Photobucket Wellcome

นิยาย : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP 72 - 77 (จบแล้ว)

นิยายเรื่อง  : มี่จื่อสาวใช้จำเป็น Ep 72 - 77 (จบแล้ว)
นิยายโดย  : An Qi
นิยายแนว  : มโน, เพ้อเจ้อ, ต่างโลก, ย้อนยุค, ผจญภัย, อิโรติก, ผู้ใหญ่ 18+
เรื่องย่อ  : ริสา เกิดอาการเครียดเพราะตกงาน จึงคิดจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อไปถึงริมแม่น้ำจะฆ่าตัวตายกลับเกิดความกลัวจึงคิดเปลี่ยนใจ แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำคิ้วกระแทกก้อนหินจนสลบแล้วไปฟื้นอีกโลกหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 18 ปี ชื่อมี่จื่อ ถูกผู้ที่ช่วยเหลือจากแม่น้ำหลอกพาไปขายในหอนางโลม และได้รับการช่วยเหลือออกมาจนได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ในจวนฮุ่ยเฉิง เพื่อช่วยเหยียนเหล่ยตามหาตำราโบราณที่สูญหายไป

คำเตือน นี่เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นบางบทบางตอนอาจมีเนื้อหารุนแรง และไม่เหมาะสมกับเยาวชนจึงไม่ควรปฏิบัติตาม และโปรดชวนวิจารณญาณมานั่งอ่านด้วยกัน


มี่จื่อสาวใช้จำเป็น

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 72
(จอกเหล้าหน้าหลุมศพ)

          ในตอนเช้า ลุงสุ่ยและชาวบ้านช่วยกันนำศพหยางเค่อไปทำพิธีศพให้สมเกียรติในฐานะผู้เสียสละมิใช่เป็นคนร้ายอีกต่อไป เหยียนเหล่ยพยายามปลอบประโลมฉันให้คลายเศร้า และก่อนที่จะนำร่างของหยางเค่อที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่เพื่อฝังลงในหลุม เหยียนเหล่ยนำจอกเหล้ามาให้ฉันถือและพูดขึ้นว่า

เหยียนเหล่ย  : เราจะดื่มเหล้าจอกนี้ เพื่อเป็นการทำความเคารพศพหยางเค่อในฐานะที่เขาเป็นพี่ชายของเจ้า
             มี่จื่อ  : น่าเสียดาย ที่เขามิอาจลุกขึ้นมาดื่มเหล้าได้อีกแล้ว ข้ากับหยางเค่อมีวาสนาต่อกันช่างสั้นเหลือเกิน ข้าขอขอบคุณที่ท่านยอมรับเขาให้เป็นพี่ชายของข้า แม้เขาจะตายไปแล้วก็ตาม

          ฉันกับเหยียนเหล่ยยกเหล้าในจอกขึ้นดื่มเป็นการเคารพหยางเค่อในฐานะพี่ชาย และจอกหนึ่งราดบนหลุมศพ ขณะนั้นได้เกิดลมพัดมาวูบหนึ่งจนดอกท้อปลิวมากับสายลมซึ่งฉันรับไว้ได้ในมือดอกหนึ่ง จึงนำดอกท้อนั้นวางใส่ไว้ในมือของหยางเค่อ จากนั้นจึงนำร่างไร้วิญญาณลงฝังในหลุม เมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพหยางเค่อ เราแยกย้ายกันไปพักผ่อน เหยียนเหล่ยพาฉันไปเรือนที่พักแล้วจัดแจงอาบน้ำให้ เพราะฉันยังอยู่ในสภาพที่ยังเศร้าโศกเสียใจอยู่

เหยียนเหล่ย  : ข้าเห็นเจ้าเอาแต่ร้องไห้เสียใจ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะล้มป่วย หยางเค่อก็ตายไปแล้ว แต่เจ้าอย่าลืมว่ายังมีข้าและคนอื่นๆที่ยังอยู่กับเจ้าและห่วงใยเจ้ามากนัก
             มี่จื่อ  : ข้าจะพยายามทำใจ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง
เหยียนเหล่ย  : เอาล่ะ! อาบน้ำเสร็จแล้วก็นอนพัก เหนื่อยกันมาทั้งคืน
             มี่จื่อ  : อื้ม...

          เหยียนเหล่ยพาฉันเข้านอนหลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันนอนกอดเหยียนเหล่ยแล้วหลับไปโดยง่ายเพราะเหนื่อยอ่อนจากการใช้พลังงานไปมากในหุบเขาจันทร์ดับ ฉันนอนหลับไปตลอดวัน และตื่นขึ้นในเวลาเย็น แต่เหยียนเหล่ยตื่นนอนลุกออกจากห้องไปแล้วตอนไหนไม่รู้ ฉันจึงเดินออกมาจากห้องนอนพบเพื่อนๆนั่งดื่มน้ำชากันอยู่ในโถงเรือนพัก พอพวกเขาเห็นฉัน ก็รีบเดินเข้ามาถามไถ่

    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ! เป็นอย่างไรบ้าง? นอนหลับไปทั้งวัน ไม่เป็นไรใช่มั้ย?
         ฉิงซวง  : พวกเราเป็นห่วงเจ้ามาก
           เฝิ่นลู่  : มาๆ ดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอก่อน
             มี่จื่อ  : ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ข้าแค่อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เพราะการต่อสู้ที่หนักหน่วงที่หุบเขาจันทร์ดับ และพลังหมื่นบุปผาที่ข้าเคยครอบครองก็ถูกฮูหยินเฟิงฟางเหนียนเรียกเอากลับคืนไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งแบบนั้นอยู่ในตัวอีกแล้ว
    หลวนเฉิน  : ไม่เป็นไรนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง จะไม่ให้ใครมารังแกเจ้าอีก
        ช่างอิ่น  : พวกเราจะช่วยปกป้องเจ้าด้วย
            มี่จื่อ  : ขอบใจนะทุกคน ข้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคนยิ่งนัก แล้วอาจารย์ศิษย์พี่เหยียนเหล่ย กับคนอื่นๆไปไหนล่ะ ท่านอ๋องหกด้วยก็ไม่เห็นเลย
    หลวนเฉิน  : พวกเขาไปที่เรือนแม่เฒ่าได้สักพักใหญ่แล้ว เพื่อพูดคุยถึงเรื่องเมื่อคืนที่หุบเขาจันทร์ดับ
         จิ่นเกอ  : ท่านหลี่จวินเล่าเรื่องเมื่อคืนที่หุบเขาจันทร์ดับให้พวกเราฟังหมดแล้ว ข้าเสียใจด้วยนะ เรื่องหยางเค่อ
             มี่จื่อ  : อื้ม.... (ฉันเริ่มมีน้ำตาคลอที่ตาอีกครั้ง)
         ฉิงซวง  : จิ่นเกอ! เจ้าจะพูดให้มี่จื่อร้องไห้อีกทำไม ดูสิ! ตานางบวมแดงหมดแล้ว!
         จิ่นเกอ  : ข้าขอโทษ!
             มี่จื่อ  : ไม่เป็นไร ข้ารู้เจ้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าเพียงยังทำใจได้ยากเท่านั้น
         เลี่ยงซู  : ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจะปล่อยให้พวกเรากลับบ้านหรือเปล่า เพราะพลังหมื่นบุปผาไม่ได้กลับคืนสู่ตำราที่อยู่กับแม่เฒ่า

          ระหว่างที่เรากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่นั้น เหยียนเหล่ยกับท่านอ๋องหกและคนอื่นๆก็เดินกลับมาที่เรือนพัก พร้อมด้วยชิงอิ๋ง ท่านอ๋องหกบอกว่า

        อ๋องหก  : แม่เฒ่ายอมให้พวกเรากลับออกไปจากหมู่ได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเราจะได้กลับบ้านกัน
           เฝิ่นลู่  : จริงรึ?! ทำไมแม่เฒ่ายอมปล่อยให้เรากลับออกไปง่ายๆขึ้นมาได้ล่ะ หรือว่าพลังหมื่นบุปผากลับคืนสู่ตำราแล้ว
เหยียนเหล่ย  : พลังหมื่นบุปผาไม่ได้กลับคืนสู่ตำรา แต่ที่ต้นท้อสวรรค์ยังมีพลังหมื่นบุปผาหล่อเลี้ยงลำต้นอยู่ ผลท้อสวรรค์ก็ยังคงอยู่มิเสื่อมสลายไป ในตอนแรกแม่เฒ่าไม่ยินยอมปล่อยพวกเรากลับออกไป แต่ได้ชิงอิ๋งช่วยพูดกับแม่เฒ่าจึงยินยอม ต้องขอบใจชิงอิ๋ง
           ชิงอิ๋ง  : ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ข้าแค่อยากช่วยพวกท่านให้ได้กลับบ้าน จริงๆแล้วแม่เฒ่าไม่ได้อยากกักตัวพวกท่านไว้หรอก เพียงแต่กลัวพวกท่านจะนำความลับของหมู่บ้านไม้ดำไปบอกคนภายนอกให้รับรู้ แต่ข้าได้เห็นแล้วจากการที่ข้าได้ร่วมเดินทางไปกับพวกท่านที่หุบเขาจันทร์ดับ พวกท่านล้วนมีคุณธรรม และมีสัจจะวาจาที่เชื่อถือได้ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องของหมู่บ้านไม้ดำให้ใครรู้
        หลี่จวิน  : แน่นอน! พวกข้าจะไม่บอกใคร และจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
           ชิงอิ๋ง  : ข้าต้องขอโทษแทนทุกคนในหมู่บ้าน ที่ทำให้พวกท่านต้องมาลำบากกันที่นี่ และต้องขอขอบคุณที่ช่วยเหลือหมู่บ้านของเราเอาไว้ โดยเฉพาะมี่จื่อ เจ้านำพลังหมื่นบุปผากลับมาที่นี่ เจ้าทำให้ต้นท้อสวรรค์กลับมาออกผลอีกครั้ง และทำให้ได้ค้นพบตำราและกระบี่มังกรสายลมที่สูญหายไปนานได้พบเจออีกครั้ง แม้ว่าพลังทั้งสองจะไม่ยอมกลับคืนมาที่หมู่บ้าน แต่กลับชอบที่จะอยู่ในหุบเขาจันทร์ดับนั่นก็นับว่าดีเหมือนกัน จะได้ยากที่ใครคิดจะเข้าไปขโมยพลังนั้น
            มี่จื่อ  : แม่เฒ่าโกรธข้าหรือเปล่าที่ข้าปล่อยให้พลังหมื่นบุปผาอยู่ในหุบเขานั่น
           ชิงอิ๋ง  : ถึงจะโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ขอเพียงแค่ต้นท้อสวรรค์ยังคงผลิดอกออกผลต่อไป พืชพันธุ์ธัญญาหาญอุดมสมบูรณ์ก็พอแล้ว
             มี่จื่อ  : แม่เฒ่ายอมปล่อยให้พวกเรากลับบ้านได้จริงๆรึ ทำไมดูง่ายดายนัก ก่อนหน้านั้นหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมปล่อยพวกเราไป
           ชิงอิ๋ง  : เพราะข้าขู่แม่เฒ่าว่า ถ้าไม่ปล่อยพวกเจ้ากลับบ้านไปหาครอบครัว ข้าจะชวนพี่ซิ่นปิงออกจากหมู่บ้านไม้ดำไปอยู่ในเมืองหลวง ส่วนจ้าวหลิวก็จะตามข้าไปด้วย แม่เฒ่ากลัวว่าข้าจะมีชะตาชีวิตอาภัพเหมือนฟางเหนียน แม่เฒ่าจึงยินยอมปล่อยพวกเจ้ากลับบ้าน
            มี่จื่อ  : ขอบใจนะที่ช่วย
            ลี่ถัง  : เอาล่ะๆ เรามากินข้าวเย็นกันเถอะ ข้าหิวแล้ว ชิงอิ๋ง! อยู่กินข้าวด้วยกันนะ
           ชิงอิ๋ง  : อื้ม

          หลังกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย เราอยู่นั่งดื่มน้ำชา และพูดคุยถึงเรื่องต่างๆกันอีกสักพัก จากนั้นจึงแยกย้ายกันเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้เราจะเดินทางออกจากหมู่บ้านไม้ดำกันแต่เช้า ทุกคนดูตื่นเต้นดีใจที่จะได้กลับออกไปจากที่นี่และบ่นคิดถึงครอบครัวของตัวเองเหลือเกิน

          เช้าวันรุ่งขึ้นเราเตรียมตัวกันพร้อมเสร็จเพื่อออกเดินทาง เรากล่าวลาทุกคนในหมู่บ้านไม้ดำที่ออกมายืนรอส่งเรากลับ เราเดินทางออกจากหมู่บ้าน เดินผ่านถ้ำลึกลับเดิมที่เราเคยเดินผ่านเข้ามาในตอนแรก เดินออกมาจนถึงปากถ้ำ ก็พบกับทหารของวังหลวงกลุ่มหนึ่ง และพบกับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และศิษย์พี่สาม ที่มาตั้งค่ายรออยู่ที่หน้าปากถ้ำ พอพวกเขาเห็นเราที่ก้าวเดินออกจากปากถ้ำต่างดีใจและแปลกใจกันมาก

         จิ่นเก่อ  : อ้าว?! พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
   ศิษย์พี่รอง  : เรามารอให้ปากถ้ำเปิดแล้วจะเข้าไปตามหาพวกเจ้าที่หมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะออกมาก่อนคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
          จินไห่  : แม่เฒ่าที่อยู่ในหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำเปิดทางให้พวกเราออกมาก่อนคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
 ศิษย์พี่ใหญ่  : แม่เฒ่าเป็นใครกันรึ ใยผนึกมนต์ได้แข็งแกร่งนัก พวกข้าทั้งสามยังมิอาจมองหาทางเข้าถ้ำเจอได้เลย
          จินไห่  : แม่เฒ่ามีวิชามนต์อยู่ในระดับปรมาจารย์ แต่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนลึกลับหมู่บ้านไม้ดำ เราชาวยุทธผู้อยู่ภายนอกจึงมิเคยรู้จักหรือพบเห็นนาง
  ศิษย์พี่สาม  : น่าอิจฉาพวกเจ้ายิ่งนัก ที่ได้พบปะผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์ ข้าเองก็อยากพบเจอผู้มีฝีมือระดับนั้นบ้าง หญิงชราที่มีวิชามนต์เทียบเท่าท่านอาจารย์เฟยเทียน หรืออาจจะเหนือกว่าก็ว่าได้ น่าสนใจยิ่งนัก รู้งี้ข้าน่าจะติดตามมากับพวกเจ้าด้วย น่าเสียดายๆ
   ศิษย์พี่รอง  : ท่านอาจารย์เฟยเทียนเป็นห่วงพวกเจ้ามาก สั่งให้พวกข้าต้องพาพวกเจ้ากลับสำนักให้ได้โดยปลอดภัย
เหยียนเหล่ย  : พวกเราปลอดภัยทุกคน
       แม่ทัพลู่  : เรียนท่านอ๋องหก ฮ่องเต้ส่งข้าให้มาตามหาท่านอ๋อง ฮ่องเต้กระวนกระวายใจและเป็นห่วงท่านมาก
        อ๋องหก  : ข้าปลอดภัยดีมิต้องห่วงอะไร
   ศิษย์พี่รอง  : ดูนั่น! ปากทางเข้าถ้ำหายไปแล้วแต่กลายเป็นเหวลึก
  ศิษย์พี่สาม  : ข้าจะลองโยนก้อนหินลงไป จะดูซิว่าใช่เหวลึกจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตากันแน่ (ศิษย์พี่สามลองโยนก้อนหินลงไปในเหวลึก) มันคือเหวจริงๆมิใช่ภาพลวงตา แม่เฒ่าคนนี้เก่งกาจนัก สามารถเคลื่อนย้ายสถานที่ได้ด้วย แล้วนั่นเจ้าตัวเล็กเป็นอะไรไป ทำไมดูซึมๆ
เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ สูญเสียพลังจากการต่อสู้กับเสือดำ และชงอวี้
   ศิษย์พี่สาม  : มิน่าล่ะ! ข้าถึงสัมผัสไม่ได้ถึงพลังหมื่นบุปผาในตัวนาง
เหยียนเหล่ย  : พลังหมื่นบุปผากลับคืนสู่เจ้าของเดิมไปแล้ว
  ศิษย์พี่ใหญ่  : เอาเถอะ! ถึงมี่จื่อจะไม่มีพลังหมื่นบุปผาแล้ว ยังไงมี่จื่อก็ยังเป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่ เราเดินทางกลับสำนักกันเถอะ

