก็ทำงานลับๆให้องค์รัชทายาท เป็นงานเพื่อแคว้นจินชางไม่ใช่งานผิดกฏหมายหรอก อีกอย่างข้าจะไม่วิ่งหนีอะไรอีกแล้ว
          อันฉี  : ท่านหมายถึงเรื่องคุณหนูเฉิงเหม่ยอิงใช่มั้ย?
      หมอจง  : ใช่ ข้าพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงในวัยเด็กที่ข้าวิ่งหนีมาตลอด หากข้าได้พบกับเหม่ยอิงอีกครั้ง ข้าจะบอกกับนางว่าข้าคือพี่หยูคนที่นางรู้จักในวัยเด็กและข้าก็จำนางได้ เพียงแต่ตอนนี้ข้าได้ลืมความรู้สึกในวัยเด็กไปหมดแล้ว ข้ามีแต่ปัจจุบันและอนาคต ข้ามีเพื่อนที่ดี มีลูกศิษย์ที่ดีอย่างฉิงคุน และเจ้าทำให้ชีวิตข้ามีสีสัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เจ้าอยู่กับข้า แต่ก็ทำให้ข้ามีความสุขและข้าก็ภูมิใจที่ได้เป็นอาจารย์ของเจ้า แม้เราจะอยู่ต่างแคว้นหรืออยู่ห่างไกลกัน แต่เจ้าก็ยังคงเป็นลูกศิษย์ของข้าเสมอ
          อันฉี  : อาจารย์.... (ฉันโผเข้ากอดหมอจงด้วยความซาบซึ้งใจ) หากท่านต้องการเรียกใช้ข้าท่านส่งจดหมายถึงข้าได้เลย ข้าจะรีบมาหาท่าน
      หมอจง  : อื้ม เจ้าเองก็เหมือนกันหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือให้รีบบอกข้า ข้าจะรีบไปหาเจ้า และหากเจ้ามีเวลาก็มาหาข้าบ้างนะ บ้านข้ายินดีต้อนรับเจ้าเสมอ
          อันฉี  : ข้าจะคิดถึงอาจารย์....

          ฉันกับหมอจงยืนกอดกันแน่นอยู่สักพักเราจึงเดินกลับเข้าในเมืองและใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันที่เรือนหมอ เวลาเย็นฉันจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่อกินอาหารเย็นกับพี่ชายทั้งสี่ ในตอนเช้าทุกคนออกมายืนส่งเราที่หน้าประตูเมืองหนิงอัน และอวยพรให้เราเดินทางกลับแคว้นหลวนเซียนด้วยความปลอดภัย
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 46
(ตามหาผีเสื้ออัญมณีที่หุบเขาเคียงนภา)

          ฉันกับพี่ชายทั้งสี่คนและหลี่เฉียงกลับถึงป่าอัคคีเกือบค่ำ ฟางหรูกับเหวินอี้รีบออกมาต้อนรับ ฉันบอกเสวี๋ยฉีเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันต้องการปรุงยาพิษจากผีเสื้ออัญมณี และต้องการให้เสวี๋ยฉีพาไปจับผีเสื้ออัญมณี เสวี๋ยฉีบอกว่าผีเสื้ออัญมณีอยู่บนเทือกเขาหิมะเคียงนภา ที่นั่นมีอากาศหนาวเย็นมีหิมะตกและมีพายุหิมะตลอดทั้งปี เขาจะไปจับผีเสื้อคนเดียวให้ฉันรออยู่ที่บ้าน แต่ฉันอยากไปเห็นเทือกเขาหิมะเคียงนภา จึงงอแงจะตามไปด้วย

          อันฉี  : พี่ใหญ่ให้ข้าไปด้วยนะ ข้าอยากไปด้วย!
       เสวี๋ยฉี  : ที่นั่นมีอากาศหนาวมาก และมีพายุหิมะมันอันตรายเจ้าอย่าไปเลย
     หยงเป่า  : ข้าเคยได้ยินมาว่าที่นั่นมีบ่อน้ำพุร้อน พี่ใหญ่น่าจะพาน้องห้าไปด้วย พาไปแช่น้ำพุร้อนสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน แต่ข้าไม่ไปด้วยหรอกนะอากาศที่นั่นหนาวเกินไปข้าไม่ชอบ
      เสวี๋ยฉี  : ข้าไปคนเดียวดีกว่า จะรีบไปรีบกลับ
     ซิ่นหลิง  : แต่เอ๊...ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบนเทือกเขา หิมะเคียงนภา มีปีศาจงูหิมะสาวสวยอาศัยอยู่ที่นั่น ข่าวลือกันว่าพี่ใหญ่กับปีศาจสาวงูหิมะเคยคบหากันมาก่อนมิใช่รึ ท่านคงคิดจะแวะไปหานางด้วยล่ะสิ
       เสวี๋ยฉี  : เจ้า! พูดแบบนี้อันฉีเข้าใจข้าผิดกันพอดี
          อันฉี  : อ๋อ! แบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะท่านถึงไม่ยอมให้ข้าไปด้วย จะแอบไปหากิ๊กเก่านี่เอง เชอะ! ข้าไม่ไปด้วยก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปเที่ยวในเมือง จะไปเยี่ยมฮ่องเต้สักห้าวัน เชอะ! (ฉันลุกขึ้นสะบัดหน้าสะบัดกระโปรงงอนฟึดฟัดเดินเข้าไปในบ้าน)
     เฟยเจิน  : พี่ใหญ่! น้องห้าโกรธงอนเข้าบ้านไปแล้ว ท่านรีบไปง้อเลย ดูท่าน้องห้าจะโกรธท่านจริงๆ ข้าไม่อยากนอนนอกบ้านกับท่านไปด้วยหรอกนะ
       เสวี๋ยฉี  : เพราะเจ้านั่นแหละเจ้าสาม พูดมากจนเป็นเรื่องจนได้
     ซิ่นหลิง  : นี่พี่ใหญ่อย่าห่วง พรุ่งนี้พวกข้าจะไปเที่ยวกับน้องห้าเผื่อท่านด้วย ท่านไปจับผีเสื้อให้สบายใจเถอะ (ซิ่นหลิงหัวเราะที่แกล้งเสวี๋ยฉีได้)
       เสวี๋ยฉี  : ฮึ่ม! เดี๋ยวข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า! (เสวี๋ยฉีรีบลุกเดินตามฉันเข้าบ้าน)
     เฟยเจิน  : พรุ่งนี้ข้าจะไปจับผีเสื้อกับพี่ใหญ่
     หยงเป่า  : เจ้าอยู่บ้านกับข้าที่นี่แหละปล่อยให้เขาไปกันสองคน
      ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่น่ะเคยสร้างความแค้นไว้กับปีศาจงูหิมะ ถึงคราวต้องกลับไปสะสางเสียทีแต่ต้องให้น้องห้าไปด้วยปัญหาจึงจะจบ มิเช่นนั้นปัญหาจะมาหาเองถึงที่บ้านและอาจจะบานปลายจนพวกเราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องจนกลายเป็นว่าเรารุมรังแกผู้หญิงน่ะสิ
     เฟยเจิน  : ข้าฟังแล้วไม่เห็นจะเข้าใจเลย
     ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่เคยคบหากับปีศาจงูหิมะ เคยกินนอนอยู่บนเทือกเขาหิมะเคียงนภา แล้วจู่ๆพี่ใหญ่ก็ทิ้งปีศาจงูหิมะมาอยู่ที่ป่าอัคคีแล้วไม่เคยกลับไปหานางอีกเลย พรุ่งนี้พี่ใหญ่ต้องไปจับผีเสื้ออัญมณีที่เทือกเขานั้น ยังไงก็ต้องเจอกับนางอีกครั้งมิอาจหลบเลี่ยงได้ หากพี่ใหญ่ไม่ยอมกลับไปอยู่กับนางบนเทือกเขาหิมะเคียงนภา ซึ่งแน่นอนว่าพี่ใหญ่ไม่กลับไปอยู่กับนางแน่ๆอยู่แล้ว ปีศาจงูหิมะก็จะตามมาราวีที่นี่และเจอกับน้องห้า ปีศาจงูหิมะก็จะโกรธหึงหวงและเข้าทำร้ายน้องห้าแน่ๆซึ่งพวกเราก็ไม่อาจยืนเฉยปล่อยให้น้องห้าถูกทำร้ายแน่นอน จะกลายเป็นว่าเรารุมรังแกผู้หญิง เข้าใจหรือยังเจ้าโง่!
     เฟยเจิน  : ข้าเข้าใจแล้ว แต่ถ้ามีใครมาทำร้ายห้องห้า ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงข้าก็ไม่สน ข้าจะซัดให้กระเด็นไปให้ไกลถึงยอดเขาเลยคอยดู!
     หยงเป่า  : ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ปีศาจงูหิมะ แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่น้องห้า หากน้องห้ายังไม่หายโกรธแล้วเราจะเข้าบ้านนอนกันยังไงล่ะเนี่ย?!
     เฟยเจิน  : นั่นสิ! นี่ขนาดยังไม่ได้ไปที่เทือกเขาหิมะเคียงนภา เรายังโดนลูกหลงต้องนอนนอกบ้านไปด้วยเลย....
       
          เสวี๋ยฉีเดินตามฉันเข้ามาในบ้าน แต่ฉันล็อคประตูบ้านไว้ เขาจึงใช้พลังเวทย์เปิดประตูแล้วเดินมายืนมองฉันที่แกล้งนอนหลับแผ่หรานอนกางแขนกางขาอยู่บนเตียงโดยไม่เผื่อที่ว่างให้เขานอนด้วย เสวี๋ยฉีรู้ว่าฉันแกล้งหลับ เขาจึงแกล้งขึ้นมานอนทับบนตัวฉัน ฉันดิ้นและร้องโวยวายขึ้นว่า

          อันฉี  : มานอนบนตัวข้าทำไม ออกไปเลย!
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าคิดจะให้ข้านอนนอกบ้านงั้นรึ?!
          อันฉี  : ท่านนอนนอกบ้านน่ะสมควรแล้ว คืนนี้ข้าอยากนอนคนเดียว
       เสวี๋ยฉี  : แต่นี่บ้านของข้า เจ้ากำลังไล่เจ้าของบ้านให้ไปนอนนอกบ้านงั้นรึ?!
          อันฉี  : หึ! ได้ งั้นข้าจะไปนอนนอกบ้าน
       เสวี๋ยฉี  : นี่! เราคุยกันดีๆดีกว่าน่า ที่ข้าไม่ให้เจ้าไปเทือกเขาหิมะเคียงนภาเพราะที่นั่นมีอากาศหนาวมากจริงๆ เดินบนหิมะก็ลำบาก อีกทั้งยังอันตราย
          อันฉี  : ข้ออ้างของท่านจะไปหาคนรัก กลัวข้าจะไปเป็นก้างขวางคอท่านน่ะสิ! ท่านก็ไปสิ! ข้าไม่ตามท่านไปแล้ว เชอะ! อย่ากวนข้า ข้าจะนอน! 
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าสามพูดกลั่นแกล้งให้เจ้าโกรธเคืองข้า เฮ่อ! ข้าบอกเจ้าก็ได้ ข้าเคยคบหากับปีศาจงูหิมะมาก่อนแต่นั่นมันผ่านมานานแล้วเมื่อครั้งที่ข้ามาที่โลกมนุษย์ใหม่ๆ ข้าไปท่องเที่ยวที่เทือกเขาหิมะเคียงนภา ได้พบเจอกับปีศาจงูหิมะที่นั่น นางชื่อ ลู่เสียน นางเป็นปีศาจสาวสวยยั่วยวนที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา เวลานั้นข้าชอบนางและคบหากับนางจนเป็นที่อิจฉาในหมู่ปีศาจทั้งหลายในดินแดนนี้ จนวันหนึ่งข้าได้รู้ตัวเองว่านางมิใช่หญิงที่ข้ารอคอย ความสวยยั่วยวนมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจึงจากนางมาอาศัยอยู่ที่ป่าอัคคีและไม่เคยกลับไปหานางอีกเลย ลู่เสียนโกรธแค้นข้ามากและหากนางพบเจอกับเจ้านางจะหึงหวงและพยายามเข้ามาทำร้ายเจ้าแน่ๆ
          อันฉี  : เชอะ!
       เสวี๋ยฉี  : ก็ได้ๆ พรุ่งนี้เราไปจับผีเสื้ออัญมณีด้วยกัน ข้าจะพาเจ้าไปแช่บ่อน้ำพุร้อน แต่เจ้าห้ามอยู่ห่างจากข้า
          อันฉี  : อื้ม! แล้วถ้าปีศาจงูหิมะเจอข้าแล้วเข้ามาทำร้ายข้าท่านจะทำยังไง
       เสวี๋ยฉี  : ข้าจะไม่ยอมให้ปีศาจงูหิมะหรือใครก็ตามมาทำร้ายเจ้า ข้าจะฆ่ามันทิ้ง เจ้าอย่างอนข้า อย่าไล่ข้าไปนอนนอกบ้านเลย

          เสวี๋ยฉีจูบฉันสอดใส่ลิ้นเข้าในปากฉันจนลึกแล้วกวัดแกว่งลิ้นในปากฉันจนทั่ว สองมือบีบขยำหน้าอกฉันสนุกมือ เขาเริ่มปลดเชือกที่เสื้อให้คลายและถอดเสื้อฉันออก ทุกครั้งที่เสวี๋ยฉีจูบฉันไม่สามารถขัดขืนเขาได้เลยแม้กระทั่งขณะกำลังโกรธ มิหนำซ้ำฉันกลับรู้สึกเคลิบเคลิ้มและมีความต้องการในตัวเขาทุกครั้งที่ถูกสัมผัส เสวี๋ยฉีเริ่มถอดกางเกงฉันออกและเริ่มถอดเสื้อผ้าเขาออกด้วยเช่นกัน เนื้อตัวอุ่นๆที่เขาสัมผัสทำให้ฉันใจอ่อนและหายโกรธและในคืนนี้เราเริ่มบรรเลงบทรักกันอีกครั้ง

          ฉันตื่นนอนตอนเช้าในอ้อมกอดของเสวี๋ยฉีเหมือนเคย เห็นพี่ชายอีกสามคนที่นอนอยู่ในบ้านยังไม่ตื่นนอน ฉันขยับตัวกอดเสวี๋ยฉีแล้วหอมแก้มเขาเบาๆ ก่อนที่จะเดินออกไปล้างหน้าแล้วเดินออกไปดูเหวินอี้ที่กำลังรดน้ำพรวนดินแปลงสมุนไพร ฉันจึงช่วยเขาถอนหญ้าวัชพืชที่กำลังขึ้นเป็นต้นอ่อนๆ แล้วนึกถึงเรื่องของเสวี๋ยฉีที่เคยคบหากับปีศาจงูหิมะ ถ้าหากเขาสองคนได้พบกันอีกครั้ง แล้วถ้าถ่านไฟเก่ามันคุขึ้นมาอีกครั้งล่ะ? แล้วถ้าหากเขาสองคนกลับไปคบหากันอีกครั้งล่ะ? ฉันจะทำยังไงๆๆ?! คิดจนรู้สึกหงุดหงิดลุกขึ้นยืนแล้วใช้เท้ากระทืบต้นหญ้าด้วยความโมโห จนเหวินอี้รีบร้องทัก!

       เหวินอี้  : นี่ท่านอันฉี! แค่ใช้มือดึงต้นหญ้าออกเบาๆก็ใช้ได้แล้ว ท่านไปนั่งรอที่ชานบ้านเถอะตรงนี้เดี๋ยวข้าทำเอง! ท่านใช้เท้ากระทืบต้นหญ้าขนาดนั้นเดี๋ยวเกิดพลาดถูกต้นสมุนไพรตายกันพอดีเสียดายของ ขอเชิญท่านไปนั่งดื่มน้ำชาให้สบายใจเถอะ ข้าขอร้อง!
          อันฉี  : เอ่อ...ข้าขอโทษ

          ฉันเดินกลับไปนั่งดื่มน้ำชาที่ฟางหรูวางเตรียมไว้ให้ก็พบหยงเป่าที่ตื่นนอนแล้วกำลังเดินออกมานั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน ฉันบอกหยงเป่าว่าฉันเปลี่ยนใจไม่ให้เสวี๋ยฉีไปจับผีเสื้ออัญมณีแล้ว ฉันไม่ต้องการผีเสื้อแล้ว แต่จะเปลี่ยนใช้พิษชนิดอื่นปรุงยาแทน หยงเป่าที่ดูเหมือนจะรู้ความคิดของฉันจึงถามฉันว่า

     หยงเป่า  : เจ้ากลัวว่าพี่ใหญ่จะกลับไปคบหากับปีศาจสาวงูหิมะใช่มั้ย?
          อันฉี  : อื้ม... ข้ายังไม่อยากมีพี่สะไภ้
     หยงเป่า  : อย่าห่วงเลย พี่ใหญ่ถ้าคิดจะกลับไปคบหากับปีศาจงูหิมะอีกครั้งคงกลับไปนานแล้ว เขาคงไม่ย้ายมาใช้ชีวิตโดยลำพังที่ป่าไผ่เขียวนานนับพันปีหรอก และถึงแม้พี่ใหญ่กับเจ้าจะไม่ไปที่เทือกเขาหิมะเคียงนภา ปีศาจงูหิมะนั่นก็จะมาหาเขาที่นี่อยู่ดี ปีศาจงูหิมะมีความอาฆาตรุนแรงเพราะถูกพี่ใหญ่สลัดรักในครั้งนั้นอีกทั้งตอนนี้นางก็มีพลังเวทย์สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก พวกข้าสามารถรับมือนางได้ แต่เหวินอี้กับฟางหรูนี่สิจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วยหากปีศาจงูหิมะคิดลอบทำร้ายพวกเขาขณะออกไปหาพืชผักและปลาด้านนอกป่าไผ่เขียว แมงมุมยักษ์ก็ไม่อาจรับมือนางไหว เจ้าไปกับพี่ใหญ่เถอะเมื่อปีศาจงูหิมะเห็นเจ้าบางทีนางอาจจะทำใจได้และยอมตัดใจจากพี่ใหญ่
          อันฉี  : นั่นสิ! แล้วทำไมท่านถึงรู้เรื่องนี้ล่ะ
     หยงเป่า  : เพราะเมื่อก่อนเรื่องของพญางูหยกหิมะขาวคบหากับสุดยอดสาวงามแห่งเทือกเขาหิมะเคียงนภาเป็นเรื่องที่กล่าวถึงกันไปทั่วในหมู่ปีศาจดินแดนนี้น่ะสิ
          อันฉี  : แสดงว่านางต้องงดงามมากๆเลยใช่มั้ย
     หยงเป่า  : ใช่! แต่ถึงจะงดงามมากเพียงใด ก็สู้เด็กเหลือขออย่างเจ้าไม่ได้หรอก
          อันฉี  : หืม! นี่ชมหรือด่าข้ากันแน่....
     หยงเป่า  : ฮะฮะฮ่า บางครั้งผู้ชายก็ไม่ได้ต้องการความสวยงามเพรียบพร้อมอะไรมากนัก เราต้องการความสบายใจและเสียงหัวเราะมากกว่า
          อันฉี  : ท่านอยู่กับข้าท่านรู้สึกสบายใจหรือเปล่า ข้าทำให้ท่านหัวเราะใช่หรือเปล่า
     หยงเป่า  : อื้ม! แต่บางครั้งเจ้ามันก็ดื้อมักหาแต่เรื่องให้พวกข้าปวดหัว จนบางครั้งข้าอยากจะตีเจ้าให้ขาหัก
          อันฉี  : พี่รอง อย่าตีข้านะ ตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันมาท่านไม่เคยตีข้าเลยสักครั้ง พี่ใหญ่ดุด่าและตีข้าจนกลายเป็นเรื่องปกติ ข้าก็แค่เจ็บปวดกายเพราะถูกตี แต่หากพี่รองตีข้า หัวใจของข้าจะรู้สึกเจ็บปวดและต้องเสียใจมาก (ฉันโผกอดหยงเป่าเพื่อออดอ้อนออเซาะ)
     หยงเป่า  : เจ้านี่ช่างประจบ ข้าเองก็ไม่อยากตีเจ้าหรอก แต่นับวันเจ้ายิ่งหาเรื่องเสี่ยงอันตรายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆจนข้าหวั่นใจ
          อันฉี  : ข้าขอโทษ.... ว่าแต่พี่รองจะมีสาวสวยมาทวงความแค้นที่บ้านด้วยอีกคนหรือเปล่า ข้าจะรับมือไม่ไหวแล้วนะ
     หยงเป่า  : ข้าไม่มีหรอก ชีวิตข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงสักเท่าไหร่นัก แค่มีเจ้าคนเดียวข้าก็ปวดหัวพอแล้ว
          อันฉี  : เดี๋ยวข้าจะปรุงยาแก้ปวดหัวให้ท่านดื่มนะ
     หยงเป่า  : ปรับปรุงตัวเจ้าเองก่อนเถอะ เลิกดื้อเลิกซนข้าจะได้หายปวดหัว (หยงเป่ายกมือขึ้นบีบจมูกฉันที่กวนประสาทเขา)

          ไม่นานนักซิ่นหลิง เฟยเจินและเสวี๋ยฉีต่างทยอยกันตื่นนอนและเดินออกมานั่งดื่มน้ำชาด้วยกันตอนเช้า ช่างเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยและแสนคิดถึงเสียเหลือเกินนานแล้วที่เราไม่ได้นั่งดื่มน้ำชาและชมป่าไผ่ยามเช้าด้วยกันแบบนี้ หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฟางหรูนำเสื้อและผ้าคลุมขนสัตว์ที่ทำเตรียมไว้ให้เราใส่ในช่วงฤดูหนาวนำออกมาให้ฉันและเสวี๋ยฉีสวมใส่ไปเทือกเขาหิมะเคียงนภา อีกทั้งยังเตรียมน้ำ อาหารแห้งและเหล้าไว้ให้เราอีกด้วย

          ซิ่นหลิงเห็นว่าวันนี้ฉันและเสวี๋ยฉีจะไม่อยู่บ้าน ซิ่นหลิงจึงบอกว่าวันนี้เขาจะไปย้ายไหเหล้าที่หมักเก็บไว้ใต้ภูเขาไฟโทสะคลั่งไปไว้ที่ก้นทะเลสามฤดู ส่วนเฟยเจินจะไปกักตนเพื่อให้ได้พลังเวทย์ 1,000 ปี หยงเป่าจึงรับหน้าที่อยู่เฝ้าบ้าน

          เสวี๋ยฉีพาฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวบินมุ่งหน้าไปที่เทือกเขาหิมะเคียงนภา เทือกเขานี้ใหญ่โตสูงเสียดฟ้าทั้งภูเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะจนขาวโพลนทั้งลูก อากาศหนาวเย็นจับใจ ทางข้างหน้าเป็นต้นไม้ทึบหนา เสวี๋ยฉีจึงพาฉันลงเดินบนหิมะ เพราะการทรงตัวบนกระบี่บินตอนมีลมแรงอีกทั้งพายุหิมะทำให้การทรงตัวลำบาก ฉันเดินกอดซุกตัวกับเสวี๋ยฉีตลอดทางเพราะหนาวมากจนแขนขาแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง

       เสวี๋ยฉี  : เจ้ากอดข้าแน่นขนาดนี้แล้วข้าจะเดินยังไง?!
          อันฉี  : ก็มันหนาวอ่ะ! บรื๋อ! หนาวจังเลย ข้าเปลี่ยนใจกลับบ้านตอนนี้ทันมั้ย?!
       เสวี๋ยฉี  : ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าที่นี่อากาศหนาวเย็นมากหนทางเดินลำบาก บอกให้รออยู่ที่บ้านก็ไม่เชื่อเอาแต่แง่งอนข้า ดูสิ! เจ้าหนาวตัวสั่นเป็นลูกนกคราวนี้จะมางอแงร้องกลับบ้าน อดทนเดินอีกหน่อยเดินเข้าไปในป่าข้างหน้าลมพายุก็จะเบาลงแล้ว
          อันฉี  : แต่ข้าเดินไม่ไหว ขาข้ามันจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้วมันก้าวขาไม่ออก ท่านไปคนเดียวเถอะปล่อยข้าไว้ตรงนี้ข้าจะเรียกให้พี่รองมารับข้ากลับบ้าน
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ไปแช่บ่อน้ำพุร้อนแล้วรึ ข้าจะพาเจ้าไป
          อันฉี  : ไม่ไปแล้ว ข้าอยากกลับบ้านไปนอนห่มผ้าห่มที่บ้านมากกว่า
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าเด็กบ้านี่!!! ตอนไม่ให้มาก็ร้องโวยวายจะมาให้ได้ แต่พอมาถึงที่นี่แล้วก็ร้องงอแงจะกลับบ้าน มันน่าตีให้เนื้อเขียวนัก! ลำบากแค่นี้ก็ทนไม่ไหวต่อไปจะไปทำอะไรได้!
          อันฉี  : ตีข้าเลยเซ่! ข้าวิ่งหนีไม่ไหวหรอก แขนขาของข้ามันชาไปหมด จะตีกี่ทีข้าก็ไม่รู้สึกเจ็บ ตีข้าเลย!
       เสวี๋ยฉี  : เลิกงอแงได้แล้ว ขึ้นหลังข้าจะแบกเจ้าไปเอง

          เสวี๋ยฉีให้ฉันขึ้นขี่หลังแล้วพาเดินเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ข้างหน้า ฉันกอดคอเขาแน่นซุกหน้าไว้ที่ซอกคอเขาเพราะหนาวจนตัวสั่น เขาอุ้มฉันเดินไปเรื่อยๆลมที่พัดแรงดั่งพายุเริ่มพัดเบาลงเมื่อเดินเข้ามาในป่าทึบ เสวี๋ยฉีชี้ชวนให้ฉันดูหิมะ ดูต้นไม้ และสัตว์ที่อาศัยอยู่บนเทือกเขา ฉันจึงแกล้งเอามือปิดตาเขาทั้งสองข้างไม่ให้มองเห็นทาง เสวี๋ยฉีหัวเราะที่ถูกแกล้ง จึงวางฉันลงจากขี่หลัง แล้วหยอกเล่นกับฉันด้วยการปาก้อนหิมะใส่ทำให้สนุกสนานจนฉันหยุดงอแง และลืมความเหน็บหนาวลงไปได้บ้าง

          เราเดินกันไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณที่มีต้นหมอกหิมะขึ้นอยู่หลายต้น ใบต้นหมอกหิมะเป็นสีขาวทั้งต้นดูแปลกตาสวยงามยิ่งนัก เสวี๋ยฉีบอกว่าผีเสื้ออัญมณีจะออกมาเวลาเย็น เขาจึงพาฉันไปเดินหาถ้ำสำหรับพักค้างคืนและหากิ่งไม้มาก่อไฟเพิ่มความอบอุ่น เรานั่งกินอาหารแห้งที่เตรียมมาและรอจนถึงเวลาเย็นเสวี๋ยฉีพาฉันกลับไปที่ต้นหมอกหิมะอีกครั้ง ก็พบผีเสื้ออัญมณีจำนวนหนึ่งกำลังบินวนอยู่รอบๆต้นหมอกหิมะ สีสันฉูดฉาดของปีกผีเสื้อดูงดงามดุจภาพวาดบนกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ เสวี๋ยฉีเข้าไปจับผีเสื้อให้ฉันมาตัวหนึ่งแล้วจับผีเสื้อมาเขย่าเบาๆให้ผงกากเพชรสีฟ้าที่อยู่บนตัวผีเสื้อร่วงใส่ในกล่องไม้ที่ฉันเตรียมมา จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดผีเสื้ออัญมณีเริ่มบินออกมาเป็นจำนวนมากขึ้น ประกายกากเพชรสีฟ้าที่โคนปีกและลำตัวส่องแสงวิบวับยามกระพือปีก สวยงามสมชื่อผีเสื้ออัญมณีจริงๆ เสวี๋ยฉีจึงจับผีเสื้อมาอีกหลายตัวเพื่อเขย่าเอาผงกากเพชรสีฟ้าจนได้ปริมาณที่ฉันพอใจเราจึงเดินออกจากบริเวณนั้น

          เขาพาฉันไปที่บ่อน้ำพุร้อน และบอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไป บ่อน้ำพุร้อนอยู่ในบริเวณที่สามารถมองเห็นพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน เขาจึงตั้งชื่อบ่อน้ำพุร้อนบ่อนั้นว่า "บ่อน้ำพุร้อนจันทรา" เคยเป็นสถานที่โปรดของเขาเมื่อครั้งที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ เราเดินออกมาห่างไกลจากจุดที่จับผีเสื้อและเดินเข้าไปในป่าลึกซึ่งไกลพอสมควรก็พบบ่อน้ำพุร้อนจันทราตามที่เสวี๋ยฉีบอก บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ดูเงียบสงบเป็นส่วนตัว บ่อมีขนาดไม่ใหญ่มากนักสามารถลงไปนั่งแช่ได้ประมาณ 3-4 คน และสามารถมองเห็นแสงสว่างลางๆจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมา

          เสวี๋ยฉีก่อกองไฟเล็กๆขึ้นไม่ห่างไกลจากบ่อน้ำพุร้อนมากนักเพื่อเพิ่มแสงสว่าง เขาวางกระบี่บินหยกขาวและขวดเหล้าเล็กๆที่เตรียมมาวางข้างๆขอบบ่อ แล้วใช้มือแตะทดสอบความร้อนของน้ำในบ่อ เขาพึมพำว่าน้ำร้อนเกินไปจึงผายมือบนผิวน้ำแล้วเสกมนต์และแตะมือลงในน้ำอีกครั้งพยักหน้าบอกว่าน้ำร้อนกำลังดี จึงถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า วางเสื้อผ้าข้างบ่อน้ำพุร้อนจากนั้นลงแช่ตัวและยกเหล้าดื่ม เขาเรียกให้ฉันถอดเสื้อผ้าออกแล้วให้ลงไปแช่น้ำพุร้อนด้วยกัน ฉันค่อยๆหย่อนขาลงจุ่มในบ่อน้ำพุร้อนทีละข้าง เสวี๋ยฉียื่นมือมาจับฉันให้ค่อยๆนั่งลงในบ่อน้ำพุร้อนโดยให้ฉันนั่งบนตักแล้วหันหลังอิงกับหน้าอกของเขา เสวี๋ยฉีเอื้อมมือข้างหนึ่งมากอดและบีบขยำหน้าอก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งค่อยๆเลื่อนลงไปลูบไล้ที่เนินหว่างขาจนเสียวซ่าน แล้วจูบลงที่ไหล่และซอกคอฉันอย่างแผ่วเบาจนขนลุก

         เขาบอกให้ฉันดื่มเหล้าเพื่อคลายหนาวและเพิ่มอรรถรสในการนั่งชมจันทร์ในบ่อน้ำพุร้อนด้วยกัน ฉันยกเหล้ามาดื่มอึกหนึ่งแล้วยกเหล้าดื่มอีกครั้งอมเหล้าไว้ในปากเอี้ยวหน้าไปจูบเสวี๋ยฉีถ่ายเหล้าใส่ในปากเขาแล้วจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม ฉันขยับตัวและนั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหาเสวี๋ยฉี กอดเขาแน่นแล้วจูบดูดดื่ม ทั้งรสเหล้าและรสจูบที่ผสมกันทั้งอร่อยและซาบซ่านจนอยากจับแท่งเนื้อแข็งนั้นที่กำลังถูไถอยู่ที่หว่างขา อยากจับใส่เข้าเนินหว่างขาเหลือเกิน ฉันถอนริมฝีปากออกจากปากเขาแล้วซบหน้าลงที่หน้าอกช่างอบอุ่นเหลือเกิน ฉันขยับตัวอีกครั้งนั่งหันหลังแนบพิงหน้าอกเสวี๋ยฉีแล้วดื่มเหล้าที่เสวี๋ยฉีส่งให้ดื่มอีกครั้ง เราหยอกเย้าชี้ชวนกันชมจันทร์ช่างโรแมนติกจริงๆ

          ขณะที่เสวี๋ยฉีกำลังป้อนเหล้าให้ฉันดื่มด้วยจูบอยู่นั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคนกำลังเดินเข้ามาใกล้บ่อน้ำพุร้อนที่เรากำลังแช่กันอยู่ ฉันตกใจจะลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้ามาใส่ แต่เสวี๋ยฉีกอดฉันไว้ไม่ให้ลุกขึ้นอีกทั้งเขายังมีท่าทางเป็นปกติไม่รู้สึกตกใจหรือประหลาดใจอะไรแต่อย่างใด ฉันจึงพูดกับเสวี๋ยฉีเบาๆว่า

          อันฉี  : มีเสียงเหมือนคนกำลังเดินมา!
       เสวี๋ยฉี  : บนเทือกเขานี้ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ มีแต่สัตว์ป่าและปีศาจ มันบังอาจนักที่มารบกวนความสุขของข้ากับเจ้ากำลังแช่น้ำพุร้อน อย่าห่วงข้าจะไล่มันไปเอง

          เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆแต่เสวี๋ยฉียังคงกอดจูบลูบไล้ตัวฉันและจูบซุกไซร์ที่ไหล่และซอกคอโดยไม่สนใจเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาแต่อย่างใด จนกระทั่งสามารถมองเห็นจากแสงกองไฟที่สาดส่องให้เห็นผู้ที่เดินเข้ามาเป็นหญิงสาวสองคน คนแรกเดินนำหน้ามาเป็นหญิงสาวสวยมาก ผิวขาวเนียนละเอียด ผมยาวสีดำ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อบางเบาสีม่วงสดขับให้ผิวขาวดูสวยสะดุดตา งดงามมากจนฉันคิดว่าเป็นนางไม้ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อบางเบาสีเขียวอ่อน ซึ่งดูคล้ายเป็นผู้ติดตาม หญิงสาวทั้งสองคนเดินมาหยุดยืนมองจ้องเขม็งฉันกับเสวี๋ยฉีที่กำลังนั่งกอดกันอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน แต่เสวี๋ยฉียังคงกอดจูบฉันโดยไม่สนใจหญิงสาวทั้งสองคนที่เดินเข้ามาจนฉันตกใจและเกิดอาการเคอะเขิน หญิงสาวสวยเซ็กซี่ในชุดสีม่วงพูดขึ้นว่า

      ลู่เสียน  : หึ! ไม่เจอกันนานเลยนะ
       เสวี๋ยฉี  : (เสวี๋ยฉีหยุดจูบแล้วค่อยๆเงยหน้ามองลู่เสียน) ใช่! ไม่เจอกันนานเลย
      ลู่เสียน  : เด็กสาวมนุษย์หน้าตาจืดชืดนี่เป็นใครรึ? หรือจะเป็นอาหารที่ท่านอุตส่าห์คาบมากินไกลถึงที่นี่?!
      เสวี๋ยฉี  : หากอันฉีเป็นอาหารก็ต้องเป็นอาหารเลิศรสที่ข้ากินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่มและหยุดกินไม่ได้ (เสวี๋ยฉีเอื้อมมือไปลูบไล้ใช้นิ้วเขี่ยชอนไชเนินหว่างขาฉันจนเสียวแทบจะเก็บอาการไม่อยู่)
      ลู่เสียน  : ท่านกล้ามากที่พานางมาเยาะเย้ยข้าถึงที่นี่ ระวังอาหารเลิศรสจานนี้อาจตกแตกกระจายจนท่านไม่สามารถกินต่อได้อีก
          อันฉี  : อ๊าา...พวกนางเป็นใคร? (ฉันพึมพำและกลั้นเสียงครางเบาๆ)
       เสวี๋ยฉี  : ลู่เสียน เจ้าอย่าได้บังอาจคิดข่มขู่ ข้าจะไปที่ใดมิจำเป็นต้องขออนุญาตใครก่อน และหากใครคิดจะแตะต้องอันฉีของข้า ต้องได้เห็นดีกัน

หมายเหตุ

*ลู่เสียน (ชื่อปีศาจงูหิมะ) แปลว่า หยกบริสุทธิ์


Xin Ru Zhi Shui (Talking to the moon) : Ice Paper
YouTube by : b themooncake

 ■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 47
(เผชิญหน้ากับปีศาจสาวงูหิมะ)
          
          ฉันมองจ้องหญิงสาวในชุดสีม่วงสดและคิดในใจว่า.... ผู้หญิงสวยอาภรณ์สีม่วงนี่คือลู่เสียนงั้นรึ นางช่างงดงามแต่แฝงไปด้วยพลังงานที่น่ากลัว เขาทั้งสองคนกำลังเล่นสงครามประสาทอะไรกันเนี่ย?! ไม่ทันได้คาดคิดหญิงสาวสวยอาภรณ์ม่วงถอดเสื้อผ้าออกจนร่างกายเปลือยเปล่า เผยให้เห็นหน้าอกใหญ่กลมกลึง เอวคอดเล็ก สะโพกผายเย้ายวนตา นางส่งเสื้อผ้าให้ผู้ติดตามถือไว้ แล้วค่อยๆก้าวเท้าลงบ่อน้ำพุร้อนที่ฉันกับเสวี๋ยฉีนั่งอยู่ ฉันตกใจและโกรธมากกับการกระทำของลู่เสียน ฉันจะลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้า แต่เสวี๋ยฉียังคงกอดฉันไว้และไม่ให้ลุกออกไปจากตัก ลู่เสียนเดินมานั่งลงข้างๆเสวี๋ยฉีลูบไล้ที่แขนเสวี๋ยฉีอย่างยั่วยวน นางมองจ้องหน้าฉันและพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเย้ายวนยั่วยุว่า

      ลู่เสียน  : เมื่อก่อนข้ากับท่านไป๋ก็ชอบมานั่งดื่มเหล้าชมจันทร์ด้วยกันที่นี่ในบ่อน้ำพุร้อนนี้บ่อยๆ เราดื่มด่ำกับเหล้ารสดีท่ามกลางแสงจันทร์ ข้าเคยอยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ทั้งวันทั้งคืนช่างมีความสุขยิ่งนัก
       เสวี๋ยฉี  : เจ้ามาเพื่อพูดเรื่องแค่นี้รึ หากไม่มีอะไรแล้วก็ไปซะ อย่ารบกวนความสุขของข้ากับอันฉี

          ตอนนี้ฉันเหมือนถูกไฟสุมอกรุ่มร้อนเพราะถูกลู่เสียนยั่วโมโห จนอยากจะลุกขึ้นเดินหนีไปให้ไกล แล้วปล่อยให้เขาสองคนพูดคุยตกลงกันเอง แต่เสวี๋ยฉีกลับกอดรัดฉันแน่นขึ้น เขายังคงขยับนิ้วลูบไล้ไปมาตามรอยแยกเนินหว่างขา และขยับมืออีกข้างหนึ่งบีบคลึงหน้าอก เสวี๋ยฉีก้มจูบที่ซอกคอและเลียใบหูฉันจนขนลุก เขาคงหวั่นไหวที่มีลู่เสียนนั่งลูบไล้เขาอยู่ข้างๆ แต่เขากลับมาระบายอารมณ์วูบวาบลงที่ฉันแทน ลู่เสียนเองก็เริ่มมีอาการโมโหแต่ยังคงเก็บอาการไว้อยู่ นางจึงพูดขึ้นอีกว่า

      ลู่เสียน  : ข้าแค่มาดูหน้าหญิงมนุษย์ที่ท่านพามา หน้าตาจืดชืดไร้เสน่ห์แบบนี้รึที่ท่านชอบ รสนิยมท่านตกต่ำลงไปมาก ไหน...ขอข้าดูหน้าเจ้าชัดๆหน่อย

          ลู่เสียนยื่นหน้ามาใกล้ๆ แล้วเอื้อมมือมาจับที่คางให้ฉันหันหน้ามาสบตากับนาง ฉันรู้สึกเหมือนต้องมนต์เคลิ้มฝันไม่อาจละสายตาจากนางได้และไม่อาจบังคับตัวเองให้ปัดมือนางออก จากนั้นลู่เสียนค่อยๆยื่นหน้ามาใกล้จนริมฝีปากของนางใกล้มากกับริมฝีปากฉันดูเหมือนนางกำลังจะจูบแต่ฉันไม่อาจฝืนผลักลู่เสียนออก

          ทันไดนั้นเสวี๋ยฉียื่นมือแทรกเข้ามาจับคางฉันหันหน้าไปจูบกับเขาแทน ฉันจึงรู้สึกตัวจากอาการเคลิ้มฝัน ลู่เสียนโมโหมากที่เสวี๋ยฉีขัดขวางจึงง้างมือขึ้นจะตบหน้าฉัน แต่เสวี๋ยฉีใช้มือข้างหนึ่งผลักลู่เสียนกระเด็นออกไปจนกระแทกกับขอบบ่ออีกด้านหนึ่ง หญิงสาวคนติดตามของลู่เสียนรีบชักกระบี่แล้วพุ่งเข้ามาจะทำร้ายเรา แต่กระบี่บินหยกขาวที่วางอยู่ข้างๆขอบบ่อน้ำพุร้อนบินออกจากฝักพุ่งไปด้วยความเร็วพริบตาไปจ่ออยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้ติดตามคนนั้นถึงกับหยุดชะงักแทบไม่ทัน นางกระโดดถอยหลังไปตั้งหลัก และทำท่าจะกระโดดเข้ามาทำร้ายอีกครั้ง แต่ลู่เสียนส่งเสียงบอกหญิงสาวคนติดตามว่า

      ลู่เสียน  : กุ้ยถิง! อย่า! เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก เอาเสื้อผ้ามาให้ข้าใส่ คืนนี้ปล่อยให้พวกเขาแช่น้ำพุร้อนกันให้สบายใจ
       เสวี๋ยฉี  : ข้ามาที่นี่แค่มาจับผีเสื้ออัญมณี ไม่ได้ต้องการมาหาเรื่องทะเลาะกับใคร พรุ่งนี้ข้าก็กลับกันแล้ว ส่วนเรื่องของเจ้ากับข้าที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป ข้ายอมให้เจ้าโกรธแค้นข้า แต่ข้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายอันฉีของข้า เห็นแก่ที่เราเคยดีต่อกันมาก่อน อย่าได้คิดทำอะไรเพื่อบีบบังคับให้ข้าลงมือกับเจ้าเลย
      ลู่เสียน  : หึ! ข้ารู้แล้วทำไมท่านถึงได้ลุ่มหลงเด็กมนุษย์นั่นหัวปักหัวปำ ก็แค่เด็กสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพที่อ่อนแอ อย่าคิดว่าเรื่องนี้มันจะจบลงง่ายๆ กุ้ยถิง! กลับ!

          กระบี่บินหยกขาว บินกลับเข้าฝักที่วางอยู่ข้างๆบ่อน้ำพุร้อน หลังจากลู่เสียนและกุ้ยถิงคนติดตาม เดินออกจากบ่อน้ำพุร้อนแต่สายตาที่นางทั้งสองคนมองมาที่ฉันเต็มไปด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย ฉันเพิ่งรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตของปีศาจพลังเวทย์สูงช่างน่ากลัวเสียจริงๆ จนฉันรู้สึกหวาดหวั่นว่าเรื่องคงไม่จบลงง่ายๆตามที่ลู่เสียนข่มขู่ไว้ก่อนเดินจากไป

        กุ้ยถิง  : นายหญิง ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอ แล้วเด็กสาวมนุษย์นั่นเป็นใคร?
      ลู่เสียน  : นางเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพนกอัคคีสวรรค์ แต่แปลกที่พลังเวทย์ของนางอ่อนแอจนเรียกได้ว่านางไม่มีพลังเวทย์เลยด้วยซ้ำ มิน่าล่ะ! ไป๋เสวี๋ยฉีถึงได้ออกหน้าปกป้องนางขนาดนั้น นางมีอะไรดีกว่าข้า ไป๋เสวี๋ยฉีจึงทิ้งข้าไปอยู่กับนังเด็กมนุษย์ครึ่งเทพนั่น!
        กุ้ยถิง  : ไป๋เสวี๋ยฉีช่างโง่เขลานักไปหลงงมงายนังเด็กมนุษย์ครึ่งๆกลางๆ มนุษย์ก็ไม่ใช่ เทพก็ไม่เชิง เขาช่างตาต่ำจริงๆ มิหนำซ้ำยังพานางมาเย้ยกันถึงที่นี่มันน่าเจ็บใจนัก ข้าจะไปฆ่านังเด็กคนนั้นให้ท่านเอง
      ลู่เสียน  : อย่าเพิ่งวู่วาม ไป๋เสวี๋ยฉีมีพลังเวทย์สูงกว่าข้ามากนัก เราเผชิญหน้ากับเขาตรงๆไม่ได้ เขารู้ว่าข้าจะต้องมาหาเขาแน่ เขาจึงไม่ยอมให้นางอยู่ห่างกาย แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกจากเทือกเขาหิมะเคียงนภาไปได้หรอก คืนนี้ไป๋เสวี๋ยฉีคงระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี เรายังไม่มีโอกาสเล่นงาน ปล่อยพวกเขาไปก่อนหนึ่งคืน แต่พรุ่งนี้ข้าจะทำให้ไป๋เสวี๋ยฉีได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียมากกว่าที่ข้าเคยได้รับ เขาจะได้เห็นว่าการคิดเป็นศัตรูกับข้านั้นเขาคิดผิด

          เมื่อลู่เสียนและกุ้ยถิงผู้ติดตามเดินห่างออกไป ฉันจึงขยับตัวหันไปนั่งคร่อมชนหน้ากับเสวี๋ยฉี และถามเขาว่าเมื่อกี๊ลู่เสียนจะทำอะไรกับฉัน เพราะฉันรู้สึกเคลิ้มๆล่องลอยเหมือนลู่เสียนจะจูบ แต่ฉันไม่มีแรงขัดขืนนางเลย เสวี๋ยฉีตอบฉันว่า

       เสวี๋ยฉี  : ลู่เสียนสะกดจิตเจ้า นางจะจูบเจ้าไม่ไช่เพราะนางพิศวาสเจ้าหรอก แต่นางจะพ่นพิษใส่ปาก นั่นเป็นลูกเล่นหลอกล่อของนางเพื่อฆ่าเจ้าต่างหาก ถึงแม้พิษของนางจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ชอบให้ใครมาจูบเจ้าอยู่ดี
          อันฉี  : นางเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจจริงๆ ร่างกายข้าต้านทานพิษได้ แต่ข้าต้านทานการสะกดจิตของนางไม่ได้ ทำให้นางสามารถควบคุมข้า แต่เอ๊ะ! ไหนท่านบอกว่านางเคียดแค้นท่านมาก แต่ไหงนางมาลงความแค้นกับข้าและจะฆ่าข้าล่ะ ข้าไปทำอะไรให้ นางเป็นหญิงอันธพาลชัดๆ
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าทำให้นางอิจฉาและเจ็บใจ
          อันฉี  : ข้าทำตอนไหนอย่าใส่ร้ายข้าเซ่!
       เสวี๋ยฉี  : เมื่อกี้ ตอนที่เจ้าจูบข้า เจ้ายั่วโมโหนาง
          อันฉี  : ท่านต่างหากเล่าที่ยั่วโมโหนางน่ะ ข้ามัวแต่อ้ำอึ้งตะลึงงันยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่กลายเป็นว่าข้าจะถูกฆ่า นี่มันไม่ยุติธรรมกับข้าเลย
       เสวี๋ยฉี  : มา! ข้าจะมอบความยุติธรรมคืนให้กับเจ้า

          เสวี๋ยฉีจูบฉันและเลื่อนหน้าลงมาจูบที่หน้าอกและดูดหัวนมทั้งสองข้าง เขาใช้มือสองข้างจับที่สะโพกฉันให้ขยับไปมาเพื่อให้เนินหว่างขาถูไถกับแท่งเนื้อแข็ง แต่ฉันเอามือดันตัวเขาออกเพราะยังคงโมโหหึงหวงเสวี๋ยฉี และตามด้วยคำถามร้อยแปดประเคนใส่เขา

          อันฉี  : ท่านมีความสุขมากมั้ยตอนที่อยู่กับนาง ท่านมาที่นี่กับนางบ่อยๆรึ ท่านกอดนางทั้งวันทั้งคืนจริงรึ กอดยังไง ทำอะไรกันบ้าง ทำท่าอะไรบ้าง บอกมาให้ละเอียด บอกมาให้หมด!?
      เสวี๋ยฉี  : ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่ปีที่ข้าคบหากับลู่เสียน แต่เจ้ารู้มั้ยข้าต้องใช้เวลานานนับพันปีที่ใช้ชีวิตโดยลำพังเพื่อรอเจ้าและเมื่อพบเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ต้องการแยกจากเจ้าไปไหน ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต
          อันฉี  : จริงเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : จริง! แล้วข้าก็อยากทำรักกับเจ้าตลอดเวลาไม่อยากหยุดเลย แต่เจ้าเป็นมนุษย์ข้ากลัวว่าเจ้าจะทนไม่ไหวหากข้าทำรักกับเจ้าทั้งวันทั้งคืน แต่ข้าก็ทำชดเชยให้เจ้าทุกคืนไม่เคยขาด เจ้ารู้มั้ยข้ายังไม่เคยให้หญิงใดขึ้นขี่หลัง ข้ายังไม่เคยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ใครเลยด้วยซ้ำ มีแต่เจ้าที่ข้าทำให้ทุกอย่างตั้งแต่อาบน้ำ หวีผมให้จนกระทั่งพาเจ้าเข้านอน เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าทุ่มเทกับเจ้ามากขนาดไหน
          อันฉี  : แต่นั่นเป็นเพราะสวรรค์สั่งให้ท่านทำ
       เสวี๋ยฉี  : สวรรค์ส่งข้าให้มาปกป้องเจ้าจากอันตรายเท่านั้น แต่การดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิดเป็นความเต็มใจของข้าเอง สาวน้อย...ข้ารักเจ้า
          อันฉี  : ข้าก็รักท่าน ข้าจะอยู่กับท่านตลอดไป

          คำพูดของเสวี๋ยฉีที่กล่าวออกมานั้นฟังแล้วช่างหวานหูและอบอุ่นในหัวใจเป็นที่สุด ฉันกอดและจูบเสวี๋ยฉีดูดดื่มอีกครั้ง จากนั้นเสวี๋ยฉีป้อนเหล้าจากปากเขาให้ฉันดื่ม เขาจับตัวฉันนั่งบนขอบบ่อน้ำพุร้อน แล้วจับขาฉันทั้งสองข้างพาดบก้มดูดเลียเนินหว่างขาจนฉันเกร็งตัวแอ่นเพราะความเสียว เสวี๋ยฉีดูดเลียเนินหว่างขาจนพอใจแล้วเงยหน้าขึ้นเลียหน้าท้อง เลื่อนหน้าขึ้นมาดูดหน้าอกและหัวนม เขาชวนฉันกลับไปที่ถ้ำเพราะเขาต้องการฉันจนทนไม่ไหว ฉันเองก็ต้องการเขามากเช่นกัน เราจึงสวมใส่เสื้อผ้าแล้วขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับไปพักในถ้ำทันที

          ระหว่างทางกลับมาที่ถ้ำพายุหิมะเริ่มพัดแรงมากขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวัน เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่เราเตรียมสถานที่ไว้พักแรมคืนนี้ เสวี๋ยฉีกางเขตพลังป้องกันที่ปากถ้ำเพื่อป้องกันปีศาจและสัตว์ร้ายเข้ามาในถ้ำขณะที่เรานอนหลับ

          อันฉี  : คืนนี้ผู้หญิงสองคนนั้นจะกลับมาฆ่าข้าอีกมั้ย
      เสวี๋ยฉี  : คืนนี้พวกนางไม่มาแล้ว พวกนางรู้ว่าข้าระวังตัว แต่พรุ่งนี้พวกนางคงไม่ยอมให้เรากลับออกไปง่ายๆ พายุหิมะที่พัดแรงด้านนอกนั่นด้วย ลู่เสียนเป็นคนทำให้มันพัดแรงขึ้น นางไม่ต้องการให้เราไปจากที่นี่ แต่อย่าห่วงข้าพาเจ้ากลับบ้านได้แน่
          อันฉี  : นางคงจะรู้ทันความคิดของข้า เพราะว่าข้ากำลังคิดจะชวนท่านเดินทางกลับตอนกลางคืนอยู่พอดี นางรอบคอบจริงๆ
       เสวี๋ยฉี  : ตอนนี้เรารีบนอนกันก่อนเถอะ ข้าต้องการเจ้าจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
          อันฉี  : คืนนี้ข้าจะทำให้ท่านเอง ท่านเก็บแรงไว้รับมือกับสองสาวใจร้ายนั่นแล้วกัน
       เสวี๋ยฉี  : พูดถูกใจข้ายิ่งนัก น่ารักจริงๆสาวน้อยของข้า

          เรานอนกอดและจูบกันเร่าร้อนอยู่ในถ้ำโดยไม่สนใจลมพายุหิมะกระหน่ำอยู่ภายนอกถ้ำแต่อย่างใด จนกระทั่งเราหลับไปพร้อมกัน และฉันฝันว่า.......กำลังกอดจูบกับเสวี๋ยฉีอยู่ในถ้ำและที่ด้านนอกถ้ำกำลังมีลมพายุหิมะโหมกระหน่ำ ฉันกำลังก้มหน้าดูดเลียแท่งเนื้อแข็งของเสวี๋ยฉีจนมีน้ำสีขาวข้นไหลทะลักออกมา จากนั้นฉันขึ้นนั่งคร่อมจับแท่งเนื้อแข็งใส่เข้าเนินหว่างแล้วขย่มโยกช้าๆจนมิดสุดโคนช่างเสียวเหลือเกิน น้ำหล่อลื่นไหลออกมาจากหว่างขาจนเปียกแฉะไปหมด เสวี๋ยฉีเอื้อมมือสองข้างมาจับที่สะโพกฉันให้โยกเร็วขึ้น เขาร้องครางเสียงดังแล้วเกร็งกระตุกปล่อยน้ำรักออกมาอีกครั้ง ฉันไม่ปล่อยเวลาให้ขาดช่วงขยับตัวหมุนกลับหันหลังให้ในขณะที่แท่งเนื้อแข็งยังคงคาอยู่ในเนินหว่างขา แล้วเด้งก้นโยกขึ้นลงอีกครั้งแท่งเนื้อแข็งเสียดสีภายในทำให้รู้สึกเสียวจนฉันร้องครางเสียงดังลั่นถ้ำ เสวี๋ยฉีเด้งก้นรับแรงกระแทกยิ่งทำให้รู้สึกเสียวซ่านมากขึ้นช่างมีความสุขเหลือเกิน เขาลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วจับฉันนั่งโก้งโค้งสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินทางด้านหลังกระแทกแท่งเนื้อเร็วและแรง เขาร้อง "อ๊าาา!" แล้วปล่อยน้ำรักไหลทะลักใส่เนินหว่างขาฉันอีกครั้ง เสียงร้องของเสวี๋ยฉีช่างเซ็กซี่ยิ่งนัก ฉันโถมตัวนอนคร่อมทับเสวี๋ยฉีที่กำลังนอนหงายและกอดจูบกันดูดดื่มอีกครั้ง ขยับเนินหว่างขาให้ถูไถเสียดสีกับแท่งเนื้อแข็งจนมีน้ำเยิ้มแฉะแล้วจับแท่งเนื้อแข็งใส่เข้าเนินหว่างขาในขณะที่ยังนอนคร่อมทับเขาอยู่ เสวี๋ยฉีกอดรัดฉันเนื้ออกอุ่นๆเราแนบชิดกัน ฉันขยับเด้งกันโยกให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกเนินหว่างขาจนเสียวสะท้านไปทั้งตัว เขากอดรัดตัวฉันแน่นขึ้นเด้งก้นกระแทกรับฉันจนเราเสร็จสมไปพร้อมกันอีกครั้ง เสวี๋ยฉีพลิกตัวฉันให้นอนหงาย ยกขาฉันพาดบ่าเขาแล้วแยกขาฉันออกกว้าง เขาก้มหน้าลงสอดใส่ลิ้นเข้าเนินหว่างขาเลียและดูดอย่างหิวกระหาย ความรักอันเร่าร้อนท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บ มิอาจหยุดความรักของเราให้หยุดลงง่ายๆจนกว่าจะเช้า......
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 48
(อันฉีถูกสะกดจิต)

          เช้าแล้วแต่ฉันยังคงนอนกอดกับเสวี๋ยฉี เขายังไม่ตื่นนอน เสวี๋ยฉีบอกฉันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเช้านี้ขอตื่นนอนสายๆไม่ต้องรีบร้อน ฉันจึงขยับตัวขึ้นนอนทับบนตัวเขาแล้วจูบซอกคอนอนซบเขาอยู่อย่างนั้นเพื่อรอเขาตื่นนอน ฉันนอนหันหน้ามองไปปากถ้ำเห็นพายุหิมะยังคงพัดกระหน่ำ แบบนี้เราคงขึ้นกระบี่บินหยกขาวบินกลับไม่ได้ คงต้องเดินฝ่าพายุหิมะลงเขา

          เสวี๋ยฉีเริ่มขยับตัวตื่นเขาโอบกอดและจูบฉันที่หน้าผากเหมือนเคย ฉันหอมแก้มเขาและกล่าวอรุณสวัสดิ์ เรายังคงนอนกอดรัดคลอเคลียกันแบบนั้นสักพักจึงค่อยลุกขึ้นล้างหน้าและกินอาหารเช้า หลังกินอาหารเช้าเสร็จเสวี๋ยฉีนั่งเอนหลังกึ่งนอนพิงกับผนังถ้ำแล้วมองออกไปที่ปากถ้ำมองพายุหิมะที่ยังคงพัดแรงอย่างไม่รู้สึกร้อนใจอะไร ฉันจึงลุกขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักเขาแล้วก้มจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม ฉันนอนคร่อมกอดเขาอยู่แบบนั้นแล้วมองออกไปที่ปากถ้ำ เสวี๋ยฉีกอดแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบคลำบีบขยำก้นฉันเล่น ฉันจึงถามเขาว่า...