         เราเดินทางกลับสำนักเฟยอวี่กันทันที ส่วนท่านอ๋องหกและคนอื่นๆก็เดินทางกลับวังหลวงเช่นกัน เราเดินทางกลับถึงสำนักเฟยอวี่ช่วงเวลามืด และได้เข้ารายงานตัวกับท่านเจ้าสำนัก โดยมีเหยียนเหล่ยกับจินไห่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าสำนักฟัง อีกทั้งท่านเจ้าสำนักยังกล่าวชมเชยพวกเราที่ช่วยเหลือกันจนสามารถกลับถึงสำนักโดยปลอดภัย อีกทั้งยังสอบถามถึงอาการบาดเจ็บของฉันด้วยความห่วงใย จากนั้นเราจึงแยกย้ายกลับเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน โดยเหยียนเหล่ยเดินมาส่งฉันที่เรือนพัก และกำชับให้ฉันพักผ่อนให้มากๆและอย่าคิดมากเรื่องหยางเค่อ ฉันพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆแล้วเดินเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อน

          เช้าวันรุ่งขึ้นฟูหลิวคนรับใช้ของเหยียนเหล่ยมาตามฉันให้ไปพบเขา ฟูหลิวบอกว่าท่านเสนาบดีขั้นสองกับฮูหยินมาเยี่ยมเยียนและรอพบฉันอยู่ที่เรือนพักของเหยียนเหล่ย ฉันจึงรีบเดินตามฟูหลิวไป เมื่อถึงเรือนที่พักของเหยียนเหล่ย ก็พบบุคคลทั้งสองกำลังนั่งคุยและดื่มน้ำชาอยู่กับเหยียนเหล่ย ฉันจึงกล่าวทักทายและทำความเคารพบุคคลทั้งสอง ท่านเสนาบดีมองฉันแล้วกล่าวทักทายตอบ ส่วนฮูหยินต่งรีบเข้ามาจับตัวแล้วสำรวจตรวจดูว่าฉันได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

          ฮูหยิน  : มี่จื่อ! เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ข้าเป็นห่วงเจ้ากับเหยียนเหล่ยแทบแย่ พอมีคนไปส่งข่าวว่าพวกเจ้ากลับมากันแล้ว ข้ากับท่านเสนาบดีก็รีบมาหาพวกเจ้าเลย?
             มี่จื่อ  : ข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง
          ฮูหยิน  : เรียกข้าว่าพี่หญิงสิ อีกหน่อยเจ้าก็ต้องแต่งเข้าบ้านสกุลต่ง
            มี่จื่อ  : แล้ว....คุณหนูเหมยหลิน....
         ฮูหยิน  : อ๋อ! รายนั้นน่ะเหรอ ท่านเสนาบดีไปยกเลิกการหมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว พ่อของนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่เลย บอกว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทางเราจึงตอบกลับไปว่าเพราะเหมยหลินสร้างเรื่องโกหก ป้ายความผิดเรื่องที่เจ้าขโมยแหวนหยกของนางไป เพราะนางโกรธที่รู้ว่าเจ้าเป็นคนรักของเหยียนเหล่ย เรายังบอกไปอีกว่าเจ้าทั้งสองคนเป็นศิษย์ของสำนักเฟยอวี่ จะให้ไปขอโทษภายหลัง พ่อของเหมยหลินจึงยอมอ่อนข้อลง เพราะไม่กล้ายุ่งกับสำนักเฟยอวี่ ท่านเสนาบดีจึงมอบทรัพย์สินมีค่าจำนวนหนึ่งให้ไปเป็นการปลอบขวัญการยกเลิกหมั้นหมาย พวกเขาจึงยอมรามือไป
       เสนาบดี  : ข้าต้องขอโทษเจ้าที่เคยกระทำไม่ดีกับเจ้า
             มี่จื่อ  : เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกเรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว ข้าไม่ได้ถือโกรธอะไรแล้วล่ะ
          ฮูหยิน  : มี่จื่อ เรามารับเจ้ากับเหยียนเหล่ยกลับบ้าน ตอนนี้บ้านของเรากลับมาสงบสุขตามเดิมแล้ว
       เสนาบดี  : ข้าจะจัดพิธีแต่งงานให้เจ้าสองคน เราจะได้อยู่กันเป็นครอบครัวอีกครั้ง
             มี่จื่อ  : เอ่อ... (ฉันหันไปมองหน้าเหยียนเหล่ย ว่าเขาคิดเห็นอย่างไร)
เหยียนเหล่ย  : ข้ากับมี่จื่อต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อรายงานเรื่องพบตำรากับกระบี่มังกรสายลมก่อน อีกสามวันข้ากับมี่จื่อค่อยกลับไปที่จวนฮุ่ยเฉิง
       เสนาบดี  : ได้พบตำราและกระบี่มังกรสายลมด้วยรึ เป็นข่าวดีๆจริงๆ อ้อ! น้องหญิง เอาตัวอย่างผ้ากับเครื่องประดับออกมาให้มี่จื่อเลือกสิ ข้าจะได้สั่งให้ช่างมาตัดเย็บชุดกับทำเครื่องประดับให้ใส่ในวันแต่งงาน

          ฮูหยินต่งลุกขึ้นไปหยิบห่อผ้าที่วางไว้บนโต๊ะเพื่อนำมาให้ฉันเลือกดูสีผ้าและเครื่องประดับ ฉันขยับตัวเข้าไปยืนใกล้ๆเหยียนเหล่ย แล้วแอบหยิกแขนเหยียนเหล่ยจนเขาตกใจร้อง "โอ๊ย!" แล้วหันมาถามฉันว่า

เหยียนเหล่ย  : เจ้าหยิกแขนข้าทำไม?!
            มี่จื่อ  : ข้าอยากรู้ว่าข้าไม่ได้ฝันกลางวัน ข้าจะได้แต่งงานล่ะ (ฉันทำหน้าตื่นเต้น)
เหยียนเหล่ย  : เจ้าไม่ได้ฝันกลางวัน เจ้ากำลังตื่นอยู่ (เหยียนเหล่ยบิดแก้มฉันสองข้างจนฉันเจ็บ)
          ฮูหยิน  : ข้าเห็นเจ้าสองคนหยอกเย้ากัน ทำให้นึกถึงข้ากับท่านพี่สมัยตอนที่เป็นหนุ่มสาว เราก็หยอกเย้ากันแบบนี้ หุหุ

       ฮูหยินพาฉันแยกตัวไปนั่งเลือกผ้าและเครื่องประดับกันสองคน และปล่อยให้ท่านเสนาบดีอยู่พูดคุยกับเหยียนเหล่ยถึงเหตุการณ์ที่เราพบเจอตำราและกระบี่มังกรสายลม เวลาผ่านนานสักพักใหญ่ๆ ท่านเสนาบดีกับฮูหยินก็ขอตัวกลับ เพื่อไปจัดเตรียมงานแต่งงานของฉันกับเหยียนเหล่ย

          เหยียนเหล่ยนั่งลงข้างๆฉันที่กำลังนั่งพับผ้า เขาถามฉันว่าดีใจหรือไม่ที่เราจะได้แต่งงานกัน ฉันยิ้มแล้วตอบเขาว่าฉันดีใจมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันมิใช่พิธีแต่งงาน แต่คือการได้อยู่กับเขานั้นคือสิ่งที่สำคัญมากกว่า เหยียนเหล่ยเชยคางฉันให้มองหน้าเขา แล้วบรรจงจูบฉันครู่หนึ่ง เขาเอาหน้าผากมาจรดกับหน้าผากฉันแล้วถามฉันว่า

เหยียนเหล่ย  : เจ้ารักข้าหรือไม่
             มี่จื่อ  : รัก...รักมาก
เหยียนเหล่ย  : เจ้าต้องยอมตามใจข้า มีลูกให้ข้าสิบคน
             มี่จื่อ  : โห! เยอะเกินไป ข้าไม่ไหว
เหยียนเหล่ย  : เถอะน่า! เรามาเริ่มทำกันเลย
             มี่จื่อ  : ไม่เอาอ่า....

          เหยียนเหล่ยจูบสอดใส่ลิ้นเข้าปากฉัน สองมือบีบขยำหน้าอกแล้ว แล้วโถมตัวทับฉันให้นอนลงกับพื้น เขาดึงคอเสื้อฉันให้คลายออกกว้างแล้วดูดที่ลำคอเบาๆจนฉันจักจี้ ริมฝีปากค่อยๆเลื่อนลงมาที่หน้าอก แล้วแหวกเสื้อออกจนเผยให้เห็นหน้าอก เขาหอมและดูดที่หัวนมที่กำลังชูชันสู้ลิ้น จากนั้นเหยียนเหล่ยค่อยๆปลดเชือกกางเกงแล้วถอดออก ลูบคลำเนินหว่างขาแล้วแหย่นิ้วกลางสอดใส่เข้าในเนินหว่างขา ขยับนิ้วเข้าออกจนมีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา จากนั้นเริ่มขยับตัวเลื่อนลงไปที่เนินหว่างขา จับขาฉันแยกออกกว้าง แลบลิ้นเลียและดูดจนฉันเกิดอาการเสียวร้องครวญครางออกมา นั่นยิ่งทำให้เขาสอดใส่ลิ้นให้ลึกยิ่งขึ้น ฉันจับศรีษะเขาแล้วยกสะโพกเด้งโยกตามจังหวะลิ้นที่สอดใส่เข้าออก จากนั้นเขาขยับตัวลุกขึ้นจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เข้าเนินหว่างขา ดันแท่งเนื้อแข็งเข้าจนสุดโคนแล้วเด้งก้นโยกกระแทกช้าๆ ฉันเด้งก้นรับแล้วกอดเขาแน่น เหยียนเหล่ยจูบฉันอย่างดูดดื่มอีกครั้งแล้วออกเด้วก้นแรงกระแทกให้แรงและเร็วขึ้นอยู่หลายครั้งจนเสร็จมีน้ำอุ่นๆไหลออกมาจากหว่างขา เราจูบกันอีกครั้งแล้วเหยียนเหล่ยก็อุ้มฉันไปนอนบนเตียง เราเริ่มบรรเลงบทรักกันอีกรอบหนึ่ง

宋孟君電流妹 - 5120baby
未來不管路多艱難我會永遠陪在
Youtube by : 9420 Music Bar



■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 73
(วันมงคล)

          วันรุ่งขึ้นเราเดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ในพระราชวังเพื่อถวายรายงานภารกิจตามหาตำรามังกรสายลม ฮ่องเต้กล่าวว่าท่านอ๋องหกได้เล่าให้ฟังแล้วถึงเรื่องของชงอวี้ และหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ อีกทั้งยังกล่าวชื่นชมที่พวกเราสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง แม้จะไม่ได้นำตำราและกระบี่มังกรสายลมกลับมาที่ราชสำนักด้วย โดยท่านอ๋องหกได้ให้เหตุผลว่า เพื่อความสงบของเหล่าชาวยุทธและราชสำนัก เห็นสมควรให้ซ่อนตำราและกระบี่มังกรสายลมที่ทรงอานุภาพไว้ที่หุบเขาจันทร์ดับดีที่สุด เพราะยากที่ใครจะเข้าไปถึง อีกทั้งฮ่องเต้ยังพระราชทานอภัยโทษให้ฉันในคดีฉีกทำลายภาพเขียนภู่กันหงส์ดำระบำน้ำอีกด้วย

          จากนั้นฮ่องเต้พระราชทานงานเลี้ยงเล็กๆให้พวกเราได้ดื่มและกินอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญก่อนกลับสำนักเฟยอวี่

           เฝิ่นลู่  : ครอบครัวของข้าถ้ารู้เรื่องนี้ต้องภาคภูมิใจในตัวข้าแน่ๆ
         ฉิงซวง  : นั่นสิ! คงเดินยืดอกทั่วหมู่บ้าน
         เลี่ยงซู  : แต่มี่จื่อ จะไม่อยู่เรียนกับเราที่สำนักเฟยอวี่แล้ว น่าเสียดายจัง เพิ่งเรียนด้วยกันได้ไม่นานก็จะไปเสียแล้ว เราคงคิดถึงเจ้าแย่เลย
           เฝิ่นลู่  : ถ้าคิดถึงก็ไปเยี่ยมมี่จื่อที่จวนฮุ่ยเฉิงสิ ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ไปด้วยกันทั้งกลุ่มเรานี่แหละ
         ฉิงซวง  : มี่จื่อ... หลวนเฉินรู้เรื่องนี้หรือยัง? คงจะใจหาย และเสียใจน่าดูถ้าเขารู้ว่าเจ้าจะกลับไปอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิง และจะแต่งงานกับอาจารย์ศิษย์พี่สี่
            มี่จื่อ  : ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้เขารู้เอง หลวนเฉินเป็นคนมีเหตุมีผลและคงเข้าใจ

          หลังจากเลิกงานเลี้ยงในพระราชวัง เราเดินทางกลับสำนักเฟยอวี่ในช่วงเวลาเย็น เมื่อกลับถึงสำนัก ฉันชักชวนหลวนเฉินให้ไปเดินเล่นในสวนด้วยกันหลังเรือนพัก ฉันจึงถือโอกาสบอกหลวนเฉินว่าฉันจะกลับไปอยู่ที่จวนฮุ่ยเฉิงและจะต้องแต่งงาน หลวนเฉินได้ฟังดังนั้นก็มีอาการตกใจและนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เขาคว้าตัวฉันเข้าไปกอดไว้แน่นคล้ายๆจะพยายามทำใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า

    หลวนเฉิน  : ข้าขออยู่กับเจ้าแบบนี้สักครู่จะได้หรือไม่? ข้าต้องการเวลาสักครู่หนึ่งเพื่อทำใจ
            มี่จื่อ  : ได้
    หลวนเฉิน  : ข้ารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง วันที่เจ้าจะจากข้าไป แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้
            มี่จื่อ  : ข้าก็ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้เหมือนกัน แต่ท่านเสนาบดีขั้นสองมาเร่งเร้าให้ข้ากับอาจารย์ศิษย์พี่สี่กลับไปอยู่ที่จวน เพราะเขารู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวแตกแยกจนไม่มีความสุข แต่ข้ามีความสุขและสนุกมากที่ได้มาเรียนที่นี่ และดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกเจ้า แม้ข้าจะจากไปแล้วแต่ความเป็นเพื่อนของพวกเรายังคงอยู่ ข้าจะคิดถึงเจ้า
    หลวนเฉิน  : ข้าก็จะคิดถึงเจ้าเหมือนกัน ข้ามีบางอย่างที่จะให้ ข้าซื้อกิ๊บมาจากตลาดคู่หนึ่ง เห็นว่าสวยดีเหมาะกับเจ้า ข้ามอบให้เจ้า
           มี่จื่อ  : กิ๊บลายนกยูง สวยจัง ราคาคงแพงมาก ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก
   หลวนเฉิน  : รับไว้เถอะ ข้าตั้งใจซื้อมาให้เจ้า
           มี่จื่อ  : ขอบใจนะหลวนเฉิน กิ๊บสวยถูกใจข้ามาก
   หลวนเฉิน  : ข้าขอเดินจับมือกับเจ้าแบบคนรักเพียงครู่หนึ่งจะได้หรือไม่
            มี่จื่อ  : ได้