          อันฉี  : เราคงต้องเดินลุยพายุหิมะออกไปใช่มั้ย
       เสวี๋ยฉี  : ใช่! พวกนางรอเวลาและโอกาสที่จะโจมตีเรา บางทีพวกนางอาจจะยืนดักรอเราอยู่หน้าปากถ้ำก็ได้
          อันฉี  : งั้นข้าจะกอดจูบลูบไล้ตัวท่านเยอะๆให้พวกนางอิจฉาตาร้อน จนอกแตกตายไปเลย! ข้าจะถอดเสื้อ ถอดกางเกงท่านออกแล้วเลียท่านให้ทั่วทั้งตัวจนท่านลุกเดินไม่ไหว ต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว!
      เสวี๋ยฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ดี! ข้าชอบ! งั้นเราค้างที่นี่กันอีกคืน
          อันฉี  : หึ! ไม่เอาแล้ว ที่นี่หนาวจะตาย ข้าอยากกลับบ้านไปนอนกอดกับท่านบนเตียงห่มผ้าอุ่นๆจะแย่อยู่แล้ว
       เสวี๋ยฉี  : งั้นเก็บของกลับบ้านกัน

          ฉันและเสวี๋ยฉีช่วยกันเก็บของ แล้วเดินจูงมือกันออกจากถ้ำ เสวี๋ยฉีพาฉันเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางป่าทึบ ลมพายุหิมะยังคงพัดกระหน่ำและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ส่วนสองปีศาจสาวใจร้ายลู่เสียนกับกุ้ยถิง ก็ยังไม่โผล่ออกมาบางทีนางทั้งสองอาจจะใช้แค่พายุหิมะขัดขวางการกลับบ้านของเราเท่านั้นก็ได้ ฉันกับเสวี๋ยฉีเดินฝ่าพายุกันมาไกลพอสมควร จนถึงเส้นทางหนึ่งเป็นทางโล่งกว้างคล้ายทุ่งหญ้ามีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นประปราย พายุหิมะเริ่มสงบลงแต่ทั่วบริเวณยังคงปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด เราเดินเลาะเลียบมาทางใกล้ผาสูง ด้านข้างทางเดินข้างหนึ่งเป็นผาสูงชัน แต่มีทิวทัศน์ภูเขาที่งดงามยิ่งนัก เสวี๋ยฉีเตือนฉันให้เดินระมัดระวังอย่าเดินชมทิวทัศน์จนเพลินเดี๋ยวจะพลาดตกเขาเอาได้ ฉันพยักหน้าเข้าใจ

          เราเดินกันไปเรื่อยๆเสวี๋ยฉีเดินนำหน้า ส่วนฉันเดินตามหลัง พลันสายตาฉันก็มองเห็นกระต่ายสีขาวน่ารักกระโดดออกมาหลังพุ่มไม้ ฉันบอกเสวี๋ยฉีและชี้ชวนเขาให้ดูกระต่าย ดวงตาของมันมีสีแดงและกำลังมองมาทางฉัน เสวี๋ยฉีร้องบอกฉันว่าอย่ามองกระต่ายแต่สายไปเสียแล้ว เพราะฉันกำลังเข้าสู่ภวังค์และเริ่มจะไม่ได้ยินเสียงของเสวี๋ยฉี รอบกายฉันเริ่มเงียบฉันเริ่มมีอาการเคลิบเคลิ้มกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนฝันล่องลอย กระต่ายน้อยสีขาวที่เห็นอยู่ตรงต้นไม้เริ่มเปลี่ยนร่างกลายเป็นผีเสื้อสีม่วงสดสวยงามจับใจยามกระพือปีก จนฉันไม่อาจละสายตาจากมันได้ ผีเสื้อสีม่วงค่อยๆบินไปทางหน้าผาสูงที่มีเสวี๋ยฉีกำลังยืนยิ้มอยู่ที่ริมหน้าผา เสวี๋ยฉียกแขนยื่นมาทางด้านหน้าในลักษณะกำลังรอให้ฉันเดินเข้าไปกอดเขา ขาของฉันเริ่มก้าวเดินตามผีเสื้อสีม่วงตัวนั้นเพื่อไปหาเสวี๋ยฉีที่ยืนรออยู่ริมหน้าผา ความรู้สึกของฉันเหมือนเคลิ้มฝันเบื้องหน้าที่เห็นดูสวยงามไปหมด ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ตื่นจากอาการเคลิ้มฝัน  เสียงของเขาเสวี๋ยฉีช่างอ่อนหวานรื่นหูเหลือเกิน

         และทันไดนั้นจู่ๆก็ปรากฏแสงสีขาววาบเจิดจ้าแสบตา พร้อมเสียงดังสนั่นลั่นภูเขา "เปรี้ยง!!!" ฟ้าผ่าลงมาที่พื้นตรงหน้า ก่อนที่ฉันจะเดินถึงหน้าผาเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ฉันสะดุ้งตกใจเพราะเสียงฟ้าผ่าจนล้มถอยหลังออกจากริมหน้าผา ฉันตื่นจากอาการเคลิ้มฝันทันที เสวี๋ยฉีที่ฉันเห็นยืนอยู่ริมหน้าผาก็หายไปด้วยพร้อมกับผีเสื้อสีม่วงตัวนั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับได้ยินเสียงเสวี๋ยฉีตะโกนเรียกฉันโหวกเหวกจากทางด้านหลังห่างออกไป ฉันหันไปมองหาเขาตามเสียงเรียก เห็นเสวี๋ยฉีกำลังต่อสู้อยู่กับลู่เสียน และกุ้ยถิง

          กุ้ยถิงเห็นฉันตื่นจากการถูกสะกดจิต นางจึงผละจากเสวี๋ยฉีแล้วพุ่งตรงมาหาฉันทันที เสวี๋ยฉีจะเข้ามาขวางกุ้ยถิงไม่ให้มาเล่นงานฉัน แต่เสวี๋ยฉีก็ถูกลู่เสียนเข้ามาขัดขวางไว้ไม่ให้เข้ามาช่วย แม้ลู่เสียนจะมีพลังเวทย์ด้อยกว่าแต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะทำให้นางพ่ายแพ้ได้ในทันทีเช่นกัน ลู่เสียนพยายามแยกเสวี๋ยฉีออกห่างจากฉัน กุ้ยถิงจึงมีโอกาสเข้ามาเล่นงานฉันได้ นางใช้ดาบพุ่งเข้ามาจะแทง แต่ฉันใช้แสงโล่ยกขึ้นมาป้องกันได้ทัน กุ้ยถิงแม้จะเป็นผู้ติดตามลู่เสียน แต่นางมีพลังเวทย์สูงและมีกำลังมากทำให้ฉันหกล้มหงายหลังกระเด็นเพราะต้านทานแรงของกุ้ยถิงไม่ไหว ฉันเรียกพัดเหล็กเจินเจินออกมาพัดใส่กุ้ยถิงจนนางกระเด็นถอยห่างออกไป และเปลี่ยนพัดให้เป็นกงจักรเหล็กติดใบมีดแยกออกเป็นสองชิ้น ร่อนกงจักรเหล็กใส่กุ้ยถิง และเรียกดาบซาบิมารุออกมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง กุ้ยถิงแม้ต้องรับมือกับอาวุธสองชนิดของฉันแต่นางก็สามารถหลบได้อย่างว่องไว นางซัดฝ่ามือใส่แสงโล่ที่ฉันยกขึ้นมาป้องกันจนฉันกระเด็นกลิ้งตกเนินลงไปด้านล่าง กุ้ยถิงตามมาซ้ำจนฉันพลิกตัวหลบดาบของนางแทบไม่ทัน ฉันใช้อาวุธทุกอย่างในตัวที่มีออกมารับมือและโต้กลับได้ในบางครั้ง แต่กุ้ยถิงก็สามารถหลบอาวุธฉันได้ทุกครั้งและโต้คืนกลับอย่างรวดเร็ว หลายครั้งที่กระบี่ของนางโจมตีถูกฉันแต่แผลฉันก็หายเร็วในพริบตา กุ้ยถิงมีพลังเวทย์และวิชาการต่อสู้สูงอีกทั้งยังมีความว่องไวกว่า ฉันจึงพลาดถูกนางซัดพิษใส่ฉันเข้าอย่างจังทำให้ฉันเจ็บปวดเนื้อตัวและเริ่มมีอาการมึนงงเวียนหัวเฉียบพลัน ฉันพยายามลุกขึ้นยืนแต่ฉันลุกยืนแทบไม่ไหวเพราะมีอาการมึนงงเวียนหัวไปหมด จึงล้มลงไปนั่งกับพื้น กุ้ยถิงเดินเข้ามาจิกผมฉันให้ลุกขึ้นแล้วลากฉันให้เดินกลับขึ้นไปบนเนิน กุ้ยถิงตะโกนบอกให้เสวี๋ยฉีหยุดและให้เขาหันมาดูฉันที่กำลังอยู่ในเงื้อมมือของนาง

          เสวี๋ยฉีที่กำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับลู่เสียน และลู่เสียนกำลังจะเสียท่า เสียงกุ้ยถิงทำให้เสวี๋ยฉีหยุดชะงักทันทีเพราะเขาเห็นกุ้ยถิงกำลังใช้มีดจ่อคอฉันอยู่ เสวี๋ยฉีรีบพุ่งตัวเข้ามายืนตรงหน้ากุ้ยถิงแล้วพยายามพูดจาต่อรอง ลู่เสียนที่พุ่งตัวตามมาใช้ปลายกระบี่จ่อที่ด้านหลังเสวี๋ยฉี

       เสวี๋ยฉี  : ปล่อยอันฉีเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าต้องการฆ่าข้ามิใช่รึ ก็มาจัดการกับข้าสิไปเล่นงานอันฉีทำไม
      ลู่เสียน  : หึ! เก่งเหมือนกันนี่! ที่นางสามารถตื่นจากมนต์สะกดจิตของข้าได้ เป็นแค่มนุษย์ครึ่งเทพที่อ่อนแอ แต่สามารถทำให้สวรรค์ยื่นมือส่งสายฟ้าผ่ามาช่วยเรียกคืนสติได้ นับว่ามีผู้หนุนหลังใหญ่โตดีไม่เบาเลย
      เสวี๋ยฉี  : รู้แบบนี้แล้วก็ปล่อยอันฉีซะสิ!
      ลู่เสียน  : ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ตอนนี้สวรรค์คงจะไม่ช่วยนางแล้วล่ะ สวรรค์คงมองเห็นแล้วว่านางไร้ประโยชน์ มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้นางถูกกุ้ยถิงจับตัวได้ง่ายๆ วันนี้ข้าจะทำให้ท่านรู้ว่าความเจ็บปวดจากการสูญเสียเป็นยังไง เมื่อคืนข้าได้ยินท่านบอกกับนางว่าท่านทุ่มเทกับนางไปมากไม่ใช่เหรอ แต่ข้าจะบอกกับท่านว่านั่นเป็นการทุ่มเทที่เสียเปล่า วันนี้นางจะต้องตาย ท่านจงดูเอาไว้ กุ้ยถิงจัดการ!
       กุ้ยถิง  : หึ! เจ้าอึดนักเหรอนังเด็กมนุษย์ครึ่งเทพ ข้าใช้กระบี่ฟันเจ้าตั้งหลายครั้งเจ้ากลับไม่มีบาดแผลเลยสักนิดซัด ข้าซัดพิษใส่เจ้าตรงๆขนาดนั้นเจ้าก็ยังไม่ตาย หน้าด้านหน้าทนเสียจริง! ข้าจะปล่อยพิษเข้าตัวเจ้าโดยตรงคราวนี้เจ้าไม่รอดแน่

          กุ้ยถิงจับแขนฉันขึ้นมาเพื่อจะกัด แต่ฉันพยายามดิ้นขัดขืนแต่เนื้อตัวมันไม่มีแรงมึนงงจนเวียนหัว และพยายามร้องบอกกุ้ยถิงว่าอย่ากัดฉัน เสวี๋ยฉีเองก็รีบร้องห้ามกุ้ยถิงว่า "อย่า! อย่ากัดอันฉีที่รักของข้า!" แต่สีหน้าเขาดูเสแสร้งแกล้งห้ามมากกว่า ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้กุ้ยถิงอยากกัดฉันให้ตายคาปากนางมากยิ่งขึ้น กุ้ยถิงอ้าปากแยกเขี้ยวงูโค้งยาวกัดลงที่แขนฉันจนมีเลือดซึมออกมา ฉันร้องโอ๊ย!!! ออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกกัด ส่วนกุ้ยถิงมีอาการตาเหลือกเบิกโพลงทันทีเพราะถูกพิษเพลิงลาวาคลั่งจากเลือดของฉัน นางล้มลงไปนอนกับพื้นดิ้นทุรนทุรายผิวหนังของนางเริ่มพุพองเหมือนถูกไฟเผาทั้งเป็น จนเนื้อตัวไหม้เหี่ยวแห้งตายในที่สุด กุ้ยถิงแม้มีพลังเวทย์สูงแต่ยังสูงไม่เพียงพอต้านทานเลือดพิษของฉันได้

          ลู่เสียนตกใจมากกับสิ่งที่เห็นนางมีอาการโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่งที่เห็นกุ้ยถิงคนสนิทของนางตายต่อหน้าต่อตา ลู่เสียนรีบพุ่งตัวเข้ามาจะแทงฉันที่ล้มลงนั่งมึนงงอยู่กับพื้น แต่เสวี๋ยฉีเข้ามาปัดกระบี่นางออกได้ทัน และซัดพิษงูเหมันต์ห้าสีใส่ลู่เสียนจนนางบาดเจ็บสาหัสล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้น เสวี๋ยฉีถึงกับตวาดใส่นางว่า

       เสวี๋ยฉี  : ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าบีบบังคับให้ข้าลงมือ!
      ลู่เสียน  : เพราะท่านนั่นแหละ เพราะท่านทอดทิ้งข้าไปไม่ใยดี เพียงเพราะท่านลุ่มหลงนังเด็กมนุษย์ครึ่งเทพนั่น ท่านทอดทิ้งข้า!
       เสวี๋ยฉี  : ข้าขอโทษที่ข้าทิ้งเจ้าไปเมื่อครานั้น นั่นเป็นเพียงความหวั่นไหวในวัยหนุ่มของข้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากอยู่กับอันฉีคนที่ข้ารัก
      ลู่เสียน  : ข้ารักท่านมาโดยตลอดท่านก็รู้ ท่านเคยรักข้าบ้างมั้ย? บอกข้าสิท่านเคยรักข้าบ้างหรือเปล่า?
       เสวี๋ยฉี  : ลู่เสียน เจ้าก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว อย่าถามข้าอีกเลย เรื่องมันผ่านมานานแล้วลืมไปเสียเถิด คนสนิทของเจ้าก็ตายไปแล้ว อย่าเอาความแค้นส่วนตัวของเจ้ามาทำให้ใครต้องตายอีก อันฉีไม่เคยคิดร้ายอะไรต่อเจ้าและนางก็ไม่ผิดที่นางเป็นหญิงที่ข้ารักที่สุด ขอให้ยุติกันเพียงเท่านี้เถิด หากเจ้าต้องการแก้แค้นก็จงมาแก้แค้นที่ข้าเพียงผู้เดียวอย่าดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

          ลู่เสียนก้มหน้าร้องไห้แทบขาดใจเพราะกุ้ยถิงตายมิหนำซ้ำนางยังบาดเจ็บสาหัส เสวี๋ยฉีเดินมาพยุงฉันที่ยังอยู่ในอาการมึนงงนั่งร้องไห้น้ำตาไหลเพราะเจ็บแขนที่ถูกกุ้ยถิงกัด เสวี๋ยฉีถามอาการฉันเป็นอย่างไรบ้าง ฉันบอกเขาว่าฉันเวียนหัวเพราะถูกพิษของกุ้ยถิง และเจ็บแขนที่ถูกกัด ต้องการพักสักครู่เพื่อฟื้นฟูร่างกาย เสวี๋ยฉีบอกจะพาฉันไปหาที่นอนพักเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ฉันจึงหยิบยาถอนพิษงูเหมันต์ห้าสีที่ปรุงเก็บไว้ส่งให้เสวี๋ยฉี เพื่อให้เขามอบยาให้ลู่เสียนเพื่อถอนพิษ

       เสวี๋ยฉี  : ลู่เสียน นี่คือยาถอนพิษ อันฉีมอบให้เจ้า หากเจ้ายังไม่อยากตายก็ใช้ยานี่ซะแล้วสำนึกบุญคุณของอันฉีไว้ด้วยว่านางช่วยชีวิตเจ้า แต่หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็แล้วแต่เจ้าจะเลือกเถอะ

          ลู่เสียนรับยาถอนพิษไว้ แล้วเสวี๋ยฉีก็เดินกลับมาอุ้มฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวไปหาที่ให้ฉันนอนพักฟื้นฟูร่างกาย เขาพาฉันมาที่เนินทุ่งหญ้า บริเวณนี้มีหิมะปกคลุมเพียงเล็กน้อยทำให้มีหญ้าและดอกไม้ป่าสามารถขึ้นและออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง เสวี๋ยฉีนั่งลงพิงกับขอนไม้ใหญ่แล้วให้ฉันนอนหนุนตักเขาเพื่อพักผ่อน

       เสวี๋ยฉี  : ตอนที่เจ้าถูกมนต์สะกดของลู่เสียน ข้าเรียกเจ้าอยู่หลายครั้ง เจ้าไม่ได้ยินรึ ดีนะที่เง็กเซียนส่งสายฟ้าผ่ามาที่พื้นเรียกสติเจ้าไม่งั้นเจ้าคงตกเหวลงไปกระดูกหักทั้งตัวแน่
          อันฉี  : ก็...ข้าเห็นท่านยืนอยู่ริมหน้าผา เรียกข้าให้เดินเข้าไปหา ข้าบังคับตัวเองไม่ได้ ข้ามองเห็นแต่สิ่งสวยงามที่อยู่เบื้องหน้า แม้กระทั่งเหวลึกก็มองเห็นว่าไม่น่ากลัว แล้วทำไมท่านไม่ฆ่านางตั้งแต่แรกเพื่อช่วยข้าออกจากมนต์สะกดล่ะ อาลัยอาวรณ์กันอยู่หรือไง?!
      เสวี๋ยฉี  : หากนางตายตอนที่เจ้าถูกมนต์สะกดเจ้าจะออกมาจากมนต์สะกดของนางไม่ได้อีกเลย และหากกายเนื้อของเจ้าตาย จิตที่ถูกขังอยู่ในมนต์สะกดจะตายไปด้วย ข้าจึงฆ่านางตอนนั้นไม่ได้ เง็กเซียนจึงส่งสายฟ้าผ่ามาที่พื้นเพื่อปลุกให้เจ้าตื่น ถ้าเจ้าอยากให้ลู่เสียนตาย แล้วเจ้าให้ยาถอนพิษนางไปทำไม
          อันฉี  : ก็ข้าสงสารนางนี่นา...นางรักท่านแม้เวลาผ่านมานานเป็นพันปีแล้ว นางถูกท่านทอดทิ้ง แต่นางก็ยังรักท่านอยู่ มิหนำซ้ำคนสนิทของนางก็มาตายจากไปอีก เป็นการตายที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ท่านคิดว่านางจะกินยาถอนพิษมั้ย?
       เสวี๋ยฉี  : ข้าไม่รู้หรอก นางเลือกที่จะตายหรืออยากมีชีวิตอยู่ต่อก็อยู่ที่นางเลือกเองแล้ว ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางอีก เจ้าหายเวียนหัวหรือยัง นอนพักก่อนเถอะข้าจะดูแลเจ้าเอง
          อันฉี  : ขอบคุณเง็กเซียนที่ช่วยข้า และขอบคุณท่านที่ช่วยและคอยดูแลข้ามาตลอด
       เสวี๋ยฉี  : แค่คำขอบคุณมันไม่เพียงพอสำหรับข้า ข้าต้องการการขอบคุณขึ้นสูงสุด
          อันฉี  : ได้! ข้าจะปีนขึ้นบนยอดไม้ทำพิธีขอบคุณท่าน
       เสวี๋ยฉี  : อย่ากวนประสาทข้า!
          อันฉี  : ฮ่าฮ่า งั้นคืนนี้เราเข้านอนกันแต่หัวค่ำ ข้าจะทำให้ท่านร้องครวญครางไม่หยุดทั้งคืน

          เสวี๋ยฉีหยิกแก้มฉันเพราะหมั่นเขี้ยว เขาลูบศรีษะฉันอย่างเบามือเป็นการกล่อมนอน ฉันหลับไปได้สักพักใหญ่ๆก็ได้ยินเสียงเสวี๋ยฉีกระซิบปลุกให้ฉันตื่นนอนอย่างรีบเร่งแต่ฉันยังคงงัวเงีย เสวี๋ยฉีเอามือปิดปากฉันแล้วทำเสียงชู่ววว! บอกฉันให้เงียบๆ เขารีบอุ้มฉันกระโดดขึ้นต้นไม้สูงเหมือนกำลังแอบอะไรสักอย่าง เขามองลงไปด้านล่างแล้วชี้มือไปที่สัตว์กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งผ่านบริเวณเนินทุ่งหญ้านี้ มันเป็นสุนัขเยือกแข็งจำนวนหกตัว ที่กำลังวิ่งลงเทือกเขาไปยังด้านล่าง ฉันใจหายวาบกอดเสวี๋ยฉีแน่นที่เห็นสุนัขเยือกแข็งวิ่งอยู่บริเวณนี้ เสวี๋ยฉีคาดเดาว่าปีศาจเยือกแข็งอาจจะมาหลบซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาหิมะเคียงนภา หรือไม่ก็สุนัขเยือกแข็งต้องมาค้นหาอะไรสักอย่างที่นี่ ฉันถามเสวี๋ยฉีว่า...

          อันฉี  : ถ้าหากปีศาจเยือกแข็งซ่อนตัวอยู่บนยอดเขา ทำไมปีศาจเยือกแข็งไม่กลับไปซ่อนตัวที่ดินแดนรกร้างเส้นขอบฟ้าบ้านของมัน?
          เสวี๋ยฉี  : บนยอดเขาหิมะเคียงนภามีอากาศหนาวจัด อีกทั้งมีปีศาจและสัตว์ร้ายอาศัยอยู่โดยรอบเทือกเขา สภาพอากาศใกล้เคียงกับดินแดนรกร้างเส้นขอบฟ้า ยากที่มนุษย์จะขึ้นมา ที่นี่จึงเหมาะกับการซ่อนตัวและง่ายต่อการเดินทางกลับมาโจมตีมนุษย์ หากมันซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงเท่ากับว่ามันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกเรานี่เอง นับว่าอันตรายมาก
          อันฉี  : งั้นที่เราต่อสู้กับลู่เสียนเมื่อครู่นี้ ปีศาจเยือกแข็งจะรู้มั้ยว่าเราอยู่ที่นี่
       เสวี๋ยฉี  : น่าจะรู้ จึงส่งสุนัขเยือกแข็งออกมาดูลาดเลา ที่ปีศาจเยือกแข็งยังไม่ปรากฏตัวออกมา อาจเป็นไปได้ว่ามันยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ เพราะถ้ามันหายดีแล้วมันคงไม่พลาดโอกาสมาเล่นงานเจ้ากับข้าตอนนี้แน่ เราจะเสียเปรียบถ้าฝูงสุนัขเยือกแข็งแห่กันมาเจอเราตอนนี้ เรารีบไปกันเถอะ

          สุนัขเยือกแข็งหกตัววิ่งผ่านไปได้สักพัก เสวี๋ยฉีจึงพาฉันลงจากต้นไม้ และพาฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับบ้านที่ป่าอัคคีทันที เรากลับมาถึงบ้านในเวลาค่ำ หยงเป่าที่นั่งรออยู่ที่หน้าบ้านในมือถือกระดาษแผ่นเล็กๆไว้แผ่นหนึ่งแล้วส่งให้เสวี๋ยฉีอ่าน เสวี๋ยฉีบอกว่า ท่านอ๋องเขียนจดหมายมาบอกว่า "องค์ชายชงหยวนและองค์หญิงซือซือแห่งแคว้นฮุ่ยจู มาติดต่อการค้าและสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้น ขอเชิญเราไปพบปะพูดคุยกันฉันท์มิตรสหาย"

      เสวี๋ยฉี  : ดี! ข้ากำลังอยากบอกให้พวกเขาเตรียมตัวกันอยู่พอดี
    หยงเป่า  : เตรียมตัวเรื่องอะไรรึ?
      เสวี๋ยฉี  : ข้าเจอสุนัขเยือกแข็งหกตัวบนเทือกเขาหิมะเคียงนภา และบางทีปีศาจเยือกแข็งอาจกำลังซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ข้าไม่ได้ตามไปดูที่ซ่อนของมันเพราะอันฉีบาดเจ็บจากการต่อสู้กับปีศาจงูเขียว ข้าจึงรีบพาอันฉีกลับบ้านมาก่อน
     หยงเป่า  : ห๊ะ! อันฉี! เจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?
          อันฉี  : ปีศาจงูเขียวซัดพิษใส่ข้า ทำให้ข้ามีอาการมึนงง เวียนหัว แล้วนางก็กัดข้าที่แขนด้วยเจ๊บ เจ็บ พี่รองดูสิยังมีรอยแดงอยู่เลย
     เสวี๋ยฉี  : นี่! แขนเจ้าเจ็บแค่แป๊บเดียวก็หายแล้ว แต่ปีศาจงูเขียวต้องตายเพราะกัดเจ้า เลิกออดอ้อนออเซาะได้แล้ว แล้วรีบไปกินข้าว! (เสวี๋ยฉีตีแขนฉันเพราะหมั่นใส้ที่ฉันออดอ้อนหยงเป่า)
    หยงเป่า  : ฮ่าฮ่า เจ้านี่ออดอ้อนออเซาะเก่งเหมือนที่พี่ใหญ่ว่าจริงๆนั่นแหละ ไปกินข้าวเถอะ ข้าว่า...เราน่าจะเข้าวังไปพบท่านอ๋องคืนนี้เลยจะดีกว่า พวกเขาจะได้รีบเตรียมตัวรับมือแต่เนิ่นๆ ปีศาจเยือกแข็งอยู่ใกล้เรามากเกินไป ช้าไปจะไม่ทันการณ์
       เสวี๋ยฉี  : ข้าคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน!

          เสวี๋ยฉี หยงเป่า และฉันจึงเดินทางเข้าวังเพื่อไปปรึกษาหารือกับท่านอ๋องในคืนนั้น เมื่อมาถึงที่พระราชวัง ก็พบว่าในวังกำลังมีงานเลี้ยงต้อนรับราชอาคันตุกะจากแคว้นต่างๆที่เดินทางมาอวยพรฮ่องเต้ที่หายจากอาการป่วย ทหารวังกำลังเดินนำทาง เสวี๋ยฉี หยงเป่า และฉัน เข้าไปในงานเลี้ยงเราจึงอยู่ร่วมดื่มในงานเลี้ยงสักครู่ พี่ชายทั้งสองจึงขอท่านอ๋องให้แยกไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว ท่านอ๋องจึงชวนพี่ชายทั้งสองไปพูดคุยที่ตำหนักหลันฮวา โดยมีองค์ชายชงหยวนแห่งแคว้นฮุ่ยจูตามไปร่วมพูดคุยด้วย ฉันจึงอาสานั่งเป็นเพื่อนองค์หญิงซือซืออยู่ในงานเลี้ยง ระหว่างนั้นฉันเดินเข้าไปหาฮองเฮาที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงกับฮ่องเต้ ฉันถวายยาบำรุงที่ฉันปรุงขึ้นเป็นพิเศษเพื่อบำรุงครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นให้แก่ฮองเฮา ฮองเฮายิ้มและรับยานั้นไว้พร้อมกล่าวขอบใจ อีกทั้งยังกล่าวชื่นชมน้ำมันนวดดอกบัวมายาสีน้ำเงินว่าฮองเฮาใช้น้ำมันนวดคลายปวดที่ข้อมือเพราะปักผ้าเป็นเวลานานนวดแล้วหายชะงัดถูกใจยิ่งนัก ฮ่องเต้จึงเรียกฉันเข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วกระซิบบอกให้ฉันไปนวดหลังด้วยน้ำมันดอกบัวมายาสีน้ำเงินให้ฮ่องเต้ในวันพรุ่งนี้ที่ตำหนักหมู่ตัน ฉันยิ้มและตอบตกลง ฮ่องเต้บีบจมูกฉันอย่างเอ็นดู ฉันจึงขอตัวกลับไปนั่งโดยย้ายโต๊ะไปนั่งข้างๆซือซือ

          อันฉี  : องค์หญิงมาถึงที่นี่นานแล้วเหรอเพคะ
        ซือซือ  : ข้ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว อันฉี ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้พูดคุยกับข้าตามปกติเรียกข้าองค์หญิงฟังดูห่างเหิน
          อันฉี  : เรียกแบบเดิมไม่ได้หรอกเพราะท่านเป็นองค์หญิง เอางี้หม่อมฉันเรียกท่านว่าองค์หญิงแต่ความรู้สึกเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
        ซือซือ  : อื้มก็ได้! อันฉีข้าขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมเจ้าดูสนิทสนมกับฮ่องเต้เหลือเกิน ตอนที่อยู่เมืองหนิงอันข้าเห็นเจ้ากับท่านอ๋องดูสนิทสนมกันจนน่าอิจฉา แต่ตอนนี้ข้าเห็นเจ้ากับฮ่องเต้ดูสนิทสนมกันมากกว่าท่านอ๋องเสียอีก ข้าสังเกตุเห็นฮ่องเต้คอยมองมาที่เจ้าอยู่บ่อยๆ แถมเจ้ายังมีป้ายหยกพระราชทานอีก ส่วนฮองเฮาเองก็ดูจะเกรงใจเจ้าอยู่ไม่น้อย นี่มันยังไงกันแน่นะ รีบเล่ามาเร็ว
          อันฉี  : หม่อมฉันเป็นหมอส่วนพระองค์ฮ่องเต้เพคะ เลยสนิทสนมกับฮ่องเต้พอสมควรเพราะฮ่องเต้เมตตาให้ความเอ็นดูหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่ได้พักประจำอยู่ในวัง ในวังจะมีหมอหลวงหวังคอยดูแลฮ่องเต้ประจำอยู่ในวัง ส่วนหม่อมฉันจะเข้าวังเป็นครั้งคราวหรือกรณีพิเศษหรือถูกเรียกเข้าวังเพคะ เมื่อกี้ฮ่องเต้ถามหาน้ำมันนวดหอมระเหยดอกบัวมายาสีน้ำเงินสำหรับนวดคลายปวดเมื่อย พรุ่งนี้หม่อมฉันต้องไปปรนนิบัตินวดหลังให้ฮ่องเต้ที่ตำหนัก
       ซือซือ  : ห๊า! ปรนนิบัติฮ่องเต้เหรอ?! เจ้าต้องปรนนิบัติแบบนั้นด้วยรึ?!
          อันฉี  : หม่อมฉันคงใช้คำพูดผิดสินะ! คือหม่อมฉันไม่ได้ปรนนิบัติแบบนั้น แค่ไปถวายการรักษานวดหลังคลายปวดเมื่อยให้ฮ่องเต้แค่นั้น อ่ะนี่! น้ำมันนวดหอมระเหยดอกบัวมายาสีน้ำเงิน หม่อมฉันแบ่งให้องค์หญิงไว้ใช้ขวดหนึ่ง ใช้นวดทาคลายอาการปวดเมื่อย กลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยก็ทาได้คลายปวดบวม ยานี้เป็นของดีหายาก องค์หญิงเก็บไว้ใช้นะเพคะ เป็นยาตัวใหม่ที่หม่อมฉันกับหมอจงช่วยกันปรุงขึ้นมาเพื่อถวายฮ่องเต้ นี่เป็นช่วงทดลองใช้ เพราะหลังจากหมดช่วงทดลองใช้ หม่อมฉันจะสกัดยาออกใหม่แล้วขายในราคาแพง
       ซือซือ  : ขอบใจ ข้าจะทดลองใช้คืนนี้ อันฉีดูสิ! ฮ่องเต้คนนี้ยังไม่แก่ ยังดูหนุ่มหล่อเหลาเอาการ ข้าดูจากสายตาแล้วฮ่องเต้คงอยากได้เจ้าเป็นสนมมากกว่าอยากให้เจ้าเป็นหมอ มิน่าล่ะ! วันนั้นที่เมืองหนิงอันหลังจากที่เจ้าได้รับจดหมายนกพิราบจากฮ่องเต้ เจ้าถึงได้รีบร้อนทำศึกกับโจรป่าแล้วรีบเร่งกลับแคว้นหลวนเซียนทันที
          อันฉี  : แหม! องค์หญิงมองออกขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ ฉลาดและช่างสังเกตุจริงๆ
       ซือซือ  : แต่เอ๊ะ?! งั้นข่าวที่ว่าหมอหญิงส่วนพระองค์ของฮ่องเต้เป็นหมอเทวดา ชุบชีวิตฮ่องเต้ที่ตายแล้วฟื้นได้ก็คือเจ้าน่ะสิ!!!
          อันฉี  : ชู่ววว! เบาๆเพคะ องค์หญิงรู้ได้ยังไง?!
       ซือซือ  : ข่าวนี้ดังจะตาย ดังไปถึงบ้านข้าที่แคว้นฮุ่ยจูที่อยู่ห่างไกล ทุกแคว้นที่ได้ยินข่าวนี้ ล้วนพากินอิจฉาฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลงที่มีหมอเทวดาอยู่ข้างกาย ไม่เว้นแม้แต่เสด็จพ่อของข้า พวกเขาต่างส่งคนไปตามหาหมอหญิงคนนั้นกันยกใหญ่เพื่อซื้อตัวหมอหญิงให้ไปเป็นหมอส่วนตัว แต่ก็ไม่มีใครหาตัวเจอเพราะหมอหญิงใช้ชีวิตลึกลับ รู้ไม่แน่ชัดว่าเป็นใคร มีเพียงทหารและนางกำนัลในวังที่เคยเห็นหมอหญิงต่างบอกกันว่าหมอหญิงเป็นเด็กสาวที่อาศัยอยู่ในป่าปีศาจนอกวังเป็นสถานที่อันตรายห้ามเข้าใกล้ ยิ่งทำให้ยากจะหาตัวเจอเข้าไปอีก พอเสด็จพ่อรู้ว่าเจ้าพี่รองตกลงเข้าร่วมทำการค้าและเป็นพันธมิตรกับแคว้นหลวนเซียน เสด็จพ่อดีใจชื่นชมเจ้าพี่รองยกใหญ่ แถมกำชับข้ามาว่าให้คอยจับตาดูว่าใครเป็นหมอหญิงคนนั้น แล้วให้ชักชวนไปอยู่ที่แคว้นฮุ่ยจู ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง! ข้านี่โง่ชะมัด! หมอเทวดาอยู่ใกล้ๆข้ามานานแล้วแท้ๆ แถมยังสอนข้าประคบยาพันแผลอีก แต่ข้ากลับไม่รู้ ข้านี่โง่จริงๆ ฮึ่ม! หมอจงกับเหวินหลางก็ไม่ยอมเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้าให้ข้าฟังบ้างเลย ปิดปากกันเงียบสนิท
          อันฉี  : องค์หญิงอย่าบอกใครนะเพคะ ว่าหมอหญิงคนนั้นเป็นหม่อมฉัน ช่วยเก็บไว้เป็นความลับตามเดิมได้มั้ยเพคะ
       ซือซือ  : แต่ว่า...ข้าก็อยากให้เจ้าไปเป็นหมอส่วนตัวให้เสด็จพ่อของข้า
          อันฉี  : หม่อมฉันจะไม่ไปไหน หม่อมฉันจะอยู่กับฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง เอางี้! พรุ่งนี้หลังจากนวดน้ำมันให้ฮ่องเต้เสร็จ หม่อมฉันจะไปเยี่ยมเยียนตรวจสุขภาพท่านอ๋องที่ตำหนักหลันฮวา เราไปตรวจสุขภาพท่านอ๋องด้วยกัน แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวซื้อของฝากที่ตลาดในเมือง ถ้าเงินไม่หมดกระเป๋าเราก็ไม่กลับดีมั้ยเพคะ
       ซือซือ  : ดี! แต่เอ๊ะ! ท่านอ๋องป่วยรึ แต่ท่านอ๋องก็ดูแข็งแรง จะกลายเป็นว่าข้าหาข้ออ้างไปรบกวนท่านอ๋องหรือเปล่า
          อันฉี  : ไม่หรอก เพราะพรุ่งนี้หม่อมฉันตั้งใจจะนำน้ำมันหอมระเหยดอกบัวมายาสีน้ำเงินไปถวายท่านอ๋อง องค์หญิงลองคิดดูนะเพคะ น้ำมันดอกบัวมายาสีน้ำเงินเนี่ย เป็นการปรุงยาร่วมกันของหมอเทวดาแห่งแคว้นหลวนเซียน กับหมอเทวะแห่งแคว้นจินชางเชียวนะ ของดีหายากขนาดนี้และยังไม่มีวางขายตามท้องตลาด ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธไม่รับ
        ซือซือ  : น้ำมันนวดขวดนี้น่ะรึ?! งั้นข้าขออีกขวดหนึ่งสิ ข้าจะเอาไปฝากเสด็จพ่อรับรองเสด็จพ่อต้องดีใจมากแน่ๆ ข้านึกภาพใบหน้าของเสด็จพ่อออกเลยเวลาเอาน้ำมันนวดขวดนี้ที่ได้รับจากหมอเทวดาไปอวดเพื่อนๆ หน้าเสด็จพ่อจะบานเท่าโล่ ฮ่าฮ่า
          อันฉี  : แล้วองค์รัชทายาทจินหย่งเจิ้งมาหรือเปล่า หม่อมฉันไม่เห็นเลย
        ซือซือ  : ไม่ได้มาเพราะที่แคว้นจินชางยังยุ่งๆเรื่องคดีปราบกบฏกันอยู่ แต่ส่งราชฑูตมาแทน ราชฑูตทูลฮ่องเต้ว่า เมื่อแคว้นจินชางเสร็จสิ้นคดีปราบกบฏ องค์รัชทายาทจะเดินทางมาพบฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง
          อันฉี  : อืม...คิดถึงพวกเค้าจังเลยน๊า...โดยเฉพาะอาจารย์ข้าคิดถึงเขาจังเลย

          เสวี๋ยฉี และหยงเป่าปรึกษาพูดคุยกับท่านอ๋องอยู่นานเรื่องที่พบสุนัขเยือกแข็งบนเทือกเขาหิมะเคียงนภา และบอกท่านอ๋องให้เตรียมตัวให้พร้อมทำศึกกับปีศาจเยือกแข็งตลอดเวลา องค์ชายชงหยวนที่มองการณ์ไกลว่า หากปล่อยให้แคว้นหลวนเซียนรับมือปีศาจแต่เพียงแคว้นเดียวนั้นเป็นภาระที่หนักต่อแคว้นหลวนเซียนเกินไป ซึ่งเป็นการเสี่ยงมากหากแคว้นหลวนเซียนรับมือไม่ไหว ปีศาจเยือกแข็งต้องบุกรุกรานแคว้นอื่นด้วยแน่ๆ องค์ชายชงหยวนจึงรับปากจะช่วยเหลือด้วยการส่งเสบียง เพราะแคว้นฮุ่ยจูมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากร และมีความชำนาญด้านเส้นทางการค้าและขนส่ง อีกทั้งจะขอความร่วมมือจากแคว้นอื่นๆด้วย จากนั้นพวกเขาจึงนั่งดื่มเหล้ากันต่อจนดึกแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับที่พักของตนเอง

          เสวี๋ยฉี และหยงเป่ากลับเข้ามานอนกลางดึก เสวี๋ยฉีค่อยๆซุกตัวเข้ามานอนในผ้าห่มเพราะกลัวทำให้ฉันตื่น ฉันพลิกตัวกอดก่ายเสวี๋ยฉี เขาหอมฉันที่แก้มแล้วกระซิบบอกฉันเบาๆว่า "นอนเถอะ"

          หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฉันขออนุญาตเสวี๋ยฉีไปนวดน้ำมันดอกบัวมายาให้ฮ่องเต้และหลังจากนั้นจะไปเที่ยวหาซื้อของฝากที่ตลาดในเมืองกับองค์หญิงซือซือ หยงเป่าจึงตามไปด้วย ส่วนเสวี๋ยฉีขอนอนเอกเขนกรออยู่ที่ตำหนัก

          ที่ตำหนักหมู่ตันพบฮ่องเต้กำลังนั่งจิบน้ำชารออยู่ องค์หญิงซือซือขออนุญาตฮ่องเต้ขอดูวิธีการนวดด้วย ฮ่องเต้อนุญาต ฉันจึงให้หยงเป่านั่งดื่มน้ำชารออยู่ที่โต๊ะด้านนอกห้อง ส่วนฉันกับองค์หญิงซือซือเดินตามฮ่องเต้เข้าไปในห้องบรรทม ฉันบอกให้ฮ่องเต้ถอดเสื้อออกแล้วนอนคว่ำหน้าลงบนเตียง ส่วนองค์หญิงซือซือยืนดูอยู่ใกล้ๆ

          ฉันนั่งลงบนเตียงข้างๆฮ่องเต้ แล้วหยิบน้ำมันดอกบัวมายาออกมาเตรียมนวดหลัง ฮ่องเต้หันหน้ามาบอกว่าให้ฉันขยับนั่งให้ถนัดตามใจชอบ ฉันจึงไม่เกรงใจและกระซิบบอกข้างหูฮ่องเต้ว่า ฉันจะนั่งคร่อมเขาทางด้านหลัง ฮ่องเต้ยิ้มและพูดจาหยอกเย้าฉันว่า "มากกว่านี้ข้าก็อนุญาตเจ้า" ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่งคร่อมฮ่องเต้ องค์หญิงซือซือตกใจที่เห็นฉันนั่งคร่อมฮ่องเต้แบบนั้น จากนั้นฉันเริ่มทาน้ำมันดอกบัวมายาบนแผ่นหลังฮ่องเต้แล้วค่อยๆลูบไล้น้ำมันอย่างแผ่วเบา ฮ่องเต้บอกว่าน้ำมันนวดมีกลิ่นหอมและรู้สึกผ่อนคลาย

          ฉันเริ่มนวดบริเวณช่วงเอวก่อน โดยใช้นิ้วหัวแม่มือลูบจากเอวไปจนถึงร้กแร้ทั้งสองข้างอย่างช้าๆ และเลื่อนมือมานวดขึ้นไปท้ายทอย เลื่อนมือนวดลงตามกระดูกสันหลังจนถึงบริเวณก้นกบ นวดซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จากนั้นฉันวางมือบนแผ่นหลังแล้วนวดตามแนวสีข้างกระดูกสันหลัง นวดคลึงขึ้นลงไปเรื่อยๆจากท้ายทอย เอว จนถึงก้นกบ เพื่อคลายอาการปวดเมื่อย และช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังออกให้ผ่อนคลาย  แล้วถามฮ่องเต้ว่า...