          ฉันกับหลวนเฉินเดินจับมือกันไปเงียบๆในสวน เพราะต่างคนต่างไม่มีคำพูดใดๆมากล่าวให้เศร้าใจกันไปมากกว่านี้ ซึ่งฉันเองก็รู้สึกเห็นใจและเข้าใจถึงความรู้สึกที่เขามีให้ฉัน แต่ฉันไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาไปมากกว่านี้ได้ เราใช้เวลานั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆสักพัก ฉันจึงเอ่ยขอตัวกลับเรือนที่พักเพราะฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราจึงแยกกันตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองของทั้งสองฝ่าย

          วันรุ่งขึ้นฉันไปที่เรือนพักของเหยืยนเหล่ยและใช้เวลาทั้งวันช่วยเหยียนเหล่ยกับฟูหลิวจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ลงหีบ เพื่อรอให้คนงานจากจวนท่านเสนาบดีขั้นสองมาขนของกลับจวน จนกระทั่งถึงวันที่เราย้ายกลับไปที่จวน พบว่าที่จวนฮุ่ยเฉิงยังคงได้รับการดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดีตามเดิม ที่เพิ่มเติมคือมีการตกแต่งจวนด้วยผ้าสีแดง ดอกไม้ และโคมไฟสวยงาม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันแต่งงานของฉันกับเหยียนเหล่ย

          เมื่อวันแต่งงานมาถึง มีแขกเหรื่อที่เป็นขุนนางระดับสูงมาร่วมงานกันหลายคน รวมทั้งท่านอาจารย์เฟยเทียนที่เป็นเจ้าสำนักเฟยอวี่ อาจารย์ศิษย์พี่ทั้งสี่คน หย่งหลุนกับซูเจิน เถ้าแก่หอกุ้ยฮวา และกลุ่มเพื่อนสนิทของฉันต่างมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ยกเว้นหลวนเฉินที่ไม่ได้มาร่วมงาน จิ่นเกอบอกฉันว่าหลวนเฉินเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่อยู่ต่างอำเภอจึงมาร่วมงานแต่งงานของฉันไม่ได้ แต่ฉิงซวงแอบกระซิบบอกฉันว่า เพราะหลวนเฉินยังทำใจไม่ได้ และไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจต่างหาก จึงอ้างเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ซึ่งฉันเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน

          ช่วงค่ำเหยียนเหล่ยร่วมดื่มฉลองกับท่านอ๋องหก หลี่จวินและคนอื่นๆที่ยังไม่แยกตัวกลับเพราะรอเวลามงคลส่งตัวเจ้าบ่าวเข้าหอ เหยียนเหล่ยถูกหลี่จวินมอมเหล้าจนเมามาย แต่เขาดูมีความสุขมาก เมื่อถึงเวลามงคลฉันได้ยินเสียงคนหลายคนกำลังหัวเราะเฮฮาปนทะลึ่งทั้งแซวทั้งยั่วยุเหยียนเหล่ยอยู่ที่หน้าประตูห้อง จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหยียนเหล่ยก้าวเข้าห้องเดินโซเซมานั่งข้างๆฉันที่ฉันกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่เตียงนอน เขาเอ่ยทักทายฉันด้วยน้ำเสียงเมาแอ๋ว่า

เหยียนเหล่ย  : มี่จื่อ ภรรยาสุดที่รักของข้า วันนี้เจ้างดงามมาก (เหยียนเหล่ยค่อยๆเปิดผ้าคลุมหน้าฉันออก)
             มี่จื่อ  : วันนี้ท่านก็ดื่มจนเมามาก ข้าไม่เคยเห็นท่านเมาขนาดนี้มาก่อน
เหยียนเหล่ย  : เพราะข้ามีความสุข ในที่สุดเราก็ได้เป็นสามี-ภรรยากันแบบเปิดเผยเสียที แต่ตอนนี้ข้าเมามากจนอยากจะนอน แต่ข้าก็ไม่อยากพลาดคืนเข้าหอของเรา เจ้าต้องช่วยทำให้ข้าแล้วล่ะ

          เหยียนเหล่ยล้มตัวนอนแผ่บนเตียง เขาจับมือฉันให้ไปลูบคลำแท่งเนื้อที่กำลังแข็งตัว ฉันจึงก้มลงจูบเขาแล้วขยับตัวขึ้นนอนคร่อมทับ จากนั้นฉันเริ่มถอดเสื้อผ้าเขาและฉันออก แล้วบรรจงจูบแลกลิ้นดูดดื่ม จากนั้นค่อยๆเลื่อนลงไปจูบซุกไซ้ซอกคอ กัดเบาๆที่หน้าอกและดูดเลียรอบๆหัวนม เหยียนเหล่ยมีอาการเคลิบเคลิ้ม แล้วจับที่ศรีษะฉันดันให้เลื่อนลงไปที่แท่งเนื้อแข็ง ฉันจึงจูบและเลียๆรอบปลายรอยหยัก จากนั้นดันแท่งเนื้อแข็งเข้าปาก ดูดขึ้นดูดลงจนเหยียนเหล่ยร้องครวญครางออกมา จากนั้นฉันขยับตัวนั่งคร่อมจับแท่งเนื้อแข็งถูไถกับเนินหว่างขา แล้วค่อยๆดันแท่งเนื้อแข็งเข้าข้างในช้าๆจนมิดสุดโคน แล้วเริ่มขยับยกสะโพกขึ้นจนเกือบสุดปลายแท่งเนื้อ แล้วดันสะโพกลงให้แท่งเนื้อดันเข้าเนินหว่างขาจนมิดสุดโคนอีกครั้ง ฉันโยกสะโพกไปมาบดเน้นให้เนินสวรรค์สัมผัสแนบแน่นกับเนินเนื้อของเหยียนเหล่ยจนฉันเสียวมีน้ำไหลออกมาเปียกแฉะ ฉันเริ่มขยับเด้งสะโพกขึ้นลงให้แรงและเร็วขึ้นจนฉันเสร็จสมไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ฉันยังคงเด้งสะโพกโยกอยู่อย่างนั้นเพือให้เหยียนเหล่ยเสร็จ เหยียนเหล่ยจึงเด้งก้นขึ้นกระแทกแท่งเนื้อแข็งให้แรงและเร็วถี่ขึ้นจนเขาร้อง "อ๊าาา" แล้วกระแทกดันอีกครั้งสุดโคนปล่อยน้ำอุ่นๆออกมา ฉันโถมตัวนอนคร่อมกอดเขาเพราะเหนื่อย เราจึงนอนกอดกันพักเหนื่อยแล้วหลับไป ตกดึกเหยียนเหล่ยเริ่มสร่างเมา เขาขยับมือลูบไล้จับหน้าอกฉันในขณะที่ฉันที่นอนตะแคงหันหลังให้ เขากอดและจูบฉันที่ต้นคอด้านหลัง บีบเล่นหัวนม แล้วเลื่อนมือลงมาลูบคลำที่เนินหว่างขาเริ่มมีน้ำหล่อลื่นเปียกแฉะอีกครั้ง เหยียนเหล่ยขยับตัวจับแท่งเนื้อแข็งสอดใส่เนินหว่างขาทางด้านหลัง ฉันยกขาแยกออกกว้างขึ้นเพื่อรับการกระแทกให้แรงขึ้นอยู่หลายครั้ง และคืนนี้การแสดงความรักของเราก็ยังไม่หยุดลงง่ายๆ เพราะเรายังคงแสดงความรักต่อกันอีกหลายครั้งตลอดทั้งคืน

          เช้าวันรุ่งขึ้นเราทั้งสองคนตื่นนอนสาย เพราะเมื่อคืนจัดหนักกันพอสมควร เราเปิดประตูห้องออกมาพบฟูหลิวกำลังกวาดลานหน้าจวน ฟูหลิวหันมาทักทายเราและยิ้ม เขาเรียกฉันว่าฮูหยินทำเอาฉันเคอะเขินเพราะไม่คุ้นชิน เหล่าสาวใช้ที่ยกอาหารเช้าเข้ามาต่างทำความเคารพและเรียกฉันว่าฮูหยินเช่นกัน เหยียนเหล่ยเห็นฉันทำท่าทางเก้ๆกังๆไม่คุ้นชินกับคำเรียกว่าฮูหยิน เขาหัวเราะเบาๆแล้วโอบเอวฉันไปนั่งกินอาหารเช้า

เหยียนเหล่ย  : อีกหน่อยเจ้าก็ชิน ตอนนี้เจ้าเป็นฮูหยินแห่งจวนฮุ่ยเฉิงแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปเรียนรู้กฎระเบียบและพีธีรีตรองต่างๆกับพี่สะไภ้ เผื่อว่าเจ้าต้องออกไปพบปะขุนนางระดับสูงกับข้า
            มี่จื่อ  : ห๊า! ข้าคิดว่าแต่งงานแล้วจะมีชีวิตที่เรียบง่ายกว่าเดิมเสียอีก!?
เหยียนเหล่ย  : ข้าก็ชอบชีวิตที่เรียบง่าย แต่เจ้าต้องเข้าใจนะว่า ข้ามีพี่ชายเป็นเสนาบดีขั้นสอง และข้ายังต้องทำงานให้ฮ่องเต้กับท่านอ๋องหก ย่อมมีเหล่าขุนนางมาพบปะหารือเรื่องงานกับข้า เจ้าเรียนรู้การพบปะกับขุนนางไว้สักหน่อยก็ดี
             มี่จื่อ  : ก็ได้ๆ แต่ให้ข้าไปต่อยตีกับเสือดำยังจะง่ายซะกว่าให้ไปพบปะกับขุนนาง ข้าคงต้องนั่งตัวแข็งเป็นก้อนหิน เพื่อให้มีกิริยาที่งดงามเป็นกุลสตรี
เหยียนเหล่ย  : เรื่องจะไปต่อยตีกับใครน่ะ ไม่มีอีกแล้วล่ะ เพราะต่อไปเจ้าต้องมีลูก และต้องเลี้ยงลูก คงไม่มีเวลาไปทะเลาะต่อยตีกับใครหรอก เอาล่ะ! กินข้าวเถอะ ข้ายังไม่หายอยากจากเมื่อคืนเลย กินข้าวเสร็จเรามาทำลูกกันต่อเถอะ
             มี่จื่อ  : หืมม! ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือไง เมื่อคืนก็ทั้งคืนแล้วนะ
เหยียนเหล่ย  : ข้าไม่เหนื่อย จะทำต่อวันนี้อีกทั้งวัน
            มี่จื่อ  : บ้า!
เหยียนเหล่ย  : ฮ่าฮ่า!

          เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ชีวิตคู่ของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นมีความสุข ฉันขอให้เหยียนเหล่ยปลูกต้นท้อในบริเวณบ้าน เพราะฉันชอบความสวยงามของดอกท้อ อีกทั้งยังคงคิดถึงช่วงเวลาที่พลังหมื่นบุปผาเคยอยู่กับฉัน และเพื่อรำลึกถึงหยางเค่อพี่ชายร่วมสาบานที่จากไปแล้วไม่มีวันหวนกลับ

          จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือนฉันก็ตั้งครรภ์ เหยียนเหล่ยและทุกคนในบ้านต่างดีใจที่ได้ยินข่าวดีนี้ และรอลุ้นกันว่าฉันจะได้ลูกชายหรือลูกหญิง ช่วงระหว่างตั้งครรภ์นั้นฉันรู้สึกโปรดปรานอยากกินแต่ผลท้อ เหยียนเหล่ยสั่งให้สาวใช้ไปหาซื้อผลท้อมาเก็บไว้ติดจวนเสมอ เพื่อให้ฉันกินผลท้อได้ตลอดเวลาเมื่อฉันเรียกหา เมื่อครบกำหนดคลอดฉันคลอดได้ลูกชาย แต่ที่น่าประหลาดใจมากที่สุดคือเด็กทารกเพศชายตัวน้อยมีปานเล็กๆสีชมพูที่กลางฝ่ามือคล้ายดอกท้อ ทำให้ฉันหวนคิดถึงครั้งก่อน ตอนที่หยางเค่อเสียชีวิต ฉันนำดอกท้อหนึ่งดอกวางใส่ในมือของหยางเค่อก่อนที่จะนำร่างของหยางเค่อลงฝังในหลุม ใจหนึ่งฉันคิดว่าอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่เด็กทารกมีปานดอกท้อสีชมพูบนฝ่ามือ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดไปว่าหยางเค่ออาจกลับชาติมาเกิดเป็นลูกชายเพราะเขายังคงผูกพันธ์กับฉันอยู่ก็เป็นได้ เหยียนเหล่ยพอรู้ว่าได้ลูกชายก็ดีใจมากที่เขาได้ลูกชายคนแรก และตั้งชื่อให้ลูกชายว่า เหยียนหมิ่น

          จากนั้นเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี ฉันตั้งครรภ์อีกครั้งแต่ครั้งนี้ฉันคลอดลูกสาวหน้าตาน่ารัก น่าชัง เหยียนเหล่ยตั้งชื่อลูกสาวตัวน้อยว่า มี่อิง จนเวลาผ่านไปหลายปี เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นเข้าวัยหนุ่ม-สาวแรกรุ่นเป็นเด็กเฉลียวฉลาด โดยเฉพาะเหยียนหมิ่น ที่ยิ่งโตก็ยิ่งมีส่วนละม้ายคล้ายกับหยางเค่อเหลือเกิน

 เหยียนหมิ่น  : ท่านแม่! ท่านกับมี่อิงจะออกไปไหนกันรึ?
            มี่จื่อ  : แม่จะออกไปที่ร้านขายผ้า จะไปซื้อผ้ามาให้ช่างตัดเสื้อให้พ่อของเจ้าใหม่ มี่อิงก็อยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ด้วย เจ้าจะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า?
 เหยียนหมิ่น  : เปล่า! แต่ข้าจะไปกับท่านด้วย
            มี่จื่อ  : เจ้าเป็นผู้ชาย สนใจเรื่องผ้าด้วยรึ?!
             มี่อิง  : ท่านแม่... พี่เหยียนหมิ่นเขาไม่สนใจเรื่องผ้าหรอก เขาสนใจแต่เรื่องของโบราณหายาก แต่ที่เขาจะตามเราไปเพราะเขาไม่ชอบที่เจ้าของร้านขายผ้าชอบส่งสายตาหวานๆให้ท่านแม่
 เหยียนหมิ่น  : มี่อิงเจ้าชักจะรู้ดีเกินไปแล้ว เด็กแก่แดด (เหยียนหมิ่นจับศรีษะมี่อิงแล้วยีผมของมี่อิงจนยุ่ง)
             มี่อิง  : อ๊า! ผมข้ายุ่งหมดเลย ข้าจะฟ้องท่านพ่อว่าพี่แกล้งข้า
             มี่จื่อ  : เหยียนหมิ่น เจ้าของร้านขายผ้าไม่ได้คิดอะไรกับแม่หรอกน่า เขาต้องพูดคุยหวานๆเพื่อให้ลูกค้าเข้าร้าน มี่อิง มานี่! แม่จะทำผมให้ กิ๊บนกยูงคู่นี้ เจ้าติดผมไว้ไม่เบื่อบ้างรึ กิ๊บมีตั้งหลายคู่ แม่เห็นเจ้าติดผมแต่กิ๊บคู่นี้
           มี่เจิน  : เพราะกิ๊บนกยูงคู่นี้เป็นของรักของหวงที่ท่านแม่ชอบและมอบให้ข้า และข้าเองก็ชอบมากยังไม่เคยเบื่อเลย ข้าอยากเห็นท่านอาหลวนเฉินจัง ว่าหน้าตาจะเป็นยังไง ทำไมเขาถึงเลือกซื้อกิ๊บให้ท่านแม่ได้สวยขนาดนี้ ขนาดข้าเองยังชอบเลย ท่านแม่! เรารีบไปตลาดกันเถอะ ข้าอยากกินซาลาเปาที่ร้านป้าชุน