          อันฉี  : ฝ่าบาทรู้สึกเป็นยังไงบ้าง หายปวดเมื่อยหรือไม่เพคะ?
       ฮ่องเต้  : รู้สึกสบายตัวและผ่อนคลาย หายปวดเมื่อยทันทีเลย เจ้านวดทางด้านหน้าให้ข้าด้วยได้มั้ย?
          อันฉี  : ได้สิเพคะ

          ฉันขยับตัวออกเพื่อให้ฮ่องเต้พลิกตัวด้านหน้าขึ้นมานอนหงาย แล้วฮ่องเต้ก็จับฉันให้นั่งคร่อมบนตัวเขาอีกครั้ง ซึ่งฉันสัมผัสได้ถึงแท่งเนื้อกำลังแข็งตัวของเขาที่สัมผัสกับเนินหว่างขาฉัน ซือซือยืนมองตกใจอ้าปากค้างอีกครั้ง ฉันจึงเทน้ำมันนวดลงบนฝ่ามือฉันแล้ววางมือลูบไล้บนหน้าอกฮ่องเต้ นวดคลึงเบาๆจนทั่วหน้าอก ลูบไล้ปลายนิ้วผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เพิ่งขึ้นเล็กๆเพราะการออกกำลังกายเล็กๆน้อยของเขา ฉันบีบคลึงลูบไล้ลำตัวด้านข้างจนฮ่องเต้ขยับมือมาวางบนขาฉันแล้วลูบไล้ขาและสะโพกฉันไปมาตามจังหวะมือที่ฉันลูบไล้บนตัว องค์หญิงซือซือเห็นดังนั้นจึงเกิดอาการหน้าแดงเขินอายมากและพูดเบาๆขึ้นว่าจะออกไปรอข้างนอก แล้วก็รีบเดินออกไป ฮ่องเต้เห็นองค์หญิงซือซือเดินออกไปแล้ว เขาจึงรีบดึงตัวฉันลงไปกอดแล้วจูบอย่างดูดดื่ม ฉันดันตัวเองออกเพื่อให้ฮ่องเต้หยุดจูบ แล้วบอกเขาว่านวดตัวเสร็จแล้ว ฮ่องเต้จึงพลิกตัวขึ้นจับฉันนอนลงบนเตียงแล้วกอดจูบซุกไซร้ซอกคอ ฉันบอกฮ่องเต้ให้หยุดจูบเพราะองค์หญิงซือซือกำลังรออยู่ด้านนอก ฮ่องเต้บอกคิดถึงฉันมากและขอจูบฉันให้หายคิดถึง เราจึงจูบแลกลิ้นกันดูดดื่มอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้จึงยินยอมลุกขึ้นใส่เสื้อแล้วเดินออกมาจากห้องพร้อมกันกับฉัน เราจึงกล่าวทูลลาฮ่องเต้เพื่อไปที่ตำหนักท่านอ๋องต่อ ระหว่างทางที่เรากำลังเดินไปตำหนักท่านอ๋อง องค์หญิงซือซือที่ยังคงมีอาการเขินอายอยู่พูดว่า

       ซือซือ  : อันฉี การนวดนั้นไม่ยากเลย แต่ข้าคงไม่นวดให้เสด็จพ่อแล้วล่ะ...
          อันฉี  : ไว้นวดให้สามีในอนาคตขององค์หญิงก็ได้นี่เพคะ เขาต้องชอบแน่ๆ
     หยงเป่า  : นี่เจ้าสอนการนวดแบบแปลกๆให้องค์หญิงงั้นรึ
          อันฉี  : ไม่ได้นวดแบบแปลกๆอะไรเลย ข้าสอนการนวดแบบธรรมด๊า ธรรมดา พี่รองก็รู้ว่าที่ตัวข้ามีกลิ่นเสน่ห์ของพี่ใหญ่ติดกาย พอองค์หญิงเห็นข้าเอามือลูบไล้นวดตัวฮ่องเต้แบบนี้ๆ (ฉันแกล้งเอื้อมมือไปลูบไล้หน้าอกหยงเป่า) เลยกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์บางอย่างขององค์หญิงให้พลุ่งพล่าน
       ซือซือ  : อันฉี เจ้าอย่าแกล้งข้า! (ซือซือเอามือปิดหน้าเขินอายที่เห็นฉันแกล้งลูบไล้หน้าอกหยงเป่า)
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า องค์หญิงเวลาเขินอายเนี่ยน่ารักจริงๆ
     หยงเป่า  : กลับไปแล้ว เจ้านวดให้ข้าแบบนี้ๆด้วยนะ ฮ่าฮ่า
          อันฉี  : ข้าคิดเงินค่านวด!
     หยงเป่า  : ลงบัญชีไว้ก่อน วันนี้ข้าไม่ได้พกเงินมา ตอนไปเที่ยวที่ตลาดเจ้าจ่ายค่าอาหารให้ข้าด้วย
        ซือซือ  : ข้าจ่ายค่าอาหารให้ทั้งสองคนเอง
          อันฉี  : โอ๊ะ! ไม่ได้ๆ องค์หญิงมาทั้งทีจะให้จ่ายค่าอาหารได้งัย! หม่อมฉันจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารให้เองเพคะ นี่! พี่รองคราวหน้าหัดพกเงินเวลาออกนอกบ้านบ้างนะ นี่เงินของข้าต้องใช้แยกกระเป๋ากันได้แล้วนะ
     หยงเป่า  : กลับไปเจ้าก็ไปเบิกเงินส่วนของข้าที่พี่ใหญ่ได้เลย เอาไปหมดเลยก็ได้ข้ายกให้
        ซือซือ  : น่ารักกันจังเลยพี่ชายให้น้องสาวเป็นคนเก็บเงิน

          เราเดินกันมาถึงตำหนักท่านอ๋อง เราพูดคุยทักทายท่านอ๋องกันเล็กน้อย ฉันสอบถามถึงอาการเจ็บที่ข้อมือของท่านอ๋อง ท่านอ๋องตอบว่าข้อมือหายเป็นปกติแล้ว ฉันจึงถวายน้ำมันหอมระเหยดอกบัวมายาให้กับท่านอ๋องไว้ขวดหนึ่ง องค์หญิงซือซือเอ่ยชมสวนกล้วยไม้ว่าสวยงดงามยิ่งนัก จะขอเดินชมสวนกล้วยไม้ ท่านอ๋องจึงอาสาจะพาองค์หญิงเดินชมสวน ฉันจึงบอกทั้งสองคนว่า ฉันขอนั่งดื่มน้ำชารอที่นี่กับหยงเป่า เพราะสวนกล้วยไม้ที่นี่ฉันเคยเดินชมหลายรอบแล้ว ท่านอ๋องเดินนำองค์หญิงไปชมสวนกล้วยไม้ ฉันจึงหยิบขวดน้ำมันดอกบัวมายาออกนวดมือให้หยงเป่าระหว่างนั่งรอท่านอ๋องและองค์หญิง
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 49
(ท่านอ๋องสานสัมพันธ์รัก)

          สักพักใหญ่ๆท่านอ๋องและองค์หญิงซือซือเดินกลับมาจากชมสวนกล้วยไม้ ฉันจึงชวนองค์หญิงออกไปเดินเที่ยวในตลาดและกล่าวทูลลาท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องบอกว่าวันนี้เขาว่างจึงจะไปเดินเล่นที่ตลาดด้วย จึงเข้าไปเปลี่ยนเสี้อผ้าเป็นแบบลวดลายธรรมดาไม่ให้สะดุดตาผู้คน โดยมีองครักษ์จิ้นฝานติดตามออกไปด้วย เรามาถึงตลาดผู้คนพลุกพล่านคึกคักมีสินค้าวางขายสองข้างทางและมีโคมไฟขายเต็มไปหมด องครักษ์จิ้นฝานบอกว่าวันนี้เป็นวันเทศกาลฉลองโคมไฟ ฉันจึงพูดเบาๆกับรอยสัญลักษณ์งูขาวที่ต้นแขนว่า "พี่ใหญ่มาเที่ยวงานเทศการฉลองโคมไฟกันเถอะ พกเงินออกมาด้วยนะ" ทันใดนั้นเสวี๋ยฉีก็ปรากฏตัวยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเชิดๆหยิ่งๆของเขาที่หันมามองฉันช่างหล่อเหลายิ่งนัก

        เสวี๋ยฉี  : ตั้งใจชวนข้ามาเที่ยวด้วยจริงๆ หรือจะให้ข้ามาคอยจ่ายเงิน?
          อันฉี  : ตั้งใจชวนมาเที่ยว ดูสิของขายเยอะแยะเลย
       ซือซือ  : ดีจัง! มาเที่ยวด้วยกันหลายๆคน
          อันฉี  : องค์หญิงเราไปดูรองเท้าร้านนั้นกันเถอะ
        ซือซือ  : ดี! ข้ากำลังอยากได้รองเท้าคู่ใหม่อยู่พอดี

          ฉันและองค์หญิงซือซือจึงได้รองเท้าใหม่กันมาคนละคู่ ท่านอ๋องจะจ่ายเงินค่ารองเท้าให้ฉันและซือซือ แต่เสวี๋ยฉีบอกว่าส่วนของฉันเขาจะจ่ายเอง เราเดินเที่ยวชมสินค้าและซื้อของกันเพลิดเพลินสนุกสนานจนเริ่มหิว เราเข้าไปนั่งกินอาหารในร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งกำลังมีนักเล่านิทานกำลังเล่านิทานให้คนในร้านฟังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ มังกรจ้าวสมุทรสู้รบกับเทพเด็กชายเพื่อแก้แค้นให้มังกรที่เป็นลูกชายถูกเทพเด็กชายฆ่าตายด้วยผ้าแพร แต่สุดท้ายมังกรจ้าวสมุทรก็พ่ายแพ้ถูกเทพเด็กชายเลาะเส้นเอ็นเพื่อนำไปทำเสื้อเกราะ และสาปมังกรจ้าวสมุทรให้กลายเป็นงูเขียว นักเล่านิทานหันมาเห็นเราที่นั่งรออาหารกันอยู่จึงเดินเข้ามาหาที่โต๊ะแล้วถามว่า...

นักเล่านิทาน  : คุณชายและแม่นางที่นั่งโต๊ะนี้ทุกคนล้วนแต่งกายดีภูมิฐาน หน้าตาไม่คุ้นเลย และไม่เคยเห็นในตลาดละแวกนี้ มาจากต่างถิ่นกันรึ ที่แคว้นหลวนเซียนมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย หากพวกท่านอยากฟังเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องที่ข้าเล่าเมื่อกี๊ ก็สามารถบอกข้าได้ แค่จ่ายเงินให้ข้าสักเล็กน้อยข้าจะเล่าเรื่องราวที่กำลังเป็นที่โด่งดังมากของเมืองนี้ให้ฟัง
       ซือซือ  : เรื่องอะไรรึ?
นักเล่านิทาน  : เรื่องหมอหญิงปีศาจที่ชุบชีวิตฮ่องเต้ให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าหมอหญิงปีศาจเป็นใคร แต่ข้ารู้ว่านางเป็นใคร เอ่อ...แม่นางคนสวยท่านนี้อยากฟังมั้ยล่ะ (นักเล่านิทานหันไปถามซือซือ)
    ท่านอ๋อง  : นี่เงิน! เจ้าลองเล่ามาซิ! (ท่านอ๋องแอบยิ้มแล้วส่งเงินให้นักเล่านิทาน)
นักเล่านิทาน  : ขอบคุณ คุณชายท่านนี้ ให้เงินข้ามากขนาดนี้ ข้าจะเล่าตำนานรักระหว่างเทพดวงจันทร์กับเทพดวงดาวเพิ่มให้อีกเรื่องหนึ่ง
    ท่านอ๋อง  : ไม่ต้อง! เจ้าเล่าแค่เรื่องหมอหญิงปีศาจเรื่องเดียวก็พอ
นักเล่านิทาน  : ได้ๆ! เรื่องมีอยู่ว่า...นอกเมืองหลวนเซียนมีป่าปีศาจที่เต็มไปด้วยปีศาจ และสัตว์พิษที่โหดร้ายคอยไล่ล่าจับมนุษย์กิน ในป่านั้นมีปีศาจหญิงชราตนหนึ่งเกิดหลงรักฮ่องเต้รูปงามแห่งแคว้นหลวนเซียน ด้วยความที่นางกลัวว่าฮ่องเต้จะรังเกียจที่นางเป็นหญิงชราใบหน้าอัปลักษณ์ ปีศาจหญิงชราตนนี้จึงเข่นฆ่ามนุษย์แล้วสูบวิญญาณมนุษย์เพื่อให้ตนเองกลายเป็นเด็กสาวน่ารักผิวพรรณผุดผ่อง จากนั้นนางจึงเดินทางเข้าวังพร้อมกับปีศาจรับใช้หนุ่มรูปงามทั้งสี่ตน นางใช้เวทย์มนต์มายาทำให้ฮ่องเต้ลุ่มหลง ฮ่องเต้ถูกมนต์มายาจึงแต่งตั้งให้นางเป็นหมอหญิงประจำพระองค์ แต่ความจริงแล้วนางปีศาจเป็นสนมลับๆคอยสูบวิญญาณฮ่องเต้กินทีละน้อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งฮ่องเต้ล้มป่วยกระทันหันจนเสียชีวิต ด้วยความรักที่นางมีต่อฮ่องเต้ ในคืนนั้นคืนที่ท้องฟ้าเกิดความปั่นป่วนสวรรค์พิโรธ เพราะนางประกอบพิธีมารเพื่อฟื้นคืนชีวิตให้ฮ่องเต้ด้วยการถ่ายเทวิญญาณมารที่นางเคยสูบกินเข้าไปถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของฮ่องเต้ไปจนหมด ฮ่องเต้จึงฟื้นคืนชีพ สวรรค์เกิดความพิโรธจึงส่งสายฟ้าผ่าทะลุหลังคาตำหนักมาผ่าร่างของนางเป็นการลงโทษที่นางประกอบพิธีมารและสูบกลืนวิญญาณมนุษย์ จนนางกลับคืนร่างเดิมเป็นปีศาจหญิงชราน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก เหล่าสมุนชายหนุ่มรูปงามทั้งสี่ตนจึงพานางหลบหนีหายไปซ่อนตัวไม่มีใครตามหานางพบอีกเลย อ้อ! ยังมีอีกนะ ข้าเคยเห็น! ....
          อันฉี  : พอแล้ว!!! เอาเงินนี่ไปข้าจ้างให้เจ้าหยุดเล่าเรื่องหมอหญิงปีศาจ ยิ่งเล่ายิ่งออกทะเลไปไกล ข้าว่าเรื่องมังกรจ้าวสมุทรตบเด็กเกรียนที่เจ้าเล่ามาก่อนหน้านี้ยังมีความสนุกน่าสนใจมากกว่าเรื่องนี้เสียอีก!
นักเล่านิทาน  : พวกท่านเป็นลูกค้าที่ดีมากจริงๆ คุณชายท่านนี้ให้เงินข้าเล่านิทาน ส่วนแม่นางน้อยท่านนี้ให้เงินจ้างข้าหยุดเล่า ข้าไม่โกรธเลยมิหนำซ้ำยังรู้สึกยินดีมากที่ได้เล่านิทานให้พวกท่านฟัง หุหุ
          อันฉี  : รับเงินก็ไปได้แล้ว! เล่าซะจนข้าอยากจะฆ่าเจ้าทิ้งซะเดี๋ยวนี้เลย!
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าแอบไปเป็นสนมลับตั้งแต่เมื่อไหร่!?
     หยงเป่า  : เจ้าหลงรักฮ่องเต้งั้นรึ บอกมา!?
          อันฉี  : เปล่าเล้ย!!! คนเล่านิทานแต่งเรื่องเพื่อความสนุกสนานพวกท่านก็รู้ดี ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงสักอย่าง!
    ท่านอ๋อง  : มีหนึ่งอย่างที่เป็นเรื่องจริงคือสมุนหนุ่มรูปงามทั้งสี่ ไม่ว่าเรื่องราวจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบไหน แต่หนุ่มรูปงามทั้งสี่กลับไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงเลย น่าแปลกใจจริงๆ ฮ่าฮ่า
       ซือซือ  : อันฉี แต่เรื่องราวของหมอหญิงที่โด่งดังไปถึงบ้านข้าไม่ใด้เลวร้ายเหมือนในนิทานที่นักเล่านิทานคนนั้นเล่า แต่ข่าวที่ข้าได้ยินมา หมอหญิงเทวดาชุบชีวิตฮ่องเต้ด้วยสายฟ้าจากสวรรค์ สามารถปรุงยาวิเศษให้คนสูงอายุกลายเป็นคนหนุ่มสาวได้อีกครั้งและมีอายุยืนยาว ข้าเห็นจากที่เจ้านวดหลังให้ฮ่องเต้วันนี้แล้วน่าจะจริงตามคำล่ำลือว่าเจ้ามียาวิเศษทำให้คนสูงอายุกลายเป็นคนหนุ่มสาวได้อีกครั้งได้จริงๆ (องค์หญิงก้มหน้าเขินอายเมื่อนึกถึงฮ่องเต้)
          อันฉี  : องค์หญิงเรากินอาหารกันเถอะนะ อย่าพูดต่ออีกเลย องค์หญิงเห็นสายตาพิฆาตของพี่ชายหม่อมฉันมั้ย ชะตาหม่อมฉันใกล้จะขาดเต็มทีแล้ว

          ท่านอ๋องหัวเราะเพราะเห็นเสวี๋ยฉีกับหยงเป่านั่งหน้าหงิกจ้องหน้าจะเอาเรื่องฉัน ฉันจึงต้องรีบคีบอาหารใส่ถ้วยให้เสวี๋ยฉีและหยงเป่าเพื่อเอาใจให้เขาทั้งสองหายหงุดหงิด เรากินอาหารและนั่งดื่มเหล้ากันสักพักใหญ่ๆจึงออกจากร้านอาหาร ซือซือมองเห็นศาลเจ้าจึงชักชวนเราไปศาลเจ้าไหว้พระขอพร ซึ่งเราเองก็ไม่ขัดเพราะตั้งใจพาซือซือเดินเที่ยวให้ทั่วอยู่แล้ว จนถึงเวลาเย็นผู้คนเริ่มเดินกันพลุกพล่านมากขึ้นเพราะทุกคนต่างพากันออกมาเดินชมโคมไฟ จนถึงเวลาค่ำร้านขายโคมไฟเริ่มแข่งกันจุดโคมไฟส่องสว่างสวยงามไปทั่ว ฉันซื้อพุทราเชื่อมเสียบไม้กินกันคนละไม้กับซือซือ แล้วพากันเดินชมเพื่อเลือกซื้อโคมไฟ เสวี๋ยฉีชี้ชวนให้ฉันปล่อยโคมลอยด้วยกัน เราทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะปล่อยโคมลอย เมื่อโคมลอยถูกปล่อยออกไปบนฟ้าช่างดูสวยงามยิ่งนัก

          ฉันสังเกตเห็นว่าวันนี้ท่านอ๋องดูอารมณ์ดีและผ่อนคลายมาก อาจเป็นเพราะองค์หญิงซือซือที่น่ารักสดใสอยู่ด้วยแล้วไม่รู้สึกอึดอัด ทำให้ท่านอ๋องยิ้มได้และผ่อนคลายขนาดนี้ เราเดินดูงานเทศกาลยามค่ำคืนได้สักพักท่านอ๋องจึงชักชวนเราเข้าไปนั่งดื่มเหล้าในร้านอาหารร้านหนึ่งบนระเบียงชั้นสองของร้านเพื่อรอเวลาดูจุดพลุไฟ ฉันถามซือซือว่าองค์ชายชงหยวนพี่ชายจะดุหรือไม่หากองค์หญิงต้องกลับช้าเพราะเราจะอยู่รอดูพลุไฟกันก่อน แต่ถ้าองค์หญิงไม่สะดวกฉันจะพาองค์หญิงกลับวัง

       ซือซือ  : ไม่เป็นไร ข้าบอกเจ้าพี่รองไว้แล้วว่าข้าออกมาเที่ยวกับเจ้า เจ้าพี่รองไว้วางใจและบอกข้าว่า ข้าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย เพราะเขามั่นใจว่าเจ้าปกป้องข้าได้แน่ ข้าเองก็ไว้วางใจเจ้าเช่นกัน แต่วันนี้มีท่านอ๋องและพี่ชายของเจ้าอยู่ด้วยยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นไปอีก
          อันฉี  : แน่นอนอยู่แล้ว หมอก๋องแก๋งอย่างหม่อมฉันจะปกป้ององค์หญิงสุดชีวิต
       ซือซือ  : ขอบใจมาก ข้ารู้สึกปลอดภัยจริงๆ
      เสวี๋ยฉี  : คุ้มครององค์หญิงยกให้เป็นหน้าที่ของท่านอ๋องเถอะ ส่วนเจ้าคุ้มครองตัวเองให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยไปคุ้มครองคนอื่น
    ท่านอ๋อง  : องค์หญิงอย่าห่วง ข้าจะคุ้มครององค์หญิงเอง จะไม่ให้ใครมาทำร้ายองค์หญิงได้แน่นอน
          อันฉี  : มาๆ! ดื่มๆ!

          เวลาผ่านไปไม่นานนัก พลุไฟถูกจุดขึ้นอย่างสวยงามและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เราไม่น้อย ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปยืนดูพลุไฟชัดๆกับหยงเป่าที่ริมระเบียง ฉันแอบสังเกตุเห็นท่านอ๋องกับซือซือสบตาหวานใส่กันอยู่หลายครั้ง ฉันคิดในใจและอวยพรขอให้เขาทั้งสองคนยังคงความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ต่อไปและหากมีวาสนาต่อกันอาจได้ครองคู่กันก็คงจะดีไม่น้อย ดีต่อชีวิตคู่และดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น หลังจากดูพลุไฟเสร็จเรานั่งดื่มเหล้ากันต่ออีกสักพักจึงค่อยกลับเข้าวัง

          ที่ตำหนักดอกบัวเสวี๋ยฉี หยงเป่าและฉัน เรานั่งดื่มเหล้ากันต่อที่ชานชมดอกบัว ซิ่นหลิงที่เพิ่งกลับจากย้ายไหหมักเหล้าที่ทะเลสามฤดูก็เดินเข้ามาหา

          อันฉี  : หลิงหลิง กลับมาแล้วเหรอ หิวหรือเปล่า กินอะไรมาหรือยัง
     ซิ่นหลิง  : ยังไม่ได้กิน ข้ากลับไปที่บ้านไม่เห็นพวกเจ้า เหวินอี้บอกว่าพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กัน ข้าจึงรีบตามมา
          อันฉี  : กินซาลาเปาใส้หมูแดงมั้ยข้าซื้อมาจากตลาด
      ซิ่งหลิง  : ไปเที่ยวที่ตลาดกันมารึ
          อันฉี  : ใช่ วันนี้มีงานเทศกาลฉลองโคมไฟ ข้ากับพี่ใหญ่ พี่รองไปปล่อยโคมลอยกันมาด้วย เสียดายท่านกลับมาไม่ทัน
      ซิ่งหลิง  : เสียดายจังเลยไม่ได้ปล่อยโคมลอยกับเจ้า แต่ไม่เป็นไรเทศกาลอื่นยังมี อ้อ! เทศกาลลอยดอกไม้ ก็กำลังจะมาถึง เราค่อยไปลอยดอกไม้ด้วยกันรับรองคราวนี้ข้าไม่พลาดแน่
           อันฉี  : แล้วทำไมถึงกลับมาช้า?
      ซิ่นหลิง  : ก็เจ้าสี่น่ะสิ! นำไหเหล้าไปฝังใกล้ปากปล่องภูเขาไฟโทสะคลั่ง ทำเอาข้าร้อนเหมือนถูกไฟเผาจนแทบจะละลาย กว่าจะขุดไหเหล้าขึ้นมาได้มือแขนข้าพุพองไปหมด พอไปถึงทะเลสามฤดูข้าจึงนอนแช่ในน้ำทะลเย็นๆให้ชื่นใจแล้วค่อยกลับมา คราวหน้าข้าจะให้เจ้าสี่เป็นคนไปย้ายไหเหล้าที่ทะเลสามฤดู จะปล่อยให้เจ้าสี่จมน้ำทะเลตายโทษฐานทำให้ข้ามือพอง
          อันฉี  : เอามือมาดูซิหายพองหรือยัง มา! ข้านวดน้ำมันดอกบัวมายาให้
      ซิ่นหลิง  : น้องห้าของข้าน่ารักที่สุด

          รุ่งเช้าฉันออกไปหาองค์หญิงซือซือที่ตำหนักรับรองเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยช่วงที่องค์หญิงยังพักอยู่ที่นี่ เรานั่งดื่มน้ำชาและกินของว่าง ฉันช่วยองค์หญิงเลือกเครื่องประดับจำนวนมากและผ้าลายสวยที่องค์หญิงซื้อจากตลาดเมื่อวาน จู่ๆองค์หญิงถามฉันขึ้นว่า

       ซือซือ  : อันฉี เจ้าเคยตกหลุมรักใครมั้ย?
          อันฉี  : เคยสิเพคะ
       ซือซือ  : จริงรึ?! เขาคนนั้นเป็นใคร?
          อันฉี  : พี่ชายหม่อมฉันเอง รักมาก รักสุดๆ
       ซือซือ  : ข้าหมายถึงรักแบบหนุ่มสาว
          อันฉี  : ก็พี่ชายของหม่อมฉันนั่นแหละ หม่อมฉันรักพี่ชายทั้งสี่คนจนไม่คิดรักใครอีกเลย
       ซือซือ  : งั้นคนที่เจ้าชอบล่ะมีมั้ย?
          อันฉี  : มี หม่อมฉันชอบฮ่องเต้ กับหมอจงอาจารย์ของหม่อมฉัน แต่องค์หญิงห้ามบอกใครนะเพคะ ห้ามพูดต่อหน้าพี่ชายทั้งสี่คนของหม่อมฉันด้วย ไม่งั้นหม่อมฉันตายแน่
       ซือซือ  : เจ้ามีคนที่ชอบหลายคนจังเลย แล้วอย่างนี้จะตัดสินใจเลือกยังไง
          อันฉี  : เลือกพี่ชายทั้งสี่คนเพคะ ไม่ต้องคิดมาก มันเป็นภาคบังคับมิอาจตัดขาดกันได้
       ซือซือ  : แต่ในอนาคตเจ้าต้องมีสามี เจ้าจะอยู่กับพี่ชายตลอดไปไม่ได้หรอก
          อันฉี  : งั้นรอให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วค่อยคิดอีกที แต่เอ...องค์หญิงถามแบบนี้ แสดงว่าองค์หญิงกำลังมี ความรักใช่มั้ย? กับใครเหรอเพคะ? ถ้าให้หม่อมฉันเดา ต้องเป็นคนๆนั้นแน่ๆ (ฉันแกล้งชี้มือออกไปทางหน้าประตูตำหนัก ชี้นิ้วไปตรงทิศทางตำหนักท่านอ๋อง ก็เห็นองครักษ์จิ้นฝานมายืนอยู่ที่หน้าประตู ฉันรีบหดมือกลับ) เย้ย! องครักษ์จิ้นฝาน มาตอนไหนเนี่ย?!
       ซือซือ  : อ๊ะ! ไม่ใช่เขานะ! ไม่ใช่! ข้าไม่ได้ชอบเขา
     จิ้นฝาน  : ขออภัยองค์หญิงซือซือ กระหม่อมมาขัดจังหวะอะไรหรือไม่
       ซือซือ  : เอ่อ...มีอะไรงั้นรึ
     จิ้นฝาน  : ท่านอ๋องให้มาเรียนเชิญองค์หญิงไปเสวยอาหารกลางวันที่ศาลาม่อลี่ พะย่ะค่ะ และท่านอ๋องขอเชิญหมอหญิงอันฉีด้วย
          อันฉี  : เอ่อ...ข้าไม่ว่าง ข้ามีธุระพอดี
       ซือซือ  : อันฉี ไปด้วยกันสิ เมื่อวานเจ้าบอกจะอยู่เป็นเพื่อนข้าทั้งวัน ตอนนี้จะมาบอกว่าไม่ว่าง อย่าโกหก!
        อันฉี  : ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันตามมารยาท
     จิ้นฝาน  : ท่านอ๋องสั่งแม่ครัวทำเสี่ยวหลงเปาที่หมอหญิงชอบ มิได้เชิญตามมารยาทอย่างที่หมอหญิงเข้าใจ ท่านอ๋องฝากให้มาถามองค์หญิงว่าชอบเสวยอะไรจะได้สั่งแม่ครัวปรุงให้พะย่ะค่ะ
       ซือซือ  : ข้าอยากกินไก่อบหม้อดิน
     จิ้นฝาน  : พะย่ะค่ะกระหม่อมจะกลับไปทูลท่านอ๋อง กระหม่อมทูลลา
       ซือซือ  : ทำไมท่านอ๋องถึงรู้ว่าเจ้าชอบกินอะไร
          อันฉี  : หม่อมฉันเคยมารักษาอาการป่วยให้ท่านอ๋องขณะนั้นท่านอ๋องถูกพิษจนป่วยหนัก หม่อมฉันถอนพิษให้ท่านอ๋องจนหายป่วยแต่หม่อมฉันก็ได้รับพิษไปด้วยนิดหน่อย ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องด้วยกันขณะนั้นถามหม่อมฉันว่าอยากได้รางวัลเป็นอะไร หม่อมฉันตอบว่าอยากกินเสี่ยวหลงเปาเพราะหิวมาก และมีครั้งหนึ่งแม่ครัวป่วยหนักกระทันหัน หม่อมฉันไปทำการรักษาให้จนหาย แม่ครัวก็ทำเสี่ยวหลงเปามาให้เป็นการขอบคุณ จนกลายเป็นที่จดจำของคนในวังว่าหมอหญิงชอบกินเสี่ยวหลงเปา แต่ความจริงแล้วหม่อมฉันชอบกินหลายอย่าง โดยเฉพาะบะหมี่ชอบมากที่สุด
       ซือซือ  : งั้นรึ เป็นแบบนี้นี่เอง อันฉี...เจ้าคิดว่าท่านอ๋องคิดยังไงกับข้า
          อันฉี  : องค์หญิงทั้งสวย ทั้งน่ารักขนาดนี้ อยู่ด้วยแล้วไม่รู้สึกอึดอัด ท่านอ๋องต้องชอบองค์หญิงแน่ๆ ถ้าท่านอ๋องขอองค์หญิงแต่งงานองค์หญิงต้องรีบตอบตกลงเลยนะ อย่ามัวแต่เขินอาย ท่านอ๋องยังไม่มีพระโอรสเลย มิควรรอช้าต้องรีบตอบตกลงทันที
     ซือซือ  : เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว! (องค์หญิงเขินอายหน้าแดง)

          เมื่อถึงเวลากินอาหารกลางวัน องครักษ์จิ้นฝานมารอรับเราไปตำหนักท่านอ๋อง เรานั่งกินอาหารด้วยกันสามคน ฉันรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยแม้ฉันจะรู้จักกับท่านอ๋องมาก่อนและสนิทสนมกับซือซือ แต่ในบรรยากาศแบบนี้ฉันกลับรู้สึกอึดอัดคล้ายเป็นส่วนเกินยังไงไม่รู้ ซือซือแม้จะเขินอายแต่ดูแล้วท่าทางมีความสุขอยู่ไม่น้อยและพยายามชักชวนท่านอ๋องพูดคุย จนฉันเองส่วนใหญ่ได้แต่นั่งฟังเขาทั้งสองพูดคุยกันและพยักหน้ารับ อือ อือ เมื่อเขาทั้งสองเอ่ยถึงฉัน ฉันได้แต่ยิ้มและพยายามทำตัวเป็นปกติ คิดเสียว่ามากินอาหารตามหน้าที่กินอิ่มแล้วค่อยหาเรื่องกลับ ปล่อยให้เขาสองคนทำความสนิทสนมกันตามลำพังโดยไม่มีฉันมาคั่นกลางน่าจะดีกว่า หลังกินอาหารกลางวันเสร็จท่านอ๋องชวนเราดื่มน้ำชากันต่อ

    ท่านอ๋อง  : อันฉี อาหารไม่ถูกปากเจ้ารึ กินน้อยจัง
          อันฉี  : อาหารอร่อยมากเพคะ อร่อยทุกอย่างเลย แต่หม่อมฉันยังไม่ค่อยหิว
       ซือซือ  : ไม่สบายหรือเปล่าบอกข้าได้นะ ข้าจะดูแลเจ้าเอง
          อันฉี  : หม่อมฉันสบายดี แค่กำลังคิดจะปรุงยาตัวใหม่และคิดว่าจะกลับไปหาหมอจงอาจารย์ของหม่อมฉันเพื่อขอคำปรึกษา หม่อมฉันขออภัยหากทำให้องค์หญิงเป็นกังวล
    ท่านอ๋อง  : เจ้าจะปรุงยาอะไรรึ
          อันฉี  : ยาพิษฆ่าปีศาจเยือกแข็ง
    ท่านอ๋อง  : เจ้ารู้วิธีฆ่ามันแล้วรึ?!
          อันฉี  : ยัง ถึงได้อยากกลับไปขอคำปรึกษาอาจารย์ อย่างน้อยทำให้มันอ่อนกำลังลงก็ยังดี
        ซือซือ  : เจ้าพี่รองเคยเล่าให้ข้าฟังเหมือนกันว่าพวกท่านกำลังหาวิธีรับมือกับปีศาจที่ร้ายกาจ
    ท่านอ๋อง  : อันฉี มีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าบอกข้าได้ทันที
          อันฉี  : เพคะ เอ่อ...หม่อมฉันขอไปเดินเล่นย่อยอาหารในสวนสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา
    ท่านอ๋อง  : อืม ดีเหมือนกัน ข้าก็อยากเดินย่อยอาหารสักหน่อย องค์หญิงไปด้วยกันมั้ย
       ซือซือ  : ดี หม่อมฉันชอบเดินชมดอกไม้ อ๊ะ! หม่อมฉันลืมไปเสียสนิท หม่อมฉันทำถุงหอมไว้ให้ท่านอ๋อง ขอกลับไปเอาถุงหอมก่อนเพคะ ท่านอ๋องกับอันฉีเดินเล่นในสวนด้วยกันไปก่อน

          องค์หญิงซือซือเดินออกไปจากตำหนักโดยมีองครักษ์จิ้นฝานตามเสด็จอารักษ์ขา ท่านอ๋องจึงชวนฉันเดินไปในสวนกล้วยไม้ ฉันเดินก้มหน้าตามหลังท่านอ๋องเงียบๆ และกำลังคิดหาข้ออ้างปลีกตัวกลับตำหนักดอกบัว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทันความคิดฉันและแกล้งหาเรื่องให้ฉันอยู่ต่อ ท่านอ๋องอยู่ๆก็หยุดเดินกระทันหันแล้วหันหน้ากลับมาหาฉัน จนฉันเดินชนเขาจนเซ เขาโอบฉันไว้ไม่ให้เซหกล้ม ฉันจึงรีบขยับตัวถอยออกไม่ให้ท่านอ๋องโอบกอด

          อันฉี  : ขออภัยเพคะ หม่อมฉันซุ่มซ่ามไม่ทันมอง!
    ท่านอ๋อง  : เจ้าครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่รึ? ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอึดอัดและพยายามจะหลบเลี่ยงไปที่อื่น เจ้าไม่ชอบอยู่ใกล้ข้า หรือไม่ชอบให้ข้าใกล้ชิดองค์หญิงซือซือ?
          อันฉี  : ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย หม่อมฉันแค่อยากเปิดโอกาสให้ท่านอ๋องกับองค์หญิงได้ใกล้ชิดกัน ท่านอ๋องกับองค์หญิงก็เริ่มจะสนิทกันแล้ว อันที่จริงท่านอ๋องเชิญองค์หญิงมาเสวยอาหารกับท่านอ๋องคนเดียวก็ได้ ชวนหม่อมฉันมาด้วยให้เป็นก้างขวางคอเปล่าๆ
    ท่านอ๋อง  : ข้าตั้งใจชวนเจ้ามากินอาหารด้วยจริงๆ เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้าชอบเจ้า หัวใจของข้าเต้นแรงทุกครั้งเมื่อข้าอยู่ใกล้เจ้า หากข้าเลือกได้ข้าก็อยากแต่งงานกับเจ้า แต่เพราะเจ้าไม่ได้เลือกข้า ข้าจึงมิอาจบังคับใจเจ้าได้ แต่เอาเถอะตอนนี้ข้ากำลังจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับข้า องค์หญิงซือซือเป็นคนน่ารัก อ่อนหวาน อยู่ด้วยแล้วทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ ข้าจึงเปิดใจเพื่อทำความรู้จักองค์หญิงให้มากขึ้น แต่ข้ายังไม่รีบร้อนตัดสินใจแต่งงานใหม่ตอนนี้ เพราะข้าต้องการกำจัดปีศาจเยือกแข็งให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ดังนั้นเจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบให้ข้ารวบรัดความสัมพันธ์กับองค์หญิงเร็วไปนัก ให้ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเถอะนะ
          อันฉี  : เพคะ หม่อมฉันขออภัย
    ท่านอ๋อง  : งั้นเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้ากับองค์หญิงที่นี่อีกสักพักเถอะ ข้าชอบอยู่ใกล้ๆเจ้า
          อันฉี  : เพคะ

          ฉันจึงอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋องเพื่อพูดคุย กินขนมไปเรื่อยเปื่อย ดูท่านอ๋องกับองค์หญิงเล่นหมากกระดาน จนกระทั่งเวลาเย็นฉันกับองค์หญิงจึงลาท่านอ๋องกลับตำหนัก เห็นซิ่นหลิงออกมายืนชะเง้อมองหาฉันที่หน้าตำหนัก ฉันรีบแก้ตัวว่ากลับมาช้าเพราะพาองค์หญิงไปเยี่ยมเยียนท่านอ๋องที่ตำหนักดอกกล้วยไม้นานไปหน่อย จากนั้นเราจึงเริ่มกินอาหารเย็น หลังกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยฉันบอกเสวี๋ยฉีว่า ฉันอยากไปพบหมอจงที่เมืองหนิงอัน เพื่อปรึกษาเรื่องการปรุงยาพิษฆ่าปีศาจเยือกแข็ง แต่เสวี๋ยฉีไม่ยอมอนุญาตและบอกให้ฉันเขียนจดหมายให้นกเหยี่ยวนีโอนำไปส่งแทน ฉันจึงขอร้องให้เสวี๋ยฉีเขียนจดหมายให้

       เสวี๋ยฉี  : ทำไมเจ้าไม่เขียนจดหมายเอง ข้าเคยสอนเจ้าเขียนภู่กันไปแล้ว
          อันฉี  : ข้ายังเขียนหนังสือไม่เก่ง ภู่กันก็เขียนย๊ากยาก ข้ากะน้ำหนักมือไม่ถูก แง๊! พี่ใหญ่ทอดทิ้งข้าแล้ว
     หยงเป่า  : ข้าช่วยเจ้าเขียนจดหมายเอง
      ซิ่นหลิง  : ให้ข้าเขียนจดหมายให้ดีกว่าข้าลายมือสวยนะ
          อันฉี  : โอ๊ะ! พี่รองกับพี่สามช่างดีกับข้าเหลือเกิน ท่านทั้งสองยังไม่ทอดทิ้งข้า ท่านช่วยเขียนถามอาจารย์ว่า เขามีตำรับยาพิษฆ่าปีศาจเยือกแข็งหรือไม่ และเขียนในท้ายจดหมายด้วยว่าข้าคิดถึงและห่วงใย
       เสวี๋ยฉี  : มานี่! ข้าเขียนจดหมายเอง! เขียนถามถึงตำรับยาก็พอ ไม่ต้องเขียนบอกว่าคิดถึงและห่วงใยหรอก ฮึ่ม!!!
          อันฉี  : ฮี่ ฮี่ (ฉันยิ้มเพราะในที่สุดเสวี๋ยฉีก็ต้องมาเขียนจดหมายให้ฉัน) งั้นเขียนตามที่พี่ใหญ่ว่ามาก็แล้วกัน และเขียนในท้ายจดหมายด้วยว่าข้าต้องการคำชี้แนะ
     ซิ่นหลิง  : เจ้าก็ขยันยั่วอารมณ์พี่ใหญ่เหลือเกิน ป่ะ! ไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้ากับพี่รอง รอพี่ใหญ่เขียนจดหมายเสร็จเจ้าค่อยไปนอน

          เสวี๋ยฉีนั่งเขียนจดหมายอยู่ครู่หนึ่ง ฉันแอบเห็นเขาเขียนจดหมายไปหัวเราะไป เหมือนคนมีแผนการร้ายกับจดหมาย จากนั้นเขาเรียกนกเหยี่ยวนีโอมาแล้วม้วนจดหมายใส่ในหลอดใส่จดหมายที่เฟยเจินทำขึ้นมัดติดไว้ที่ขานกเหยี่ยวแล้วปล่อยให้นกเหยี่ยวบินออกไป เสวี๋ยฉีจากที่ทำหน้าตาบูดบึ้งกลายเป็นหัวเราะสะใจกับความคิดอะไรสักอย่างของตัวเอง และเดินมานั่งข้างฉันเพื่อดื่มเหล้า จนฉันเกิดความสงสัยจึงถามเขาว่า...

          อันฉี  : พี่ใหญ่เขียนอะไรลงไปในจดหมายนอกเหนือข้อความที่ข้าบอกให้ท่านเขียนรึ ข้าเห็นรอยยิ้มของท่านดูมีเลศนัยแอบแฝง
     ซิ่นหลิง  : ก็คงแอบใส่ข้อความที่ทำให้อาจารย์ของเจ้าเข้าใจอะไรเจ้าผิดสักอย่างนั่นแหละ
       เสวี๋ยฉี  : ทำไม นี่เจ้าสงสัยในตัวข้ารึ ข้าไม่ทำให้เสียการเสียงานหรอก
     หยงเป่า  : ก็เพราะท่านน่าสงสัยที่สุด
          อันฉี  : พี่ใหญ่เขียนอะไรในจดหมาย
       เสวี๋ยฉี  : ดื่มเหล้ากันเถอะน่า

          เสวี๋ยฉียิ้มมีเลศนัยและไม่ตอบคำถาม เขาบอกให้ฉันรินเหล้าให้เขาดื่ม เสวี๋ยฉีอนุญาตให้ฉันอยู่ในวังต่ออีก 2-3 วันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงซือซือที่นี่จนกว่าองค์หญิงจะเสด็จกลับแคว้นฮุ่ยจู คืนนี้ฉันเข้านอนดึก เพราะอยู่ดื่มเหล้ากับพี่ชายทั้งสามจนดึก ฉันเดินโซเซกลับไปเตียงนอน เสวี๋ยฉีเดินตามมาข้างหลังโอบเอวฉันแล้วพาเข้านอน ฉันเมาเหล้าแต่ยังมีสติจึงถามเสวี๋ยฉีว่า

          อันฉี  : ท่านเขียนอะไรในจดหมาย คงไม่ได้เขียนยุยงให้อาจารย์เกลียดข้าใช่ไหม
       เสวี๋ยฉี  : ข้าเขียนในท้ายจดหมายบอกว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้า
          อันฉี  : ห๊า! เขียนแบบนั้นจริงๆเรอะ?!
       เสวี๋ยฉี  : เอาล่ะ! นอนกันได้แล้ว ข้าง่วง

          เสวี๋ยฉีล้มตัวลงนอนแล้วหยิบผ้าห่มมาห่ม เขาถอดเสื้อผ้าของเขาและฉันออกจนเปลือยเปล่า และโถมตัวทับจูบฉันสอดใส่ลิ้นกวัดแกว่งไปทั่วปาก รสจูบของเขาช่างหวานอร่อยกระตุ้นให้ฉันเกิดอารมณ์เร่าร้อน ฉันยกขาสองข้างกอดเกี่ยวสะโพกและกอดเขาแน่น เราเริ่มบดริมฝีปากจูบกันรุนแรงเร่าร้อนขึ้น จนฉันต้องเร่งเร้าให้เสวี๋ยฉีทำให้ฉันนอนหลับเร็วๆ ก่อนที่เขาจะทำให้ฉันหลับ เสวี๋ยฉีถามฉันว่า...

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าจะเป็นภรรยาของข้ามั้ย
          อันฉี  : ทุกวันนี้ท่านก็เหมือนเป็นสามีของข้าอยู่แล้ว
       เสวี๋ยฉี  : สัญญากับข้าสิ! ห้ามให้ใครล่วงล้ำเจ้าเด็ดขาด เจ้าเป็นของข้าคนเดียว และข้าเป็นสามีของเจ้าในอนาคต
          อันฉี  : ข้าสัญญา ข้าจะเป็นของท่านคนเดียว ท่านต้องสัญญากับข้าด้วยนะ ว่าจะรักข้าคนเดียว
       เสวี๋ยฉี  : ข้าสัญญา

          เสวี๋ยฉีมองจ้องตาฉันแล้วจูบฉันอีกครั้งอย่างดูดดื่มจนกระทั่งฉันหลับไป แล้วฝันว่า.......เสวี๋ยฉีจับขาฉันยกขึ้นพาดบ่าแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินหว่างขา เขาค่อยๆเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเบาๆช้าๆ สายตาเขาที่มองฉันเวลากระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช่างเซ็กซี่และเร้าอารมณ์เหลือเกิน เขาเด้งก้นกระแทกแรงและเร็วขึ้นจนเขาเกร็งกระตุกแล้วปล่อยน้ำสีขาวข้นอุ่นๆออกมาไหลเยิ้มหว่างขา ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่งตักเขาแล้วนั่งกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม จับแท่งเนื้อแข็งใส่เนินหว่างขาอีกครั้งแล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้เสวี๋ยฉีจูบหน้าอกและดูดหัวนม ฉันขยับก้นเด้งขึ้นลงให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกช้าๆแต่เน้นดันเข้าลึกๆจนแนบสนิท เขาใช้มือสองข้างจับที่ก้นบีบขยำขยับขึ้นลง และยังเด้งก้นรับแรงกระแทกจนฉันเสียวร้องครางเสียงดัง ยิ่งร้องเสียงดังเขายิ่งกระแทกแรงขึ้น ฉันเกร็งตัวกระตุกเสร็จสมอารมณ์หมาย "อ๊าาาา" เสวี๋ยฉีจับฉันนอนหงายแล้วเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อเข้าออกเนินหว่างขาให้เร็วและแรงขึ้น จนเขาร้อง "อ๊ากกก" เสียงดังแล้วปล่อยน้ำสีขาวข้นอุ่นๆออกมาอีกครั้ง เขาโถมตัวลงมาจูบแล้วซุกไซร์ซอกคอดูดเลื่อนขึ้นมาเลียใบหู เสียงกระเส่าเบาๆข้างหูกระตุ้นให้ฉันมีอารมณ์อีกครั้ง พลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมเขาในขณะที่เขานอนหงายแล้วขยับตัวเลื่อนขึ้นนั่งบนหน้าอกเสวี่ยฉี ให้เนินหว่างขาจ่ออยู่ที่ปากเพื่อให้เขาดูดเลีย เสวี๋ยฉีจูบที่เนินหว่างขาและแลบลิ้นเลีย ชอนไชไปตามรอยแยกเนินสวรรค์และดูด จากนั้นสอดใส่ลิ้นเข้าในเนินสวรรค์จนลึกและขยับลิ้นไปมาจนฉันเสียวร้องลั่นเสียงดังและขยับเนินสวรรค์บดเบียดกับปากเขา จากนั้นฉันพลิกตัวกลับหันหลังก้มหน้าลงไปดูดเลียแท่งเนื้อแข็งให้เขา เรากำลังดูดเลียให้กันและกัน ฉันมีความสุขเหลือเกินจนไม่อยากอยากตื่นจากความฝัน.......

          เช้านี้ฉันตื่นสายเพราะเมื่อคืนฉันดื่มเหล้าไปหลายถ้วย เสวี๋ยฉีเองก็ยังไม่ตื่นเช่นกัน ฉันพลิกตัวออกจากการกอดเสวี๋ยฉีแล้วบิดขี้เกียจสุดตัว อื้อออออ! จนเสวี๋ยฉีรู้สึกตัวตื่นเขาพลิกตัวมากอดฉันและหลับต่อ

          อันฉี  : ข้าตื่นแล้ว ข้าหิวข้าว
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าตื่นนอนปุ๊บก็ร้องหิวข้าว เจ้าอ้วนจะเป็นหมูอยู่แล้ว (เขางัวเงียพูด)
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า จริงเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : สัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าเมื่อคืนยังจำได้หรือไม่
          อันฉี  : จำไม่ได้ ข้าเมา
       เสวี๋ยฉี  : ว่าไงนะ! เจ้าจำไม่ได้รึ เจ้ากล้าดียังไงเมื่อคืนสัญญากับข้าแล้วตอนนี้มาบอกว่าจำไม่ได้ เจ้าโกหกข้ารึ ข้าจะสั่งสอนให้เจ้าจดจำว่าเจ้าสัญญาอะไรไว้กับข้า! (เขาเอามือข้างหนึ่งบีบแก้มฉันจนปากจู๋)

          เสวี๋ยฉีที่งัวเงียกลับมีท่าทีจริงจัง เขาลุกขึ้นนอนทับฉันที่ร่างกายเปลือยเปล่า และจับแขนฉันไว้ไม่ให้ผลักเขาออก แล้วแยกขาฉันออกกว้างจับแท่งเนื้อแข็งถูไถกับเนินหว่างขา จนฉันตกใจและดิ้นร้องบอกเขาว่า "อย่า!!!" แต่เสวี๋ยฉีไม่ยอมฟังและกำลังจะดันแท่งเนื้อแข็งเข้าภายในเนินหว่างขา ฉันจึงรีบร้องบอกเขาว่า...

          อันฉี  : จำได้ๆ ข้าจำได้! สามี ท่านเป็นสามีในอนาคตของข้า!

          เสวี๋ยฉีจึงหยุดดันแท่งเนื้อแข็งที่ส่วนปลายหัวถูกดันเข้าเนินสวรรค์ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเปลี่ยนเป็นจับแท่งเนื้อแข็งถูไถไปมาที่รอยแยกหว่างขาจนฉันเกิดอาการเสียวและเริ่มมีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา เขามองหน้าฉันแล้วขยับแท่งเนื้อแข็งถูไถบดเบียดไปมาเรื่อยๆเหมือนกลั่นแกล้งให้ฉันเกิดอารมณ์ แต่แววตาของเขากลับดูจริงจังจนน่ากลัวแล้วพูดขึ้นว่า

       เสวี๋ยฉี  : จำไว้นี่เป็นการเตือน ไม่ว่าเจ้าจะนอนหลับฝัน หรือตื่นนอน สามีของเจ้าก็คือข้า เอาล่ะไปได้
          อันฉี  : ขอบคุณที่ปราณีข้า

          ฉันรีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วก้มศรีษะคำนับกับที่นอนขอบคุณเสวี๋ยฉี ฉันรีบจุ๊บเขาที่ริมริมฝีปากหนึ่งครั้งหลังตื่นนอนตามปกติ แล้วรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าด้วยใจเต้นระทึก เพราะเช้านี้เสวี๋ยฉีดูแปลกไปมากเหมือนเขาตั้งใจจะลงมือล่วงล้ำฉันจริงๆ ฉันรีบวิ่งไปล้างหน้า แล้วรีบวิ่งไปนั่งแทรกกลางระหว่างหยงเป่าและซิ่นหลิงที่ตื่นนอนก่อนแล้วหอมแก้มเขาทั้งสองคนเป็นการทักทายตอนเช้าแล้วรินน้ำชาดื่ม เสวี๋ยฉีล้างหน้าเสร็จเดินมานั่งข้างๆหยงเป่า ยกน้ำชาที่หยงเป่ารินไว้ให้ยกขึ้นดื่มเงียบๆแต่สายตาเสวี๋ยฉียังคงมองมาที่ฉัน ซิ่นหลิงจึงเรียกให้นางกำนัลยกอาหารเช้าเข้ามา

     ซิ่นหลิง  : เอ๊...ทำไมเช้านี้พี่ใหญ่กับน้องห้าดูเงียบๆพิกล ปกติจะเห็นน้องห้าออดอ้อนประจบพี่ใหญ่ หรือไม่ก็...น้องห้าถูกพี่ใหญ่ดุ บิดหูบิดแขนบ้างล่ะ แต่เช้านี้ดูเงียบผิดปกติ
     หยงเป่า  : เมื่อคืนทะเลาะกันรึ?!
          อันฉี  : เปล่า เมื่อคืนข้าดื่มเหล้าไปหลายถ้วย ตื่นขึ้นมาเลยมึนๆหัวนิดหน่อย
       เสวี๋ยฉี  : เวียนหัวก็ไม่ต้องออกไปที่ไหน อยู่ให้ข้าได้เห็นหน้าเห็นตาเจ้าบ้าง
          อันฉี  : ข้านัดไว้กับองค์หญิงซือซือจะไปช่วยองค์หญิงเย็บถุงหอม
     หยงเป่า  : พี่ใหญ่พูดถูก เจ้าอย่าออกไปไหนเลย
     ซิ่นหลิง  : สงสัยจะทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ หลังกินข้าวเสร็จข้าจะไปบอกองค์หญิงให้ว่าเจ้าไม่สบาย
          อันฉี  : ไม่เป็นไร แค่เวียนหัวเดี๋ยวก็หาย กินข้าวกันเถอะ
       เสวี๋ยฉี  : หรือจะต้องให้ข้าไปบอกองค์หญิงด้วยตัวเองว่าเจ้าป่วย
          อันฉี  : เอ่อ ไม่ต้อง ข้าไม่ไปแล้วก็ได้
       เสวี๋ยฉี  : ลุกขึ้นมานั่งข้างๆข้าตรงนี้

          ฉันค่อยๆลุกขึ้นย้ายที่นั่งไปนั่งข้างๆเสวี๋ยฉีแต่โดยดี เขาใช้มือข้างหนึ่งแตะที่หน้าผาก แก้ม และคอเพื่อวัดไข้ แล้วพูดว่าฉันไม่มีไข้ ในขณะที่กำลังกินข้าว ฉันก็คิดถึงครั้งที่ฉันกับเสวี๋ยฉีอาบน้ำด้วยกัน หรือครั้งที่อยู่บนเตียงสัมผัสร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกัน ทุกส่วนของร่างกายเราต่างสัมผัสกันมาหมดแล้วแต่ความรู้สึกไม่เหมือนกับครั้งนี้ เขาทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ประหม่าและกลัว คงเป็นเพราะท่าทางเงียบขรึม ดูจริงจังของเขาแน่ๆ จากท่าทางตุ้งติ้งเอาอกเอาใจ กลับกลายเป็นผู้ชายมาดแมนซะงั้น ทำเอาฉันไม่คุ้นชินเอาเสียเลย เขาเอื้อมมือมาลูบไล้ที่ต้นขาฉันจนสะดุ้งแล้วถามฉันว่า...

       เสวี๋ยฉี  : กินหมั่นโถวมั้ย?
          อันฉี  : อื้ม!

          ฉันพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าปฏิเสธ เสวี๋ยฉีหยิบหมั่นโถวให้ เขายิ้มแล้วเลื่อนมือลูบไล้มาที่ต้นขาด้านในเฉียดฉิวเนินสวรรค์จนฉันขนลุก ฉันจึงรีบกินอาหารเช้าให้เสร็จเร็วๆ แล้วแยกตัวออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อสูดอากาศหายใจหายคอให้ทั่วท้องและเพื่อหลบหน้าเสวี๋ยฉี ไม่นานนักเสวี๋ยฉีก็เดินตามออกมาหาฉันในสวน ฉันจึงเดินเลี่ยงเพื่อกลับเข้าไปในตำหนัก แต่เสวี๋ยฉีจับแขนฉันไว้แล้วดึงตัวฉันเข้าไปกอดไว้แน่น

       เสวี๋ยฉี  : ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ากลัว เป็นเพราะข้ารักเจ้ามากเกินไป ข้าขอโทษ
          อันฉี  : ข้าเองก็ขอโทษท่านเช่นกัน ที่เมื่อเช้าข้าทำให้ท่านโกรธ
       เสวี๋ยฉี  : เจ้ากลัวข้ามากงั้นรึ
          อันฉี  : อืม...ข้ากลัวท่าทีที่เปลี่ยนไปของท่าน และกลัวท่านจะตายเพราะเลือดพรหมจรรย์เป็นพิษของข้า ข้าไม่ต้องการสูญเสียท่านไป
       เสวี๋ยฉี  : อย่ากลัวข้าเลยข้าจะไม่เป็นอะไร เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

          เสวี๋ยฉีโอบกอดฉอย่างอ่อนโยนเพื่อให้ฉันคลายหวาดกลัว เราเดินเล่นในสวนกันสักพักหนึ่ง หยงเป่าก็ตะโกนเรียกเสวี๋ยฉีชักชวนเล่นหมากกระดาน เราจึงเดินกลับเข้าด้านในตำหนัก เสวี๋ยฉีกับหยงเป่าจึงเริ่มเดินหมากกระดานด้วยกัน โดยมีฉันคอยนั่งป้อนขนมให้เสวี๋ยฉีกับหยงเป่าและคอยรินน้ำชาอยู่ข้างๆ สักพักซิ่นหลิงที่เพิ่งกลับจากตำหนักรับรององค์หญิงซือซือ เพราะเขาไปบอกองค์หญิงว่าฉันเวียนศรีษะไม่สามารถไปช่วยองค์หญิงเย็บถุงหอม

     ซิ่นหลิง  : องค์หญิงฝากบอกว่าให้เจ้าหายเร็วๆ องค์หญิงจะมาเยี่ยมเจ้าที่นี่ช่วงบ่าย และนกเหยี่ยวก็บินกลับมาแล้ว นี่จดหมายตอบกลับจากเมืองหนิงอัน ในจดหมายบอกว่า หมอจงเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงจินชางแล้ว พวกเขาจะส่งต่อจดหมายไปให้หมอจงที่บ้าน
          อันฉี  : พี่ใหญ่เมื่อองค์หญิงเดินทางกลับแคว้นฮุ่ยจู เราเดินทางไปพบอาจารย์ที่แคว้นจินชางกันเถอะ ข้าคิดว่าอาจารย์น่าจะมีตำราปรุงยาลับเก็บไว้แน่ๆ เพราะตระกูลจงเป็นตระกูลแพทย์ลูกหลานในตระกูลจึงต้องสืบทอดวิชาแพทย์ อาจารย์ต้องมีตำรายาดีๆที่ใช้ปรุงยาคู่กับหม้อต้มยาราชันเก็บไว้แน่นอน หม้อต้มยาราชันอยู่ที่ข้าขาดแต่สุดยอดตำรับยาเท่านั้น รีบหาวิธีปรุงยาพิษก่อนที่ปีศาจเยือกแข็งจะกลับมาเถอะ
     หยงเป่า  : น้องห้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าเห็นด้วย
          อันฉี  : ฮื่อๆ (ฉันพยักหน้า)
       เสวี๋ยฉี  : ก็ได้
      ซิ่นหลิง  : ป่านนี้เจ้าสี่จะเป็นยังไงบ้างนะ พลังเวทย์จะขึ้นถึงระดับไหนแล้ว เจ้าสี่นี่ร้ายลึกจริงๆ ดูซื่อบื้อๆแต่เผลอแป๊บเดียวมีกองกำลังนกอินทรีย์ดำเป็นของตัวเองแล้ว อีกหน่อยคงตามข้าทันแน่ๆ ข้าต้องหาเวลาไปสะสมกองกำลังแมงป่องเพิ่มซะแล้ว!
          อันฉี  : วันนี้ก็ว่างหนิ ก็ไปซะสิ! ข้าไม่หายไปไหนหรอก พี่ใหญ่กับพี่รองก็อยู่ อ้อ! แวะกลับบ้านเด็ดดอกบัวมายาสีน้ำเงินมาให้ข้าด้วย เด็ดมาหลายๆดอกหน่อยข้าจะเอามาปรุงน้ำอบพิษมายาอัญมณี แล้วก็เอาเนื้อกระต่ายเค็มตากแห้งมาให้ด้วย ข้าเบื่อหมู ไก่ เป็ดที่นี่แล้ว
     ซิ่นหลิง  : ข้าจะกลับมาให้ทันอาหารเย็น
          อันฉี  : แล้วพี่รองไม่คิดจะไปไหนบ้างรึ ไม่สะสมกองกำลังเสือดำบ้างรึ
     หยงเป่า  : ไม่หรอก! เสือดำมักใช้ชีวิตโดยลำพัง อีกอย่างข้าก็ไม่มีธุระที่ไหนด้วยสิ
          อันฉี  : งั้นวันนี้มาเรียนฝังเข็มกับข้า
     หยงเป่า  : ไม่!
          อันฉี  : พี่ใหญ่...
       เสวี๋ยฉี  : วันนี้เจ้าป่วย เจ้าก็อยู่นิ่งๆเฉยๆสักวัน รู้จักมั้ยคำว่าป่วยน่ะ
          อันฉี  : ก็ได้ ป่วยก็ป่วย

          ฉันจึงนั่งดูเสวี๋ยฉีและหยงเป่าเล่นหมากกระดาน จนถึงช่วงบ่ายองค์หญิงซือซือมาเยี่ยมฉันพร้อมด้วยไก่ดำตุ๋นและผลไม้สาลี่เป็นของเยี่ยม

       ซือซือ  : อันฉีเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากมาเยี่ยมเจ้าตอนเช้า แต่พี่ชายเจ้าบอกให้ข้ามาตอนบ่ายเพราะเจ้ากำลังนอนพักผ่อน
          อันฉี  : หม่อมฉันดีขึ้นแล้วเพคะ เพราะเมื่อคืนดื่มสุรามากไปหน่อย ตื่นเช้ามาเลยเวียนศรีษะ ต้องขอประทานอภัยที่ผิดนัดวันนี้
       ซือซือ  : ไม่เป็นไร เจ้าป่วยก็ต้องพักผ่อน เรื่องผิดนัดวันนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่เย็บถุงหอมเล็กๆน้อยๆ ข้ามาพักที่นี่เจ้าก็คอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้ข้าเหงา วันนี้เจ้าป่วยข้าก็ควรมาดูแลเจ้าบ้าง แต่เอ...เวลาเจ้าป่วยอาการเป็นแบบนี้รึ ป่วยที่ดูเหมือนไม่ป่วยอะไรเลย สมกับเป็นหมอเทวดา
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า ชู่ววว (ฉันส่งสัญญาณให้องค์หญิงรู้แล้วพยักเพยิดหน้าไปทางเสวี๋ยฉีที่กำลังเอนหลังนั่งอ่านตำรา)
       ซือซือ  : อ๋อเข้าใจแล้ว พี่ชายดุ! ไม่เป็นไรเขาไม่ให้เจ้าไปหาข้า งั้นพรุ่งนี้ข้ามาหาเจ้าที่นี่เอง เขาคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย (องค์หญิงกระซิบกระซาบกับฉัน)
     หยงเป่า  : ไม่ว่าอะไรหรอก องค์หญิงจะอยู่ทั้งวันเลยก็ได้ เย็นนี้ขอเชิญองค์หญิงอยู่กินอาหารเย็นด้วยกันสิ เย็นนี้มีเนื้อกระต่ายตากแห้งด้วย อร่อยนะ (หยงเป่ายกของว่างมาให้และได้ยินฉันกับองค์หญิงพูดคุยกันพอดี)
          อันฉี  : อยู่เสวยอาหารเย็นด้วยกันนะเพคะ
       ซือซือ  : ได้สิ! ข้าเองก็ยังไม่เคยกินเนื้อกระต่ายเลย อยากลองกินดูสักครั้ง อันฉีตำหนักดอกบัวเนี่ยใหญ่โตสวยจังเลย ดอกบัวบานสวยมาก ตกแต่งสวยงามกว่าตำหนักเสด็จพ่อของข้าที่แคว้นฮุ่ยจูซะอีก ฝ่าบาทคงรักเจ้าน่าดูถึงกับยกตำหนักดอกบัวให้เจ้าพัก (ซือซือกระซิบกระซาบกับฉัน)
          อันฉี  : ชู่ววว! องค์หญิงพูดอะไรระวังหน่อยเดี๋ยวพี่ชายหม่อมฉันได้ยิน

          เย็นนี้องค์หญิงซือซือจึงอยู่ร่วมกินอาหารเย็นด้วยกัน จากนั้นก็นั่งดื่มเหล้าด้วยกันนิดหน่อย สักพักใหญ่ๆฉันและซิ่นหลิงจึงเดินไปส่งองค์หญิงกลับตำหนักรับรอง ระหว่างทางเดินกลับซิ่นหลิงเล่าว่าเขาสามารถรวบรวมสมุนแมงป่องได้จำนวนหนึ่งในป่าอัคคี หากปีศาจเยือกแข็งบุกมาเราจะมีกองกำลังแมงป่องและแมงมุมจากป่าอัคคีมาช่วย ฉันชมซิ่นหลิงว่าเก่งแล้วเดินจับมือกันกลับตำหนักดอกบัว

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 50
(พบกับเหม่ยอิงอีกครั้ง)

          วันรุ่งขึ้นเฟยเจินกลับมาจากการกักตน ท่าทางเขาดูแข็งแรงขึ้น แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขามีพลังเวทย์เพิ่มขึ้นเป็น 1,100 ปี เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ฉันกอดและมองดู เฟยเจินด้วยความภูมิใจ ช่วงสายๆองค์หญิงมาหาฉันที่ตำหนัก นำถุงหอมมาเย็บด้วยเพื่อเป็นของที่ระลึกให้ฮ่องเต้และฮองเฮา องค์หญิงเห็นเฟยเจินเพิ่งกลับมาจึงเอ่ยทักทาย

       ซือซือ  : ดูเจ้าสิ! ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย หล่อขึ้นมากด้วย
     เฟยเจิน  : ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชม (เฟยเจินยิ้มเขินอาย)
          อันฉี  : เฟยเจินดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่เขาก็ยังขี้อายกับสาวสวยๆเหมือนเดิม องค์หญิงเราไปนั่งเย็บถุงหอมที่โต๊ะตรงนั้นกันดีกว่าเพคะ
       ซือซือ  : เจ้าพี่รองบอกข้าว่าพี่ชายของเจ้าทั้งสี่คนไม่ใช่คนธรรมดาพวกเขาเป็นเซียนลงมาปราบปีศาจ หากพวกเขาเป็นคนธรรมดาข้าคงต้องหวั่นไหวห้ามใจไว้ไม่ได้แน่ๆ เพราะพวกเขารูปงามกันเหลือเกิน (องค์หญิงพูดกระซิบกระซาบหยอกเย้ากับฉัน) พรุ่งนี้ข้าต้องกลับบ้านที่แคว้นฮุ่ยจูแล้ว เจ้าเขียนจดหมายมาคุยกับข้าบ้างนะ
          อันฉี  : เพคะองค์หญิง

          วันนี้องค์หญิงซือซืออยู่พูดคุยกับฉันทั้งวันที่ตำหนักดอกบัวและอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน เราจึงชวนองค์หญิงดื่มสังสรรค์เป็นการเลี้ยงส่งก่อนกลับแคว้นฮุ่ยจู โดยมีองค์ชายชงหยวนและท่านอ๋องตามมาร่วมดื่มด้วยเพิ่มความครึกครื้น ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเราส่งเสด็จองค์หญิงซือซือและองค์ชายชงหยวนกลับแคว้นฮุ่ยจู ฉันและพี่ชายทั้งสี่จึงกล่าวทูลลาฮ่องเต้และท่านอ๋องเพื่อเดินทางไปพบหมอจงที่แคว้นจินชาง

          เพียงครึ่งวันเราก็เดินทางมาถึงบ้านของหมอจงที่อยู่แคว้นจินชาง สภาพบ้านดูเงียบเหงาไม่มีคนงานทำงานเหมือนก่อน ฉันเรียกหาหมอจงแต่คนที่เดินออกมาจากห้องหมอจงกลับทำให้ฉันตกใจและใจหายวาบรู้สึกชาวูบไปทั้งตัว เพราะคนที่เดินออกมาคือคุณหนูเฉิงเหม่ยอิง

     เหม่ยอิง  : อันฉี! เจ้าเองหรอกรึ มาได้ยังไงเนี่ย เราเพิ่งได้รับจดหมายจากเจ้า รอตอบกลับไม่ไหวเลยรีบมาหาที่นี่เองเลยเหรอ เชิญๆนั่งกันก่อน แล้วพวกเขาเป็นใครกันรึ?
          อันฉี  : นี่พี่ชายทั้งสี่คนของข้า พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่
    เหม่ยอิง  : เห็นเขียนบอกมาในจดหมายว่าเจ้าแต่งงานแล้ว ข้าตกใจหมดเลย แต่เหวินหลางบอกข้าว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นสามีของเจ้าเขาเป็นพี่ชายของเจ้าเอง ที่เขียนว่าแต่งงานจึงเป็นเพียงการหยอกเล่น
หยงเป่า, ซิ่นหลิง  : ห๊า!!!
     เฟยเจิน, อันฉี  : ห๊า!!!
    เหม่ยอิง  : ข้าจะไปยกน้ำชามาให้ดื่ม รอสักครู่
          อันฉี  : พี่ใหญ่!!! ท่านเขียนอะไรในจดหมายกันนี่?!
      เสวี๋ยฉี  : ข้าเขียนว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้า และบอกเจ้าหมอหน้าปลาตายให้ส่งสุดยอดตำรายามาซะดีๆ
          อันฉี  : โธ่! พี่ใหญ่ท่านเขียนว่าข้าเป็นภรรยาของท่าน ข้าไม่โกรธเลย แต่ข้าให้ท่านเขียนขอคำแนะนำเรื่องปรุงยาจากอาจารย์ ไม่ใช่เขียนข่มขู่กรรโชกทรัพย์เขาแบบนั้น!
     ซิ่นหลิง  : เรื่องบางเรื่องเจ้าไว้วางใจให้พี่ใหญ่ทำไม่ได้นะ ฮ่าฮ่า
     หยงเป่า  : คิดไว้แล้วเชียวพี่ใหญ่ต้องแอบเขียนอะไรแปลกๆในจดหมาย
     เฟยเจิน  : ข้าก็ตกใจเหมือนกัน ดีนะที่พวกเขาไม่เชื่อ
      เสวี๋ยฉี  : เชอะ! ข้าไม่สนใจหรอก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าพอใจจะเขียนแบบนั้นข้าก็เขียน
          อันฉี  : เฮ่อ....

          ไม่นานนักเหม่ยอิงก็ยกน้ำชามาวางแล้วรินน้ำชาให้เราดื่ม ฉันจึงรีบถามหาหมอจงว่าเขาอยู่ที่ไหน แล้วทำไมเหม่ยอิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้

          อันฉี  : อาจารย์ไม่อยู่บ้านรึ? คุณหนูเฉิงกับอาจารย์.....เอ่อ......?
     เหม่ยอิง  : พี่หยูไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก ข้าอยู่กับเหวินหลางแค่สองคน แต่ตอนนี้เหวินหลางไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เพื่อสอบถามที่อยู่ใหม่ของพี่หยูให้เจ้า
          อันฉี  : เอ๊ะ! งั้นคุณหนูกับอาจารย์ก็ไม่ได้....เอ่อ....
     เหม่ยอิง  : (เหม่ยอิงส่ายหน้าแล้วเล่าต่อด้วยใบหน้าเศร้าว่า...) เมื่อครั้งเหตุการณ์ปราบกบฏ ท่านพ่อถูกจับกุมตัว องค์รัชทายาทแยกข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัย ในที่สุดท่านพ่อก็ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต เหล่าญาติมิตรก็ตัดขาดกับข้าเพราะกลัวจะถูกกล่าวหาสมรู้ร่วมคิดกบฎ ข้ารู้ว่าท่านพ่อทำผิดมหันต์ต่อชาติบ้านเมืองจนไม่อาจให้อภัย ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพ่อกระทำ แต่ถึงยังไงเขาก็คือท่านพ่อของข้า ครั้งหนึ่งข้าคิดฆ่าตัวตายตามท่านพ่อไป แต่เหวินหลางกลับมาพบเข้าพอดี เหวินหลางพยายามห้ามข้าแต่ข้าไม่ฟัง เหวินหลางจึงบอกว่าเขาจะฆ่าตัวตายตามข้าไปด้วย ข้าไม่อาจทนเห็นเหวินหลางฆ่าตัวตายได้ ข้าไม่อยากเห็นใครตายอีก เหวินหลางจึงพาข้ามาอยู่ที่นี่เขาบอกจะดูแลข้าเอง ข้าจึงได้รู้ว่าเหวินหลางไม่เคยทอดทิ้งข้าเลย และเขาคือคนที่ชอบกินถั่วเขียวต้มน้ำตาลของข้าในวัยเด็ก
          อันฉี  : แล้วอาจารย์ล่ะ?
     เหม่ยอิง  : เมื่อหลายวันก่อนพี่หยูกลับมาที่นี่ พี่หยูได้พูดคุยกับข้า เขายอมรับแล้วว่าเขาคือพี่หยูของข้าในวัยเด็ก เขาบอกกับข้าว่าให้ข้าลืมอดีตที่เจ็บปวดควรอยู่กับปัจจุบัน และอนาคตที่ดีที่กำลังจะเกิดขึ้น ความทรงจำและความรู้สึกในวัยเด็กของเขาครานั้นเป็นเพียงสีขาวดำที่ถูกลืมเลือน แต่ถูกเติมเต็มด้วยสีสันของปัจจุบันจนมีสีสันที่เปลี่ยนแปลงไป และเขาก็มีความสุขกับชีวิตปัจจุบันของเขา พี่หยูยังบอกอีกว่าบ้านหลังนี้องค์รัชทายาทเป็นผู้สร้างให้เขาพัก แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทมอบให้เป็นของขวัญแก่ข้ากับเหวินหลาง
          อันฉี  : งั้นคุณหนูเฉิงกับเหวินหลางก็ตกลงเป็นสามีภรรยากันแล้วเหรอ?
       เสวี๋ยฉี  : ไม่! เรายังไม่ได้แต่งงานกัน แค่พักอยู่บ้านเดียวกันไปก่อน แต่พักกันคนละห้อง เหมือนครั้งที่เราเคยอยู่ด้วยกันที่จวน ข้าขอเวลาทำใจเรื่องท่านพ่อสักพักหนึ่งก่อน จึงค่อยคิดเรื่องแต่งงาน ส่วนเรื่องพี่หยูอยู่ที่ไหนนั้นข้ากับเหวินหลางก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่องค์รัชทายาทต้องรู้แน่นอน เจ้ากับพี่ชายพักกันที่นี่ก่อนเถอะ ข้าจะไปเตรียมห้องพักไว้ให้ ห้องพักเก่าของเจ้ายังมีข้าวของหลงเหลืออยู่บ้างเจ้าพักห้องเดิมของเจ้าแล้วกัน
          อันฉี  : ขอบคุณมากคุณหนูเฉิง ต้องรบกวนแล้ว ข้าจะไปช่วยคุณหนูเฉิงจัดเตรียมห้องพัก
     เหม่ยอิง  : เจ้าเรียกข้าว่าเหม่ยอิงเถอะ เพราะตอนนี้ข้าไม่มีพ่อเป็นราชครูแล้ว เหวินหลางเล่าเรื่องของเจ้า และเรื่องที่เขาไปผจญภัยกับเจ้าให้ข้าฟังแล้วล่ะ เรื่องของเจ้าน่าทึ่งและดูน่าเหลือเชื่อมาก แต่ข้าก็เชื่อที่เหวินหลางเล่าเพราะเขาไม่เคยโกหกข้า เหวินหลางบอกข้าว่าเจ้าเป็นหมอหญิงประจำพระองค์ฮ่องเต้เมิ่งหลวนหลง แห่งแคว้นหลวนเซียน ข้ามองฐานะของเจ้าไว้แต่แรกไม่ผิดจริงๆ ว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนงานธรรมดา มิน่าล่ะพี่หยูถึงรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าต้องเรียกเจ้าว่าหมอหญิง หรือหมอเทวดาดีล่ะ?
          อันฉี  : เรียกข้าว่าอันฉีเถอะ
     เหม่ยอิง  : เมื่อเหวินหลางกลับมาเขาคงจะดีใจน่าดู ที่วันนี้เพื่อนของเขามาเยี่ยมเยียน เขาชื่นชมพี่ชายของเจ้ามากเลย เดี๋ยวจัดห้องเสร็จแล้วข้าจะเข้าครัวทำอาหารให้เจ้ากับพี่ชายของเจ้ากิน

          เหม่ยอิงเดินแยกออกไปครู่หนึ่งแล้วเดินกลับมาพร้อมเหล้า ถั่วคั่ว ยกมาวางให้พี่ชายทั้งสี่ดื่มรอเวลาเหวินหลางกลับมา สักพักใหญ่ๆเหม่ยอิงก็ยกของแกล้มและของว่างกลิ่นหอมฉุยที่นางปรุงในครัวมาให้พี่ชายกินแกล้มเหล้า พวกเขาต่างชมว่าเหม่ยอิงปรุงอาหารอร่อยมาก จนถึงเวลาเย็นเหวินหลางจึงกลับถึงบ้าน เขาดีใจมากที่พบเราอีกครั้ง เหวินหลางเดินเข้ากอดคอเฟยเจินทักทายกันอย่างสนิทสนม

          เหวินหลางเล่าว่า หมอจงเคยพูดไว้ว่าอยากไปอาศัยอยู่นอกเมืองแถวชนบท เพื่อรักษาคนไข้ที่ยากจนให้ได้มีโอกาสได้รับการรักษาและได้รับยาดีๆ องค์รัชทายาทได้ส่งต่อจดหมายของฉันให้หมอจงแล้ว และเขียนแผนที่ทางไปบ้านหลังใหม่ของหมอจงมาให้ เฟยเจินรับแผนที่ไว้ เราจึงเริ่มกินอาหารเย็นและพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันและกัน ฉันจึงแซวเหวินหลางว่าเขามีบ้านหลังใหญ่ ควรหาสาวใช้หรือคนงานมาช่วยงานเหม่ยอิงได้แล้ว เหวินหลางตอบว่าวันนี้องค์รัชทายาทเพิ่งมอบหมายให้เขาได้ทำงานเป็นหัวหน้ากองทหารในสังกัดของแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของฟางลี่จู อีกไม่นานต้องมีสาวใช้ และมีคนงานมาช่วยงานแน่นอน ทำเอาเหม่ยอิงยิ้มเขินอายและดีใจที่องค์รัชทายาทไว้วางใจให้โอกาสเหวินหลางได้ทำงานเป็นหัวหน้ากองทหารในพระราชวัง

เหวินหลาง  : พรุ่งนี้เช้าข้าขอเข้าไปรายงานตัวกับแม่ทัพก่อน เสร็จแล้วข้าจะพาพวกท่านไปพบพี่ชายของข้า
     หยงเป่า  : ไม่เป็นไร พวกข้าจะไปกันเอง
     เฟยเจิน  : ขอบใจเจ้ามากที่เป็นธุระจัดการให้

          คืนนี้เรานั่งดื่มเหล้ากับเหวินหลางและอยู่พูดคุยกันจนดึก เหวินหลางถามฉันถึงวิธีทำลายต้นเทียนมรกตที่อยู่ในโรงเรือนด้านหลังบ้านเพราะเขาลืมถามหมอจงก่อนที่หมอจงจะเดินทางจากไป เขาจึงไม่กล้าทำลายโดยพละการเพราะกลัวเหม่ยอิงจะได้รับอันตรายจากสมุนไพรพิษไปด้วย ฉันบอกเขาว่าให้ใช้ผ้าปิดจมูกขณะตัดต้นเทียนมรกตเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆจากดอกของมันเป็นพิษ ห้ามให้ผลตกลงสู่พื้นดินเพราะผลจะเจริญงอกงามต่อ ให้นำผลและต้นที่ตัดไปตากแดดให้แห้งตายสักสิบวันจึงค่อยฝังลงดิน ห้ามเผาไฟโดยเด็ดขาดเพราะความร้อนสูงจากไฟจะไปเผาผลาญให้ต้นเทียนมรกตเกิดน้ำมันหอมระเหยออกมาจะทำให้ได้รับพิษถึงขั้นหมดสติเสียชีวิตได้หากทำการรักษาไม่ทันท่วงที ฉันจึงให้ยาแก้พิษที่มีส่วนผสมของดอกยูงรำแพนแดงที่ฉันเก็บมาจากเกาะกระต่ายผีผสมกับเห็ดหลินจือขาว ให้เขาทั้งสองคนไว้เผื่อว่าได้รับพิษ จากนั้นเราจึงพากันเข้านอน ฉันนอนข้างๆเสวี๋ยฉีและหอมแก้มเขาก่อนนอนเหมือนเคยถัดมาเป็นเฟยเจิน หยงเป่า และซิ่นหลิง



หมายเหตุ

*ลู่เสียน (ชื่อปีศาจงูหิมะ) แปลว่า หยกบริสุทธิ์

* กุ้ยถิง (ชื่อปีศาจงูเขียว) แปลว่า ผู้ล้ำค่าและงามสง่า
*ม่อลี่ หมายถึง ดอกมะลิ

我又想你了 ฉันคิดถึงเธออีกแล้ว
YouTube by : LuLu Qun Music Channel


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 51
(หมู่บ้านคนยากจน)
       
          พอรุ่งเช้าหลังกินอาหารเช้าเสร็จ เราออกเดินทางไปหาหมอจงตามแผนที่ที่เหวินหลางให้มา สักพักใหญ่ๆเราก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งสภาพบ้านเรือนแลดูยากจน ผู้คนที่นี่มีไม่มากนักเพราะอยู่ห่างจากตัวเมือง ซิ่นหลิงถามชาวบ้านที่หาบฟืนเดินผ่านมาว่าแถวนี้มีบ้านหมอจงอยู่หรือไม่ ชาวบ้านจึงบอกทางไปบ้านหมอจงให้กับเรา เราเดินผ่านหมู่บ้านห่างออกไปไกลพอสมควรก็พบบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ที่หน้าบ้านมีโต๊ะตัวใหญ่วางอยู่ตัวหนึ่ง และมีห่อยาวางอยู่บนโต๊ะหลายห่อ คงเป็นห่อยาสามัญประจำบ้านเพื่อขายให้ชาวบ้านในราคาถูก ถัดไปข้างๆมีโต๊ะและม้านั่งตั้งวางอยู่ คงเป็นโต๊ะที่หมอจงไว้ใช้นั่งตรวจโรคให้คนไข้ และมีกระจาดใส่สมุนไพรวางเรียงกันที่หน้าบ้านจำนวนหนึ่ง เรามาหยุดยืนอยู่หน้าบ้าน เฟยเจินจึงเอ่ยถามว่า "มีใครอยู่หรือไม่?" เราก็ได้ยินเสียงผู้ชายตอบกลับมาว่า "อยู่ มาแล้วๆ" จากนั้นคนในบ้านก็เดินออกมา เขาคือศิษย์พี่ฉิงคุน

        ฉิงคุน  : อ้าว! ศิษย์น้อง! ดีใจจังเลยที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง ข้าถามอาจารย์เกี่ยวกับเจ้า อาจารย์บอกว่าเจ้าปลอดภัยดี ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ
          อันฉี  : ศิษย์พี่! ข้าก็ดีใจที่ศิษย์พี่ปลอดภัย ข้าก็คิดถึงศิษย์พี่เหมือนกัน

          ฉิงคุนจะโผเข้ากอดฉันด้วยความดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง แต่ติดเฟยเจินยืนขวางฉิงคุนไว้ไม่ให้กอดฉัน เสวี๋ยฉีดึงแขนฉันไว้ไม่ให้ฉิงคุนเข้าใกล้ ฉิงคุนจึงหยุดชะงักและทักทายทุกคนพร้อมเอ่ยถามเฟยเจินว่าสบายดีหรือไม่ เฟยเจินตอบสบายดี ฉิงคุนจึงรีบเชิญพวกเรานั่งลงตรงม้านั่งหน้าบ้านเพราะภายในบ้านยังคงรกและคับแคบและรีบไปยกน้ำชามาให้ดื่ม ฉันจึงถามฉิงคุนว่าอาจารย์อยู่ที่นี่หรือไม่ ฉิงคุนตอบว่าตอนนี้อาจารย์เข้าไปในเมืองเพื่อหาช่างมาก่อสร้างบ้านให้หลังใหญ่กว่านี้ เพื่อความสะดวกและให้มีสถานที่ในการเก็บยา ฉิงคุนยังเล่าอีกว่าตั้งแต่วันที่เราแยกจากกันวันนั้น ฉิงคุนเดินทางไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านกับพ่อ แม่ พี่สาวและพี่เขย โดยเขาจ่ายค่าแรงและเพิ่มเงินจำนวนหนึ่งเป็นการชดเชยให้กับคนงาน แล้วเขาก็ขนเอาหีบเงินทั้งหมดในห้องและสิ่งของสำคัญของหมอจงติดตัวกลับมาบ้านด้วย พอหมอจงส่งข่าวว่ากลับมาที่เมืองจินชางแล้ว เขาจึงเดินทางมาหาหมอจงที่นี่พร้อมด้วยหีบเงินของหมอจงที่เขาเก็บดูแลไว้ให้เป็นอย่างดี หมอจงจึงซื้อบ้านหลังต่อจากคนในหมู่บ้าน

          อันฉี  : ศิษย์พี่ช่างรอบคอบสมแล้วที่อาจารย์ไว้ใจฝากบ้านไว้กับศิษย์พี่
        ฉิงคุน  : ข้ามาอยู่ที่นี่ช่วยงานอาจารย์เหมือนเดิม แล้วเจ้าล่ะจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกใช่มั้ย? อาจารย์บอกไว้ว่าจะเพิ่มห้องว่างไว้ให้เจ้าด้วย เผื่อเจ้าอยากจะกลับมาเรียนต่อ หรือจะมาพักที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ข้าอยากให้เรากลับมาอยู่ด้วยกันอีก
     หยงเป่า  : ไม่! น้องห้าจะไม่อยู่ที่นี่ เราแค่มาพูดคุยธุระเสร็จแล้วเราจะกลับ
      ซิ่นหลิง  : อาจารย์ของเจ้าเก็บสุดยอดตำรายาไว้ที่ไหน เจ้าไปเอามาให้ข้า พวกข้าจะได้กลับกันสักที
        ฉิงคุน  : ตำรายาสำคัญบางเล่ม อาจารย์จะเป็นคนเก็บไว้ ข้าไม่มีลูกกุญแจเปิดหีบหรอก พวกท่านรอให้อาจารย์กลับมาก่อนดีกว่า งั้นเดี๋ยวข้าไปยกเหล้ามาให้พวกท่านดื่มระหว่างรออาจารย์กลับมาดีกว่า จะได้ใจเย็นๆลง ช่วงบ่ายอาจารย์ก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ
          อันฉี  : ข้าจะรออาจารย์กลับมา ขอโทษศิษย์พี่ที่พี่ชายของข้าใจร้อนไปหน่อย โปรดอภัย
       เสวี๋ยฉี  : รอทำไมให้เสียเวลาเจ้าหมอหน้าปลาตายเชื่องช้า ยกไปเลยทั้งหีบก็สิ้นเรื่อง ส่วนเรื่องไม่มีลูกกุญแจเปิดหีบไม่ใช่ปัญหาของข้าเลยสักนิด ข้าแค่ดีดนิ้วหน่อยเดียวแม่กุญแจก็หลุดออกแล้ว
          อันฉี  : พี่ใหญ่ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ขอร้องล่ะพวกพี่ๆโปรดใจเย็นกันก่อน รอให้อาจารย์กลับมาก่อนเถอะนะ มา ข้ารินน้ำชาให้ดื่ม
     เฟยเจิน  : พอพวกเขารู้ว่าหมอจงจะสร้างห้องพักเพิ่มให้เจ้า ทำให้พวกเขาหงุดหงิด พวกเขากลัวเจ้าเปลี่ยนใจอยู่ที่นี่ (เฟยเจินกระซิบบอกฉันผ่านหน้าเสวี๋ยฉีแล้วหัวเราะเบาๆ)
          อันฉี  : แล้วถ้าข้าเปลี่ยนใจอยู่ที่นี่ เจ้าจะอยู่กับข้าหรือเปล่า (ฉันกระซิบถามเฟยเจินผ่านหน้าเสวี๋ยฉี)
     เฟยเจิน  : อยู่ด้วยอยู่แล้ว! (เฟยเจินกระซิบตอบ)
       เสวี๋ยฉี  : จะกระซิบกันทำไม! อยู่ใกล้กันแค่นี้ ทำไมไม่คุยกับข้าโดยตรงไปเลยล่ะ! จะไม่มีใครอยู่ที่นี่ ได้ตำราแล้วก็กลับบ้าน (เสวี๋ยฉีเอาพัดเคาะหัวฉันกับเฟยเจินโทษฐานกระซิบกระซาบกัน)

          ครู่เดียวฉิงคุนยกเหล้าและของแกล้มออกมาวางให้พี่ชายดื่มให้ใจเย็นลง สักพักก็มีชาวบ้านชายคนหนึ่งในมือถือปลาตัวใหญ่มาสามตัวเดินเข้ามา ฉิงคุนรีบลุกขึ้นไปต้อนรับชาวบ้านชายคนนั้น ฉันจึงลุกขึ้นตามไปดูด้วย ฉิงคุนสอบถามอาการชายคนนั้น และจับชีพจรครู่หนึ่ง ชายคนนั้นบอกว่าเขาเพิ่งกลับจากการตกปลามีอาการหนาวๆร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ฉิงคุนจึงบอกชายคนนั้นว่าป่วยเป็นไข้ธรรมดามีไข้นิดหน่อยต้มยากินห่อเดียวก็หายแล้ว ฉิงคุนหยิบห่อยาที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้ชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นกล่าวว่าเขาไม่มีเงินเพราะวันนี้ตกปลาได้แค่สามตัวและเกิดมีอาการไข้จึงไม่มีปลาไปขายที่ตลาด ชายคนนั้นจึงจะมอบปลาสามตัวให้ฉิงคุนแทนเงิน เมื่อหายป่วยและขายปลาได้เขาจะนำเงินมาจ่ายให้ภายหลัง แต่ฉิงคุนรับปลาไว้แค่ตัวเดียวเท่านั้นเป็นค่ายา และบอกชายคนนั้นว่าให้เก็บปลาอีกสองตัวไว้ปรุงอาหารกิน ค่ายารักษาจ่ายเป็นปลาตัวเดียวก็พอแล้ว ชายคนนั้นขอบคุณฉิงคุนเป็นการยกใหญ่แล้วถือห่อยาเดินจากไป

          ครู่เดียวก็มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งเดินผ่านมาและหยุดที่หน้าบ้าน นางเอ่ยทักทายฉิงคุนและหันมาทักทายฉันด้วย ฉิงคุนแนะนำกับหญิงสูงอายุคนนั้นว่า ฉันเป็นศิษย์น้องเป็นลูกศิษย์หญิงของหมอจง หญิงสูงวัยเอ่ยชมฉันว่าน่ารักน่าเอ็นดู หญิงสูงอายุยังได้แบ่งผักสดและเห็ดป่าจำนวนหนึ่งที่นางเก็บมาได้ให้ฉิงคุนไว้ปรุงอาหาร นางกล่าวชื่นชมหมอจงไม่หยุดปากว่า หมอจงเป็นหมอที่เก่งมากและเป็นคนดีทำให้คนในหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนไม่มีเงินรักษาโรค สามารถหายป่วยได้เพราะหมอจงคิดค่ายาและค่ารักษาไม่แพง หญิงสูงอายุยังเล่าอีกว่านางเคยป่วยไอเรื้อรัง หมอจงรักษาให้จนมีอาการดีขึ้น แต่นางไม่มีเงินจ่าย หมอจงก็ไม่เคยทวงค่ารักษาและค่ายา นางจึงเก็บผักที่ได้และนำมาแบ่งปันให้หมอจงอยู่เรื่อยๆ ฉิงคุนจึงหยอกเย้าหญิงสูงอายุว่า

        ฉิงคุน  : ก็เพราะได้ป้าซิ่วนี่แหละ ข้ากับอาจารย์ถึงได้ไม่อดตาย มีผักไว้ปรุงอาหารกินทุกวัน ข้ากับอาจารย์เป็นหนี้ชีวิตท่านป้าซิ่วแล้วล่ะ
        ป้าซิ่ว  : แหม! พ่อหนุ่มคนนี้ช่างปากหวานจริงๆเชียว โฮะโฮะโฮะ ข้าต่างหากที่เป็นหนี้ชีวิตหมอจง หากไม่ได้หมอจงรักษาโรคให้ ข้าคงป่วยตายเพราะไม่มีเงินไปหาหมอ หมอจงเป็นหมอเทวดามาโปรดพวกเราในหมู่บ้านนี้จริงๆ
          อันฉี  : จริงอย่างที่ป้าซิ่วพูด ข้าเห็นด้วย อาจารย์เป็นหมอที่เก่งมากและเป็นคนดีมากๆ

          ทันใดนั้นมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งวิ่งตะโกนร้องเสียงโหวกเหวกผสมเสียงร้องไห้ วิ่งมุ่งหน้าตรงมาทางนี้ เฟยเจินลุกขึ้นแล้วใช้ดวงตานกอินทรีย์มอง เฟยเจินบอกว่ามีชาวบ้านเจ็ดคนกำลังอุ้มเด็กผู้ชายอายุประมาณหกขวบหมดสติคนหนึ่งมาทางนี้ พี่ชายอีกสามคนจึงลุกขึ้นมายืนเตรียมพร้อม และมองชาวบ้านกลุ่มนั้นว่ามาดีหรือร้าย เมื่อชาวบ้านกลุ่มนั้นวิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้น ป้าซิ่วจึงร้องอุทานตกใจขึ้นว่า

        ป้าซิ่ว  : โอ๊ะ!!! นั่นอาไท่นี่นา อาไท่เป็นอะไร?!
        ฉิงคุน  : อาไท่ เป็นใครรึ?!
        ป้าซิ่ว  : อาไท่ เป็นลูกชายของเจียวซินกับช่างหลิว เป็นคนในหมู่บ้าน เมื่อเช้าข้ายังเห็นอาไท่วิ่งเล่นที่หน้าบ้านอยู่เลย เกิดอะไรขึ้นกับอาไท่กันเนี่ย?!

          ชาวบ้านกลุ่มนั้นวิ่งหน้าตาตื่นอุ้มเด็กชายที่หมดสติมาที่หน้าบ้าน พี่ชายทั้งสี่จึงรีบเก็บของที่วางบนโต๊ะออกแล้วบอกให้อุ้มเด็กมาวางบนโต๊ะ ชายวัยกลางคนที่อุ้มเด็กที่ฉันเดาว่าน่าจะเป็นพ่อของเด็กรีบขอร้องฉิงคุนให้ตามหมอจงมาช่วยรักษาเด็กถูกงูกัดที่แขนแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นงูอะไรกัดลูกชายเขา เพราะขณะนั้นเด็กกำลังวิ่งเล่นอยู่คนเดียวที่หน้าบ้าน จึงไม่มีใครเห็นตอนเด็กถูกงูกัด เขาเห็นเด็กนอนหมดสติอยู่หน้าบ้านจึงรีบอุ้มมาหาหมอ แต่ตอนที่กำลังอุ้มมาเด็กยังหายใจอยู่ ฉิงคุนรีบตอบว่าตอนนี้หมอจงไม่อยู่ที่บ้านจะกลับมาช่วงบ่าย ส่วนคนเป็นแม่ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ร้อนใจที่หมอจงไม่อยู่และเริ่มร้องไห้หนักขึ้น นางรีบคุกเข่าขอร้องฉิงคุนให้ช่วยรักษาลูกชายของนางด้วย ฉิงคุนรีบบอกให้นางลุกขึ้น เขารีบตรวจชีพจรเด็กและเอามือแตะที่จมูกพบเด็กไม่หายใจ ทำเอาชาวบ้านพากันตกใจเอามือทาบอก ส่วนแม่ของเด็กก็ร้องไห้โฮจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นที่รู้ว่าเด็กหยุดหายใจแล้ว ฉิงคุนหันมามองหน้ากับฉันแล้วพูดว่า...

        ฉิงคุน  : อาจารย์ไม่อยู่เสียด้วยสิ! เราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ยาแก้พิษงูจึงยังไม่มี อีกทั้งเด็กก็ไม่หายใจแล้วด้วย เอาไงดีล่ะศิษย์น้องช่วยข้าคิดหน่อย
          อันฉี  : เด็กถูกงูพิษประเภททำลายระบบประสาท ดูจากอาการและพิษที่ตรงรอยกัดแล้ว เด็กน่าจะถูกงูจงอางกัด (ฉันชี้นิ้วมาที่ดวงตาของฉันส่งสัญญานบอกฉิงคุนว่าฉันแอบเปิดดวงตาปีศาจตรวจพิษแล้ว)
       เสวี๋ยฉี  : อ้อ! รอยกัดและพิษแบบนี้ถูกงูจงอางกัดแน่นอน แต่พวกเขาพาเด็กมาช้าไปหน่อย เด็กไม่รอดแล้วล่ะ (เสวี๋ยฉีที่ขยับเข้ามาดูรอยงูกัดที่แขนเด็ก)
         อันฉี  : เฮ้อ! พี่ใหญ่ของข้าพูดไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย... ศิษย์พี่! เดี๋ยวท่านทำตามที่ข้าบอกเด็กอาจมีทางรอด เอาล่ะ! ทุกคนถอยห่างออกไปหน่อย คนไข้และคนรักษาต้องการอากาศหายใจ ศิษย์พี่ตรวจภายในช่องปากเด็กให้โล่ง หากมีอะไรติดค้างในช่องปากหรือคอให้ใช้นิ้วควานออกมา
        ฉิงคุน  : อื้ม! ข้าตรวจแล้วไม่มีอะไรติดขัดในปากและคอ
          อันฉี  : ดี! ศิษย์พี่สกัดจุดพิษแล้วเอาน้ำมาล้างแผลที่ถูกงูกัด บีบเลือดออกจากแผลให้มากที่สุด ส่วนข้าจะแบ่งลมหายใจทำให้เด็กหายใจได้อีกครั้ง อ้อ! พี่ชายทั้งสี่ของข้าโปรดยืนกันชาวบ้านไว้อย่าให้ใครเข้ามาเกะกะขณะทำการรักษา!

          ฉันมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคนโดยไว แล้วเริ่มทำ CPR หรือการนวดหัวใจและผายปอดให้เด็กที่กำลังนอนหมดสติไม่หายใจ ทั้งฉิงคุนและชาวบ้านต่างตกใจที่เห็นฉันทำการนวดหัวใจและผายปอด เป็นการรักษาที่แปลกประหลาดและน่ากลัว แต่ฉิงคุนก็ปล่อยให้ฉันนวดหัวใจและผายปอดต่อไป เพราะเขาเคยเห็นการรักษาที่แปลกประหลาดมากกว่านี้ของฉันมาแล้ว เขาจึงไว้ใจในวิธีการรักษาของฉัน ส่วนเขาก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจเช่นกัน ไม่นานนักเด็กชายก็เริ่มหายใจและเริ่มรู้สึกตัว พร้อมด้วยเสียงร้องไชโยด้วยความดีใจของชาวบ้านที่ลุ้นกันตัวโก่ง ฉิงคุนบีบเลือดออกจากแผลจำนวนมาก ฉันมองด้วยดวงตาปีศาจเห็นพิษงูถูกบีบออกมาจนเริ่มเจือจาง ฉันจึงบอกฉิงคุนว่าพิษงูในตัวเด็กเจือจางแล้ว ขาดแต่ยารักษาเท่านั้น ฉันหันไปถามชาวบ้านที่ยืนดูอย่างใจจดใจจ่อว่ามีใครรู้จักรากโลดทะนงแดงหรือไม่? ฉันจะนำมาฝนกับน้ำให้เด็กดื่มแก้พิษงู ทั้งหมดพากันงุนงง พร้อมตอบว่าชื่อสมุนไพรแปลกประหลาดไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วสมุนไพรที่ฉันถามถึงมีลักษณะเป็นอย่างไรพวกเขาจะรีบไปหามาให้ ฉันจึงนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นภาษาที่โลกเก่าของฉัน ผู้คนที่โลกนี้จึงไม่มีใครรู้จัก ฉิงคุนบอกว่าสมุนไพรสำหรับรักษาพิษงูไม่มีขึ้นในละแวกนี้เขาเคยสอบถามชาวบ้านและเคยเดินสำรวจละแวกหมู่บ้านด้วยตัวเองแล้วไม่มีสมุนไพรสำหรับรักษาพิษงูเลย จำเป็นต้องซื้อจากในเมืองซึ่งหมอจงกำลังหาซื้อสมุนไพรรักษาพิษงูอยู่เช่นกัน ฉิงคุนยังถามฉันด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจอีกว่า

        ฉิงคุน  : เมื่อกี้เจ้าใช้วิชาอะไรทำให้คนตายแล้วฟื้น เด็กหยุดหายใจไปแล้วแต่กลับมาหายใจได้อีกครั้ง เจ้าสอนวิชานี้ให้ข้าบ้างสิ!
          อันฉี  : วิชายื้อชีวิต เป็นการนวดหัวใจและแบ่งลมหายใจ อาจารย์สอนวิชานี้ให้ข้าตอนที่เจินเจินจมน้ำที่เกาะกระต่ายผี ศิษย์พี่ขอเรียนวิชานี้กับอาจารย์ได้เลย (ฉันโกหกฉิงคุนว่าหมอจงสอนวิชาให้ฉัน แล้วพูดต่ออีกว่า...) แต่ตอนนี้เราต้องรีบปรุงยาแก้พิษงูให้เด็กก่อน เด็กอายุยังน้อยอาจจะทนพิษงูไม่ไหวแม้พิษงูจะเจือจางแล้วก็ตาม เอางี้ข้าจะเข้าไปปรุงยาในบ้าน ห้ามให้ใครแอบดูเข้าใจมั้ย
        ฉิงคุน  : เจ้ามีสมุนไพรปรุงยารึ แล้วเมื่อกี้เจ้าถามหาสมุนไพรชื่อแปลกประหลาดนั่นทำไมกัน?
          อันฉี  : เพราะตอนแรกข้าจะปรุงยารักษาพิษงูแบบธรรมดาน่ะสิ แต่ในเมื่อสมุนไพรมันไม่มีก็ต้องปรุงยาชนิดพิเศษกันแล้วล่ะ มานี่ข้าจะบอกอะไรให้! (ฉันกระซิบเบาๆกับฉิงคุนว่า...) ข้าจะปรุงยาจากพิษงูหยกหิมะขาวเป็นพิษงูชนิดแรงมาก แรงกว่าพิษงูจงอางบ้านๆที่กัดเด็กนั่นหลายร้อยเท่า ข้าจะใช้พิษงูหยกหิมะขาวฆ่าพิษงูจงอางให้หมดไปจากตัวเด็ก และข้าจะผสมยาต้านพิษงูหยกหิมะขาวลงไปในตัวยาอีกที เพื่อไม่ให้เด็กได้รับพิษงูหยกหิมะขาว อีกทั้งยายังช่วยสมานแผลและเป็นบำรุงกำลังให้เด็กฟื้นตัวเร็วขึ้นภายในชั่วข้ามคืน
        ฉิงคุน  : แล้วงูหยกหิมะขาวเป็นงูชนิดไหนกัน ข้าไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินชื่องูชนิดนี้มาก่อนเลย พิษรุนแรงขนาดไหนรึ?!
          อันฉี  : พิษงูหยกหิมะขาวเป็นพิษที่มีความรุนแรงน้อยกว่าพิษงูเหมันต์ห้าสีแค่นิดเดียวเอง
        ฉิงคุน  : พิษงูเหมันต์ห้าสีที่พี่ใหญ่ของเจ้าเคยซัดใส่อาจารย์จนเกือบตายครานั้นอ่ะนะ?! แล้วเด็กจะไม่ตายเอารึ?!
          อันฉี  : ใช่! ไม่ตายหรอก
        ฉิงคุน  : แล้วพิษงูหยกหิมะขาวจะไปเอาจากที่ไหนได้ล่ะ?
          อันฉี  : เอาจากที่เค้า! (ฉันชี้นิ้วไปที่เสวี๋ยฉี ทำเอาฉิงคุนตกใจตาโต)
        ฉิงคุน  : เป็นพิษงูของเขาอีกแล้วเรอะ?! ผู้ชายคนนี้น่ากลัวจริงๆเลย กลัวเด็กจะตายอีกครั้งจัง!
          อันฉี  : เด็กได้ตายอีกครั้งแน่! ถ้าเราไม่รีบรักษาตอนนี้ แต่! ศิษย์พี่ห้ามบอกชาวบ้านเรื่องยาตัวนี้เด็ดขาด ชาวบ้านจะหวาดกลัวเอาได้
        ฉิงคุน  : เอ้า! เอาไงเอากัน ข้าเชื่อใจเจ้า เราเริ่มปรุงยากันเลย

          ฉันจึงเรียกเสวี๋ยฉีเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูลงสลัก ฉันกอดเสวี๋ยฉีแล้วจูบแลกลิ้นกับเขาครู่หนึ่ง เสวี๋ยฉีทำสีหน้างอนนิดหน่อยแล้วพูดขึ้นว่า

      เสวี๋ยฉี  : ที่เจ้าจูบกับเด็กน้อยเมื่อกี้ ข้าจะพยายามไม่ถือสาเพราะเขายังเด็ก แต่ข้าก็ไม่ชอบใจอยู่ดี
          อันฉี  : ข้าไม่ได้จูบกับเด็ก แต่ข้าเป่าลมหายใจเข้าปากเขาต่างหาก เพื่อให้เขากลับมาหายใจได้อีกครั้ง (ฉันจึงเป่าลมใส่ปากเสวี๋ยฉีแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง)
      เสวี๋ยฉี  : แบบนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้วเป่าปากแบ่งลมหายใจ เจ้าคงไม่ได้เรียกข้าเข้ามาเพราะแค่อยากอธิบายให้ข้าเข้าใจแค่นี้หรอกใช่มั้ย?
          อันฉี  : ใช่! ข้าต้องการน้ำลายของท่าน ท่านปล่อยพิษงูหยกหิมะขาวออกมาพร้อมกับน้ำลายใส่ลงในกานี้ ข้าจะนำมาปรุงยาแก้พิษงูจงอาง (ฉันเดินไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่ในบ้านแล้วเปิดฝากาออกยื่นกาให้เสวี๋ยฉี)
      เสวี๋ยฉี  : เจ้านี่นับวันยิ่งหาผลประโยชน์จากตัวข้ามากขึ้นทุกที ว่าแต่ว่า...ข้าจะได้อะไรตอบแทนจากการช่วยครั้งนี้ล่ะ
          อันฉี  : แล้วท่านอยากได้อะไรล่ะ ข้าก็จะให้
      เสวี๋ยฉี  : เจ้ารู้ดีว่าข้าต้องการอะไรจากเจ้า

          เสวี๋ยฉีเอื้อมมือมาบีบก้นฉัน แล้วบ้วนน้ำลายที่มีพิษงูหยกหิมะขาวปนออกมาด้วย ฉันจึงบ้วนน้ำลายของฉันที่เป็นยาต้านพิษ สมานแผลและบำรุงกำลัง บ้วนใส่ลงในกาน้ำชา จากนั้นโรยผงปีกนกกระเรียนใส่ลงในกาน้ำชาด้วยเล็กน้อยเป็นยาช่วยขับพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้สะอาดขึ้น แล้วใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงชาวบ้านกำลังพูดคุยกับฉิงคุนด้านนอก

    เจียวซิน  : ท่านศิษย์พี่! ลูกชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง อาไท่จะปลอดภัยมั้ย?! (นางถามไปพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย)
    ช่างหลิว  : ท่านศิษย์พี่ต้องการสมุนไพรอะไรบอกข้าสิ ลักษณะมันเป็นยังไงข้าจะรีบไปเก็บมาให้
    ชาวบ้าน  : ใช่ๆ บอกพวกเรามาเลย พวกเราจะไปช่วยกันหา
        ฉิงคุน  : ท่านลุงท่านป้าทั้งหลายโปรดใจเย็น สมุนไพรรักษาพิษงูไม่มีขึ้นในละแวกหมู่บ้านนี้ แต่อย่าห่วง ศิษย์น้องของข้า นางเชี่ยวชาญการรักษาพิษ ศิษย์น้องกำลังปรุงยารักษาพิษงูจงอางอยู่ข้างในบ้าน รับรองเราจะช่วยให้อาไท่ลูกชายของท่านลุงให้ปลอดภัย
   ช่างหลิว  : แล้วเมื่อไหร่หมอจงจะกลับมาล่ะเนี่ย ข้ากลัวอาไท่จะเป็นอะไรไปน่ะสิ ข้าร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว
        ป้าซิ่ว  : ช่างหลิวเอ๊ย...เชื่อใจลูกศิษย์ของท่านหมอจงเถอะ พวกเขาไม่ปล่อยให้อาไท่เป็นอะไรไปหรอก เจ้าเห็นรึเปล่าลูกชายเจ้าหยุดหายใจไปแล้ว แต่พวกเขากลับช่วยให้อาไท่กลับมาหายใจได้อีกครั้ง เจ้าเคยเห็นหมอในเมืองคนไหนทำแบบนี้ได้รึเปล่าล่ะห๊า?!
    ชาวบ้าน  : ใช่ๆ ช่างหลิวเราต้องไว้ใจพวกเขานะ หมอจงเป็นหมอที่เก่งและดีมาก ลูกศิษย์ของหมอจงก็ต้องเก่งเหมือนอาจารย์ของเขาอยู่แล้ว
    ช่างหลิว  : ท่านศิษย์พี่ได้โปรดช่วยอาไท่ด้วย

          ครู่เดียวเมื่อฉันคนตัวยารักษาพิษเข้ากันเสร็จเรียบร้อย ฉันเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับเสวี๋ยฉี ในมือฉันถือกาน้ำชาที่ภายในมียารักษาพิษงูผสมอยู่ ชาวบ้านที่ยืนรอฉันอย่างใจจดใจจ่อต่างมองจ้องฉันอย่างมีความหวัง ฉันบอกให้ฉิงคุนเทน้ำเปล่าใส่ชามแกง จากนั้นเทน้ำชาที่มียาถอนพิษเพียงเล็กน้อยใส่ในชามแกงที่ฉิงคุนถือรอไว้ ฉันบอกฉิงคุนว่ายารักษาพิษงูชนิดพิเศษนี้ ตัวยามีความเข้มข้นมาก หากใช้รักษากับคนธรรมดาที่ไม่มีพลังยุทธจำเป็นต้องผสมน้ำเปล่าให้เจือจาง ไม่เช่นนั้นผู้รับยาอาจทนไม่ไหวและเกิดอาการชักกระตุก หัวใจจะเต้นเร็วเกินไปจนหัวใจวาย เพราะตัวยาที่เข้มข้นเกินไป ฉิงคุนเข้าใจที่ฉันอธิบาย ฉันช่วยฉิงคุนประคองเด็กเพื่อให้เขาป้อนยาทันที เมื่อยาเข้าปากเด็กน้อยเริ่มมีอาการบิดเกร็งตัวอยู่ครู่เดียว ทำเอาพ่อกับแม่ของเด็กและชาวบ้านพากันตกใจเพราะกลัวเด็กชักกระตุกตามที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้

          เพียงครู่เดียวเด็กหยุดอาการเกร็งตัวแล้วค่อยๆลืมตาปรือมองที่ฉิงคุน เมื่อได้สติเด็กจึงร้องเรียกหาแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า "แม่จ๋า..." พ่อกับแม่ของเด็กได้ยินดังนั้นจึงรีบกรูกันเข้ามากอดเด็กชายด้วยความดีใจที่เห็นลูกชายปลอดภัย รวมทั้งชาวบ้านที่มาช่วยต่างพากันดีใจไปตามๆกัน พี่ชายทั้งสามจึงปล่อยให้ชาวบ้านเข้ามาดูอาการของเด็กชายตัวน้อย ซึ่งเด็กชายบอกกับแม่ของเขาว่าเจ็บแขนแล้วยกแขนข้างที่ถูกงูกัดให้แม่เขาดู ฉันจึงเดินเข้าไปดูแขนของเด็กชายแล้วพูดว่า

          อันฉี  : ไหน...เจ็บตรงไหน ให้พี่สาวดูหน่อยซิ
        อาไท่  : เจ็บตรงนี้ เจ็บมากๆ
          อันฉี  : เจ็บตรงนี้เหรอ เดี๋ยวพี่สาวใส่ยาให้นะ (ฉันล้วงหยิบยาใส่แผลว่านโซ่โลหิตผสมว่านไร้รู้สึกออกมาโรยใส่แผลให้) อาไท่เก่งมาก ดูสิไม่ร้องไห้เลย เข้มแข็งจริงๆ พี่สาวจะพันแผลให้ อย่าเพิ่งแกะผ้าพันแผลออก อย่าให้แผลโดนน้ำหนึ่งวัน พรุ่งนี้ก็หายเจ็บแล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยแกะผ้าพันแผลออกได้ เข้าใจที่พี่สาวบอกมั้ย?
        อาไท่  : (อาไท่พยักหน้ารับพร้อมชี้นิ้วไปบนฟ้า แล้วพูดต่ออีกว่า...) ท่านตาใจดีที่อยู่บนก้อนเมฆบอกว่าถ้าข้าไม่ร้องไห้ พี่สาวจะพาข้ากลับบ้าน

          ชาวบ้านทุกคนรวมทั้งฉิงคุนพากันอึ้งและตกตะลึงกับคำพูดของอาไท่ เจียวซินแม่ของอาไท่จึงถามอาไท่ด้วยความงุนงงว่าท่านตาใจดีเป็นใคร ทำไมถึงไปอยู่บนก้อนเมฆ อาไท่ก็ตอบไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไปจึงไม่รู้คำตอบว่าทำไมถึงมีท่านตาใจดีไปอยู่บนก้อนเมฆ ฉิงคุนจึงพูดขึ้นว่าอาไท่คงจะฝันตอนที่หมดสติ แต่ชาวบ้านกลับไม่เชื่อและแย้งว่า ตอนอาไท่หมดสติตอนนั้นอาไท่หยุดหายใจไปแล้วจะฝันได้อย่างไร ฉิงคุนจึงทำเฉไฉแล้วหันมาถามฉันว่า...