          เราสามคนนั่งรถม้าออกไปที่ตลาดเพื่อซื้อผ้า เจ้าของร้านขายผ้าเป็นชายวัยกลางคนหม้ายร้างเพราะภรรยาป่วยเสียชีวิต เขามักจะพูดคุยหวานๆกับฉันเป็นพิเศษเมื่อฉันไปซื้อผ้า ซึ่งฉันเองก็มักจะซื้อผ้าร้านนี้เพราะขายผ้าราคาถูกกว่าร้านอื่น เหยียนหมิ่นเดินเข้าไปในร้านขายผ้าด้วยเพื่อเข้าไปคุมเชิง

เถ้าแก่ขายผ้า  : ฮูหยินน้อย วันนี้มีผ้าลายใหม่มา ผ้าสีชมพูสวยหวานเหมาะกับผู้หญิงหวานๆอย่างฮูหยินน้อย ข้าสั่งผ้าผืนนี้มาไว้ให้ฮูหยินน้อยได้ดูก่อนเป็นคนแรกเลย ถูกใจใหม? ข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษเหมือนได้เปล่าเลยนะถ้าชอบ
             มี่จื่อ  : อุ๊ย จริงรึนี่?! สีชมพูสวยหวานจริงๆด้วย
  เหยียนหมิ่น  : แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าชอบสีขาว ไม่เอาสีชมพู (เหยียนหมิ่นคว้าผ้าสีชมพูจากมือฉันส่งคืนคนขาย และชี้ที่ผ้าสีขาวลายเทาเงินว่าเขาต้องการผ้าผืนนั้น)
             มี่อิง  : ท่านแม่... ข้าชอบสีฟ้า ไม่ชอบสีชมพู อืม...ข้าเอาผ้าผืนนี้แหละ
            มี่จื่อ  : เอ่อ...งั้นเอาผ้าสีน้ำเงินลายขลิบขาวนั่นด้วย เหยียนหมิ่นชอบสีน้ำเงิน
เถ้าแก่ขายผ้า  : แหม! ลูกชายของฮูหยินน้อย ช่างรู้ใจฮูหยินจริงๆ รู้ด้วยว่าฮูหยินชอบสีขาว แต่ข้าว่า...สีชมพูเหมาะกับฮูหยินมากกว่านะ
 เหยียนหมิ่น  : ท่านแม่ของข้าชอบสีขาว ไม่ชอบสีชมพู เข้าใจหรือไม่ อย่าหาข้ออ้างลดราคาผ้าถูกจนเหมือนได้เปล่าเพื่อเอาอกเอาใจแม่ข้าให้สนใจในตัวเถ้าแก่หน่อยเลย ท่านแม่ไม่สนใจหรอก ท่านแม่ไม่สนใจชายอื่นนอกจากข้ากับท่านพ่อเท่านั้น! (เขาพูดเบาๆกับเถ้าแก่ขายผ้าจนหน้าเสีย)
            มี่จื่อ  : อะ เอ่อ! เถ้าแก่ ข้าเอาผ้าแค่สามผืนนี้แหละ ขอบคุณที่เก็บผ้าสีชมพูไว้ให้ข้าเลือกดูก่อน แต่ข้าซื้อแค่สามสีที่เลือกนี้ก็พอ

          เถ้าแก่แสดงสีหน้าไม่พอใจที่เหยียนหมิ่นพูดกับเถ้าแก่ไปตรงๆแบบนั้น ฉันรีบรับผ้าจากเถ้าแก่แล้วรีบจ่ายเงิน รีบพาเหยียนหมิ่นกับมี่อิงเดินออกจากร้านโดยเร็ว

             มี่จื่อ  : เหยียนหมิ่น! เจ้าพูดกับเถ้าแก่แบบนั้น ต่อไปแม่จะกล้ามาซื้อผ้าที่ร้านนี้ต่อได้ยังไงกันเล่า!
 เหยียนหมิ่น  : ไปซื้อร้านอื่นก็ได้นี่นา ถึงราคาจะแพงกว่านิดหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร แถมร้านอื่นเนื้อผ้าก็ดีกว่า ถือว่าสมราคา อีกอย่างท่านแม่ก็ไม่ได้ซื้อผ้าไปตัดทุกวันสักหน่อย ก็ไม่นับว่าขาดทุนอะไร นี่! ท่านแม่ไปร้านขายของโบราณกับข้าดีกว่า ข้าจะซื้อแท่นฝนหมึกอันใหม่
            มี่จื่อ  : ซื้อแท่นฝนหมึกแบบสมัยใหม่ใช้ก็ได้นี่นา แบบก็สวยทันสมัย ราคาก็ถูก ส่วนแท่นฝนหมึกโบราณราคาแพงจะตายเสียดายเงิน
 เหยียนหมิ่น  : แท่นฝนหมึกอันเก่าของข้าท่านแม่ทำตกแตกไปสองอัน เพราะเห็นว่าราคาถูกจึงไม่เคยระมัดระวัง จนข้าต้องไปยืมแท่นฝนหมึกหยกเขียวของท่านพ่อมาใช้ ท่านแม่ก็หยิบจับอย่างระมัดระวังเพราะราคาแพง ข้าจึงคิดได้ว่าข้าควรใช้แท่นฝนหมึกโบราณราคาแพง ท่านแม่จะได้ระมัดระวังไม่หยิบจับให้ตกแตกอีก
             มี่อิง  : ฮ่าฮ่า เรื่องนี้จริงเลย เมื่อวานตอนเย็นท่านแม่ทำจานตกแตก และเมื่อเช้าท่านแม่ไปช่วยท่านป้าจัดแจกันดอกไม้ ก็ทำแจกันของท่านป้าแตกอีก เท่านั้นยังไม่พอตอนเดินกลับจวนยังเดินไปเหยียบต้นไม้ที่ลุงฟูหลิวเพิ่งปลูกแบนราบคาเท้าไปอีกสองต้นอีกด้วย
            มี่จื่อ  : ชู่ววว! เจ้าสองคนอย่าบอกท่านพ่อของเจ้านะ แม่ไม่อยากถูกดุ
 เหยียนหมิ่น  : ข้าไม่เคยเห็นท่านพ่อดุท่านแม่จริงๆจังๆสักที
             มี่อิง  : ท่านแม่กับพี่เหยียนหมิ่นไปร้านขายของโบราณกันก่อน ข้าจะเดินไปซื้อซาลาเปาที่ร้านป้าชุน เดี๋ยวข้าจะตามไป




หมายเหตุ

*เหยียนหมิ่น  แปลว่า ภาษา/ วาจา เฉียบแหลม

*มี่อิง  แปลว่า คริสตัลแห่งความลับ

想要和你談戀愛 - 海青歐陽尚尚想要拉著你的手再也不放開
ฉันอยากจะตกหลุมรักคุณ - Haiqing Ouyang Shangshang
อยากจับมือคุณและไม่มีวันปล่อยไป
 Yoytube by : 9420 Music Bar

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 74
(กลับมาพบกันอีกครั้ง)

          ฉันกับเหยียนหมิ่นเดินแยกไปที่ร้านขายของโบราณ ส่วนมี่อิงเดินแยกไปซื้อซาลาเปาที่ร้านป้าชุน เป็นร้านขายซาลาเปาร้านเล็กๆที่มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งพักกินซาลาเปาและดื่มน้ำชา มี่อิงกำลังยืนซื้อซาลาเปา โดยไม่รู้ว่ามีใครอีกคนหนึ่งกำลังยืนมองดูเพื่อเลือกซื้อซาลาเปาอยู่ทางด้านหลัง มี่อิงรับซาลาเปาจากป้าชุนสี่ลูกแล้วหันหลังจะเดินออกจากร้าน ก็ชนเข้าอย่างจังกับชายร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ จนซาลาเปาในมือของมี่อิงตกลงพื้นไปสองลูก

             มี่อิง  : โอ๊ะ!!!
    หลวนเฉิน  : ระวังหน่อยสิ!
             มี่อิง  : ท่านต่างหากที่ต้องระวัง ใครใช้ให้มายืนอยู่ข้างหลังข้าซะติดขนาดนี้ ข้าหันไปก็ชนน่ะสิ! การยืนที่ถูกต้องควรมีช่วงเว้นระยะห่างต่อกัน ไม่ใช่มายืนชิดติดหลังข้า!
    หลวนเฉิน  : มะ...มี่จื่อ! (เขาพึมพำเบาๆด้วยความตกใจ ที่เห็นมี่อิงหน้าคล้ายกับฉัน แล้วพูดกับมี่อิงว่า...) เอ่อ...ขะ ข้าจะซื้อซาลาเปาคืนให้แล้วกัน
             มี่อิง  : ข้ามีเงินซื้อซาลาเปากินเองได้ แต่ข้าต้องการคำขอโทษ ไม่ใช่ซาลาเปา นี่ลุง! คำขอโทษน่ะพูดเป็นมั้ย?!
    หลวนเฉิน  : นี่เจ้า! เรียกข้าว่าลุงเชียวรึ?! ข้ายังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย
             มี่อิง  : ไม่เรียกว่าตาแก่ก็ดีแค่ไหนแล้ว! คนผิดคือท่านไม่ใช่ข้า ท่านต้องกล่าวขอโทษข้าจึงจะถูก มิใช่พูดให้ข้าระวังเหมือนว่าข้าเป็นคนซุ่มซ่าม!
    หลวนเฉิน  : นี่เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน ใยเถียงผู้ใหญ่ฉอดๆ บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าอยากพบพ่อแม่เจ้านักใยสอนให้เถียงผู้ใหญ่ ไร้สัมมาคารวะ!
             มี่อิง  : แล้วบ้านของลุงล่ะอยู่ที่ไหน ข้าก็อยากจะพบพ่อแม่ของลุงเหมือนกัน ใยไม่สอนให้ท่านพูดขอโทษคนอื่นเมื่อท่านเป็นฝ่ายผิด!
    หลวนเฉิน  : นี่เจ้า!!! ฮึ่ย! ข้าไม่อยากเถียงกับเด็กเหลือขออย่างเจ้า แต่เอ๊ะ! กิ๊บติดผมนั่น! (หลวนเฉินเอื้อมมือไปแตะกิ๊บนกยูงที่ติดอยู่บนผมของมี่อิง แต่ถูกมี่อิงปัดมือไม่ให้แตะ)
             มี่อิง  : อย่าแตะต้องกิ๊บของข้านะ! หนอยตาแก่! กล่าวหาว่าข้าซุ่มซ่าม นี่ยังคิดจะขโมยกิ๊บของข้าอีกเรอะ?!
    หลวนเฉิน  : เจ้าเด็กไร้มารยาท ให้ข้าดูกิ๊บของเจ้าหน่อยไม่ได้รึไง!
             มี่อิง  : ไม่ได้! ข้าไม่ให้ดู!

          ในขณะเดียวกันนั้น ฉันกับเหยียนหมิ่นที่กำลังเลือกดูของในร้านวัตถุโบราณ ก็ได้ยินเสียงคนกำลังทุ่มเถียงกันนอกร้านเสียงคล้ายกับมี่อิง เราจึงเดินออกมาดูหน้าร้านว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นมี่อิงกำลังทุ่มเถียงกับชายคนหนึ่ง เหยียนหมิ่นเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบวิ่งไปหามี่อิงเพื่อปกป้องน้องสาว

 เหยียนหมิ่น  : หยุดนะ! นี่ท่านกำลังจะทำอะไรน้องสาวของข้า!
             มี่จื่อ  : เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเนี่ย?!
             มี่อิง  : ท่านแม่! ตาลุงคนนี้พยายามจะแย่งกิ๊บของข้า
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ!!!
             มี่จื่อ  : หลวนเฉิน! นี่เจ้าเองรึนี่?! ไม่เจอกันนานเลย เป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีรึ?
    หลวนเฉิน  : เอ่อ...ข้าสบายดี ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีก
             มี่อิง  : เอ๊ะ! นี่รู้จักกันด้วยรึ?!
    หลวนเฉิน  : เด็กคนนี้คือ...?
            มี่จื่อ  : นี่คือมี่อิง ลูกสาวคนเล็กของข้า ส่วนคนนี้ลูกชายคนโตชื่อ เหยียนหมิ่น เอ้า! ทั้งสองคนทำความเคารพท่านอาหลวนเฉินสิ!
 เหยียนหมิ่น  : ท่านอาหลวนเฉิน
             มี่อิง  : ท่านอาหลวนเฉิน......!
    หลวนเฉิน  : เหยียนหมิ่น ช่างละม้ายคล้ายกับหยางเค่อเหลือเกิน
             มี่จื่อ  : ใช่ เหยียนหมิ่นคล้ายลุงของเขามากแทบจะถอดแบบกันมาเลย ทั้งหน้าตา และความชื่นชอบ ทั้งฉลาด และทันคน จิ่นเกอเคยบอกข้าว่าเจ้าเดินทางไปตามเมืองต่างๆเพื่อส่งสินค้าไม่เคยอยู่บ้านเลย ดีจริงๆที่ได้เจอเจ้าอีกครั้งที่นี่ เจ้ามาส่งสินค้าที่เมืองนี้รึ?
    หลวนเฉิน  : ใช่! ข้ามีเวลาหยุดพักที่เมืองนี้สามวันแล้วจะไปเมืองอื่นต่อ จึงแวะไปเยี่ยมเยียนจิ่นเกอกับช่างอิ่นที่หน่วยสอบสวน ดีจริงๆที่เขาสองคนสอบได้ที่นั่นตามที่ได้ตั้งใจไว้
            มี่จื่อ  : แล้วไม่คิดจะแวะมาเยี่ยมเยียนข้าบ้างรึ?
    หลวนเฉิน  : ข้าคิดที่จะไปหาเจ้า แต่เกรงว่าจะไม่เหมาะ และกังวลว่าเจ้าอาจจะลืมข้าไปแล้ว
            มี่จื่อ  : ข้าไม่เคยลืมเจ้า ข้าดีใจด้วยซ้ำที่ได้เจอกันอีก ไปดื่มน้ำชาที่จวนฮุ่ยเฉิงก่อน ข้ามีหลายเรื่องที่อยากพูดคุยกับเจ้าเยอะเลย

          ฉันชักชวนหลวนเฉินไปดื่มน้ำชาและพูดคุยกันที่จวนฮุ่ยเฉิง ตลอดทางที่นั่งอยู่ในรถม้า เหยียนหมิ่นที่นั่งอยู่ข้างๆฉัน เอาแต่จ้องมองหลวนเฉินด้วยความสงสัย แต่เหยียนหมิ่นก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาให้เป็นการเสียมารยาท ส่วนมี่อิงที่ปกติจะพูดคุยเป็นต่อยหอยและมักหยอกเล่นกับเหยียนหมิ่นกลับนั่งก้มหน้านิ่งแบบถามคำตอบคำเท่านั้น