        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง ข้าต้องจัดยาบำรุงให้ไปต้มกินหรือไม่
          อันฉี  : ไม่ต้อง แค่ยาที่ดื่มไปเมื่อกี้ก็พอแล้ว ท่านลุงท่านป้ารีบพาอาไท่กลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเถอะพรุ่งนี้ก็หายแล้ว
        จิ้นทง  : เอ่อ...ท่านศิษย์น้อง ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าขอขอบคุณที่ท่านช่วยอาไท่หลานชายของข้าให้รอดชีวิต ไม่ทราบว่าท่านคิดค่ายาและค่ารักษาเท่าไหร่รึ?
          อันฉี  : ยาของข้าเป็นของหายากมากและมีราคาแพง แค่ค่ายาอย่างเดียวก็...ทองคำหนึ่งหีบเล็ก นี่ข้ายังไม่คิดค่าตรวจโรคเลยนะ
        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง! พวกเขาไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก
      ซิ่นหลิง  : ทองคำหนึ่งหีบเล็ก พวกเจ้าหามาจ่ายไม่ได้งั้นแสดงว่าทองคำหนึ่งหีบเล็ก มีค่ามากกว่าชีวิตเด็กคนนั้น จนพวกเจ้าไม่ยอมสูญเสียทองคำ
     หยงเป่า  : หากชีวิตเด็กคนนั้นมีค่าน้อยกว่า ทองคำหนึ่งหีบเล็ก งั้นข้าจะเอาชีวิตเด็กคนนั้นกลับคืน ส่วนทองคำหนึ่งหีบเล็กน้องห้าก็จะไม่เอาจากเจ้า พวกเจ้าอย่าใช้คำว่ายากจนมาอ้างเพื่อรักษาแล้วไม่จ่ายเงินหน่อยเลย
        จิ้นทง  : เดี๋ยวก่อน! พวกท่านโปรดเข้าใจพวกเราด้วย เราไม่ได้เห็นชีวิตมีค่าน้อยไปกว่าทองคำเลย แต่ครอบครัวเราเป็นคนยากจนจริงๆ ถึงพวกเราจะยากจนแต่พวกเราก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ข้าจะขอยืมเงินคนในหมู่บ้านมาให้พวกท่านก่อนแต่คงไม่พออยู่ดี ข้าขอเวลารวบรวมเงินทองหน่อยได้ไหมสักเจ็ดวัน ข้าจะไปขอยืมคนหมู่บ้านอื่นมาจ่ายให้
          อันฉี  : เจ็ดวันช้าเกินไป ข้าไม่ว่างอยู่รอถึงเจ็ดวัน เอาล่ะ! ข้าจะลดราคาให้ก็แล้วกัน ท่านจ่ายเป็นอาหารมื้อกลางวันสำหรับข้าและพี่ชายทั้งสี่คนของข้าและศิษย์พี่ด้วยเพราะตอนนี้ข้าหิวมาก และที่สำคัญมากอีกอย่างข้าขอฝากท่านดูแลอาจารย์และศิษย์พี่ของข้า ด้วยการแบ่งปันอาหาร ผักและผลไม้มาให้บ้างแบบที่ป้าซิ่วทำก็จะดีมากๆ เพราะอาจารย์และศิษย์พี่ของข้าคงไม่ค่อยมีเวลาออกไปหาปลาและเก็บผักเองเพราะเขาทั้งสองคนคงจะยุ่งอยู่กับการปรุงยาและหาสมุนไพร
        จิ้นทง  : โอ๊ะ! ท่านศิษย์น้อง ขอบพระคุณท่านมากจริงๆ พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณที่ท่านช่วยอาไท่ไว้เลย ส่วนเรื่องหมอจงและท่านศิษย์พี่นั้น ท่านศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ตั้งแต่ท่านหมอจงและท่านศิษย์พี่มาอยู่ที่นี่พวกเราก็มองว่าเขาทั้งสองคนเป็นคนในหมู่บ้านเราเหมือนกัน
        ฉิงคุน  : ใช่แล้วศิษย์น้อง พวกเขามักปรุงอาหารแล้วแบ่งมาให้ข้ากับอาจารย์กินบ่อยๆ คนในหมู่บ้านก็ล้วนมีน้ำใจแบ่งปันเนื้อสัตว์และผักมาให้บ่อยๆเหมือนกัน
          อันฉี  : อืม ได้ยินแบบนี้ข้าก็สบายใจ อาจารย์คิดถูกแล้วที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่ถ้าหากวันใดพวกเขารังแกศิษย์พี่กับอาจารย์ให้รีบบอกข้า ข้าจะมารับให้ไปอยู่ด้วยกัน
        ป้าซิ่ว  : เอ๊ะ! แม่หนูศิษย์น้องไม่ได้จะมาอยู่ด้วยกันที่นี่หรอกรึ? เจ้าเก่งขนาดนี้อยู่ที่นี่ด้วยกันเถอะ ข้าจะเก็บผักเก็บเห็ดมาแบ่งให้เจ้ากินทุกวัน
          อันฉี  : ข้าไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่หรอก ข้ามาพบอาจารย์เพื่อพูดคุยธุระเสร็จแล้วก็จะกลับน่ะ
        ป้าซิ่ว  : แม่หนูศิษย์น้องมาจากเมืองไหนรึ?
          อันฉี  : ข้ามาจากแคว้นหลวนเซียน
        จิ้นทง  : มาจากแคว้นหลวนเซียนรึ?! ข้าเคยได้ยินข่าวเขาพูดกันหนาหูในเมืองว่าหมอเทวดาที่แคว้นหลวนเซียนสามารถชุบชีวิตคนตายแล้วฟื้น รักษาคนไข้โดยไม่หวังเงินทอง ขอแค่ปรุงอาหารอร่อยๆให้กินจนอิ่มก็พอใจแล้ว อีกทั้งหมอเทวดายังมีพี่ชายรูปงามสี่คนติดตามไปด้วยทุกที่ และหมอเทวดายังเป็นลูกศิษย์หมอเทวะแคว้นจินชางบ้านเราอีกด้วย แล้วเมื่อกี้ท่านศิษย์น้องก็ชุบชีวิตอาไท่ให้ฟื้น พอรักษาเสร็จก็บ่นว่าหิวมาก อีกทั้งยังไม่สนใจเงินทอง ลักษณะตรงกับหมอเทวดาที่เขาพูดถึงกันเหลือเกิน ถ้างั้นท่านศิษย์น้องก็คือหมอเทวดา แล้วหมอจงก็คือหมอเทวะน่ะสิ!!! โอ๊ะ! ไม่อยากจะเชื่อเลยหมอเทวดากับหมอเทวะอยู่ในหมู่บ้านของเรา หมอเทวดากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง หมู่บ้านเราช่างโชคดีเหลือเกิน
    ชาวบ้าน  : โห! ใช่จริงๆด้วย ท่านศิษย์น้องเป็นหมอเทวดาไม่ผิดแน่ ดีจริงๆเลย
          อันฉี  : อุ๊บ!!! แย่แล้ว! ข้าไม่ใช่ๆ
        ฉิงคุน  : นี่ๆ! ท่านป้าท่านลุงทั้งหลายพวกท่านอย่าสรุปกันเอาเองแบบนั้นสิ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว พวกท่านกำลังทำให้ศิษย์น้องของข้าลำบากใจ อาจารย์ก็จะพลอยลำบากใจไปด้วย อาจารย์ชอบความสงบไม่ชอบความวุ่นวายจึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะศิษย์น้องไม่ชอบให้ใครทึกทักว่าเป็นหมอเทวดา พวกท่านอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปพูดให้ผู้คนแห่กันมาสร้างความวุ่นวายใจให้อาจารย์เลย มิเช่นนั้นอาจารย์อาจจะย้ายไปหาที่สงบที่อื่นอยู่
       จิ้นทง  : พวกเราจะไม่สร้างความวุ่นวาย แต่ขอให้พวกเราได้ปรุงอาหารมื้อเย็นให้พวกท่านกินอีกมื้อด้วยจะได้หรือไม่ ขอท่านหมอ เอ๊ย! ขอท่านศิษย์น้องและท่านพี่ชายทั้งสี่อยู่กินอาหารเย็นกับพวกเราชาวบ้าน เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยอาไท่ อ้อ! หมู่บ้านของเราหมักเหล้าดื่มกันเองมีรสชาติดี เราจะเอามาให้ท่านพี่ชายทั้งสี่ดื่ม ได้โปรดรอสักครู่ พวกเราจะรีบไปปรุงอาหารมื้อกลางวันมาให้เดี๋ยวนี้เลย
          อันฉี  : พี่จ๋าว่าไงรับคำเชิญพวกเขาหรือไม่
       เสวี๋ยฉี  : ตามใจเจ้ารอง เจ้าสาม เจ้าสี่ ถ้าทั้งสามคนรับคำเชิญข้าก็ไม่ขัด (เสวี๋ยฉีหันมามองหน้าฉันแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพราะฉันบอกเขาไว้ว่าคืนนี้ฉันจะตามใจเขาทั้งคืน)
     หยงเป่า  : ก็ได้ ข้าเองก็หิวข้าวแล้ว
     ซิ่นหลิง  : ก็ได้ ยกเหล้ามาให้ข้าดื่มก่อน ข้ารอเจ้าหมอหน้าปลาตายเบื่อจะแย่อยู่แล้ว
     เฟยเจิน  : ตกลง พวกเจ้ารีบไปปรุงอาหารมาเร็วๆ น้องห้าของข้าหิวจะแย่แล้ว

          ชาวบ้านจึงรีบกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อปรุงอาหารกลางวันมาให้เรากินพร้อมทั้งไหเหล้าสี่ไหที่ถูกยกมาวางไว้ให้พี่ชายทั้งสี่ดื่มและเล่นหมากกระดานกันแก้เบื่อ ฉันกับฉิงคุนเมื่อกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จ จึงแยกตัวไปนั่งดื่มน้ำชาพูดคุยกันที่ม้านั่งหน้าบ้าน ฉันถามฉิงคุนว่า ขายยาแลกปลาแบบนี้จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวกิน ฉิงคุนตอบว่าที่ทำแบบนี้ได้เพราะหมอจงรับรักษาโรคให้คนรวยที่เชิญเขาไปตรวจรักษาในเมืองด้วยค่ารักษาและขายยาในราคาแพงมาก แม้ราคาจะแพงมาก พวกคนร่ำรวยพวกนั้นก็ยินดีจ่ายขอให้ได้รักษากับหมอเทวะ อีกทั้งอาจารย์ยังทำงานให้องค์รัชทายาท อาจารย์จึงมีองค์รัชทายาทคอยสนับสนุนเรื่องการเงิน จึงสามารถขายยาให้กับคนยากจนในราคาถูกได้ หากบ้านสร้างเสร็จเมื่อไหร่อาจารย์ก็จะจ้างงานคนในหมู่บ้านที่ยังไม่มีงานทำ ให้มาทำงานกับเรา คนในหมู่บ้านก็จะมีงานทำและมีรายได้ เออนี่! ยาแก้พิษงูชนิดพิเศษนั่นยังมีเหลืออยู่อีกมั้ย แบ่งให้ข้าสักหน่อยสิ ข้าอยากได้ไว้ใช้เวลาเดินทางไปส่งยาให้ลูกค้าและเวลาเข้าป่าหาสมุนไพรไว้ใช้เมื่อถูกงูกัด
          อันฉี  : ได้สิ ข้าเทใส่ขวดไว้แล้ว ข้าให้ศิษย์พี่หมดทั้งขวดเอาไปเลย สรรพคุณรักษาพิษงูได้ทุกชนิด เพราะปรุงจากตัวยาสำคัญสามชนิดคือพิษพญางูหยกหิมะขาว กับวารีทิพย์นกอัคคีสวรรค์และผงปีกนกกระเรียนผสมกับน้ำชาค้างคืนเย็นชืดในบ้านหมอเทวะ และอย่าลืม! เทตัวยาเพียงเล็กน้อยผสมกับน้ำให้เจือจางก่อนดื่ม อย่าใช้พร่ำเพรื่อควรใช้เวลาที่จำเป็นเท่านั้น เพราะขวดต่อไปข้าขายในราคา ทองคำหนึ่งหีบเล็ก
       ฉิงคุณ  : เจ้าก็หน้าเงินใช่ย่อย! หมอเทวดาหน้าเงิน ฮ่าฮ่า แต่ข้าก็ดีใจที่ข้ามีศิษย์น้องเป็นหมอเทวดา และข้ามีอาจารย์เป็นหมอเทวะ จะมีใครโชคดีเท่าข้าไม่มีอีกแล้ว
          อันฉี  : ศิษย์พี่รู้ได้ยังไงว่าผู้คนให้ฉายาข้าว่าหมอเทวดา อาจารย์บอกศิษย์พี่รึ?
        ฉิงคุน  : อาจารย์ไม่ได้บอกข้าหรอก เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์ไม่ใช่คนพูดมาก แต่ข้าสงสัยเกี่ยวกับเจ้ามานานแล้ว เพราะกฏของอาจารย์ไม่รับลูกศิษย์เป็นหญิง แม้กระทั่งตรวจโรคหรือรักษาบาดแผลที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าผู้หญิงอาจารย์ยังไม่ตรวจเลย แต่อาจารย์กลับแหกกฏของตัวเองรับเจ้าเป็นศิษย์ง่ายๆเพียงแค่อ่านจดหมายแนะนำตัวเจ้าฉบับเดียวจากหมอหวัง และก็เรื่องที่อาจารย์ไว้ใจให้เจ้าติดตามไปเกาะกระต่ายผีและให้เจ้าไปช่วยทำงานสำคัญกับอาจารย์ที่จวนราชครูนั่นก็ด้วย นั่นแสดงว่าเจ้าต้องมีฝีมือดีและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ และที่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหมอเทวดาเพราะข้าได้ยินข่าวแบบเดียวกันกับชาวบ้าน ว่าหมอหญิงเทวดาแห่งแคว้นหลวนเซียนสามารถชุบชีวิตฮ่องเต้ที่ตายไปแล้วให้ฟื้นอีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์หมอเทวะแห่งแคว้นจินชางอีกด้วย แล้วศิษย์หญิงคนเดียวของหมอเทวะก็คือเจ้า ข้าเคยถามเรื่องนี้กับอาจารย์แต่อาจารย์พูดแค่ว่า "อย่าเชื่อข่าวลือให้มากนักจะทำให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ว่าศิษย์น้องจะเป็นอะไร ก็ยังคงเป็นศิษย์น้องของข้าและเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ จงสนับสนุนเมื่อเห็นศิษย์น้องมีความสุข และจงอย่าทอดทิ้งเมื่อเห็นศิษย์น้องมีความทุกข์"
          อันฉี  : ศิษย์พี่....ช่างเป็นคำพูดที่กินใจเหลือเกิน
        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง... (ฉิงคุนเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้เรากุมมือกันส่งสายตาซาบซึ้ง)

          เฟยเจินเดินเข้ามาแกะมือฉิงคุนออกจากที่กุมมือกับฉันและแทรกตัวนั่งลงตรงกลางระหว่างฉันกับฉิงคุน จากนั้นเฟยเจินเอื้อมมือมาจับมือกับฉันแทน

        ฉิงคุน  : แหมเฟยเจิน! ข้ากับศิษย์น้องแค่แสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อกันเท่านั้นเอง
     เฟยเจิน  : ซาบซึ้งใจกันพอแล้ว เจ้าไปดูชาวบ้านพวกนั้นหน่อย พวกเขามามุงดูอะไรกัน
        ฉิงคุน  : อ้าว! ไหงชาวบ้านมาทำอะไรกันเยอะแยะ นี่ยกกันมาทั้งหมู่บ้านหรือเปล่าเนี่ย?!
        จิ้นทง  : เอ่อ...พวกเรามารอตรวจโรคกับหมอจง
        ฉิงคุน  : ทั้งหมดนี่เลยรึ?!
    ชาวบ้าน  : ใช่แล้วท่านศิษย์พี่
          อันฉี  : แต่อาจารย์ยังไม่กลับมาเลย งั้นข้าจะช่วยตรวจโรคให้ก่อนแล้วกัน ใครรอหมอจงกลับมาไม่ไหวจะตรวจรักษากับข้า เชิญแยกมาทางนี้
    ชาวบ้าน  : ข้า ข้า ข้าตรวจ (ชาวบ้านต่างแย่งกันเข้าแถวรอตรวจ)
        ฉิงคุน  : อ้าว! เมื่อกี้บอกมารอตรวจกับหมอจงแต่ไหงแห่ให้ศิษย์น้องตรวจกันหมดทั้งหมู่บ้าน ดีนะที่ศิษย์น้องไม่ใช่คู่แข่งกับอาจารย์ ไม่งั้นข้ากับอาจารย์ถูกแย่งลูกค้าไปหมดแน่ๆ

          ฉิงคุนยืนบ่นพึมพำแต่ก็มาช่วยฉันตรวจโรคให้ชาวบ้าน ซิ่นหลิงและเฟยเจินมาช่วยจัดระเบียบแถวและจัดดูแลความเรียบร้อย ชาวบ้านให้เหตุผลว่าที่รวมตัวกันมาตรวจรักษากับฉัน เพราะฉันต้องกลับแคว้นหลวนเซียนคืนนี้ พวกเขาจึงอยากตรวจรักษาโรคกับฉันสักครั้ง เพื่อว่าครั้งหนึ่งเคยรักษาโรคกับท่านศิษย์น้องลูกศิษย์หญิงของหมอเทวะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกและไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มีทั้งหมอเทวดาและหมอเทวะอยู่พร้อมกันสองคนที่นี่ ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้น คงเหมือนกับเวลาที่เราเจอกับไอดอลหรือดาราที่เราชื่นชอบหรือคนที่กำลังถูกเป็นที่สนใจ เราก็อยากเข้าไปดูใกล้ๆและจับมือด้วยสักครั้งเพื่อจะได้มีเรื่องอวดคนอื่นว่าเราเคยได้ใกล้ชิดกับคนเด่นดังมาแล้ว ฉันจึงรับรักษาโรคให้ชาวบ้านที่นั่นโดยบางอาการฉันใช้ยาชนิดพิเศษของฉันรักษาให้เพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับชาวบ้าน และบอกกับชาวบ้านว่าฉันเป็นหมอที่เก่งขึ้นได้เพราะมีอาจารย์ดีและเก่งอย่างหมอจงคอยอบรมบ่มวิชาให้

          มีชาวบ้านจำนวนหลายคนมีอาการปวดกล้ามเนื้อเพราะต้องทำงานยกของหนัก ฉันจึงส่งขวดน้ำมันหอมระเหยดอกบัวมายาสีน้ำเงินให้ฉิงคุนทาบริเวณที่ปวดโดยไม่ต้องนวดให้ชาวบ้าน

        ฉิงคุน  : เอ๊ะ! น้ำมันนวดนี้เมื่อเช้าอาจารย์ก็ใช้นวดหัวไหล่ก่อนออกไปในเมือง ข้าจำกลิ่นหอมได้ แต่ข้าถามอาจารย์ไม่ทันว่าเป็นน้ำมันอะไร
          อันฉี  : นี่คือน้ำมันนวดหอมระเหยดอกบัวมายาสีน้ำเงินข้ากับอาจารย์ช่วยกันปรุงขึ้นมาเพื่อใช้นวดคลายปวดเมื่อย หายชะงัดนัก ใช้ดมแก้วิงเวียน ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ดี ทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยชนิดพิษไม่รุนแรงก็ทาได้ ของมีจำนวนจำกัด เพราะขวดต่อไปราคา สองหีบเล็กเหรียญเงิน
        ฉิงคุน  : งั้นข้าไม่ใช้นวดให้ชาวบ้านหรอก ราคาแพงขนาดนี้ข้าเสียดาย ข้าก็อยากเก็บไว้ใช้เองเหมือนกัน ข้าอยากรู้จังใครกันที่ทุ่มเงินซื้อยาราคาแพงเหล่านี้ของเจ้า
          อันฉี  : ฮ่องเต้แคว้นหลวนเซียนน่ะสิทุ่มเงินซื้อยาของข้าไม่อั้น อ่ะนี่! สำหรับศิษย์พี่ข้าให้หนึ่งขวด
        ฉิงคุน  : นั่นไง! เจ้ามีคนสนับสนุนใหญ่โตแบบนี้นี่เองจึงไม่สนใจเงินทองเล็กๆน้อย ขอบใจศิษย์น้อง!

          ฉิงคุนทาน้ำมันดอกบัวมายาสีน้ำเงินให้คนไข้แล้วให้คนไข้นั่งรอเวลาสักครู่หนึ่งเพื่อให้ตัวยาแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง จากนั้นฉิงคุนจึงมาช่วยฉันตรวจรักษาคนไข้คนอื่นต่อ ชาวบ้านบางคนมีอาการคอเคล็ดเพราะนอนตกหมอน ฉันจึงแกล้งจับศรีษะคนไข้หันหน้าไปมาซ้ายขวาหกครั้ง แต่ฉันแอบใช้พลังฝ่ามือวางปะคบที่คอจนคอคนไข้หายเคล็ดในเวลาอันรวดเร็ว ทำเอาชาวบ้านต่างพากันตกตะลึงที่คอหายเคล็ดทันตาเห็น ส่วนชาวบ้านที่ทาน้ำมันนวดดอกบัวมายาสีน้ำเงินก็เริ่มหายคลายจากอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต่างพากันตื่นเต้นฮือฮาอีกครั้ง เพราะพวกเขาหายปวดได้อย่างรวดเร็ว และมีชาวบ้านบางคนที่มีอาการผื่นคันตามผิวหนังเพราะแพ้ขนสัตว์ ฉันจึงคิดจะปรุงยาแก้ผื่นคัน และเพื่อให้หมอจงเก็บยาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ฉันจึงเรียกเฟยเจินเข้าไปในบ้าน แล้วเดินไปหยิบกาน้ำชาและเทน้ำเปล่าใส่ลงในกา ฉันถือกาน้ำชานั้นเดินมาหาเฟยเจินและจูบแลกลิ้นกับเฟยเจินอย่างดูดดื่ม ทำให้เฟยเจินงุนงงที่จู่ๆฉันก็เรียกเฟยเจินเข้ามาจูบ

     เฟยเจิน  : เจ้าเรียกข้าเข้ามาจูบทำไม เจ้ากำลังตรวจรักษาโรคให้ชาวบ้านอยู่มิใช่รึ?
          อันฉี  : ข้าต้องการให้เจ้าคายพิษผงฝุ่นสุริยะออกมากับน้ำลายแล้วบ้วนใส่กานี่ ข้าจะปรุงยารักษาผื่นคันให้ชาวบ้าน
     เฟยเจิน  : แต่พิษฝุ่นสุริยะมีพิษรุนแรงชาวบ้านทนพิษไม่ไหวหรอก
          อันฉี  : เถอะน่า! ข้ารู้วิธีปรุงยา

     เฟยเจินจึงบ้วนน้ำลายผสมพิษฝุ่นสุริยะลงในกาน้ำชา และฉันก็บ้วนน้ำลายผสมยาต้านพิษฝุ่นสุริยะและฟื้นฟูร่างกาย แล้วผสมผงปีกนกกระเรียนอีกนิดหน่อยลงในกาน้ำชาเพื่อช่วยขับพิษและช่วยชำระผิวหนังให้สะอาด ฉันใช้ช้อนคนตัวยาในกาน้ำชาให้เข้ากันเรียบร้อย แล้วโน้มคอเฟยเจินลงมาจูบแลกลิ้นกันอีกครั้งเป็นการขอบคุณก่อนที่จะเปิดประตูออกมา ฉันส่งกาน้ำชาที่มีตัวยาอยู่ในนั้นให้ฉิงคุนเทยาแบ่งใส่ขวดเล็กๆให้คนไข้นำไปผสมน้ำจนเจือจางอาบตามปกติโดยไม่ต้องแช่ตัว เพราะตัวยามีความเข้มข้นจึงไม่จำเป็นต้องแช่ตัว หากแช่ตัวจะทำให้ผิวหนังกลายเป็นผื่นแดงใหม้ แสบ ร้อน

          อันฉี  : ศิษย์พี่ ยานี้ถ้าขายในเมืองขวดละ หนึ่งหีบเล็กทอง แบ่งใส่ขวดเล็กๆขายได้หลายขวด รวยแน่
        ฉิงคุน  : เจ้ามีหัวการค้าไม่เบาเลย น่าจะย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่
      ซิ่นหลิง  : เอาล่ะ! คนไข้คนต่อไปเชิญนั่งที่เก้าอี้เลย ส่วนใครที่มีอาการผื่นคันให้มารับยาไปผสมน้ำอาบทางนี้
          อันฉี  : หลิงหลิง พี่สามของข้าเรียนรู้ช่วยงานข้าได้รวดเร็วดีจริงๆ กลับไปเราน่าจะเปิดกิจการโรงหมอ ให้หลิงหลิงเป็นพนักงานต้อนรับน่าจะดี
     ซิ่นหลิง  : เจ้ากำลังใช้งานข้าผิดประเภท
     เฟยเจิน  : ข้าว่าพี่สามก็ดูเหมาะสมอยู่นะ ฮ่าฮ่า
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 52
(ยาพิษโลหิตรักนิรันดร์)

          ขณะที่เรากำลังง่วนตรวจรักษาโรคให้ชาวบ้านกันอยู่นั้น หมอจงที่ในมือถือห่อสมุนไพรหลายห่อกำลังเดินแหวกกลุ่มชาวบ้านเข้ามายืนทำหน้า งง งง อยู่ตรงหน้าฉัน ฉิงคุนเห็นหมอจงจึงเอ่ยทักว่า "อาจารย์! อาจารย์มาแล้ว" ฉันรีบหันหน้าไปมองพอเห็นว่าเป็นหมอจงก็ลืมตัวจะลุกขึ้นไปกอดด้วยความดีใจ ซิ่นหลิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆขยับเอาตัวยืนขวาง ฉันจึงโผกอดซิ่นหลิงแทน

          อันฉี  : อาจารย์! คิดถึงจังเลย!
      หมอจง  : นี่มันอะไรกันเนี่ย?! ทำไมชาวบ้านมารวมตัวกันอยู่ที่นี่?!
        จิ้นทง  : ท่านหมอเทวะ เอ่อ ท่านหมอจง...ตอนที่ท่านไม่อยู่ อาไท่หลานชายของข้าถูกงูจงอางกัดหมดสติจนหยุดหายใจ โชคดีที่ได้ท่านศิษย์น้องช่วยไว้ ตอนนี้อาไท่อาการดีขึ้นทันตาเห็นเลย พวกเราชาวบ้านพอรู้ว่าท่านศิษย์น้องจะกลับแคว้นหลวนเซียนคืนนี้ เราจึงมาขอให้ท่านศิษย์น้องตรวจรักษาโรคให้ เย็นนี้พวกเราชาวบ้านจะร่วมกันปรุงอาหารเพื่อเป็นการขอบคุณท่านศิษย์น้องและพวกท่านที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนอย่างพวกเราให้มีโอกาสรักษาโรคกับหมอเก่งๆและได้รับยาดีๆ ท่านหมอจงสั่งสอนลูกศิษย์ดีเหลือเกิน ศิษย์ของท่านเก่งกันทุกคน
      หมอจง  : อืม...เข้าใจแล้วแบบนี้นี่เอง
        ฉิงคุน  : อาจารย์กลับมาเหนื่อยๆนั่งพักก่อน
          อันฉี  : อาจารย์นั่งพักก่อน เดี๋ยวข้าตรวจชาวบ้านอีกไม่กี่คนก็เสร็จแล้ว อาจารย์ได้รับจดหมายของข้ารึเปล่า
      หมอจง  : ข้าได้รับแล้ว ลายมือในจดหมายเขียนเรียบร้อยสวยมาก ข้ารู้ได้ทันทีว่าเจ้าไม่ได้เขียนเอง เพราะลายมือของเจ้ามันโย้ไปเย้มาเหมือนไก่เมาเหล้าหกล้ม
          อันฉี  : ฮ่าฮ่าฮ่า อาจารย์ชื่นชมข้าเกินไปแล้ว
        ฉิงคุน  : อาจารย์ว่าเจ้าลายมือไม่เอาไหนต่างหาก!
     หยงเป่า  : แล้วตำรายาล่ะมีหรือไม่
      หมอจง  : มี ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว ข้าจะมอบให้กับอันฉีเอง
          อันฉี  : เอาล่ะ! ข้าตรวจรักษาชาวบ้านเสร็จแล้ว เฮ่อ! นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ข้าตรวจรักษาคนไข้เป็นงานเป็นการหน่อย อาจารย์ข้าพอจะเป็นหมอเต็มตัวได้หรือยัง?
        ฉิงคุน  : ที่เจ้ารักษามาทั้งหมดนี่ไม่ได้เรียกว่าเป็นหมอรึ?!
      หมอจง  : อันฉี เจ้ายังเป็นหมอไม่ได้หรอก เจ้ายังใช้วิธีลัดในการรักษาคนไข้อยู่เลย ถึงวิธีรักษาและตัวยาที่ใช้จะหายเร็วในชั่วพริบตาก็จริง แต่มันก็ทำให้คนไข้และตัวเจ้าเองต้องเสี่ยงอันตรายไปด้วย ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้คนไข้หายป่วยเร็วๆ แต่เจ้าคิดถึงผลที่จะตามมาภายหลังหรือไม่ เจ้าดูวันนี้ไว้เป็นตัวอย่างว่าเกิดความวุ่นวายยังไง นี่แค่หมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านเดียว หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหมู่บ้านอื่น พวกเขาจะแห่แหนกันมาอีกเท่าไหร่ แล้วไหนจะพวกเศรษฐีที่กำลังตามหาตัวเจ้าอีกล่ะจะวุ่นวายกันเพียงใดเจ้ารู้หรือเปล่า แต่ก็ขอบใจที่เจ้าช่วยชีวิตเด็กในหมู่บ้านไว้ ข้าเข้าใจว่าวันนี้เป็นเหตุจำเป็นยากจะหลีกเลี่ยงเพราะที่นี่ไม่มียารักษาพิษงู ขอบใจเจ้ามากจริงๆ
       เสวี๋ยฉี  : หนอย! เจ้าหมอหน้าปลาตาย แล้วเจ้าเก่งนักรึไง บังอาจมาบอกว่าสาวน้อยของข้าเป็นหมอไม่ได้ สาวน้อยของข้าต้องเหนื่อยขนาดไหน ต้องมานั่งรักษาชาวบ้านตั้งมากมายแทนเจ้า แต่เจ้ากลับไปเดินเพลิดเพลินอยู่ในเมือง มันน่าฆ่าให้ตายอีกรอบนึง! (เสวี๋ยฉีลุกขึ้นมาต่อว่าหมอจง)
          อันฉี  : พี่ใหญ่ใจเย็นๆ! อาจารย์พูดถูกแล้วข้าลืมนึกถึงเรื่องพวกนี้ไป อาจารย์ข้าขอโทษที่ทำเรื่องวุ่นวายวันนี้
      หมอจง  : ไม่เป็นไร เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ข้าไม่ได้โกรธอะไรข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น
       เสวี๋ยฉี  : เชอะ! เจ้ากลัวว่าสาวน้อยของข้าจะเก่งกว่าเจ้าล่ะสิ!
          อันฉี  : พี่ใหญ่ขอร้องล่ะใจเย็นๆ ข้าขอคุยธุระกับอาจารย์หน่อยนะ ท่านเล่นหมากกระดานกับพี่รองไปพลางๆก่อน

          ฉันเดินโอบเอวเสวี๋ยฉีให้ไปนั่งเล่นหมากกระดานกับหยงเป่าที่กำลังยกเหล้าดื่มโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร หยงเป่าบอกว่าแค่เรื่องทุ่มเถียงกันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตและเขาเองก็ไม่ถนัดทุ่มเถียงกับใคร แต่ถ้าจะฆ่ากันเมื่อไหร่ให้บอกเขาจะลงมือฆ่าให้ทันที ทำเอาใจฉันกังวลแล้วเดินเข้าไปกอดคอหยงเป่า บอกเขาว่าวันนี้จะไม่ฆ่าใครทั้งนั้น

          จากนั้นหมอจงพาฉันเข้าไปพูดคุยในบ้าน หมอจงบอกว่าเขากับองค์รัชทายาทเคยค้นหาเรื่องราวและประวัติของปีศาจเยือกแข็งวิเคราะห์ออกมาได้ว่า ปีศาจเยือกแข็งเกิดขึ้นเพราะความเคียดแค้นเกลียดชังที่ปีศาจเยือกแข็งมีต่อบิดาที่ขายวิญญานของเขาให้กับปีศาจในดินแดนเส้นขอบฟ้า หมอจงบอกว่าความรักจะเอาชนะความเกลียดชัง หมอจงลุกขึ้นเดินไปไขกุญแจเปิดหีบใบหนึ่งที่มุมห้อง เขาหยิบตำราสีน้ำตาลเก่าๆเล่มบางออกมาเล่มหนึ่ง แล้วบอกฉันว่า...

      หมอจง  : นี่คือตำรายาต้องห้ามของตระกูลข้า "โลหิตนิรันดร์" เป็นตำรายามารถูกสั่งห้ามปรุงยาในตำรานี้และห้ามเปิดเผยตำราสู่ภายนอก
          อันฉี  : เห๊?! แล้วทำไมถึงเป็นตำรายาต้องห้ามล่ะ เป็นยาพิษร้ายแรงงั้นเหรอ
      หมอจง  : ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นตำรายาทำให้กำเนิดบุตร เป็นตำราคนละเล่มกับของเจ้าที่เจ้าเคยสอนข้า ตำราเล่มนี้มีทั้งพลังความรักและพลังด้านมืดของมาร วิธีการปรุงยาก็โหดเหี้ยมนัก ต้องเสพสมกับหญิงพรหมจรรย์ด้วยความรักในคืนพระจันทร์อับแสงแล้วสังเวยชีวิตคนใดคนหนึ่งให้มารเพื่อแลกกับพลังมาร จากนั้นให้นำเลือดพรหมจรรย์และของเหลวที่ได้จากการเสพสมมาผสมกับเลือดของตัวเองลงในหม้อยาราชันคนให้เข้ากันแล้วนำยาที่ได้ไปป้ายที่หน้าท้องหญิงที่ต้องการมีบุตร
          อันฉี  : ใครเป็นคนคิดค้นตำรายานี้เนี่ยใจร้ายมาก คิดวิธีแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน?!
      หมอจง  : ก่อนที่ตำราเล่มนี้จะปรากฏขึ้น มีลูกหลานคนหนึ่งในตระกูลจง แต่งงานมีภรรยาอยู่ด้วยกันหลายปีแต่ก็ไม่มีบุตร ทั้งสองรักกันมากแต่ฝ่ายสามีถูกครอบครัวกดดันอย่างหนักให้แต่งภรรยารองเข้าบ้านเพื่อให้มีบุตร แต่ฝ่ายภรรยาที่รักสามีและหึงหวงไม่ยินยอมให้สามีแต่งภรรยาใหม่ ฝ่ายสามีที่รักภรรยามากเช่นกันจึงยอมตามใจภรรยาไม่แต่งงานใหม่ ฝ่ายสามีจึงออกเดินทางไปค้นหาตำรายาให้กำเนิดบุตร เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายสามีได้ตำรายามารกลับมาและได้แอบไปผูกสัมพันธ์รักกับหญิงสาวแรกรุ่นคนหนึ่ง เขาหลอกหญิงสาวแรกรุ่นคนนั้นให้ทำพิธีโลหิตนิรันดร์ ที่เรือนหลังเล็กในสวนหลังบ้านและเอ่ยขอบุตรชายกับหญิงสาว ด้วยความรักและไว้ใจหญิงสาวตอบตกลง ในขณะที่เขากำลังเสพสมกับหญิงสาวแรกรุ่น และกำลังลงมือฆ่าหญิงสาว ภรรยาเขาแอบมาเห็นเข้าด้วยความตกใจและหวาดกลัวนางจึงวิ่งกลับห้องและเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้น สามีของนางกลับมากลางดึกเขาเอาเลือดที่ได้จากทำพิธีโลหิตนิรันดร์ป้ายที่หน้าท้องของภรรยา และร่วมรักกับภรรยาอีกครั้งในคืนนั้น พอรุ่งเช้าสามีของนางยังคงทำตัวเป็นปกติ แต่ภรรยากลับหัวใจสลายไม่สามารถรับได้กับสิ่งที่เห็นในคืนนั้น นางเริ่มเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องไม่พูดคุยกับใคร จนเวลาผ่านไปนางก็ตั้งครรภ์สมใจ แต่อาการซึมเศร้าของนางกลับไม่ดีขึ้น วันหนึ่งนางเรียกสาวใช้คนสนิทมาพูดคุยแล้วเล่าเรื่องคืนนั้นให้สาวใช้ฟัง จากนั้นนางบอกให้สาวใช้ออกไปซื้อพุทราอบแห้งให้นางที่ตลาด พอสาวใช้กลับมาพบว่านางผูกคอตายเสียชีวิตพร้อมบุตรในครรภ์ สาวใช้เล่าทั้งน้ำตาอีกว่านายหญิงรู้เรื่องพิธีกรรมคืนนั้น แต่สาวใช้ก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงจึงมิได้ใส่ใจในเรื่องที่นายหญิงเล่า สร้างความเสียใจให้กับผู้เป็นสามีเป็นอย่างมากที่สูญเสียภรรยาและลูกไปพร้อมกัน กลางดึกคืนนั้นเขาจึงดื่มยาพิษฆ่าตัวตายตามภรรยาและลูก เรื่องนี้ถูกปิดไว้เป็นความลับ จากนั้นตำรายามารนี้จึงถูกสั่งห้ามเรียนรู้เด็ดขาดและห้ามส่งมอบให้ผู้อื่น แต่หากเจ้ากระทำตามวิธีนี้สำเร็จให้นำเลือดที่ได้รับพลังมารไปป้ายที่หน้าผากปีศาจเยือกแข็งมันจะอ่อนกำลังลงให้เจ้าฆ่ามันโดยง่าย
          อันฉี  : โอ๊ะ! ช่างเป็นโศกนาฏกรรมที่ฟังแล้วรันทดหดหู่ใจยิ่งนัก ข้าไม่เอาหรอกตำรายามารอะไรเนี่ย โหดร้ายเหลือเกิน ข้าฆ่าใครไม่ลงหรอกแบบนั้น ยิ่งฆ่าคนที่รักด้วยแล้วยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ วิธีนี้ไม่เอาเด็ดขาด สมควรทำลายตำรามารนี้ทิ้งด้วยซ้ำ
      หมอจง  : งั้นมีอีกวิธีหนึ่ง รวบรวมหยดเลือดคนที่รักและยอมตายแทนเจ้าให้ได้จำนวนหนึ่งร้อยคน คือหนึ่งร้อยหยด ผสมรวมกับเลือดของเจ้า
          อันฉี  : โห้! วิธีนี้ง่ายกว่าอีก แต่เอ๊ะ!? คนที่รักและยอมตายแทนข้าหนึ่งร้อยคนรึ?! จะหาได้ที่ไหนล่ะตั้งหนึ่งร้อยคน มันไม่ง่ายแล้วสิ! หาคนที่ยอมตายแทนหนึ่งร้อยคน มันยากกว่าฆ่าคนตายเพียงหนึ่งคนเสียอีก!
      หมอจง  : นี่กล่องเข็มเงินกินเลือด เมื่อเข็มกินเลือดครบเข็มจะเปลี่ยนเป็นสีทอง ให้คนที่ถูกทดสอบนึกถึงเจ้า แล้วจิ้มเข็มลงที่ปลายนิ้วจนมีเลือดออก หากเข็มเปลี่ยนเป็นสีดำนั่นแสดงว่าเลือดใช้ไม่ได้ เข็มมีอันเดียวต้องระวังอย่าทำหาย
          อันฉี  : ข้าจะลองรวบรวมดู ข้าไม่ค่อยรู้จักกับใครสักเท่าไหร่ซะด้วยสิ
      หมอจง  : เจ้าลองทดสอบกับข้าก่อนก็ได้ เอาสิ!

          หมอจงมองหน้าฉันแล้วยื่นมือมาให้ฉันใช้เข็มเจาะเลือด ฉันจับมือกับหมอจงครู่หนึ่งแล้วสบตากัน จากนั้นฉันจิ้มปลายเข็มลงที่ปลายนิ้วชี้เขาจนมีเลือดซึมออกมาหยดเล็กๆฉันใช้ปลายเข็มจิ้มไปที่เลือดอีกครั้งเพื่อดูว่าเข็มเปลี่ยนเป็นสีดำหรือไม่ รออยู่ครู่หนึ่งเข็มก็ยังคงเป็นสีเงิน จนฉันยิ้มด้วยความดีใจ

          อันฉี  : อาจารย์...เข็มไม่เปลี่ยนสี
      หมอจง  : ใช่ ข้าคือคนหนึ่งที่รักเจ้า หากเจ้าต้องการใช้ชีวิตข้าสังเวยมารข้าก็ยินดีให้เจ้า ใช้เข็มดูดเลือดข้าไปสิ
          อันฉี  : ข้าไม่สังเวยอาจารย์ให้มารหรอก ข้าจะไม่ใช้วิชามารนั่นด้วย ข้าจะให้เข็มทำยาพิษ "โลหิตรักนิรันดร์" ไม่ใช่ยาพิษโลหิตนิรันดร์

          ฉันเอาเข็มจ่อไปที่เลือดหยดเล็กๆที่ซึมออกมาจากนิ้ว เข็มเงินดูดเลือดที่ซึมออกมาจนหายไปฉันจึงเก็บเข็มเข้าในกล่องไม้เล็กๆแล้วเก็บกล่องไม้ไว้ในเข็มขัดเวทย์อสรพิษ หมอจงยื่นตำรายามารให้ฉันนำไปทำลายทิ้งอย่าให้ใครนำไปใช้ ฉันเข้าสวมกอดหมอจงด้วยความตื้นตันใจ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรักแท้จริงใจและเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดของฉัน จากนั้นเราจึงเดินออกมาที่หน้าบ้าน หมอจงเดินไปช่วยฉิงคุนเก็บยาสมุนไพรให้เข้าที่ ส่วนฉันเดินไปยืนข้างๆหยงเป่ากอดคอเขาและเล่าเรื่องเข็มกินเลือดเพื่อทำยาพิษ โลหิตรักนิรันดร์ ให้พี่ชายทั้งสี่ฟัง

          อันฉี  : พี่รอง รักข้ารึเปล่า ส่งนิ้วมาให้ข้าเจาะเลือดดูหน่อย
     หยงเป่า  : เจ้าสงสัยในความรักของข้าที่มีต่อเจ้ารึ
          อันฉี  : ไม่ได้สงสัย แต่ต้องการเลือดให้ครบหนึ่งร้อยคน

          หยงเป่ายื่นนิ้วให้ฉันเจาะเลือด เข็มยังคงเป็นสีเงิน ฉันโผกอดหยงเป่าแล้วพูดว่า "ข้ารักพี่รองจังเลย" ฉันจึงหันไปหาเสวี๋ยฉีเพื่อเจาะเลือดที่นิ้วเขา เข็มเป็นสีเงินเหมือนเดิม ฉันกอดเสวี๋ยฉีแล้วพูดว่า "ข้ารู้ท่านรักข้าไม่เปลี่ยนแปลง" จากนั้นซิ่นหลิงก็ยื่นนิ้วให้ฉันเจาะเลือด เข็มยังคงเป็นสีเงิน ฉันโผกอดซิ่นหลิงและบอกเขาว่า "ข้าก็รักท่าน" เฟยเจินที่ยืนอยู่ใกล้ๆจึงยื่นนิ้วมาให้ฉัน ฉันมองหน้าเฟยเจินแล้วข่มขู่เขาว่า

          อันฉี  : ถ้าเข็มเปลี่ยนเป็นสีดำล่ะก็ ข้าเอาเจ้าตายแน่! ข้าจะจับเจ้าเด็ดปีก ถอนขน เอาไปทำต้มยำนกกินเป็นอาหารเย็น!
     เฟยเจิน  : เข็มไม่มีทางเปลี่ยนเป็นสีดำแน่ เจาะเลย

          ฉันเจาะเลือดเฟยเจินและเข็มยังคงเป็นสีเงิน ฉันกอดเฟยเจินและเอามือบีบแก้มเขาด้วยความดีใจและหมั่นเขี้ยว

          อันฉี  : เจินเจินของข้าน่ารักที่สุด
     เฟยเจิน  : ข้ากลัวเจ้าจับข้าไปทำต้มยำกินต่างหาก ฮ่าฮ่า
        ฉิงคุน  : ศิษย์น้องเอาเลือดของข้าไปด้วยสิ ข้าไม่แน่ใจว่าเลือดของข้าจะใช้ได้มั้ยแต่ข้าก็อยากจะช่วยเจ้าน่ะนะ
          อันฉี  : งั้นศิษย์พี่ต้องตั้งใจนึกถึงข้า หากพร้อมแล้วข้าจะเจาะ
        ฉิงคุน  : อื้ม! ข้าขอจับมือเจ้าหน่อย
       เสวี๋ยฉี  : ถ้าเลือดเขาไม่เปลี่ยนเข็มเป็นสีดำล่ะก็ ข้าจะฆ่าเขาทิ้งซะ! (ฉิงคุนได้ยินถึงกับสะดุ้งตกใจ)
          อันฉี  : พี่ใหญ่! อย่าข่มขู่ศิษย์พี่สิ ศิษย์พี่ไม่คิดอะไรเกินเลยแบบนั้นกับข้าหรอกน่า ศิษย์พี่เป็นคนดีมีความจริงใจและเอ็นดูข้าต่างหากเล่า
         ฉิงคุน  : เอาล่ะ! ข้าพร้อมแล้ว

          เฟยเจินและซิ่นหลิงเดินมายืนอยู่ข้างๆฉัน เพื่อดูฉันเจาะเลือดให้ฉิงคุน ฉันมองสบตากับฉิงคุนครู่หนึ่งและกดเข็มเจาะที่ปลายนิ้วเขา เข็มเงินยังคงเป็นสีเงินไม่เปลี่ยนเป็นสีดำจนฉัน เฟยเจิน ซิ่นหลิงและหมอจงที่ยืนดูอยู่ถึงกับแปลกใจ

          อันฉี  : ศิษย์พี่.....
      หมอจง  : ฉิงคุน นี่เจ้า....
        ฉิงคุน  : ทุกคนอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับศิษย์น้อง เมื่อกี้ข้านึกถึงวันที่ศิษย์น้องต้องนำยาไปช่วยอาจารย์ที่จวนราชครู และเป็นวันที่พวกเราต้องแยกจากกัน วันนั้นทำให้ข้ารู้สึกเป็นห่วงศิษย์น้องมาก ข้าอยากเป็นคนรับหน้าที่เสี่ยงอันตรายวันนั้นด้วยตัวเอง แต่อาจารย์เลือกศิษย์น้องให้ทำงานสำคัญจึงสำเร็จ แม้กระทั่งตอนนี้หากศิษย์น้องมีอันตรายข้าก็จะปกป้องสุดชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายศิษย์น้อง
          อันฉี  : ศิษย์พี่....ข้าซาบซึ้งใจเหลือเกิน
      หมอจง  : ดี ดีมาก อันฉีแบบนี้เจ้าก็สามารถหาหยดเลือดได้ครบหนึ่งร้อยคนได้แน่ๆ พรุ่งนี้เราควรไปที่เมืองหนิงอันให้ทหารในเมืองมาให้เจ้าทดสอบหยดเลือด
          อันฉี  : แล้วพวกเขาจะมีความรู้สึกอยากปกป้องและตายแทนข้าได้เหรอ
      หมอจง  : พวกทหารกล้ารักชาติบ้านเมือง พร้อมจะพลีชีพตัวเองเพื่อรักษาบ้านเมืองเอาไว้ เมื่อพวกเขาอยู่ในสนามรบจุดศูนย์รวมจิตใจก็คือผู้นำหรือแม่ทัพ เหล่าทหารกล้าจะพลีชีพตัวเองเพื่อปกป้องผู้นำหรือแม่ทัพด้วยเช่นกัน ข้าจะบอกให้ทหารเหล่านั้นนึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ในวันนั้น วันที่เจ้านำพาพวกเขาออกไปสู้รบกับโจรป่าและทหารซูเซียว อย่างน้อยในทหารหนึ่งร้อยคนน่าจะมีสักสิบคนที่ยอมพลีชีพเพื่อเจ้า ตอนนี้ในเมืองหนิงอันมีทหารอยู่สี่พันคน
     เฟยเจิน  : ดี ความคิดดี
          อันฉี  : ขอบคุณอาจารย์
      หมอจง  : เราจะเดินทางไปเมืองหนิงอันพรุ่งนี้เช้า
        ฉิงคุน  : ข้าจะไปช่วยอาจารย์ด้วย แบบนี้ค่อยดูมีความหวังขึ้นมาหน่อย อาจารย์ท่านไม่ให้หยดเลือดกับศิษย์น้องบ้างรึ?
          อันฉี  : หยดเลือดของอาจารย์อยู่ในนี้แล้วประเดิมคนแรกเลย
      เสวี๋ยฉี  : สาวน้อย คืนนี้พวกเราจะไปพักกันในเมือง พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่นี่

          เมื่อถึงเวลาเย็น จิ้นทงหัวหน้าหมู่บ้านมาเชิญเราไปกินอาหารที่พวกชาวบ้านช่วยกันปรุงไว้ให้ เรากินอาหารและร่วมดื่มเหล้าด้วยกันกับชาวบ้าน สักพักฉันแยกตัวไปนั่งคุยกับหมอจง ฉันถามเขาว่าทำไมเขาจึงเลือกมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้ หมอจงจึงชวนฉันออกไปเดินเล่นหาที่เงียบๆคุยกัน เขาเล่าให้ฉันฟังว่า...

          เมื่อสองปีก่อน หมอจงออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อหาสุดยอดสมุนไพรหลายชนิด ระหว่างเดินทางกลับเขาเลือกเดินทางอ้อมหลีกเลี่ยงเมืองใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนพลุกพล่าน อีกทั้งอยากสำรวจเส้นทางใหม่ๆที่เขายังไม่เคยเดินทางผ่านด้วย จนกระทั่งเขาเดินทางผ่านมาที่หมู่บ้านนี้ในช่วงเวลาใกล้ค่ำ เขาจึงตัดสินใจที่จะพักค้างแรมที่นี่สักคืนหนึ่ง และบังเอิญได้พบสองตายายคู่หนึ่งเดินผ่านมา ในมือของตาถือปลาขนาดเล็กมาสี่ตัว ส่วนในมือของยายถือผักกวางตุ้งกำหนึ่ง เขาจึงถามตากับยายว่าแถวนี้มีโรงเตี๊ยมให้พักค้างแรมหรือไม่ ตากับยายตอบว่าหมู่บ้านนี้มีแต่คนยากจน ไม่มีโรงเตี๊ยมที่นี่หรอกต้องเข้าไปในเมืองอีกไกล ตากับยายจึงเชิญเขาไปพักค้างแรมที่บ้านและปรุงอาหารให้เขากิน ในคืนนั้นในกระท่อมหลังเล็กๆเก่าๆของตายายแต่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่แสนอบอุ่นและมีน้ำใจยิ่งนัก และในตอนเช้าหมอจงจะต้องเดินทางกลับ เขาจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ตากับยายที่ช่วยเหลือให้ที่พักแรม แต่ตากับยายไม่ยอมรับเงินนั้น เขาจึงแอบวางเงินไว้ให้บนโต๊ะแล้วเดินทางกลับเมืองหลวง เวลาผ่านไปนานเป็นปีเขาจึงมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนตากับยาย แต่ก็สายเกินไปเพราะตากับยายเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้หมอจงฟังว่ายายล้มป่วยหนัก และตาได้ใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับค่ารักษาอาการป่วยของยายและหมดเงินไปกับการซื้อยาราคาแพงของหมอในเมือง ไม่นานนักยายก็เสียชีวิต และตาก็เสียชีวิตตามไปอีกคนเพราะเหงาตรอมใจและไม่มีเงินรักษาตัวเอง หมอจงจึงมีความตั้งใจว่าเมื่อเขาทำงานให้องค์รัชทายาทสำเร็จ และเมืองหลวงเริ่มสงบ เขาจะย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยรักษาโรคให้กับชาวบ้านที่ยากจน

          อันฉี  : อาจารย์เป็นหมอที่ดีมากๆ เห็นชีวิตคนสำคัญมากกว่าเงินทอง ข้าภูมิใจเหลือเกินที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน
      หมอจง  : ข้าก็ภูมิใจที่มีเจ้าเป็นศิษย์

          หมอจงกอดฉันอย่างอ่อนโยน เขาบอกกับฉันว่าเขาต้องกลับบ้านไปนอนก่อนเพราะเขาไม่ค่อยถนัดเรื่องงานเลี้ยง ฉันจึงกล่าวราตรีสวัสดิ์หมอจงแล้วเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้านไปนั่งลงแทรกกลางระหว่างหยงเป่ากับเฟยเจิน แล้วหยิบปลาย่างมาแกะเนื้อกินหนึ่งคำแบ่งป้อนหยงเป่าหนึ่งคำ ฉันพูดหยอกหยงเป่าว่า "เป็นแมวต้องกินปลาย่างแยอะๆ" หยงเป่าจับหัวฉันเขย่าเบาๆแล้วบอกว่าฉันต่างหากที่ต้องกินเยอะ ซิ่นหลิงจึงเรียกให้ฉันย้ายไปนั่งกินเนื้อย่างข้างๆเขาและส่งเหล้าให้ดื่มถ้วยหนึ่ง ฉันจึงยกถ้วยเหล้าขอชนถ้วยกับฉิงคุนท้าดื่มหมดจอก จิ้นทงหัวหน้าหมู่บ้านเดินมาทักทายและบอกให้คนยกไหเหล้ามาเพิ่มให้อีก เสวี๋ยฉีบอกว่าพอแล้วคืนนี้ไม่ต้องการดื่มมากเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำธุระต่อ สักพักใหญ่เราจึงกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่เลี้ยงอาหารและกล่าวลาชาวบ้านในคืนนั้น

          พี่ชายทั้งสี่พาฉันเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมือง โรงเตี๊ยมในเมืองนี้มีไม่มากนักและมีขนาดเล็ก เราจึงจำเป็นต้องเช่าห้องพักสามห้องโดยห้องหนึ่งฉันพักกับเสวี๋ยฉี ส่วนอีกห้องที่สองหยงเป่าพัก และห้องที่สามซิ่นหลิงกับเฟยเจินพักด้วยกัน เสวี๋ยฉีพาฉันเข้านอนก่อน ส่วนหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจินยังไม่ง่วงจึงขอนั่งดื่มเหล้ากันต่อที่ด้านล่าง เสวี๋ยฉีจึงชักชวนฉันให้ไปอาบน้ำด้วยกัน ฉันเดินตามเขาเข้าไปในห้องอาบน้ำลงไปนั่งแช่ในอ่างอาบน้ำด้วยกัน โดยฉันนั่งคร่อมบนตักหันหน้าชนกับเขา ลูบไล้มือบนผิวขาวเนียนละเอียดของเสวี๋ยฉีอย่างแผ่วเบาแล้วก้มจูบดูดที่ซอกคอ เสวี๋ยฉีจูบลงบนไหล่ฉันและเลื่อนมาจูบที่ริมฝีปากเขาสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปากแล้วกวัดแกว่งลิ้นควานไปทั่ว บีบขยำก้นจับสะโพกฉ้นขยับเลื่อนเข้าออกให้เนินหว่างขาถูไถกับแท่งเนื้อแข็งจนฉันเสียวสะท้านไปทั้งตัว "อ๊าาา" เสวี๋ยฉีเลียที่หูและกระซิบที่ข้างหูว่า เขาต้องการสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินสวรรค์ฉันตอนนี้ เขาไม่อยากรอทำในความฝันอีกแล้ว ฉันรีบปฏิเสธไม่ยินยอม เสวี๋ยฉีจึงทวงสัญญาที่ฉันบอกว่าจะตามใจเขา

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าโกหกข้างั้นรึ?!
          อันฉี  : ข้าไม่ได้โกหก ข้าไม่กล้าโกหกท่านหรอก แต่รอให้จบเรื่องปีศาจเยือกแข็งก่อนได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะถอดเสื้อผ้านอนรอท่านอยู่บนเตียงโดยที่ท่านไม่ต้องเอ่ยปากทวงเลย
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าเป็นหญิงที่พูดจาเกินงาม แต่ฟังแล้วมันเร้าใจข้านัก

          เสวี๋ยฉีจูบฉันอีกครั้ง สองมือบีบคลึงหน้าอกแล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาจูบที่ซอกคอ ค่อยๆจูบและดูดไล่ลงมาที่หน้าอกดูดเลียหัวนม เสวี๋ยฉีบอกว่าอย่าแช่น้ำนานเดี๋ยวจะเป็นหวัด เราจึงรีบอาบน้ำให้กันและกันจนเสร็จแล้วเช็ดตัวจนแห้ง จากนั้นเสวี๋ยฉีอุ้มฉันเข้าเอวแล้วจูบ เขาวางฉันลงบนเตียงแล้วคลี่ผ้าห่มมาห่มคลุมเราทั้งสองที่ร่างกายเปลือยเปล่า เขานอนทับบนตัวฉันแล้วสอดขาเข้าใต้ขาฉันแล้วงอเข่าดันให้ขาฉันทั้งสองข้างแยกกว้างออกจากกัน เขาถูไถแท่งเนื้อแข็งกับเนินหว่างขาแล้วพึมพำเบาๆว่าเขาทนไม่ไหวอยากสอดใส่เหลือเกิน เขาจับปลายแท่งเนื้อแข็งถูไถในรอยแยกหว่างขาแล้วเริ่มออกแรงดันแต่ยังไม่เข้า เสวี๋ยฉีเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ไหว ฉันจึงรีบจับมือเขาให้หยุดพยายามสอดใส่แล้วบอกเขาให้ขยับตัวมานั่งคร่อมบนหน้าอกฉัน เขาจึงรีบขยับตัวเลื่อนมานั่งคร่อมบนหน้าอกจนแท่งเนื้อแข็งใหญ่ชูชันอยู่ตรงหน้า สองมือฉันจับก้นเนื้อแน่นของเขาบีบขยำ แลบลิ้นเลียแท่งเนื้อแข็งใหญ่ที่เสวี๋ยฉีจับมาถูไถกับริมฝีปากฉันให้เลียปลายและรอยหยัก เขาขยับวางแท่งเนื้อแข็งลงบนลิ้นฉันที่รอเลียให้ไปจนถึงโคนแล้วเลียกลับมาที่ปลายจนเปียกแฉะ เขาค่อยๆจับแท่งเนื้อใส่ปากให้ฉันดูดเลียจนเสวี๋ยฉีร้องครางเบาๆ อ๊าาา ขยับก้นดันแท่งเนื้อแข็งเข้าในปากฉันช้าๆและขยับออกจนสุดปลาย เด้งกันดันแท่งเนื้อแข็งเข้าและออกเรื่อยๆจนเขาดันกระแทกแรงขึ้นและเร็วจนเขาร้อง อ๊ากก! และมีน้ำอุ่นๆละลักออกมาให้ฉันกลืนกิน เขาขยับตัวแล้วจูบที่ริมฝีปาก จากนั้นพลิกตัวนอนกอดหอมที่ขมับและหน้าผากฉัน เรากอดกันจนหลับไป

          .....ในความฝัน เสวี๋ยฉียืนจูบฉันแล้วเอื้อมมือลูบคลำเนินหว่างขา เขาสอดใส่นิ้วเข้าในรอยแยกเนินหว่างขา ขยับนิ้วเขี่ยไปมาครู่หนึ่งแล้วสอดใส่นิ้วเข้าด้านในรอยแยกจนเปียกแฉะ เขาจับขาฉันยกขึ้นข้างหนึ่งแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งใหญ่เข้าในเนินหว่างขาค่อยๆดันแท่งเนื้อเข้าจนสุด โยกก้นช้าๆแต่เน้นดันจนสุด และบางครั้งโยกก้นกระแทกแรงจนฉันร้อง โอ๊ววว เพราะเสียว เขาจูบฉันอีกครั้งอุ้มฉันเข้าเอวไปนั่งตรงขอบเตียง หันหน้าเข้าหากันเขาเริ่มขยับโยกก้นช้าๆให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกจนเสียว เด้งก้นโยกช้าๆและแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับส่งเสียงร้องดังจนเกร็งตัวเสร็จก่อนเสวี๋ยฉีอยู่หลายครั้ง เสวี๋ยฉีเริ่มเด้งก้นกระแทกแรงขึ้นเสียงหอบช่างเร้าใจฉันยิ่งนัก เขากอดฉันแน่นก้มหน้าซุกลงบนหน้าอก "อ๊ากกกก!" แท่งเนื้อแข็งกระตุกเกร็งอยู่ภายในเนินสวรรค์จนมีน้ำอุ่นๆไหลออกมา เสวี๋ยฉีเงยหน้าจูบฉันแล้วจับฉันนอนหงายลงบนเตียง จูบซอกคอแล้วดูดกัดเบาๆจากนั้นสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินสวรรค์ แล้วกระแทกจนฉันร้องครางเสียงดังอีกครั้ง คืนที่เหน็บหนาวกลายเป็นคืนที่เร่าร้อนของเราสองคนทั้งคืน....
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 53
(รวบรวมหยดเลือด)

          ในตอนเช้าฉันและพี่ชายทั้งสี่ไปรับหมอจงและฉิงคุนที่บ้านเพื่อเดินทางไปเมืองหนิงอัน โดยหมอจงขึ้นสายฟ้านิลอสูรไปกับหยงเป่า ส่วนฉิงคุนขึ้นทวนโลหิตวารีไปกับซิ่นหลิง ฉิงคุนออกอาการประหลาดใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่ต้องเดินทางด้วยการบินบนฟ้าไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่ต้องขี่ม้า สักพักใหญ่เราเดินทางมาถึงเมืองหนิงอัน ฉิงคุนรีบเดินมาพูดคุยกับฉันด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง! เจ้ากับพี่ชายทั้งสี่ของเจ้าทำแบบนี้ได้ยังไง เดินทางด้วยการบินอยู่บนฟ้า พวกเจ้าเป็นใครกันแน่เนี่ย สุดยอดมากเลย
          อันฉี  : อันที่จริงก็อยากเดินทางด้วยม้า แต่ถ้าเดินทางด้วยม้า พี่ใหญ่ของข้าก็จะบ่นงุ้งงิ้งว่า... "โอ๊ย!!! ทำไมข้าต้องมาขี่ม้าให้มันสะเทือนใส้สะเทือนท้องปั่นป่วนไปหมดแล้ว?! ทำไมไม่บินไป!" (ฉันทำท่าตุ้งติ้งและบ่นเลียนแบบท่าทางของเสวี๋ยฉี แล้วพูดต่ออีกว่า...) อีกอย่างพี่ชายข้าเป็นสุดยอดจอมยุทธมีพลังเวทย์ขั้นสูงจึงนิยมบินบนฟ้าไม่นิยมขี่ม้าเหมือนคนทั่วไป
      เสวี๋ยฉี  : ข้าเป็นแบบนั้นเหรอ?! (เสวี๋ยฉีเอาพัดเคาะหัวฉันที่เลียนแบบท่าทางเขา)
     ซิ่นหลิง  : ฮ่าฮ่า สงสัยเจ้าอยู่ใกล้พี่ใหญ่มากเกินไปถอดบุคลิกพี่ใหญ่ออกมาได้เหมือนมาก
    เฟยเจิน  : น้องห้า เจ้ากล้ามากที่กล้าล้อเลียนพี่ใหญ่
      หมอจง  : เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ

          หมอจงเดินนำหน้าเราและบอกให้ทหารเปิดประตูเมืองให้ ทหารที่ประจำอยู่หน้าประตูจำพวกเราได้จึงรีบเปิดประตูเมืองให้ และมีทหารอีกคนหนึ่งรีบวิ่งไปรายงานเจ้าเมืองลี่จูว่าพวกเรามา ทหารและผู้คนในเมืองส่วนใหญ่จดจำพวกเราได้ พวกเขาต่างพากันทักทายเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ ลี่จูเจ้าเมืองรีบเดินออกมาต้อนรับ นางเดินเข้ามาจับมือฉันด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง ลี่จูพาเราเข้าไปพูดคุยด้านในจวน หมอจงบอกจุดประสงค์ที่เรามาให้ลี่จูฟังจนเข้าใจ ลี่จูตอบว่ายินดีช่วยด้วยความเต็มใจและจะช่วยอย่างเต็มที่ ลี่จูจึงให้เลือดตัวเองก่อนเป็นการทดสอบ ผลที่ได้คือเข็มยังคงเป็นสีเงิน

          อันฉี  : ขอบคุณท่านมากๆ เป็นเกียรติของข้าเหลือเกินที่ท่านรู้สึกกับข้าแบบนั้น
            ลี่จู  : อันฉี เจ้าเคยเอาตัวเองเข้ารับคมมีดแทนข้าโดยไม่ลังเล อีกทั้งยังช่วยปกป้องเมืองหนิงอันจากการรุกรานของโจรป่าและแคว้นซูเซียว แล้วเหตุใดข้าจะมอบชีวิตเพื่อปกป้องเจ้าบ้างไม่ได้ อย่าว่าแต่เลือดหยดเดียวเลย ชีวิตของข้าตอนนี้ข้าก็พร้อมจะมอบให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
     หยงเป่า  : เจ้าเมืองหญิงคนนี้มีจิตใจช่างกล้าหาญนัก แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เลือกเส้นทางนักรบ เพราะเจ้าเลือกเส้นทางให้กำเนิดเด็กชายที่จะเติบโตเป็นบุรุษที่มีจิตใจกล้าหาญเช่นเดียวกับเจ้า และเขาจะทำให้เจ้าภาคภูมิใจ
          อันฉี  : จริงรึ?!
            ลี่จู  : จริง เพราะข้ากำลังรอฮ่องเต้แต่งตั้งเจ้าเมืองหนิงอันคนใหม่ จากนั้นข้าจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท (ลี่จูพูดด้วยอาการเขินอาย)
          อันฉี  : ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า
            ลี่จู  : ข้าจะส่งเทียบเชิญไปให้เจ้าที่บ้าน
          อันฉี  : ส่งไปที่ตำหนักท่านอ๋องเมิ่งดีกว่า หากส่งไปที่บ้านข้าเกรงว่านกพิราบส่งเทียบจะถูกสัตว์ร้ายจับกินที่ชายป่าเสียก่อน
            ลี่จู  : ได้สิ! เอาล่ะ! ข้าจะออกไปบอกทหารทุกคนให้มาทดสอบเลือด
      หมอจง  : ไม่ต้องทดสอบทุกคนหรอก ขอแค่อาสาสมัครผู้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าก็พอ ส่วนคนที่ไม่ได้อาสาก็ไม่ถือว่ามีความผิด เพราะสัญชาตญาณของทุกคนจะรักตัวเองและครอบครัวของตัวเองก่อน ส่วนคนที่เลือดเปลี่ยนเป็นสีดำก็ไม่ถือว่ามีความผิด เพราะจิตใจในตอนทดสอบอาจจะยังมีความมุ่งมั่นแรงกล้าไม่พอ
          อันฉี  : อาจารย์พูดถูกต้องแล้ว เพราะข้าเองก็เห็นครอบครัวมาก่อนเช่นกัน เพราะข้ากลัวครอบครัวของข้าจะมีอันตราย เพราะข้ากลัวว่าคนที่ข้ารัก เพื่อนและคนใกล้ชิดข้าอีกหลายคนจะตกอยู่ในอันตราย ข้าจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง
            ลี่จู  : ข้าเข้าใจ และข้าก็มั่นใจว่าทหารเมืองหนิงอันเกินครึ่งจะเข้ารับการทดสอบเลือด เราไปกันเถอะ

          ลี่จูเรียกประชุมทหารที่ลานกลางเมืองและบอกเหตุผลกับเหล่าทหารเรื่องการทดสอบหยดเลือดและขออาสาสมัคร มีทหารจำนวนมากเข้ารับการทดสอบเกินครึ่งตามที่ลี่จูบอกไว้ในตอนแรก แต่ที่อยู่เหนือความคาดหมายคือมีชาวบ้านจำนวนมากขอเข้าร่วมการทดสอบหยดเลือดด้วยเช่นกัน การทดสอบใช้เวลาถึงสองวันจึงเสร็จ โดยพวกเราจะสับเปลี่ยนกันเจาะเลือดและมีฉันคอยนั่งมองหน้าอาสาสมัครเพื่อบิวท์อารมณ์ฮึกเหิมตลอดทั้งสองวัน เราได้หยดเลือดที่เข็มไม่เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมดหกสิบสามคน รวมกับหยดเลือดของเดิมเจ็ดคนรวมทั้งหมดได้เจ็ดสิบคน เราจึงกล่าวขอบคุณทหารและประชาชนทุกคนที่เข้ารับการทดสอบหยดเลือด ลี่จูจึงกล่าวขึ้นว่า

            ลี่จู  : อย่ากังวลไปนะแม้จะยังได้หยดเลือดไม่ครบ แต่หากต้องออกรบกับปีศาจเยือกแข็งพวกเราทหารแคว้นจินชางพร้อมเข้าร่วมรบด้วยแน่นอน ข้าจะขอนำทัพด้วยตัวเองรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า
          อันฉี  : ขอบคุณท่านมากจริงๆ
       เสวี๋ยฉี  : เรากลับไปแคว้นหลวนเซียนกันเถอะ ถึงเวลาที่พวกทหารแคว้นหลวนเซียนต้องสละหยดเลือดกันบ้างแล้ว

          เราเดินทางออกจากเมืองหนิงอันโดยมีหมอจงและฉิงคุนเดินทางไปด้วย เรามาถึงพระราชวังแคว้นหลวนเซียน ทหารเปิดประตูวังให้โดยง่ายด้วยหยกพระราชทานจากฮ่องเต้ แต่ทหารหน้าประตูวังจดจำฉันได้ พวกทหารทำความเคารพและกล่าวทักทายฉันว่า "ท่านหมอหญิง" ฉันจึงบอกพี่ชายทั้งสี่คนให้ไปพักผ่อนกันก่อน ส่วนฉันจะพาหมอจงและฉิงคุนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และทูลขออาสาสมัครเพื่อทดสอบหยดเลือด ทหารคนหนึ่งจึงอาสานำทางพี่ชายทั้งสี่คนไปพักผ่อนที่ตำหนักเหลียนฮวา ส่วนทหารอีกคนหนึ่งอาสานำทางฉันและฉิงคุนไปตำหนักฮ่องเต้

        ฉิงคุน  : โห! พระราชวังฮ่องเต้แคว้นหลวนเซียนใหญ่โตสวยงามจริงๆ ครั้งแรกในชีวิตที่ข้าเข้าวัง ข้าตื่นเต้นจัง ศิษย์น้อง! เราจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กันจริงๆรึ ฮ่องเต้ผู้ฟื้นคืนชีพคนนั้นใช่มั้ย?!
          อันฉี  : ใช่
        ฉิงคุน  : นี่ข้าจะได้เห็นฮ่องเต้ผู้โด่งดังคนนั้นด้วย เรื่องจริงหรือนี่?!
          อันฉี  : มีอาจารย์อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นด้วยนะ อาจารย์เป็นคนแบ่งลมหายใจให้ฮ่องเต้ ต้องจารึกชื่ออาจารย์ไว้ในเหตุการณ์อันโด่งดังนั้นด้วย
        ฉิงคุน  : อาจารย์! ท่านต้องเล่าเรื่องคืนนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียด ข้าเป็นศิษย์พี่แท้ๆแต่กลับพลาดเหตุการณ์คืนมหัศจรรย์นั้นได้ เสียดายชะมัดเลย!
      หมอจง  : อันฉี เจ้าหาเรื่องให้ข้าพูดเยอะใช่มั้ยเนี่ย?! (หมอจงจับหัวฉันเขย่าไปมาเบาๆ)
          อันฉี  : ฮ่าฮ่า ก็อย่างที่ศิษย์พี่พูดนั่นแหละ เป็นศิษย์พี่แท้ๆแต่กลับพลาดเหตุการณ์คืนมหัศจรรย์นั้นไปซะได้ น่าเสียดายสุดๆ อาจารย์ต้องเล่าให้ศิษย์พี่ฟังอย่างละเอียดเลยนะ
        ทหาร  : เอ่อ...คืนนั้นข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ข้ายืนคุ้มกันอยู่ด้านนอกตำหนัก เป็นคืนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
        ฉิงคุน  : เอ๊ะ! แล้วเจ้าเห็นอะไรบ้าง
        ทหาร  : ข้าเห็นแสงสีขาวสว่างวาบลงมาจากฟ้า ข้าเคยเห็นแสงฟ้าผ่ามาก่อน แต่ไม่เคยเห็นแสงอะไรที่สว่างมากขนาดนี้มาก่อน มันคือแสงฟ้าผ่าสว่างมากจนแสบตา ฟ้าผ่าทะลุหลังคาตำหนักของฮ่องเต้เสียงดังสนั่นไปทั่วน่ากลัวมาก จากนั้นภายในตำหนักเกิดประกายแสงสีแดงสว่างวาบและมีความร้อนแผ่กระจายออกมา พวกข้าที่อยู่ด้านนอกตำหนักต่างตกใจคิดว่าเกิดไฟไหม้ด้านในจะวิ่งหาน้ำดับไฟ แต่ท่านอ๋องสั่งห้ามทหารตื่นตระหนกและบอกให้เรารอฟังสัญญาณจากด้านใน จากนั้นหมอหวังก็วิ่งออกมาบอกกับท่านอ๋องว่าฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ตั้งแต่นั้นมาข้าก็จดจำหมอหญิงได้ไม่เคยลืม พ่อกับแม่ของข้าที่อยู่บ้านยังบอกว่ารู้จักหมอหญิงเลย เพราะหมอหญิงเคยไปรักษาคนติดเหล้าเห็ดหฤหรรษ์ที่หมู่บ้านข้า ท่านหมอหญิงยังชมว่าคนในหมู่บ้านปรุงบะหมี่อร่อย
        ฉิงคุน  : ฮ่าฮ่าฮ่า ข่าวลือเป็นจริงด้วย แค่ปรุงอาหารอร่อยๆให้หมอเทวดากินอิ่มท้องคนป่วยหนักก็สามารถรอดตาย ศิษย์น้องกับอาจารย์เนี่ยเหมือนกันเลยเห็นอกเห็นใจชาวบ้านตาดำๆ
          อันฉี  : ก็ช่วยๆกันไปอ่ะนะ เอาล่ะถึงตำหนักฮ่องเต้แล้ว ขอบคุณ คุณทหารที่นำทาง

          เรามาถึงตำหนักฮ่องเต้พบองครักษ์ฟู่เซียงและนางกำนัลของฮองเฮายืนอยู่หน้าตำหนัก จึงรู้ได้ทันทีว่าฮองเฮาอยู่ที่นี่ เราจึงหยุดยืนรออยู่หน้าตำหนัก องครักษ์ฟู่เซียงจึงเดินเข้ามาหาฉันและบอกว่าฮองเฮาเพิ่งเสด็จมาเมื่อกี้อยู่ด้านใน แต่เขาจะไปทูลฝ่าบาทให้ว่าฉันและหมอจงมารอพบ เขาเดินเข้าไปด้านในครู่หนึ่งแล้วเดินกลับออกมาบอกว่าฝ่าบาทอนุญาตให้เราเข้าเฝ้าได้ เราสามคนจึงเดินเข้าไปด้านในพบฮองเฮาพระครรภ์ใหญ่ขึ้นกำลังนั่งอยู่ข้างๆฮ่องเต้ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหมือนเกรงใจไม่อยากอยู่ขัด

     ฮองเฮา  : ฝ่าบาทคงมีงาน งั้นหม่อมฉันกลับก่อนก็ได้เพคะ
       ฮ่องเต้  : ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าพูดธุระของเจ้ามาก่อนได้
     ฮองเฮา  : ไม่มีธุระสำคัญอะไรแค่มาพูดคุยตามปกติเท่านั้นเอง
          อันฉี  : ฮองเฮาทรงอยู่ต่อเถอะเพคะ หม่อมฉันเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่นานเรื่องที่จะทูลกับฝ่าบาทก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรเพคะ
       ฮ่องเต้  : ฮองเฮาอยู่ต่อเถอะ ไม่เป็นไรหรอก
     ฮองเฮา  : เพคะ
       ฮ่องเต้  : หมอเทวะก็มาด้วยแล้วอีกคนนั่นใครล่ะ
          อันฉี  : ศิษย์พี่ฉิงคุนเพคะ
       ฮ่องเต้  : อ้อ! ขอบใจที่ช่วยดูแลอันฉีตอนที่ไปเรียนอยู่ที่บ้านหมอจง นางอยู่ที่นั่นซุกซนให้เจ้าต้องเหนื่อยใจรึเปล่า
        ฉิงคุน  : เอ่อ! ไม่เลยๆ ศิษย์น้องเก่งมีความสามารถมากพะย่ะค่ะ
       ฮ่องเต้  : อื้มดี! แล้วนี่มีเรื่องอะไรจะบอกข้ารึ?

          หมอจงอธิบายให้ฮ่องเต้ฟังเรื่องที่เราต้องการหยดเลือดเพื่อทำยาพิษ โลหิตรักนิรันดร์ ซึ่งฮ่องเต้เองก็เข้าใจขึ้นตอนและจะทำการเรียกทหารที่ประจำอยู่ในเมืองทั้งหมดมาทดสอบ โดยจะให้ท่านอ๋องรับหน้าที่สั่งการ ฮ่องเต้จึงให้ฉันทดสอบหยดเลือดเขาด้วย ฮ่องเต้บอกให้ฉันขยับเข้าไปใกล้ๆ เขายื่นมือข้างหนึ่งมาลูบไล้ที่แก้มฉันแล้วมองด้วยสายตาหวานลึกซึ้งเหมือนตำหนักนี้มีเราอยู่กันแค่สองคน แล้วยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาให้ฉันเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว ฮ่องเต้หยอกเย้าฉันเบาๆว่า

       ฮ่องเต้  : ทำให้ฮ่องเต้มีเลือดออกต้องโทษประหารชีวิตนะ
          ฉันฉี  : แผลเล็กนิดเดียวเองเพคะแค่ปลายเข็มเจาะ งั้นหม่อมฉันจะทำแผลให้ แผลจะหายเร็วในพริบตา รับรองไม่ทันมีใครมองเห็นเพคะ (ฉันหยอกเย้าเขากลับ)

          ฉันกดปลายเข็มเพียงเล็กน้อยจนมีหยดเลือดออกมาแล้วใช้ปลายเข็มดูดเลือดที่ปลายนิ้วฮ่องเต้ เข็มเป็นสีเงินตามเดิม ฮ่องเต้มองสบตากับฉันแล้วยิ้ม และพูดว่า "ทำแผลให้ข้าสิ" เขายื่นนิ้วมาใกล้ๆปากฉัน ฉันจึงใช้ปากดูดเลือดที่ซึมออกมาเบาๆแล้วใช้ลิ้นเลียเบาๆที่แผลนั้น จนฮองเฮาและหมอจงต้องแกล้งหันหน้ามองไปทางอื่น ส่วนฉิงคุนกลับมองด้วยความสนใจใคร่รู้ ฮ่องเต้จึงบอกหมอจงว่าให้เขากับฉิงคุนไปพบท่านอ๋องที่ตำหนักกล้วยไม้เพื่อพูดคุยขั้นตอนและเตรียมตัว ส่วนฉันให้อยู่พูดคุยกับฮ่องเต้ที่นี่ก่อน ฮองเฮาจึงขอตัวกลับตำหนักเพราะรู้ว่าฮ่องเต้อยากพูดคุยกับฉันมากกว่า ฮ่องเต้จูงมือฉันเข้าไปในห้องบรรทมแล้วนั่งลงบนเตียง กอดหอมฉันไม่หยุด พร่ำพูดว่าคิดถึงเหลือเกิน แล้วจูบสอดใส่ลิ้นกวัดแกว่งไปทั่วปากไม่ปล่อยให้ฉันหายใจ ฮ่องเต้จับมือฉันให้ล้วงเข้าไปกางเกงให้มือสัมผัสกำแท่งเนื้อที่ตื่นตัวแข็งเต็มที่ เขาบอกว่าต้องการฉันมากและอย่าปฏิเสธเขาเลย ฉันจึงจูบฮ่องเต้อย่างดูดดื่มและขยับมือขึ้นลงช้าๆจนฮ่องเต้ร้องคราง เขาเอื้อมมือมากุมมือฉันแล้วจับมือฉันขยับรูดแท่งเนื้อแข็งขึ้นลงเร็วขึ้นจนมีน้ำอุ่นๆขาวข้นออกมาจำนวนมาก ฉันรีบเช็ดทำความสะอาดแท่งเนื้อให้ทันที

          อันฉี  : ฝ่าบาทไปค้างคืนกับฮองเฮาบ้างหรือเปล่าเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าเพิ่งไปเมื่อสามวันก่อน แค่ไปนอนค้างคืนแต่มิได้ทำอะไรอย่างอื่น เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ค่อยคึกคักกับคนอื่นสักเท่าไหร่
          อันฉี  : แล้วไปค้างคืนกับเหล่าสนมบ้างหรือเปล่าเพคะ
       ฮ่องเต้  : ข้าไปดื่มเหล้าที่ตำหนักสนมเมื่อหลายคืนก่อน แต่ก็แค่ดื่มเหล้าแล้วเมาหลับไป
          อันฉี  : ไปนอนเฉยๆแล้วเมื่อไหร่จะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองล่ะเพคะ มีหญิงงามอยู่ตรงหน้าแล้วอย่าวางเฉย ต้องออกรบเต็มกำลัง! (ฉันเอามือจับที่แท่งเนื้อแข็งของฮ่องเต้เป็นการหยอกเย้า)
       ฮ่องเต้  : ข้าพร้อมออกรบแล้วตอนนี้

          ฮ่องเต้โถมตัวกอดฉันแล้วจูบซุกไซร้ซอกคอจนจักจี้ เขาจูบฉันอีกครั้งด้วยริมฝีปากนุ่มนิ่มหวานฉ่ำลิ้นละมุนที่สอดใส่เข้ามาในปากจนฉันเริ่มมีอารมณ์พลิกตัวขึ้นทับคร่อมเขา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงองครักษ์ฟู่เซียงที่หน้าประตูส่งเสียงบอกว่าท่านอ๋องและหมอจงพร้อมด้วยเหล่าทหารองครักษ์พร้อมรอการทดสอบหยดเลือดแล้ว ฮ่องเต้ดึงฉันไปกอดแน่นจูบอีกครั้งแล้วถอนหายใจบ่นพึมพำว่าเสียดาย! ฉันแอบหัวเราะเบาๆ ฮ่องเต้จึงหยิกแก้มฉันเพราะหมั่นเขี้ยว จากนั้นฮ่องเต้จึงไปกับฉันด้วยเพื่อดูการทดสอบ ท่านอ๋องบอกว่าวันนี้จะทดสอบหยดเลือดแค่ทหารองครักษ์ก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยเรียกทหารหน่วยอื่นมาทดสอบ ปรากฏว่าได้รับหยดเลือดครบตามจำนวนจนเข็มเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่าม ฮ่องเต้จึงเชิญพวกเราไปร่วมงานเลี้ยงส่วนตัวเล็กๆที่ฮ่องเต้จะจัดขึ้นในคืนนี้ เราจึงตอบตกลงส่วนฉิงคุนดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เขาถามฉันว่าในงานเลี้ยงมีอะไรบ้าง ฉันบอกว่ามีเหล้ารสดี อาหารอร่อย ดนตรีไพเราะและสาวงามฟ้อนรำอ่อนช้อยสวยงาม เราจึงขอลาฮ่องเต้และท่านอ๋องกลับที่พัก โดยหมอจงและฉิงคุนเดินแยกไปพักที่เรือนรับรองแขก ส่วนฉันเดินแยกไปกับทหารองครักษ์ไปตำหนักดอกบัว

          ระหว่างทางฉันพบนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮามาเชิญฉันไปพบฮองเฮาที่ตำหนัก ฉันเองรู้สึกแปลกใจมากที่ฮองเฮาอยู่ๆเกิดอยากพบฉันขึ้นมา ฉันจึงขอแยกกับองครักษ์และตามนางกำนัลของฮองเฮาไป ระหว่างทางที่เดินฉันก็คิดไปหลายอย่างว่าฮองเฮาอาจไม่พอใจฉันเรื่องวันนี้ก็ได้ กลัวเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบพระชายาจังเลย เข็ดขยาดจริงๆที่ต้องรับมือกับคนท้อง หากฮองเฮาลงมือตบตีฉันคงต้องวิ่งหนีอย่างเดียวห้ามตอบโต้โดยเด็ดขาด ฉันจึงถามนางกำนัลว่ารู้หรือไม่ฮองเฮามีธุระอะไรกับฉัน นางกำนัลตอบสั้นๆ "ไม่ทราบเจ้าค่ะ"

          นางกำนัลพาฉันเดินเข้าไปในตำหนัก พบฮองเฮากำลังนั่งรอฉันที่เก้าอี้ โดยมีแก้วทรงสูงใบหนึ่งตั้งวางอยู่บนโต๊ะ ทำเอาฉันตกใจและกังวลว่าจะเป็นน้ำกรด แต่ฮองเฮายกแก้วขึ้นดื่มเพราะภายในมันคือน้ำผลไม้ ฉันจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฮองเฮามองหน้าฉันครู่หนึ่งแล้วบอกให้นางกำนัลออกไปก่อน ฮองเฮาบอกฉันให้ขยับเข้าไปใกล้ๆและพูดว่า...

     ฮองเฮา  : วันนี้ข้าได้เห็นแล้วว่าฝ่าบาทรักเจ้ามากเพียงใด ข้าเรียกเจ้ามาเพราะอยากถามเจ้าอีกครั้งว่า เจ้าจะยินดีเป็นสนมของฝ่าบาทหรือไม่ ถ้าเพื่อความสุขของฝ่าบาทข้าก็ไม่ขัดหากฝ่าบาทจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนมเอก ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่
          อันฉี  : หม่อมฉันไม่สามารถเป็นสนมได้เพคะ หม่อมฉันไม่สามารถเข้าหอ เฮ่อ! หม่อมฉันมีเลือดพรหมจรรย์พิษผู้ชายที่ล่วงล้ำคนแรกต้องตายเพคะ
     ฮองเฮา  : แย่จริง! มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?! งั้นข้าจะจัดหาชายหนุ่มสักคนที่จงรักภักดีให้เสียสละตัวเองเป็นผู้ทำลายพรหมจรรย์พิษของเจ้า เรื่องนี้จะมีแค่เจ้ากับข้า และฝ่าบาทเท่านั้นที่จะรู้ ฝ่าบาทคงไม่ว่าอะไรหากรู้ว่าเจ้าทำลายพรหมจรรย์พิษเพื่อรักษาชีวิตของฝ่าบาท ฝ่าบาทรักเจ้ามากยังไงต้องให้อภัยเจ้าแน่นอน
          อันฉี  : ไม่ได้เพคะ! อีกอย่างหม่อมฉันมีคนรักแล้ว และสัญญากันไว้ว่าจะไม่ให้ชายอื่นล่วงล้ำ แต่จะว่าไปชายที่หม่อมฉันรักก็ไม่สามารถล่วงล้ำหม่อมฉันได้เหมือนกัน
     ฮองเฮา  : อย่างนี้เองหรอกรึ เจ้าถึงไม่ยอมรับน้ำใจของฝ่าบาท อืม! ข้าเข้าใจในเมื่อเจ้าเลือกคนรักของเจ้า ข้าก็ไม่บังคับจิตใจ ข้าจะบอกเจ้าตามตรง ข้าเองก็ไม่ได้ชอบเจ้าสักเท่าไหร่ แต่ข้าก็ไม่ได้เกลียด เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้าเคยช่วยให้ข้ามีโอรส คราวนี้ถึงตาที่ข้าควรจะช่วยเจ้าบ้าง ข้ามีสิ่งหนึ่งจะมอบให้เจ้าสิ่งนี้น่าจะช่วยเจ้าได้

          ฮองเฮาเรียกนางกำนัลให้เข้ามาในห้องแล้วให้ไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในหีบ นางกำนัลหยิบกล่องไม้แกะสลักสวยงามใบหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ฮองเฮา ฮองเฮามองหน้าฉันครู่หนึ่งแล้วยื่นกล่องไม้ใบนั้นให้ และบอกให้ฉันเปิดกล่องดูของที่อยู่ภายในจนฉันร้อง OMG! (oh my god) มันคือดิลโด้สัมฤทธิ์ขนาดเขื่อง หรืออวัยวะเพศชายที่ทำมาจากทองแดงส่วนโคนแท่งเป็นฐานกลมแบนยื่นออกมาเป็นปีกคล้ายฐานสำหรับวางตั้งกับพื้น คงเหมือนกับการนั่งคร่อมบนตัวผู้ชาย ฉันประหลาดใจมากที่ในยุคนี้มีเซ็กส์ทอยใช้กันด้วย และที่ประหลาดใจมากที่สุดคือฮองเฮาให้ของแบบนี้กับฉันเพื่ออะไรกัน

     ฮองเฮา  : เจ้าคงรู้สินะนี่คืออะไร นี่คือแท่งฮ่องเต้ เป็นขนาดที่สร้างขึ้นเท่ากับขนาดองคชาตของฮ่องเต้ ผู้หญิงระดับสูงของฮ่องเต้เท่านั้นจึงจะได้รับแท่งฮ่องเต้ไว้ใช้ยามที่ฮ่องเต้ไม่เสด็จไปหารวมทั้งข้าด้วยก็ได้รับแท่งนี้เช่นกัน แต่อย่ากังวลเพราะข้าไม่เคยใช้เลยสักครั้งเดียว ข้ายกให้เจ้า แท่งฮ่องเต้จะช่วยทำลายพรหมจรรย์พิษของเจ้าและจะไม่มีใครต้องเสียชีวิต
          อันฉี  : จริงด้วย! ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา
     ฮองเฮา  : น่าเสียดายแทนฝ่าบาทนักที่มิอาจมีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย แต่ก็ดีที่ข้าไม่ต้องมาทนเห็นเจ้ากับฝ่าบาทพรอดรักกันต่อหน้าข้า เอาล่ะ! เจ้ากลับไปเถอะข้าหมดธุระกับเจ้าแล้ว
          อันฉี  : หม่อมฉันทูลลาเพคะ

          ฉันเดินถือกล่องแท่งฮ่องเต้ออกมาจากตำหนักของฮองเฮาเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ฉันเดินห่างตำหนักฮองเฮาออกมาไม่ไกลนัก ก็พบศาลาริมน้ำชมดอกบัว จึงแวะนั่งทำใจที่ศาลานั่นและคิดถึงครั้งที่ฉันมีอะไรกันกับแฟนคนแรกสมัยครั้งวัยรุ่นที่โลกเก่า จำได้ว่าครั้งแรกมันเจ็บมากและมีเลือดออกจนเลอะผ้าปูที่นอน แต่ฉันก็ชอบและจัดหนักกับแฟนคนแรกไปสี่ครั้งในคืนนั้น
หมายเหตุ

* ซิ่ว (ป้าซิ่ว) แปลว่า สวย

* ไท่ (อาไท่) แปลว่า ยิ่งใหญ่, มาก

* เจียวซิน (แม่อาไท่) แปลว่า จิตใจที่อ่อนโยนอ่อนหวาน

* ช่างหลิว (พ่ออาไท่) แปลว่า สายน้ำที่หลั่งไหลแห่งเสรีภาพ

* จิ้นทง (หัวหน้าหมู่บ้าน) แปลว่า ความซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลาย

2019無敵大串燒
[Mix] รวมเพลงฮิต 2019
YouTube by : 親親2o音樂LIVE

 ■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 54
(คืนที่มิอาจห้ามใจ)

          ฉันยังคงนั่งคิดอะไรสับสนอยู่ที่ศาลาริมน้ำ และเริ่มรู้สึกกลัวแท่งฮ่องเต้สัมฤทธิ์ในกล่อง มันคงจะแข็งน่าดู แต่นี่ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในการทำลายพรหมจรรย์พิษของฉัน ฉันหันมองซ้ายมองขวาไม่เห็นมีใครเดินผ่านมา จึงเปิดฝากล่องไม้ดูแท่งฮ่องเต้ภายในกล่องอีกครั้งแล้วรีบปิดฝา แล้วบ่นพึมพำคนเดียวเบาๆว่า... "ให้ตายเถอะ! ขนาดดิลโด้ซิลิโคนนุ่มนิ่มที่โลกเก่ายังไม่เคยใช้เลย แต่นี่กลับเจอของแข็งดิลโด้ทองแดงเข้าให้! น่ากลัวชะมัด เฮ่อ! อย่าเพิ่งบอกเสวี๋ยฉีเลยจะดีกว่า ต้องซ่อนไว้ก่อน!" ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเสวี๋ยฉีพูดขึ้นทางด้านหลัง เขามายืนอยู่ทางด้านหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

       เสวี๋ยฉี  : แอบซ่อนอะไรข้ารึ?! แล้วนั่นกล่องอะไร?
          อันฉี  : อ๊ะ! พี่ใหญ่มาตอนไหนเนี่ย ไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมดเลย!
       เสวี๋ยฉี  : เพราะเจ้ากลับช้า ข้าจึงมารับและทันได้ยินเจ้าพึมพำคนเดียวว่า "อย่าเพิ่งบอกข้าเลยจะดีกว่า ต้องซ่อนไว้ก่อน!" เจ้ากำลังซ่อนอะไร มีอะไรอยู่ในกล่องนั่น?
          อันฉี  : อ๋อ! กล่องเครื่องประดับฮองเฮาให้ข้า
       เสวี๋ยฉี  : เปิดกล่องให้ข้าดู
          อันฉี  : แหม! เครื่องประดับเดิมๆงั้นๆ กลับไปกินข้าวกันเถอะ ข้าหิวข้าวแล้วล่ะ (ฉันรีบเก็บกล่องแท่งฮ่องเต้ใส่ในกระเป๋าเวทย์)
       เสวี๋ยฉี  : อย่าทำให้ข้าหงุดหงิด! เจ้าจะเปิดกล่องนั่นให้ข้าดูดีๆหรือจะให้ข้าเปิดดูเอง (เขาจับคางฉันแล้วยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ)
          อันฉี  : ก็ได้ๆ ให้ดูก็ได้…
       เสวี๋ยฉี  : ที่ข้าทำให้เจ้าทุกคืน เจ้ายังไม่พอใจรึ จึงต้องหาแท่งสัมฤทธิ์มาใช้ มันดีกว่าข้ายังไง อืม...ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับของข้าแต่สั้นกว่าข้าไปนิด (เสวี๋ยฉีหยิบแท่งฮ่องเต้ขึ้นมาดู)
          อันฉี  : อ๊าย! อย่าหยิบขึ้นมาสิ! เอามาเก็บก่อนเร็ว!
       เสวี๋ยฉี  : ทำไมฮองเฮาถึงให้ของแบบนี้กับเจ้า ถ้าเจ้ายังโกหกข้าอีก ข้าจะไปถามฮองเฮาด้วยตัวเอง
          อันฉี  : ได้ๆข้าจะบอก! คือ...แท่งสัมฤทธิ์นี่ฮองเฮาให้ข้ามาเพื่อใช้ทำลายพรหมจรรย์พิษ ข้าจึงเก็บเอาไว้ก่อน รอให้จัดการปีศาจเยือกแข็งเสร็จแล้ว ค่อยว่ากันอีกทีเรื่องแท่งสัมฤทธิ์เนี่ย
      เสวี๋ยฉี  : หึ! ฮองเฮาเพิ่งทำตัวมีประโยชน์ก็ครั้งนี้แหละ

          เสวี๋ยฉีพูดจบก็อุ้มฉันแล้วพาบินออกไปนอกวัง เขาพาฉันออกมาที่ตลาดมีผู้คนพลุกพล่านเดินจูงมือกันฉันชี้ชวนให้ฉันดูนั่นดูนี่อารมณ์ดี และซื้อขนมให้ฉันกินเอาอกเอาใจ

          อันฉี  : พี่ใหญ่พาข้าออกมาที่ตลาดทำไม
       เสวี๋ยฉี  : ข้าก็อยากออกมาเดินเล่นกับเจ้าสองคนบ้างสิ อยากได้อะไรอีกมั้ยข้าจะซื้อให้
          อันฉี  : ไม่อยากอะไรแล้ว แต่คืนนี้มีงานเลี้ยงนะ ถ้าไม่ไปมันจะเสียมารยาท
       เสวี๋ยฉี  : ข้าพาเจ้ากลับไปทันงานเลี้ยงอยู่แล้วล่ะน่า

         เสวี๋ยฉีพาฉันเข้าไปในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ภายในตกแต่งหรูหราแห่งหนึ่ง เขาเปิดห้องพักหนึ่งห้องแล้วพาฉันขึ้นไปที่ห้องพักนั้นบนชั้นสอง ฉันจึงรู้จุดประสงค์ของเขาทันทีว่าเขาต้องการอะไร คงคล้ายๆกับพาสาวมาโรงแรมม่านรูดสินะ ฉันคิดในใจ พอเข้าไปในห้อง เสวี๋ยฉีพาฉันไปนั่งที่โต๊ะกลางห้องแล้วรินเหล้าที่เด็กจัดห้องเตรียมไว้ส่งให้ฉันดื่มถ้วยหนึ่ง ฉันก้มหน้าดื่มเหล้าอย่างกล้าๆกลัวๆ

          อันฉี  : พี่ใหญ่พาข้ามาที่นี่ทำไม อย่าบอกนะว่า จะมาใช้แท่งสัมฤทธิ์ที่นี่ เอ่อ…ข้ายังไม่พร้อม...
       เสวี๋ยฉี  : สาวน้อยเจ้าพร้อมแล้ว
          อันฉี  : แต่ข้ากลัว...กลัวเจ็บ กลัวผิดพลาดทำให้ท่านตาย ข้ายังไม่พร้อมจริงๆนะ รอให้จบเรื่องปีศาจเยือกแข็งก่อนไม่ได้เหรอ
       เสวี๋ยฉี  : แล้วถ้าข้าพ่ายแพ้ถูกปีศาจเยือกแข็งฆ่าตายก่อนล่ะ สัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าว่าจะเป็นภรรยาของข้า เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง ตอบมาสิ! เจ้าสัญญากับเทพงูหยกหิมะขาวนะไม่ใช่สัญญามักง่ายกับงูเขียว
          อันฉี  : อืม...นั่นสินะ ก็ได้! แต่ท่านต้องทำเบาๆนะข้ากลัว

           ฉันหยิบกล่องแท่งฮ่องเต้ออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าเสวี๋ยฉี เขาเก็บแท่งฮ่องเต้ไว้และยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่ฉันยอมเชื่อฟังและทำตามที่เขาบอก เขารินเหล้าชนแก้วกับฉันเป็นแก้วที่สองจนฉันเริ่มมีอาการเมาขึ้นมานิดๆและใบหน้าเริ่มร้อน เสวี๋ยฉีเริ่มหอมและจูบซอกคอฉันเพื่อบิ้วท์อารมณ์จนฉันเคลิบเคลิ้ม เขาป้อนเหล้าเป็นถ้วยที่สามให้ฉันด้วยการจูบ ฉันมีอาการมึนเมาและวูบวาบเพราะถูกเสวี๋ยฉีกระตุ้นอารมณ์ ด้วยจูบอย่างหื่นกระหายมือข้างหนึ่งบีบคลึงหน้าอกไปทั่ว

          ไม่รอช้าเขาอุ้มฉันไปนอนบนเตียงแล้วถอดเสื้อผ้าออกทันที เสวี๋ยฉีจูบฉันอีกครั้งสอดใส่ลิ้นกวัดแกว่งไปทั่วปากแล้วเลื่อนลงไปจูบและดูดซอกคอจนจักจี้ เลียและดูดที่เนินอกเค้นคลึงหัวนมทั้งสองข้าง ฉันแอ่นหน้าอกให้เขาดูด "ข้าทนไม่ไหวแล้ว อ๊าา..." แล้วค่อยๆดันศรีษะเขาให้จูบไล่ลงไปที่หน้าท้องจนถึงเนินหว่างขา เขาจับขาฉันสองข้างแยกออกกว้างแล้วลูบคลำสอดนิ้วเข้าด้านในเนินหว่างขาขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ จนเริ่มเยิ้มแฉะแล้วใช้ลิ้นเลียและดูดจนฉันบิดตัวเกร็งเพราะความเสียว เสวี๋ยฉีเงยหน้ามองฉันแวบหนึ่ง หยิบแท่งฮ่องเต้ออกมาถูไถไปมาที่รอยแยกหว่างขาเพื่อให้มีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา เขาขยับตัวขึ้นมาจูบอีกครั้ง สบตาแล้วพูดเบาๆว่า "อย่ากลัว" เขาขยับตัวทับคร่อมฉันโดยให้แท่งเนื้อแข็งของเขาวางอยู่เนินหว่างขาขนานคู่กับแท่งฮ่องเต้ที่จ่ออยู่ปากทางเข้าเนินหว่างขา เขาค่อยๆขยับก้นพร้อมกับดันแท่งฮ่องเต้เข้าในเนินหว่างขาช้าๆทีละน้อย แล้วขยับก้นออกพร้อมดึงแท่งฮ่องเต้ออกมาด้วยให้ดูคล้ายเขากำลังสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเพื่อให้ฉันคลายความหวาดกลัว จากนั้นค่อยๆดันแท่งฮ่องเต้เข้าไปลึกขึ้นจนฉันร้อง "อื๊อออ!" เพราะเริ่มเจ็บ เขาค่อยๆดึงแท่งฮ่องเต้ออกมาตามจังหวะการเด้งก้นช้าๆ แล้วดันแท่งฮ่องเต้อีกครั้งจนมิด ฉันกอดรัดเขาแน่นจนแทบจะจิกหลังและร้อง "อื๊อออออ!!!" เสียงดังเพราะเจ็บกว่าเดิม เขาทำซ้ำอีกครั้งจนฉันร้อง "อ๊าาา" เสวี๋ยฉีมองหน้าฉันแล้วจูบดูดดื่ม เขาขยับตัวลุกขึ้นมองเนินหว่างขาแล้วมองที่ผ้าปูที่นอนมีรอยเลอะเลือดสีแดง จึงค่อยๆดึงแท่งฮ่องแต้ออกจากเนินสวรรค์มีเลือดสีแดงเลอะติดอยู่เช่นกัน เสวี๋ยฉียิ้มเล็กน้อยแล้วใช้ผ้าเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากเนินสรรค์ จากนั้นเช็ดเลือดที่ติดอยู่ที่แท่งฮ่องเต้และวางไว้ปลายเตียง

          เสวี๋ยฉีโถมตัวนอนทับฉันอีกครั้งจูบแลกลิ้น สองมือบีบขยำหน้าอกแรงขึ้นเหมือนไม่เกรงใจ จับปลายแท่งเนื้อแข็งถูไถเนินหว่างขาให้มีน้ำหล่อลื่นอีกครั้งแล้วค่อยๆดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาช้าๆ เขาร้อง "อ๊ากกกก!" ออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะยังมีเลือดพรหมจรรย์พิษตกค้างอยู่ภายใน เสวี๋ยฉีรีบก้มจูบริมฝีปากฉันเพื่อรับยาถอนพิษคลายความเจ็บปวด เขาอดทนไม่ยอมถอนแท่งเนื้อแข็งออกจากเนินหว่างขาแต่กลับเด้งก้นขยับเข้าออกทีละน้อยจนดันแท่งเนื้อแข็งเข้าจนสุดโคน ทั้งเขาและฉันกอดกันแน่นเพราะเจ็บ เสวี๋ยฉีจูบแลกลิ้นกับฉันตลอดช่วงที่สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเพื่อลดความเจ็บปวดจากเลือดพรหมจรรย์พิษ เขาเด้งก้นกระแทกช้าๆเบาๆสักพักเริ่มเด้งก้นกระแทกกระทั้นแรงขึ้นจนฉันร้องครางออกมาเสียงดัง เสวี๋ยฉีกระแทกแท่งเนื้อแข็งเร็วถี่และแรงขึ้นจนเราเกร็งตัวและเสร็จสมไปพร้อมกัน

          เสวี๋ยฉีโถมตัวทับฉันเหมือนคนเหนื่อยหมดแรง หายใจหอบ ต่างจากในฝันที่เขาบ้าพลังทำรักกับฉันตลอดทั้งคืน เขานอนพักเหนื่อยบนตัวฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มจูบอีกครั้งที่ซอกคอและจูบริมฝีปาก มองสบตาแล้วยิ้ม เสวี๋ยฉีพูดว่าเขามีความสุขที่สุด แล้วบอกอีกว่าพรุ่งนี้เขาจะจัดพิธีแต่งงาน ฉันจึงรีบตอบว่า...