             มี่จื่อ  : เจ้าสองคนมานั่งเบียดแม่กันทำไม แบ่งไปนั่งฝั่งอาหลวนเฉินคนหนึ่งสิ
 เหยียนหมิ่น  : ข้าไปเอง
             มี่จื่อ  : เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น เจ้ากับมี่อิงทุ่มเถียงกันเรื่องอะไร?
    หลวนเฉิน  : ข้าเดินไปชนมี่อิงจนซาลาเปาของนางตกพื้น จึงเกิดการเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเลยทุ่มเถียงกันน่ะ
             มี่อิง  : เอ่อ...ใช่ๆ! เราเข้าใจผิดกัน แต่ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้ว
             มี่จื่อ  : ดีแล้วล่ะที่เข้าใจกันแล้ว มี่อิงแค่ซาลาเปาตกพื้นสองลูก ก็ซื้อเอาใหม่ได้นี่นา ทำไมกลับทุ่มเถียงกันเป็นเรื่องใหญ่โต
             มี่อิง  : ท่านแม่...ก็ตอนนั้นข้าตกใจ เลยเสียงดังไปหน่อย (มี่อิงโอบกอดฉันออดอ้อนเพื่อไม่ให้ดุนางอีก)
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อ เรื่องนั้นช่างมันเถอะนะ อย่าใส่ใจอีกเลย

          เรามาถึงหน้าจวนฮุ่ยเฉิง หญิงรับใช้ที่จวนรายงานว่าเหยียนเหล่ยกลับมาจากตำหนักท่านอ๋องหกได้สักพักใหญ่แล้ว กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในจวน มี่อิงพอรู้ว่าเหยียนเหล่ยกลับมาแล้วก็รีบวิ่งเข้าจวน บอกว่าจะนำซาลาเปาไปให้เหยียนเหล่ยกิน แต่ความจริงแล้วเพื่อไปออดอ้อนพ่อมากกว่า ฉันพาหลวนเฉินเข้าไปพบกับเหยียนเหล่ย แม้เขาทั้งสองเคยไม่ชอบหน้ากันเท่าไหร่นัก แต่เพราะเหยียนเหล่ยเคยเป็นอาจารย์และเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนัก จึงต้องทำความเคารพและทักทายกันตามธรรมเนียม

          เหยียนเหล่ยสอบถามถึงการงานของหลวนเฉิน และพูดคุยเรื่องทั่วไปอื่นๆ ฉันจึงเอ่ยขอกับเหยียนเหล่ยให้ชักชวนหลวนเฉินอยู่พักค้างคืนหนึ่งที่เรือนรับรองแขก เพราะหลวนเฉินแวะไปหาจิ่นเกอกับช่างอิ่นมาก่อน จึงยังไม่ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ไหน เหยียนเหล่ยหันมามองสบตากับฉันเหมือนหยั่งความรู้สึกของฉันที่มีต่อหลวนเฉิน จากนั้นจึงหันไปเรียกหญิงรับใช้ให้ไปเตรียมห้องพักให้กับหลวนเฉิน แล้วเหยียนเหล่ยก็ขอแยกตัวไปทำงานต่อในห้อง ฉันจึงชวนหลวนเฉินไปเดินชมสวนรอเวลาเตรียมห้องพักเสร็จ

          หลวนเฉินถามฉันเกี่ยวกับเหยียนหมิ่น เพราะเขาแปลกใจเหลือเกินที่เหยียนหมิ่นช่างมีใบหน้าคล้ายกับหยางเค่อ จนเผลอคิดไปว่าหยางเค่อกลับชาติมาเกิด ซึ่งฉันเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเพราะที่ฝ่ามือข้างขวาของเหยียนหมิ่นมีปานดอกท้อสีชมพู ซึ่งเป็นข้างเดียวกันกับที่ฉันเคยวางดอกท้อในมือหยางเค่อก่อนนำศพฝังลงหลุม ซึ่งพวกเราก็คอยเฝ้าดูและคอยสอนสั่งเหยียนหมิ่นไม่ให้เดินทางผิดเหมือนหยางเค่อในอดีต โดยเฉพาะเหยียนเหล่ยพ่อของเขาที่คอยเคี่ยวเข็ญให้เหยียนหมิ่นตั้งใจร่ำเรียนจนสำเร็จการศึกษาก่อนเพื่อนคนอื่นๆในรุ่นเดียวกัน และตอนนี้กำลังรอช่วงเวลาเปิดสอบเข้าเรียนที่สำนักเฟยอวี่ เพราะเหยียนเหล่ยยังคงเป็นห่วงลูกชายและยังอยากให้ลูกชายอยู่ในสายตาของกลุ่มคนผู้มีคุณธรรม

          จากนั้นฉันจึงสอบถามถึงสถานะภาพส่วนตัวหลวนเฉิน เขาตอบว่ายังไม่ได้แต่งงาน โดยให้เหตุผลว่า เพราะเขาต้องเดินทางไปต่างเมืองอยู่บ่อยๆจึงยังไม่ได้คิดเรื่องมีคู่ครอง แม่สื่อหลายคนเคยนัดเขาดูตัว แต่เขายังไม่ถูกใจหญิงใดสักคน จึงไม่คิดจะเสียเวลากับเรื่องการดูตัวอีก และให้ความสำคัญกับการทำงานเพียงอย่างเดียว เราเดินมาถึงห้องพักรับรองที่จัดเตรียมเสร็จพอดี ฉันจึงให้หลวนเฉินได้ใช้เวลาพักผ่อน

          ฉันเดินกลับออกมาผ่านสวนหย่อม เดินอ้อมผ่านมาทางสวนท้อ ก็เห็นมี่อิงกำลังนั่งอยู่ริมบ่อปลาโยนเศษก้อนดินเล็กๆทิ้งลงบ่อปลาเหมือนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ ฉันจึงเดินเข้าไปถามไถ่

            มี่จื่อ  : เห็นทีท่านพ่อของเจ้า คงต้องจ้างคนมาขุดบ่อปลาให้ลึกขึ้นอีกซะแล้ว เพราะเจ้าโยนก้อนดินลงไป จนบ่อเริ่มตื้นเขิน ดูสิ! เจ้าบอกว่าอยากเจอท่านอาหลวนเฉิน ตอนนี้เขาก็มาพักอยู่ในจวนของเราแล้ว แต่ดูเจ้าไม่ดีใจเลย
             มี่อิง  : ท่านแม่......คือว่า....
             มี่จื่อ  : มีเรื่องอะไรไม่สบายใจงั้นรึ บอกแม่ได้มั้ย? เผื่อว่าแม่จะช่วยเจ้าได้
             มี่อิง  : ท่านแม่ คือข้าโกหกเรื่องที่ท่านอาหลวนเฉินบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันที่ตลาด ความจริงแล้วเราทะเลาะกัน ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย คือตอนอยู่ที่ตลาดข้าโมโหที่ท่านอาหลวนเฉินดุข้าในทำนองว่าข้าซุ่มซ่าม ท่านอาจะซื้อซาลาเปาคืนให้ แต่ข้ากลับต้องการให้ท่านอากล่าวคำขอโทษ และล่วงเกินเรียกท่านอาว่าลุงกับตาแก่....ในตอนนั้นหากท่านอาหลวนเฉินกล่าวคำขอโทษข้า เราก็คงไม่ต้องทะเลาะถกเถียงกันเสียงดัง
            มี่จื่อ  : เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง ผู้ชายส่วนใหญ่มักมีทิฐิและศักดิ์ศรี บางครั้งการกล่าวคำขอโทษผู้น้อยก่อนอาจเป็นเรื่องตะขิดตะขวงใจแม้เขาจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม แต่การที่ท่านอาหลวนเฉินจะซื้อซาลาเปาคืนให้ นั่นคือท่านอายอมถอยก้าวหนึ่งให้เจ้า เปรียบได้เป็นการขอโทษแม้จะมิใช่การขอโทษจากปากโดยตรง แต่เจ้ากลับไม่ยอมลดลาวาศอกให้ จึงมองว่าเป็นการล่วงเกินผู้ใหญ่ มันทำให้เจ้าดูไม่น่ารัก
             มี่อิง  : ท่านอาหลวนเฉินคงจะไม่ชอบขี้หน้าข้าแน่ๆ ท่านแม่...หรือข้าควรจะไปขอโทษท่านอาหลวนเฉิน
            มี่จื่อ  : ถูกต้องแล้ว เจ้ายังเด็กการไปขอโทษผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นฝ่ายผิด และใครเป็นฝ่ายถูกนั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างใจเย็นลงแล้วค่อยมาพูดคุยกันใหม่ หรือไม่ก็ปล่อยให้ผ่านไปอย่าไปรื้อฟื้นให้ผิดใจกันขึ้นมาอีก
            มี่อิง  : หรือข้าจะปรุงน้ำแกงไก่ให้ท่านอาดื่มเป็นการขอโทษจะดีหรือไม่ ท่านอาจะหายโกรธหรือเปล่า?
            มี่จื่อ  : อืม... หายโกรธแน่นอน เราไปห้องครัวกัน อ้อ! ปรุงเผื่อท่านพ่อกับพี่ชายของเจ้าด้วยนะ เดี๋ยวเขาจะน้อยใจเอา

Sheng Yu 勝嶼 Ou Ruo La 歐若拉 (Aurora) Lyrics
Youtube by : M - Lyrics

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 75
(น้ำแกงไก่กับดอกโบตั๋น)

          ฉันกับมี่อิงเข้าครัวช่วยกันปรุงน้ำแกงไก่ให้หลวนเฉิน มี่อิงปรุงอาหารเก่งและอร่อยมากกว่าฉัน ฉันจึงเป็นเพียงผู้ช่วยล้างผักหั่นผักให้เท่านั้น เราใช้เวลาปรุงน้ำแกงไก่ไม่นานนักก็เสร็จ มี่อิงตักน้ำแกงแบ่งเป็นสามถ้วย ถ้วยหนึ่งแยกวางใส่ถาดเพื่อยกไปให้หลวนเฉิน ฉันจึงบอกมี่อิงให้รอฉันสักครู่ แล้วเดินออกไปที่สวน ฉันเดินหายไปเพียงครู่เดียว ก็กลับมาพร้อมกับดอกโบตั๋นช่อหนึ่งในมือ ฉันวางช่อดอกโบตั๋นลงบนถาด แล้วให้มี่อิงยกถาดน้ำแกงไก่พร้อมช่อดอกโบตั๋นออกไป แต่มี่อิงยังลังเลและคิดว่ามีช่อดอกไม้ด้วยอาจดูไม่ค่อยเข้าท่ากับการง้อผู้ชายสักเท่าไหร่ แต่มี่อิงก็ยอมยกถาดออกไปเพราะฉันยืนยันว่าหลวนเฉินจะหายโกรธแน่นอน

          มี่อิงเดินถือถาดน้ำแกงมาหยุดยืนที่หน้าห้องพักของหลวนเฉิน แล้วรวบรวมความกล้าเรียกหลวนเฉินว่านางนำน้ำแกงไก่มาให้ หลวนเฉินจึงเปิดประตูห้องให้มี่อิง

             มี่อิง  : ท่านอาหลวนเฉิน ข้าเข้าไปข้างในได้หรือไม่?
    หลวนเฉิน  : ได้ เข้ามาสิ! (หลวนเฉินจึงเปิดประตูห้องพักอ้าค้างเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิด)
             มี่อิง  : เอ่อ...ข้าปรุงน้ำแกงไก่มาให้ท่านอาดื่ม เป็นการขอโทษที่ข้าล่วงเกินท่านที่ตลาด
    หลวนเฉิน  : ข้าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเจ้าแล้ว อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย และขอบใจที่ปรุงน้ำแกงไก่มาให้ วางไว้เถอะเดี๋ยวข้าค่อยดื่ม (หลวนเฉินพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ)
             มี่อิง  : หรือท่านอาหลวนเฉินกลัวว่าข้าจะแอบวางยาถ่ายท้องในน้ำแกง ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก
    หลวนเฉิน  : งั้นข้าดื่มน้ำแกงเลยก็ได้ เพื่อความสบายใจของเจ้า (หลวนเฉินกำลังจะยกถ้วยน้ำแกงขึ้นดื่ม)
             มี่อิง  : ท่านอา! เดี๋ยวๆ นี่ดอกโบตั๋น ท่านต้องถือดอกโบตั๋นไว้ในมืออีกข้างหนึ่งด้วยขณะดื่มน้ำแกง
    หลวนเฉิน  : ทำไมข้าต้องถือดอกโบตั๋นขณะดื่มน้ำแกงด้วยล่ะ?!
             มี่อิง  : เพราะถือดอกโบตั๋นขณะดื่มน้ำแกง จะทำให้ท่านอารู้สึกว่ากำลังนั่งดื่มน้ำแกงไก่ที่แสนอร่อยอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกโบตั๋นที่หอมสดชื่น
    หลวนเฉิน  : ฮ่าฮ่า! ไม่ต้องให้ข้านั่งดื่มน้ำแกงท่ามกลางทุ่งดอกโบตั๋นหรอก ข้านั่งดื่มน้ำแกงในห้องพักธรรมดานี่ก็ได้ ข้าไม่ใช่คนเรื่องมาก ใครเป็นคนคิดเรื่องนั่งดื่มน้ำแกงไก่ท่ามกลางทุ่งดอกโบตั๋นรึ ตลกชะมัด
             มี่อิง  : ท่านแม่น่ะสิ! ว่าแล้วเชียวว่าดอกไม้นี่ต้องไม่เข้าท่า
    หลวนเฉิน  : ข้าคิดไว้แล้วเหมือนกัน ว่าความคิดตลกแปลกๆแบบนี้ต้องเป็นของมี่จื่อ นางเป็นผู้หญิงแปลกและตลกแบบนี้มาตั้งแต่ที่ข้ารู้จักกับนางครั้งแรกแล้ว
             มี่อิง  : ปัจจุบันท่านแม่ก็ยังมีความคิดแปลกๆอยู่ อย่างเช่นเรื่องดอกโบตั๋นเนี่ย หุหุ แต่ก็ดีที่ทำให้ท่านอาหัวเราะได้
    หลวนเฉิน  : เอ่อ...ข้าขอดูกิ๊บติดผมของเจ้าหน่อยจะได้หรือไม่ อย่าห่วงข้าไม่ได้คิดจะขโมยหรอก
             มี่อิง  : ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าท่านอาไม่ได้คิดจะขโมย เพราะกิ๊บนกยูงคู่นี้ท่านอาเป็นคนมอบให้ท่านแม่ด้วยตัวเอง
    หลวนเฉิน  : มี่จื่อคงจะไม่ชอบ แต่ที่รับไว้คงเพราะกลัวข้าจะเสียน้ำใจสินะ....
             มี่อิง  : ไม่ใช่อย่างที่ท่านอาคิด! ท่านแม่ชอบกิ๊บติดผมคู่นี้มาก และเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี วันหนึ่งข้าเห็นท่านแม่นำกิ๊บคู่นี้ออกมานั่งดูและเช็ดทำความสะอาด ข้าจึงเดินเข้าไปดูและบอกกับท่านแม่ว่ากิ๊บคู่นี้สวยมากและข้าก็ชอบ น่าเสียดายที่กิ๊บสวยๆมิเคยได้อวดความสวยต่อสายตาผู้ใด ท่านแม่จึงหยิบกิ๊บคู่นี้มาติดผมให้ข้า และบอกกับข้าว่านี่เป็นกิ๊บคู่โปรดที่ท่านอาหลวนเฉินมอบให้กับท่านแม่ แต่ท่านแม่จะมอบให้ข้า เพราะกิ๊บที่ท่านแม่หวงเหมาะสมที่จะติดอยู่บนผมของคนที่ท่านแม่รักที่สุดในโลก คนๆนั้นก็คือข้า
    หลวนเฉิน  : เป็นอย่างนี้นี่เอง (หลวนเฉินยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจ) เอ่อ... เจ้าพอจะรู้มั้ยว่าในเมืองนี้ที่ไหนมีขายสมุนไพรคุณภาพดี แต่ราคาไม่แพง พรุ่งนี้ข้าจะไปหาซื้อ พอดีมีลูกค้าต้องการสมุนไพรแล้วสั่งซื้อมากับข้า
             มี่อิง  : ข้าจะไปถามพี่เหยียนหมิ่นให้ พี่เหยียนหมิ่นรู้ว่าร้านไหนขายของคุณภาพดีแต่ราคาถูก เขาเปรียบเทียบสินค้าเก่ง ยิ่งถ้าเป็นของโบราณใครทำของปลอมมาหลอกไม่ได้เลย พี่เหยียนหมิ่นรู้ทันหมด เอางี้! พรุ่งนี้ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านอาเลือกซื้อของ งั้นข้าขอตัวก่อน ท่านอาจะได้พักผ่อน
    หลวนเฉิน  : ดะ เดี๋ยว!
             มี่อิง  : ท่านอาต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือเปล่า?
    หลวนเฉิน  : ขะ ข้าขอผ้าเช็ดหน้าเพิ่มอีกสักผืน ผืนเก่าข้าเพิ่งใช้ไปจนเปียกเพราะข้าล้างหน้า
             มี่อิง  : ข้าจะบอกให้คนนำผ้าผืนใหม่มาให้ (มี่อิงยิ้มแล้วเดินออกไปจากห้องพักของหลวนเฉิน)
    หลวนเฉิน  :เฮ่อ! ข้าตั้งใจจะบอกปฏิเสธมี่อิงว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปคนเดียว แต่ข้าดันขอผ้าเช็ดหน้าทำไมล่ะเนี่ย?!

          มี่อิงเดินยิ้มมาคนเดียวอย่างอารมณ์ดี นางเห็นฉันกำลังจัดขนมใส่จานเพื่อยกไปให้เหยียนเหล่ยกินในห้องหนังสือ มี่อิงโผเข้ามากอดฉันทางด้านหลัง และกล่าวขอบคุณฉันเรื่องดอกโบตั๋น เพราะมุกตลกดอกโบตั๋นทำให้หลวนเฉินขบขันจนหัวเราะออกมาและหายโกรธเคืองนางในทันที จากนั้นมี่อิงก็ขออนุญาตกับฉันว่าพรุ่งนี้จะพาหลวนเฉินไปซื้อสมุนไพร ฉันจึงอนุญาตและบอกมี่อิงให้ไปบอกเหยียนเหล่ยเรื่องจะออกไปข้างนอกวันพรุ่งนี้ด้วย มี่อิงรับจานขนมจากฉันแล้วเดินถือเข้าไปในห้องหนังสือ ฉันจึงถือกาน้ำชาที่เพิ่งชงขึ้นใหม่เดินตามเข้าไปในห้องหนังสือ

             มี่อิง  : ท่านพ่อ ข้านวดไหล่ให้
เหยียนเหล่ย  : เอาอกเอาใจพ่อแบบนี้ จะอ้อนเอาอะไร?
             มี่อิง  : พรุ่งนี้ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านอาหลวนเฉินซื้อสมุนไพร
เหยียนเหล่ย  : ให้เหยียนหมิ่นไปสิ! ข้างนอกอากาศเริ่มเย็นแล้ว เจ้าอย่าไปเลย
             มี่อิง  : ข้าจะไปหาซื้อสมุนไพรและไก่ดำมาตุ๋นให้ท่านพ่อกินบำรุงกำลัง พี่เหยียนหมิ่นก็ซื้อไก่ดำสดไม่เป็น เดี๋ยวจะได้ไก่ดำไม่แท้กลับมา เพราะไก่ดำพันธุ์แท้จะต้องมีสีดำแปดอย่าง คือ ปาก ลิ้น หน้า หงอน เล็บ แข้ง ขา และกระดูกต้องมีสีดำสนิท ข้าเคยฝากพี่เหยียนหมิ่นซื้อไม่เคยได้ไก่ดำพันธุ์แท้มาเลยสักครั้ง บางวันท่านพ่ออยู่ทำงานจนดึกดื่น สุขภาพของท่านพ่อนั้นสำคัญจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกไก่ ให้ข้าไปเลือกซื้อของเองเถอะนะ
เหยียนเหล่ย  : ก็ได้! แต่ต้องให้เหยียนหมิ่นไปกับเจ้าด้วย
             มี่อิง  : ขอบคุณท่านพ่อ! ข้าจะไปบอกพี่เหยียนหมิ่น (มี่อิงหอมแก้มเหยียนเหล่ยฟอดหนึ่ง แล้วลุกเดินออกไปจากห้องหนังสือ)
เหยียนเหล่ย  : อ้าว! ไปซะแล้ว นวดต่ออีกหน่อยสิ! เฮ่อ...เจ้าลูกคนนี้!
            มี่จื่อ  : ท่านพี่ ข้าจะนวดให้ท่านเอง อาการของท่านเหมือนกำลังหวงลูกสาวที่กลัวหนุ่มๆมารุมจีบ
เหยียนเหล่ย  : แน่นอน! ข้ามีลูกสาวคนเดียว ข้าก็ต้องหวง มี่อิงยังเด็ก ข้ามิอาจวางตาวางใจ
            มี่จื่อ  : แต่อีกหน่อยมี่อิงก็ต้องแต่งงานออกเรือนไป ท่านจะหวงลูกสาวเก็บนางไว้ในจวนตลอดไปไม่ได้หรอกนะ
เหยียนเหล่ย  : งั้นเจ้าก็มีลูกสาวให้ข้าอีกคนหนึ่งสิ ข้าจะได้ไม่เหงาเวลาที่มี่อิงแยกเรือนไป
             มี่จื่อ  : มีลูกแค่สองคนก็พอแล้วน่า
เหยียนเหล่ย  : ยังไม่พอ...

          เหยียนเหล่ยโบกมือหนึ่งครั้งไปที่ประตูห้องใช้มนต์ปิดผนึกประตูไม่ให้ใครเปิดเข้ามา แล้วดึงฉันมากอดจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม เขาล้วงมือเข้าไต้กระโปรงลูบคลำเนินหว่างขาแล้วแหย่นิ้วเข้าไปขยับเข้าขยับออกจนเปียกแฉะ เขาจับฉันพลิกตัวคุกเข่าโก้งโค้งแล้วสอดใส่แท่งเนื้อเข้าเนินหว่างขาทางด้านหลัง ดันแท่งเนื้อแข็งใหญ่เข้าจนมิดกระแทกกระทั้นอยู่หลายครั้งจนฉันเสียวร้องคราง จากนั้นฉันพลิกตัวกลับขึ้นคร่อมนั่งตักโยกขย่มแท่งเนื้อแข็งจนเนินหว่างขาเปียกแฉะ เหยียนเหล่ยจับฉันเร่งจังหวะโยกขย่มแท่งเนื้อให้เร็วขึ้นจนเราเกร็งตัวเสร็จไปพร้อมกัน เขาจับตัวฉันนอนหงายกับพื้นแล้วจูบซุกไซ้ซอกคอ แท่งเนื้อเริ่มแข็งใหญ่ แล้วสอดใส่เข้าเนินหว่างขาอีกครั้ง กระแทกกระทั้นจนเราเสร็จแล้วนอนกอดกันเหนื่อยหอบอยู่ตรงนั้น จากนั้นเราจึงลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าให้กัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยเหยียนเหล่ยก็เขียนตำราให้สำนักเฟยอวี่ต่อ โดยมีฉันคอยรินน้ำชาให้ดื่มอยู่ข้างๆ

          เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ฉันให้สาวใช้ไปเชิญหลวนเฉินมากินอาหารเย็นด้วยกัน

劉鳳瑤 Finn L - 感官先生 Mr.Senses (Official Music Video)
Youtube by : Warner Music China

■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 76
(เหยียนหมิ่นเลือกซื้อขลุ่ย)

          เรานั่งรอหลวนเฉินที่โต๊ะอาหารที่มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ ไม่นานนักหลวนเฉินก็เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างที่จัดเตรียมไว้ให้ระหว่างเหยียนหมิ่นกับมี่อิง เราจึงเริ่มลงมือกินอาหาร มี่อิงคีบเนื้อห่านอบหม้อดินใส่ถ้วยข้าวให้เหยียนเหล่ย และคีบน่องห่านใส่ถ้วยข้าวให้หลวนเฉิน ฉันจึงคีบน่องห่านอีกน่องหนึ่งใส่ถ้วยข้าวให้เหยียนหมิ่นลูกชาย ทำให้เหยียนเหล่ยเกิดอาการงอนที่มี่อิงใส่ใจแขกมากเกินไป

เหยียนเหล่ย  : ข้าก็อยากกินน่องห่าน แต่น่องห่านหมดเสียแล้ว...
             มี่จื่อ  : ปกติท่านชอบกินเนื้อห่าน ทำไมวันนี้ร้องอยากกินน่อง (ฉันจึงรีบคีบน่องห่านจากถ้วยข้าวเหยียนหมิ่นไปวางใส่ในถ้วยข้าวของเหยียนเหล่ยแทน)
 เหยียนหมิ่น  : เอ๊! ท่านแม่! นั่นน่องห่านของข้า....ข้ากินเนื้อห่านก็ได้
            มี่อิง  : ท่านอาหลวนเฉิน ลองชิมผัดเต้าหู้ ข้าเป็นคนปรุงเองเลยนะ จานผัดเต้าหู้อยู่ห่าง ข้าคีบให้ท่านอา
    หลวนเฉิน  : เอ่อ...ขอบใจ
             มี่จื่อ  : ท่านพี่...ผัดเต้าหู้ที่เมื่อวานท่านบอกว่าอยากกิน พอมี่อิงรู้ก็รีบผัดให้ท่านกินวันนี้เลย (ฉันรีบคีบเต้าหู้ใส่ถ้วยข้าวให้เหยียนเหล่ย)
เหยียนเหล่ย  : เจ้าสองคนแม่ลูกช่างเอาอกเอาใจข้าดีเหลือเกิน (เหยียนเหล่ยเอื้อมมือมาลูบที่ต้นขาฉัน)
  เหยียนหมิ่น  : ท่านพ่อ... ท่านแม่ นี่เรากำลังกินข้าวกันอยู่นะ หยุดทำหวานใส่กันสักครู่จะได้มั้ย?
             มี่จื่อ  : จ้าๆ อ้อ! หลวนเเฉินกินเยอะๆนะ ไม่ต้องเกรงใจ
    หลวนเฉิน  : อาหารอร่อยมาก ผัดเต้าหู้ก็อร่อย มี่อิงปรุงอาหารเก่งจริงๆ
             มี่อิง  : ขอบคุณท่านอาที่กล่าวชมข้า
เหยียนเหล่ย  : เหยียนหมิ่น เจ้าหาซื้อขลุ่ยที่ถูกใจได้หรือยัง ข้าจะได้ให้เจ้าไปเรียนขลุ่ยกับอาจารย์อาจินไห่ของเจ้า
 เหยียนหมิ่น  : พรุ่งนี้ข้าจะไปดูขลุ่ยที่ร้านขายเครื่องดนตรีเพิ่งเปิดใหม่ที่ท้ายตลาดอาจได้ขลุ่ยดีๆมาสักหนึ่งเลาหนึ่ง ท่านพ่อ...วิชามนต์โบราณข้ายังฝึกไม่คล่องเลย
เหยียนเหล่ย  : หลังกินอาหารเสร็จ ข้าจะทบทวนให้ สำนักเฟยอวี่ใกล้ถึงวันเปิดสอบรับศิษย์ใหม่แล้วต้องเตรียมตัวให้ทัน
    หลวนเฉิน  : เหยียนหมิ่น เป็นถึงลูกชายของศิษย์พี่สี่ผู้เขียนตำรามนต์และอักขระโบราณให้สำนักเฟยอวี่ ยังต้องเคร่งครัดเข้าสอบด้วยรึ?
เหยียนเหล่ย  : แน่นอน! แม้เหยียนหมิ่นจะเป็นลูกชายของข้า แต่เขาก็ต้องเข้าสอบเพื่อทดสอบความสามารถเช่นเดียวกับคนอื่น เพราะข้าไม่ต้องการให้ใครมาครหาว่าใช้เส้นสายให้ลูกได้เข้าเรียน
    หลวนเฉิน  : ท่านเข้มงวดฝึกสอนขนาดนี้ เหยียนหมิ่นตัองสอบเข้าสำนักเฟยอวี่ได้แน่นอน

          ช่วงค่ำเหยียนเหล่ยออกมานั่งเล่นกู่เจิงที่หน้าเรือน โดยมีฉันนั่งรินน้ำชาให้อยู่ข้างๆและดูเหยียนหมิ่นที่กำลังฝึกวิชามนต์โบราณอยู่ที่ลานหน้าเรือน ฉันนึกสนุกขึ้นมาจึงเดินเข้าไปหาและพุ่งเข้าโจมตีเหยียนหมิ่น แต่เหยียนหมิ่นตั้งรับได้ทัน เราจึงฝึกวิชาต่อสู้กันแต่ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก

          หลวนเฉินที่นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องได้ยินเสียงกู่เจิงที่เหยียนเหล่ยกำลังเล่น เขาจึงเดินออกมาดู ก็เห็นมี่อิงกำลังนั่งฟังเสียงกู่เจิงอยู่ที่ชานหน้าเรือน เขาจึงเดินไปนั่งลงใกล้ๆมี่อิงแล้วพูดคุย

    หลวนเฉิน  : มี่จื่อกำลังฝึกซ้อมให้เหยียนหมิ่นรึ?
             มี่จื่อ  : ใช่ ท่านแม่ไม่ถนัดเล่นดนตรี จึงมักเป็นคู่ซ้อมให้พี่เหยียนหมิ่นบ่อยๆ
    หลวนเฉิน  : ข้ายังจำได้ซอเสียงนรกที่มี่จื่อเล่น เป็นเสียงซอที่ฟังแล้วทรมานหูมาก หุหุ
             มี่อิง  : เช่นนี้ ท่านพ่อจึงไม่ให้ท่านแม่เล่นดนตรี คนในจวนนี้ล้วนหวาดกลัวเสียงดนตรีของท่านแม่ หุหุ (มี่อิงหันไปหัวเราะแล้วยิ้มให้)

          หลวนเฉินยิ้มตอบมี่อิง สายตาเขาเหลือบมองที่กิ๊บติดผมลายนกยูงที่ติดอยู่บนผมของมี่อิง ทำให้เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่ากิ๊บติดผมนี้สวย และเหมาะที่จะติดอยู่บนผมของมี่อิงจริงๆ หลวนเฉินนั่งฟังเหยียนเหล่ยเล่นกู่เจิงสักพักหนึ่ง ก็ขอตัวไปนอนเพราะตั้งแต่มาถึงเมืองนี้เขายังไม่ได้พักเลย มี่อิงจึงกล่าวราตรีสวัสดิ์ แล้วนั่งฟังกู่เจิงต่อ