          อันฉี  : อย่าเพิ่งรีบร้อนรอให้เสร็จเรื่องปีศาจเยือกแข็งก่อนค่อยจัดพิธีแต่งงาน พิธีไม่ได้สำคัญเท่าความรักของข้าที่มีต่อท่านหรอก
       เสวี๋ยฉี  : อืม! ปากหวาน ก็ได้! รอให้เสร็จเรื่องปีศาจเยือกแข็งก่อน งั้นเราไปอาบน้ำกันเถอะค่อยกลับไปงานเลี้ยง

          เสวี๋ยฉีอุ้มฉันไปอาบน้ำด้วยกันในอ่าง เขาจับฉันนั่งบนตักแล้วโอบกอดทางด้านหลัง จูบที่หลังต้นคอและไหล่ เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งบีบคลึงหน้าอก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งล้วงจับเนินหว่างขาแล้วบอกว่าเขาจะช่วยล้างคราบเลือดออกให้ แต่เขากลับสอดใส่นิ้วกลางเข้าในเนินสวรรคฉันอีกครั้ง เขากระตุ้นอารมณ์ฉันอีกแล้ว เสวี๋ยฉีจับหน้าฉันให้หันไปจูบกับเขาแล้วถามฉันว่า...

       เสวี๋ยฉี  : เจ้าอยากทำให้ข้ามั้ย
          อันฉี  : ข้าจะทำให้ท่านร้องไม่เป็นภาษาเลย

          ฉันขยับตัวนั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหาเสวี๋ยฉีแล้วจูบแลกลิ้นอย่างดูดดื่ม สอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาแอ่นอกให้เขาดูดหัวนม จากนั้นฉันเริ่มเด้งก้นโยกให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีภายในจนเสียวสะท้าน เสวี๋ยฉีเองก็เด้งรับแรงกระแทกจนเขาร้องครางออกมาเสียงดัง ฉันเริ่มเร่งจังหวะกระแทกให้แรงขึ้นจนเสวี๋ยฉีร้อง "อ๊ากกก" เราเสร็จสมพร้อมกันอีกครั้ง และจูบแลกลิ้นกันดูดดื่มเป็นการทิ้งท้ายก่อนขึ้นจากอ่างอาบน้ำ แล้วช่วยกันหวีผมแต่งตัว ฉันเก็บแท่งฮ่องเต้ใส่ในกระเป๋าเวทย์ ส่วนเสวี๋ยฉีใช้พลังเวทย์เผาทำลายผ้าและผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือด เสวี๋ยฉีวางเงินจำนวนหนึ่งไว้บนโต๊ะเป็นค่าผ้าและค่าผ้าปูที่นอนที่เขาเผาทิ้งไป จากนั้นพาฉันขึ้นกระบี่บินหยกขาวกลับเข้าวังเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงที่ฮ่องเต้จัดขึ้นเป็นการส่วนตัว

          งานเลี้ยงเริ่มแล้ว พี่ชายทั้งสาม หมอจง ฉิงคุน ฮ่องเต้และท่านอ๋อง กำลังนั่งดื่มเหล้า กินอาหาร และดูสาวงามกำลังฟ้อนรำ ฉันแก้ตัวว่าออกไปเดินเล่นที่ตลาดนอกวังเลยมางานเลี้ยงช้า ฉันนั่งโต๊ะตัวเดียวกับเสวี๋ยฉี คืนนี้เขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษทั้งหยอกเย้าและยื่นแก้วเหล้าให้ฉันดื่มหลายครั้งจนฉันเมามาก เสวี๋ยฉีจึงขอตัวพาฉันกลับไปนอน เขาอุ้มฉันขึ้นขี่หลังเดินกลับมาเรื่อยๆชมสวนสวยยามค่ำคืน เมื่อถึงตำหนักดอกบัวเสวี๋ยฉีวางฉันนอนลงบนเตียงถอดเสื้อผ้าออกแล้วจูบฉันไปทั่วตัว จับฉันนอนคว่ำแล้วยกสะโพกฉันให้สูงขึ้น จับขาฉันแยกออกกว้าง ก้มลงดูดเลียเนินหว่างขาทางด้านหลังจนเปียกแฉะ แล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังกระแทกกระทั้นช้าๆสลับเร็วจนฉันเสร็จไปแล้วสองครั้งเขาจึงค่อยเสร็จ ฉันยังคงอยู่ในอาการมึนเมาเสวี๋ยฉีจึงจับฉันนอนตะแคงข้าง แล้วจับขาฉันพาดกับขาเขาข้างหนึ่งที่ตั้งขึ้นเพื่อแยกขาฉันให้อ้าออกกว้างแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังอีกครั้ง มือข้างหนึ่งประคองศรีษะฉันไว้แล้วเอี้ยวหน้าฉันให้หันไปจูบ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งบีบขยำหน้าอก เด้งก้นให้แท่งเนื้อแข็งขยับเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆฉันเสียวเหลือเกินจนร้องครางออกมา เสวี๋ยฉีรีบจูบปากฉันเพื่อไม่ให้ฉันร้องเสียงดัง ฉันจึงใช้มือปิดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้อง เขาเริ่มกระแทกแท่งเนื้อแข็งเร็วขึ้นจนเขาเกร็งกระตุกและปล่อยน้ำอุ่นๆสีขาวข้นออกมา

          ฉันบอกเขาว่าฉันเมามากและไม่มีแรงทำรักให้เขา แต่ฉันยังคงต้องการเขามากเหลือเกิน เสวี๋ยฉีกระซิบเบาๆข้างหูว่าให้ฉันนอนเฉยๆเขาจะทำให้ฉันเอง จนกว่าเขาจะพอใจแล้วค่อยปล่อยให้ฉันนอน แล้วเขาก็แลบลิ้นเลียใบหูฉันจนเสียวขนลุก จากนั้นจับฉันพลิกตัวให้นอนหงายบนตัวเขา สองขาฉันถูกแยกออกให้วางพาดบนขาเขาแล้วแยกขาออกกว้าง มือข้างหนึ่งบีบขยำหน้าอกเค้นคลึงเป็นของเล่น ส่วนมืออีกข้างล้วงจับเนินหว่างขา ขยับนิ้วเขี่ยตามรอยแยกสอดนิ้วชอนไชจนเปียกแฉะ ฉันเอี้ยวหน้าหันไปจูบแล้วดูดลิ้นเขาเข้าปาก ลิ้นเขานุ่มละมุนหวานนัก จากนั้นเสวี๋ยฉีเลื่อนริมฝีปากไปจูบที่ซอกคอแล้วดูดเหมือนกำลังทำเครื่องหมายว่าฉันเป็นของเขา ทำฉันเคลิบเคลิ้มและเสียวไปทั้งตัวจนลืมดุเขาว่าห้ามทำเครื่องหมายที่คอ เขาจับแท่งเนื้อสอดใส่เข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังขณะที่ฉันกำลังนอนหงายอยู่บนตัว เสวี๋ยฉีเลื่อนมือข้างหนึ่งมากอดรัด มืออีกข้างหนึ่งล้วงจับเนินหว่างขาขยับนิ้วเขี่ยปุ่มเสียว แล้วเด้งก้นขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเนินหว่างขาช้าๆ ฉันเสียวจนทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่งแล้วเด้งก้นขย่มแท่งเนื้อแข็ง เขาช่วยจับที่สะโพกฉันให้เด้งก้นขย่มแรงขึ้นจนฉันเกร็งตัวเสร็จหมดแรงเหนื่อยหอบ แล้วค่อยๆพลิกตัวกลับไม่ให้แท่งเนื้อแข็งหลุดออกจากเนินหว่างขา โถมตัวนอนคร่อมทับกอด แต่เสวี๋ยฉียังไม่เสร็จง่ายๆเขาออกแรงเด้งก้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเนินหว่างขาเร็วๆถี่ๆ เสียงเหนื่อยหอบของเขาที่ดังอยู่ข้างหูมันช่างเร้าใจยิ่งนัก ฉันที่นอนคร่อมอยู่บนตัวเขาถูกกระแทกเนินหว่างขาจนสั่นสะเทือนไปทั้งตัวเสียวเกร็งตัวกระตุกเสร็จอีกครั้ง เสวี๋ยฉีจูบฉันแล้วเด้งก้นกระแทกให้เร็วและแรงขึ้นจนเขาเกร็งตัวร้อง "อ๊ากกก!" ปล่อยน้ำอุ่นๆออกมาแล้วโถมตัวกอดแล้วจูบดูดดื่มอีกครั้ง เสวี๋ยฉีบอกว่าจะเช็ดทำความสะอาดเนินหว่างขาให้ แล้วจะปล่อยให้ฉันนอนพักผ่อน

           แต่เสวี๋ยฉีกลับเลื่อนริมฝีปากลงไปดูดหัวนม มืออีกข้างบีบขยำหน้าอกดูหื่นกระหาย ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด หากอยู่ที่โลกเก่าคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไปโดนยาตัวไหนเข้าไปถึงได้คึกคักดีดขนาดนี้ เสวี๋ยฉีใช้ลิ้นเลียและจูบเลื่อนลงไปที่หน้าท้อง จับขาฉันสองข้างตั้งขึ้นแล้วแยกออกกว้าง ใช้นิ้วมือสองข้างค่อยๆแหวกรอยแยกหว่างขาออกแล้วมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้ลิ้นเลียในรอยแยกนั้น ลิ้นของเขาอ่อนนุ่มแต่ซุกซนเหลือเกิน "โอ๊วววว..." ทำความสะอาดวิธีนี้เห็นทีต้องเริ่มอีกรอบหนึ่ง เขาทั้งเลียและดูดสอดลิ้นชอนไชจนลึก ฉันแอ่นสะโพกรับลิ้นที่ดันและชอนไชเข้ามา จากนั้นจึงสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินหว่างขาและดันเข้าจนมิดโคนบดเบียดขยี้เนินหว่างขาจนเสียวไปหมด เขาสอดแขนสองข้างเข้าใต้ขาเพื่อยกก้นฉันให้สูงขึ้น แล้วเริ่มเด้งก้นโยกเบาๆช้าๆสักพักเริ่มเร่งจังหวะกระแทกกระทั้นให้แรงขึ้น "อ๊ากกก!" เสียงร้องสุดเร้าใจของเสวี๋ยฉีดังขึ้นพร้อมปล่อยน้ำอุ่นๆออกมา เขาโถมตัวกอดและจูบกันอย่างดูดดื่ม จูบซุกไซร้ใบหูและกระซิบบอกให้ฉันนอนพักผ่อน เขาขยับพลิกตัวลงนอนข้างๆสอดแขนให้ฉันหนุนนอนแล้วจับตัวฉันพลิกให้มากอดซบอก เสวี๋ยฉีจูบที่หน้าผากแล้วพูดเบาๆว่า...

       เสวี๋ยฉี  : หากข้าตื่นมากลางดึก ข้าขอทำรักอีกได้มั้ย
          อันฉี  : อื้ม.... แต่ท่านมาทำรักกับข้าในฝันสิ ข้าจะหลับแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าหลับเถอะ

          เสวี๋ยฉีปล่อยให้ฉันนอนหลับ แต่เขาไม่มาหาฉันในความฝัน เพราะกลางดึกฉันรู้สึกถึงมือเขาล้วงจับเนินหว่างขาแล้วใช้นิ้วเขี่ยในรอยแยกและแหย่นิ้วสอดใส่เข้าออกจนลื่นเยิ้มแฉะ จากนั้นสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังในท่านอนตะแคงข้างและกระแทกแท่งเนื้อแข็งเบาๆช้าๆ มือข้างหนึ่งจับอยู่ที่หน้าอกฉัน เขาซุกหน้ากับหลังคอฉันแล้วหายใจส่งเสียงครางเซ็กซี่เบาๆเพราะกลัวฉันตื่น แต่เขาทำให้ฉันเสียวขนาดนี้ใครไม่ตื่นก็บ้าแล้ว ฉันขยับมือจับมือเขาที่กำลังบีบจับหน้าอกและครางเสียงเบาๆให้เขารู้ว่าฉันตื่นเพราะเขา เขาเร่งจังหวะกระแทกเร็วถี่ขึ้นจนเราเสร็จพร้อมกัน แล้วเขาก็ปล่อยให้ฉันหลับไปอีกครั้ง ฉันหลับไปได้สักพักจึงพลิกตัวยกขาข้างหนึ่งกอดก่ายเขาเพราะเมื่อย เสวี๋ยฉีก็พลิกตัวขยับจับแท่งเนื้อแข็งถูไถเนินหว่างขาจนมีน้ำหล่อลื่นออกมาแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาอีกครั้ง ทั้งหอมและจูบฉันดูดดื่มพร้อมทั้งกระแทกกระทั้นแท่งเนื้อแข็งจนเสียวไปหมด ฉันจึงขยับพลิกตัวขึ้นนอนทับคร่อมบนตัวเสวี๋ยฉีดูดและกัดซอกคอเพราะหมั่นเขี้ยวที่เขาไม่ยอมนอน ฉันนอนทับเขาและเด้งก้นขยับให้แท่งเนื้อแข็งเสียดสีเข้าออกจนน้ำหล่อลื่นไหลเยิ้มออกมาอีก เสวี๋ยฉีเอื้อมมือบีบขยำกันและช่วยจับก้นฉันเด้งขยับเสียดสีแท่งเนื้อแข็งจนฉันเกร็งตัวกระตุกเสร็จอีกรอบ เสวี๋ยฉีจึงยกก้นเด้งกระแทกให้แรงขึ้นจนฉันต้องเอามือปิดปากตัวเองไม่ให้ร้องเสียงดังเพราะแรงกระแทกที่หนักหน่วงจนเขาเสร็จและปล่อยน้ำอุ่นๆไว้ภายในเนินหว่างขา

           ฉันเหนื่อยและง่วงมากจึงนอนหลับต่อบนตัวเสวี๋ยฉีในท่ายังนอนคร่อมอยู่บนตัวและมีแท่งเนื้อแข็งยังคาเนินหว่างขาอยู่อย่างนั้น เสวี๋ยฉีปล่อยให้ฉันนอนคร่อมเขาอยู่แบบนั้นทั้งหอมและกอดลูบศรีษะคล้ายกล่อมนอนอยู่สักพัก เขาก็เริ่มยกก้นดันแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเนินหว่างขาโยกขยับซ้ายขวาบดเบียดสัมผัสจนเสียว แล้วเด้งกันกระแทกช้าๆเหมือนกำลังหยอกเล่นกับเนินหว่างขาสนุกสนาน แล้วพลิกตัวจับฉันนอนหงายเล่นหน้าอกและดูดหัวนม แล้วเลื่อนมาดูดซอกคอกอดฉันแน่น ฉันโอบกอดเขากลับและยกขาสองข้างกอดเกี่ยวที่สะโพกเขาเพราะเสียวและยกก้นขึ้นเพราะต้องการให้เขากระแทกแท่งเนื้อแข็งใส่ฉันลึกๆ เขาเร่งจังหวะกระแทกเร็วและแรงขึ้นจนเราเสร็จพร้อมกันอีกแล้ว เสวี๋ยฉียังคงจูบลูบไล้ตัวฉันอยู่อย่างนั้น เขาเลื่อนลงไปจูบที่เนินหว่างขาแลบลิ้นเลียชอนไชจนฉันเสียว ด้วยความที่เหนื่อยและง่วงนอนฉันพลิกตัวนอนคว่ำหน้าไม่ให้เสวี๋ยฉีดูดเลียเนินหว่างขาอีก เขาจึงนอนคร่อมทับฉันที่นอนคว่ำหน้าแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลัง โถมตัวลงมากอดฉันที่นอนคว่ำหน้าแล้วจับมือฉันกดไว้กับที่นอนไม่ให้ขยับหนีอีก แล้วขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆแต่ดันจนลึกทำให้ฉันเสียวจึงขยับยกก้นขึ้นสูงเล็กน้อยเพื่อให้เสวี๋ยฉีดันแท่งเนื้อแข็งเข้าได้จนมิดสุดโคนกระแทกกระทั้นสุดแรงอีกครั้งจนน้ำอุ่นๆไหลออกมา

          ฉันรู้เสวี๋ยฉียังไม่หยุดแค่นี้แน่ ฉันจึงขอเสวี๋ยฉีพักงีบหลับสักครู่ แล้วปีนขึ้นไปนอนคร่อมหลับบนตัวเขาเป็นการเตรียมพร้อมให้เขาเริ่มทำรักรอบต่อไปเมื่อเขาต้องการ และเป็นไปตามที่คาดเสวี๋ยฉีกำลังสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในเนินหว่างขาอีกแล้ว คืนนี้ฉันนอนหลับๆตื่นๆทั้งคืนเพราะเสวี๋ยฉีไม่ยอมนอนสักที
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 55
(สุนัขเยือกแข็งปรากฏตัวอีกครั้ง)

          เช้านี้ฉันนอนตื่นสายเพราะเมื่อคืนเสวี๋ยฉีจัดหนักกับฉันทั้งคืนจนแทบไม่อยากจะตื่น แต่เสวี๋ยฉีตื่นนอนแล้ว เขาจูบที่หน้าผากหอมแก้มและห่มผ้าให้ฉันก่อนลุกไปจากเตียงปล่อยให้ฉันนอนต่อเพราะรู้ว่าฉันนอนไม่เพียงพอเมื่อคืน เฟยเจินเดินมาดูเพราะเห็นฉันตื่นสายกว่าทุกวัน เขาเอามือมาแตะหน้าผากเพราะกลัวฉันจะไม่สบาย ฉันงัวเงียตื่นนอนและทักทายเฟยเจินตอนเช้า เขาถามฉันว่า...

     เฟยเจิน  : ไม่สบายหรือเปล่า เมื่อคืนเจ้าดื่มเหล้าไปหลายถ้วย ข้ากลัวเจ้าจะป่วย
          อันฉี  : ไม่เป็นอะไรหรอก เมื่อคืนดื่มเหล้าเยอะไปหน่อย นอนหลับไม่สบายตัว หลับๆตื่นๆบ่อยกลางดึก
     เฟยเจิน  : หิวหรือเปล่า กินข้าวต้มมั๊ย ข้าจะให้นางกำนัลทำข้าวต้มมาให้
          อันฉี  : อื้มกินสิ! เดี๋ยวข้าตามออกไป

          เฟยเจินเดินกลับออกไป ฉันจึงงัวเงียลุกขึ้นนั่งกำลังจะใส่เสื้อผ้า เสวี๋ยฉีก็เดินสวนเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแล้วนั่งลงข้างๆ เขาหอมแก้ม จูบซอกคอแล้วเลื่อนลงมาจูบที่หน้าอก ฉันเอามือตีเขาเบาๆแล้วต่อว่าที่เขาทำให้ฉันไม่ได้นอนทั้งคืน เสวี๋ยฉีจับฉันกดลงไปนอนกับที่นอนอีกครั้งแล้วขึ้นนั่งคร่อมทับ

       เสวี๋ยฉี  : ตื่นนอนปุ๊บก็ออกฤทธิ์เดชกับข้าเลยรึ!
          อันฉี  : พอแล้วๆ ข้ายอมแล้ว ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
       เสวี๋ยฉี  : แต่ร่างกายเจ้ามันไม่ได้บอกแบบนั้น ดูเหมือนเจ้ายังต้องการข้าอยู่ ไปเถอะข้าจะพาเจ้าไปล้างหน้า (เขาเอื้อมมือไปลูบคลำเนินหว่างขาฉันแล้วสอดนิ้วแหย่เข้าไปพบว่ามันเริ่มเปียกแฉะ แล้วชูนิ้วที่เปียกนั้นให้ฉันดู)
          อันฉี  : วันนี้ข้าขอลาป่วยหนึ่งวัน

          เสวี๋ยฉีพาฉันไปล้างหน้า เขาตักน้ำช่วยล้างหน้าให้ฉันเสร็จแล้วเช็ดหน้าให้ จากนั้นเขาจับฉันหมุนตัวให้หันหน้าเอามือเท้ากำแพงแล้วปลดเชือกกางเกงฉันหลุดไปกองกับพื้น เขาขยับขาฉันให้แยกออกและจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาทั้งโยกทั้งกระแทกเร็วแรงจนเราเสร็จสมพร้อมกันอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว เขาพลิกตัวฉันกลับมาแล้วจูบแลกลิ้นเป็นการทิ้งท้าย เขาก้มลงจูบที่เนินหว่างขาหนึ่งครั้งแล้วช่วยฉันผูกเชือกกางเกงให้เรียบร้อย แล้วเดินกอดคอฉันออกมา พาไปนั่งรอนางกำนัลนำข้าวต้มมาให้กินที่ชานชมดอกบัว ฉันนั่งลงข้างๆซิ่นหลิงและอิงศรีษะกับไหล่ของซิ่นหลิง ลูบแก้มฉันแล้วถามว่า...

     ซิ่นหลิง  : เจ้าดูเหนื่อยๆเพลียๆ
          อันฉี  : ใช่! ข้าเหนื่อยและเพลียมาก เพราะเมื่อคืนข้าฝันว่า ข้าวิ่งรอบพระราชวังยี่สิบรอบ ตื่นมาจึงเหนื่อยขนาดนี้
     ซิ่นหลิง  : เอ๊ะ? มันเป็นไปได้ด้วยรึ? นี่ขนาดเจ้าไม่สบายยังมิวายจะกวนประสาทข้า
      เสวี๋ยฉี  : หุหุ (เสวี๋ยฉีแอบหัวเราะ)
     หยงเป่า  : หลังกินอาหารเช้าให้เจ้าสี่ไปตามหมอจงมาดูอาการน้องห้า
     เฟยเจิน  : น้องห้า มา ข้าป้อนข้าวต้มให้กิน กินเสร็จข้าจะไปตามหมอจงมาตรวจอาการเจ้า
          อันฉี  : ข้าแค่อ่อนเพลียนอนหลับไม่เพียงพอ ขอยาบำรุงกำลังมาต้มกินสักห่อก็พอ

          หลังป้อนข้าวต้มเสร็จเฟยเจินไปหาหมอจงเพื่อขอยาบำรุงมาต้มให้ฉันกิน แต่กลายเป็นว่าหมอจงและฉิงคุนมาที่ตำหนักดอกบัวเพื่อมาตรวจอาการป่วยด้วยตัวเอง ฉันจึงบอกหมอจงว่าเพราะดื่มเหล้าเยอะไปหน่อยทำให้ไม่สบายตัวนอนหลับไม่เพียงพอ หมอจงจึงให้ฉิงคุนไปต้มยาบำรุงมาให้ฉันดื่ม หมอจงบอกว่าจะไปพบหมอหวังที่จวนหมอหลวงเพื่อพูดคุยและจะขอแบ่งปันยาสมุนไพรแก้พิษงูสักหน่อยไว้รักษาคนไข้ในช่วงที่ยังหาร้านซื้อสมุนไพรไม่ได้ ฉันจึงชวนฉิงคุนให้อยู่นั่งเล่นพูดคุยกันที่ตำหนักดอกบัว ฉิงคุนตอบรับคำชวนเพราะเขาเองก็ว่างและไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน

          ช่วงบ่ายหลังกินอาหารกลางวันเสร็จ ฉิงคุนนั่งเล่นหมากกระดานอยู่กับซิ่นหลิงโดยมีเฟยเจินนั่งดูการเล่นของทั้งสองคน ส่วนฉันนอนหนุนตักเสวี๋ยฉีงีบหลับกลางวัน และมีหยงเป่านั่งดื่มน้ำชาเอกเขนกอยู่ใกล้ๆ ฉันงีบหลับไปได้สักพักก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงหยงเป่าอุทานว่า "จิตสังหาร" และได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างพังครืนลงมา และตามด้วยเสียงดังโหวกเหวกของทหารดังมาจากบริเวณอาคารท้องพระโรงและวิ่งกันแตกตื่น เฟยเจิน และซิ่นหลิงจึงเรียกอาวุธออกมาเตรียมพร้อมรีบออกไปดู และบอกให้เสวี๋ยฉีกับหยงเป่าอยู่ที่นี่กับฉัน

       เสวี๋ยฉี  : พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
        ฉิงคุน  : พวกมันที่พูดถึงนี่คือใครกันรึ?! แล้วเกิดอะไรขึ้น?!
          อันฉี  : พวกของปีศาจเยือกแข็งมันมาโจมตี ไว้ข้าจะเล่าให้ศิษย์พี่ฟังภายหลัง ศิษย์พี่อยู่ที่นี่กับข้าอย่าออกไปมันอันตรายมาก
        ฉิงคุน  : แล้วอาจารย์ล่ะ อาจารย์อยู่ที่จวนหมอหวัง จะปลอดภัยหรือเปล่า
     หยงเป่า  : อาจารย์ของเจ้ายังไม่ตายหรอกน่า เจ้าระวังตัวเองให้ดีเถอะ แต่พวกมันมากันไม่กี่ตัว มันน่าจะมาดูลาดเลามากกว่า

          ไม่นานนักเฟยเจินและซิ่นหลิงก็บินกลับมา เขาบอกว่าสุนัขเยือกแข็งสิบกว่าตัวมาบุกโจมตีพังท้องพระโรงแต่สุนัขเยือกแข็งกลับถูกทหารฆ่าตายโดยง่ายด้วยดาบอาบยาพิษพริกนรกที่ฉันมอบให้ไว้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงให้ทหารนำยาพิษพริกนรกไปผสมน้ำแล้วเคลือบดาบเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ในขณะเดียวกันนั้นมีผู้หญิงชุดสีม่วงสาวสวยเดินสะโพกยักย้ายยั่วยวนเข้ามาในตำหนัก นางคือ ปีศาจงูหิมะ ลู่เสียน เราทุกคนพากันตกตะลึงในความงามและตกใจที่เห็นนางมาที่นี่ ฉันรีบหลบแอบด้านหลังเสวี๋ยฉีเพราะกลัวถูกลู่เสียนสะกดจิตอีก หยงเป่า ซิ่นหลิง เฟยเจิน และฉิงคุนจึงขยับมายืนกั้นไม่ให้ลู่เสียนเข้าใกล้ฉัน

       เสวี๋ยฉี  : เจ้ามาที่นี่ทำไม
      ลู่เสียน  : ข้าก็ไม่ได้อยากมาที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ข้าตามสุนัขอัปลักษณ์พวกนั้นมา
       เสวี๋ยฉี  : เจ้ากลายเป็นพวกเดียวกับมันไปแล้วรึ
      ลู่เสียน  : ข้ายังไม่ตกต่ำถึงขนาดต้องผูกมิตรกับปีศาจอัปลักษณ์พวกนั้น
     เฟยเจิน  : แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม ถ้าเจ้าแตะต้องน้องห้าแม้เพียงปลายเล็บ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ
      ลู่เสียน  : เชอะ! ก็แค่เด็กสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพหน้าตาจืดชืดไร้พลังเวทย์จะสำคัญอะไรกันนักหนา อย่าว่าแต่แตะต้องเพียงปลายเล็บ แค่ให้มองข้ายังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ! แต่เพราะสุนัขพวกนี้มันวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วภูเขาเคียงนภา ข้าตามพวกมันมาเพราะข้าอยากรู้ว่าพวกมันกำลังจะทำอะไร ทำไมมันมารวมตัวกันที่ภูเขาเคียงนภาบ้านของข้า ข้าจึงได้พบพวกเจ้าที่นี่อีกครั้ง เป้าหมายของพวกมันคงไม่ได้มีแค่ต้องการมาทำลายตำหนักหลังใหญ่นั่นเพียงอย่างเดียวสินะ (ลู่เสียนมองด้วยสายตาเหยียดมาทางฉัน)
       เสวี๋ยฉี  : แล้วเจ้าต้องการอะไรกันแน่
      ลู่เสียน  : ข้าจะร่วมมือกับพวกเจ้ากำจัดปีศาจเยือกแข็ง แต่อย่าเพิ่งดีใจคิดว่าข้าอยากช่วยพวกเจ้า แต่เป็นเพราะข้าไม่ต้องการอาศัยอยู่ร่วมภูเขากับพวกปีศาจอัปลักษณ์พวกนั้นและไม่ต้องการให้พวกมันมายึดภูเขาที่เป็นบ้านของข้าไปต่างหาก
      เสวี๋ยฉี  : ดี! เจ้าพอจะรู้มั้ยว่าปีศาจเยือกแข็งมันซ่อนตัวอยู่ที่ใด
      ลู่เสียน  : มันซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหมอกทะลุบนยอดเขา ดูเหมือนมันได้รับบาดเจ็บและกำลังรักษาตัว หากต้องการไปฆ่ามัน ข้าจะนำทางไป
       เสวี๋ยฉี  : ขอบใจ ฝากเจ้าคอยจับตาดูพวกมันไว้ เพราะพวกข้าต้องวางแผนกันก่อน ยังไงข้าต้องไปฆ่ามันแน่
      ลู่เสียน  : ภูเขาเคียงนภาเป็นบ้านของข้า ความเคลื่อนไหวบนภูเขาย่อมอยู่ในสายตาข้า เฝ้าคนของเจ้าไว้ให้ดีเถอะ อย่าถูกปีศาจฆ่าตายซะก่อนล่ะ ที่เฝ้าประคบประหงมมามันจะเสียเปล่า (ลู่เสียนมองฉันด้วยหางตาแล้วบินหายไป)
        ฉิงคุน  : นางเป็นหญิงที่มีวาจาร้ายกาจเหลือเกิน แต่ก็มีความงดงามจับใจ
          อันฉี  : แบบนี้เรียกว่าสวยสังหาร! ศิษย์พี่อย่าไปสบตากับนางโดยเด็ดขาด นางสามารถสะกดจิตควบคุมจิตใจให้เราฆ่าตัวตายเองได้
        ฉิงคุน  : จริงรึ?!
          อันฉี  : อื้ม!
     หยงเป่า  : ปีศาจงูหิมะจะหลอกให้เราหลงกลหรือเปล่า
      เสวี๋ยฉี  : ไม่หรอก ถึงนางจะมีเล่ห์กลอยู่บ้าง แต่ความคิดของนางไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก ถ้าไม่ชอบก็จะประกาศตนเป็นศัตรูออกมาตรงๆ อีกอย่างนางมีนิสัยเกลียดความอัปลักษณ์
          อันฉี  : ชิ! รู้ใจกันดีเหลือเกิน (ฉันพึมพำเบาๆ)

           ไม่นานนักหมอจงวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ตำหนักดอกบัว เห็นเราอยู่กันพร้อมหน้าและปลอดภัยดีจึงถอนหายใจโล่งอก และถามว่าตัวประหลาดที่บุกเข้ามาเป็นตัวอะไร ในขณะเดียวกันองครักษ์ฟู่เซียงมาเชิญพวกเราไปร่วมพูดคุยหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ตำหนักของฮ่องเต้ ฉันจึงเล่าให้หมอจงและฉิงคุนฟังเกี่ยวกับปีศาจเยือกแข็งและปีศาจงูหิมะลู่เสียนระหว่างเดินไปตำหนักฮ่องเต้ด้วยกัน

เพลง คำตอบของเธอ
Youtube by : POP MusicChannel



■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■


หมอหญิงปีศาจ

ตอนที่ 56
(ศึกตัดสิน)

          ที่ตำหนักฮ่องเต้พบท่านอ๋องนั่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว ท่านอ๋องเสนอว่าเราควรจัดทัพบุกไปโจมตีปีศาจเยือกแข็งที่ภูเขาเคียงนภา ควรบุกโจมตีตอนช่วงที่ปีศาจเยือกแข็งยังไม่หายดี อีกทั้งตอนนี้องค์รัชทายาทได้ส่งกองทหารของแคว้นจินชางที่เดินทางมาช่วยรบใกล้ถึงแคว้นหลวนเซียนแล้ว และจะตั้งค่ายรอฟังคำสั่งออกรบอยู่รอบนอกวัง ส่วนเรื่องเสบียงอาหารองค์ชายชงหยวนแห่งแคว้นฮุ่ยจูได้ส่งมาให้ก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง

     ซิ่นหลิง  : นี่เจ้าเตรียมการพร้อมไว้ก่อนแล้วรึนี่
       ฮ่องเต้  : ใช่แล้ว! เราเริ่มเตรียมการตั้งแต่วันที่เราทราบข่าวจากท่านไป๋ว่าพบสุนัขเยือกแข็งปรากฏตัวบนภูเขาเคียงนภา ข้าจึงสั่งให้ทหารทุกคนนำดาบและอาวุธมาเคลือบยาพิษพริกนรก วันนี้เราจึงสามารถฆ่าสุนัขเยือกแข็งตายได้โดยง่าย
    ท่านอ๋อง  : รอทหารแคว้นจินชางเดินทัพมาถึง เราจะบุกพร้อมกัน
       เสวี๋ยฉี  : ดี!
      หมอจง  : ข้ากับฉิงคุนจะไปจัดเตรียมยาและอุปกรณ์ทำแผลสำหรับทหาร
          อันฉี  : ข้าจะไปช่วยอาจารย์ด้วย
     เฟยเจิน  : ข้าจะเรียกนกอินทรีย์ดำที่เกาะกระต่ายผีมาช่วย
     ซิ่นหลิง  : ส่วนข้ามีกองทัพแมงป่องกับแมงมุมจะเรียกมาช่วยอีกแรง
     หยงเป่า  : ข้ามีกองกำลังเสือดำจำนวนไม่มากนักที่ป่าอัคคีทางใต้แต่ก็สามารถเรียกมาช่วยรบได้
       เสวี๋ยฉี  : เจ้ารอง เรียกสมุนงูของข้ามาช่วยด้วย คัดมาเฉพาะพวกที่แข็งแรงแล้วให้อยู่รอที่ชายป่าอย่าออกมาให้มนุษย์เห็นจะพากันตกใจกลัว ส่วนงูอื่นที่เหลือให้อยู่เฝ้าระวังที่ป่าไผ่เขียว ข้ากับเจ้าสี่จะอยู่ระวังทางนี้เอง
หยงเป่า, ซิ่นหลิง : อืม!
   ท่านอ๋อง  : ข้าไปเตรียมจัดทัพ

          จากนั้นเราจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อกองทัพทหารแคว้นจินชางเดินทางมาถึงและตั้งค่ายที่รอบนอกวัง เราจึงนำยาพิษพริกนรกไปให้ทหารจินชางผสมน้ำเพื่อเคลือบดาบและอาวุธอื่นๆ และยังได้กับพบลี่จูกับเหวินหลางและแม่ทัพคนอื่นๆมาร่วมนำทัพออกศึกด้วย เราใช้เวลาสองวันเตรียมทัพกันพร้อมเสร็จ และในคืนนี้ปีศาจงูหิมะได้มาพบเราที่ตำหนักดอกบัว นางบอกว่ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติบนภูเขาเคียงนภา และสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งขึ้นของปีศาจเยือกแข็ง

          ทันใดนั้นพี่ชายทั้งสี่และปีศาจงูหิมะก็สัมผัสได้ถึงการมาของปีศาจเยือกแข็งและสุนัขเยือกแข็ง ซิ่นหลิงยิงธนูศรเพลิงพิรุณขึ้นฟ้าหนึ่งดอกเป็นการส่งสัญญานว่าปีศาจเยือกแข็งและสุนัขเยือกแข็งบุก พระราชวังเกิดความโกลาหลอีกครั้ง โชคดีที่เราเตรียมพร้อมรบไว้อยู่ก่อนแล้ว ฝูงสุนัขเยือกแข็งจำนวนมากกำลังบุกเข้าโจมตีทหารมนุษย์และทหารปีศาจจากป่าอัคคีเข้าต่อสู้กันไม่มีใครยอมใคร แต่ครั้งนี้ฝ่ายเรามีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดีจึงสามารถฆ่าสุนัขเยือกจำนวนมากโดยง่าย สุนัขเยือกแข็งส่วนหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีเหล่าทหารในวังและนอกวัง แต่สุนัขเยือกแข็งอีกจำนวนหนึ่งเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในวัง เสวี๋ยฉีสั่งให้เฟยเจิน หยางกวาง และหลี่เฉียงปีศาจงูจากป่าไผ่เขียวอยู่คุ้มกันฉัน ส่วนเสวี๋ยฉี หยงเป่า ซิ่นหลิง และลู่เสียนกระโดดพุ่งออกไปต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง ไม่นานนักฮ่องเต้กับองครักษ์ฟู่เซียง หมอจง และฉิงคุน ที่วิ่งมารวมตัวกับฉันที่ตำหนักดอกบัว เราออกมารับมือกับสุนัขเยือกแข็งด้านนอกตำหนัก สักพักก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่นมาจากหอตำราหลวง ทำเอาฮ่องเต้ตกใจและมีสีหน้าตื่นตระหนกจนอุทานขึ้นว่า "มันหาเจอแล้วรึ แย่แล้ว!?" ฮ่องเต้รีบวิ่งไปที่หอตำราหลวงทันที พบประตูและกำแพงหอตำราหลวงบางส่วนถูกทำลาย ตู้และชั้นหนังสือถูกรื้อกระจัดกระจายเละเทะ อีกทั้งเสาค้ำยันในหอตำราหลวงบางต้นถูกทำลายเสียหาย แต่ไม่พบสุนัขเยือกแข็ง ฮ่องเต้เห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาจับแขนฉันและพูดด้วยอาการตื่นตระหนกว่า

       ฮ่องเต้  : พวกปีศาจมันได้ตาข่ายพันธการฟ้าไปแล้ว
         อันฉี  : ห๊า!? เก็บตาข่ายพันธการฟ้าไว้ที่หอตำราหลวงเนี่ยนะ?
       ฮ่องเต้  : ใช่! มันถูกซ่อนอยู่ในเสาต้นที่สาม แต่ตอนนี้เสาถูกทำลายแล้ว
     เฟยเจิน  : ที่ซ่อนมีตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วทำไมเอาไปซ่อนไว้ในเสากันเล่า?!
       ฮ่องเต้  : มันถูกซ่อนอยู่ในเสาต้นนั้นมาตั้งแต่รุ่นก่อนปู่ทวดของข้า แล้วที่ตาข่ายพันธการฟ้าถูกนำไปซ่อนอยู่ในเสาเพราะเป็นจุดที่ไม่มีใครคาดถึง อีกทั้งหอตำราหลวงไม่ค่อยมีใครสนใจเข้าไปอ่านหนังสือมากนัก จะมีเพียงนักปราชญ์และบัณฑิตเท่านั้นที่เข้าไปหาอ่านหนังสือ
          อันฉี  : เป็นที่ซ่อนที่คาดไม่ถึงจริงๆ แต่ก็ถูกปีศาจมันหาเจอจนได้!
       ฮ่องเต้  : อันฉีเจ้าต้องรีบหนีไป ไม่ต้องห่วงทางนี้
          อันฉี  : หม่อมฉันจะไม่หนี เราจะอยู่สู้ด้วยกัน ศึกวันนี้จะเป็นวันตัดสินว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม! เราลุยกันเลย!
      หมอจง  : อยู่ใกล้ๆกันไว้ และระวังตัวกันด้วย

          ครู่เดียวพวกสุนัขเยือกแข็งก็วิ่งกลับมาตรงที่เรายืนกันอยู่ และส่งเสียงเรียกพวกพ้องเหมือนบอกว่าเจอฉันแล้ว ปีศาจเยือกแข็งที่สลัดหลุดหนีการต่อสู้กับเสวี๋ยฉีมาได้ มันรีบพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มฉันที่ยืนรวมกันอยู่หน้าหอตำราหลวง เฟยเจิน หลี่เฉียงและหยางกวาง พุ่งเข้าขวางการโจมตีและโต้กลับด้วยความรวดเร็ว เสวี๋ยฉี หยงเป่า ซิ่นหลิง และลู่เสียนตามมาติดๆเข้ารุมโจมตีปีศาจเยือกแข็งและลอยขึ้นไปบนอากาศต่อสู้กัน เฟยเจินจึงถอยออกมาคอยต่อสู้คุ้มกันฉันจากสุนัขเยือกแข็ง

          ปีศาจเยือกแข็งที่หาจังหวะช่องว่างได้ โยนตาข่ายพันธการฟ้าเข้าใส่ฉันหวังจับฉันไว้ในตาข่าย ซิ่นหลิงผละจากการต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็งหันมาใช้ทวนโลหิตวารีเข้าขวางตาข่ายพันธการฟ้าแต่ซิ่นหลิงถูกแรงต้านของตาข่ายจนกระเด็นออกไปอีกทางด้วยความแรง ฉันพยายามวิ่งหลบตาข่ายแต่เหมือนถูกดูดไว้ในรัศมีทำให้แขนขาอ่อนแรงวิ่งไม่ไหวและล้มลงนั่งกับพื้น เฟยเจิน พุ่งตัวเข้าขวางรับตาข่ายพันธการฟ้าแต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงตาข่ายได้และส่งผลให้เขาได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก ฉันกับเฟยเจินถูกแรงดึงดูดของตาข่ายครอบจับไปด้วยกัน แต่เฟยเจินก็พยายามต้านไว้สุดแรงไม่ยอมถอยหนี จนตาข่ายเลื่อนลงมาใกล้ครอบถึงตัวเราทั้งคู่ หยางกวางและหลี่เฉียง พุ่งเข้าจับตาข่ายแต่ถูกแรงต้านของตาข่ายทำให้ทั้งสองกระเด็นออกไปไกล

          ทันใดนั้นฮ่องเต้ หมอจง และฉิงคุน โผตัวเข้ากอดคร่อมตัวฉันกับเฟยเจินเอาไว้เพื่อไม่ให้ตาข่ายพันธการฟ้าสัมผัสถูกตัว เมื่อตาข่ายครอบลงมาถึงกลับไม่มีผลอะไรกับมนุษย์ปกติ องครักษ์จิ้นฝานรีบวิ่งเข้ามาช่วยดึงตาข่ายที่ครอบพวกเราอยู่ออก อีกทั้งมีท่านอ๋อง ลี่จู กับเหวินหลางที่ตามมาช่วยอีกแรงพอดี ซิ่นหลิงได้รับบาดเจ็บมากจากแรงต้านของตาข่ายพันธการฟ้า พอตั้งหลักได้ซิ่นหลิงรีบเข้าไปดูเฟยเจินที่ได้รับบาดเจ็บ แต่เฟยเจินบอกว่าเขายังไหว ให้ซิ่นหลิงรีบไปช่วยเสวี๋ยฉีกับหยงเป่าที่กำลังรับมือปีศาจเยือกแข็ง เพราะลู่เสียนถูกปีศาจเยือกแข็งซัดด้วยฝ่ามือร่วงตกลงมาจากฟ้าไปแล้ว ลี่จูและเหวินหลางจึงรีบวิ่งเข้าไปพยุงลู่เสียนที่ได้รับบาดเจ็บหนักให้ออกมาจากบริเวณนั้น ฮ่องเต้รีบม้วนตาข่ายและส่งให้องครักษ์ฟู่เซียงถือเอาไว้ และสั่งกำชับอย่าให้ใครแย่งชิงเอาไปได้อีก

          เรายืนลุ้นกันตัวโก่งมองดูเสวี๋ยฉี หยงเป่า และซิ่นหลิง ที่กำลังต่อสู้กับปีศาจเยือกแข็ง แล้วช่วงจังหวะหนึ่งที่ซิ่นหลิงพลาดถูกซัดด้วยพลังพายุน้ำแข็งและกำลังจะถูกแทงซ้ำด้วยกระบี่เกล็ดเยือกแข็ง ฉันตกใจมากภายในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าฉันจะรับคมกระบี่นั่นเอง จึงร้องตะโกนออกไปว่า "ไม่!!!"

          ทันใดนั้นแค่ชั่วพริบตา พรึ่บ!!! ร่างของฉันโผล่กระแทกชนซิ่นหลิงจนพ้นทาง กระบี่เกล็ดเยือกแข็งแทงเข้าท้องฉันพอดิบพอดี ปีศาจเยือกแข็งเห็นว่าเป็นฉันที่รับคมกระบี่แทนจึงออกแรงดันกระบี่ให้เสียบลึกเข้าไปอีกจนสุดโคนกระบี่ ฉันจึงกัดฟันเรียกแซ่อสรพิษออกมาผูกมัดฉันกับปีศาจเยือกแข็งให้มัดเอวติดกันไว้ เสวี๋ยฉีจึงพุ่งเข้ามาใช้กระบี่แทงปีศาจเยือกแข็งทันที พร้อมด้วยหยงเป่าแทงด้วยดาบเขี้ยวแก้วราตรี ซิ่นหลิงพุ่งแทงด้วยทวนโลหิตวารี แต่ปีศาจเยือกแข็งก็ยังไม่ยอมตาย ฉันจึงรีบหยิบเข็มพิษโลหิตรักนิรันดร์ออกมาจะแทงปีศาจเยือกแข็งแต่ถูกมันจับข้อมือไว้ได้ ประจวบกับเฟยเจินบินด้วยความเร็วพริบตาหยิบเข็มจากมือฉันแล้วแทงเข็มพิษโลหิตรักนิรันดร์ลงบนศรีษะปีศาจเยือกแข็งทันที ปีศาจเยือกแข็งหวีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเนื้อตัวชักเกร็ง ตาโตเหลือกถลนน่ากลัว ร่างของมันและกระบี่เกล็ดเยือกแข็งค่อยๆสลายกลายเป็นไอลอยหายไปในอากาศ รวมทั้งสุนัขเยือกแข็งที่เหลือก็สลายหายไปด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของเหล่าทหารดังขึ้นไปทั่วบริเวณ

          เสวี๋ยฉีรีบถอดเสื้อคลุมห่มตัวฉันไว้กันถูกเลือดพิษแล้วอุ้มฉันลงมานั่งประคองกอดที่พื้น พี่ชายอีกสามคนและคนอื่นๆหน้าตาตื่นตระหนกรีบถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง ฉันตอบทั้งน้ำตาว่า...