          รุ่งเช้ามี่อิงดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้ออกไปหาซื้อสมุนไพรกับหลวนเฉิน นางวิ่งไปที่ห้องนอนของเหยียนหมิ่นพี่ชาย เพื่อปลุกให้เขาตื่น แล้วดันหลังให้มากินอาหารเช้า เพื่อเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก หลวนเฉินที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องพัก เห็นมี่อิงกับเหยียนหมิ่นเตรียมตัวกันเสร็จก่อนแล้ว หลวนเฉินจึงเอ่ยชวนกันออกไปข้างนอกเลย แต่มี่อิงคะยั้นคะยอให้หลวนเฉินกินอาหารเช้าเสียก่อนค่อยออกไป

          ทั้งสามคนมาถึงตลาดกันช่วงเวลาสาย ผู้คนยังคงคึกคักทั้งคนขายที่แข่งกันเรียกลูกค้า และคนซื้อที่เดินเลือกซื้อของกันขวักไขว่ เหยียนหมิ่นบอกว่าร้านขายสมุนไพรอยู่ไม่ไกล เดินผ่านสามตรอกข้างหน้าไปก็ถึง แต่ก่อนที่จะถึงร้านขายสมุนไพร มี่อิงชวนแวะซื้อของร้านค้าอื่นๆก่อนหลายร้าน ทำให้ร้านขายสมุนไพรดูไกลออกไปทันที ขณะที่หลวนเฉินกำลังเลือกซื้อปิ่นปักผมให้มี่อิงอยู่นั้น เหยียนหมิ่นก็หันไปเห็นร้านขายเครื่องดนตรีที่เพิ่งเปิดใหม่ เขาจึงบอกหลวนเฉินว่าให้ไปเจอกันที่ร้านขายสมุนไพร แล้วเหยียนหมิ่นก็เดินแยกไปที่ร้านขายเครื่องดนตรี เขาเดินเข้าไปในร้านแล้วมองหาขลุ่ย

 เจ้าของร้าน  : คุณชายท่านนี้ สนใจเครื่องดนตรีชิ้นไหนให้ข้าช่วยแนะนำท่าน (คนขายมองลักษณะการแต่งกายที่ดูดีของเหยียนหมิ่น)
 เหยียนหมิ่น  : ขลุ่ย แต่ข้าดูในร้านแล้วข้ายังไม่เจอขลุ่ยที่ถูกใจ
 เจ้าของร้าน  : ข้ามีขลุ่ยอยู่เลาหนึ่ง ขลุ่ยมีสีดำสนิทแปลกมาก เป็นขลุ่ยขององค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ย ขลุ่ยทำมาจากกระดูกมังกรดำ มีเพียงขลุ่ยเลานี้เลาเดียวที่อยู่กับข้า ข้าขายให้คุณชายราคาพิเศษแค่สองเหรียญทอง (คนขายยื่นขลุ่ยให้เหยียนหมิ่นดู)
    หลวนเฉิน  : ขลุ่ยเลานี้อย่าว่าแต่สองเหรียญทองเลย ถ้าให้ราคาสามสิบเหรียญเงินก็ยังนับว่าแพง เพราะขลุ่ยเลานี้ทำมาจากไม้เก่าๆผุๆมิใช่กระดูกมังกร อีกอย่างในรายการสมบัติขององค์ชายสี่แห่งราชวงศ์รุ่ย ที่จดบันทึกโดยราชสำนักไม่มีขลุ่ยสักเลาอยู่ในบันทึก นี่คือขลุ่ยไม้สีดำที่เปลี่ยนสีเพราะความเก่าหรือดำเพราะไม้อาจขึ้นรา มิหนำซ้ำขลุ่ยยังมีเสียงเพี้ยนไม่มีความไพเราะ จึงเป็นของเสียมากกว่าจะเป็นของดี ท่านเข้าข่ายหลอกขายของปลอมด้อยคุณภาพแต่ราคาแสนแพง ข้าจะแจ้งหน่วยสอบสวนให้มาตรวจสอบร้านของท่าน
 เจ้าของร้าน  : หนอย!! เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! เจ้าเด็กเหลือขอ! กล้าดียังไงมาพูดว่าขลุ่ยร้านข้าเป็นของปลอม ห๊ะ!!!
    หลวนเฉิน  : ขลุ่ยเป็นของปลอมจริงๆ และข้าก็ไม่ใช่เด็กเหลือขอ! พ่อของข้าชื่อต่งเหยียนเหล่ยเป็นอาจารย์เขียนตำราอักขระและมนต์โบราณให้สำนักเฟยอวี่ และเป็นผู้ตรวจสอบวัตถุโบราณร่วมกับหน่วยสอบสวนให้กับราชสำนัก ส่วนแม่ข้าต่งมี่จื่อเป็นผู้ช่วยของท่านพ่อ
 เจ้าของร้าน  : ใครก็แอบอ้างอย่างเจ้าได้! แค่แต่งตัวให้ดูดี! ใครจะไปเชื่อเด็กเหลือขออย่างเจ้า! ไป ไป ออกไปจากร้านของข้า เจ้าเด็กปากเสีย! (เจ้าของร้านขับไล่เหยียนหมิ่น)
          ซือจิ้ง  : อ้าว! เหยียนหมิ่นมาทำอะไรที่นี่รึ? ข้ากำลังจะไปที่จวนของพ่อเจ้าอยู่พอดี
 เหยียนหมิ่น  : ข้ามาหาซื้อขลุ่ย ท่านลุงซือจิ้งจะไปพบท่านพ่อรึ?
          ซือจิ้ง  : ใช่ ข้ากำลังจะนำแผนที่ไปคืนท่านอาจารย์เหยียนเหล่ย แต่ข้ารู้สึกหิวเลยแวะมาที่ตลาดกินบะหมี่ เจ้ามีอะไรรึเปล่า เหมือนกำลังเถียงกัน
 เจ้าของร้าน  : แล้วเจ้าเป็นใครกัน?
          ซือจิ้ง  : ข้าชื่อซือจิ้ง เป็นหัวหน้าฝ่ายผังเมืองและแผนที่ประจำหน่วยสอบสวนสังกัดท่านอ๋องหก (ซือจิ้งแสดงตราเจ้าหน้าที่สอบสวนให้เจ้าของร้านดู) มีปัญหาอะไรกันรึ?
 เจ้าของร้าน  : มะ มะ ไม่มีอะไรขอรับท่านซือจิ้ง คือข้าขายของเสียงดังไปหน่อย อะ เอ่อ! คุณชายต่ง ท่านอยากได้ขลุ่ยอันไหนข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษเลย ข้าขอโทษที่เสียงดังกับคุณชายไปหน่อย ให้อภัยข้าเถอะ
    หลวนเฉิน  : ดี! ข้าให้อภัยเถ้าแก่ เอาล่ะ! ท่านลุงซือจิ้งที่นี่ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ทำไมท่านลุงนำแผนที่มาคืนเองล่ะ ปกติจะให้ลูกน้องนำมาคืนนี่นา
           ซือจิ้ง  : พอดีข้าแวะมาหาซื้อผ้าห่มให้ลูกสาวด้วย เพราะอากาศเริ่มเย็น จึงนำแผนที่มาคืนเอง
    หลวนเฉิน  : ฝากแผนที่ให้ข้าไปคืนท่านพ่อก็ได้ ท่านลุงจะได้มีเวลาไปหาซื้อผ้าห่ม
          ซือจิ้ง  : ดีเลย! ขอบใจมากนะ งั้นฝากเจ้าด้วย เออ! เห็นท่านหัวหน้าหน่วยหลี่จวิน บ่นถึงเจ้าอยู่ว่าพักนี้ไม่เห็นแวะไปเล่นหมากกระดานที่หน่วยสอบสวนเลย ท่านหลี่จวินบ่นว่าอยากเล่นหมากกระดานกับเจ้า
    หลวนเฉิน  : ช่วงนี้ข้าต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าสำนักเฟยอวี่ จึงไม่ได้แวะไปหาท่านลุงหลี่จวิน ไว้ถ้าว่างแล้วข้าจะแวะไป
          ซือจิ้ง  : ดี! น่าภูมิใจแทนพ่อกับแม่ที่มีลูกชายเก่งๆอย่างเจ้า ข้าไปล่ะ (ซือจิ้งจึงเดินออกจากร้านไปเพื่อหาซื้อผ้าห่ม)
 เจ้าของร้าน  : คุณชายต่งข้าขอโทษจริงๆที่ข้าไม่เชื่อว่าคุณชายเป็นลูกชายของท่านอาจารย์ต่งเหยียนเหล่ย มิน่าล่ะ! คุณชายถึงมองออกว่าขลุ่ยเป็นไม้ มิใช่กระดูกมังกร คือความจริงแล้วคนเก็บของป่าเก็บขลุ่ยเลานี้ได้ในป่า แล้วนำขลุ่ยมาขายเพราะต้องการเงินไปซื้อยาให้ลูกที่กำลังป่วย ข้าสงสารจึงรับซื้อไว้ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมขลุ่ยจึงเป็นสีดำ อีกทั้งไม่มีใครซื้อขลุ่ยเลานี้เพราะเสียงเพี้ยนไม่มีความไพเราะ ข้าจึงต้องโกหกว่าขลุ่ยทำจากกระดูกมังกรดำเพื่อให้ขลุ่ยขายได้ คุณชายอย่าแจ้งหน่วยสอบสวนให้มาจับข้าเลย ต่อไปข้าจะไม่ขายของปลอมอีก ข้าให้ขลุ่ยเลานี้กับคุณชายเป็นการขอโทษก็แล้วกัน
    หลวนเฉิน  : เอาล่ะ! ข้าไม่ได้คิดจะเอาของใครโดยไม่จ่ายเงิน งั้นข้าจะรับซื้อขลุ่ยสีดำนี่ไว้เอง ถึงขลุ่ยเสียงจะเพี้ยนไปหน่อย แต่ขลุ่ยมีสีดำสวยแปลกตาดี งั้นข้าจ่ายเงินให้ท่านสามสิบเหรียญเงิน คงมากกว่าที่ท่านจ่ายเงินให้คนหาของป่าแน่นอน
 เจ้าของร้าน  : ขอบคุณคุณชายต่ง แล้วคุณชายต่งไม่สนใจขลุ่ยเลาอื่นด้วยรึ ข้าจะขายให้ถูกเป็นพิเศษเลย
    หลวนเฉิน  : ไม่ล่ะ! ไม่มีขลุ่ยเลาไหนที่ถูกใจ ข้าซื้อแค่ขลุ่ยสีดำเลาเดียว

          เหยียนหมิ่นจ่ายเงินให้คนขาย แล้วถือขลุ่ยสีดำเดินยิ้มออกมาจากร้าน เขาเดินไปทางร้านขายยาสมุนไพร ก็เห็นหลวนเฉินกับมี่อิงกำลังนั่งดื่มน้ำชาในร้านเล็กๆไกล้กับร้านขายสมุนไพร เหยียนหมิ่นเดินเข้าไปในร้านน้ำชาแล้วนั่งลงข้างๆมี่อิง

 เหยียนหมิ่น  : ซื้อยาสมุนไพรเสร็จแล้วรึ
             มี่อิง  : อื้ม! ทำไมซื้อขลุ่ยนานจัง เอามาดูซิสวยแค่ไหน
 เหยียนหมิ่น  : มันมีเรื่องนิดหน่อยเลยช้า (เหยียนหมิ่นหยิบขลุ่ยออกมาให้มี่อิงกับหลวนเฉินดู)
    หลวนเฉิน  : เอ๊ะ! ขลุ่ยนี่มันขลุ่ยไม้ดำ!
 เหยียนหมิ่น  : ใช่! ขลุ่ยไม้ดำ ของชนเผ่าไม้ดำ (เหยียนหมิ่นพูดเบาๆกับหลวนเฉินและมี่อิง เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน)
    หลวนเฉิน  : เจ้าไปได้มาจากที่ไหน?!
 เหยียนหมิ่น  : จากร้านขายขลุ่ย เจ้าของร้านหลอกข้าว่าขลุ่ยทำจากกระดูกมังกรดำ เพื่อจะขายให้ข้าในราคาสองเหรียญทอง ข้าจึงรู้ว่าเจ้าของร้านไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชนเผ่าไม้ดำ ข้าจึงบอกเจ้าของร้านว่าขลุ่ยทำมาจากไม้ธรรมดาแต่มาหลอกขายราคาแพงและจะแจ้งให้หน่วยสอบสวนมาตรวจ เจ้าของร้านจึงยอมรับผิด และข้าก็ซื้อขลุ่ยนี้มาแค่สามสิบเหรียญเงินเท่านั้น
             มี่อิง  : เสียงไม่เห็นจะไพเราะเลย ฟังดูเพี้ยนๆ (มี่อิงลองเป่าขลุ่ยไม้ดำ)
 เหยียนหมิ่น  : ต้องใส่พลังแฝงเข้าไปขณะเป่า หากใส่พลังแฝงด้านสว่างเสียงขลุ่ยจะออกมาไพเราะ แต่หากใส่พลังแฝงด้านมืดเสียงขลุ่ยจะขาดความไพเราะฟังแล้วปวดหูจนสามารถฆ่าคนฟังให้ตายได้ อย่างเสียงดนตรีที่ท่านแม่เล่นเป็นพลังแฝงด้านมืด เพราะท่านแม่เล่นดนตรีไม่เป็นจึงไม่สามารถใส่พลังแฝงด้านสว่างได้ ท่านแม่จึงไม่เล่นดนตรีอีกยังไงล่ะ ส่วนขลุ่ยไม้ดำเลานี้ คนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกพลังแฝงจะไม่สามารถเป่าขลุ่ยไม้ดำให้ไพเราะได้เลย นี่คือความพิเศษของมันล่ะ
             มี่อิง  : อ๋อ! เข้าใจแล้ว
    หลวนเฉิน  : เหยียนหมิ่น เจ้าเก่งและฉลาดมาก รู้เรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าไม้ดำเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
             มี่อิง  : พี่เหยียนหมิ่นอยากเข้าไปในชนเผ่าไม้ดำ เขาต้องการไปเคารพหลุมศพท่านลุงหยางเค่อ แต่ท่านพ่อไม่อนุญาตให้พี่เหยียนหมิ่นไป เอ่อ...ท่านอาหลวนเฉินใกล้ๆกันนี้มีวัด เราไปไหว้พระกันดีไหม
    หลวนเฉิน  : ดีสิ!
 เหยียนหมิ่น  : ท่านอาไปกับมี่อิงเถอะ ข้าจะนั่งดื่มน้ำชารออยู่ที่นี่

Sweet  But Psycho - Suicide Squad (Movie)
Youtube by : Claire

■■■■■■■■■■■■■■■

มี่จื่อสาวใช้จำเป็น
ตอนที่ 77
(คำสัญญา)


     มี่อิงกับหลวนเฉินจึงเดินออกจากร้านน้ำชาเพื่อไปไหว้พระที่วัด เมื่อมาถึงวัดทั้งสองจึงนั่งลงไหว้พระ

              มี่อิง : พระพุทธองค์ โปรดช่วยคุ้มครองให้ครอบครัวของข้าปลอดภัย ให้ท่านพ่อกับท่านแม่มีสุขภาพแข็งแรง พระพุทธองค์ท่านช่วยบอกให้ท่านอาหลวนเฉินมาหาข้าบ่อยๆ ข้าชอบมากที่ท่านอาหลวนเฉินพาข้าออกมาเที่ยวแบบนี้ (มี่อิงพูดอธิษฐานให้หลวนเฉินได้ยิน)
    หลวนเฉิน  : ข้าทำงานไม่มีเวลาว่างบ่อยๆขนาดนั้นหรอก (หลวนเฉินตอบกลับมี่อิง แล้วหัวเราะเบาๆ)
             มี่อิง  : พระพุทธองค์ท่านช่วยบอกให้ท่านอาหลวนเฉินอย่าหลงลืมข้า ข้าจะรอท่านอามาหาข้า
    หลวนเฉิน  : เจ้าอธิฐานเสียงดังขนาดนี้ ก็บอกกับข้าด้วยตัวเองเลยเถอะ
             มี่อิง  : คือ...ข้าตั้งใจอธิษฐานกับพระพุทธองค์ แต่ข้ากลัวพระพุทธองค์ลืมบอกท่านอา (มี่อิงหัวเราะเบาๆที่หลวนเฉินรู้ทัน)
    หลวนเฉิน  : เอาเป็นว่า...ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมเยียนเจ้า
             มี่อิง  : สัญญาก่อนสิ! (มี่อิงชูนิ้วก้อยขึ้นให้หลวนเฉินสัญญา)
    หลวนเฉิน  : ข้าสัญญา (หลวนเฉินชูนิ้วก้อยขึ้นสัญญากับมี่อิง)
             มี่อิง  : ท่านอาสัญญากับข้าต่อหน้าพระพุทธองค์แล้ว ผิดสัญญาไม่ได้นะ
    หลวนเฉิน  : อะ อื้ม! เด็กเจ้าเล่ห์ หุหุ (เขาหัวเราะเบาๆเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดทำสัญญากับมี่อิงจนได้)
             มี่อิง  : ก็เพราะข้าอยากเจอกับท่านอาอีกก็แค่นั้น ปิ่นปักผมที่ท่านอาซื้อให้ข้า ข้าชอบมากและจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่หากข้าทำให้ท่านอารู้สึกอึดอัดลำบากใจ ท่านอาจะเอาปิ่นปักผมกลับคืนไปและยกเลิกสัญญาก็ได้ข้าจะไม่โกรธเลย (มี่อิงหยิบปิ่นปักผมที่หลวนเฉินซื้อให้ออกมาแล้วยื่นให้หลวนเฉิน)
    หลวนเฉิน  : เด็กโง่...เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้าไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ได้ออกมาซื้อของ มาไหว้พระกับเจ้าก็ทำให้เพลิดเพลินดี ส่วนปิ่นปักผมนี่ข้าตั้งใจซื้อให้เจ้า มันเหมาะและสวยเมื่อปักอยู่บนผมของเจ้า (หลวนเฉินปักปิ่นปักผมให้มี่อิง) เมื่อส่งสินค้าเสร็จอีก 15 วันข้าจะกลับมาหา หวังว่าเจ้าจะยังไม่เบื่อเที่ยวกับคนแก่อย่างข้า
             มี่อิง  : ท่านอายังไม่แก่สักหน่อย และข้าก็ไม่เบื่อด้วย (มี่อิงมองสบตากับหลวนเฉินแล้วส่งยิ้มหวานจนหลวนเฉินต้องหลบสายตา)
    หลวนเฉิน  :  เอ่อ...ช่วงระหว่างนี้เจ้าต้องตั้งใจเรียน อย่าห่วงเล่นห่วงเที่ยว เจ้ายังเด็กนักต้องให้ความสำคัญกับการเรียนก่อน
             มี่อิง  : ท่านอาอย่าห่วง ข้าให้ความสำคัญกับการเรียนแน่นอนอยู่แล้ว และคะแนนการเรียนของข้าก็มิได้อ่อนด้อย ปีหน้าหากข้าสอบเข้าเรียนที่สำนักเฟยอวี่ได้ ข้าจะคิดถึงเรื่องของท่านอาด้วยจะได้หรือไม่
    หลวนเฉิน  : อ่ะ เอ่อ! เรื่องนั้น...รอให้เจ้าสอบเข้าเรียนที่สำนักเฟยอวี่ได้และเรียนให้สำเร็จเสียก่อน เราค่อยคุยกันใหม่ถึงเรื่องนี้
             มี่อิง  : ได้ แต่ท่านอาต้องมาหาข้าบ่อยๆ และอย่าเพิ่งมีใครในใจ รอให้ข้าเรียนสำเร็จก่อน สัญญากันนะ!
    หลวนเฉิน  : อื้ม! เอาล่ะ! ข้าจะต้องไปแล้ว เพราะข้านัดคนขายยาสมุนไพรให้ไปส่งยาสมุนไพรที่ขบวนขนส่งสินค้าของข้า กลับกันเถอะ

         หลวนเฉินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมี่อิงจากสายตาที่มี่อิงมองเขา เป็นสายตาที่ดูหวานลึกซึ้งเหมือนหญิงสาวมองชายหนุ่มที่ตัวเองชื่นชอบ มากกว่าจะเป็นสายตาของหลานสาวมองท่านอาอย่างเขา แต่เพราะมี่อิงยังเด็กเกินไปกว่าที่เขาจะคิดเกินเลย หลวนเฉินจึงต้องตั้งกติกาบางอย่างขึ้นเพื่อให้มี่อิงตั้งใจเรียน และเมื่อมี่อิงโตขึ้น ได้พบเจอกับผู้คนมากขึ้น นางคงจะเปลี่ยนความคิดและคงหลงลืมสัญญาในวัยเด็กที่ทำไว้กับเขาไปได้เอง แต่หลวนเฉินก็แอบยิ้มและรู้สึกดีไม่น้อยที่มี่อิงให้ความสนใจในตัวเขาอย่างจริงจัง

          หลวนเฉินแยกตัวกลับไปแล้ว มี่อิงกับเหยียนหมิ่นกำลังเดินเข้ามาในจวน ตามหลังด้วยฟูหลิวหัวหน้าพ่อบ้านที่ช่วยเหยียนหมิ่น หิ้วของพะรุงพะรังเข้ามาในจวน

             มี่จื่อ  : ก่อนออกไปบอกว่าจะไปซื้อไก่ดำตัวเดียว แต่ทำไมตอนกลับซื้อของมาเยอะแยะ เอาเงินที่ไหนไปซื้อ ท่านพ่อของเจ้าไม่ได้ให้เงินไปเยอะสักหน่อย
 เหยียนหมิ่น  : ของพวกนี้เป็นของมี่อิงทั้งนั้น ท่านอาหลวนเฉินซื้อให้ ของข้ามีแค่ขลุ่ยไม้ดำแค่เลาเดียว 
             มี่อิง  : ท่านแม่...ท่านอาหลวนเฉินซื้อให้ข้าเอง ข้าไม่ได้ร้องจะเอาของพวกนี้เลย
             มี่จื่อ  : ซื้อปิ่นปักผมราคาแพงให้ด้วยหรือเนี่ย ไม่ธรรมดาเลย
             มี่อิง  : ท่านแม่อ่า~ ข้าไปตุ๋นไก่ดำให้ท่านพ่อดีกว่า (มี่อิงเขินอายแล้วเลี่ยงไปห้องครัว)
          ฟูหลิว  : คุณหนูจะซื้อไก่ทำไมไม่บอก ใช้ข้าไปซื้อให้ก็ได้
             มี่อิง  : ลุงฟูหลิวไม่เป็นไรหรอก พอดีข้าออกไปข้างนอก เลยซื้อไก่ดำมาด้วย
          ฟูหลิว  : งั้นเดี๋ยวข้าไปช่วยคุณหนูจุดเตาฟืน (ฟูหลิวเดินถือไก่ดำตามมี่อิงเข้าไปในครัว)
 เหยียนหมิ่น  : ข้าจะเอาขลุ่ยไม้ดำไปให้ท่านพ่อตรวจดูอีกครั้ง
             มี่จื่อ  : เอ...คนชนเผ่าไม้ดำปกติไปไหนมาไหนลึกลับรอบคอบ นี่กลับทิ้งขลุ่ยไว้เลาหนึ่ง ใครกันนะ? เราไปหาพ่อของเจ้าให้เขาตรวจดูกันเถอะ

          ฉันกับเหยียนหมิ่นเดินเข้าไปหาเหยียนเหล่ยในห้องตำรา เพื่อตรวจสอบขลุ่ยให้แน่ใจว่าเป็นขลุ่ยไม้ดำของชนเผ่าไม้ดำจริงๆ เหยียนเหล่ยจึงทำการตรวจดูอย่างละเอียด และบอกว่าเป็นไม้ดำของชนเผ่าไม้ดำแน่นอน เหยียนเหล่ยคาดเดาว่า อาจมีคนของชนเผ่าไม้ดำออกจากหมู่บ้านเข้ามาทำอะไรสักอย่างในเมือง แล้วอาจทำขลุ่ยตกไว้ในป่า หากเป็นเพียงขลุ่ยธรรมดามิได้สำคัญอะไร คนทำตกคงมิได้ใส่ใจตามหา แต่หากขลุ่ยเป็นของสำคัญเจ้าของอาจออกมาตามหาขลุ่ย เหยียนเหล่ยจึงบอกให้เหยียนหมิ่นลูกชายเก็บรักษาขลุ่ยไว้ เผื่อว่าเจ้าของเดิมอาจมาตามเอาคืน ช่วงระหว่างนี้ก็ให้เหยียนหมิ่นฝึกเป่าขลุ่ยไม้ดำไปก่อน เพราะขลุ่ยไม้ดำมีความพิเศษอยู่ในตัว หากไม่มีใครมาอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของ ก็เหมาะทีเดียวที่เหยียนหมิ่นควรจะได้ครอบครองขลุ่ยเลานี้ หากคนทั่วไปถามให้ตอบไปว่าเป็นเพียงขลุ่ยไม้ธรรมดาที่ทาสีดำ แต่ขลุ่ยมิอาจตบตาผู้ใช้พลังแฝงด้วยกันได้ จงอย่าหยิบออกมาให้ใครเห็นพร่ำเพรื่อจะเกิดภัยขึ้นกับตัวหากมีใครคิดจะแย่งชิง เหยียนเหล่ยกล่าวกำชับลูกชาย

         ช่วงหัวค่ำเหยียนเหล่ยนั่งดื่มเหล้าชมจันทร์กับฉันอยู่ที่ชานบ้าน สักพักเหยียนหมิ่นเดินมานั่งลงข้างๆฉัน และมี่อิงกำลังนั่งลงข้างๆเหยียนเหล่ย มี่อิงยกเหล้ารินใส่จอกให้เหยียนเหล่ยดื่ม แล้วนวดแขนให้เหยียนเหล่ยเพื่อเอาใจ

             มี่อิง  : ท่านพ่อ...ปีหน้าข้าจะไปสอบเข้าสำนักเฟยอวี่
เหยียนเหล่ย  : จริงรึ?! ทำไมเปลี่ยนใจไม่ไปเรียนวิชาการเรือนในวังแล้วรึ?
             มี่อิง  : ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าคิดว่าการเป็นชาวยุทธนั้นน่าสนใจ และน่าตื่นเต้นกว่าการเป็นหญิงงามที่เดินไปเดินมาอยู่ในวัง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มฝึกวิชาของสำนักเฟยอวี่แบบที่พี่เหยียนหมิ่นฝึกเพื่อเป็นการเตรียมพร้อม ต้องรบกวนท่านพ่อกับท่านแม่ช่วยฝึกฝนให้ข้าด้วย
เหยียนเหล่ย  : ดี!
 เหยียนหมิ่น  : ท่านแม่ ทำไมเราไม่กลับไปเคารพหลุมศพท่านลุงหยางเค่อที่หมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำล่ะ จะได้นำขลุ่ยไม้ดำไปคืนคนในหมู่บ้านด้วย
            มี่จื่อ  : ทางเข้าหมู่บ้านไม่ได้เข้าไปกันได้ง่ายๆ ทางเข้าถูกเคลื่อนย้ายสับเปลี่ยนตลอดเวลา ยากจะหาทางเข้าเจอเพราะแม่เฒ่าเข้มงวดมากขึ้นเรื่องคนนอกจะลักลอบเข้าหมู่บ้าน
เหยียนเหล่ย  : อีกอย่างเราสัญญากับพวกเขาไว้ว่าจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องภายในหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ เพราะเหล่าชาวยุทธจะออกตามหาตำราและกระบี่มังกรสายลมจนเกิดความวุ่นวายเข่นฆ่ากันขึ้นมาอีก เพื่อแย่งชิงกระบี่กับตำรา และเพื่อความสงบสุขของคนในหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำด้วย เหยียนหมิ่นเจ้ายังเด็กเกินไป การจะเข้าไปในหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำมันอันตรายมาก เจ้าควรหยุดคิดเรื่องนี้แล้วตั้งใจเรียนเพื่อความภาคภูมิใจของข้าและแม่ของเจ้า
 เหยียนหมิ่น  : ขอรับท่านพ่อ

           ฉันโอบกอดเหยียนหมิ่นลูกชายเป็นการให้กำลังใจที่เขาไม่สามารถเข้าไปในหมู่บ้านชนเผ่าไม้ดำ ซึ่งนั่นเหยียนหมิ่นก็เข้าใจและไม่เคยดื้อดึง เหยียนเหล่ยจึงยกจอกเหล้าที่มี่อิงรินไว้ให้ยกขึ้นดื่ม แล้วโอบกอดฉันกับมี่อิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาบอกว่ามีความสุขที่สุดที่มีฉันกับลูกๆคอยอยู่เคียงข้าง ฉันจึงแกล้งบอกว่าจะร้องเพลงเพื่อเพิ่มความสุขให้ทุกคนฟัง มี่อิงกับเหยียนหมิ่นรีบร้องห้ามทันที มีแต่เหยียนเหล่ยที่นั่งหัวเราะเพราะลูกๆไม่อยากฟังเพลงเสียงเพี้ยนของฉัน มี่อิงจึงเสนอตัวร้องเพลงเอง โดยมีเหยียนหมิ่นเป่าขลุ่ยไม้ดำที่แสนไพเราะให้เราฟังระหว่างดื่มเหล้านั่งชมจันทร์ที่งดงามในคืนนี้

❤❤❤❤❤ จบบริบูรณ์ ❤❤❤❤❤

戚琦/張曉涵 絕世舞姬
Qi Qi / Zhang Xiaohan Peerless Dancer
Youtube by : User





杨丽萍携李响刘迦朱凤伟展绝世舞功 霸王别姬震撼你的视觉
แสดงการเต้นรำที่ไม่เหมือนใครของ Yang Liping และ Li Xiang, Liu Jia, Zhu Fengwei 
Youtube by : Music Channel

■■■■■■■■■■■■■■■


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

นิยายเรื่องอื่นๆ by AnQi
เรื่องที่ 1 ➡️ หมอหญิงปีศาจ EP1 - 5 (58 ตอนจบ)
เรื่องที่ 2 ➡ มี่จื่อสาวใช้จำเป็น EP1 - 24 (77 ตอนจบ)
เรื่องที่ 3 ➡️ ซูลี่ขันทีพิษ EP1 - 3
เรื่องที่ 4 ➡️ เจ้าสาวปีศาจ EP1 - 3
เรื่องที่ 5 ➡️ ศัตรูที่รัก EP1 - 3
เรื่องที่ 6 ➡️ โรงเตี๊ยม EP1 - 3
เรื่องที่ 7 ➡️ One Way Love EP1 - 3
เรื่องที่ 8 ➡️ เกิดอีกทีก็โชคดีแล้ว EP1 - 3
เรื่องที่ 9 ➡️ 

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤


No comments:

Post a Comment