          อันฉี  : เจ็บ เจ็บมาก...ข้าจะตายหรือเปล่า ฮือๆ!
     ซิ่นหลิง  : เจ้าเด็กโง่! ใครใช้ให้เจ้าเอาตัวรับกระบี่แทนข้า
     หยงเป่า  : น้องห้าไม่ตายหรอก รีบทำแผลให้นางก่อนเถอะ
      หมอจง  : ข้าจะทำแผลให้เจ้า
       เสวี๋ยฉี  : ไม่ได้! ข้าจะทำเอง
          อันฉี  : พี่ใหญ่...ให้อาจารย์ทำแผลให้ข้าเถอะ ให้เป็นหน้าที่หมอเถอะนะ ขอร้องล่ะ! ข้าเจ็บ! ฮือๆๆ
     ซิ่นหลิง  : พี่ใหญ่! อย่าเพิ่งหึงหวงตอนนี้เลย ให้น้องห้าทำแผลก่อน จะได้ทำแผลให้เจ้าสี่ด้วย
       เสวี๋ยฉี  : ชิ! ก็ได้
       ฮ่องเต้  : อันฉี เจ้าจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?!
          อันฉี  : ไม่เพคะ อย่ากังวลเลย

          เสวี๋ยฉีอุ้มฉันกลับเข้าตำหนักแล้วปล่อยให้หมอจงทำแผลให้ฉัน หมอจงบอกว่าตอนที่ฉันถูกปีศาจแทงด้วยกระบี่ เขาตกใจและกลัวมาก กลัวว่าฉันจะเป็นอะไรไป แต่ฉันเคยบอกเขาว่าฉันจะตายก็ต่อเมื่อได้รับเพลิงสายฟ้าจากสวรรค์ แต่เขาก็ยังกลัวและกังวลอยู่ดี เขามองฉันด้วยสายตาห่วงใย และค่อยๆโรยยาใส่แผลและพันแผลให้ เขากอดฉันด้วยความอ่อนโยนและบอกว่าจะให้ฉิงคุนต้มยาบำรุงกับต้มน้ำขิงมาให้ดื่ม เขาจะไปทำแผลเบื้องต้นให้เฟยเจินและคนอื่นๆก่อน เพราะอาการบาดเจ็บจากถูกปีศาจทำร้ายอาจต้องให้ฉันเป็นคนไปรักษา แล้วเขาก็จะไปช่วยหมอหวังตรวจรักษาทหารที่ได้บาดเจ็บด้วยแล้วเดินออกจากห้องไป

          จากนั้นเสวี๋ยฉี หยงเป่า ซิ่นหลิง และฮ่องเต้เดินเข้ามาดูอาการฉัน ฮ่องเต้บอกว่าเข้ามาดูให้แน่ใจว่าฉันปลอดภัย และจะออกไปบอกคนอื่นๆที่รออยู่ด้านนอกว่าให้ฉันพักผ่อน วันพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยม จากนั้นฮ่องเต้จึงเดินออกไป พี่ชายทั้งสามอยู่พูดคุยกับฉันสักพักหนึ่ง หยงเป่ากับซิ่นหลิงจึงขอตัวออกไปดูอาการเฟยเจิน หยางกวาง และหลี่เฉียง รวมทั้งเหล่าทหารปีศาจจากป่าอัคคี จะให้อยู่เฝ้าระวังที่ชายป่าไปก่อน เสวี๋ยฉีจึงนั่งลงข้างเตียงโอบกอดฉันด้วยความระมัดระวัง เขาจับมือฉันขึ้นมาหอมและบ่นฉันเบาๆว่าชอบทำอะไรเสี่ยงอันตรายทำให้เขาเป็นห่วงเสมอ ฉันเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ย "ขอโทษ" ฉันถามเขาถึงอาการบาดเจ็บของลู่เสียน และบอกเสวี๋ยฉีให้ไปเยี่ยมดูอาการของลู่เสียนสักหน่อยเป็นการแสดงน้ำใจ พรุ่งนี้ฉันจะไปรักษาให้ แต่เสวี๋ยฉีปฏิเสธการไปเยี่ยมเพราะเขาเป็นห่วงฉัน ขณะเดียวกันนั้นฉิงคุนก็ยกยาบำรุงและน้ำขิงเข้ามาให้ฉัน ท่าทางเขาดูตื่นเต้นมากและดูท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากพูดคุยกับฉันจนรอพูดคุยกันวันพรุ่งนี้ไม่ไหว แต่เขาไม่กล้าเพราะกลัวเสวี๋ยฉี ฉันจึงขอเวลาเสวี๋ยฉีพูดคุยกับฉิงคุนสักครู่หนึ่ง และบอกให้เขาไปเยี่ยมลู่เสียนเป็นการฆ่าเวลาเสวี๋ยฉีจึงยินยอมไป ฉิงคุนจึงยกถ้วยยาบำรุงมาให้ฉันดื่ม

          อันฉี  : ศิษย์พี่มีเรื่องอะไรจะพูดคุยกับข้ารึ?
        ฉิงคุน  : คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จนข้าไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี
          อันฉี  : งั้นพรุ่งนี้ค่อยกลับมาคุยกันใหม่ดีมั้ย
        ฉิงคุน  : เอ่อข้าอยากคุยตอนนี้! ข้าเห็นเจ้ากลายเป็นนกหงส์ไฟสีแดงมีเพลิงพวยพุ่งออกมา! เจ้ากลายเป็นนกหงส์ไฟบินไปช่วยพี่ชายของเจ้าตอนสู้กับปีศาจเยือกแข็ง แค่ชั่วอึดใจร่างนกหงส์ไฟก็หายไปตอนที่เจ้าใช้ตัวเองรับกระบี่แทนพี่ชาย ไม่ใช่ข้าเห็นคนเดียว แต่ทุกคนรวมทั้งทหารที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างเห็นเหมือนกันกับข้า
          อันฉี  : จริงรึ ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกเลย อ้อ! แต่รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยเหมือนเกิดไฟใหม้ที่ตัวข้าแป๊บเดียวแล้วก็หายไป
        ฉิงคุน  : เจ้าเป็นใครกันแน่ หรือเจ้าเป็นนกอัคคีสวรรค์ในตำนาน
          อันฉี  : ศิษย์พี่รู้เรื่องตำนานนั้นด้วยรึ?
        ฉิงคุน  : รู้สิ! เพราะบางครั้งข้าต้องช่วยอาจารย์หาเส้นทางที่ปลอดภัยเวลาอาจารย์เดินทางไปหาสมุนไพรตามแคว้นต่างๆ ข้าจึงต้องอ่านตำราศึกษาเกี่ยวกับแคว้นอื่นด้วย เพราะแต่ละแคว้นจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน อย่างเช่น แคว้นจินชางมีทองคำและเป็นแหล่งศึกษาความรู้ของสำนักต่างๆ แคว้นฮุ่ยจูเชี่ยวชาญเรื่องการค้าการขนส่งและมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ประชาชนไม่มีวันอดตาย แคว้นซูเซียวมีกองทัพทหารขนาดใหญ่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญการเดินเรือ ส่วนแคว้นหลวนเซียนเป็นดินแดนแห่งตำนานเทพและปีศาจฟังดูแตกต่างกันสุดขั้วแต่ความจริงกลับเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขที่สุด
          อันฉี  : ศิษย์พี่เก่งจังเลย สมกับที่เป็นศิษย์พี่จริงๆ นับถือๆ
        ฉิงคุน  : ข้าแค่อยากรู้ว่าข้าควรวางตัวกับเจ้ายังไงดี ความจริงข้าเริ่มวางตัวไม่ถูกตั้งแต่ที่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหมอเทวดา เจ้าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แล้วนี่เจ้ายังกลายเป็นนกเทพอัคคีสวรรค์อีก โอ๊ย! ข้าสับสนไปหมดทำตัวไม่ถูกแล้ว จนข้าไม่กล้าเรียกเจ้าว่าศิษย์น้องด้วยซ้ำ
          อันฉี  : อาจารย์เคยบอกว่า "ไม่ว่าข้าจะเป็นอะไร ข้ายังคงเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ และเป็นศิษย์น้องของท่าน จงสนับสนุนเมื่อเห็นข้ามีความสุข และจงอย่าทอดทิ้งเมื่อเห็นข้ามีความทุกข์" จำได้หรือไม่?
        ฉิงคุน  : ข้าจำได้ไม่เคยลืม
          อันฉี  : ที่ผ่านมาจนกระทั่งวันนี้ที่ท่านปฏิบัติต่อข้าท่านเป็นศิษย์พี่ที่ดีโดยสมบูรณ์ ใยต้องลังเลเห็นข้าเป็นอื่นด้วยล่ะ
        ฉิงคุน  : ศิษย์น้อง... (ฉิงคุนจับมือฉันและสบตาซาบซึ้ง)
          อันฉี  : ศิษย์พี่...
       เสวี๋ยฉี  : เจ้าหน้าปลาไหล! ปล่อยมือจากสาวน้อยของข้าเดี๋ยวนี้!
        ฉิงคุน  : โอ๊ะ!!! ท่านพญางูพี่ใหญ่ข้ากำลังจะกลับพอดี ศิษย์น้อง! อย่าลืมดื่มน้ำขิง ข้าไปล่ะ (ฉิงคุนหันมายิ้มกับฉันแล้วรีบเดินออกไปเพราะกลัวเสวี๋ยฉี)
          อันฉี  : ลู่เสียนเป็นอย่างไรบ้าง?
       เสวี๋ยฉี  : นางบอบช้ำภายใน แต่อย่าห่วงนางมีพลังเวทย์สูงยังไม่ตายง่ายๆคืนนี้หรอก เจ้าดื่มน้ำขิงแล้วนอนพักผ่อนก่อนเถอะ มา ข้าจะกอดเจ้านอน
          อันฉี  : อื้ม

          เช้าวันรุ่งขึ้นฉันรีบตื่นแต่เช้าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้เฟยเจิน และคนอื่นๆที่ถูกพิษปีศาจเยือกแข็งทำร้าย และยังไปช่วยหมอหวังกับหมอจงทำแผลให้ทหารทั่วไปภายในวังและทหารจินชางที่ตั้งค่ายอยู่นอกวังที่ถูกสุนัขเยือกแข็งกัด ลี่จูและเหวินหลางเดินมาถามอาการฉันด้วยความห่วงใย ลี่จูยิ้มและพูดกับฉันว่า "เจ้ามักทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้เสมอ พวกเราโชคดียิ่งนัก องค์รัชทายาทคงจะอิจฉาข้าน่าดูหากได้รู้ว่าข้าได้เห็นอะไรเมื่อคืนนี้" ลี่จูยังบอกอีกว่าจะอยู่ที่นี่อีกสักสองวันรอให้ทหารที่บาดเจ็บค่อยยังชั่วค่อยถอนทัพกลับ ไม่นานนักขันทีเดินมาเชิญเราและเหล่าแม่ทัพที่นำทัพร่วมรบเข้าประชุมที่ท้องพระโรง

          ในที่ประชุมฮ่องเต้กล่าวขอบคุณทุกคนที่ต่อสู้ร่วมกันจนสามารถกำจัดปีศาจเยือกแข็งได้สำเร็จ และปูนบำเน็จรางวัลให้กับแม่ทัพ อีกทั้งพระราชทานอาหารและเหล้าให้ทหารดื่มกิน ส่วนตาข่ายพันธการฟ้า ฮ่องเต้มีคำสั่งให้องครักษ์ฟู่เซียงนำไปทำลายทิ้งในภูเขาไฟลาวา ฉันจึงฝากตำรามารโลหิตนิรันดร์ให้องครักษ์ฟู่เซียงนำไปทำลายทิ้งในภูเขาไฟลาวาด้วย เมื่อเหตุการณ์ปกติและสงบสุข กองทัพจินชางและหมอจงจึงเดินทางกลับ ลู่เสียนปีศาจงูหิมะมากล่าวขอบใจฉันที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้และกล่าวลากลับไปที่ภูเขาเคียงนภา ฉันและพี่ชายทั้งสี่จึงกล่าวลาฮ่องเต้กลับบ้านที่ป่าอัคคีด้วยเช่นกัน
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 57
(คำพิพากษา)

          ที่ป่าอัคคีเสวี๋ยฉีบอกหยางกวางและหลี่เฉียงให้นำเหล้าไปให้ลูกสมุนดื่ม เหวินอี้จึงออกไปล่ากวางไว้ย่างกินคืนนี้ เพราะคืนนี้คงมีงานเลี้ยงและดื่มเหล้ากันจนดึกแน่ๆ หยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจินเริ่มเล่นเกมส์หมุนไม้ดื่มเหล้าเป็นที่สนุกสนานที่ลานหน้าบ้าน ตกดึกเสวี๋ยฉีชวนฉันไปนั่งชมดาวบนภูเขาด้วยกันก่อนเข้านอน เขาพาฉันมานั่งอยู่เนินทุ่งหญ้าที่มองเห็นดวงดาวชัดเจน เขาโอบกอดและจูบหน้าผาก เสวี๋ยฉีบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะจัดพิธีแต่งงาน แต่ฉันบอกเขาว่าอย่าเพิ่งจัดพิธีเพราะพรุ่งนี้ฉันต้องการตื่นนอนสายๆขอให้พรุ่งนี้เป็นวันขี้เกียจเพราะยังรู้สึกเหนื่อยอยู่เลย เสวี๋ยฉีจึงตามใจและบอกว่าจะให้เวลาฉันขี้เกียจสามวัน หลังจากนั้นฉันต้องขยันและตามใจเขา ฉันพยักหน้ารับปาก

          เสวี๋ยฉีจูบฉันอีกครั้งแล้วจับฉันนอนลงจูบซุกไซร์ซอกคอจนจักจี้ขนลุก เราเริ่มปลดเชือกผูกเสื้อและกางเกงของกันและกัน เขาจับฉันขึ้นนั่งตักหันหน้าเข้ากันแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าในหว่างขา เลื่อนริมฝีปากมาดูดที่หน้าอกซุกไซ้เคล้าคลึงจูบหอม ฉันแอ่นหน้าอกให้เขาดูดหัวนมได้ถนัดๆเริ่มโยกก้นให้แท่งเนื้อแข็งขยับเข้าออกเสียดสีจนเสียว ฉันชอบท่านี้มากเหลือเกินแล้วโอบกอดเขาแน่นด้วยความเสียวและความรักที่ฉันมีต่อเสวี๋ยฉีทั้งโยกทั้งขย่มและจูบเขาจนแทบจะหายใจไม่ทัน ฉันกอดเขาแน่นและขย่มไม่หยุด เสียงเขาร้องครางเบาๆอยู่ข้างหูเซ็กซี่เหลือเกิน ฉันเร่งจังหวะโยกขย่มจนเสียวเกร็งกระตุกแทบหมดแรง เสวี๋ยฉีจึงจับฉันนอนหงายแล้วเร่งจังหวะดันกระแทกแท่งเนื้อแข็งให้เร็วและแรงขึ้นจนร้อง "อ๊ากกก" ปล่อยน้ำอุ่นๆออกมา เขาโถมตัวนอนทับจูบอีกครั้งแล้วพูดว่า "ข้ารักเจ้า" จากนั้นเขายกตัวขึ้นสูงจับขาฉันข้างหนึ่งยกขึ้นกอดและสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาดันเข้าจนมิดโคนแล้วเด้งก้นกระแทกจนเสียวอีกครั้งจนเสร็จ และเริ่มใหม่อีกหลายครั้ง

          เราเริงรักเร่าร้อนใต้แสงดาวด้วยกันสักพักใหญ่ๆจนฉันเหนื่อยหอบหมดแรง เสวี๋ยฉีจึงหยุดพักให้ฉันได้หายใจหายคอ ฉันจึงชวนเขากลับบ้านเพราะเริ่มง่วงนอน โดยฉันให้เสวี๋ยฉีอุ้มกะเตงฉันเข้าเอวกอดแนบสนิทไว้ทางด้านหน้าเหมือนอุ้มเด็ก หว่างขาฉันที่อ้าออกกำลังเสียดสีกับเอวและมือเขาข้างหนึ่งที่กำลังลูบไล้ไปมาที่แผ่นหลังและก้น จนฉันมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ฉันกอดซบและจูบที่ซอกคอแล้วบอกเขาว่า...

          อันฉี  : ข้าต้องการท่านอีกแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : อดทนอีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว
          อันฉี  : ข้ารักท่านที่สุดในโลก
       เสวี๋ยฉี  : ข้าก็รักเจ้าที่สุดในโลกเช่นกัน

          เรากลับมาถึงบ้านยังเห็นหยงเป่า ซิ่นหลิง เฟยเจิน นั่งดื่มกันอยู่แต่วงเหล้ากลับใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและสนุกสนานขึ้น เพราะมีหยางกวาง หลี่เฉียง เหวินอี้ และลูกสมุนคนอื่นๆมาร่วมดื่มด้วย พวกเขาเล่นเกมส์งัดข้อกันหัวเราะสนุกสนานกันน่าดู เสวี๋ยฉีจึงบอกทุกคนว่าพรุ่งนี้ยกให้เป็นขี้เกียจหนึ่งวัน กินดื่มกันให้เต็มที่ ทุกคนจึงร้องเฮกันอย่างสนุกสนาน เฟยเจินที่ดื่มจนเมาเดินเข้ามาหาและจูงมือฉันให้ไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกันแล้วรินเหล้าใส่ถ้วยให้ฉันดื่ม

          อันฉี  : เจินเจิน เจ้าเริ่มกลายเป็นคนขี้เมาไปแล้วนะรู้มั้ย?
     เฟยเจิน  : การดื่มเหล้าเป็นวิถีแห่งชายชาตรี
          อันฉี  : ข้าล่ะห่วงวิถีแห่งชายชาตรีของเจ้าเสียจริง กลัวเจ้าจะเป็นตับแข็งตายไปเสียก่อน
     เฟยเจิน  : มีหมอฝึกหัดอยู่ข้างๆทั้งคนจะกลัวอะไร ฮ่าฮ่า
          อันฉี  : หนอย! กล้าล้อเลียนข้าเรอะ! ตายซะ! (ฉันบีบคอเฟยเจินหยอกเย้า)

          ฉันกับเสวี๋ยฉีอยู่ดื่มเหล้ากับพวกเขาและดูพวกเขาแข่งงัดข้อกันสักพักหนึ่ง เสวี๋ยฉีจึงพาฉันไปนอนเพราะเมามาก เขาอุ้มฉันไปนอนบนเตียงแล้วไม่รอช้ารีบถอดเสื้อออกทันที เสวี๋ยฉีขึ้นนอนทับคร่อมฉันทั้งจูบทั้งบีบขยำหน้าอกสนุกมือเลื่อนลงไปจูบและหอมเนินหว่างขา ใช้นิ้วแหวกรอยแยกออกแลบลิ้นเลียดูดจนมีเสียงดังและชอนไชลิ้นเข้าในเนินหว่างขาสลับใช้นิ้วสอดใส่เข้าออก จนฉันแอ่นสะโพกเพราะความเสียว เขาดูดเลียเนินหว่างขาอีกครั้งแล้วเลียขึ้นมาที่หน้าท้อง ดูดหัวนมและจูบริมฝีปาก เขาจับขาฉันสองข้างพาดบ่าจนก้นยกสูงขึ้น เขายืนย่อเข่าแล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งดันเข้าจนสุดโยกดันแท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆแล้วเร่งจังหวะกระแทกกระทั้นหนักหน่วง แล้วพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำโก้งโค้งสอดใส่แท่งเนื้อแข็งกระแทกถี่เร็วแรง ฉันต้องเอามือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาแล้วเกร็งตัวกระตุกเพราะเสร็จไปหลายครั้ง เสวี๋ยฉีเร่งจังหวะกระแทกเร็วขึ้นจนปล่อยน้ำอุ่นๆไหลออกมา จากนั้นจึงปล่อยให้ฉันนอนพักด้วยการนอนตะแคงหันหลังโอบกอดแนบชิด แขนข้างหนึ่งวางให้ฉันหนุนศรีษะ แขนอีกข้างหนึ่งโอบกอดและบีบคลึงหน้าอกเล่น แล้วจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขาทางด้านหลังอีกครั้งเด้งก้นขยับแท่งเนื้อแข็งเข้าออกเนินหว่างขาช้าๆเนิบนาบ มือกำลังบีบเคล้าคลึงหน้าอก ริมฝีปากอ่อนนุ่มกำลังจูบหอมหลังซอกคอและไหล่ เขาปลุกเร้าอารมณ์ฉันอีกแล้ว ฉันหันหน้าไปจูบเขาเป็นสัญญาณบอกว่าฉันพร้อมแล้ว และบอกด้วยเสียงกระเส่าว่า "ดันเข้าไปลึกๆ...อื้อออ" เสวี๋ยฉีจึงดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาช้าๆลึกๆเน้นๆ ฉันยกขาข้างหนึ่งขึ้นแยกออกกว้างวางพาดบนหน้าขาเสวี๋ยฉีเพื่อรอรับการกระแทกจากเขา และเขาไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังจัดหนักเร่าร้อนให้ฉันทั้งคืนยันเช้า

          เช้านี้เราตื่นนอนกันสายโด่ง มีเพียงเหวินอี้และฟางหรูที่ตื่นแต่เช้าตามปกติ ฉันที่กำลังนอนกอดซบอกเสวี๋ยฉีเริ่มรู้สึกตัวตื่นเพราะหิวข้าว จึงแกล้งดูดนมเสวี๋ยฉีเพื่อให้เขาตื่นไปกินข้าวพร้อมกัน เสวี๋ยฉีงัวเงียตื่นนอนเพราะถูกฉันปลุกด้วยการดูดนม เขาพลิกตัวกอดและหอมซุกไซ้ซอกคอสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาทันที กระแทกกระทั้นจนเขาเสร็จอีกครั้งในตอนเช้า เขากล่าวอรุณสวัสดิ์ทักทายยิ้มแล้วหยิกแก้มฉันเหมือนหมั่นเขี้ยวฟัดฉันเล่นอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยลุกไปล้างหน้าพร้อมกัน ฟางหรูยกน้ำชากับปาท่องโก๋มาให้กินรองท้อง ฟางหรูบอกว่าเช้านี้มีข้าวต้มใส่หมูสับ ไข่ลวก และหมั่นโถว เสวี๋ยฉีบอกให้ฟางหรูยกอาหารมาเลย ฉันจึงลุกเดินไปปลุกหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจินให้ตื่นมากินอาหารเช้าพร้อมๆกัน

     หยงเป่า  : วันนี้เป็นวันขี้เกียจมิใช่รึ ทำไมปลุกข้าแต่เช้าเลย
          อันฉี  : เช้าอะไร นี่สายแล้วนะ ไม่หิวข้าวบ้างรึไง? ตื่นไปกินอาหารเช้าก่อน ค่อยกลับมานอนใหม่น่า
     เฟยเจิน  : ขอนอนต่ออีกหน่อยน่า…
          อันฉี  : ข้าอยากนั่งกินข้าวพร้อมกับทุกคนนี่นา (น้ำเสียงฉันเศร้าๆเพราะรู้สึกใจหวิวๆ)
     ซิ่นหลิง  : ก็ได้ๆ งั้นตื่นไปกินข้าวพร้อมกันก็ได้ เจ้าพาข้าไปล้างหน้าหน่อย ข้ายังไม่หายง่วงเลย

          ซิ่นหลิงงัวเงียกอดคอให้ฉันพาเดินไปล้างหน้า จากนั้นเราจึงนั่งกินอาหารเช้าพร้อมหน้ากันในบรรยากาศเดิมของป่าไผ่เขียวที่สุดแสนจะคิดถึง หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฉันเดินไปดูดอกบัวมายาสีน้ำเงินที่สระบัวหน้าบ้านกับหยงเป่า และพูดคุยกันว่าจะปลูกบัวสีอื่นเพิ่มดีหรือไม่

          ในขณะนั้นเองเหมือนมีแสงแดดส่องลงมาที่ฉัน ทำให้ฉันรู้สึกตัวเบาหวิวจนยืนเซ หยงเป่ามองฉันแปลกๆแล้วรีบจับแขนฉันไว้ไม่ให้ล้ม แล้วเรียกฉันด้วยอาการตกใจ "น้องห้า!!!" เหมือนตัวฉันกำลังลอยขึ้นเท้าเริ่มไม่แตะพื้น ฉันรีบไขว่คว้าจับแขนหยงเป่าไว้ร้องเอะอะตกใจ "ช่วยด้วย จะลอยแล้ว!!!" เฟยเจินที่ยืนดูนกเหยี่ยวอยู่ใกล้ๆ รีบวิ่งเข้ามากอดที่เอวฉันไม่ให้ลอยขึ้นไป เสวี๋ยฉีกำลังนั่งดื่มน้ำชาเห็นฉันกำลังจะลอยขึ้นฟ้า เขามีสีหน้าตกใจมากรีบพุ่งตัวเข้ากระโดดกอดรัดฉันไว้ ซิ่นหลิงรีบวิ่งออกมาจากในบ้านกระโดดกอดขาฉันพยายามดึงรั้งไม่ให้ลอยขึ้นฟ้าแต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สามารถต้านแรงดึงดูดจากฟ้าได้ เหวินอี้กับฟางหรูวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากครัวรีบกระโดดกอดเอวซิ่นหลิงและหยงเป่าเพื่อพยายามดึงรั้งไม่ให้ฉันลอยขึ้นฟ้า เสียงร้องเอะอะทำให้หยางกวาง หลี่เฉียงและสมุนงูรีบออกมาดูและตกใจพร้อมกระโดดเกาะกันไม่ให้ฉันลอยขึ้นฟ้า แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดอีกเช่นกัน ฉันมองขึ้นไปบนฟ้าพบอุโมงค์บนฟ้าเปิดอีกครั้งและกำลังดูดฉันเข้าไปอุโมงค์บนท้องฟ้า ฉันร้องโวยวายลั่นว่า

          อันฉี  : ข้าไม่ไป! ข้าจะอยู่ที่นี่ เง็กเซียนช่วยด้วย! ข้าจะอยู่ที่นี่!
       เสวี๋ยฉี  : สาวน้อยเกิดอะไรขึ้น! เจ้าจะไปไหน?!!!
          อันฉี  : ข้าไม่รู้! ข้าไม่ไป! ข้าจะอยู่ที่นี่! ฮือๆ (ฉันเริ่มร้องไห้เสียงดัง)
     หยงเป่า  : ข้าไม่ยอมให้ใครเอาเจ้าไปหรอก!!!
      ซิ่นหลิง  : ทุกคนช่วยกันจับไว้เร็ว อย่าให้เข้าไปในอุโมงค์!!
     เฟยเจิน  : น้องห้าอย่าไปนะ!!!

          ฉันถูกอุโมงค์ดูดสูงขึ้นไปเรื่อยๆแรงต้านจากอุโมงค์กระชากพวกเขาหลุดออกจากการกอดเกี่ยวฉันจนพวกเขาร่วงลงสู่พื้น ทุกคนร้องเรียกฉันแต่ก็ไม่สามารถบินตามมาได้ ดูเหมือนท้องฟ้าสร้างกำแพงกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้อุโมงค์ ฉันเห็นหยงเป่ากับซิ่นหลิงพยายามใช้อาวุธทำลายกำแพงฟ้าแต่ไม่สำเร็จ ส่วนเสวี๋ยฉีกำลังบินพุ่งชนกำแพงฟ้าอย่างคลุ้มคลั่งเพื่อจะบินมาหาฉัน เพราะฉันกำลังจะถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ ส่วนเฟยเจินพยายามร่อนกงจักรเหล็กเพื่อทำลายกำแพงบนท้องฟ้าก็ไม่เป็นผลอีกเช่นกัน ฉันร้องไห้โฮสองมือยังคงไขว่คว้าหาพวกเขาในอากาศจนฉันถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ด้วยความเร็วและวูบหมดสติในอุโมงค์ที่มืดมิดนั้น

....บนสวรรค์....

 เทพคุมกฏ  : เบิกตัวนกอัคคีสวรรค์ นกอินทรีย์ทอง งูหยกหิมะขาว อสูรสายฟ้าเสือดำ แมงป่องแดงโลหิต
   เง็กเซียน  : หึ! ข้าส่งพวกเจ้าให้ไปช่วยเหลือมนุษย์ ไม่ใช่ให้พวกเจ้าไปแทรกแซงวิถีมนุษย์เข้าร่วมรบทำสงครามเข่นฆ่าชีวิตมนุษย์อีกฝ่ายมากมายขนาดนั้น แม้พวกเจ้าจะช่วยชีวิตมุษย์อีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ก็ถือว่ามีความผิดอยู่ดี เอาล่ะ! เทพคุมกฏประกาศบทลงโทษพวกเขา
 เทพคุมกฏ  : - นกอัคคีสวรรค์ กระทำผิดแทรกแซงวิถีมนุษย์ เข่นฆ่าชีวิตมนุษย์ในสงครามปราบโจรป่าและสงครามกับแคว้นซูเซียว ได้รับโทษจองจำคุกเมฆาเป็นเวลาสามสิบวัน และต้องลงไปบำเพ็ญประโยชน์ในโลกมนุษย์ช่วยเหลือมนุษย์จนกว่าสวรรค์จะเห็นสมควรให้กลับสวรรค์
                     - นกอินทรีย์ทอง งูหยกหิมะขาว อสูรสายฟ้าเสือดำ แมงป่องแดงโลหิต กระทำผิดแทรกแซงวิถีมนุษย์ เข่นฆ่าชีวิตมนุษย์ในสงครามปราบโจรป่าและทำสงครามกับแคว้นซูเซียว ได้รับโทษจองจำคุกราตรีเป็นเวลาสามสิบวัน และต้องลงไปบำเพ็ญประโยชน์ในโลกมนุษย์ช่วยเหลือมนุษย์จนกว่าสวรรค์จะเห็นสมควรให้กลับสวรรค์ ใครมีข้อโต้แย้งหรือไม่
งูหยกหิมะขาว  : ข้ามี!!! เหตุใดอันฉีหญิงมนุษย์ผู้นั้นจึงไม่ได้รับการถูกลงโทษ?! นางกระทำผิดร่วมกันกับข้า นางใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์ของนกอัคคีสวรรค์สั่งข้าแทรกแซงวิถีมนุษย์ซึ่งข้ามิอาจขัดคำสั่งนางได้ นางสมควรได้รับโทษเช่นกัน หากอันฉีหญิงมนุษย์ผู้นั้นไม่กลับมารับโทษผิดร่วมกันกับข้า ข้าจะไม่ยอมรับโทษลงไปที่โลกมนุษย์อีกโดยเด็ดขาด
อสูรสายฟ้า  : ใช่แล้ว! มันไม่ยุติธรรมหากนางไม่กลับมารับโทษ ข้าก็จะไม่ยอมรับโทษลงไปที่โลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน
แมงป่องแดงโลหิต  : ต้องให้นางกลับมารับโทษด้วยกันกับเรา ข้าจึงจะยอมกลับลงไปที่โลกมนุษย์
อินทรีย์ทอง  : ข้ายังคงจงรักภักดีต่อท่านนกอัคคีสวรรค์และยินดีติดตามไปด้วยทุกที่ แต่ครั้งนี้ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่ทั้งสามที่สมควรให้แม่นางอันฉีหญิงมนุษย์กลับมารับโทษพร้อมกับพวกเรา เพราะนางทำให้ข้าต้องเข่นฆ่ามนุษย์เพิ่มขึ้น
   เง็กเซียน  : พวกเจ้าหาว่าข้าไม่ยุติธรรมงั้นรึ หึ! ยังไงหญิงมนุษย์ผู้นั้นต้องได้รับโทษในความผิดที่กระทำไว้อยู่แล้ว แต่ข้าไม่สามารถจับมนุษย์มากักขังไว้บนสวรรค์ได้ แต่อย่าห่วงว่าพวกเจ้าจะไม่ได้รับความยุติธรรมเพราะนางแค่ถูกละเว้นการจองจำคุกสวรรค์ แต่นางต้องทำงานชดเชยคืนให้สวรรค์ ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าถูกจองจำครบสามสิบวัน นางจะกลับมาเป็นภาชนะรองรับดวงจิตนกอัคคีสวรรค์อีกครั้ง พวกเจ้ารอรับนาง วัน เวลา สถานที่เดิม ณ ที่นางจากไป อ้อ! นกอัคคีสวรรค์เจ้ามีข้อโต้แย้งอะไรหรือไม่
นกอัคคีสวรรค์  : ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง ให้อันฉีหญิงมนุษย์ผู้นั้นเป็นภาชนะรองรับดวงจิตของข้าตามเดิมนับว่าดี ข้าชอบความรู้ที่ได้รับมาจากโลกของนาง นับว่าเป็นประโยชน์ดีต่อข้าในอนาคต
   เง็กเซียน  : เอาล่ะ! ทหารเทพพาพวกเขาไปจองจำ
 เทพคุมกฏ  : อืม...น่าแปลกนัก ข้าไม่เคยเห็นใครที่กำลังถูกทำโทษแต่มีใบหน้ายิ้มแย้มดีใจแบบพวกเขามาก่อน และที่น่าแปลกอีกอย่างพวกเขาถูกจองจำแค่สามสิบวันเท่านั้นเองไม่ได้เนิ่นนานอะไรเลย แต่ทำไมพวกเขาจึงกล่าวต้องเอาโทษหญิงมนุษย์คนนั้นให้ได้
   เง็กเซียน  : อืม...เพราะพวกเขาผูกพันธ์รักใคร่กันมากเกินไป เจ้าก็ยืดเวลาให้พวกเขาทำงานไถ่โทษหลายๆปีหน่อย สักสี่สิบปี หรือจะห้าสิบปีก็ได้ หากกำหนดเวลาสั้นเกินไป พวกเขาอาจใช้วิธีแทรกแซงวิถีมนุษย์เพื่อให้ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก เฮ่อ…เจ้าพวกนี้คงอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปจนลืมวิถีเซียน (เง็กเซียนพึมพำ)
 เทพคุมกฏ  : พะย่ะค่ะ
■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

หมอหญิงปีศาจ
ตอนที่ 58
(ยินดีต้อนรับกลับบ้าน)

....เดือนกรกฎาคม 2019....

          ฮือออ เฮือก!!! ฉันตื่นจากความฝัน บนแก้มยังมีรอยคราบน้ำตา มันเป็นความฝันที่ทำให้ฉันมีความสุข แต่เจ็บปวดหัวใจมากตอนตื่น เหมือนเวลาของฉันถูกหยุดอยู่กับความฝันนั้น เอาแต่ครุ่นคิดและพยายามนึกถึงเรื่องราวในความฝัน แต่แปลกที่ฉันกลับจำความฝันนั้นได้แค่เลือนลางเพียงบางส่วน จำได้แค่ว่ามีชายหนุ่ม 4 คนกำลังโอบกอดฉันอยู่ รู้สึกรักและผูกพันธ์กับชายทั้ง 4 คนในความฝันอย่างบอกไม่ถูก และคิดในใจว่า "อยากฝันถึงชายทั้ง 4 คนอีกครั้ง" จากนั้นฉันเอามือเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ

          ฉันชื่อ อัญชลี อายุ 44 หญิงสูงวัยตกงานไม่มีงานทำ แต่วันนี้จะออกไปห้างสรรพสินค้าเพื่อไปซื้ออาหารแมว ฉันหยิบเสื้อสีแดงคอปาดกับกางเกงผ้าชีฟองสีขาวเนื้อบางเบามาสวมใส่ สะพายกระเป๋าสีน้ำตาลเข้มเดินลงมาเปิดกินน้ำในตู้เย็น

      อัญชลี  : แม่ เดี๋ยวนู๋จะออกไปซื้ออาหารแมว จะซื้อขนมมาฝากนะ
            แม่  : ตอนเย็นมียำปลาทู
      อัญชลี  : จ้า

         ฉันนั่งรถเมล์มาลงที่ห้างสรรพสินค้าเดินซื้อของที่ต้องการจนครบ และเดินข้ามสะพานลอยกลับไปขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้ามห้าง ที่ป้ายรถเมล์ไม่มีคนอื่นยืนรอรถเมล์อยู่เลย ฉันเหลือบไปเห็นกระเป๋าเป้สะพายหลังใบหนึ่งวางอยู่ข้างถังขยะ

       อัญชลี  : เอ๊ะ!!! ทำไมรู้สึกเหมือนเคยมานั่งตรงนี้ เคยเห็นกระเป๋าเป้วางข้างถังขยะลักษณะแบบนี้มาก่อนนะ?!

          บึ้มมม!!! เสียงระเบิดดังขึ้น! ฉันถูกระเบิดรู้สึกร่างกายกำลังล่องลอยอยู่ในความมืด แล้วจู่ๆตัวฉันก็พุ่งออกไปยังแสงสว่างเหมือนพุ่งตัวออกจากอุโมงค์ "จ๊ากกกก!!!ท้องฟ้า!!!" ฉันกำลังร่วงลงไปยังป่าหลากสีด้านล่างที่เป็นป่าไผ่ จู่ๆก็มีชายหนุ่มหล่อสี่คนใส่ชุดคอสเพลย์โบราณกระโดดลอยตัวสูงมากพุ่งมารับฉันกลางอากาศ ชายหนุ่มใส่ชุดสีขาวหล่อบาดใจพุ่งถึงตัวฉันก่อน เขากอดฉันแน่นจนฉันตกใจและตั้งตัวไม่ทัน อีกทั้งชายหนุ่มอีกสามคนที่พุ่งตัวมารุมกอดแน่นและหอมฉันจนขยับตัวไม่ได้ พวกเขาพร่ำพูดคิดถึงและเรียกชื่ออันฉีอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มชุดขาวมองหน้าฉันแล้วจรดหน้าผากชนกับหน้าผากฉันแล้วพูดเบาๆว่า "ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน"

          แปลกประหลาดเหลือเกินเราค่อยๆลอยลงยืนบนพื้นดินโดยปลอดภัย พวกเขาคลายกอดฉันและแย่งซักถามฉันเหมือนคนเคยสนิทสนมกันมาก่อน อีกทั้งยังมีผู้ชายอีกหลายคนและมีอีกหนึ่งหญิงสาวใส่ชุดคอสเพลย์โบราณกันทุกคนยืนรออยู่ด้วยความดีใจและเอ่ยทักทายว่า "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน" ทำเอาฉันงุนงงไม่แน่ใจว่าฉันตายมาอยู่ในโลกของวิญญาณ หรือหลงเข้ามาในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่กันแน่ พวกเขาพาฉันมานั่งตรงเก้าอี้ยกน้ำชาและบะหมี่มาให้ฉันกินโดยมีชายหนุ่มชุดขาวนั่งคลอเคลียฉันอยู่ไม่ห่าง

       อัญชลี  : ที่นี่คือที่ไหนเหรอคะ?
       เสวี๋ยฉี  : ที่นี่คือบ้านของเรา บ้านของเจ้า
     เฟยเจิน  : เจ้ากลับมาช้า เรารอเจ้าอยู่ตั้งนาน
     หยงเป่า  : คืนนี้เราก่อกองไฟเลี้ยงฉลองกันเถอะ เจ้าสี่ออกไปล่ากวางและหมูป่ากับข้า
      ซิ่นหลิง  : งั้นข้าจะรีบออกไปเอาไหเหล้าที่เก็บไว้ในถ้ำแสงจันทร์พันดาว เราดื่มด้วยกันคืนนี้
       เหวินอี้  : ข้ากับหลี่เฉียงจะออกไปจับปลาที่ลำธารขอรับ
      ฟางหรู  : ข้าตัดเสื้อผ้าชุดใหม่เตรียมไว้ให้ท่านหมอหญิงอยู่ในตู้แล้วเจ้าค่ะ
      เสวี๋ยฉี  : ดี! สาวน้อยเราเข้าไปในบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าก่อนเถอะ

          ชายหนุ่มชุดขาวแต่ท่าทางตุ้งติ้งจูงมือฉันเดินเข้าไปในบ้าน แม้ฉันจะรู้สึกงุนงงที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร และทำไมอยู่ๆฉันจึงมาโผล่ที่ป่าไผ่แห่งนี้ได้ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกดีและตื่นเต้นมากกว่า ชายชุดขาวหยิบชุดคอสเพลย์สีขาวขลิบแดงอีกชุดหนึ่งออกมาจากตู้แล้ววางไว้ เขาหันมาจะถอดเสื้อฉันออกเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทำเอาฉันตกใจรีบเอามือจับเสื้อไว้ไม่ให้ถอด เขาก้มหน้ามาใกล้ๆคล้ายจะจูบแต่ฉันเบี่ยงหน้าออกนิดหน่อยไม่ให้จูบ

       เสวี๋ยฉี  : ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าบ่อยๆจะอายข้าทำไม
      อัญชลี  : คุณเป็นใคร ชื่ออะไรคะ?
      เสวี๋ยฉี  : เจ้าลืมข้าแล้วงั้นรึ?! งั้นต้องทบทวนความจำกันสักหน่อย

          ชายชุดขาวดึงฉันเข้าไปจูบสอดใส่ลิ้นเข้าในปากทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ปรากฏขึ้นในหัว….ฉันจำเขาได้แล้วเขาคือ

          อันฉี  :....เสวี๋ยฉี.... (ฉันมองหน้าเรียกชื่อเขาเบาๆ)
       เสวียฉี  : เจ้าต้องถูกทำโทษที่บังอาจหลงลืมข้า
          อันฉี  : ข้าคิดถึงท่านจังเลย

         เสวี๋ยฉีถอดเสื้อผ้าฉันออกอย่างรวดเร็ว จูบแล้วอุ้มฉันเข้าเอวพาไปวางนอนบนเตียง ถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนหมด นอนทับฉันแล้วจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม เขาเลียใบหู ดูดกัดซุกไซ้ซอกคอ แล้วเลื่อนลงไปดูดหัวนม มืออีกข้างบีบขยำหน้าอก จากนั้นเลื่อนลงไปจูบหน้าท้อง เสวี๋ยฉีจับขาฉันแยกออกกว้างแล้วแลบลิ้นเลียเนินหว่างขาอย่างหื่นกระหาย ฉันแอ่นสะโพกร้องครางเพราะเสียวสะท้านเหลือเกิน แล้วสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขากระแทกกระทั้นแท่งเนื้อแข็งโถมตัวลงมาจูบแลกลิ้นพร้อมกระแทกแท่งเนื้อแข็งใส่ฉันไม่หยุดจนเราเสร็จพร้อมกัน แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอกับการทบทวนความจำ

          เขาพลิกตัวนอนหงายจับฉันขึ้นนั่งคร่อมบนตัวสอดใส่แท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขา ฉันโยกขย่มแท่งเนื้อแข็งเสียวจนตัวเกร็งกระตุกมีน้ำไหลเยิ้มออกมาเปียกแฉะ เสวี๋ยฉีเอื้อมมือจับสะโพกฉันให้ขย่มเขาแรงและถี่เร็วขึ้นจนเขาร้อง "อ๊ากกก" ฉันโถมตัวนอนคร่อมทับเพราะหมดแรงจากการขย่ม แต่เขายังไม่หมดแรงง่ายๆเพราะแท่งเนื้อยังคงแข็งคาเนินหว่างขาอยู่ เขากอดและจูบฉันดูดดื่มจากนั้นเริ่มขยับเด้งก้นให้แท่งเนื้อแข็งเข้าออกช้าๆ สองมือเอื้อมบีบขยำก้นฉันให้ขยับขึ้นลงรับจังหวะเด้งก้นกระแทกของเขา "อ๊าาา" ฉันร้องครางทั้งดูดทั้งกัดคอเบาๆขณะนอนคว่ำหน้าคร่อมทับเพราะเสียวเหลือเกิน เสวี๋ยฉีเร่งจังหวะกระแทกแท่งเนื้อแข็งเร็วและแรงขึ้นจนเขาเสร็จอีกครั้งปล่อยน้ำสีขาวขุ่นอุ่นๆออกมา เรากอดจูบและหอมกันอีกฟอดใหญ่

       เสวี๋ยฉี  : ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน
          อันฉี  : ข้าก็คิดถึงท่าน และคิดถึงทุกคนด้วย ข้าจำพวกเขาได้แล้ว ขอให้ข้าออกไปพูดคุยกับพวกเขาอีกครั้งได้มั้ย
       เสวี๋ยฉี  : ได้สิ

          เสวี๋ยฉีช่วยแต่งตัวทำผมใหม่ให้ฉันแล้วเดินกอดกันออกมาที่ชานบ้านพบสองลิงน้อยไมเคิล กับแอปเปิ้ลกำลังช่วยกันแบกกล้วยหนึ่งเครือมาวางที่ลานบ้าน แล้วรีบวิ่งมาหากระโดดกอดฉันด้วยความดีใจ ฉันจึงเดินไปในครัวทักทายฟางหรูในครัวอีกครั้งและกล่าวขอโทษที่ก่อนหน้านี้ฉันจำใครไม่ได้ ฟางหรูตอบว่าไม่เป็นไร เพราะฉันร่วงลงมาจากฟ้าอาจทำให้มึนงง ฟางหรูบอกให้ฉันไปนั่งพักเดี๋ยวจะยกของว่างมาให้ ฉันจึงเดินกลับมานั่งดื่มน้ำชาและพูดคุยกับเสวี๋ยฉีที่ชานบ้านเล่าเรื่องราวช่วงเวลาที่เราแยกจากกัน จากนั้นนั่งมองดูสมุนงูช่วยกันขนฟืนมาวางกองที่ลานบ้านสำหรับงานเลี้ยงก่อกองไฟคืนนี้

          เมื่อหยงเป่าและเฟยเจินกลับมาจากล่ากวางและหมูป่า ฉันจึงรีบวิ่งกระโดดกอดเขาทั้งสองคนและบอกว่าฉันจำพวกเขาได้แล้วจำได้ทุกคน ฉันบอกพวกเขาว่าฉันถูกอุโมงค์ดูดกลับไปที่บ้านพอฉันตื่นขึ้นมาก็ออกไปเดินเที่ยวซื้อของที่ตลาดและถูกดูดกลับมาที่นี่อีกครั้ง เฟยเจินเอื้อมมือมาบีบแก้มฉันทั้งสองข้างจนหน้าบิดเบี้ยวและพูดว่า

     เฟยเจิน  : พวกข้าถูกสวรรค์จองจำในคุกราตรีไม่ได้เห็นแม้แสงตะวัน แต่เจ้ากลับไปเดินเที่ยวสบายใจในตลาดรึ?!
          อันฉี  : แหม! ข้ากลับบ้านไปแค่วันเดียวเอง ยังไม่ทันจะได้สบายใจอะไรเลย ข้าออกไปเดินเล่นแค่ 2-3 ชั่วโมงบ้างไม่ได้รึไงเล่า! (ฉันบีบแก้มเฟยเจินกลับ)
     หยงเป่า  : พอได้แล้วน่า! เจอกันวันแรกก็จะตีกันซะแล้ว
       เสวี๋ยฉี  : สาวน้อยมากินซาลาเปาเร็ว ฟางหรูอุ่นมาให้ร้อนๆ

          เฟยเจินกับฉันจึงเปลี่ยนมาเล่นจี้เอวกันแทนและกินซาลาเปาด้วยกัน ไม่นานนักซิ่นหลิงก็แบกไหเหล้าสี่ไหกลับมาสองไหแล้ววางไหเหล้าลงที่ชานบ้าน จากนั้นเขาเดินมาหอมแก้มฉันและนั่งลงข้างๆกัดกินซาลาเปาที่ฉันถืออยู่ในมือ หยงเป่ากับเสวี๋ยฉีให้ความสนใจกับไหเหล้าเป็นพิเศษรีบขยับไหเหล้ามาใกล้ๆแล้วเปิดฝาครอบดมกลิ่น

       เสวี๋ยฉี  : อื้ม...กลิ่นหอมดีจริงๆ
     หยงเป่า  : ขอลองชิมสักหน่อย
          อันฉี  : ยี๊! กลิ่นฉุนจังเลย ไม่ไหวๆ ข้าขอผ่าน
     ซิ่นหลิง  : เหล้าสองไหนี้เจ้าเป็นคนหมักเองแท้ๆยังจะมาร้องยี๊อีก ข้าว่ากลิ่นหอมดี
     เฟยเจิน  : น้องห้าลองชิมสักถ้วยสิ ให้เกียรติเจ้าชิมก่อนเลย
          อันฉี  : หึ! ข้าไม่ชิมอ่ะ มีทั้งตะขาบ กบ แมงมุม กระพรุนพิษ ข้าไม่ชิม ไม่เอา!
       เสวี๋ยฉี  : มา! ข้าชิมเอง

          เสวี๋ยฉีเทเหล้าออกมาดื่มหนึ่งถ้วยแล้วเอ่ยชมเหล้ามีรสชาติดีมากๆ หอม ซ่า บาดคอ เมื่อกลืนเหล้าลงคอกลับมีรสหวานเล็กน้อยติดที่โคนลิ้น หยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจินจึงเทเหล้าดื่มคนละถ้วย แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหล้ามีรสชาติดีมากๆ เสวี๋ยฉีจึงเรียกหยางกวางหัวหน้าทหารงูออกมาแล้วบอกว่า ให้นำเหล้าสองไหไปแบ่งกันชิม แล้วพรุ่งนี้ให้เกณฑ์สมุนจำนวนหนึ่งออกไปหาวัตถุดิบสำหรับนำมาหมักเหล้าชนิดนี้ หยางกวางรับทราบและเดินถือไหเหล้าหนึ่งไหออกไป หยงเป่าจึงบอกให้ฉันตั้งชื่อให้กับเหล้าชนิดนี้ ฉันจึงตั้งชื่อว่า "เหล้าสี่มารฟ้า"

          ตกค่ำเราก่อกองไฟย่างกวางกับหมูป่าและร่วมดื่มเหล้าด้วยกันกับทุกคน สนุกสนานเฮฮากันไม่น้อย พี่ชายของฉันทั้งสี่คนต่างร่วมเล่นแข่งงัดข้อ แข่งดื่มเหล้ากับเหล่าสมุนงูเป็นที่สนุกสนาน จนฉันเองไม่รู้จะเลือกข้างเชียร์ใครก่อนดี พอตกดึกหยงเป่า ซิ่นหลิง และเฟยเจินดื่มเหล้าจนติดลมไม่ยอมเข้านอน เสวี๋ยฉีจึงพาฉันเข้านอนก่อน เขากระซิบบอกฉันว่า เหล้าสี่มารฟ้า กระตุ้นให้เขามีอารมณ์และฉันต้องรับผิดชอบในฐานะภรรยาต้องตามใจเขาที่เป็นสามีทั้งคืน เสวี๋ยฉีพูดว่า "พรุ่งนี้เราแต่งงานกันนะ" ฉันพยักหน้าตอบ "อื้ม!" เราถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเสวี๋ยฉีที่นั่งอยู่ขอบเตียง แล้วเริ่มจูบที่ริมฝีปาก ดูดซอกคอ จูบไล่ลงมาที่หน้าอกเลียรอบหัวนมแล้วดูด ฉันเลียลงไปจนถึงหน้าท้อง แล้วนั่งคุกเข่าจูบที่แท่งเนื้อแข็ง เลียรอบๆปลายรอยหยักแล้วดันเข้าปากจนสุดคอ ดูดแท่งเนื้อแข็งเข้าออกปากจนเขาร้องครางปล่อยน้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมาฉันรีบกลืนลงคอ แล้วจับเขาให้นอนหงาย ฉันลุกขึ้นนั่งคร่อมดันแท่งเนื้อแข็งเข้าเนินหว่างขาจนมิดสุดโคนทั้งโยกทั้งขย่มจนเราเสร็จไปพร้อมกัน เราผลัดกันรุกผลัดกันรับเร่าร้อนกันตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางแล้วค่อยนอนกอดกันหลับไป....

..........จบบริบูรณ์..........

Oppo Reno : Ryan. B
Let me show a big move
Youtube by : Yo Yo Rock


■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■



❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

ขออภัย! นักเขียนมือใหม่กับนิยายเรื่องแรกในชีวิต "หมอหญิงปีศาจ" หากคำที่ใช้ผิดพลาด หรือภาษาที่ใช้ในนิยายหยาบคาย หรือหยาบโลน 18+ จนเกินไป ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณที่ตั้งใจเข้ามาอ่าน

หมายเหตุ : นิยายเรื่องที่ 2 "มี่จื่อสาวใช้จำเป็น" (กดอ่านที่ลิ้งก์ด้านล่าง)

⬇⬇⬇

อ่านนิยายเรื่องใหม่ เรื่องที่ 2 by An Qi
อ่านที่นี่ ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP 1 - 24 (77 ตอนจบ)

          เรื่องย่อ : ริสา เกิดอาการเครียดเพราะตกงาน จึงคิดจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อไปถึงริมแม่น้ำจะฆ่าตัวตายกลับเกิดความกลัวจึงเปลี่ยนใจ แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำคิ้วกระแทกก้อนหินจนสลบแล้วไปฟื้นอีกโลกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ชื่อมี่จื่อ ถูกผู้ที่ช่วยเหลือจากแม่น้ำหลอกพาไปขายในหอนางโลม และได้รับการช่วยเหลือออกมาจนได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิง เพื่อช่วยเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไป



❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

No comments:

Post a Comment